เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 09:26



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 09:26
ระหว่างที่ท่านอนุโลมให้ราษฎรเรียกพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลด้วยความเคารพจากใจว่ากระไรก็ได้นั้น ผมขออนุญาตที่จะเอ่ยพระนามพระองค์ตามความจำได้หมายมั่นที่ยังติดอยู่ในจิตสำนึก ในขณะที่มันยังไหลลื่นออกมาอย่างช้าๆนะครับ ขอได้โปรดให้อภัย งดโทษต่อการควรมิควรของผมด้วย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 09:29
รูปที่เขาส่งต่อๆกันมาในโซเชียลเน๊ตเวอร์คแล้วมาปรากฏในหน้าจอของผมชุดนี้ ทำให้ความจำในช่วงวัยเด็กอนุบาลของผมปรากฏขึ้นทั้นที เลือนลางในตอนแรก แล้วก็เริ่มชัดขึ้นๆ ต้องรีบบันทึกไว้ก่อนที่มันจะเลือนลับไปตามกาลกิริยา
ลองเข้าไปอ่านในระโยงนี้ก่อนนะครับ

https://www.dogilike.com/board/view.php?id=15669

โรงเรียนปิดเทอมใหญ่คราวนั้น ผมน่าจะอายุสักสี่ห้าขวบ เมื่อแม่พาผมร่วมขบวนไปเที่ยวหัวหินพร้อมๆกับพี่ๆน้องๆหลานคุณตาคุณยาย โดยไปเช่าบ้านที่อยู่ไม่ไกลพระราชวังไกลกังวลนัก ตอนนั้นอยู่กันยาวเป็นอาทิตย์เพราะกว่าจะเดินทางไปถึงลำบากลำบน ต้องนั่งรถโขยกกันทั้งวัน
ตกเย็นเราก็ลงไปเล่นน้ำกันเป็นหมู่ ในรูปนี้ ผมก็คือเด็กที่กำลังออกอาการสำลักน้ำ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 10:36
ยามเย็นวันหนึ่งเมื่อมองไปทางวัง เห็นกลุ่มคนเล่นน้ำกันอยู่แต่ไกลๆ ผู้ใหญ่บอกว่าคงเป็นในหลวงกับพระราชินี เพราะมีทหารยืนรักษาการณ์อยู่ระยะในห่างๆ กัน ไม่ให้คนล้ำเข้าไปในเขตที่กำหนดไว้ แต่คนก็ไม่ค่อยมากเท่าไหร่นะครับเท่าที่ผมจำได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนกรุงที่ไปตากอากาศ และชาวบ้านแถวนั้นจริงๆ มิได้มืดฟ้ามัวดินเหมือนสมัยต่อๆมา

แล้วผมก็ได้เรียนรู้จากบทเรียนแรกของแม่ ที่สอนว่าในหลวงคือใครก็ในคราวนั้น

ก่อนที่ครอบครัวใหญ่ของเราจะกลับ เย็นหนึ่งผมได้ยินพี่ๆตะโกนเรียกกัน ได้ยินคำว่า “ในหลวงเสด็จ  ในหลวงเสด็จ”
ไม่รอช้า ผมวิ่งตามเขาออกไปที่ชายหาดทันที

ผมเห็นพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้า ทรงพระราชดำเนินช้าๆ ในพระอิริยาบทสบายๆอยู่หน้าวังของท่าน ท่ามกลางห้อมล้อมหลวมๆของผู้ติดตามจำนวนไม่มากนัก มีสุนัขสองตัววิ่งนำหน้ามาแต่ไกลๆวนไปวนมา เดี๋ยวก็วิ่งกลับไปหาพระเจ้าอยู่หัว เดี๋ยวก็วิ่งมาทางกลุ่มชาวบ้านซึ่งนั่งเฝ้าอยู่เป็นกลุ่มๆ แบบบ้านใครบ้านมัน เจ้าตัวสีน้ำตาลออกแดงๆมันวิ่งมาใกล้จนผมเห็นหน้าค่าตามันชัดว่าดำๆจมูกหัก แปลกกว่าอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นหมาไทยธรรมดาๆสีกระดำกระด่างตั้งแต่หัวจรดหาง ลุงเขยคนหนึ่งของผมเป็นนายสัตวแพทย์บอกว่าตัวสีน้ำตาลแดง หน้าดำจมูกหักเป็นหมาฝรั่งพันธุ์บ๊อกเซอร์ เสียงใครไม่รู้บอกว่ามันชื่อโจโฉ อีกตัวนั้นชื่อโจกา
ชื่อโจโฉกับโจกานั้นประทับอยู่ในสมองของผมนานมากกก จนกระทั่งมีวุฒิภาวะแล้วจึงนึกออกว่า อ๋อ ที่จริงชื่อของมันคือ จรกา ผู้ร้ายตัวดำในเรื่องอิเหนานั่นเอง

เข้าใจว่าหมาไทยตัวนั้นจะเป็นหมาของชาวบ้านในละแวก ที่ไปทำเนียนถวายตัวเองเป็นชาววัง กินข้าวพระราชทานจนมีน้ำมีนวล ชื่อจรกาของมันน่าจะเป็นชื่อพระราชทานด้วย เพราะเหมาะสมกับตัวมันที่สุด

ส่วนโจโฉ คุณเข้าไปดูในกูเกิลเถอะครับ คุณวิกี้ผู้แสนรู้จะบรรยายว่า “ คุณโจโฉ เป็นสุนัขพันธ์เกรทเดน ทรงเลี้ยงเมื่อก่อน พ.ศ. 2500”
ผมดีใจที่มีหลักฐานยืนยันว่าโจโฉเป็นสุนัขพันธ์ Boxer และไม่ได้เป็นคุณ สุนัขทรงเลี้ยงที่ทรงเรียกเป็นคุณ ก็คือคุณทองแดงนะครับ แต่จรกานั้นไม่มีในทะเบียนสุนัขทรงเลี้ยง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 10:37
.


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 10:38
.


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 10:44
เมื่อผมแต่งงานแล้วแยกบ้านมาอยู่เป็นเอกเทศกับภรรยา เราเห็นดีเห็นชอบที่จะเลี้ยงหมาสักตัว หมาตัวแรกที่เราเลี้ยงจึงเป็นหมาบ๊อกเซอร์ตามความมุ่งมั่นของผม ที่มีแรงบรรดาลใจมาจากโจโฉ สุนัขทรงเลี้ยงของพระเจ้าอยู่หัว


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 10:54
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในช่วงนั้น ทรงโปรดที่จะประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวลมากกว่าจะเสด็จอยู่ในกรุงเทพ ผมอ่านหนังสือมากแล้วจึงทราบว่า รัฐบาลไม่มีความประสงค์จะให้ทรงมีบทบาทมากมัก นอกจากงานตามหมายกำหนดการซึ่งมีความจำเป็นในการรักษาสถาบันกษัตริย์เท่านั้น ที่ทรงมีความจำเป็นจะเสด็จกลับกรุงเทพเป็นครั้งคราว

เด็กน้อยอย่างผมไม่มีโอกาสได้เห็นพระองค์อีกเลย จวบจนผมอยู่ชั้นมัธยมหนึ่ง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 13:40
ขอแทรกเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าในยามที่ผมยังเขียนอะไรต่อไม่ออกสักนิด
 
ขณะนี้ประชาชนคนไทยเต็มสนามหลวงนับจำนวนไม่ถ้วนได้ร่วมแรงร่วมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ซึ่งเช่นเดียวกับทุกครั้ง น้ำตาของผมจะต้องไหลลงมาเป็นสายน้ำ หาสาเหตุไม่ได้เลยว่า ในเมื่อผมไม่ได้กำลังเสียอกเสียใจ ไม่ได้เจ็บปวด ทำไมน้ำตามันจึงไหลล้นเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนั้น
 
น้ำตาอันเกิดจากความปิติ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 13:42
จนได้พบ “เรื่องดี ๆ จากดร.ณัชร” ตรงอกตรงใจผมเผง ขออนุญาตถ่ายทอดลงในกระทู้นี้

“…พอเห็นพระองค์ท่านโบกพระหัตถ์ ผมก็น้ำตาไหลเลยครับ  ไม่รู้ว่าทำไม  อยู่ ๆ ก็ไหลออกมา…”

“…พอขบวนรถท่านเสด็จฯ ผ่าน  พี่ก็น้ำตาท่วมเลย  ได้แต่โบกธง  พยายามจะตะโกนคำว่า “ทรงพระเจริญ” แต่มันพูดไม่ออกน่ะค่ะ  มันสะอื้นเฮือกออกมาจากข้างในอกเลย  ไม่รู้ว่าเป็นอะไรค่ะ…”

ผู้เขียนเชื่อว่า พวกเราชาวไทยที่มีความจงรักภักดีทุกคนคงจะเคยมีประสบการณ์ตื้นตันน้ำตาไหลหรืออย่างน้อยก็น้ำตาคลอกันบ้างเวลาเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ไม่ว่าจากการได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จฯ ณ สถานที่จริงหรือเพียงการได้เห็นพระองค์ท่านผ่านสื่อต่าง ๆ

หลายคนพูดเหมือนกันว่า “ไม่รู้ว่าทำไม…”

วันนี้เราจะมาพบกับคำตอบว่า “ทำไม”

เชื่อหรือไม่ว่าทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์มีคำตอบ!



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 13:45
“ปีติ” ในแง่วิทยาศาสตร์

ผู้เขียนได้อ่านนิยามของปีติในแง่วิทยาศาสตร์ครั้งแรกเมื่อได้ลงทะเบียนเรียนออนไลน์วิชา ศาสตร์แห่งสุข (The Science of Happiness) ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งเมืองเบิร์คลีย์เมื่อปีที่แล้ว

ผู้ริเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้คือศาสตราจารย์โจนาธาน ไฮด์ท (Jonathan Haidt) นักจิตวิทยาสังคมแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก  เขาตั้งคำถามว่า
 “ทำไมบางครั้งมนุษย์เราจึงรู้สึกตื้นตันถึงขั้นน้ำตาไหลเมื่อได้เห็นหรือรับรู้การทำความดีหรือความเสียสละของผู้อื่น…
…ถึงแม้ตัวเราเองจะไม่ได้เป็นผู้ได้รับประโยชน์นั้นโดยตรง?”

หลังจากการค้นคว้าวิจัย ศ.ไฮด์ทค้นพบสิ่งที่เขาเรียกว่า “Elevation” ซึ่งผู้เขียนขอแปลว่า “ปีติ” อันมีนิยามว่า “ความรู้สึกอบอุ่นใจ ซาบซึ้งประทับใจ และการรู้สึกว่าจิตได้รับการยกขึ้น

ศ.ไฮด์ทกล่าวว่า สภาวะ “ปีติ” นี้ จะเกิดขึ้นเมื่อเรา “ได้เห็นผู้อื่นทำความดี แสดงความเมตตากรุณา หรือความกล้าหาญ”

ทันทีที่เห็นคำนิยาม ผู้เขียนก็นึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นมาทันที
“ปีติ” ไม่ได้เพียงแค่ทำให้เราน้ำตาไหลเท่านั้น  แต่ศ.ไฮด์ทค้นพบว่ามันส่งผลให้เรา “ลงมือทำ” อะไรบางอย่างต่อไปด้วย!

ลองอ่านดูว่าคุณเองก็เป็นเช่นนี้หรือไม่



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 13:50
ผลที่ตามมาของ “ปีติ”

ศาสตราจารย์ไฮด์ทอธิบายว่าเมื่อภาวะ “ปีติ” นี้เกิดขึ้นกับใคร มันจะส่งผลให้ผู้นั้น
๑) อยากช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง
๒) อยากเป็นคนที่ดีขึ้นมีคุณธรรมขึ้น และ
๓) ทำให้เกิดความต้องการที่จะมีส่วนร่วมหรือผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับบุคคลที่ทำให้เราเกิดความ “ปีติ” นั้นด้วย

ฟังแล้วยิ่งขนลุกและรู้สึกขึ้นมาว่า “ใช่เลย!”

เพราะไม่เพียงน้ำตาแห่งความปีติเท่านั้น  เมื่อคนไทยเราได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เราจะอยากทำสิ่งต่อไปนี้ด้วย คือ
๑) “ทำดีเพื่อในหลวง” ในรูปแบบการช่วยเหลือผู้อื่น
๒) “ตั้งใจจะเป็นคนดีเพื่อพ่อ” และ
๓) หลายคนจะตั้งสัจจอธิษฐานว่า “ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป” ซึ่งก็คือความประสงค์ที่จะ “ผูกพัน” เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ท่านนั่นเอง

ตรงเป๊ะครบทั้ง ๓ ข้อตามผลการวิจัยของศ.ไฮด์ททุกประการ!


“ปีติ” ที่วิทยาศาสตร์ยังอธิบายไปไม่ถึง

ที่น่าสนใจก็คือ คนไทยเราจะเกิดภาวะ “ปีติ” นี้ไม่เพียงแต่ในขณะที่เราเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจบำบัดทุกข์บำรุงสุข ช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับความลำบากเท่านั้น
เพียงแค่ได้เห็นพระองค์ท่านโบกพระหัตถ์ให้ หรือแม้แต่การได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ในขณะแย้มพระสรวลน้อย ๆ ในขณะที่หูได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมี  คนไทยเราก็สามารถเกิดภาวะ “ปีติ” นี้ได้เช่นกัน

อย่าว่าแต่การได้เห็นพระองค์ท่านเลย  ผู้เขียนเองและเชื่อว่าชาวไทยแทบทุกคนที่ไปรอเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จอยู่ริมถนนก็เคยเกิดสภาวะ “ปีติ” น้ำตาไหลจากการเพียงได้เห็นรถพระที่นั่งประดับธงประจำพระองค์วิ่งช้า ๆ มาแต่ไกลแล้ว


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 13:53
ถึงแม้วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแค่ได้เห็นเพียงรถพระที่นั่งพร้อมธงประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังเคลื่อนที่มาช้า ๆ พวกเราคนไทยก็เกิดปีติตื้นตันน้ำตาไหลได้แล้ว แต่พุทธศาสตร์สามารถอธิบายได้

นั่นคือ จิตมนุษย์นั้นเป็น “ธาตุรู้” พูดง่าย ๆ ก็คือ จิตเราสามารถ “รับรู้” ได้ถึง “พระเมตตา” ที่มีต่อพวกเราตลอดมาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ไม่ว่าในวินาทีนั้นสายตาเราจะกำลังเห็นภาพของพระเมตตาอยู่หรือไม่ก็ตาม!

พระเมตตาที่บางท่านอาจยังไม่รู้

พระเมตตานั้นลึกซึ้งกว่าที่เราเห็นด้วยตาจากพระราชกรณียกิจที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงช่วยราษฎรตามถิ่นทุรกันดารมากมายนัก เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง “เจริญเมตตาภาวนา” ให้พสกนิกรและสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่เสมอด้วย

การเจริญเมตตาภาวนา  คือการตั้งจิตเป็นสมาธิ ส่งความเมตตาปรารถนาดีอยากเห็นผู้อื่นเป็นสุขที่ส่งออกมาจากหัวใจอย่างไร้เงื่อนไขและไม่ปรารถนาสิ่งใดตอบแทน

จากการศึกษาคำปรารภของเหล่าพระอริยสงฆ์ของไทยทุกองค์ที่พูดถึงพระองค์ท่าน ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญเมตตาภาวนาเพื่อพวกเราทุกวันอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ในทุกๆวันพระ (อย่างน้อยในช่วงก่อนที่จะมีพระชนมพรรษามากขึ้นและทรงพระประชวร) ก็ยังทรงรักษาอุโบสถศีล หรือศีล ๘  และทรงอธิษฐานบุญกุศลนั้นให้พสกนิกรอย่างพวกเราทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขอีกด้วย



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 13:54
“จิต” รู้ แม้ “สมอง” ยังไม่รู้!

เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงยอมสละความสะดวกสบายส่วนพระองค์ งดพระกระยาหารเย็น งดเว้นมหรสพในวันพระ รักษาศีลเจริญภาวนา เพื่อที่จะทรงอธิษฐาน “ยกส่วนบุญกุศลนั้นให้ประชาชนทุกคน” มาเป็นเวลาหลายสิบปีนั้น  “จิต” ซึ่งเป็นธาตุรู้ของพวกเราต้องรับรู้ได้แน่นอน


“จิต” ของพวกเราทุกคนได้รับพระเมตตาและพระกุศลที่ทรงอุทิศให้พวกเรามาโดยตลอด  ดังนั้นจิตจึง “รู้” และ “จำได้”
ถึงแม้ “สมอง” ของพวกเราจะยังไม่เคยทราบเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนก็ตาม!

และนั่นคือคำอธิบายทางพุทธศาสตร์ว่า  “ทำไมเราถึงตื้นตันน้ำตาไหลเมื่อเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ต.ค. 16, 13:59
เจ้าประคุณเอ๋ย อย่างนี้นี่เอง

ผมได้สัมผัสกระแสพระเมตตานี้มาตั้งแต่เด็กจนแก่ ทำไมจิตของผมจึงจะไม่รับรู้และเกิดปฏิกิริยาสนองตอบตามหลักพุทธศาสตร์ดังว่า



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ต.ค. 16, 09:48
เมื่อจบชั้นประถมแล้ว ผมย้ายไปเรียนชั้นมัธยมหนึ่งที่วชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำที่พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้นแทนการสร้างวัดประจำรัชกาลที่ ๖ นักเรียนโรงเรียนนี้ถูกปลูกฝังจิตสำนึกตามพระบรมราโชวาทที่ล้นเกล้าฯพระราชทานในไว้คราวเสด็จมาที่โรงเรียนครั้งหนึ่ง ความสำคัญที่สุดมีว่า “…เจ้าเหล่านี้ข้าถือเหมือนลูกของข้า ส่วนตัวเจ้า เจ้าก็ต้องรู้สึกว่าข้าเป็นพ่อเจ้า…”
ซึ่งผมได้ฟังท่านผู้บังคับการท่านกล่าวอบรมนักเรียนบนหอประชุมตั้งแต่วันแรกๆที่เข้าไปเป็นลูกวชิราวุธ

ในโรงเรียนใหม่ของผมมีพระบรมฉายาลักษณ์ทั้งภาพถ่ายและภาพเขียนของพระผู้พระราชทานกำเนิดหลายภาพ แต่ภาพที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงพระเมตตาตามความหมายในพระราชดำรัสข้างต้น เป็นภาพของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ครับ



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ต.ค. 16, 09:59
ภาพข้างบนนี้ถ่ายเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ผมจะเข้า พี่ๆในรูปบางคนก็ยังเรียนอยู่  ผมชอบไปยืนพินิจดูด้วยหัวใจพองโต ในใจก็คิดไปเรื่อยว่าเมื่อไหร่ผมจะมีบุญวาสนาอย่างพวกโตๆเขาบ้าง

การอยู่โรงเรียนประจำในเมื่อแรกเข้านั้น มีความทุกข์เสียแทบจะหาความสุขไม่ได้เลย แต่ผมอดทนที่จะอยู่ที่นั่นเพราะหวังว่าวันหนึ่งผมจะมีโอกาสได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวใกล้ๆ เพราะครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นท่านที่หัวหินคราวนั้น ท่านอยู่ไกลสุดสายตาเหลือเกิน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ต.ค. 16, 10:04
ในภาพอาจจะไม่ชัดว่าเด็กกำลังทำอะไรซึ่งพระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระทัยใส่ แต่ภาพนี้คือผลลัพท์จากพระเมตตาของพระองค์ท่านครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ต.ค. 16, 11:17
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จกลับเมืองไทยหลังที่ทรงสำเร็จการศึกษาแล้วนั้น แต่แรกทรงมีเวลาว่างมากเพราะรัฐบาลต้องการให้ทรงอยู่เฉยๆ แต่ธรรมชาติอย่างพระองค์มีหรือที่จะเป็นเช่นนั้น วันหนึ่งขณะประทับอยู่ที่พระตำหนักสวนจิตรลดา ทรงแว่วเสียงดนตรีที่นักเรียนวชิราวุธซ้อมเดินแถว คือสมัยโน้นบ้านเมืองมันเงียบน่ะครับ รถรายังโล่งบนถนนไม่ส่งเสียงกระหึ่มเมืองเหมือนทุกวันนี้ เสียงปี่เสียงแตรที่นักเรียนเป่าลอยถึงพระกรรณแล้วทรงทนไม่ได้

ท่านผู้บังคับการถึงกับรีบวิ่งออกมาจากบ้าน เพื่อคอยรับเสด็จเมื่อราชองครักษ์นำพระราชกระแสมาแจ้งว่าพระเจ้าอยู่หัวกำลังจะเสด็จพระราชดำเนินมาที่โรงเรียน อย่าเพิ่งให้เด็กเลิกแถวไปก่อน แล้วไม่นานนัก ทุกคนก็เห็นรถสีเทาคันเล็กๆที่ทรงขับมาด้วยพระองค์เองตามลำพังวิ่งเข้ามาในโรงเรียน
ทรงให้เด็กบรรเลงพร้อมกันอีกครั้ง แล้วพระราชดำเนินไปทั่วทั้งวงเพื่อทอดพระเนตร แล้วทรงมีกระแสรับสั่งกับท่านผู้บังคับการอยู่นานก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ คราวนั้น ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สั่งเครื่องดนตรีใหม่ทั้งวงมาพระราชทานให้แก่โรงเรียน และทรงส่งครูดนตรีจำนวนหนึ่งมาฝึกสอนให้นักเรียนด้วย

ในภาพที่ทรงดนตรีกับวงหัสดนตรี หรือวงแจ๊สของนักเรียนวชิราวุธที่สวนอัมพรนั้น คือจุดประกายที่จะเกิดวันทรงดนตรีที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยอื่นๆในกาลต่อมา
และนักดนตรีวง อ.ส. ที่ไปร่วมในวันทรงดนตรีตามมหาวิทยาลัยนั้น บางคนคือนักเรียนเก่าวชิราวุธในภาพข้างบนที่เป็นนักดนตรีสมัครเล่นระดับมืออาชีพด้วยครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ต.ค. 16, 11:35
หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว งบประมาณส่วนพระมหากษัตริย์ถูกผันไปใช้ส่วนอื่นจนไม่เพียงพอจะทำนุบำรุงสถาบันให้สมพระราชฐานะได้ พระราชวังและพระอารามหลวงถูกทิ้งให้ชำรุดทรุดโทรม วชิราวุธวิทยาลัยมีมรดกที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไว้ เป็นที่ดินบริเวณถนนราชดำริ ทรงให้พระคลังข้างที่บริหารจัดการหาผลประโยชน์มาทำนุบำรุงโรงเรียน แต่เงินที่โรงเรียนได้รับแต่ละปีไม่พอ ค่าเล่าเรียนที่เก็บจากผู้ปกครองก็ได้เต็มที่เพียง ๑ ใน ๓ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด(แม้ปัจจุบันก็มีสัดส่วนประมาณนี้เช่นกัน) เวลานั้น อาคารของโรงเรียนบางส่วนจึงยังเป็นเรือนไม้หลังคาจาก ตึกสำคัญที่โดนระเบิดสมัยสงครามยังไม่มีเงินจะซ่อม ดังนั้น การที่โรงเรียนมีเครื่องดนตรีระดับงานวัดให้นักเรียนเล่นได้ก็ดีถมแล้ว  

เรือนจากที่เห็นยาวเหยียดนั้น คือคณะดุสิตที่เป็นที่อยู่ที่กินของผมถึง ๔ ปีเต็มๆ ก่อนที่อาคารหลังใหม่จะสร้างแล้วเสร็จแทนอาคารคณะดุสิตเดิมที่โดนระเบิดพัง เหลือเสี้ยวเดียวให้เห็นทางขอบซ้ายบนของพื้นที่โรงเรียน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 24 ต.ค. 16, 00:24
ขอเรียนถามว่าทำไมโรงเรียนวชิราวุธถึงมีธรรมเนียมให้นักเรียนช่วยกันดุนท้ายรถพระที่นั่ง (ขณะกำลังเสด็จกลับ) ถึงแม้ว่ารถยนต์พระที่นั่งจะแล่นได้เองเป็นปกติดีก็ตาม
...
ผมได้แต่เดาเอาเองว่า  ครั้งหนึ่งอาจเคยมีเหตุรถยนต์พระที่นั่งเสีย ไดสตาร์ตไม่ทำงาน  คณะนักเรียนจึงได้ถวายงานดุนท้ายรถพระที่นั่ง  เลยกลายเป็นธรรมเนียมส่งเสด็จนับแต่นั้นมา  ไม่ทราบว่าผมมั่วไปเองหรือเปล่าครับ?


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 24 ต.ค. 16, 06:52
ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับยืนทอดพระเนตรนักเรียนเล่นดนตรีนั้น ทพ.วัชรินทร์  มรรคดวงแก้ว ผู้ถ่ายภาพเล่าว่า เป็นภาพถ่ายในงานวันประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วงหัสดนตรี (แจ๊ซ) นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยไปบรรเลงถวายที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 24 ต.ค. 16, 07:02
ธรรมเนียมนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเข็นรถยนต์พระที่นั่งนั้น  จมื่นอมรดรุณาลักษณ์ (อจ่ม  สุนทรเวช) นักเรียนเก่าสมัยมหาดเล็กหลวงเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งรัชกาลที่ ๖ เสด็จฯ งานโรงเรียน  ตอนจะเสด็จฯ กลับนักเรียนกรูกันเข้าเข็นรถยนต์พระที่นั่งส่งเสด็จจนพ้นประตูโรงเรียน  รุ่งขึ้นจึงมีพระราชกระแสลงมาที่ผู้บังคับการโรงเรียนให้รักษาเป็นประเพณีมาจนถึงทุกวันนี้

เรื่องเข็นรถยนต์พระที่นั่งนี้สันนิษฐานว่า มาจากธรรมเนียมตะวันตกที่แสดงความจงรักภักดีด้วยการปลดม้าที่เทียมรถ  แล้วผู้ที่มาชุมนุมกันอยู่ที่นั้นช่วยกันฉุดลากรถแทนม้าเทียมรถไปยังสถานที่หนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง  แต่เวลาเสด็จฯ ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงหรือวชืราวุธวิทยาลัยในปัจจุบันนั้น  ทรงรถยนต์พระที่นั่งซึ่งไม่มีม้าเทียม  นักเรียนจึงแสดงความขงรักภักดีด้วยการเข็นรถพระที่นั่ง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Onsiri C. ที่ 24 ต.ค. 16, 07:34
กราบขอบพระคุณท่านนวรัตนอย่างสูง ที่กรุณาแชร์ความทรงจำอันมีค่า ให้ได้เห็นพระจริยวัตรอันงดงามในอีกมุมหนึ่งที่ไม่ได้เห็นในข่าวทั่วไป ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับพระองค์อีกนิด เป็นบุญเหลือเกินค่ะ _/\_


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ต.ค. 16, 08:42
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและชวนสนทนา

ผมเข้าโรงเรียนนี้ก่อนอาจารย์วรชาติหลายปีดีดักอยู่ แต่ตำนานเก่าๆของโรงเรียนนั้น ที่รู้ก็เพราะอ่านข้อเขียนบทความที่น้องเข้าค้นคว้าไว้ ในส่วนของผมเองมีแต่ประสบการณ์ที่ได้มาจริงๆ
อย่างเช่นเรื่องเข็นรถพระที่นั่งนี้ ปีแรกที่ผมเป็นนักเรียน ปลายปีพระพุทธเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา และทอดพระเนตรกิจกรรมต่างๆที่โรงเรียนจัดถวาย จบลงด้วยการแข่งขันกรีฑารอบชิงชนะเลิศระหว่างคณะหน้าพระที่นั่ง กว่าจะเสด็จกลับก็ใกล้ตะวันชิงพลบเต็มที่

อาจจะตอนสมัยผมเข้าไปนั้นนักเรียนไม่มาก และพวกโตๆไปติดกิจกรรมหน้าพระที่นั่งกันหมด โรงเรียนจึงกำหนดให้คณะเด็กเด็กมายืนรายสองข้างถนนเพื่อส่งเสด็จ

ผมยืนอยู่กลางๆค่อนข้างจะปลายแถวก่อนจะถึงประตูที่เสด็จออก พอได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมีก็ยืนตรงกระทำวันทยาหัตถ์ตามที่ครูฝึกไว้ แต่ก็หันหน้าไปมองเห็นรถพระที่นั่งคันโตสีเหลืองอ่อนค่อยๆเคลื่อนที่มาช้าๆ มีนักเรียนเข็นถวายมากลุ่มใหญ่ พอเพลงสรรเสริญพระบารมีจบลง เห็นพวกที่ยืนตาเบ๊ะอยู่เริ่มแตกแถวไปช่วยเข็นบ้าง แต่ส่วนใหญ่ยังคงยึกยักๆอยู่ไม่รู้เพราะอะไร เมื่อรถพระที่นั่งใกล้เข้ามาผมใช้เวลาเสี้ยววินาทีตัดสินใจวิ่งไปหน้ากลุ่มเขา มือทั้งสองแปะลงที่ด้านข้างของประตูรถด้านหลัง ได้ก่อนที่พวกแตกแถวคนอื่นๆจะเข้ามากันอีก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ต.ค. 16, 08:43
นี่ไม่ใช่รูปผมนะครับ แต่ผมก็ตัวประมาณนี้แหละ เอามาให้ชมพอเห็นบรรยากาศร่วมสมัย

ส่วนรถพระที่นั่งไม่ใช่ค้นนี้ ผมจำได้ว่าเป็นคันที่มีหลังคาคลุมทั้งหมด


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ต.ค. 16, 09:12
พระพุทธเจ้าอยู่หัวโน้มพระวรกายมาทางกระจกรถด้านที่ผมเข็นอยู่ ผมเห็นพระพักตร์และรอยแย้มพระสรวลน้อยๆ ทรงโบกพระหัตถ์และชี้นิ้วไปทางด้านหลังที่พี่ๆเขาเข็นกันอยู่ ผมเห็นพระเนตรแล้ว พระองค์ท่านทรงส่งสัญญาณมาที่ผมแน่นอน ผมตกใจตัวร้อนฉ่า รีบปล่อยมือผละออกไปอย่างว่าง่าย ตอนนั้นแนวแถวหลังจากรถพระที่นั่งเคลื่อนผ่านไปแล้วสลายหมด หลายคนวิ่งตามดันหลังเพื่อนคนหน้าไปเป็นขบวนใหญ่  ผมไม่ได้เข้าไปต่อกับเขาเพราะมือเท้าอ่อน นี่ผมได้กระทำความผิดอย่างฉกรรจ์ลงไปแล้ว

ในปีต่อมา ท่านผู้บังคับการกล่าวบนหอประชุมก่อนจะเริ่มซ้อมรับงานกรีฑา เกริ่นว่าปีที่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงปรารภว่าเด็กๆเข้าไปเข็นรถพระที่นั่งมาก ทรงเป็นห่วงว่าจะเกิดพลาดพลั้ง หกล้มลงไปแล้วล้อรถพระที่นั่งจะทับเอาเป็นอันตราย
ผมได้ยินก็ขนหัวลุก ทราบทันทีว่าพระองค์ท่านหมายถึงผม

โรงเรียนได้เปลี่ยนวิธีการต่างๆรัดกุมขึ้นมาอีกมาก ในปีนั้นและปีต่อๆไป การเข็นรถพระที่นั่งส่งเสด็จดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี ผมจึงแอบภูมิใจว่านี่น่ะผมมีส่วนร่วมอยู่ด้วยนิดๆ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ต.ค. 16, 09:21
เรื่องนี้ติดตราตรึงใจผมมาตลอดและคงจะจำได้ชั่วชีวิต ได้ยินท่านผู้บังคับการพูดวันนั้นแล้วรู้สึกว่าตนพ้นบาป พระองค์ท่านมิได้ทรงตั้งใจจะดุผม แต่ทรงเป็นห่วงว่าผมจะเป็นอันตรายด้วยพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 24 ต.ค. 16, 10:19
นักเรียนชั้นเล๋กยืนรายทางส่งเสด็จ  แล้วแตกแถวเข้าเร่วมเข็นรถยนต์พระที่นั่งมีมาถึงรุ่นผมครับ  เหมือนกับถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นครับ  เวลาเข้าไปใกล้ประตูรถยนต์พระที่นั่งจะสังเกตเห็นได้ว่าในหลวงทรงแสดงความห่วงใยอย่างที่ท่าน Navarat Cใ กล่าวไว้ข้างต้น  แต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ จะทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ให้เด็กๆ ด้วยทรงพระเมตตาเสมอ

รถยนต์พระที่นั่งองค์ที่เสด็จโรงเรียนตั้งแต่ปีแรกจนปีสุดท้ายที่เสด็จโรงเรียนตอนผมเรียน ม.ศ. ๕ เป็นรถยนต์พระที่นั่งเดมเลอร์องค์เดิมมาตลอดครับ  เรื่องนี้ผมเคยถามสารถีรถยนต์พระที่นั่งตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนครับ  ที่เห็นแปลกเป็น ๒ องค์นั้นเพราะภาพเสด็จโรงเรียนในช่วงก่อนหน้านั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดประทุนท้ายรถพระที่นั่งครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: DrJfk ที่ 24 ต.ค. 16, 16:53
ไม่ทราบธรรมเนียมเข็นรถพระที่นั่ง นี่ เลิกไปนานหรือยังครับ

เสียดายนะครับเป็น ประเพณี ที่น่ารัก มากๆเลยทีเดียว

ขอบคุณที่คุณนวรัตน์ เก็บมาเล่าให้ฟัง ครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 24 ต.ค. 16, 17:10
คุณ navarat เล่าว่า "ย้ายไปเรียนชั้นมัธยมหนึ่งที่วชิราวุธ"  อันนี้หมายถึงประถม5ในปัจจุบันหรือเปล่าครับ?
และได้เล่าว่าอยู่ "คณะดุสิต"  อันนี้ทำให้ผมฉุกคิดถึงโรงเรียนพ่อมดฮอกวอร์ต  ที่ประกอบด้วยบ้านสลิธีริน-กริฟฟินดอร์-เรเวนคลอ-ฮัฟเฟิลพัฟ  ผมจึงสงสัยว่าภายในโรงเรียนวชิราวุธประกอบด้วยคณะต่างๆแบบฮอกวอร์ตหรือเปล่าครับ? 
มีการแข่งขันกันทั้งด้านการเรียน-กิจกรรม-วินัย-กีฬา  เพื่อชิงรางวัลบ้านดีเด่นประจำปีหรือเปล่าครับ? 
และวชิราวุธประกอบด้วยคณะอะไรบ้างครับ?


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 24 ต.ค. 16, 18:09
คุณพี่ Navarat C. ยังไม่มาตอบ  น้องน้อยอย่างผมขออนุญาตตอบคุณหมอ JFK ว่า ธรรมเนียมเข็นรถพระที่นั่งยังคงปฏิบัติในวันเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลมาจนถึงทุกวันนี้ครับ  แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมิได้เสด็จฯ ด้วยพระองค์เองก็ตาม

ส่วนคำถามของคุณธสาคร  ตอบได้ว่า คำว่า "คณะ" ในวชิราวุธวิทยาลัยมีที่มาจากคำว่า "House" ซึ่งเป็นที่พักของนักเรียนในพับลิคสกูล  แต่ของเราเรียก "คณะ" แทน "บ้าน" เพราะล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ มีพระราชประสงค์ให้โรงเรียนนี้เป็นประดุจพระอารามหลวงประจำรัชกาล  จึงทรงกำหนดให้บ้านของพับลิคสกูลเป็น "คณะ" ซึ่งหมายถึงกุฎีสงฆ์ในพระอาราม

คณะในวชิราวุธวิทยาลัยยุคท่านพี่  Navarat C. และผมนั้นมี ๗ คณะ ประกอบด้วย คณะเด็กโต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยม คือคณะที่อยู่ ๔ มุมโรงเรียน มี ๔ คณะ คือ คณะผู้บังคับการ ดิคสิต จิตรลดา และพญาไท  ชื่อคณะผู้บังคับการดิดมาจากพับลิตสกูล หมายถึงคณะของครูใหญ่ที่เรียกว่า School House  แต่ที่วชิราวุธวิทยาลัยนั้นครูใหญ่เรียกว่า ผู้บังคับการ  คณะของผู้บังคับการจึงเป็นคณะที่มีผู้บังคับการเป็นครูกำกับคณะ หรือ House Master โดยตำแหน่ง  ส่วนชื่อ ดุสิต จิตรลดา พญาไท นั้นมาจากนามพระราชฐานที่ประทับในรัชกาลที่ ๖ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว  คือ พระราชวังดุสิต  พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน  และพระราชวังพญาไท

คณะเด็กเล็ก สำหรับนักเรียนชั้นเล็ก คือชั้นประถม ๓ - ประถม ๙ หรือจะเรียกว่าคณะนอกก็พออนุโลมได้  เพราะอยู่อีกฝั่งถนนที่ริมถนนสุโขทัย  ประกอบไปด้วย คณะเด็กเล็ก ๑ - ๒ - ๓  ต่อมาเปลี่ยนเป็นคณะสนามจันทร์  นันทอุทยาน  และสราญรมย์  นามทั้งสามนี้มาจากที่ประทับในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระยุพราช  คือ พระราชวังสนามจันทร์  พระตำหนักนันอุทยาน  สองพระราชฐานนี้อยู่ที่จังหวัดนครปฐม  และพระราชวังสราญรมย์

ต่อมาในสมัย ดร.ชัยอนันต์  สมุทวณิช ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย  คณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยพิจารณาเห็นว่านีกเรียนในแต่ละคณะอยู่กันแออัดเกินไป  จึงได้อนุมัติให้จัดสร้างคณะเด็กโตเพิ่มเติมอีก ๔ คณะที่ริมสนามด้านหลังโรงเรียน  เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศได้พระราชทานนามคณะใหม่นั้นว่า จงรัก  ภักดี  ศักดิ์ศรี  มงคล  แต่เนื่องจากการกระจายนักเรียนออกไปอีก ๔ คณะนั้น  ทำให้นักเรียนในแต่ละคณะเหลือจำนวนน้อยลงเกินกว่าที่จะจีดทีมกีฬาได้  จึงต้องรวมคณะใหม่ ๔ คณะนั้นเข้าด้วยกันเป็น ๒ คณะ คือ จงรักภักดี  และศักดิ์ศรีมงคล

สำหรับคำถามอื่นๆ ของตุณธสาคร  ขอยกไว้ให้คุณพี่ Navarat C. เป็นผู้ตอบจะได้อรรถรสกว่าครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 24 ต.ค. 16, 18:58
บ่ายวันนี้ฟังรายการของคุณฟองสนาน  จามรจันทร์ สนทนากับคุณกิติพัฒน์  ศรีหิรัญกุลทางวิทยุ  คุณฟองสนานท่านเล่าถึงเรื่องการเข็นรถยนต์พระที่นั่งที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  คราวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเสด็จทรงดนตรีที่จุฬาฯ  เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ - ๐๓  เป็นความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้ยินก็วันนี้  รบกวนชาวจุฬาฯ อาวุโสฯ กรุณามาขยายความด้วยครับ 


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 24 ต.ค. 16, 19:43
การเข็นรถพระที่นั่งของนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยนั้น แต่แรกเริ่มและดั้งเดิมนั้นจะเข็นเป็นระยะทางเพียงใดก็มิทราบ แต่ในสมัยที่ย้ายจากคณะเด็กเล็ก(เด็กเล็ก 1,2,3)เข้ามาอยู่คณะใน(ผบก. ดุสิต จิตรลดา พญาไท)แล้ว  จำได้ว่าการเข็นรถได้กระทำกันไปจนถึงประตูรั้วของโรงเรียนด้านคณะจิตรลดา (มุมของโรงเรียนด้านสี่แยกพระราชวังสวนจิตรลดา / สวนสัตว์ดุสิต)  ต่อมาก็กระทำได้กระทำเพียงระยะทางสั้นๆบนถนนวงกลมหน้าหอประชุม ซึ่งคงเป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากกรณีที่คุณ NAVARAT C. เล่ามา   


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ต.ค. 16, 20:22
เข้ามาสนทนาในช่วงนี้ก่อนที่จะดำเนินเรื่องต่อครับ
มีคำถามหนึ่งที่คุณธสาครถามว่า ที่ผมเล่า "ย้ายไปเรียนชั้นมัธยมหนึ่งที่วชิราวุธ"  อันนี้หมายถึงประถม5ในปัจจุบันหรือเปล่าครับ? ไม่มีใครตอบตรงๆ ผมขอทำให้ชัดเจนว่า ใช่ ครับ

ส่วนเรื่องนิสิตเข็นรถพระที่นั่งถวายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น ผมไม่เคยได้ยิน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยมีการกระทำนั้นะครับ ขอร่วมแสดงความคิดว่าถึงหากเคยก็คงสักครั้งสองครั้งแล้วไปไม่รอด เพราะจำนวนนิสิตของจุฬามหาศาลเมื่อเืัยบกับวชิราวุธ แล้วยังมีนิสิตหญิงอีก อ้าว ทำไมผู้หญิงจะเข็นรถพระที่นั่งถวายไม่ได้ละครับ ไม่ได้ออกแรงอะไรเลย เกาะๆตามกันไปเฉยๆ



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 24 ต.ค. 16, 20:30
เมื่อโตขึ้นก็ได้มีโอกาสเข็นรถยนต์พระที่นั่งเดมเลอร์ ทะเบียน ร.ย.ล. 1 องค์นี้  มีความรู้สึกว่าตั้งแต่เริ่มสัมผัสกับตัวรถพระที่นั่ง ออกแรงเข็น จนกระทั่งรถพระที่นั่งเคลื่อนที่ไปสุดปลายนิ้ว  เป็นความรู้สึกที่เสมือนกับการสัมผัสกับปุยนุ่น  ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีความรู้สึกสัมผัสกับวัตถุที่แข็งกระด้าง มีแต่ความรู้สึกที่นุ่มนวลและความบางเบา    เมื่อได้นึกย้อนดูก็พอจะเข้าใจได้ว่า ดั่งครุฑพาห์ของพระองค์ท่านทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์    


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: DrJfk ที่ 24 ต.ค. 16, 20:51
ขอบคุณคำตอบ และรอฟังต่อครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 25 ต.ค. 16, 02:33
ขอบคุณคำตอบของคุณ V_Mee และคุณ NAVARAT.C ที่เล่าสู่กันฟังครับ
การแบ่งเป็นคณะๆเช่นนี้  ฟังดูแปลกมากในแง่การบริหารจัดการ  หวั่นใจว่าจะเกิดบรรยากาศ "เกาเหลา" ระหว่างแต่ละคณะ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ต.ค. 16, 05:55
ไม่มีหรอกครับ วชิราวุธแบ่งนักเรียนเป็นคณะเพื่อเล่นกีฬากัน เราแข่งกีฬาทุกประเภทตั้งแต่แบดมินตันไปจนถึงฟุตบอลหรือรักบี้ เวลาแข่งเอาจริงเอาจังกันมาก เพราะใครชนะเลิศแต่ละประเภทจะได้รับพระราชทานถ้วยรางวัลจากพระหัตถ์(สมัยผม) แต่รู้แพ้รูชนะแล้วก็เลิกกันไป ไม่มีเก็บมาคิดมาแค้น

เพื่อนวชิราวุธนี้รักกันมาก และรักข้ามรุ่นไปแบบว่าไม่ทันเห็นหน้าค่าตากันเลย พอรู้จักกันปุ๊บก็เป็นพี่เป็นน้องขึ้นมาทันที
เพื่อนลูกชายเคยถาม จะให้เขาเรียกผมว่าคุณอาหรือพี่ ผมก็บอกให้เรียกพี่ซิ เขาก็เรียกผมว่าพี่ จนลูกชายผมต้องถามเขาว่านี่ข้าต้องเรียกเอ็งว่าคุณอาหรือเปล่า



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ต.ค. 16, 06:07
ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯพระราชทานแก่นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๗๕ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองหมาดๆมาให้อ่าน

"เมื่อเราจะปกครองแบบรัฐสภาแล้ว  ก็ต้องมีคณะการเมืองเป็นธรรมดา  เกมการเมืองก็ย่อมต้องมีกฎของเกมเหมือนกัน  ถ้าเราเล่นผิดกฎการเมืองก็ย่อมจะมีผลเสียหายได้มากทีเดียว  เพราะการปกครองแบบเดโมคราซีย่อมต้องมีการแพ้และชนะ  ซึ่งถือเอาตามเสียงของหมู่มากว่าฝ่ายใดแพ้และชนะ  เพราะคณะการเมืองย่อมมีความเห็นต่างๆ กันเป็นธรรมดา  ต่างฝ่ายก็ต้องมุ่งที่จะให้หมู่มากเห็นด้วยกับตน  และเลือกตนเข้าเป็นรัฐบาล  ฝ่ายไหนประชาชนส่วนมากเห็นด้วยฝ่ายนั้นก็เป็นผู้ชนะ 
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อเวลาจะพูดชักชวนให้ประชาชนลงความเห็นด้วยกับตนนั้น  ถ้าเราใช้วิธีโกงต่างๆ เช่นติดสินบนหรือข่มขืนน้ำใจ ก็ต้องเรียกว่าเล่นผิดเกมการเมืองโดยแท้  ต้องพูดให้คนอื่นเห็นตามโดยโวหารและโดยชอบธรรมจึงจะถูกกฎของเกม 
การปกครองแบบเดโมคราซีนั้น  ผู้ที่ชนะแล้วได้เข้ามาปกครองบ้านเมือง  ก็ควรจะต้องนึกถึงน้ำใจของฝ่ายน้อยที่แพ้เหมือนกัน  ไม่ใช่ว่าเราชนะแล้วก็จะหาวิธีกดขี่ข่มเหงผู้ที่เป็นฝ่ายแพ้ต่างๆนานาหาได้ไม่  ย่อมต้องมุ่งปกครองเพื่อประโยชน์ของคณะต่างๆ ทั้งหมด  ส่วนผู้ที่แพ้ก็เหมือนกัน  เมื่อแพ้แล้วก็ต้องยอมรับว่าตนแพ้ในความคิดในโวหาร  แพ้เพราะประชาชนส่วนมากไม่เห็นด้วย  เมื่อแพ้แล้วถ้าตั้งกองวิวาทเรื่อย  บอกว่าถึงแม้คะแนนโหวตแพ้ กำหมัดยังไม่แพ้ เช่นนั้นแล้วความเรียบร้อยจะมีไม่ได้  คงได้เกิดตีกันหัวแตกเต็มไป  ฝ่ายผู้แพ้ควรต้องนึกว่า  คราวนี้เราแพ้แล้วต้องไม่ขัดขวางหรือขัดคอพวกที่ชนะอย่างใดเลย  ต้องปล่อยให้เขาดำเนินการตามความเห็นชอบของเขา  ต่อไปภายหน้าเราอาจเป็นฝ่ายที่ชนะได้เหมือนกัน
 
น้ำใจที่เป็นนักกีฬาที่เป็นของสำคัญอีกอย่างหนึ่ง  ก็คือว่าเราต้องเล่นสำหรับคณะเป็นส่วนรวม  แม้ในโรงเรียนเรานี้แบ่งออกเป็นคณะต่างๆ  เมื่อเล่นแข่งขันในระหว่างคณะ  เราก็เล่นสำหรับคณะของเราเพื่อให้คณะของเราชนะ  แต่เมื่อโรงเรียนทั้งโรงเรียนไปเล่นเกมกับโรงเรียนอื่น  ไม่ว่าคณะใดก็ตามต้องร่วมใจกันเล่นเพื่อโรงเรียนอย่างเดียวเท่านั้น  เวลานั้นต้องลืมว่าเราเคยแบ่งเป็นคณะ  เคยแข่งขันกันมาในระหว่างคณะอย่างไรต้องลืมหมด  ต้องมุ่งเล่นเพื่อโรงเรียนอย่างเดียวเท่านั้น 

สำหรับประเทศชาติความข้อนี้เป็นของสำคัญอย่างยิ่งเหมือนกัน  เพราะตามธรรมดาย่อมต้องมีคณะการเมืองคณะต่างๆ ซึ่งมีความเห็นต่างๆ กัน  แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องนึกถึงประเทศแล้ว  ต่างคณะต้องต่างร่วมใจกันนึกถึงประโยชน์ของประเทศอย่างเดียวเป็นใหญ่  ต้องลืมความเห็นที่แตกต่างกันนั้นหมด  ถึงจะเคยน้อยอกน้อยใจกันมาอย่างไร  ต้องลืมหมด  ต้องฝังเสียหมด  ต้องนึกถึงประโยชน์ของประเทศของตนเท่านั้น  จะนึกเห็นแก่ตัวไม่ได้  อย่างนี้จึงจะเรียกว่ามีใจเป็นนักกีฬาแท้  เป็นของจำเป็นที่จะต้องปลูกให้คนมีน้ำใจอย่างนั้น  จึงจะปกครองอย่างแบบเดโมคราซีได้ดี"   



ท่านคงจะเข้าใจได้ว่า การขาดการศึกษาของชาตินั้นไม่ได้มีความหมายแค่ให้อ่านออกเขียนได้ แต่ต้องให้พื้นฐานของสังคม อันเป็นรากแก้วของความเป็นประชาธิปไตย ดังที่อังกฤษเขาปลูกฝังให้เด็กตั้งแต่ต้นเข้าโรงเรียนเลยทีเดียว



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: DrJfk ที่ 25 ต.ค. 16, 08:47
ไม่มีหรอกครับ วชิราวุธแบ่งนักเรียนเป็นคณะเพื่อเล่นกีฬากัน เราแข่งกีฬาทุกประเภทตั้งแต่แบดมินตันไปจนถึงฟุตบอลหรือรักบี้ เวลาแข่งเอาจริงเอาจังกันมาก เพราะใครชนะเลิศแต่ละประเภทจะได้รับพระราชทานถ้วยรางวัลจากพระหัตถ์(สมัยผม) แต่รู้แพ้รูชนะแล้วก็เลิกกันไป ไม่มีเก็บมาคิดมาแค้น

เพื่อนวชิราวุธนี้รักกันมาก และรักข้ามรุ่นไปแบบว่าไม่ทันเห็นหน้าค่าตากันเลย พอรู้จักกันปุ๊บก็เป็นพี่เป็นน้องขึ้นมาทันที
เพื่อนลูกชายเคยถาม จะให้เขาเรียกผมว่าคุณอาหรือพี่ ผมก็บอกให้เรียกพี่ซิ เขาก็เรียกผมว่าพี่ จนลูกชายผมต้องถามเขาว่านี่ข้าต้องเรียกเอ็งว่าคุณอาหรือเปล่า



รุ่นน้องลูกผม ในเน็ต ก็เรียกผม พี่หมอทุกคน

ต่อไป ต้องให้ลูกๆผมเรียก เพื่อนป้า ลุง กันแล้ว อิๆ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 25 ต.ค. 16, 08:56
มาลงชื่อค่ะ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 25 ต.ค. 16, 11:56
มาขยายความเรื่องระบบการศึกษาของวชิราวุธวิทยาลัยครับ
ระบบการศึกษาที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ พระราชทานเป็นแนวทางไว้ประกอบด้วยหลัก ๓ ประการ คือ
๑. สอนให้เป็นผู้ดี  ผู้ดีในความหมายนี้คือ เป็นผู้รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย  รู้จักเสียสละเพื่อประโยชน์ของหมู่คณะ
๒. สอนให้เป็นผู้มีศาสนา  เพราะมีพระราชดำริว่า คนเราหากไม่มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว  ก็สามารถที่จะกระทำการใดๆ ที่สร้างความเดือดร่อนให้ประเทศชาติหรือหมู่คณะได้มาก
๓ฉ สอนให้เป็นผู้มีความรู้  เพื่อใช้ประกอบอาชีพทำมาหาเลี้ยงตนและครอบครัว

จากหลัก ๓ ประการนั้นมีนักเรียนเก่ารุ่นเดียวกับคุณพี่ Navrat C. และ Naitang  ที่ท่านมีประสบการณ์ทางการศึกษาเป็นทั้งรักษาการอธิการบดี และนายกสภามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  ท่านอธิบายถึงระบบการศึกษาไทยว่า โรงเรียนทั่วไปนั้นนักเรียนไปโรงเรียนก็เรียนกันแต่ในห้องเรียน  โอกาสที่นักเรียนจะพบปะเสวนากันก็มีแต่ในห้องเรียนหรืออย่างมากก็ในระดับชั้นเดียวกัน  ต่างชั้นกันไปแม้เรียนในโรงเรียนเดียวกันยังแทบจะไม่รู้จักกัน  ท่านจึงเรียกว่าการเรียนแบบนี้เป็นการศึกษาแบบแนวนอน

แต่ที่วชิราวุธนั้นเวลาเรียนในห้องเรียน  นักเรียนทุกชั้นต่างก็จะไปเรียนรวมกันในห้องเรียน  แต่เลิกเรียนในครึ่งวันเช้าแล้ว  นักเรียนกลับไปใช้ชีวิตที่คณะซึ่งมีนักเรียนต่างชั้นกัน  ทั้งยังมีนักเรียนอาวุโสเป็นหัวหน้าปกครองนักเรียนในคณะ  นักเรียนวชิราวุธจึงมีโอกาสที่จะพบปะสัมพันธ์กับทั้งนักเรียนต่างคณะในชั้นเรียนเดียวกัน  และต่างชั้นกันในเวลาที่อยู่คณะ  ท่านว่าระบบการศึกษาของวชิราวุธนี้มีทั้งแกนตั้งและแกนนอน

ด้วยเหตุที่นักเรียนวชิราวุธมีความสัมพันธ์ทั้งแกนตั้งและแกนนอนดังกล่าว  พอลงสนามแข่งขันกันต่างก็มีเป้าหมายนำชัยชนะกลับสู่คณะของตน  และเนื่องจากกีฬาในวชิราวุธวิทยาลัยมีแข่งขันทั้งประเภททีมและบุคคลหลากหลายประเภทกีฬา  กีฬาประเภททีมมีแข่งทั้งรุ่นใหญ่ กลาง เล็ก ตามขนารูปร่สงของนักเรียน  การแข่งขันกีฬาในวชิราวุธจึงมีตลอดทั้งปีตั้งแต่ต้นปีการศึกษาจนปิดท้ายด้วยการแข่งขันกรีฑาหน้าพระที่นั่งในวันเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลประจำปี  การแข่งขันแต่ละครั้งทุกคนต่างเล่นกันเต็มที่เพื่อนำชัยชนะสู่ของตน  แต่เมื่อไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นเช่นไรเมื่อจบการแข่งขันต่างก็กอดคอจับมือกันฉันท์เพื่อนเหมือนเดิม  ไม่เคยปรากฏว่ากีฬาแพ้แต่คนดูไม่แพ้  และเพราะความสัมพันธ์ทั้งแกนตั้งและแกนนอนดังกล่าว  นักเรียนวชิราวุธจึงนับกันเป็นพี่เป็นน้องแม้จะอายุห่างกันหลายสิบปีก็ยังสามารถคุยกันได้สนุกสนานทุกเวลาที่พบกัน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 25 ต.ค. 16, 12:06
ถ้วยรางวัลการแข่งขันกรีฑาระหว่างคณะในวชิราวุธวิทยาลัย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ พระราชทานไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ต.ค. 16, 17:32
คุณ navarat เล่าว่า "ย้ายไปเรียนชั้นมัธยมหนึ่งที่วชิราวุธ"  อันนี้หมายถึงประถม5ในปัจจุบันหรือเปล่าครับ?

ยุคคุณ NAVARAT.C เป็นเด็กเล็ก    การศึกษาไทยแบ่งเป็น 4-6-2
คือประถม 1-4  ต่อด้วยมัธยมต้น 1-6  และมัธยมปลาย 7-8  ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย
ในยุคที่คุณ NAVARAT.C เป็นวัยรุ่น    การศึกษาไทยแบ่งใหม่เป็น 7-3-2
คือประถม 1-7  ต่อด้วยมัธยมศึกษา 1-3  และมัธยมศึกษา(ตอนปลาย) 4-5   เรียกว่า มศ.
ไม่แน่ใจว่าคุณธสาครทันหรือเปล่านะคะ    ถ้าอายุต่ำกว่า 50 ก็ไม่น่าจะทัน
คงจะอยู่ในยุคปัจจุบัน คือ 6-3-3
คือประถม 1-6   มัธยมต้น 1-3  มัธยมปลาย 4-6   ไม่มีคำว่าศึกษา


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 26 ต.ค. 16, 06:43
ยุคคุณ NAVARAT.C เป็นเด็กเล็ก    การศึกษาไทยแบ่งเป็น 4-6-2
คือประถม 1-4  ต่อด้วยมัธยมต้น 1-6  และมัธยมปลาย 7-8  ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย
ในยุคที่คุณ NAVARAT.C เป็นวัยรุ่น    การศึกษาไทยแบ่งใหม่เป็น 7-3-2
คือประถม 1-7  ต่อด้วยมัธยมศึกษา 1-3  และมัธยมศึกษา(ตอนปลาย) 4-5   เรียกว่า มศ.

ไม่แน่ใจว่าคุณธสาครทันหรือเปล่านะคะ    ถ้าอายุต่ำกว่า 50 ก็ไม่น่าจะทัน
คงจะอยู่ในยุคปัจจุบัน คือ 6-3-3
คือประถม 1-6   มัธยมต้น 1-3  มัธยมปลาย 4-6   ไม่มีคำว่าศึกษา

ของผมเป็น 6-3-3 ยุคต้นๆ  ที่ดูเหมือนว่าตำราประถมจะยังไม่เปลี่ยน (ไม่มีมาลี มานะ) แต่ยังเป็นวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ หน้าที่ ศีลธรรม  มีวิชาเลขในใจด้วยครับ
กระทรวงฯคงจะตัดประถม7ออก  แล้วให้ขึ้นมัธยม1เลย 
ผมเคยเอาตำราประถม7ของพี่ชายมาอ่าน  เนื้อหาแนวเดียวกันเป๊ะ  มีเพิ่มมาอีกนิดหน่อย

เห็นแต่ละท่านงัดใบสุทธิมาแสดงกัน  ผมนี้ลนลานกราบเลยครับ  ขอคารวะผู้อาวุโสทุกท่านครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 16, 07:43
เอาง่ายๆนะครับ สำหรับผมจำง่ายหน่อย เพราะผมขึ้นม. ๑ อายุ ๑๐ ขวบ ปี ๒๕๐๐ ชาวพุทธในเมืองไทยฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในปีนั้น เข้าวชิราวุธเทอมแรกครูจับให้ผมเต็นระบำแขกกับเพื่อนๆรวม ๘ คน แสดงบนเวทีงานรื่นเริงบนหอประชุมใหญ่ในคืนสุดท้ายก่อนปิดภาคต้น ให้นักเรียนกลับบ้านยาว

ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ในกิจกรรมประเภทอย่างนี้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ และมันก็แป็บเดียวแหละครั้บแค่ ๓ นาทีเศษๆ เพลงก็จบผมก็กระโดดหย็องแหย็งเข้าโรงตามกลุ่มเพื่อนไปแล้ว  พวกเต้นระบำแขกคงเส้นไม่ดี ไม่มีรูปให้ผมค้นมาอวดได้ แต่อีกชุดหนึ่งที่คณะเด็กเล็ก ๓ ของผมนำเสนอคือระบำฮาวาย หลานปู่ท่านผู้บังคับการแสดงอยู่ด้วย จึงมีรูปนี้ลงหนังสือ สามารถก๊อบมาให้ดูกับพอได้อารมณ์


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 16, 07:49
การแสดงคืนนั้นส่งผลให้ผมโชคดีอย่างไม่คาดคิด เพราะวันหนึ่งคุณครูบอกว่ามีพระราชกระแสรับสั่งมายังท่านผู้บังคับการ ให้จัดการแสดงของเด็กๆเข้าไปเล่นถวายในวัง ในงานพระราชทานเลี้ยงเป็นการภายในส่วนพระองค์ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

ช่วงสมัยนั้น พระราชโอรสและพระราชธิดายังทรงพระเยาว์อยู่  การแสดงของเด็กๆจึงถูกจัดให้เล่นถวายในรอบหัวค่ำ ก่อนที่สมเด็จเจ้าฟ้าจะต้องเสด็จเข้าบรรทมตามกำหนด หลังจากนั้นจึงจะถึงรายการของผู้ใหญ่ เริ่มต้นพระราชทานเลี้ยงข้าราชบริพารและการแสดงของศิลปินตัวจริง

ท่านผู้บังคับการบัญชาให้การแสดงที่คณะเด็กเล็กเล่นในวันปิดภาค รีบซ้อมหนักเพื่อจะเข้าไปแสดงถวายในวัง ซึ่งคราวนี้ทุกคน รวมทั้งผมตั้งอกตั้งใจซ้อมมาก เพราะครูขู่ว่า ถ้าไม่เนี๊ยบจริงๆจะคัดออก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 16, 07:55
การแสดงคืนนั้นส่งผลให้ผมโชคดีอย่างไม่คาดคิด เพราะวันหนึ่งคุณครูบอกว่ามีพระราชกระแสรับสั่งมายังท่านผู้บังคับการ ให้จัดการแสดงของเด็กๆเข้าไปเล่นถวายในวัง ในงานพระราชทานเลี้ยงเป็นการภายในส่วนพระองค์ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

ช่วงสมัยนั้น พระราชโอรสและพระราชธิดายังทรงพระเยาว์อยู่  การแสดงของเด็กๆจึงถูกจัดให้เล่นถวายในรอบหัวค่ำ ก่อนที่สมเด็จเจ้าฟ้าจะต้องเสด็จเข้าบรรทมตามกำหนด หลังจากนั้นจึงจะถึงรายการของผู้ใหญ่ เริ่มต้นพระราชทานเลี้ยงข้าราชบริพารและการแสดงของศิลปินตัวจริง

ท่านผู้บังคับการบัญชาให้การแสดงที่เด็กเล็กทั้งสามคณะเล่นในวันปิดภาค รีบซ้อมหนักเพื่อจะเข้าไปแสดงถวายในวัง ซึ่งคราวนี้ทุกคน รวมทั้งผมตั้งอกตั้งใจซ้อมมาก เพราะครูขู่ว่า ถ้าไม่เนี๊ยบจริงๆจะคัดออก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 16, 07:57
เมื่อวันสำคัญมาถึง โรงเรียนพาพวกเราสักยี่สิบคนเห็นจะได้ไปถึงสถานที่ที่จะแสดงตั้งแต่หัววัน เพื่อไปซ้อมกับสถานที่จริงให้คุ้นสถานที่ จะได้ไม่ตื่นเวที
ผมเข้าใจว่าสถานที่นั้นคงเป็นโรงเรียนจิตรลดาในระยะที่เริ่มต้นเป็นอนุบาลและประถม พอซ้อมเสร็จก็มาทานอาหารในโรงอาหารด้านหลัง อาการมื้อแรกในวังวันนั้นจำได้ประทับจิตประทับใจ เป็นผัดมักโรนีกับไก่ที่อร่อยที่สุดในสามโลก เกิดมาเพิ่งเคยได้สัมผัสลิ้น เด็กต่างก้มหน้าก้มตาบรรจุลงท้องไม่มีใครพูดใครจา น้ำหวานก็เติมกันแบบไม่อั้น พุงกางกันทุกคน

ยังเหลือเวลาอีกร่วมชั่วโมงแหละครับกว่าจะถึงเวลาแสดง พวกเราก็เดินกันพล่านในบริเวณนั้น เขาห้ามไม่ให้ออกไปภายนอกเด็ดขาด เราจึงสำรวจได้แต่ภายในอาคารนั้นเอง ผมเดินตามกลุ่มเล็กๆมาจ๊ะเอ๋กับห้องน้ำที่เปิดประตูแง้มอยู่  พอดันประตูให้กว้างออก โอ้โห ห้องน้ำสีชมพูหอมฟุ้ง กำลังปวดพอดี อย่ากระนั้นเลย พวกเรามาร่วมกันฉลองการค้นพบครั้งนี้กันสักหน่อยดีกว่า

ระหว่างที่ผมกับเพื่อนๆสองสามคนกำลังยืนรุมโถชักโครกนั้นอยู่อย่างมีความสุข พลันเสียงห้าวๆก็ดังขึ้นที่หน้าประตู จำได้แต่เพียงว่า “…ส่วนพระองค์ ….ห้ามเด็ดขาด …”  แล้วทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์คนนั้นก็สพายปืนเดินเข้ามา เด็กๆแตกฮือ ผมยังปฏิบัติการไปได้ครึ่งเดียว ได้พยายามกระทำการเบรกกลางอากาศอย่างสุดความสามารถแล้ว มันยังได้ผลไม่สมบูรณ์ ทำเอากางกางผมเปียกแฉะไปจนถึงขา ขณะรีบวิ่งออกมาด้วยความตกใจ
 
ทหารไม่ได้จะมาทำร้ายอะไรพวกเราหรอก แกเป็นห่วงส้วมตัวนั้นมากกว่า ผมหนีไปสุดบริเวณจึงเจอห้องน้ำที่เขาจัดไว้สำหรับคนทั่วไป ไปล้างแข้งล้างขาเอาน้ำมาโปะๆให้กางเกงในส่วนที่เปียกเมื่อกี้ชุ่มๆแล้ว ก็ออกมาเดินใจตุ๋มๆต้อมๆข้างนอก หมดความสุข สักครู่เห็นพนักงานผู้หญิงมากันหลายคน ช่วยกันล้างขัดสีฉวีวรรณห้องน้ำสีสมชูนั้นเป็นการใหญ่ ก่อนจะปิดประตูก็ฉีดน้ำหอมเข้าไปอีก แล้วคราวนี้ ได้จัดให้ทหารมหาดเล็กคนหนึ่งยืนเฝ้าประตูไว้เลย
ความกลัวที่ว่า จะมีคนตามหาตัวเด็กที่กางเกงเปียกไปทำโทษก็ค่อยๆคลายลง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 16, 08:12
การแสดงของผมผ่านไปโดยเรียบร้อย ไม่มีใครจับพิรุษได้ว่ากางเกงของผมมีสิ่งผิดปกติ ผมตั้งใจเต้นกระหยองกระแหย็งตามจังหวะเพลงเต็มที่ แต่มองออกไปแทบไม่เห็นคนดูเพราะไฟส่องหน้า

เมื่อการแสดงของนักเรียนวชิราวุธทุกชุดจบลงแล้ว ครูเรียกพวกเราทุกคนไปนั่งคุกเข่าบนเวที แล้วม่านก็เปิดออกพร้อมเสียงปรบมือ  ผมใจเต้นแรงเมื่อเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงจูงพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ และพระราชโอรส เสด็จพระราชดำเนินมาที่หน้าเวที พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงยิ้มน้อยๆอย่างเดียว ในขณะที่ราศีของสมเด็จพระนางเจ้าเปล่งประกายสว่างไสวไปทั่ว ทรงยิ้มอย่างที่มนุษย์และเทวดาเห็นแล้วต้องกลั้นลมหายใจด้วยความตกตะลึงในพระสิริโฉม  ทรงก้าวช้าๆผ่านพวกเราจากขวามาซ้าย พระราชเสาวนีย์ที่ทรงกล่าวว่า “ขอบใจนะจ๊ะ ๆ แสดงดีมาก ฯลฯ” หยุดโลกไว้กับที่ในขณะนั้น
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาหน้าเวทีที่ผมนั่งตะลึงตาค้างอยู่ ทรงอยู่ใกล้มาก ใกล้จนได้กลิ่นพระสุคนธ์ที่หอมชื่นใจ ทรงมองผ่านผมแล้วเอ่ยพระราชสาวนีย์ถามเพือนที่อยู่ถัดไปว่า “หนูชื่ออะไรจ๊ะ”
 
ผมกลั้นลมหายใจ นี่เฉียดไปนิดเดียว ถ้าทรงถามผมๆคงเป็นลม เพื่อนรุ่นพี่ก่อนผมหนึ่งปีคนนั้นยืดกายขึ้นมากราบบังคมทูลเสียงดังฟังชัดว่า “ชื่ออชิรวิทย์ครับ” พระองค์ท่านทรงยิ้มให้อย่างหวาน ทรงกวาดสายพระเนตรมาที่พวกเราอีกครั้งหนึ่งก่อนจะตรัสขอบใจครั้งสุดท้าย แล้วก็ทรงจูงฟ้าหญิงอุบลรัตน์ โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจูงเจ้าฟ้าชายพระราชดำเนินเคียงข้างกลับไปยังโต๊ะเสวย ส่วนท่านผู้บังคับการซึ่งเดินตามเสด็จมาที่เวทีมิได้ไปต่อ แต่มาหยุดยืนที่หน้าอชิรวิทย์สักครู่หนึ่งเพื่อดูหน้าผู้โชคดีที่ได้มีโอกาสเพ็ดทูลตอบพระราชเสวนีย์
แล้วท่านก็กล่าวค่อยๆแต่ดุดันชวนสพรึงว่า “ทำไมไม่พูดพ่ะย่ะค่ะ”
.
.
ปิดฉาก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 26 ต.ค. 16, 18:33
"แล้วท่านก็กล่าวค่อยๆแต่ดุดันชวนสพรึงว่า “ทำไมไม่พูดพ่ะย่ะค่ะ”"  อ่านแค่นี้ยังสยองเลยครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 28 ต.ค. 16, 09:47
"แล้วท่านก็กล่าวค่อยๆแต่ดุดันชวนสพรึงว่า “ทำไมไม่พูดพ่ะย่ะค่ะ”"  อ่านแค่นี้ยังสยองเลยครับ

เพิ่งไปอ่านเจอในเฟซพี่ตั้ว บรรยง พงษ์พานิช หรือไอ้เตาของเด็ก OV บรรยายความถึงท่านเจ้าคุณผู้บัญชาการไว้

.....ท่านเจ้าคุณ"พระยาภะรตราชา" ผู้ที่มักให้โอวาทสั้นๆก่อนแข่งทุกครั้งว่า "กีฬามีแพ้มีชนะ ...แต่วันนี้ ...แพ้ไม่ได้".....

.....ตอน แข่งขันวิ่ง 1,500เมตร กรีฑาทีมนักเรียน ปี 2514 รอบคัดเลือก ผมเข้าที่หนึ่ง ทิ้งห่างที่สองเกือบห้าสิบเมตร
ตอนเข้าเส้นชัยเลยลำพอง วิ่งโบกมือซะร่วมสิบเมตร ตอนเข้าแถวขึ้นรถจะกลับโรงเรียน
ท่านผู้บังคับการ(เจ้าคุณภะรตฯ เจ้าเดิม) ชมทุกคนว่า "วันนี้ทุกคนทำได้ดีมาก"
แล้วปรี่เข้ามาตบหน้าผมหลายฉาด"ยกเว้นเจ้านี่..อวดดี ผยอง ทำท่าทุเรศ น่าเกลียดน่าอาย ขายหน้า เสียชื่อโรงเรียนผู้ดี" .....


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 28 ต.ค. 16, 14:54
.....ท่านเจ้าคุณ"พระยาภะรตราชา" ผู้ที่มักให้โอวาทสั้นๆก่อนแข่งทุกครั้งว่า "กีฬามีแพ้มีชนะ ...แต่วันนี้ ...แพ้ไม่ได้".....

.....ตอน แข่งขันวิ่ง 1,500เมตร กรีฑาทีมนักเรียน ปี 2514 รอบคัดเลือก ผมเข้าที่หนึ่ง ทิ้งห่างที่สองเกือบห้าสิบเมตร
ตอนเข้าเส้นชัยเลยลำพอง วิ่งโบกมือซะร่วมสิบเมตร ตอนเข้าแถวขึ้นรถจะกลับโรงเรียน
ท่านผู้บังคับการ(เจ้าคุณภะรตฯ เจ้าเดิม) ชมทุกคนว่า "วันนี้ทุกคนทำได้ดีมาก"
แล้วปรี่เข้ามาตบหน้าผมหลายฉาด"ยกเว้นเจ้านี่..อวดดี ผยอง ทำท่าทุเรศ น่าเกลียดน่าอาย ขายหน้า เสียชื่อโรงเรียนผู้ดี" .....
เข้มงวด กวดขัน ชวนสะพรึงจริงๆครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 28 ต.ค. 16, 15:01
ผู้บังคับการวชิราวุธ มีราชทินนามพ้องกับ "เรือนภะรตราชา" ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พระยาภะรตราชา(ม.ล. ทศทิศ อิศรเสนา)เคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วง พ.ศ.๒๔๗๒-๒๔๗๕


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 28 ต.ค. 16, 17:30
ท่านผู้บังคับการพระยาภะรตราชา ถึงจะดุแสนสาหัสเพียงไร  แต่ก้านที่น่ารักของท่านก็มีนะครับ
ตอนจะไปสอบ ม.ศ. ๕ ซึ่งจะต้องไปสอบที่สนามกลางของกระทรวงศึกษาธิการ คือ ที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส  (เว้นแต่ปีที่มีพระบรมวงศ์ทรงเข้าสอบจึงจะไปสอบที่โรงเรียนจิตรลดา)
วันแรกที่จะไปสอบท่านจะมาที่หน้าหอประชุมนำนักเรียนถวายบังคมพระบรมรูป  และก่อนรถออกท่านจะเปล่งเสียง "ชโย" ให้นักเรียนทุกปี

ตอนที่เรียนจบมาแล้วเข้าไปกราบท่าน ท่านก็จะสอบถามถึงเพื่อนร่วมรุ่นว่าไปเรียนกันที่ไหน  ผลการเรียนเป็นอย่างไร  แล้วตอนหนึ่งท่านปรารภขึ้นมาว่า การที่จะปกครองพวกเรานั้นกัน (ท่านเรียกตัวท่านเอง) ต้องตีหน้ายักษ์ใส่พวกเรา  มิฉะนั้นจะไม่วามารถปกครองพวกเธอได้


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 ต.ค. 16, 18:58
เห็นรูปแมวแล้วทำให้นึกถึงเพลง "เมื่อแมวหมา" (จำชื่อเพลงจริงๆไม่ได้ครับ) ที่นักเรียนของคณะที่จะแข่งขันกีฬากันจะต้องตั้งขบวนเดินร้องสวนกันผ่านหน้าที่นั่งของประธานในการแข่งขัน ทุกครั้ง

เพลงนี้แต่งโดย ท่านผู้หญิงดุษฎื มาลากุล ณ อยุธยา  จะร้องในทำนองใดก็จำไม่ได้  มีใจความว่า

  เมื่อแมวหมาเล่นกีฬามันท้ากัด จงใจฟัดเหวี่ยงปล้ำขม้ำหมาย แต่พวกเรายุวชนคนผู้ชาย กีฬารายรักเล่นให้เป็นคน
  เมื่อแมวหมาเล่นกีฬามันท้ากัด เพราะเป็นสัตว์ไร้คิดจิตจึงเขว แต่คนดีมีใจไม่รวนเร ย่อมฮาเฮเล่นกีฬาประสามิตร

หากไปถามพวก OV ทั้งหลาย ส่วนมากจะจำเนื้อได้เฉพาะสองถึงสามวรรคแรกเท่านั้น ด้วยว่าพอเดินผ่านประธานไปแล้วก็จะต่างคนต่างดำน้ำหายไปเลย ไม่เคยร้องจบสักครั้ง

จำไม่ได้ว่าจะต้องตั้งแถวเดินร้องเพลงนี้ผ่านหน้าพระพักตร์ก่อนที่จะทรงชมการแข่งขันกรีฑาหรือไม่ คลับคล้ายคลับคลาว่ามีทั้งมีและไม่มี

นำเรื่องนี้มากล่าวเผื่อว่าท่าน NAVARAT.C  จะได้เล่าต่อความเรื่องต่อหน้าพระพักตร์ในเรื่องอื่นๆ ครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 16, 06:44
ผมหยุดไปหลายวันเพราะจิตไม่นิ่งพอที่จะเขียนต่อ เห็นอารมณ์ของตนมันวิ่งไปทางซ้ายทีขวาที บ้างก็ขึ้นๆลงตามเรื่องตามราวที่กระทู้พาไป

ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องราวที่ผมได้มีโอกาสได้สัมผัสละอองธุลีพระบาทพระพุทธเจ้าอยู่หัวในสมัยที่พระองค์ยังทรงเสด็จอยู่ ตามความเป็นจริงที่ได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู บันทึกไว้ให้ลูกให้หลานอ่าน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ตามสถานการณ์มาเปิดเป็นกระทู้ ซึ่งต้องเขียนออกมาตามจิตที่กระทบอารมณ์ในขณะนั้นๆ ส่วนผู้อ่านๆแล้วจะรู้สึกตามไปด้วยหรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุกับปัจจัยหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือความสามารถในการเขียนของผม หรือไม่ก็ความต่อเนื่องของมัน ผู้ที่เข้ามาต่อกระทู้จึงสนทนากันห่างประเด็นหลักออกไปทุกที

ก็ไม่ผิดหรอกครับ ธรรมชาติของการเล่นกระทู้ก็อย่างนี้ ผู้ที่เข้ามาใหม่พึงเข้าใจด้วย

แล้วผมไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนเก่าของผมมากไปกว่าที่ท้องเรื่องที่ทำให้ผมมีโอกาสได้เข้าไปมีประสบการณ์ที่จะนำมาเขียน เรื่องราวในวชิราวุธวิทยาลัยสมัยผมกับคุณนายตั้งเรียนอยู่และท่านผู้บังคับการที่ชื่อพระยาภะรตราชานั้น สามารถเปิดเป็นกระทู้ได้ทั้งที่นี่และที่เว็บของโอวี(นักเรียนเก่าวชิราวุธ) เพียงแต่ว่าโอกาสยังไม่เหมาะสม

เช้านี้ อารมณ์ดูจะไม่แกว่ง พอดีคุณนายตั้งโยนกระทู้ที่ผมจะนำท่านเข้าทางหลักได้ จะขอฉวยโอกาสต่อเรื่อง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 16, 07:07
เพลงเมื่อแมวหมาเล่นกิฬา มีชื่อจริงๆว่า "จรรยานักกีฬา" ประพันธ์เนื้อร้องโดย  ท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา  มาลากุล โดยใช้ทำนองโบราณเรียกว่า ฝรั่งโยสะลัม

เมื่อแมวหมา เล่นกีฬา (ซึ้า เล่นกีฬา) มันท้ากัด
จงใจฟัด เหวี่ยงปล้ำ ขม้ำหมาย
แต่พวกเรา ยุวชน  (ซึ้า ยุวชน) คนผู้ชาย
กีฬาราย รักเล่น (เอ่อ เออ เออ เอ้อ เออ เออ  เออ เอ่อ เอ้อ เออ ) ให้เป็นคุณ

ไม่ทะเลาะ เบาะแว้ง   (ซึ้า เบาะแว้ง) แย่งชนะ
ไม่เกะกะ กวนยั่ว ให้หัวหมุน
เพราะเรามี มารยาท (ซึ้า มารยาท) ชาติสกุล
ไม่หันหุน หยาบคาย(เอ่อ เออ เออ เอ้อ เออ เออ  เออ เอ่อ เอ้อ เออ ) ร้ายเกเร

เมื่อแมวหมา เล่นกีฬา(ซึ้า เล่นกีฬา) มันท้ากัด
เพราะเป็นสัตว์ ไร้คิด จิตจึงเขว
แต่คนดี มีใจ(ซึ้า มีใจ) ไม่รวนเร
ย่อมฮาเฮ เล่นกีฬา(เอ่อ เออ เออ เอ้อ เออ เออ  เออ เอ่อ เอ้อ เออ ) ประสามิตร

ที่คุณนายตั้งจำไม่ได้ว่าจะต้องตั้งแถวเดินร้องเพลงนี้ผ่านหน้าพระพักตร์ก่อนที่จะทรงชมการแข่งขันกรีฑาหรือไม่ มีครับ แต่มีเฉพาะนักกรีฑาที่จะแข่งขันหน้าพระที่นั่งสิบยี่สิบคน ซึ่งคุณกับผมไม่เคยมีโอกาส เลยคลับคล้ายคลับคลาว่าทั้งมีและไม่มี


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 16, 07:18
เพลงนี้พวกโอวีหนุ่มๆนำเอามาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ แล้วเล่นในสไตล์ที่วัยรุ่นชื่นชอบ เอามาใส่ไว้ด้วยพอเป็นแนว

http://www.youtube.com/watch?v=rpsHIcy27FI (http://www.youtube.com/watch?v=rpsHIcy27FI)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 16, 07:49
ผมกับคุณนายตั้งน่าจะมีความทรงจำเดียวกันในเรื่องที่ได้มีโอกาสเห็นพระพุทธเจ้าอยู่หัวปีละสองครั้งเป็นอย่างน้อย คือในวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะมีหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินมาในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย ณ วชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งเสมือนวัดประจำรัชกาลของพระองค์ท่าน

วันนี้ไม่มีรายการเข็นรถพระที่นั่งถวายในขากลับนะครับ เพราะบรรยากาศของงานศักดิ์สิทธิ์มาก

ส่วนวันที่เราเรียกโดยสั้นว่า งานกรีฑานั้น เสด็จพระราชดำเนินมาอยู่นานกว่ามาก หลังจากพระราชทานรางวัลเรียนดีและประกาศนียบัตรแก่นักเรียนผู้จบการศึกษาแล้ว เสด็จลงจากหอประชุมไปยังตึกวชิรมงกุฏ อันเป็นตึกเรียน เพื่อทอดพระเนตรผลงานของนักเรียนในด้านศิลปหัตถกรรม และการทดลองวิทยาศาสตร์

พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงเรียนวิทยาศาสตร์มาก่อนที่จะเปลี่ยนไปเรียนสาขารัฐศาสตร์หลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงสนพระทัยการทดลองของเด็ก ทรงซักถามและบางครั้งก็ทรงสอนเด็กด้วย มีครั้งหนึ่งได้ยินพวกโตๆเล่าว่ามีเด็กทำหลอดเคมีระเบิดระหว่างทดลอง ทรงอยู่ใกล้ขนาดฉลองพระองค์เปื้อนเป็นจุดๆ ก็มิได้แสดงอาการตกพระทัยหรือไม่พอพระทัย แต่ทรงสอนต่ออยู่นาน จำไม่ได้ว่าเด็กที่โชคดีคนนั้นเป็นใคร ข่าวไม่ได้กล่าวถึงว่าหลังจากนั้นแล้วเขาโชคร้ายเมื่อต้องเผชิญกับท่านผู้บังคับการหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าเรื่องเช่นนี้ ท่านคงทำตาถมึงทึงเฉยๆ ไม่ถึงกับเรียกไปเหวี่ยงมือเหวี่ยงไม้

ระดับอย่างผมไม่มีโอกาสแสดงผลงานด้านเรียนถวายทอดพระเนตร ส่วนคุณนายตั้งมีโอกาสนั้นหรือเปล่าผมจำไม่ได้ แต่ผมมีงานเขียนสีน้ำได้รับการคัดเลือกให้ติดแสดงกับเขาด้วยทุกปี แต่เป็นแบบตัวประกอบนะครับ ยุคผมนั้นศิลปินใหญ่ที่มีผลงานทูลเกล้าฯถวายทุกปีชื่อ จักรพันธุ์ โปษยกฤต ขอรับ พระคุณท่าน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 16, 08:16
เมื่อเสด็จลงไปประทับที่สนามใหญ่ด้านข้างหอประชุมแล้ว นักเรียนวชิราวุธทั้งโรงเรียนจะสวนสนามถวายตัว หลังจากนั้นก็เป็นการแข่งขันกรีฑารอบชิงชนะเลิศระหว่างคณะต่างๆทั้งเด็กเล็กและเด็กโต ซึ่งโรงเรียนเลือกการแข่งขันประเภทที่สั้นๆและน่าสนใจมาถวายทอดพระเนตรเพี่ยงไม่กี่รายการ เช่น วิ่ง ๖๐ เมตรของเด็กเล็ก วิ่ง ๑๐๐ ๒๐๐ และ ๔๐๐ เมตร วิ่งผลัด ๔x๑๐๐ และวิ่งทน ๘๐๐ หรือ ๑๕๐๐ เมตร จำไม่ได้ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่นาน จบแล้วจะมีการแสดงหน้าพระที่นั่ง

ผมกับคุณนายตั้งจะเป็นดาราประกอบ สมัยของเราอยู่นั้นที่แน่ๆคือ เรื่องคลีโอพัตราปีนึง กับ เฮเลน ออฟ ทรอย อีกปีนึง ได้รับบทเป็นทหารเลว ฟันดาบกันโช้งเช้งๆ

ปีที่เล่นเป็นทหารกรีกเมืองทรอย ใส่เสื้อเกราะ(กระดาษแข็ง) รบกับฝ่ายสปาต้านั้น ทหารเลวสองคน คือผมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกคนหนึ่ง(อนาคตของเขาตอนนั้นหรืออดีตตอนนี้ติดยศพลเอก ตำแหน่งกรมวังผู้ใหญ่) ได้เล่นบทเด่นที่ผู้กำกับไม่ได้สั่งไว้ คือระหว่างที่เราถูกกำหนดให้ต้องนอนตายอยู่นิ่งๆในฉากนั้น ดั๊น ไปล้มลงบนรังมดคันไฟกลางสนามหญ้าพอดี ตายได้พักเดียวมดเข้าไปเต็มเสื้อเกราะ ดังนั้น ในขณะที่พระเอกนางเอกเขาแสดงบทโศกาอาดูรเข้าสู่ไคลแม็กซ์ของเรื่อง ผู้ชมทั้งสนามจะเห็นศพทหารเลวสองคนคืนชีพ ลุกขึ้นโซเซแล้วไปล้มลงนอนทุรนทุราย ไม่ยอมตายสักทีจนกระทั่งจบการแสดง

 


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ต.ค. 16, 08:31
ผมหยุดไปหลายวันเพราะจิตไม่นิ่งพอที่จะเขียนต่อ เห็นอารมณ์ของตนมันวิ่งไปทางซ้ายทีขวาที บ้างก็ขึ้นๆลงตามเรื่องตามราวที่กระทู้พาไป

ส่วนผู้อ่านๆแล้วจะรู้สึกตามไปด้วยหรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุกับปัจจัยหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือความสามารถในการเขียนของผม หรือไม่ก็ความต่อเนื่องของมัน ผู้ที่เข้ามาต่อกระทู้จึงสนทนากันห่างประเด็นหลักออกไปทุกที

ก็ไม่ผิดหรอกครับ ธรรมชาติของการเล่นกระทู้ก็อย่างนี้ ผู้ที่เข้ามาใหม่พึงเข้าใจด้วย

ครูไหวโดนอาจารย์ใหญ่กว่า ตีมือเอาเบาะๆเสียแล้ว
ตั้งใจจะแยกกระทู้ไปเป็นกระทู้อายุ    แต่เมื่อวานก็ไปนอกเรือนไทยเสียทั้งวัน   กลับมาจะแยกกระทู้ก็พอดีท่านเจ้าของกระทู้กลับมาต่อกระทู้เสียก่อน ทำให้การแยกความเห็นทำได้ยากเพราะจะติดค.ห.ท่านออกไปด้วย

เลยขออนุญาตท่านอื่นๆลบความเห็นบางความเห็นออกไปนะคะ   มันไม่มีสาระอะไร


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 16, 09:25
ขอบคุณครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 16, 09:43
เป็นความสัตย์ที่ผมไม่ได้นึกรังเกียจผู้ที่เข้ามาสนทนาในกระทู้ของผมเลย ตรงกันข้าม ผมดีใจที่มีคนสนใจกระทู้ของผมขนาดยอมออกแรงเขียนเข้ามาร่วม ดังนั้น ขอท่านทั้งหลายอย่าได้คิดเป็นอื่นนะครับ โปรดเข้ามาถาม หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อเสริมให้กระทู้เข้มข้น โดยเฉพาะหากมีเรื่องจะเล่าเพื่อเสริมพระบารมีพระพุทธเจ้าอยู่หัว ดังเช่นเรื่องที่ผมจะเล่าในลำดับต่อไป


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 29 ต.ค. 16, 17:53
เพื่ิอให้เข้ากับบรรยากาศของกระทู้ ก็ขอเสริมประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบ้าง

เมื่อเปรียบเทียบกับคนไทยอื่นๆ โดยเฉพาะคนรอบๆ ข้างเท่าที่ได้ถามๆ มา ผมนับว่าโชคดีที่ได้มีโอกาสเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รวมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ 2-3 ครั้งตอนเสด็จพระราชดำเนินผ่าน สมัยนั้นยังเป็นนักเรียนมัธยมวัยละอ่อน โรงเรียนอยู่แถวๆ ย่านถนนราชดำเนินนอกนั้น เวลามีพระราชพิธีหรือการเสด็จพระราชดำเนินผมมักจะหาโอกาสไปรอดู  วันหนึ่งบังเอิญผ่านไปแถวถนนราชดำเนินนอกโดยไม่ตั้งใจ เห็นตำรวจตั้งขบวนกันก็เลยรอ ทำให้มีได้เห็นตอนพระองค์เสด็จผ่านอย่างค่อนข้างใกล้ จำได้ว่าครั้งนั้นพระองค์ทอดพระเนตรมาทางผมพอดีและโบกพระหัตถ์ให้ด้วย แม้เป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่ยังปลื้มอกปลื้มใจมาจนถึงบัดนี้

สมัยเรียน มหาวิทยาลัยที่ผมจบปริญญาตรีมาจะรับปริญญากับสมเด็จพระเทพฯ  พอไปเรียนปริญญาโท ปรากฏว่ามัวแต่เถลไถลจบช้าไปปีนึงเลยไม่มีโอกาสได้รับพระราชทานปริญญาจากพระหัตถ์ เพราะปีก่อนปีที่ผมจบเป็นปีสุดท้ายที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เองมรามหาวิทยาลัยนั้น

ในครอบครัวผมมีพี่สาวที่มีโอกาสดีกว่ามาก เพราะจบธรรมศาสตร์ทันสมัยที่ยังทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เอง  ต่อมาพี่สาวเกิดขยันมุมานะ สอบเข้าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาได้ เลยได้มีโอกาสเข้าเฝ้าถวายสัตย์หน้าพระที่นั่งด้วย

ตอนนี้นัดหมายกับพี่สาวแล้ว รอให้คนซากว่านี้อีกซักนิด จะเข้าไปถวายบังคมพระบรมศพกันทั้งครอบครัว


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 ต.ค. 16, 18:50
คุณ NAVARAT.C ได้เล่าเรื่องขำๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการแสดงต่อหน้าพระพักตร์เรื่อง Helen of Troy   ผมคิดว่าพระองค์ท่านก็คงจะทรงสำราญพระราชหฤทัยอยู่ไม่น้อยกับการกระทำของทหารเลว 2 คนนี้เป็นแน่แท้ ทั้งนี้แม้นว่าจะมิได้เห็นพระองค์ท่านแย้มพระสรวลหรือไม่ก็ตาม  

จากประสพการณ์ของผมเองที่พอจะมีจากการได้ถวายงานอยู่บ้าง ทำให้ทราบว่าพระองค์ท่านทรงมีข้อสังเกตในระดับรายละเอียดในทุกเรื่อง ซึ่ง พระองค์ท่านมักจะชี้หรือหยิบออกมาสอบถาม ชี้นำ ให้คำแนะนำ ....ฯลฯ ด้วยพระสุรเสียงที่สัมผัสได้ว่ามีแต่ความเมตตา ความเอ็นดู มีพระอารมณ์ดีตลอดทุกครั้ง ผมไม่เคยได้สัมผัสกับพระอารมณ์อื่นใดๆเลยทั้งสิ้น

ผมก็เลยเชื่อว่าพระองค์ท่านคงจะทรงขำอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวกับการกระทำในการแสดงของทหารเลว 2 คนในครั้งนั้น


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 16, 06:14
ขอบคุณสำหรับการเข้ามาของทั้งสองท่านครับ

นอกจากงานเสด็จพระราชดำเนินมายังโรงเรียนทั้งสองโอกาส นักเรียนวชิราวุธยังได้เดินแถวไปรอรับเสด็จยังวัดเบญจมบพิตร ซึ่งวงโยธะวาทิตที่ผมสังกัดอยู่จะบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในวันที่เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินประจำปีด้วย

ที่เป็นพิเศษ ก็ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ ผมมีโอกาสได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา อังกฤษและประเทศภาคพื้นยุโรป  โดยโรงเรียนจัดให้พวกเราเดินแถวไปรอส่งเสด็จที่ประตูพระราชวังสวนจิตรลดา ทางด้านสวนสัตว์ดุสิต ซึ่งเมื่อเสด็จออกมาแล้วรถพระที่นั่งจะชลอความเร็วลง และทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ให้นักเรียน

แม้เห็นพระองค์ท่านเพี่ยงไม่กี่วินาทีก็ชุ่มชื่นหัวใจไปนาน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 16, 06:31
ตอกย้ำความรู้สึกว่า “ลูกในหลวง” มิได้มีแต่เพียงเหล่านักเรียนวชิราวุธ พวกเรามีจำนวนรวมกันเพียงเม็ดทรายกระหยิบมือเดียวเมื่อเทียบกับมหาชนคนไทยจำนวนเท่าเม็ดทรายในมหาสมุทรผู้ถือพระองค์เป็นพ่อ และพระองค์ทรงนับป็น “ลูก” เช่นกัน

ผมแรกรู้สึกความจริงนั้นนับตั้งแต่ชมภาพยนต์ส่วนพระองค์ การเสด็จเยือนราษฎรในภาคต่างๆ ซึ่งสำนักพระราชวังนำออกฉายที่โรงหนังศาลาเฉลิมกรุง  ในแต่ละครั้งยืนโรงนานหลายๆเดือนเพราะคนชอบไปดู  คนกรุงแม้เคยได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินตามวัดต่างๆบ่อยๆก็จริงอยู่  แต่ก็เห็นแต่พระพักตร์ที่เคร่งขรึม ไม่ได้ทรงยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกับที่ทรงพระราชดำเนินไปเรื่อยๆตามแถวของราษฎรชาวต่างจังหวัดซึ่งมารอเฝ้ารับเสด็จ เลยอดอิจฉาวาสนาคนต่างจังหวัดที่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าอย่างใกล้ชิดไม่ได้  ก็ขนาดสามารถจับไม้จับมือเอาพระหัตถ์ของพระองค์ไปทูนไว้บนศรีษะ ยิ่งกว่านั้น บางคนยังยกพระบาทขึ้นไปวางบนหัวของตน แบบไม่กลัวว่าจะทรงหกล้มเสียด้วย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 16, 07:17
เสด็จนิวัติพระนครคราวนั้นเป็นวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๔  คนกรุงออกมารอรับเสด็จตามถนนหนทางต่างๆที่รถพระที่นั่งจะผ่านแบบมืดฟ้ามัวดิน นักเรียนวชิราวุธถูกจัดให้ไปรวมกับคณะรัฐบาลและคณะบุคคลอื่นๆที่สนามหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งพระพุทธเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าจะเสด็จออกสีหบัญชร ในเวลา ๑๗.๐๐ น.

โรงเรียนพานักเรียนไปตั้งแต่บ่ายต้นๆ แดดร้อนเปรี๊ยงไม่รู้จะหาที่ยืนหลบแดดกันตรงไหน  ผมจำได้ว่าเสื้อราชปะแตนเครื่องแบบของพวกเราแต่ละคนล้วนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ อาศัยความหนุ่มจึงอดทนอยู่ได้ไม่มีใครเป็นลมเป็นแล้ง  ครั้นเวลาใกล้เสด็จพระราชดำเนิน แดดร่มลมตกแล้วก็ค่อยยังชั่วหน่อย
เมื่อมีเสียงประกาศให้ทุกคนเข้ายืนประจำตำแหน่ง  และรถพระที่นั่งเคลื่อนมาถึงนั้น บรรยากาศยามเย็นมีลมหนาวโชยมาเหมือนที่ใครเปิดระบบปรับอากาศให้  คืนความสดชื่นแก่ทุกคนทั้งกายและใจ  และเป็นพิเศษสุดเมื่อเสด็จออกสีหบัญชรและมีพระราชดำรัสกับประชาชน   ทรงพระราชทานพรแล้ววงโยธะวาทิตทหารรักษาพระองค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี นายกรัฐมนตรีถวายพระพรและเปล่งเสียงไชโยนำ คนทั้งนั้นก็ไชโยตาม เสียงดังกึกก้องต่อเนื่องไม่ยอมเลิก ทรงประทับยืนโบกพระหัตถ์อยู่นานจึงได้เสด็จเข้า

เป็นความรู้สึกสุดยอดอีกครั้งหนึ่งในยามนั้น

ขากลับโรงเรียน ระยะทางก็แค่นั้นเอง แต่ความที่คนมาเฝ้ารับเสด็จมีมากมาย กว่าเราจะกลับถึงแล้วได้อาบน้ำกินข้าว ตะวันก็ตกดินไปนานแล้ว  ก็ไม่เห็นมีใครบ่นเหน็ดบ่นเหนื่อย มีแต่คุยกันถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Rattananuch ที่ 30 ต.ค. 16, 15:41
ในชีวิตได้เคยมีบุญเห็นองค์จริงของในหลวง2 ครั้งค่ะ
ครั้งแรก อายุสักสิบสอง เป็นงานพระราชทานเพลิงศพคุณตาซึ่งในหลวงเสด็จมาพระองค์เดียว
จำได้ว่าถูกคุณป้าจับตัวไปตัดชุดไทย เพื่อใส่ตอนเข้าแถวรับเสด็จเวลาที่หน้ารถพระที่นั่งมาจอดเทียบ
ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นพระพักตร์แบบใกล้ชิดมาก คือห่างเมตรเดียวเป็นความคิดแบบเด็กๆ (กราบพระบาทขอพระราชทานอภัย) "ในหลวงหล่อจัง"
พระพักตร์ท่านอิ่มเอิบเปี่ยมด้วยเมตตา ทรงยิ้มนิดๆแบบที่เห็นในทีวี

ครั้งที่สอง เป็นปีที่น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ จำไม่ได้แล้วว่าปี 2527 หรือ 2528
วันนั้นไปธุระโดยใช้เส้นทางทางด่วนตรงบางนา ปรากฎว่ารถติดมากแบบขยับไปทีละนิดๆ
ก็สงสัยกันมากว่าติดอะไร เพราะตอนนั้นทางด่วนเพิ่งเริ่มใช้ รถจะวิ่งกันคล่องมาก
ตัวดิฉันอยู่ในรถเมล์ ก็ยืดคอออกไปดูนอกหน้าต่าง ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนล้อมวง กินเนื้อที่ทางด่วนเข้ามาหนึ่งเลน
มีผู้ที่ยืนเด่นอยู่ตรงกลางริมทางด่วนใกล้คลองระบายน้ำเล็กๆสองสามคน และหนึ่งในนั้นคือในหลวง
มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อจริงๆ ที่เรามองออกมาจากรถเมล์ แล้วเห็นในหลวงประทับยืนอยู่ริมถนน
ตอนนั้นทุกคนในรถเมล์ตาค้างกันหมด พอได้สติก็พนมมือไหว้กันโดยพร้อมเพรียง
พอรถแล่นผ่านไป คนในรถก็ถามไถ่กันใหญ่ว่าในหลวงท่านเสด็จมาดูอะไรที่ริมทางด่วน
แต่พอตอนค่ำ ข่าวทีวีก็ออกว่าในหลวงท่านเสด็จมาตรวจดูทางระบายน้ำเพื่อแก้ไขน้ำท่วมกรุงเทพค่ะ
 


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 16, 16:45
 เป็นความทรงจำอันไม่เลอะเลือนเลยนะครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Rattananuch ที่ 30 ต.ค. 16, 16:51
เป็นความทรงจำอันสูงค่าที่สุดในชีวิต และจะอยู่ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตค่ะท่านอาจารย์


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 16, 19:32
เมื่อเช้า ผมพยายามหาภาพจากเน๊ตมาประกอบข้อความของผทที่ว่า

ผมแรกรู้สึกความจริงนั้นนับตั้งแต่ชมภาพยนต์ส่วนพระองค์ การเสด็จเยือนราษฎรในภาคต่างๆ ซึ่งสำนักพระราชวังนำออกฉายที่โรงหนังศาลาเฉลิมกรุง  ในแต่ละครั้งยืนโรงนานหลายๆเดือนเพราะคนชอบไปดู  คนกรุงแม้เคยได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินตามวัดต่างๆบ่อยๆก็จริงอยู่  แต่ก็เห็นแต่พระพักตร์ที่เคร่งขรึม ไม่ได้ทรงยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกับที่ทรงพระราชดำเนินไปเรื่อยๆตามแถวของราษฎรชาวต่างจังหวัดซึ่งมารอเฝ้ารับเสด็จ เลยอดอิจฉาวาสนาคนต่างจังหวัดที่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าอย่างใกล้ชิดไม่ได้  ก็ขนาดสามารถจับไม้จับมือเอาพระหัตถ์ของพระองค์ไปทูนไว้บนศรีษะ ยิ่งกว่านั้น บางคนยังยกพระบาทขึ้นไปวางบนหัวของตน แบบไม่กลัวว่าจะทรงหกล้มเสียด้วย

หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอครับ ในที่สุดต้องเข้า ๅYou Tube หาภาพยนต์ของสำนักพระราชวัง ตามหัวเรื่อง การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร มาเจอที่ภาคใต้จนได้ครับ จะยกมาทั้งเรื่องก็ยาวเกิน กลัวจะหาไม่พบกัน เลยใช้ copy เป็นภาพนิ่งออกมาแบบไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ก็พอได้อาศัย

รูปแรกก็เพียงแต่จับพระหัตถ์ท่านด้วยความเคารพรัก แบบสุดที่จะนิ่งเฉย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 16, 19:34
คนนี้เอาพระหัตถ์มาทูนไว้บนศีรษะ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 16, 19:35
กลุ่มนี้เอาศีรษะไปซบกับพระบาท


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 16, 19:37
หาที่ชัดกว่านี้ยังไม่เจอ แต่จำได้ว่าเคยเห็นชัดเจนมาก เพราะทุกคนจะรอคิวกัน ยกพระบาทไปวางไว้บนศีรษะตนเอง แต่ภาพนี้อยู่ไกลกล้องไปหน่อย

ชาวบ้านจะเอาอย่างไรก็เอา พระองค์ท่านก็ย้อม ยอม


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 16, 21:41
ขออนุญาตนำมาให้ดูได้ฟังกันชัดๆอีกทีครับ ผู้แทนอเมริกันคนนี้พูดแสดงความอาลัยในพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ซาบซึ้กินใจเหลือเกิน เสียดายตอนชมถ่ายทอดสด ผมหลงไปเปิดช่องที่เขาพากษ์เสียงไทย ซึ่งคนแปลได้พยายามแปลแต่ก็ผิดๆถูกๆ ทำลายความรู้สึกมาก จะเปลี่ยนช่องก็ไม่กล้า กลัวหนีเสือปะจระเข้ เลยต้องพยายามแยกเสียงที่กระทบหูเอา ซึ่งก็ได้ผลไม่มากนัก

คลิ๊บนี้สำหรับผู้ที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกันครับ

http://www.youtube.com/watch?v=c1IffhxG5WQ (http://www.youtube.com/watch?v=c1IffhxG5WQ)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 16, 07:35
ปีท้ายๆในชีวิตนักเรียนมัธยมของผม โชคดีที่พระพุทธเจ้าอยู่หัวพระชนมพรรษา ครบ ๓ รอบพระนักษัตร  รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ได้รื้อฟื้นโบราณราชประเพณีเสด็จเลียบพระนครโดยสถลมารคด้วยกระบวนพยุหยาตราใหญ่ขึ้นมาใหม่เพื่อเทิดพระบารมี  ในสมัยรัตนโกสินทร์มีประวัติว่าเคยการจัดกระบวนเสด็จระดับนี้เพียง ๒ ครั้งเท่านั้นคือ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ ครั้งหนึ่ง และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพระปฐมบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และทรงเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้ สำนักพระราชวัง ประกาศพระบรมราชโองการดำรัสสั่ง  ให้ประกอบพระราชพิธีดังกล่าวเป็นครั้งที่สาม ในวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๖

ผมได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่มหาดเล็กหลวงในขบวนเสด็จ  แถวของมหาดเล็กหลวงจัดเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เดินกระหนาบสองข้าง อยู่ด้านในถัดจากแถวของตำรวจหลวงซึ่งเดินอยู่ด้านนอกสุดของขบวนหน้า ขบวนกลางเป็นพวกข้าราชสำนักชั้นผู้ใหญ่ กลุ่มที่อยู่ติดๆกับพระราชยานจะเป็นข้าราชการฝ่ายหน้าเชิญเครื่องสูง และราชองครักษ์  ซึ่งมีท่านนายกรัฐมนตรีในเครื่องแบบจอมพลเดินถวายอารักขาอยู่ด้วย ด้านหลังของพระราชยาน ต่อจากพวกเชิญเครื่องสูง และเครื่องประกอบพระราชอิสริยศ โดยมีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์สองกองร้อยแต่งเต็มยศแบกปืน เดินขนาบสองข้างขบวนพระราชยาน ขบวนหลังเป็นแถวมหาดเล็กหลวงเชิญหอกและตำรวจหลวงสพายดาบ เดินกระหนาบทั้งแนวซ้ายและขวา

ผมโชคดีเป็นชั้นที่สอง เพราะได้เดินอยู่ขบวนหน้าของพระราชยาน ไม่มีภาระต้องแบกอะไร ส่วนพวกเพื่อนๆในขบวนหลังที่ต้องเดินเชิญหอก โดยถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง พับศอก ยื่นแขนเป็นแนวฉากออกไปข้างหน้า แล้วเดินช้าๆไปในท่านั้นเป็นชั่วโมงๆ  พอเลิกแถวครั้งใดพวกนี้จะทำท่าเหมือนคนพิการ

เราไปซ้อมเดินกันสองครั้ง ครั้งแรก และครั้งซ้อมใหญ่ก่อนวันจริง ภาพนี้เพื่อนถ่ายให้ถ่ายในวันซ้อมใหญ่ เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้วครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 16, 08:02
พระราชพิธีเสด็จเลียบพระนครโดยสถลมารคด้วยกระบวนพยุหยาตรานี้จะเริ่มต้นในเวลา ๑๔ น. ในวันซ้อมก็กระทำในเวลาเดียวกัน  แดดกำลังเปรี้ยง ขบวนเสด็จจะเคลื่อนจากเกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ออกพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษชัยศรี ไปตามถนนหน้าพระลาน  ถนนราชดำเนินใน ข้ามสะพานผ่านพิภพลีลา เลี้ยวซ้ายไปตามถนนจักรพงษ์  แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนพระสุเมรุ เทียบพระราชยานที่เกยพลับพลาหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จเข้าไปนมัสการบูชาพระรัตนตรัยในพระอุโบสถ  คนในขบวนเสด็จได้พักยกให้น้ำ

หลังเสด็จออกจากวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ขบวนเดินต่อตามแนวกำแพงพระนครไปจนถึงสพานผ่านฟ้าลีลาศ แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนราชดำเนินกลางและราชดำเนินใน เข้าสู่พระบรมมหาราชวัง เทียบพระราชยานที่เกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท แล้วเสด็จขึ้น

ทั้งสองวันนี้เหงื่อโซก หน้าโดนแดดไหม้เกรียม ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าการเดินเข้าจังหวะแบบช้าๆนี้จะสร้างความปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไม่เหมือนกับการเดินในอัตราเร็วปกติ  แต่ถามว่า งั้นไม่ต้องมาเดินแล้วเอามั๊ยล่ะ ไม่เอาครับ ถึงจะเป็นจะตายยังไงก็ยอม ขอมีส่วนร่วมถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 16, 08:29
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๖ เวลาบ่ายสองโมงตรง  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงพระมหามาลา เสด็จออกเกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ประทับพระราชยานพุตตานทอง ขณะนั้นทหารบกยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ๒๑ นัด ขบวนเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราเคลื่อนตัวออกช้าๆท่ามกลางเพลงสรรเสริญพระบารมี เสียงประโคมแตรสังข์และมโหรทึกดังกึกก้องโสตประสาท บัดนั้นปรากฏเมฆใหญ่เคลื่อนตัวเข้าแทรกพระสุรีย์ศรี บังเกิดร่มเงาปกป้องขบวนเสด็จและไพร่ฟ้าประชาชนที่มาชุมนุมกันแน่นชนัดเพื่อชื่นชมพระบารมี ตั้งแต่หน้าพระราชวังไปตลอดสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนิน

ผมมีความรู้สึกเหมือนเดินลอยไปข้างหน้า วันซ้อมกับวันจริงเป็นคนละเรื่อง ทั้งเสียงและภาพที่กระทบอายตนะโสตประสาทมันสุดที่สัญชาติญาณของมนุษย์จะรับได้ ภาพของประชาชนที่เฝ้ารอรับเสด็จและใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้น ผมบรรยายไม่ถูกจริงๆ แต่คุณคงนึกภาพออกนั่นแหละ มันเป็นภาพของความรักระหว่างประชาชนกับพระราชาที่ไม่มีที่ไหนในโลกนอกจากเมืองไทย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 16, 09:51
ผมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ผมไม่ได้ต้องการเขียนเรื่องนี้ให้เป็นดราม่า ด้วยการกล่าวคำเท็จเพื่อเสริมเรื่องราวที่ยังคงเที่ยงอยู่ในสมอง ฝรั่งผู้ที่ทำคลิ๊บยกย่องพระพุทธเจ้าอยู่หัวบางคนแม้จะพูดภาษาไทยได้ดี   ยังใช้คำว่าพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ทรงมีอิทธิพล ซึ่งเขาคงกลั่นมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า influence ซึ่งความจริงไม่ถูกต้องทีเดียวนัก พระองค์ทรงมีสิ่งที่คนไทยเรียกว่า “บารมี”
คำๆนี้ฝรั่งไม่รู้จัก แต่คนไทยรู้ลึกซึ้งว่าพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงมีสิ่งที่ยอดยิ่งกว่าอิทธิพลนัก ทรงมีพระบารมีเหนือมนุษย์และเทวดา ชนิดที่คนอย่างเราๆท่านๆก็สัมผัสได้

เมฆใหญ่ผลัดเปลี่ยนกันลอยมาปกคลุมไปตลอดทางเสด็จพระราชดำเนิน  แปลกแม้กระทั่งว่าเมื่อเสด็จเข้าไปประกอบพระราชภารกิจในวัดบวร  เพื่อให้ไพร่พลในขบวนเสด็จได้มีโอกาสพักนั้น เวลาร่วมครึ่งค่อนชั่วโมงดังกล่าวเทวดาก็ได้ขอพักด้วย  เมฆที่บดบังพระอาทิตย์อยู่กลับกระจายหาย จนต่อเมื่อได้เวลาเสด็จออก เมฆใหญ่นั้นก็ค่อยๆรวมตัวกันเข้ามาใหม่ เมื่อขบวนเสด็จผ่านเข้าสู่ถนนราชดำเนินกลางนั้น กล่าวได้ว่าท้องฟ้าร่มเย็นเมฆกรองแดดเหลือเพียงแสงอ่อนๆตลอดเส้นทาง  ผมไม่ทราบว่าคุณนายตั้งที่ร่วมขบวนอยู่เช่นเดียวกับผม ยังจะจำความอัศจรรย์นี้ได้หรือเปล่า

ขอบันทึกไว้เพื่อไม่ให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์เลือนหาย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 16, 10:22
สลับอารมณ์

https://www.facebook.com/BBCThai/videos/1838725019681863/ (https://www.facebook.com/BBCThai/videos/1838725019681863/)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 31 ต.ค. 16, 12:31
เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครทางสถลมารค วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๖ นาที่ที่ ๑๙.๓๐ ครับ

https://www.youtube.com/watch?v=-gfDhSQ1gig (https://www.youtube.com/watch?v=-gfDhSQ1gig)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 31 ต.ค. 16, 16:27
นั่งฟังอ้าปากหวอเลยครับ  ตั้งแต่เรื่องต้นบัญญัติในการเข็นรถพระที่นั่ง-รุมสกรัมโถชักโครก-ต้องอาวุธชีวภาพของสปาร์ตา
ผมไม่มีเรื่องเล่าในความทรงจำ  จึงขอนำภาพมาประกอบเรื่องที่คุณ navarat ได้กรุณาเล่าให้ฟัง
รูปแรก ถ.พระสุเมรุช่วงต่อกับถ.ราชดำเนิน ขอบซ้ายของรูปคือตึกเทเวศประกันภัย
รูปสอง กำลังเลี้ยวเข้าถนนราชดำเนิน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 16, 17:24
เยี่ยมเลยครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 31 ต.ค. 16, 17:42
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๖ เวลาบ่ายสองโมงตรง  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงพระมหามาลา เสด็จออกเกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ประทับพระราชยานพุตตานทอง ขณะนั้นทหารบกยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ๒๑ นัด ขบวนเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราเคลื่อนตัวออกช้าๆท่ามกลางเพลงสรรเสริญพระบารมี เสียงประโคมแตรสังข์และมโหรทึกดังกึกก้องโสตประสาท บัดนั้นปรากฏเมฆใหญ่เคลื่อนตัวเข้าแทรกพระสุรีย์ศรี บังเกิดร่มเงาปกป้องขบวนเสด็จและไพร่ฟ้าประชาชนที่มาชุมนุมกันแน่นชนัดเพื่อชื่นชมพระบารมี ตั้งแต่หน้าพระราชวังไปตลอดสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนิน

ผมมีความรู้สึกเหมือนเดินลอยไปข้างหน้า วันซ้อมกับวันจริงเป็นคนละเรื่อง ทั้งเสียงและภาพที่กระทบอายตนะโสตประสาทมันสุดที่สัญชาติญาณของมนุษย์จะรับได้ ภาพของประชาชนที่เฝ้ารอรับเสด็จและใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้น ผมบรรยายไม่ถูกจริงๆ แต่คุณคงนึกภาพออกนั่นแหละ มันเป็นภาพของความรักระหว่างประชาชนกับพระราชาที่ไม่มีที่ไหนในโลก

ขออนุญาตท่านอาจารย์ NAVARAT C. ร่วมระลึกประวัติศาสตร์วันนั้นด้วย
วันนั้นผมและน้องสาวอีก 2 คนก็เป็นส่วนของประชาชนที่เข้ามารับเสด็จด้วย นั่งกันอยู่ริมท้องสนามหลวง เยื้องๆศาลพระหลักเมือง ตรงหัวขบวนวงโยธวาทิตย์ของกองทหารมหาดเล็กพระองค์พอดี จำไม่ได้ว่าพวกปี่ กลองชนะ มโหระทึก อยู่หน้าหรือหลังวงโยฯ ก็ตื่นตาตื่นใจเพราะไม่เคยเห็นกระบวนพระราชพิธียิ่งใหญ่แบบนี้มาก่อน พอกระบวนเริ่มเคลื่อนเพลงที่บรรเลงนำจำได้ว่าคือเพลงคลื่นกระทบฝั่ง จังหวะสโลว์มาร์ช(จำติดหูถึงทุกวันนี้) ด้วยรู้สึกต่างๆประดังเข้ามาถึงกับขนลุก ขบวนเริ่มเคลื่อนผ่านช้าๆเฝ้ารอด้วยใจจดจ่อ จนกระทั่งขบวนพระราชยานคานหามซึ่งมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระทับบนพระที่นั่งพุดตานทอง ทรงครุยราชภูษิตาภรณ์ ทรงพระมหามาลาเส้าสะเทินประดับขนนกวายุภักษ์ ค่อยๆผ่านมาโดดเด่นและงามสง่ายิ่ง ได้เฝ้าชมพระบารมีของพระองค์ได้อย่างจุใจ เพราะกระบวนเคลื่อนไปช้าๆเห็นพระองค์ท่านชัดเจน สมกับที่ตั้งใจมาเฝ้า ด้วยว่าตอนนั้นเป็นนักเรียนมัธยมชานเมือง ได้แต่ยืนเข้าแถวรับเสด็จเวลาที่ขบวนเสด็จฯกลับจากพระราชภารกิจทางจังหวัดภาคตะวันออก ขบวนเสด็จจะผ่านแว้บไปอย่างเร็ว ต้องคอยจ้องจับรถเก๋งที่มีธงมหาราชให้ดี
   พสกนิกรที่มาเฝ้ารับเสด็จเวลานั้นน่าจะในกรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เนืองแน่นเรียงรายสองฟากถนนที่กระบวนพยุหยาตราฯผ่าน
   น้องสาว 2 คน ตอนนั้น คนหนึ่ง 12 ขวบ อีกคน 9 ขวบ ที่พาทั้งสองคนไปด้วย ก็เพื่อจะได้มีโอกาสอยู่ในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งร่วมกับพระเจ้าอยู่หัวของเรา ซึ่งโอกาสต่อไปไม่รู้จะมีอีกเมื่อไร
   ล่าสุดได้พบทั้งสองคนเมื่อ 20 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมา มาร่วมยินดีกับหลานสาวที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร(รุ่นสุดท้ายในรัชกาลที่ 9) ได้ถามถึงเหตุการณ์วันนั้น คน 12ขวบตอบว่าค่อนข้างเลือนลาง คน 9ขวบบอกว่า จำได้ แต่มีเลือนไปบ้าง ก็เวลาตั้ง 53 ปีมาแล้ว
   สำหรับตัวผมเองเป็นความระลึกแจ่มชัดอยู่ในจิตวิญญาณจนวาระที่สุดของชีวิต


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 16, 19:33
วิเศษครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 31 ต.ค. 16, 20:46
..............แปลกแม้กระทั่งว่าเมื่อเสด็จเข้าไปประกอบพระราชภารกิจในวัดบวร  เพื่อให้ไพร่พลในขบวนเสด็จได้มีโอกาสพักนั้น เวลาร่วมครึ่งค่อนชั่วโมงดังกล่าวเทวดาก็ได้ขอพักด้วย  เมฆที่บดบังพระอาทิตย์อยู่กลับกระจายหาย จนต่อเมื่อได้เวลาเสด็จออก เมฆใหญ่นั้นก็ค่อยๆรวมตัวกันเข้ามาใหม่ เมื่อขบวนเสด็จผ่านเข้าสู่ถนนราชดำเนินกลางนั้น กล่าวได้ว่าท้องฟ้าร่มเย็นเมฆกรองแดดเหลือเพียงแสงอ่อนๆตลอดเส้นทาง  ผมไม่ทราบว่าคุณนายตั้งที่ร่วมขบวนอยู่เช่นเดียวกับผม ยังจะจำความอัศจรรย์นี้ได้หรือเปล่า...

จำได้ครับ จำได้แม่นอีกด้วย ผมเป็นพวกพลมหาดเล็กเครื่องศาสตราวุธหอก  

ใส่ชุดผ้าม่วงทับกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อราชปะแตนสีขาวทับเสื้อเชิร์ตสีขาว (ใส่ทับชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นยาวถึงสะบ้าหัวเข่า) ใส่ถุงเท้าขาวยาวเกือนถึงเข่า ใส่รองเท้าแบบไม่มีเชือกผูกแบบโบราณ (ที่เขาตัดให้) ใส่หมวกแบบไม่มีรูระบายอากาศ เดินถือหอกลักษณะที่คุณ NAVARAT.C บอกล่าว  เดินเป็นขบวนในจังหวะ Slow march ในช่วงเวลาบ่ายต้นๆ จากพระบรมมหาราชวัง ไปวัดบวรนิเวศวิหาร ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.

ด้วยพระบารมี ได้ทำให้ท้องฟ้าในวันนั้นลดความร้อนแรงลงอย่างเหลือเชื่อ  ไม่มีผู้ใดในขบวนเจ็บป่วยตลอดพิธีการตลอดบ่ายนั้น


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 16, 21:17
คนที่อยู่ในเหตุการณ์คงไม่มีวันลืม แต่ถ้าไม่บันทึกไว้บ้างก็จางหาย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 พ.ย. 16, 07:38
ขบวนพยุหยาตราหยุดที่วัดบวรฯ น่าประมาณครึ่งชั่วจะโมงหรือกว่านั้นเล็กน้อย  เมื่อพระองค์ท่านทรงเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจ ขบวนก็ยาตรากลับพระบรมมหาราชวัง ใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชม.

ในระหว่างที่พักขบวนนั้น ก็ไม่ได้มีการแตกแถวใดๆ ทุกคนก็ยังยืนอยู่ในอริยาบทท่าพักอยู่ตามตำแหน่งที่อยู่ในขบวน ไม่เห็นมีผู้ใดบ่นใดๆเลย มีแต่ยิ้มแย้มและพร้อมจะปฎิบัติหน้าที่สนองพระราชกรณีกิจในลุล่วงไปด้วยความสำเร็จและสมบูรณ์ที่สุด

ที่ผมประทับใจที่สุดอีกประการหนึ่งในวันนั้นก็คือ อาหารมื้อกลางวันที่ทรงพระราชทานเลี้ยงแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในขบวน ง่ายมากและอร่อยมากๆอีกด้วย  แกงเขียวหวานเนื้อราดข้าวและปลาตะเพียนแดดเดียวทอดอีกหนึ่งตัว อร่อยมากจริงๆครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 พ.ย. 16, 07:49
คุณ NAVARAT.C คงจะจำได้และบรรยายได้ดี ได้อรรถรสมากกว่าผม   รวมทั้งภาพภายในห้องเก็บศาสตราวุธต่างๆในห้องใต้บันใดทางขึ้นชั้นสองของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

ต่อมาผู้เข้าร่วมพิธีในขบวนพยุหยาตราฯทั้งหลาย ก็ได้รับพระราชทานเหรียญเป็นที่ระลึก ยังความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 16, 08:31

ที่ผมประทับใจที่สุดอีกประการหนึ่งในวันนั้นก็คือ อาหารมื้อกลางวันที่ทรงพระราชทานเลี้ยงแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในขบวน ง่ายมากและอร่อยมากๆอีกด้วย  แกงเขียวหวานเนื้อราดข้าวและปลาตะเพียนแดดเดียวทอดอีกหนึ่งตัว อร่อยมากจริงๆครับ

แหมผมว่าจะไม่เอ่ยแล้วเชียว กลัวคนอ่านจะรู้ไต๋ว่าพวกเราไม่ค่อยจะได้กินอะไรอร่อยๆที่โรงเรียน ผมน่ะติดใจแพนงเนื้อไข่พะโล้ ไปคราวใดก็ขอรับพระราชทานซะสามจานทุกครั้ง จึงไม่หมดเรี่ยวหมดแรง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 16, 08:33
ในชีวิตได้เคยมีบุญเห็นองค์จริงของในหลวง2 ครั้งค่ะ
ครั้งแรก อายุสักสิบสอง เป็นงานพระราชทานเพลิงศพคุณตาซึ่งในหลวงเสด็จมาพระองค์เดียว
จำได้ว่าถูกคุณป้าจับตัวไปตัดชุดไทย เพื่อใส่ตอนเข้าแถวรับเสด็จเวลาที่หน้ารถพระที่นั่งมาจอดเทียบ
ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นพระพักตร์แบบใกล้ชิดมาก คือห่างเมตรเดียวเป็นความคิดแบบเด็กๆ (กราบพระบาทขอพระราชทานอภัย) "ในหลวงหล่อจัง"
พระพักตร์ท่านอิ่มเอิบเปี่ยมด้วยเมตตา ทรงยิ้มนิดๆแบบที่เห็นในทีวี

เรื่องของคุณ Rattananuch ทำให้นึกขึ้นมาได้ ผมเคยเฝ้าพระองค์ท่านในงานพระราชทานเพลิงศพพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งที่เมรุหลวง หน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อถึงเวลาช่วงที่แขกเริ่มทยอยกันมานั้น เกิดลมแรงแบบพายุ ฝนตั้งเค้าจะตกหนักอยู่ ครั้นส่วนใหญ่มานั่งหนาตาบนพลับพลาแล้ว ฝนก็เทลงมาแบบฟ้ารั่ว เจ้าภาพเริ่มวิตกกังวลเมื่อใกล้จะถึงเวลาเสด็จพระราชดำเนิน ฝนก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุด

ผมเคยอ่านเรื่องที่  ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนถึงบุญญาภินิหารของพระพุทธเจ้าอยู่หัวไว้ ประมาณว่า คราวเสด็จพระราชดำเนินเยื่ยมราษฎรเมืองเพชรบุรีครั้งนั้น ทางราชการปลูกปะรำรับเสด็จใหญ่หน้าศาลากลางสองหลัง ขณะนั้นฝนได้ตกหนักที่สุด ราชองครักษ์ให้เตรียมกางกลดถวาย แต่พระองค์ทรงยับยั้งและตรัสว่า "ก็เขาเปียกได้ เราก็เปียกได้" แล้วก็เสด็จพระราชดำเนินออกไป ฝนหยุดตกทันที  “นี่เอาผมไปสาบานที่ไหนก็ได้นะ เห็นมากับตา แปลกจริงๆไม่มีฝนเลย พอเสด็จฯเข้าปะรำโน้นพอลับพระองค์ ฝนก็ตกจั๊กๆอย่างเก่าอีกที พวกตามเสด็จฯไม่ต้องพูดละ เปียกโชกไปหมดทุกคนหนีไม่ทัน แม้แต่องค์สมเด็จพระราชินีนาถยังทรงเปียก เมื่อเสด็จพระราชดำเนินคล้อยตาม นี่ก็เห็นกันมาทุกคน และยังมีอีกมากมายเล่าไปก็ไม่หมด"

ใครอ่านแล้วไม่เชื่อคำสาบานของท่านก็ชั่ง แต่ผมก็เห็นกับตาเหมือนกัน ฝนยังตกไม่ขาดเม็ดขณะรถพระที่นั่งลุยน้ำกระจายมาเทียบช่องทางเสด็จขึ้นพลับพลา พนักงานกั้นกลดถวายน้ำฝนไม่ต้องพระองค์ ตามกำหนดการนั้น จะเสด็จประทับยังพระเก้าอี้เพียงชั่วครู่แล้วจะเสด็จพระราชดำเนินขึ้นเมรุเพื่อพระราชทานเพลิงเลย

พอพนักงานกั้นกลดด้านหน้าพร้อม ฝนก็ขาดเม็ด เสด็จพระราชดำเนินลงจากพลับพลาขึ้นเมรุแล้วทรงประกอบพิธีพระราชทานเพลิง เสร็จแล้วเสด็จลง ระหว่างประทับบนพลับพลาให้เจ้าภาพเข้าเฝ้า พระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้แขกที่มาในงานขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์บนเมรุ ช่วงนี้ก็มีเวลาประมาณสักครึ่งชั่วโมง ทุกคนรีบอาศัยพระบารมีในขณะที่ฝนหยุดตกนี้ขึ้นไปทำกิจให้สำเร็จ

เมื่อถึงกำหนดเวลาเสด็จกลับ ทรงลุกขึ้นยืน ทุกคนถวายคำนับ ทรงคำนับตอบยังกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ แล้วเสด็จลงจากพลับพลา พอรถพระที่นั่งเคลื่อนพ้นประตูวัดเท่านั้นเอง แขกเหรื่อทุกคนก็แย่งกันกลับก่อนที่ฝนจะเทลงมาอีก
ก็ตามคาดครับ รอดไปได้แบบไม่เปียกก็สักส่วนเดียว ที่เปียกปอนก็คงมี แต่ที่ยอมรอบนพลับพลาให้ฝนที่พรำๆลงมาอีกให้หยุดก็มีไม่น้อย

เดี๋ยวถึงจังหวะอันควรแล้ว ผมจะเล่าเรื่องความอัศจรรย์เช่นนี้พร้อมหลักฐานประกอบอีกครั้ง โปรดอดใจรอ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 พ.ย. 16, 09:14
เข้ามายืนยันความอัศจรรย์ที่ว่านั้น  เพราะเจอมาเองเช่นเดียวกันค่ะ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 16, 09:19
เล่าหน่อยครับ ๆ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 01 พ.ย. 16, 10:41
รอฟังครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 01 พ.ย. 16, 11:39
รอด้วยครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 พ.ย. 16, 12:49
เข้ามายืนยันความอัศจรรย์ที่ว่านั้น  เพราะเจอมาเองเช่นเดียวกันค่ะ

รอคุณ NAVARAT.C เล่าก่อนค่ะ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 พ.ย. 16, 18:01
ระหว่างที่รอคุณ NAVARAT.C  ก็ขอแทรกเรื่องของฟ้าฝนในวันพระราชพิธีพืชมงคลที่ท้องสนามหลวง ซึ่งเท่าที่จำได้ก็จะต้องมีฝนจะตกคลุมพื้นที่พระราชพิธีทุกครั้งในวันนั้น


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 08:14
ปกติวันพืชมงคลจะกำหนดในต้นฤดูฝนอยู่แล้ว โอกาสที่ฝนจะตกจึงมีมาก ฝนจะตกในวันนั้นจึงไม่แปลก ความแปลกจะอยู่ที่ระหว่างมีการเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานในพระราชพิธี ฝนหากตกก่อนหน้าก็จะหยุด ไม่มีการเปียกปอนเละเทะให้เสียความศักดิ์สิทธิ์ เสด็จกลับแล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องนี้ประจักษ์พยานมีแยะเพราะมีการถ่ายทอดพระราชพิธีออกอากาศทุกปี  เราคนดูจะเห็นแต่ภาพสวยงาม

ผมจะขอข้ามเรื่องนี้ไปว่าเป็นกรณีย์ๆตาม Timeline นะครับ ไปอยากย้อนไปย้อนมา



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 08:40
ผมผ่านชีวิตมัธยมมาอยู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีโอกาสได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททุกปีในวันพระราชทานปริญญาบัตร วันทรงดนตรี และวันบอลล์ประเพณีซึ่งพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรการแข่งขันและพระราชทานถ้วยรางวัลแก่ผู้ชนะด้วยพระองค์เอง แต่เรื่องราวเหล่านั้นมีผู้เขียนถึงมากมายอยู่แล้ว ผมไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง

ที่อยากจะเล่าเป็นความทรงจำพิเศษ เฉพาะเด็กถาปัดมีโอกาสได้เข้าไปทำงานถวาย อย่างเช่นในปีที่เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเค้นท์ เสด็จมาเป็นแขกของพระองค์เป็นครั้งที ๒
เจ้าหญิงอังกฤษองค์นี้เป็นพระธิดาในพระอนุชาของสมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จผู้เป็นพระราชบิดาในสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่สอง โดยทรงมีศักดิ์เป็นพระภคินีเธอ  เจ้าหญิงอเล็กซานดราทรงประทับพระทัยในพระพุทธเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เสด็จมาเยือนในปี ๒๕๐๒  ครั้งนั้นพระราชนิพนธ์เพลงชื่อ Alexandra พระราชทาน (ต่อมาเพลงนี้มีเนื้อร้องภาษาไทย ชื่อเพลง แผ่นดินของเรา)  และเนื่องจากทรงชื่นชอบเมืองไทยมาก จึงเสด็จมาเยือนทั้งหมดถึง ๗ ครั้ง ครั้งที่ผมไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับเขาด้วยเป็นการเสด็จครั้งที่ ๒  ในปี ๒๕๑๐ เมื่อผมอยู่สถาปัตย์จุฬาเป็นปีที่ ๒ แล้ว


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 02 พ.ย. 16, 09:10
เสียดายที่ตัวเองเกิดไม่ทันจะได้เห็นงานต่างๆเหล่านั้นค่ะ จำได้ว่าตอนเด็กๆอยากเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพราะจะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรกับพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปริมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในบรรดาญาติพี่น้องมีพี่คนหนึ่งได้เรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาเอารูปรับปริญญามาให้ดูเราก็อยากจะเรียนที่นี่แบบเขา เป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากได้มีโอกาสรับปริญญาจากพระหัตถ์ในหลวงแบบเขาบ้าง พยายามตั้งใจเรียนจะสอบเข้าม.เชียงใหม่ให้ได้ สมัยก่อนม.เชียงใหม่จะจัดงานรับปริญญาที่ศาลาอ่างแก้ว(เป็นศาลาโถงแบบเปิดโล่ง) แต่เมื่อเราโตพอที่จะเข้ามหาวิทยาลัยก็โปรดให้สมเด็จพระเทพฯแทนพระองค์มานานหลายปีแล้ว ตอนเด็กๆจำได้ว่าอิจฉาพวกชาวเขาชาวดอยจริงๆได้รับเสด็จอย่างใกล้ชิด คิดว่าเขามีบุญกว่าเราอีกนะเนี่ย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 09:11
คนไทยทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกันครับ

บังเอิญว่าผมโชคดี อยู่ในยุคที่เป็น Golden period พระพุทธเจ้าอยู่หัวยังทรงหนุ่ม พระพลามามัยแข็งแรง ผมจำได้แม้กระทั่งกล้ามเนื้อท่อนแขนของพระองค์ท่านที่โผล่พ้นจากจีวรคราวทรงผนวช แม่พาผมไปเฝ้ารับเสด็จอยู่ข้างลาดพระบาท ที่จะเสด็จพระราชดำเนินลงจากพระตำหนักไปยังพระอุโบสถ
เมื่อถึงเวลา ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นุ่งผ้าโจงสีแดงสวมเสื้อราชประแตนขาว จะเดินประสานมือไว้ข้างหน้า นำเสด็จมาตามลาดพระบาท พระพุทธเจ้าอยู่หัวยามเป็นพระภิกษุท่านสุกปลั่งดังสีทองตามศัพท์ที่ชาวบ้านเรียกว่าสีจีวรขับ

ปีนั้นผมยังไม่ได้เข้าวชิราวุธเลย ถ้าไม่ย้อนไปกล่าวถึงอาจหมดโอกาส



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 09:36
ยามเมื่อทรงแข็งแรงนั้น ท่านประกอบพระราชกรณียกิจทุกอย่างโดยไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย ทั้งงานที่แบกรับพระราชภาระของพระมหากษัตริย์ไว้และงานอดิเรกที่พระองค์ในฐานะปุถุชนจะทรงชื่นชอบ
กล่าวได้ว่า แม้คนส่วนใหญ่จะเห็นพระองค์ในพระอิริยาบทเคร่งขรึม ขนาดไปเล่าขานจนฝรั่งเขียนหนังสือให้ชื่อเรื่องว่า The King Never Smiles แต่ผมเป็นราษฎรส่วนน้อยที่มีบุญวาสนา ได้เฝ้าชมพระบารมีในพระอิริยาบทที่ทรงสบายๆ พระพักตร์จะมีรอยแย้มพระสรวลอยู่เสมอๆ

คนที่ทันยุคพระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานหนักนั้น ไม่มีใครไม่รักพระองค์ นอกจากพวกจิตไม่ปกติซึ่งมีอยู่น้อยนิดจนหาเปอร์เซนต์มิได้


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 10:14
พระเจ้าอยู่หัวทรงจัดงานเลี้ยงรับรองเจ้าหญิงอเลกซานดร้าแบบส่วนพระองค์ที่ศาลาผกาภิรมย์  ซึ่งเป็นอาคารเอนกประสงค์ของโรงเรียนจิตรลดาที่ปรับปรุงใหม่ ผิดหูผิดตาจากเมื่อคราวที่ผมไปเต้นระบำแขกมากมาย ห้องสรงส่วนพระองค์ย้ายไปแล้ว  ตามกำหนดการนั้น  ระหว่างเสวยพระกระยาหารค่ำท่ามกลางแขกรับเชิญอื่นๆประมาณสิบกว่าโต๊ะ จะมีการแสดงบัลเล่ต์บนเวทีเรื่องมโนราห์ถวายทอดพระเนตร เพลงที่ใช้ในบัลเล่ต์เรื่องนี้ทั้งหมดเป็นคีตนิพนธ์ของพระพุทธเจ้าอยู่หัว

บัลเล่ต์เรื่องมโนราห์นี้ได้ถูกจัดแสดงหน้าพระที่นั่ง หารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบนเวทีใหญ่มาสองครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นแบบย่อ คือเอาฉากสำคัญที่นางมโนาห์กับพี่น้องมาเล่นน้ำในสระอโนดาษ แล้วถูกพรานบุญจับไปถวายพระสุธนเท่านั้น
ผู้แสดงเป็นนักบัลเลต์สมัครเล่นระดับอาชีพทั้งหมด นางเอกเปลี่ยนมาเป็น(ท่านผู้หญิง)วราพร ในวัยสาวปิ๊ง พระสุธนใครแสดงนั้นชื่อท่านผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาผมไปนานแล้ว ส่วนตัวผมได้รับบทเป็น “น้ำตก” สองคนกับเพื่อน ผลัดกันคนละ ๕ นาที ตั้งแต่การแสดงเปิดฉากจนปิดฉากหนักกว่าผู้แสดงทุกคนบนเวที บทนี้ไม่ต้องซ้อม มาแล้วก็เล่นได้เลย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 10:18
เอารูปการแสดงในครั้งก่อนหน้ามาให้ชมพอให้เกิดมโนภาพนะครับ น้ำตกที่ผมมีบทบาทก็คล้ายๆอย่างนั้น แต่ย่อมลงไปกว่าตามขนาดของเวที

(อาจไม่ชัดนะครับ เพราะยังเป็นขาวดำอยู่ตรงมุมบนขวาของภาพ)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 10:50
ผมจำไม่ได้ชัดเจนว่าไม่รู้เป็นมาอย่างไร อยู่ๆนิสิตคณะสถาปัตย์จึงได้เข้าไปเป็นผู้ออกแบบและจัดสร้างฉากบนเวทีโดยรู้ล่วงหน้าแค่ไม่กี่วัน  วันจริงของการแสดงหน้าพระที่นั่งในตอนค่ำนั้น ผมไปช่วยงานจับกังเขาแต่ช่วงบ่าย ฉากป่าหิมพานต์ก็ใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว  นอกจากน้ำตก ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะมีการเคลื่อนไหวให้ดูเหมือนมีน้ำตกๆลงมาจริงๆ  ความจริงเทคนิกที่ใช้ก็ง่ายๆ  พี่เบี้ยวแกเอาผ้าขาวหน้ากว้างมาเย็บปลายทั้งสองข้างชนกัน ทบแล้วก็สูงประมาณ ๑ เมตร นำไปคล้องไว้กับเพลาที่ทำด้วยไม้กลมๆ ทั้งตัวบนตัวล่าง  ที่ปลายเพลาตัวบนมีด้ามยื่นออกมา ตรงปลายเป็นมือหมุนสำหรับให้ทาษมุดเข้าไปหมุน  พอเพลาหมุนมันก็จะก็ดึงผ้าให้หมุนตามไปด้วย  ด้านนอกของผ้า พี่เบี้ยวแกเอากระดาษแก้วชิ้นเล็กๆไปแปะไว้เต็มไปหมด พอผ้าหมุนลง กระดาษแก้วก็จะเคลื่อนไหวต้องแสงไประยิบระยับ ทำให้ดูเหมือนเป็นน้ำตกขึ้นมาได้ ความยากอยู่ที่ต้องให้ความเร็วของการหมุนพอดีๆ ไม่ช้าไปเร็วไป น้ำตกจะได้ตกอย่างต่อเนื่องเหมือนธรรมชาติ

ผมยืนดูน้ำตกกลนี้อย่างงงๆ กล่าวถามเขาว่า แล้วนี่พี่จะต้องใช้คนเข้าไปหมุนตลอดเวลาเหรอ  แกก็บอกว่า เออ ผลัดกันสองคนก็พอ ที่มันจำกัด  เอางี๊  คุณกับปอแก้วรับหน้าที่นี้ไปก็แล้วกัน

ปอแก้วเป็นนามสกุลของเพื่อนที่เซ่อๆ ซ่าๆมาอยู่แถวนั้น  แต่ถูกนำมาใช้เป็นชื่อเล่นเรียกหนุ่มอิสานสายตาสั้นคนดังกล่าว  เมื่อเรายังงงไม่จบ จะอ้าปากโต้เถียงพี่เบี้ยวก็ไม่ทัน แกทำเป็นยุ่ง เดินต่อไปสั่งงานด้านโน้นด้านนี้  เราสองคนจึงต้องยอมรับบทที่แกโยนให้แบบเลยตามเลย  ทดลองมุดเข้าไปช่องที่เขาทำไว้แบบพอดิบพอดีตัว ลองจับมือหมุนๆดู  พอทำเนา เอาวะ เอาก็เอา


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: unming ที่ 02 พ.ย. 16, 11:00
ก่อนอื่นต้องขอบคุณอาจารย์ NAVARAT และอาจารย์ทุก ๆ ท่าน ที่มาเล่าเรื่องราวดี ๆ ติดตามอ่านตลอดคะ  โดยส่วนตัวเคยได้รับเสด็จ 1 ครั้ง ในชีวิต ตอนนั้นอายุประมาณ 10-11 ปี ในหลวง เสด็จมาตัดลูกนิมิตที่วัดแถวบ้าน ยังจำได้ไม่ลืมว่า ตอนนั้นขายของอยู่ที่ตลาดกับแม่ แม่บอกร้านไม่ต้องเฝ้าแล้วให้เปิดไว้อย่างงั้นใครจะเอาอะไรก็ให้เค้าหยิบไปก่อน แล้วรีบจูงลูก 3 คน มาเฝ้ารับเสด็จพระองค์ท่าน เป็นความรู้สึกที่ไม่มีอะไรจะเปรียบได้ 


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 11:32
หลังจากนั้นคงไม่กลับมาเจอว่ามีอะไรหายนะครับ หวังว่า


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 11:50
พระพุทธเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสด็จมาพร้อมกับพระราชอาคันตุกะตรงเวลาตามกำหนดการ  พวกเราอยู่หลังโรงก็แอบดูตามช่องตามหลืบเท่าที่จะไม่โดนเบรค ครั้นถึงเวลาจะแสดง ตัวละครทั้งหมดเข้าประจำที่ แต่ละคนสวมชุดสวยๆทั้งนั้น มีแต่ผมกับปอแก้วที่ชุดแสดงต้องถอดเสื้อออกแขวนไว้ เพราะชุดของผู้รับบทน้ำตกไม่ควรจะสวมเสื้อ ด้วยว่าแม้จะมีระบบปรับอากาศ แต่ในรูที่เราจะเข้าไปแสดงนั้นความเย็นเข้าไปไม่ค่อยจะถึง  บัดเดี๋ยวต้องบังเกิดอาการเหงื่อไหลไคลย้อยแน่นอน
 
การแสดงบัลเลต์ดังกล่าวน่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงเท่าที่จำได้ ผมกับปอแก้วตกลงกันว่าจะหมุนน้ำตกสลับกันคนละ ๕ นาที ใครก่อนใครหลังผมก็จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่าช่วงพัก ผมจะมองลอดรูออกไปชื่นชมพระบารมีได้อย่างถนัดชัดแจ้ง  นั่นเป็นสิ่งที่ผมยอมแลกการที่จะได้นั่งตรงที่นั้นกับบทที่โบราณเขาใช้ทาสทำ
 
ครั้นการแสดงบนเวทีกำลังเข้าสู่ช่วงกลางๆ ไอ้เพลาของพี่เบี้ยวมันก็เริ่มหนักมือขึ้นทุกทีทุกที ความเร็วในการหมุนชักจะช้าลงช้าลง ผู้ชมจะสังเกตุได้หรือไม่ว่าปริมาณน้ำตกเริ่มไม่สม่ำเสมอแล้ว ไม่รู้ใครกำลังแอบไปสร้างฝายหรือเปล่า  ผมกับปอแก้วจึงตกลงปรับเวลากันใหม่ เอาเป็นหมุนสองนาที พักสองนาที


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 13:29
ขณะที่รอบสองนาทีของผมเวียนมาบรรจบอีกครั้ง คราวนี้ผมเริ่มสังเกตุว่าเพลามันชักมีเสียงครืดคราดๆ  มือหมุนชักตึงมือยิ่งกว่าเคย ปอแก้วทำตาเหลือกอยู่ในแว่นหนาของเขาเมื่อได้ยินเสียงอันไม่พึงประสงค์นั้น มันเป็นสัญญาณอันตรายของกลไกที่ช่วยให้เพลาหมุนคล่องตัว ผมตกใจยิ่งกว่าเขามากเพราะไม่สามารถรักษาความสม่ำเสมอของน้ำตกได้แล้ว พอมันกระตุกเป็นครั้งที่สอง ปอแก้วก็โดดเข้ามาช่วย เราสองคนสี่มือยังเอาไม่อยู่ พอหมุนเพลาได้มันก็จะดังโครกๆ แทนครืดคราด น้ำตกกลายสภาพเป็นน้ำแข็งสลับไปสลับมา

ถึงเวลานี้ผมเริ่มได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆมาทางทิศของผู้ชม  มองลอดถ้ำมองออกไปเห็นทุกพระองค์แย้มพระสรวลแบบขบขัน ผมกับปอแก้วไม่ได้โดยเสด็จพระหฤหรรษ์ดังกล่าวด้วย ต่างทุ่มแรงกายถวายชีวิตจะให้น้ำตกมันตกต่อไปให้ได้ แต่มันก็หนักมากกว่าเพลาจะขยับได้ทีละกระจิ๊ด  สุดท้ายมันประท้วงออกมาดังๆว่า “คล่ก” ส่วนผมกับปอแก้วอุทานว่าจิ๊บหายแล้ว

น้ำตกนิ่งสนิทเพราะเราช่วยกันหมุนจนด้ามเพลามันหักติดมือลงมา ผมกลั้นใจส่งสายตาลอดถ้ำมองออกไปอีกครั้ง เห็นผู้ดูเพียงแต่ยิ้มๆแล้วให้ความสนใจไปที่การแสดงบนเวที ต้องขอแสดงความนับถือบรรดาผู้แสดงทั้งหมดที่แม้จะสมัครเล่น แต่ทุกคนก็สวมวิญญาณของมืออาชีพ  มิได้สนใจกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น  บัดนั้นบทบาทของผมกับปอแก้วจบลงแล้ว ต่างก็มุดตามกันออกมาแล้วปีนลงมาเจอพี่เบี้ยวที่ยืนรออยู่  พี่เขาตบบ่าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร

เออ ใช่สิ(โว้ย) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้น่ะ ไม่เป็นไร แต่หากเราอยู่ในสมัยศรีอยุธยา ผมรับประกันซ่อมฟรีได้เลยว่า พี่กับผมสองคนโดนหวายแน่  ส่วนพี่นั้น อาจได้ไปตะพุ่นหญ้าช้างเป็นของแถมอีกต่างหาก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 16, 13:36
หลังการแสดง ผู้แสดงทุกคนรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องนั่งคุกเข่าด้านหน้าบนเวที ทุกพระองค์เสด็จมาตรัสชมและขอบใจ ปอแก้วผมอยู่หลังฉากเพราะเรามิอาจออกไปเสนอหน้าได้ แต่ก็ไม่ได้ยินว่าทรงตำหนิถึงเรื่องอะไรเลย แม้หลังจากนั้นแล้วหลายวัน พี่เบี้ยวก็ยังยืนยันว่าไม่เห็นมีใครมาว่ากล่าวติเตียน  นิสิตสถาปัตย์ยังคงเข้าไปถวายงานในวังตามปกติแล้วแต่โอกาสที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าลงมา

นี่คือคุณธรรมอันวิเศษของพระพุทธเจ้าอยู่หัว ผมได้ยินมาว่าตลอดการทำงานของพระองค์ท่านตลอดรัชสมัย มิทรงเคยตำหนิผู้ใดเลย ไม่ว่าใครจะชุ่ยกับพระองค์สักเพียงไหน  ผมได้ยินท่าน ดร. สุเมธเล่าให้ฟังกับหู  ในกรณีย์ที่เหลืออดซึ่งทำให้พระองค์ต้องเสด็จพระราชดำเนินไปตรวจความก้าวหน้าของโครงการนึงเป็นครั้งที่สองนั้น เมื่อเสด็จไปถึงแล้วก็รับสั่งกับผู้รับผิดชอบที่มายืนรอรับเสด็จว่า ไหน พาไปดูแปลงผักชีซิ เล่นเอาผู้ตามเสด็จอมยิ้มไปตามๆกัน เพราะโครงการที่ว่าไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับการปลูกผักชีเลยสักนิดเดียว


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Onsiri C. ที่ 02 พ.ย. 16, 15:07
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ ที่ทำให้ยิ้มได้ทั้งน้ำตา บรรยายน้ำตกมือหมุนได้เห็นภาพมากค่ะ _/\_


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 02 พ.ย. 16, 16:07
เป็นประสบการณ์เล่นน้ำตกที่น่าตื่นเต้นมากๆ เลยครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 07:32
ก็ไม่ได้ไร้วาสนาถึงกับต้องรับบททาษตลอดนะครับ ปีที่อาภัสรา หงสกุล เป็นนางงามจักรวาลหมาดๆ ได้รับเชิญมาเล่นเป็นตัวละครกิตติมศักดิ์การแสดงหน้าพระที่นั่งเรื่องอะบูหะซัน ในงานอาษา ซึ่งเป็นงานราตรีสโมสรของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดขึ้นที่สวนอัมพรทุกปี นิสิตถาปัดถูกเกณฑ์แรงงานเพียบ คราวนั้นผมได้รับบทเป็นผู้ถือเทียน เดินตามขบวนแห่อาภัสราแบบว่าใกล้ชิดแลกกลิ่นกันฟุ้งเลยทีเดียว

บทนี้ไม่ต้องมีการซ้อมมากมาย อยู่ๆผู้กำกับก็เดินมาชี้เอาๆในกลุ่มสร้างฉาก นี่คนนี้ๆ ๆ ตามมา ซ้อมกันครั้งเดียวว่าต้องทำอะไร พี่เขาก็ให้ไปแต่งหน้าแต่งตัว คืนนั้นแสดงเลย

ในห้องแต่งหน้านั้น ก็ไม่จำไม่ได้ว่าบริษัทเครื่องสำอางค์ยี่ห้อไหนเป็นสปอนเซอร์ ช่างสาวๆที่เขาส่งมานั้น แต่ละนางสวยจิ้มลิ้มทุกคน  พวกที่แต่งหน้าเสร็จแล้วก็ออกไปเล่าลือกัน พวกที่ทำฉากอยู่ก็อยากไปยลโฉมบ้าง เลยไปเข้าคิวรอแต่งหน้ากับเขาด้วย คืนนั้นปรากฏว่า พวกยกฉากเปลี่ยนฉาก และพวกขึ้นไปนั่งแคทวอร์คเหนือเวที คอยหมุนไฟฉายตามตัวแสดงก็ล้วนแต่แต่งหน้าทาอายแชโด้ว์ ปากแดงแจ๊ดด้วยกันทุกคน หลอนดีแท้


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 07:35
อาภัสรายิ่งไม่ต้องซ้อมเลย เธอมาถึงก็อยู่ในชุดสวยงามแล้ว ครั้นถึงคิวก็ออกมายืนตามตำแหน่ง มีหญิงสาวแต่งกายคล้ายกันประกบหน้าหลัง คนเดินข้างบอกน้องเดินตามพี่มานะคะ พี่ทำอะไร น้องก็ทำอย่างนั้น ภาพที่เห็นผมตัดมาจากหนังสือพิมพ์เก็บไว้ อาภัสราอยู่ซ้ายสุด ผมอยู่ขวาสุดในรูป

เราออกโรงในฉากสุดท้ายของเรื่อง เป็นขบวนแห่ที่เดินออกมาทางด้านล่างของเวทีทางด้านขวา ผ่านหน้าพระที่นั่งช้าๆ เห็นสมเด็จพระนางเจ้าทรงยิ้มหวาน ชูพระหัตถ์ปรบให้อาภัสราแบบระรัว เพราะเป็น surprise ถวายในคืนนั้น มิได้ให้ทรงทราบมาก่อน ในหลวงท่านทรงปรบพระหัตถ์ให้ราชินีในละครเช่นกัน แต่มิได้ทรงแสดงออกมากมายเช่นพระราชินีพระองค์จริง
พอขบวนแห่เข้ามุมเวทีด้านซ้ายก็เป็นอันจบการแสดง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 08:31
โรงเรียนจิตรลดาระหว่างที่สมเด็จเจ้าฟ้าทุกพระองค์ยังทรงเป็นนักเรียนอยู่นั้น จะจัดงานปีใหม่ทุกปี และบางปีนิสิตถาปัดก็ได้เข้าไปมีส่วนเสริมความสนุกให้แก่งานด้วย

ครั้งที่สนุกและแสนประทับใจที่พวกเราชาวถาปัดเล่าขานไม่จบ ก็เป็นครั้งที่พี่เป็ด รุ่นพี่คนหนึ่งผู้ทำงานในวังมาตามไปเล่นเป็นผี ในการละเล่นเขาวงกต  ซึ่งได้จัดสร้างไว้แล้วบนเกาะกลางน้ำบริเวณหนึ่งของพระราชวังจิตรลดารโหฐาน โดยนำผ้ามาขึงเป็นผนังสูงท่วมหัว เป็นทางเดินวกวนในพื้นที่ประมาณ ๑๐ เมตรคูณ ๑๐ เมตร ถ้าใครเลือกทางผิดก็จะวนอยู่ในนั้น แล้วจะต้องเจอพวกเราที่ใส่หน้ากากเป็นผี บ้างก็เอาสีทาหน้า แต่งกายด้วยผ้าคลุมเอาซ้อสมะเขือเทศราดให้ดูเป็นเลือดพอหลอนๆ หลบอยู่ตามซอกมุมต่างๆ คอยร้องโหยหวนหลอกผู้ที่จะพลัดหลงเข้ามา 

บนเกาะนั้นมืดมิดมีเพียงแสงสลัวๆของแบล็กไลท์แสงม่วงๆ  บรรยากาศก็พอหวังผลได้อยู่  ผู้ที่มาในงาน ส่วนใหญ่เป็นพระสหายร่วมชั้นของสมเด็จเจ้าฟ้าทุกพระองค์ หากผู้ใดนึกสนุก จะเข้ามาเล่นฆ่าเวลาก่อนเสด็จพระราชดำเนิน ก็ต้องนั่งเรือให้พนักงานพายไปส่งที่เกาะ ทางเข้าเขาวงกตมีทางเดียว เข้าไปแล้วเสียงวี๊ดว้ายกระตู้วู้ก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน หากพ้นมาได้แล้วจึงจะเจอสพานเล็กๆให้เดินหัวเราะคิกคักขึ้นฝั่ง

ผมไม่ได้ไปงานนี้หรอกครับ ไม่รู้ว่าวันนั้นไปไหนจึงได้พลาด  เพื่อนๆเล่าว่าพี่เป็ดมาที่คณะในช่วงวันหยุดปีใหม่ นิสิตมาคณะไม่กี่คน พอพี่เป็ดมาชวนก็เฮโลขึ้นรถบัสไปกับพี่เป็ดกันแทบทุกคน ที่นำมาเขียนนี้ก็รวบรวมจากความจำของเพื่อนๆเมื่อไม่นานมานี้เอง เพราะนำเรื่องไปเขียนลงหนังสือที่ระลึก ๕๐ ปี น้องใหม่จุฬาปี ๐๙


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 08:34
เพื่อนๆเล่าว่า พวกผีๆเมื่อรับมอบหมายหน้าที่ๆจะต้องกระทำแล้ว ก็ผลัดกันมาหาอาหารที่จัดไว้ตามซุ้มนั้นใส่ท้อง  ก่อนทะยอยกลับไปประจำที่ บางคนยังครวญครางถึงน้ำพริกปลาทู ที่นำปลาขนาดพอดีๆที่ทอดแล้วกรอบไปทั้งตัว บอกว่าอร่อยติดความทรงจำจนทุกวันนี้ แม้จะมีอาหารอื่นๆที่จัดไว้มากมายก็จำเมนูอื่นไม่ได้สักอย่างเดียว

เมื่อเจ้านายเสด็จมาแล้วงานก็คึกคักขึ้นเป็นอันมาก  ทูลกระหม่อมน้อยนั้น โปรดที่จะพายเรือเล่นกับพระสหาย ครั้นเสด็จเข้ามาในเขาวงกต ประเทืองเล่าว่าทรงนำลูกชิ้นปิ้งไปยื่นๆล้อผีว่าเอามั้ยๆ
ความจริงเหตุการณ์ในเขาวงกตนั้น ไม่มีใครจะบรรยายได้ครบ เนื่องจากเป็นเรื่องที่แต่ละคนประสบด้วยตนเอง  พิชัยกล่าวถึงทูลกระหม่อมเล็กว่า “ท่านไม่กลัวผี ทรงใช้หนังยาง เอาหลอดกาแฟมาทำแทนลูกกระดาษยิงผี จนผีต้องนั่งถวายบังคมยอมแพ้”  จิรศักดิ์เสริมต่อว่า “พอท่านหาทางออกไม่เจอ เลยทรงแหวกผนังผ้าออกไปเลย”

หลังเวลาอาหารไปแล้ว พระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสด็จมาทรงดนตรีกับสมาชิกวง อ.ส. และถึงรอบของแขกผู้ใหญ่ นานๆครั้งจะแวะเวียนนั่งเรือไปเล่นเขาวงกตบ้าง

 “ผมก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร” วีระชัยเล่า “ผมใช้ไฟฉายส่องใต้หน้ากากผี คอยทำเสียงแฮ่ๆใส่คนที่หลงเข้ามา พอเห็นว่าเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ผีปลอมก็แข็งทื่อจนแทบจะกลายเป็นผีจริง พระองค์ท่านจึงทรงยื่นพระหัตถ์มาขอไฟฉายของผมไป แล้วทรงส่องหาทางเสด็จต่อออกไปเลย”

 “ทูลกระหม่อมฟ้าชายนำพระสหายมาตอนใกล้จะดึกแล้ว” สมพงษ์เล่าบ้าง  “ทรงถือธูปมาปราบผีด้วย  พอผีออกมาแฮ่ก็ทรงเอาธูปไล่จี้ พวกผีก็แตกฮือออกไปนอกเขาวงกต แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ติดค้างอยู่นะ”

“บางคนก็วิ่งหนีทัน ผมคิดว่าตัวเองไม่ทันแน่ก็เลือกปีนต้นไม้ขึ้นไปหลบพระองค์ท่านด้วยกันกับใครอีกคนหนึ่งก็ไม่รู้ เพราะใส่หน้ากากทั้งคู่ ท่านก็เสด็จผ่านไปไม่ทอดพระเนตรขึ้นมาข้างบน เราสองคนเลยรอด” ปราโมทย์บอก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 08:35
“พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกลุ่มท้ายสุด เที่ยงคืนแล้วทรงนำนักดนตรีลงเรือ บรรเลงมาตลอดทาง แล้วทรงคลาริเน็ตนำแถวนักดนตรีเข้าไปในเขาวงกต” สมพงษ์เล่าตอนไคลแม็กซ์ของคืนวันนั้น  “คนบนฝั่งไม่เห็นอะไรนอกจากได้ยินแต่เสียงเพลง ชั่วครู่ จึงได้เห็นผีสองสามตัวเต็นย๊อกแย๊กตามจังหวะดนตรีออกมา โดยพระเจ้าอยู่หัวทรงคลาริเน็ตต้อนซ้ายต้อนขวา คนก็ฮากันครื้นเครง ทรงรุกไล่ด้วยเสียงดนตรีให้ผีเต้นถอยหลังข้ามสพานกลับเข้าไปหน้าเวทีโดยสวัสดิภาพ ท่ามกลางเสียงหัวเราะและปรบมือของทุกๆคนในงาน”

“ความหมายก็คือ พระองค์ท่านทรงไล่สิ่งชั่วร้ายให้หมดไปด้วยเสียงดนตรีเพื่อต้อนรับปีใหม่ที่ดีนั่นเอง” ประเทืองสรุป


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 08:37
 https://youtu.be/s4wcQpX7o9I?t=14 (http://youtu.be/s4wcQpX7o9I?t=14)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 08:42
ธรรมพล เล่าให้เพื่อนฝูงฟังต่อว่าตนคือผู้อยู่ที่นั่นสองคนกับชาญวิทย์  เมื่อเห็นพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้ามาก็นั่งคุกเข่าเพราะเข้าตาจนแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร พระองค์ท่านก็ทรงคลาริเน็ตส่ายไปส่ายมาอยู่เหนือศีรษะของชาญวิทย์  พอดีมีเสียงผู้ตามเสด็จเชียร์ว่าเต้นเลยๆ เราสองคนก็ลุกขึ้นเต้นระบำงูไปตามจังหวะเพลง  พอเห็นว่าทรงโปรดก็เลยยิ่งส่ายไปส่ายมาอย่างเมามัน ชาญวิทย์บอกว่าจังหวะหนึ่งที่ตนเต้นถอยหลังไปชนคลาริเน็ตของพระองค์ท่านที่ทรงไล่ตามอย่างกระชั้นชิด ได้ยินทรงอุทาน โอ โอ ก่อนจะทรงเป่าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นถึงฝั่งแล้วจึงได้หมอบกราบขอรับพระราชทานอภัยโทษ

พี่เป็ดจัดให้ทุกคนมาตั้งแถวถวายตัวหลังจากนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชเสาวนีย์กับพวกเรา ทรงขอบใจ แล้วรับสั่งให้พนักงานนำน้ำส้มมาเลี้ยงพวกผีๆ ทรงตรัสว่าคอคงจะแห้งเพราะแผดเสียงอยู่หลายชั่วโมง


นับเป็นศิริมงคลยิ่งในชีวิตของพวกเราแต่ละคนที่ประสบเหตุการณ์ดังกล่าว และถือเป็นประวัติอันสุดจะภาคภูมิใจของถาปัดจุฬาสมัยของผม  แม้พวกเราจะได้เข้าไปรับใช้สนองพระมหากรุณาธิคุณในโอกาสอื่นๆอีกหลายครั้ง  บางครั้งนั้น ระหว่างที่พวกเรากำลังจัดเวที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงแบดบินตันในห้องโถง พวกเราก็พากันหยุดงานมานั่งเฝ้า ครั้นทรงออกกำลังพระวรกายเสร็จแล้ว  พระองค์ท่านยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พวกเราทั้งหมดเข้าหมอบรับพระราชทานน้ำพระสุหร่ายเนื่องจากวโรกาสปีใหม่เป็นการเฉพาะอีกด้วย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 พ.ย. 16, 10:53
https://youtu.be/s4wcQpX7o9I?t=14 (http://youtu.be/s4wcQpX7o9I?t=14)

https://youtu.be/s4wcQpX7o9I


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 11:51
ขอบคุณคุณหมอมากครับ ผมทำวิธีเดิมๆอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ต้องขอความรู้หลังไมค์ด้วยครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 13:12
อ้อ เข้าใจแล้วครับ เพราะจุดเริ่มต้นของคลิปไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้เริ่มตรงจุดเริ่มต้น แต่จงใจจะให้เข้าตรงจังหวะที่ทรงดนตรีเลย มันจึงไม่ปรากฎภาพออกมาเป็นจอเช่นข้างบน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 พ.ย. 16, 14:19
เป็นเช่นนั้นแล  ;D

เคยใกล้ชิดในหลวงเมื่อรับปริญญาจากพระหัตถ์ ๒ ครั้ง

มีเรื่องอัศจรรย์เกี่ยวกับฟ้าฝนและรอยพระสรวลของในหลวงที่โรงเรียนสวนกุหลาบมาเล่าเสริม

วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗ วันนั้นเป็นวันที่ในหลวงทรงย่างพระบาทลง ณ โรงเรียนสวนกุหลาบ เพื่อทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕ และทรงเปิดตึก ๑๐๐ ปี ฝนฟ้าตกลงมาหลายวันแล้ว จนเป็นที่หวั่นวิตกของคณะครูอาจารย์ว่าพระพิรุณจะโปรยปรายลงมาอีก แต่คงเป็นเพราะพระบารมีของในหลวงทั้งสองรัชกาล ทำให้พระพิรุณท่านเกรงพระทัยมิได้ส่งสายฝนลงมา และพระสุริยาทิตย์มิได้สาดแสงลงมาแรงนัก ทำให้อากาศในวันนั้นเย็นชื่นฉ่ำยิ่ง

หลังจากเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕ และตึก ๑๐๐ ปีแล้ว เสด็จพระราชดำเนินเข้าในตึก ๑๐๐ ปี เพื่อทอดพระเนตรโขนนักเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ในวันนั้นนักเรียนแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอน พระรามตามกวาง สีดาหาย และ หนุมานถวายพล เมื่อการแสดงจบแล้ว ผู้แสดงโขนไปนั่งส่งเสด็จฯที่ทางออกด้านขวา เมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาถึง ทรงมีพระราชปฎิสันถารกับคณะโขนด้วยพระพักตร์ที่แย้มพระสรวลตลอดเวลา ทรงมีพระราชดำรัสชมเชยว่า

“เล่นเก่งมาก แสดงได้เหมือนโขนอาชีพ ฝึกซ้อมนานไหม”

ผู้แสดงคนหนึ่งกราบบังคมทูลตอบว่า
“ใช้เวลาฝึกซ้อม ๒ เดือนครับ”

ทรงมีพระราชปฎิสันถารกับผู้แสดงเป็นทศกัณฐ์ว่า
“คงเหนื่อยซีนะ เราคนเดียวต้องถูกเขารุมรบทั้งพระราม พระลักษณ์ หนุมาน ก็แพ้เขาน่ะซี”

ตรัสถามว่า
“จะแสดงอีกไหมนี่”

ทศกัณฐ์ทูลตอบทันที
“ถ้าท่านเสด็จอีก ผมก็จะแสดงอีก”

ในหลวงทรงพระสรวล ผู้ที่ตามเสด็จฯก็หัวเราะและยิ้มตาม ๆ กัน

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินออกจากตึก ๑๐๐ ปี ทรงปลูกต้นราชพฤกษ์ที่หน้าตึก ในขณะนั้นราชองครักษ์ที่ตามเสด็จท่านหนึ่งได้ปรารภขึ้นว่า

“เอ โรงเรียนสวนกุหลาบนี่ มีอะไรดีนะ ทำให้ในหลวงทรงพระสรวลได้หลายครั้ง พวกเราไม่เคยเห็นรอยพระสรวลอย่างนั้นมานานแล้ว”

จาก เกร็ดชื่นใจในวันรับเสด็จ โดย อ.เนาวรัตน์ พลเดช (http://www.osknetwork.com/modules.php?name=News&file=article&sid=583)  หนังสือ สมานมิตร รุ่น ๑๐๓ (พ.ศ.๒๕๒๗)



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 พ.ย. 16, 15:35
การแสดงโขนเฉพาะพระพักตร์ในวันนั้น

https://youtu.be/ojofOtkO-Oo


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 16, 16:00
ภาพข้างบนสวยงามมากครับ ทรงยิ้มอย่างเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาจริงๆ
ย้อนขึ้นไปดู พ.ศ. แล้ว เป็นไปได้มากเลย ที่ราชองครักษ์จะว่าไม่เคยเห็นรอยพระสรวลอย่างนั้นมานานแล้ว

หลัง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ทรงงดงานทรงดนตรีของทุกมหาวิทยาลัย และการเสด็จพระราชดำเนินงานรื่นเริงราตรีสโมสรทั้งหมด ปิดสมัย Golden Period ของราษฎรไทยในยุค Renaissance ของรัชกาลที่ ๙
ชีวิตของพระพุทธเจ้าอยู่หัวในภาคต่อไป ทรงมีแต่งาน งาน และ งาน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 03 พ.ย. 16, 21:13
ด้ามเพลาหักนี่มุขนิยายทุกเล่มเลยนะครับ ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง แล้วจำเพาะต้องมาหักเอางานใหญ่เสียด้วย

ผมก็เคยกำกับละครเวทีตอนม.5 เรื่องพระมหาชนกเสียด้วย (ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก) ยัดเยียดบท "ต้นไม้"เอย "ก้อนหิน"เอย และที่สำคัญ "ทะเล" ให้กับเพื่อน ๆ คือเอาผ้าสีฟ้ายาว ๆ มาโบกสะบัดเป็นคลื่นอยู่ด้านหลังเรืออีกที

แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีบท"น้ำตก"มาก่อน  :D


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 16, 07:54
แหม ผมก็ไม่ได้เป็นนักอ่านนิยายเสียแล้วตั้งแต่เข้าวัยทำงาน  เลยไม่รู้ว่าเขาเอาด้ามเพลาหักมาเป็นมุขในนิยายทุกเล่ม ยิ่งถ้ารู้ก่อนจะต้องรับบทนี้แล้วละก็ พี่เบี๊ยวแกสั่งผมไม่ได้แน่ละ คุณเอ๋ย

แล้วถ้าคุณจะมีบทให้น้ำตกในฉากละครมันเคลื่อนไหวได้ อย่าได้มอบบทให้ใครเข้าไปเล่นแบบใช้มือคนนั่งหมุนด้ามเพลาเป็นอันขาด จงใช้เครื่องทุ่นแรงเถิด มอเตอร์ตัวละไม่กี่บาท อุปกรณ์อื่นเช่นตลับลูกปืนและโซ่ขับฯลฯ รวมแล้วก็ไม่สักกี่เท่าไหร่  หาช่างมืออาชีพหน่อยก็แล้วกัน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 16, 08:42

หลัง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ทรงงดงานทรงดนตรีของทุกมหาวิทยาลัย และการเสด็จพระราชดำเนินงานรื่นเริงราตรีสโมสรทั้งหมด ปิดสมัย Golden Period ของราษฎรไทยในยุค Renaissance ของรัชกาลที่ ๙
ชีวิตของพระพุทธเจ้าอยู่หัวในภาคต่อไป ทรงมีแต่งาน งาน และ งาน

แม้จะมิได้ทรงโปรดเกล้าให้งด แต่หลังวันมหาวิปโยค ๑๖ ตุลาแล้ว สังคมไทยเปลี่ยนโฉมไปทันที กิจกรรมบันเทิงในทุกมหาวิทยาลัยงดหมดตามนโยบายของศูนย์นิสิตนักศึกษา ซึ่งตอนนั้นมีฐานะแบบไม่เป็นทางการประดุจรัฐบาลเงาของชาติแทนสถาบันทหาร นายพลนายพันที่ผมรู้จักจำต้องแต่งกายนอกเครื่องแบบเวลามาปรากฏตัวนอกกรมกองอยู่พักใหญ่

กิจกรรมกิฬาก็ไม่เว้น รวมทั้งที่เล่นกันหลายสิบปีมาแล้วจนเป็นประเพณีก็ถูกเลิกไปด้วย คือฟุตบอลประเพณีระหว่างจุฬาและธรรมศาสตร์ ซึ่งทุกปีจะเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรทั้งสองพระองค์  ในช่วงที่รักกันสุดๆนั้นจุฬาธรรมศาสตร์ได้เพื่มรักบี้ประเพณีเข้าไปอีกด้วย และเพื่อฉลองไฟฟ้าที่สนามศุภชลาศัยติดตั้งขึ้นใหม่เพื่อให้ใช้แข่งขันในเวลากลางคืนได้ รักบี้ประเพณีจุฬาธรรมศาสตร์จึงกำหนดเวลาการเล่นหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เพราะจะมีการแปรอักษรโดยใช้ไฟฉายเล่นสีด้วยการฉายแสงผ่านกระดาษแก้วสีต่างๆที่แผนกเชียรตัดเป็นแผ่นเล็กๆไว้ให้ แทนการแปรอักษรแบบใช้ผ้าหรือกระดาษสีที่ยังทำกันอยู่ในทุกวันนี้

นี่ เขียนจากความทรงจำของผมเองในกระทู้หนึ่งของเรือนไทยนี้แหละ ขอยกมาให้อ่านกันอีกที

หลังจากลมหนาวเข้าฉาย ไม่นานเพลงสดุดีมหาราชาก็โด่งดังจนร้องกันได้แทบทุกคน ปีนั้น หลังการแข่งขันรักบี้ประเพณีจุฬาธรรมศาสตร์ ชิงถ้วยพระราชทาน“มหิดล” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าปกติจะเสด็จทอดพระเนตรด้วย เมื่อจะเสด็จพระราชดำเนินกลับ ประธานจัดการแข่งขันได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นิสิตนักศึกษาทั้งสองสถาบัน ร่วมกันร้องเพลงสดุดีมหาราชาถวาย คนทั้งสนามได้ลุกขึ้นยืนร่วมร้องกับนิสิตนักศึกษาด้วยอย่างพร้อมเพรียง กำหนดกันไว้ว่าจะร้องสามจบ แต่เมื่อครบแล้วก็มีคนขึ้นต้นร้องต่อ ทุกคนก็ร้องตาม เป็นอย่างนี้ไม่รู้สักกี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว ทรงขยับจะเสด็จพระราชดำเนินกลับก็ไม่ยอม ช่วยกันเปล่งร้องแบบไม่มีเสียงตก ผมว่าน่าจะเกินสิบเที่ยวไปโขอยู่
ในที่สุดก็ทรงลุกขึ้นประทับยืน แย้มพระสรวลทั้งสองพระองค์เพื่อเป็นสัญญาณ สักพักใหญ่ก็ไม่มีวี่แววว่าพวกเราจะหยุดร้อง  ในที่สุดแล้วจึงทรงโบกพระหัตถ์ให้นิสิตนักศึกษา แล้วทรงหันหลังออกไปจากบริเวณที่ประทับ แต่เสียงร้องก็ยังหาได้ยุติลงไม่ นัยว่าเพราะรถพระที่นั่งยังเคลื่อนออกไปไม่พ้นสนามศุภชลาศัย แม้เวลาผ่านไปนานจนน่าจะพ้นแล้ว เสียงเพลงสดุดีมหาราชาก็ยังไม่ยอมจบ จนประธานเชียรทั้งสองมหาวิทยาลัยต้องออกไปประกาศให้ยุติ  แยกย้ายกันกลับบ้าน หลายครั้งหลายคลา แล้วให้สนามดับไฟไล่ จึงได้ทยอยกันออกจากอัฒจรรย์โดยหลายกลุ่มก็ไม่ได้หยุดร้อง เสียงเพลงได้เงียบลงจริงๆก็หลังจากที่ทุกคนพ้นประตูสนามศุภเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน

ต่อมาได้ข่าวจากประธานเชียรส.จ.ม.ว่า ทรงเป็นห่วงพวกเรามากโดยเฉพาะพวกผู้หญิง น่าจะได้กลับบ้านกันก่อนจะดึกเกิน จึงไม่ทรงอนุญาตให้ร้องเพลงสดุดีมหาราชาเช่นนี้อีกในปีต่อๆไป

หลังจากนั้นมา ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นโดยมิได้นัดหมายเช่นนี้อีกเลย



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 16, 13:28
เรื่องอื่นๆในจุฬาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงผมจะขอผ่านนะครับ

สุดท้ายในชีวิตมหาวิทยาลัยของผมก็จบในวันพระราชทานปริญญา  ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ถือว่าได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระพุทธเจ้าอยู่หัวที่สุด คือในระยะพระหัตถ์


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 16, 13:33
ในปีที่สำเร็จการศึกษานั้นเอง ผมได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าให้อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์  ในการอุปสมบทเป็นพระภิกษุนาคหลวง ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  เสร็จแล้วได้ไปจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร

พระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จมาในพระราชพิธีอุปสมบทนาคหลวง เพื่อพระราชทานอัฐบริขารแก่พระภิกษุที่บวชในวันนั้นทุกรูป  ครั้งนั้น ผมในเพศบรรพชิตได้ยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ในระยะที่ใกล้พระองค์ยิ่งขึ้น และนานยิ่งขึ้นไปอีก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 16, 13:35
ครั้งสุดท้ายที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทใกล้ชิดที่สุด  ถึงระยะที่ทรงใช้พระดัชนีเจิมหน้าผากให้  ก็ในวันสมรสพระราชทาน  นับว่าเป็นศิริมงคลยิ่งใหญ่สำหรับการเริ่มต้นชีวิตครอบครัว  ซึ่งผมยังคงดำรงชีวิตคู่อยู่กับศรีภรรยามาจนทุกวันนี้


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 16, 09:32
ท่านคงเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นในภาพทั้งสามนั้น ผู้ที่ปลื้มเท่าๆหรือมากกว่าผมก็คือแม่ของผมเอง ท่านพร่ำรำพันในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลในทุกโอกาส สวดมนต์ภาวนาถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านทุกวันไม่เคยเว้น และปรารภอยากจะทำอะไรสนองพระมหากรุณาธิคุณบ้าง

ต้องปูพื้นหลังนิดนึง แม่ผมเป็นเจ้าของกิจการและอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสวนเด็ก ซึ่งเปิดสอนทั้งระดับอนุบาลและประถม แล้วในวันหนึ่งโอกาสนั้นก็มาถึง เมื่อหม่อมดุษฎี บริพัตร นายกสมาคมอนุบาลศึกษานำความมาแจ้งต่อที่ประชุมกรรมการว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริจะทำโครงการสาธิต ระบบการศึกษาทางไกลตามแนวที่รัฐบาลออสเตรเลียประสบความสำเร็จ ในการกระจายความรู้ไปสู่โรงเรียนตามท้องถิ่นห่างไกลที่ขาดครูผู้ชำนาญในวิชาการสาขาต่างๆ โดยใช้วิทยุเป็นสื่อการเรียนการสอน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สมาคมคัดเลือกผู้ที่จะไปศึกษาดูงานที่ซิดนีย์ ในโปรแกรมทั้งหมด ๖ เดือน เพื่อกลับมาทำโครงการพระราชดำรินี้ให้สถานีวิทยุ อส. พระราชวังดุสิต เมื่อหม่อมพุ่งเป้ามายังแม่ว่าเป็นผู้เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นั้น แม่จึงยากที่จะปฏิเสธ

กล่าวโดยย่อ แม่ตั้งอกตั้งใจทำงานนี้เต็มที่หวังจะให้ไม่ทรงผิดหวัง เมื่อกลับแล้วก็เริ่มดำเนินโครงการวิทยุเพื่อการศึกษา ร่วมกับสถานีวิทยุ อส. ซึ่งมีคุณขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นนายสถานีอยู่หลายปี แบบอุทิศทั้งแรงกายและแรงทรัพย์ไม่ยอมเบิกค่าใช้จ่ายใดๆเลย รายการนี้เมื่อระบบสื่อสารมวลชนได้พัฒนาไปถึงระดับที่เสียงและภาพไปด้วยกันแล้ว โครงการนำร่องที่พระองค์ท่านทรงริเริ่มทดลองไว้ได้เติบโตเป็นมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม โดยคุณขวัญแก้วเป็นประธานมูลนิธิดังกล่าว ทำการออกอากาศที่พระราชวังไกลกังวลมาตราบจนทุกวันนี้


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 16, 09:44
แม่จะเจียดเวลาช่วงบ่ายไปทำงานผลิตสื่อที่จะใช้ออกอากาศที่สถานี ซึ่งตั้งอยู่ภายในพระราชวังสวนจิตรลดา สัปดาห์หนึ่งๆหลายวัน ที่พลาดไม่ได้ก็คือวันศุกร์ เพราะหลังเวลาเลิกงานของแม่แล้ว บางครั้ง พระพุทธเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาทรงดนตรีร่วมกับวง อส.ออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงด้วย ซึ่งแม่จะนั่งรอเฝ้าอยู่ในทางที่จะเสด็จพระราชดำเนินผ่าน เวลาที่เสด็จมาแล้วทอดพระเนตรเห็นแม่ก็จะทรงยิ้มให้

แม่เป็นคนที่ทำอะไรจริงจัง แม้จะเป็นงานเพื่อการกุศลไม่มีค่าตอบแทน ก็ไม่เคยทำแบบขอไปที วันหนึ่งจึงได้รับหนังสือเจริญพรมาจากพระสาสนโสภณ (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมณศักดิ์นี้เรียกกันโดยย่อว่าท่านเจ้าคุณสา ให้ไปพบ
ท่านเจ้าคุณสาเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารองค์นี้ต่อมาก็คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เวลาแม่ไปหาพระท่านมักจะให้ผมไปเป็นเพื่อนด้วย ผมจึงทราบว่าสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงอาราธนาให้ท่านเจ้าคุณสาจัดทำรายการธรรมะที่เข้าถึงง่ายสำหรับบุคคลทุกวัย เพื่อเผยแพร่ออกอากาศทางสถานีวิทยุ อ.ส. ท่านจึงมีความประสงค์ที่จะมอบหมายให้แม่เป็นผู้รับผิดชอบรายการบริหารทางจิตสำหรับเด็กเล็ก โดยจะมีอาจารย์โสมรัสมิ์ จันทรประภา เป็นผู้รับผิดชอบรายการบริหารทางจิตสำหรับเด็กวัยรุ่น ส่วนท่านเจ้าคุณสาเองจะเป็นผู้รับผิดชอบรายการบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่ แม่กราบรับบัญชาของท่านด้วยความยินดี โดยนำพระพุทธประวัติมาเรียบเรียงเป็นบทวิทยุตามที่ท่านแนะนำ

บทวิทยุนี้แม่ทำไว้ทั้งหมดตั้งแต่บทประสูติจนถึงปรินิพพาน รวมกันแล้วถึง ๑๓๖ ตอน แต่ละตอนเป็นการบรรยายแบบเล่านิทาน ใช้เพลงไทยเดิมที่แต่งบทขับร้องขึ้นใหม่ให้สั้นกระชับเข้ากับเนื้อเรื่องบรรเลงประกอบ ถึงวันออกอากาศวันใด ศิลปินกรมศิลปากรสองท่านจะมาทานข้าวกลางวัน แล้วซ้อมกันที่โรงเรียนสวนเด็กสักพัก ก่อนจะขึ้นรถตู้ของโรงเรียนไปสถานีวิทยุ อ.ส.กับแม่เพื่อออกอากาศกันแบบสดๆ 


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 16, 09:47
วิธีการของท่านเจ้าคุณสาที่แม่นำมาปฏิบัติที่โรงเรียนสวนเด็กก็คือ เมื่อพักหลังอาหารกลางวันก่อนจะถึงเวลาการเรียนคาบบ่าย โรงเรียนจะจัดให้เด็กระดับประถมเข้านั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยในห้องประชุม แล้วจึงเปิดวิทยุ (ซึ่งภายหลังการออกอากาศแล้ว ได้เปลี่ยนเป็นเปิดเทปบันทึกเสียง) เด็กจะถูกฝึกให้นั่งในท่าทำสมาธิ หลับตาและตั้งใจฟัง “นิทาน” พระพุทธประวัติที่แม่บันทึกเสียงด้วยตนเองอย่างนุ่มนวล เคล้าคลอด้วยเสียงระนาดฝีมือ ครูเมธา หมู่เย็น ผู้มีฉายาว่าเพชรน้ำเอกแห่งวงการดนตรีไทย กับเสียงสบายหูของศิลปินนักร้องของกรมศิลปากรที่ผลัดเวียนกันมา เด็กจึงนั่งนิ่งเงียบฟังอย่างเพลิดเพลินอยู่เป็นเวลา ๑๐ นาที ซึ่งนานเท่าที่เด็กประถมจะดำรงสมาธิอยู่ได้

วิธีการนี้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการเริ่มต้นฝึกเด็กให้มีสมาธิ  การหลับตานั่งแล้วตั้งจิตตั้งใจติดตามเสียง และสาระของ “นิทาน” ที่เด็กชอบและยอมรับปฏิบัติ จะได้สมถกรรมฐานอันมีพลังอานิสงส์แก่เด็กเองสำหรับกระทำอานาปานสติในกาลข้างหน้า  ซึ่งการเล่านิทานผ่านสื่ออื่นเช่นโทรทัศน์ไม่สามารถสร้างสมาธิที่สงบแน่วแน่ ดังเช่นวิธีที่ใช้เสียงรับอารมณ์เพียงอย่างเดียวได้ ดังนั้น หลังจากปฏิบัติเช่นนี้ได้ระยะหนึ่งจึงมีผู้ปกครองหลายรายได้มาคุยกับแม่อย่างปลาบปลื้ม เมื่อสังเกตเห็นลูกนั่งทำสมาธิเองที่บ้านบ้าง ขณะรถติดบ้าง โดยทึ่งว่าโรงเรียนใช้วิธีการฝึกสอนอย่างไร นักเรียนเก่าสวนเด็กหลายคนกล่าวกับผมว่า ทุกวันนี้ยังได้ปฏิบัติอยู่ ต่อยอดจากกรรมฐานที่อาจารย์คุณหญิงได้เริ่มต้นปลูกฝังไว้

รายการบริหารทางจิตสำหรับเด็กเล็กประสบความสำเร็จมาก ออกอากาศติดต่อกันถึงสองปีจึงหมดชุด และสถานีวิทยุ อ.ส. ได้ออกอากาศรายการของแม่ซ้ำอยู่ร่วมสามสิบกว่าปีติดต่อกัน ผลงานของแม่นี้ถือเป็นชิ้นเอกที่ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พระราชทานตราจุลจอมเกล้าฯฝ่ายแก่แม่ ทำให้แม่มีคำนำหน้านามเป็นคุณหญิง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 16, 09:50
ต่อมาวันหนึ่งแม่บอกผมว่าแม่ปรารภกับคุณขวัญแก้ว อยากจะทูลเกล้าถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งคุณขวัญแก้วจะจัดให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ในระหว่างที่เสด็จมาทรงดนตรีนี่แหละ เพราะเป็นวันที่ทรงสบายพระอารมณ์ จึงชวนให้ผมกับลูกสะใภ้ไปร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย

แล้ววันนั้น เป็นวันที่ผมได้ประจักษ์อีกภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้าอยู่หัว


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 16, 09:14
ในห้องที่จะทรงดนตรีออกอากาศของสถานีนั้น นอกจากเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องแล้ว ก็มีเราสามคนและคณะบุคคลอื่นเล็กๆ ที่มาขอเข้าเฝ้าถวายเงินเพื่อร่วมพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยเช่นกัน แต่รวมแล้วก็ไม่กี่คน นั่งรอไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออก พระพุทธเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์เสื้อไหมไทยสีน้ำตาลอ่อนเสด็จเข้ามาประทับบนพระเก้าอี้ เมื่อทรงพร้อมแล้วผมก็นำสิ่งที่เตรียมมาขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายในนามของแม่ เสร็จแล้วจึงตามด้วยคณะอื่นๆ ไม่กี่นาทีก็หมดคิว

พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงยืดพระองค์ขึ้นพิงพนักพระเก้าอี้ตามสบาย ทรงยิ้มนิดๆและกวาดสายพระเนตรมองเราก่อนจะมาหยุดที่ผม ซึ่งนั่งเฝ้าอยู่แถวหน้าริมสุด ทรงกล่าวพระราชทานพรทุกคน แต่พรของพระองค์นั้น เป็นธรรมะเนื้อๆ เช่นเดียวกับที่พระสงฆ์ระดับครูบาอาจารย์เทศนาให้สานุศิษย์สดับ

ในสภาพจิตใจที่ตื่นเต้นขนาดหนักในช่วงนาทีเหล่านั้น ผมเชื่อว่าไม่มีใครจะจำสิ่งที่พระองค์ตรัสได้ทุกประโยค สำหรับผมก็เพียงแต่ปล่อยให้พระราชกระแสนั้น ไหลลื่นผ่านอายตนะตาหูลง เข้าไปสู่ใจ
สิ่งที่เข้าใจในครั้งนั้น คือทรงกล่าวถึงหลักของคุณธรรม เริ่มด้วยการคิดด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ก่อนจะพูดจะทำสิ่งไร จำเป็นต้องหยุดคิดเสียก่อน เพื่อรวบรวมสติให้ตั้งมั่น

มีท่อนนี้ที่จำได้แม่นยำ ทรงกล่าวว่า “ ให้สติเป็นเสมือนยามเฝ้าประตู คอยดูว่า มีความชั่วร้ายตัวใดพยายามจะผ่านมาสู่จิตใจของเราบ้าง หากสติเห็นแล้วเราก็หยุดมันเสียที่หน้าประตู กิเลศมันก็เข้ามาครอบงำจิตใจของเราไม่ได้ เราก็จะไม่ทำสิ่งผิดเป็นการก่อกรรมใดๆ”
ทรงกล่าวต่อว่า เมื่อฝึกหัดการมีสติจนคุ้นเคยชำนาญแล้ว จะกระทำได้คล่องแคล่ว ช่วยให้สามารถแสดงความรู้ ความคิด และกระทำการต่างๆไม่ผิดทั้งหลักวิชาทั้งหลักคุณธรรม

ในสภาพการณ์จริงของวันนั้น พระธรรมเทศนาทั้งกัณฑ์ที่ทรงแสดงนานมากกว่าเนื้อความข้างบนมาก ผมนั่งจ้องพระองค์ตาแทบจะไม่กระพริบ พอสายพระเนตรทอดมาที่ผมทีไร ผมก็ค้อมศีรษะยกมือที่พนมอยู่ขึ้นไปจรดหน้าผาก แล้วขานรับว่า “พระพุทธเจ้าค่ะ”ค่อยๆเพียงให้ถึงพระกรรณ เลยทรงมองผมบ่อย จนสุดท้ายก็เหมือนดังว่าทรงเทศนาโปรดผมคนเดียว คนอื่นเพียงแต่ร่วมฟังอยู่
อันนี้ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตนเอง เพราะเมื่อออกมาจากห้องนั้นแล้วหลายคนมาเอ่ยกับผมเช่นนั้น

สติของผม ที่พระองค์ท่านพระราชทานคำสอนให้เริ่มปลูกในวันนั้น บัดนี้ยังคงมั่นคงในจิตใจ และได้รับการฝึกฝนต่อทุกวันทุกคืนให้มันเกิดรวดเร็วขึ้นในการตรวจจับกิเลศ เวลานี้ไอ้ตัวโลภะโทษะหยาบๆ คิดว่าไม่มีทางผ่านเข้ามาครอบงำจิตของผมแล้ว แต่ตัวโมหะและโลภะโทษะที่ละเอียดๆยังหลุดเข้ามาได้อยู่เป็นพักๆ ก่อนที่สติจะตรวจพบแล้วนำออกไป แม้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซนต์ก็ตามที


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 16, 10:05
ครูบาอาจารย์ต่อยอดให้ผมว่า สตินั้น ต้องฝึกให้เกิดขึ้น ไม่ใช่บังคับให้เกิด เพราะสติเป็นอนัตตา แปลว่าบังคับไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นเองตามเหตุ โดยเหตุใกล้ของสติคือ ถิรสัญญา คือการที่จิตจำสภาวะได้แม่น

 “ถิร” หรือ เสถียร แปลว่ามั่นคงแน่วแน่ รู้อย่างถิรสัญญาหมายถึงว่า รู้อยู่ถี่ๆ รู้อยู่บ่อยๆ รู้จนจิตจำสภาวะได้แม่น เช่นจำได้ว่าโลภเป็นยังไง โกรธเป็นไง หลงเป็นไง ดังนั้น ยกตัวอย่างตัวหยาบที่สุด เช่นต่อมาพอความโกรธเกิด จิตจำความโกรธได้แม่น ถิรสัญญาจะทำให้สติเกิดขึ้นเองว่าความโกรธเกิดขึ้นแล้ว เราก็จะไม่ปล่อยให้ตัวตนไปก่อกรรมอันเนื่องมาจากความโกรธนั้นๆต่อ
 
ดังนั้นหน้าที่ของผู้ฝึกตนเองให้มีสติก็คือ หัดรู้สภาวธรรมให้มาก เช่น จิตใจในนาทีนี้ เราเกิดรักเกิดเกลียด ชอบไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ โกรธไม่โกรธ พอใจไม่พอใจ ฯลฯ ฯลฯ ให้รู้สึกตัว ถิรสัญญาที่สะสมมากเข้าๆจนวันหนึ่งจะเกิดสติอัตโนมัติเร็วขึ้นๆ เห็นสภาวธรรมดังกล่าวทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลว่องไวละเอียดขึ้นๆ

ผู้ปฏิบัติได้ดังนี้ พอถึงระดับหนึ่ง จะก้าวเข้าสู่ธรรมะขั้นโลกุตตระต่อไป


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 06 พ.ย. 16, 10:16
......สาธุ.......ติดตามมาตลอด       ชอบมากค่ะ :)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 16, 10:23
ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ผู้ล่วงลับ เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเล่าว่า

"ผมเคยนั่งอยู่หลังในหลวงมาเป็นเวลา ๕ ปี ในหลวงเนี่ยมาพระราชทานปริญญา ในหลวงเนี่ยมาแจกรางวัลศิลปกรรมแห่งชาติ ผมเคยเฝ้าแหนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ผมเห็นว่าพระองค์เป็นคนเดียวเท่านั้นที่นั่งนิ่งอยู่ ๓ ชั่วโมง ไม่เคยกระดิกกระเดี้ยเนื้อตัวเลย เหมือนสุวรรณประติมาตั้งอยู่บนเรือทอง นิ่งสง่างาม ท่านจะไม่หลุกหลิก จะไม่ก้มลงไปกินน้ำ คุยกับข้าราชบริภาร ท่านจะนั่งนิ่งสง่างามอยู่อย่างนั้น ๓ ชั่วโมงถึงจะลุกไป

อันนั้นทำให้ผมเรียนรู้ว่า ขันติคืออะไร ขันติคือความอดทน ขณะเดียวกันผมรู้ว่าเสงี่ยมงามหรือโสรัจจะนั้นคืออะไร ไม่ใช่ขันติ นั่งหน้าบึ้ง แต่ขันติ นั่งอดทน เสงี่ยมงาม คือมีทั้งขันติ และมีทั้งโสรัจจะ มีทั้งหิริมีทั้งโอตัปปะ คือมองเห็นความสง่างามในองค์มหาราช ซึ่งไม่ไหวหวั่น รู้ว่านั่ง นอน ยืน เดิน หายใจเข้าหายใจออก นั่นคือเริ่มต้นของสิ่งที่เราเรียกว่า กายานุปสสนาสติปฏฐาน เมื่อรู้กายานุปสสนาสติปฏฐาน รู้ว่านั่ง นอน ยืนเดิน หายใจ เมื่อนั้นจึงรู้ว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้นเป็นอย่างไร และจากเวทนาจะขึ้นสู่จิตตานุปัสนาสติปัฏฐานขึ้นไปสู่ธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน เรียกว่ามหาสติปัฏฐานสี่ ซึ่งองค์มหาราชท่านมีมหาสติปัฏฐานสี่ครบถ้วนบริบูรณ์"



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 16, 10:26
บุญญาธิการระดับพระโพธิสัตว์นั้น ผมได้เล่าไปบ้างแล้วในตอนต้นๆ แต่ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดต่อหน้าต่อตาตนนั้น ผมกำลังจะเล่าในลำดับต่อไป


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Onsiri C. ที่ 07 พ.ย. 16, 14:37
ไม่ทราบว่าจะเป็นการสมควรหรือไม่คะถ้าจะกราบขออนุญาตอ.นวรัตน น้อมนำพระบรมราโชวาทเรื่องสติ ที่พระองค์ท่านได้ให้อาจารย์ไว้ ไปเผยแพร่ให้ลูกศิษย์ได้รับทราบ เพราะช่างเหมาะเจาะกับเหตุการณ์ปัจจุบันนี้เหลือเกินค่ะ (มินิสีเหลือง)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ย. 16, 16:46
ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ

ธรรมะของพระพุทธองค์ที่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลพระราชทานให้ผมก็ในฐานะที่ผมเป็นราษฎรภายใต้พระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งคนไทยทุกคนเป็นเช่นผมมิได้มากน้อยกว่ากัน ใครจะน้อมนำไปใช้ในการดำรงชีวิตก็ย่อมเป็นประโยชน์สุขของบุคคลผู้นั้น


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Onsiri C. ที่ 07 พ.ย. 16, 22:44
ขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ

Everywhere I look, I see His Grace

_/\_


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 08 พ.ย. 16, 00:24
ผมสนใจใคร่ลองฟัง รายการบริหารทางจิตสำหรับเด็กเล็ก (พุทธประวัติ)
หากเคยบันทึกไว้ในสื่ออินทรเนตร  รบกวนคุณ navarat ช่วยชี้ช่องให้ด้วยครับ  ขอบคุณครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 พ.ย. 16, 09:00
ผมขอผลัดเรื่องข้างบนออกไปก่อนนะครับ
บัดนี้จะของเล่าถึงบุญญาภินิหารอันได้แจ้งประจักษ์ ซึ่งเกิดในปีที่บ้านเมืองมีงานฉลองกาญจนาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงมีหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน ด้วยกระบวนพยุหยาตราโดยชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม เมื่อวันที่ ๗ พ.ย. ๒๕๓๗ โดยจะทรงประทับเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ซึ่งกองทัพเรือสร้างถวายเป็นครั้งแรกในรัชกาลนี้

ผมไปรอดูขบวนเสด็จอยู่บนตึกสูงริมแม่น้ำ ทิวทัศน์ในห้องนั้น ด้านหนึ่งสามารถมองย้อนขึ้นเหนือ เห็นท่าวาสึกรีอยู่ลิบๆ  ส่วนอีกด้านหนึ่งเห็นสะพานพระปิ่นเกล้าอยู่เบื้องล่าง ไกลออกไปตามสายแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นพระปรางค์วัดอรุณอย่างชัดเจน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 พ.ย. 16, 09:01
ถาพนี้ถ่ายในขณะมีการซ้อมใหญ่ครับ จึงออกไปยืนถ่ายภาพบนระเบียงได้ แต่วันจริงนั้น ทางราชการได้ขอความร่วมมือมาให้อยู่แต่ให้ห้อง ห้ามออกไปยืนนอกระเบียงเป็นอันขาด


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 พ.ย. 16, 09:11
ครั้นถึงวันเสด็จพระราชดำเนิน บรรยากาศช่วงฝนทิ้งฤดูก็เหมือนกับที่เวียนมาบรรจบในวันที่เขียนกระทู้นี้แหละครับ ก่อนเวลาที่จะเสด็จเล็กน้อย พายุฝนที่ตั้งเค้าดำทมึนก็แสดงท่าทีว่าจะอั้นไม่อยู่แน่ ผมเริ่มภาวนา ไม่อยากให้ฝนมาทำเสียพระราชพิธีเลย  พอเริ่มตกโปรยปรายแถวท่าเตียน ลมกระโชกแรงมาทางที่ผมเฝ้าดูอยู่ก็เรื่มใจระทึก นึกถึงพระบุญญาธิการที่เทวดาจะหยุดฟ้าห้ามฝนมิให้ต้องพระองค์ แต่คราวนี้ชักจะไม่ไว้ใจเทวดาเอาเสียเลย
 
พอสายฝนโปรยมาถึงสะพานพระปิ่นเกล้า ผมซึ่งขณะนั้นก็ดูถ่ายทอดสดทางทีวีอยู่ในห้องไปด้วย เห็นที่ท่าวาสุกรีแดดยังแจ่มอยู่ พระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงตรงเวลาแล้วลงสู่เรือพระที่นั่ง พอประทับเรียบร้อยเรือพระที่นั่งออกมาตั้งลำกลางแม่น้ำได้เท่านั้น ทั้งพายุทั้งฝนก็โหมกระหน่ำแบบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ภาพในทีวีและเสียงพากษ์หากท่านผู้ใดดูอยู่ คงจำได้ว่าทำให้เกิดอาการระทึกหัวใจเพียงไร แต่คงจะไม่เท่ากับการได้เห็นภาพจริงๆดังเช่นที่ผมมองจากที่สูง

ในม่านฝนนั้น ผมเห็นขบวนเรือพระราชพิธีโดนพายุกระหน่ำเสียแทบไม่เป็นกระบวน โดยเฉพาะลำเล็กลำน้อยทั้งหลาย ที่ฝีพายต้องแบ่งกันคอยวิดน้ำออกจากเรือด้วย ในทีวีภาพเช่นนี้ต้องถูกตัดออกไปอยู่แล้ว คนที่ดูอยู่ทางบ้านก็คงไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้น สาหัสสากรรจ์เพียงใด
 
ที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดคือตอนที่เรือพระที่นั่งอยูกลางคุ้งแถวถนนพระอาทิตย์ จะต้องลอดสพานพระปิ่นเกล้า ทั้งเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ เรืออนันตนาคราช และเรือสุพรรณหงส์ ยังคงรำพายท่าหงส์ร่อนอยู่เฉิบๆ ซวนเซเป๋ไปตามแรงพายุ หัวเรือเฉียงแนวน้ำไหลอยู่กลางแม่น้ำ น่าประหวั่นว่าจะไม่พ้นตอม่อเสาสะพานไปได้อย่างปลอดภัย
เมื่อเห็นท่าจะไม่ดี เรือดิงกี้(เรือยางที่ติดเครื่องท้าย)ของทหารเรือที่ตั้งกองระวังเหตุอยู่ใต้สะพานทางฝั่งพระนครก็ปราดออกไป ช่วยกันดันคัดท้ายเรือให้เข้าแนวน้ำ และประกบเรือพระที่นั่งจนพ้นสะพานได้อย่างปลอดภัย

ช่วงนี้ผมพยายามถ่ายรูปไว้เหมือนกัน แต่ใช่ไม่ได้เลยเพราะฝนหนาแน่นมาก และผมต้องถ่ายผ่านหน้าต่างกระจกที่ปิดฟิมล์กรองแสงด้วย

http://www.youtube.com/watch?v=8e_rpIqBBgo (http://www.youtube.com/watch?v=8e_rpIqBBgo)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 พ.ย. 16, 09:14
ที่ยังน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งอยู่ก็คือเรือสุพรรณหงส์  ซึ่งวันนั้นถูกลดตำแหน่งหน้าที่เป็นแค่เรือพระที่นั่งสำรอง เหลือเป็นเรือใหญ่ลำเดียวที่ห้อยท้ายขบวนเรือพระที่นั่ง  ไหลล่องลงมาผิดแนวน้ำที่เชี่ยวกรากมาก ไม่มีเรือดิงกี้เหลือมาดูแลเลย แต่ฝีพายก็ยังทำเหมือนใจเย็น ใช้จังหวะพายแบบคลาสสิกไปเรื่อยๆในท่ารำเฉิบ ……เฉิบ……เฉิบ  ในท่ามกลางพายุฝนแบบทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้เรือไหลตามกระแสแบบขวางลำเข้าหาสะพาน ผมอยู่ที่สูงคาดเดาได้ชัดเจนว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นแน่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกลั้นลมหายใจ  มโนภาพว่าถ้าเรือสุพรรณหงส์ไปติดตอม่อสะพานแบบขวางลำแล้วค้างอยู่ตรงนั้น น้ำต้องทะลักเข้าเรือแน่นอน ต่อจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นไม่กล้าที่จะคิดแล้ว

เรือดิงกี้ที่ประจำตีนสะพานฝั่งธนบุรียังเหลืออยู่ลำหนึ่ง แต่กว่าจะคิดกว่าจะทำก็สายไปเสียแล้ว กว่าจะออกเรือมาถึงเรือสุพรรณหงส์ก็กระแทกกราบเรือเข้ากับมุมต่อม่ออย่างจังจนเรือตะแคงวูบ แต่โชคดีได้ดิงกี้ลำนั้นมาช่วยดันให้หลุดไปได้ ผมเห็นเหตุการณ์นี้ตลอดทุกวินาทีจนแทบจะสิ้นประดาตาย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 พ.ย. 16, 09:22
หลังจากนั้นพายุจึงเริ่มซา เหลือเพียงฝนตกหนักอย่างเดียว พอเรือพระที่นั่งผ่านศิริราชก็เริ่มบางลง  ไปขาดเม็ดตอนที่เรือพระที่นั่งเข้าเทียบท่าที่วัดอรุณ เสด็จพระราชดำเนินขึ้นตามหมายกำหนดการ ทุกอย่างดำเนินต่อเหมือนเหตุการณ์ปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถึงตอนนี้ ผมก็นั่งคุกเข่าลงกราบอยู่หน้าทีวี ด้วยความรัก ความห่วงใยพระองค์ท่านประดุจบุตรพึงมีต่อบิดามารดา ดีใจที่เหตุการณ์วันนั้นผ่านวิกฤตไปได้



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 08 พ.ย. 16, 13:24
งานในคราวนั้นในหลวงรัชกาลที่9ประทับในเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่9รึเปล่าคะ ???

แต่เห็นภาพที่ทีวีตัดมาในภายหลัง เป็นภาพเรือพระที่นั่งท่ามกลางสายฝนงามสง่าไปอีกแบบจริงๆค่ะ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 พ.ย. 16, 14:50
ใช่ครับ พระองค์เสด็จโดยเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ

ในคลิ๊บเขาเลือกตอนที่อากาศค่อยยังชั่วแล้วมาลง ก่อนหน้าที่จะถึงสพานพระปิ่นเกล้าเป็นช่วงที่วิกฤตมากครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: กะออม ที่ 08 พ.ย. 16, 14:57
จำได้ว่าเมื่อฝนตกนั้น แม้จะสาดเข้าสู่เรือพระที่นั่ง แต่ไม่โปรดให้ปิดพระวิสูตร
โปรดเกล้าฯ ให้เปิดพระวิสูตรเผยให้เห็นว่าประทับอย่างปลอดภัย
พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ ทรงห่วงใยความรู้สึกประชาชนจะกังวลร้อนใจหากประทับในพระวิสูตรที่ปิด

 


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 08 พ.ย. 16, 15:59
ความเห็นที่ 146
บัดนี้จะของเล่าถึงบุญญาภินิหารอันได้แจ้งประจักษ์ ซึ่งเกิดในปีที่บ้านเมืองมีงานฉลองกาญจนาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงมีหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน ด้วยกระบวนพยุหยาตราโดยชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม เมื่อวันที่ ๗ พ.ย. ๒๕๓๗ โดยจะทรงประทับเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ซึ่งกองทัพเรือสร้างถวายเป็นครั้งแรกในรัชกาลนี้

+ พ.ศ.๒๕๓๗ แก้เป็น ๒๕๓๙

+ ผมอ่านที่นี่  ตื่นเต้นกว่าเมื่อตอนดูถ่ายทอดสดเมื่อ20ปีก่อนเสียอีก

+ ตอนครองราชย์25ปี..เรียกว่ารัชดาภิเษก(silver)  ตอนครองราชย์50ปี..เรียกว่ากาญจนาภิเษก(gold)  ทำไมตอนครองราชย์60ปี..ไม่เรียกว่า "พัชราภิเษก" (diamond)
(อันนี้ถามไม่ได้จริงจังนะครับ  เพราะการไม่ขนานนาม..ก็คือไม่ขนานนาม  ผมไม่ได้ข้องใจอันใด)





กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 พ.ย. 16, 16:25
+ ตอนครองราชย์25ปี..เรียกว่ารัชดาภิเษก(silver)  ตอนครองราชย์50ปี..เรียกว่ากาญจนาภิเษก(gold)  ทำไมตอนครองราชย์60ปี..ไม่เรียกว่า "พัชราภิเษก" (diamond)
(อันนี้ถามไม่ได้จริงจังนะครับ  เพราะการไม่ขนานนาม..ก็คือไม่ขนานนาม  ผมไม่ได้ข้องใจอันใด)

เรื่องแนวคิดที่จะกำหนดให้ปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี เป็น Diamond Jubilee นั้น ได้ยินมาว่าไม่ต้องด้วยพระราชนิยมครับ เพราะทรงถือว่า Diamond Jubilee ที่แท้จริงคือ ๗๕ ปี

นอกจากนี้ ยังเป็นที่ถือกันว่าพระมหากษัตริย์ในบางประเทศที่ได้ทรงด่วนฉลอง Diamond Jubilee ในปีที่ทรงครองราชย์ครบ ๖๐ ปี นั้น ไม่มีพระองค์ใดทรงพระเจริญรัชพรรษาได้ถึง ๗๕ ปีอันเป็นพัชราภิเษกที่แท้จริงเลยสักพระองค์เดียว

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกนามพระราชพิธีนี้เพียงว่า "พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี" ไม่ได้ใช้ถ้อยคำอันเกี่ยวข้องกับเพชร ต่างกับกรณีรัชดาภิเษก และกาญจนาภิเษก

ฉะนั้น นับแต่พุทธศักราช ๒๕๔๙ ไปอีก ๑๕ ปี อันเป็นปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๗๕ ปี พวกเราจึงจะได้ร่วมฉลอง Diamond Jubilee ของรัชกาลปัจจุบันอย่างแท้จริง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 08 พ.ย. 16, 16:33
ขออนุญาตจับไคลแม็กซ์ของคลิปวีดีโอ
นาที 1.20  เรืออนันตนาคราช "กินลม" จนน่ากลัว  โดนเรือนารายณ์ทรงสุบรรณแซงขึ้นหน้าไปไกล
นาที 7.40  เรือสุพรรณหงส์+นารายณ์ทรงสุบรรณ  หยุดรอให้เรืออนันตนาคราชจ้ำพายกลับขึ้นไปนำหัวขบวนตามเดิม
นาที 2.39  ขอสดุดีความสามารถของนายท้ายเรือสุพรรณหงส์  ที่สามารถรักษาสมบัติแห่งแผ่นดินไว้  ไม่ให้ล่มไปกับกระแสน้ำ
ดูเผินๆเหมือนเรือจะถูกพายุพัดจนซวนเซเสียการควบคุม  ทอดลำขวางกระแสน้ำ
แต่จริงๆแล้ว  นายท้ายพยายามคัดท้าย  ให้โขลน(หัว)เรือหันสู้ทิศทางลม (ทิศทางลมสังเกตได้จากธงทิวริ้วประดับบนสะพานปิ่นเกล้า)
ขืนปล่อยให้ลมโจมตีเข้าด้านข้างลำเรือ  เรือพระที่นั่งต้องพลิกล่มอย่างแน่นอน  ณ ตอนนั้นต้องสู้กระแสลมไว้ก่อน..กระแสน้ำไว้ทีหลังครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 08 พ.ย. 16, 17:15
+ ตอนครองราชย์25ปี..เรียกว่ารัชดาภิเษก(silver)  ตอนครองราชย์50ปี..เรียกว่ากาญจนาภิเษก(gold)  ทำไมตอนครองราชย์60ปี..ไม่เรียกว่า "พัชราภิเษก" (diamond)
(อันนี้ถามไม่ได้จริงจังนะครับ  เพราะการไม่ขนานนาม..ก็คือไม่ขนานนาม  ผมไม่ได้ข้องใจอันใด)

เรื่องแนวคิดที่จะกำหนดให้ปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี เป็น Diamond Jubilee นั้น ได้ยินมาว่าไม่ต้องด้วยพระราชนิยมครับ เพราะทรงถือว่า Diamond Jubilee ที่แท้จริงคือ ๗๕ ปี

นอกจากนี้ ยังเป็นที่ถือกันว่าพระมหากษัตริย์ในบางประเทศที่ได้ทรงด่วนฉลอง Diamond Jubilee ในปีที่ทรงครองราชย์ครบ ๖๐ ปี นั้น ไม่มีพระองค์ใดทรงพระเจริญรัชพรรษาได้ถึง ๗๕ ปีอันเป็นพัชราภิเษกที่แท้จริงเลยสักพระองค์เดียว

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกนามพระราชพิธีนี้เพียงว่า "พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี" ไม่ได้ใช้ถ้อยคำอันเกี่ยวข้องกับเพชร ต่างกับกรณีรัชดาภิเษก และกาญจนาภิเษก

ฉะนั้น นับแต่พุทธศักราช ๒๕๔๙ ไปอีก ๑๕ ปี อันเป็นปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๗๕ ปี พวกเราจึงจะได้ร่วมฉลอง Diamond Jubilee ของรัชกาลปัจจุบันอย่างแท้จริง

+ โฮกกก...กระทู้เก่าตั้งแต่ปี 2005 พู้น  ผมขอตั้งฉายาให้เว็บเรือนไทยว่า "หอสมุดแห่งราษฎร์"
+ ชอบคำว่า "รัชพรรษา"  ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย  ไพเราะกว่าและกระชับกว่า "ปีที่ทรงครองราชย์" เช่น รัชพรรษาที่ 70 ในรัชกาลที่ 9  โอ้ว..เพราะมาก
+ ขอบคุณ คุณเพ็ญชมพู ที่ช่วยแก้ความเข้าใจผิดครับ
+ เป็นพระราชวินิจฉัยที่สุขุม ระคนถ่อมพระองค์ด้วยครับ  ฮือ ฮือ  :'( อยากให้ประเทศไทยได้ฉลองพัชราภิเษก  :'(
+ แก้คำผิดความเห็นข้างบน (คคห156) โขลนเรือ แก้เป็น โขนเรือ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 พ.ย. 16, 17:54
จาก FB ของผม

ปัญญา ป๋อออออ ขออนุญาตครับ
วันนั้นผมเฝ้ารับเสด็จอยู่ที่ท่าเรือใต้สะพานพระปิ่นเกล้า
วันนั้นฝนตกลมแรง
แต่พอเรือนารายณ์ทรงสุบรรณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่กำลังจะแล่นลอดสะพาน ปรากฏว่าฝนและลมที่กำลังตกอยู่ก็หยุดตก รอจนเรือพระที่นั่งเคลื่อนลอดผ่านสะพานไปเรียบร้อย ฝนและลมจึงตกลงมาใหม่และแรงกว่าเก่า เมื่อเรือสุพรรณหงส์รอดใต้สะพาน เรือสุพรรณหงส์จึงถูกพัดไปติดที่ตอสะพาน
สำหรับผม เป็นบุญตาที่ได้เห็นพระบารมีที่แม้แต่ธรรมชาติและเทวดายังคอยปกปักรัษาครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 พ.ย. 16, 07:00
เรื่องบุญญาภินิหารของพระพุทธเจ้าอยู่หัวนั้น ใน fb ของคุณพุทธ อภิวรรณ เขียนว่าดังนี้
...ในหลวงต้องเป็นผู้มีธรรมสูงมาก  ท่านถึงทราบเรื่องเหล่านี้...”

ผมพึ่งได้ฟังจากปากของ ๒ บุคคลที่เคยถวายงานในหลวง  พูดตรงกันในวันนี้เอง!!!

ก่อนหน้า เคยได้ยิน อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์  เล่าให้ฟังตอนไปสัมภาษณ์และมีผู้ชมถามว่า ทำไม อ.เฉลิมชัย ร้องไห้เหลือเกิน จนบางคำพูดจับประโยคไม่ได้ เหตุผลนั่นคือ อ.เฉลิมชัย รักในหลวงมากครับ
เรื่องที่อาจารย์คิดอยู่นาน จะบอกต่อคนไทยดีไหม เพราะเป็นเรื่องไม่เคยพูดที่ไหน !แต่คิดว่า ถ้าเก็บไว้ คนไทยก็จะไม่รู้

“...มีวันหนึ่ง พี่ร้อนรุ่มมาก อยู่บ้านบนเขา คนเดียว ไม่มีโทรศัพท์ เครื่องมือสื่อสารใด ๆ ทั้งสิ้นจู่ ๆ ร้อนใจบอกไม่ถูก ร้อนรนมาก ทั้งที่ไม่เคยเป็นเลย ต้องรีบตัดสินใจลงจากเขา กลับบ้านทันที ที่อยู่ในเมือง พอลงมา มีคนมารอเต็มบ้านบอกว่า คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย ให้โทรหา พอโทรไปต้องอึ้ง
คุณขวัญแก้ว บอกว่าในหลวงรับสั่งอยากให้หา !!!
และในหลวงตรัสว่า  “เดี๋ยวเฉลิมชัย เขาจะโทรมาเอง...”

อ.เฉลิมชัย เล่าถึงตอนนี้ ท่านร้องไห้ไม่หยุดและบอกว่า

“...พุทธ ทำไมในหลวงท่านรู้ ว่าเดี๋ยวพี่ต้องโทรไป
แล้วทำไม พี่เองก็ไม่รู้ตัวว่า ทำไมถึงอยากลงจากเขา พี่เชื่อ ในหลวงต้องมีธรรมขั้นสูงมาก..”

หลังจากนั้น อ.เฉลิมชัยจึงได้รับงานออกแบบเหรียญช้าง (ดังรูป) ในหลวงท่าน พระราชทานให้ เจ้าหน้าที่ ที่ศิริราช
มีแค่ ๘๐๐ คน เท่านั้นที่โชคดี...


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 พ.ย. 16, 07:07
อีกท่าน ที่ผมพึ่งคุยวันนี้

พล.อ.ท.ไพโรจน์ พุกจินดา อดีตนักบินพระที่นั่ง  ถวายงานในหลวง ๑๕ ปี
พล.อ.ท.ไพโรจน์ บอกว่า
วันนั้น รอดตายเพราะในหลวง!!!

“...ในหลวงเสร็จทางเหนือ จู่ๆท่านให้มหาดเล็กมาบอกนักบินว่า ให้บินกลับพระตำหนักไปก่อนไม่ต้องรอพระองค์
นักบินก็สงสัย ทำไมในหลวงไม่ยอมกลับ ฮ. ในหลวงเลือกกลับทางรถ ซึ่งลำบากมาก รับสั่งให้บินกลับพระตำหนักก่อนกำหนดเวลาด้วยซ้ำ

เชื่อไหม...พอบินมา เราเจอพายุจ่อมาแล้ว แต่ก็กลับถึงพระตำหนักได้ทันก่อน ถ้าในหลวง...ไม่ให้นักบิน ขึ้นบินกลับไปก่อนแล้วเราเจอพายุ มรสุม นักบินทั้งหมดอาจไม่มีใครรอดชีวิต แปลกใจมาก ทำไม ในหลวงท่านทรงทราบ...”

เหรียญที่ผู้อ่านได้เห็นภาพ เป็นเหรียญทองคำแท้ รูปในหลวงและพระราชินี เป็นเหรียญที่พระราชินี พระราชทานส่วนพระองค์ ให้ พล.อ.ท.ไพโรจน์


วันนี้พอฟังทั้งสองท่าน เล่าตรงกันเลยครับ
เข้าใจถ่องแท้
“ในหลวงผู้ทรงธรรม” ...หมายความเช่นนี้นั่นเอง"


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 พ.ย. 16, 10:20
อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์  เล่าให้ฟังตอนไปสัมภาษณ์และมีผู้ชมถามว่า ทำไม อ.เฉลิมชัย ร้องไห้เหลือเกิน จนบางคำพูดจับประโยคไม่ได้ เหตุผลนั่นคือ อ.เฉลิมชัย รักในหลวงมากครับ
เรื่องที่อาจารย์คิดอยู่นาน จะบอกต่อคนไทยดีไหม เพราะเป็นเรื่องไม่เคยพูดที่ไหน !แต่คิดว่า ถ้าเก็บไว้ คนไทยก็จะไม่รู้

“...มีวันหนึ่ง พี่ร้อนรุ่มมาก อยู่บ้านบนเขา คนเดียว ไม่มีโทรศัพท์ เครื่องมือสื่อสารใด ๆ ทั้งสิ้นจู่ ๆ ร้อนใจบอกไม่ถูก ร้อนรนมาก ทั้งที่ไม่เคยเป็นเลย ต้องรีบตัดสินใจลงจากเขา กลับบ้านทันที ที่อยู่ในเมือง พอลงมา มีคนมารอเต็มบ้านบอกว่า คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย ให้โทรหา พอโทรไปต้องอึ้ง
คุณขวัญแก้ว บอกว่าในหลวงรับสั่งอยากให้หา !!!
และในหลวงตรัสว่า  “เดี๋ยวเฉลิมชัย เขาจะโทรมาเอง...”

อ.เฉลิมชัย เล่าถึงตอนนี้ ท่านร้องไห้ไม่หยุดและบอกว่า

“...พุทธ ทำไมในหลวงท่านรู้ ว่าเดี๋ยวพี่ต้องโทรไป
แล้วทำไม พี่เองก็ไม่รู้ตัวว่า ทำไมถึงอยากลงจากเขา พี่เชื่อ ในหลวงต้องมีธรรมขั้นสูงมาก..”


https://youtu.be/HbpDo-TqM0Q

นาทีที่ ๓๖.๑๕ - ๓๙.๔๐



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 พ.ย. 16, 10:24
พล.อ.ท.ไพโรจน์ บอกว่า
วันนั้น รอดตายเพราะในหลวง!!!

“...ในหลวงเสร็จทางเหนือ จู่ๆท่านให้มหาดเล็กมาบอกนักบินว่า ให้บินกลับพระตำหนักไปก่อนไม่ต้องรอพระองค์
นักบินก็สงสัย ทำไมในหลวงไม่ยอมกลับ ฮ. ในหลวงเลือกกลับทางรถ ซึ่งลำบากมาก รับสั่งให้บินกลับพระตำหนักก่อนกำหนดเวลาด้วยซ้ำ

เชื่อไหม...พอบินมา เราเจอพายุจ่อมาแล้ว แต่ก็กลับถึงพระตำหนักได้ทันก่อน ถ้าในหลวง...ไม่ให้นักบิน ขึ้นบินกลับไปก่อนแล้วเราเจอพายุ มรสุม นักบินทั้งหมดอาจไม่มีใครรอดชีวิต แปลกใจมาก ทำไม ในหลวงท่านทรงทราบ...”

https://youtu.be/ZXAnh_e86CI 

นาทีที่ ๓๐.๔๕ - ๓๔.๑๐


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 พ.ย. 16, 07:44
พล.อ.นพ.ชูฉัตร กำภู ณ อยุธยา นักเรียนเก่าวชิราวุธก่อนผมสามปี สมัยอยูโรงเรียนทันเห็นทันรู้จักกัน พี่ท่านเรียนเก่ง จบเป็นแล้วหมอแล้วได้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๗ ถวายการรับใช้มากกว่า ๔๐ ปี

“...ในหลวงเวลาไปไหนจะต้องมีหมอตามเสด็จ เพราะเอาไปตรวจประชาชนตามป่าเขา
มีครั้งหนึ่ง ท่านเสร็จภาระกิจแล้ว แต่ผมยังตรวจคนไข้ไม่เสร็จ ท่านเดินมาบอกว่า หมอตรวจไปอย่ารีบ ฉันจะรอ จนกว่า จะตรวจประชาชนเสร็จ
ในหลวงท่านทรงรอเป็นชั่วโมงไม่ยอมกลับ เพราะต้องการให้หมอ ตรวจประชาชนให้ดีที่สุด
ในหลวงท่านเป็นอย่างนี้ตลอดเลย...”

ครั้งหนึ่งมีคนไข้มารอรับเสด็จเพื่อหาโอกาสพบแพทย์  “....เขาตาบอด เป็นโรคเรื้อนด้วย ใครๆ ก็กลัว ตอนผมตรวจเขา เขาบอกว่า อยากสัมผัสมือพระราชินี เกิดมาไม่เคยเห็น ขอจับมือก็ยังดี ในหลวงได้ยิน พระราชินีก็ได้ยิน ในหลวงตรัสบอกราชินีว่า...ให้เขาจับ
เชื่อไหม พระราชินี
ท่านยื่นพระหัตถ์ ไปให้คนโรคเรื้อนจับ พร้อมถามอาการอย่างเป็นห่วงมาก ๆ ..
 “ คุณเชื่อไหม พระเมตตาท่านมากขนาดนี้  พระองค์ไม่รังเกียจประชาชนของพระองค์เลย...”

 “....พระเจ้าอยู่หัวเกิดมาเพื่อทำทาน ทรงศีล ใจท่านบริสุทธิ์มาก ในหลวงไม่เคยว่าใคร
ไม่โกรธใคร ไม่เคยพูดผรุสวาท
ชีวิตท่านมีแต่ให้ แล้วก็ให้ เราสูญเสียครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เสียพระมหากษัตริย์ที่ดีเลิศไปเท่านั้น
แต่เราเสีย พระโพธิสัตว์...
….และท่านทำให้ผมรู้ว่า
พระโพธิสัตว์มีอยู่จริง ในโลกใบนี้...”


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 พ.ย. 16, 09:16
https://youtu.be/mh807fQZXzA

นาทีที่ ๑๔.๒๐ - ๑๖.๑๕ และ นาทีที่ ๑๙.๔๐ - ๒๑.๑๐


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ย. 16, 08:06
พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง แม้จะทรงเจริญพระชนมายุเกินกว่าข้าราชการสามัญชนวัยเกษียณอายุแล้ว คนก็ยังดูว่าพระองค์ยังจะทรงงานหนักได้อีกหลายสิบปี ยิ่งได้ฟังมาว่าทรงปรารภพระราชฉันทะว่าจะทรงอยู่ให้ถึง ๑๒๐ ปีด้วยแล้ว คนก็ดูเหมือนจะเบาใจว่าพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้จะเสด็จอยู่เป็นมิ่งขวัญประชาชาติอีกนาน
 
แต่ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนคือสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ครั้นพระชนมายุเลยหกสิบพระชนษาไปไม่เท่าไร พระองค์ก็ทรงพระประชวรหนักเป็นครั้งแรกจากเชื้อไมโครพลาสม่าที่ทรงได้รับจากสะเมิง อำเภอที่อยู่บนดอยสูงแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่จากการที่ได้เสด็จไปที่นั่นบ่อยๆ หลังทรงพบว่าชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคคอพอก แม้ทางการสาธารณสุขจะเอาเอาเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประจำ แต่เจ้าหน้าที่กราบบังคมทูลว่าชาวบ้านไม่ยอมใช้ เพราะกลัวจะเป็นอันตราย
พระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงรับสั่งให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาใหม่ แล้วเสด็จทรงแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เพราะเป็นเกลือพระราชทาน ชาวบ้านจึงยอมเชื่อว่าเกลือชนิดนี้กินแล้วจะดีจึงยอมรับ จนต่อมาไม่พบคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงอีกเลย

ทรงเสด็จขึ้นๆลงๆสะเมิงอีกหลายครั้ง ทรงนำพันธ์สตรอเบอรี่หลวงไปแนะนำให้คนที่นั่นปลูก ผมไปทำงานเอาวัสดุภัณฑ์ของผมไปติดตั้งที่สะเมิงอยู่พักใหญ่ ในระยะที่เป็นหน้าสตรอเบอรีพอดี ทุกหนทุกแห่งชาวบ้านหน้าตาแจ่มใส พ่อค้ามารับซื้อผลผลิตถึงหน้าบ้านทุกวัน
แต่ก่อนที่สะเมิงจะมีวันนั้น พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า "ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต"


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ย. 16, 08:16
เชื้อไมโครพลาสม่าที่ทำให้ทรงพระประชวรหนักเป็นครั้งแรกทำให้ทรงมีพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรัง แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอดเท่านั้น
แต่เรายังคงเห็นพระพุทธเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่ จนกระทั่งประมาณแปดปีต่อมาทรงต้องเสด็จเข้าทรงรับการรักษาอาการพระประชวรทางพระหทัย เนื่องจากขาดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ คณะแพทย์ถวายการรักษาโดยขยายหลอดเลือดเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๓๘ แต่ก็ทรงต้องเสด็จกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเส้นเดิมที่ได้ขยายไว้แล้วนั้นตีบ คณะแพทย์จึงถวายการรักษาโดยขยายหลอดเลือดด้วยวิธีเดิมคือ ใส่สายสวนที่มีลูกโป่งเข้าหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเพื่อขยายจุดที่ตีบนั้น

แต่ครั้งนั้นคือครั้งที่ระทึกใจที่สุด ผมมาได้ฟังหลังจากปากผู้ใกล้ชิดพระองค์ที่สุดคนหนึ่งว่า ทุกคนพากันกลั้นใจรอฟังผลจากหมอ เพราะโอกาสที่จะสำเร็จมีเพียงห้าสิบห้าสิบเท่านั้น

พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงผ่านจุดวิกฤตนั้นมา แต่ก็ไม่สามารถที่จะทรงงานหนักได้ดังเดิมอีกแล้ว การที่พระองค์ทรงต้องประทับอยู่แต่ในวัง หรือโรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ เด็กที่โตในช่วงนี้หลายคนจึงไม่ได้เห็นพระองค์ท่าน ไม่ได้เข้าใจว่าทำไมคนรุ่นพ่อรุ่นปู่จึงรักในหลวงกันขนาดนั้น คนรุ่นใหม่บางคนที่คิดว่าตนฉลาดเลิศประเสริฐศรีถึงกับกล่าวหารุนแรงว่าคนไทยเป็นทาษที่ไม่ยอมถูกปลดปล่อย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ย. 16, 08:55
ในปี ๒๕๕๓ เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ผมได้เห็นพระพุทธเจ้าอยู่หัว เมื่อวันหนึ่งได้รับการติดต่อมาจากกรมชลประทาน ให้เอาว้สดุภัณฑ์ที่บริษัทของผมผลิตไปติดตั้งในวังสวนจิตรลดา

ช่วงนั้น พระสุขภาพพลามามัยของพระองค์อยู่ในระดับดี แพทย์ยอมให้เสด็จกลับจากโรงพยาบาลศิริราชมาประทับที่พระตำหนักเปี่ยมสุขได้ ทรงทอดพระเนตรเห็นเกาะเล็กๆที่อยู่กลางสระน้ำหลังพระตำหนักกลายเป็นที่ยึดครองของนกกระทุง นกนี้ไม่มีใครเลี้ยง แต่มันได้มาอาศัยใบบุญในพระราชฐานดำรงชีพ ขยายพันธุ์ออกลูกออกหลานมาเป็นจำนวนมาก และจำเพาะจะชอบขึ้นไปวางไข่บนเกาะนั้นเสียด้วย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ย. 16, 08:57
แต่การขึ้นไปบนเกาะของมันต้องใช้เล็บตะกุยขึ้นไปทำให้ตลิ่งพังเสียหาย จึงทรงมีพระราชกระแสให้กรมชลช่วยดูแลตรงนี้ให้ นายช่างกรมชลจึงออกแบบตลิ่งใหม่และจะปรับหน้าดินปลูกหญ้าให้สวยงามดังเดิม ผลิตภัณฑ์ “ผ้าห่มดิน”ของผมเป็นที่ต้องการในจุดนี้ เพื่ออนุบาลหญ้าใหม่ที่รากยังไม่เดิน ไม่ให้ถูกนกจิกกินเสียหายหมด


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ย. 16, 08:59
ผมไปกันแต่ช่วงสายๆ ถึงแล้วก็ทำงานกันไป


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ย. 16, 09:01
แล้วเวลาอันเป็นศิริมงคลแก่ทุกคนก็มาถึง ในยามบ่ายประมาณสามโมงเศษ ผมได้ยินเสียงคนงานของผู้รับเหมาของกรมชลที่ทำงานในส่วนอื่นส่งเสียงว่ามาแล้วๆ มองขึ้นไปเห็นนางพยาบาลเข็นรถพระที่นั่งออกมายังระเบียงที่เงาตึกกำบังแดดให้แล้วในยามนั้น ระยะห่างจากจุดนั้นมาที่เกาะเพียง ๑๔๐ เมตรเท่านั้น


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ย. 16, 09:08
ผมก็บอกให้คนของผมให้เตรียมพร้อม นั่งลงคุกเข่า พอนางพยาบาลเข็นรถพระที่นั่งเข้าที่สนิท ผมก็ส่งเสียงสัญญาณเบาๆแล้วเราทั้งสี่คนก็ถวายบังคมพร้อมกัน หลังจากนั้นคนของผมก็ไปทำงานต่อ ส่วนผมก็นั่งสำรวมกายอยู่ ณ ที่นั้น เห็นว่าทรงยกกล้องส่องทางไกลขึ้นทอดพระเนตรลงมา สักพักก็รับสั่งให้พยาบาลเข็นรถพระที่นั่งไปทางอื่น

เห็นพระอิริยาบทแล้ว ความสุขกับความทุกข์ในใจมันก้ำกึ่งกัน พระพุทธเจ้าอยู่หัวของผมมิได้เหมือนกับองค์ที่ผมเคยเห็นในครั้งที่แล้วๆเลย

นั่นแหละครับ คือครั้งสุดท้ายที่ผมได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายงานไว้ยังพระตำหนักที่ทรงถือเป็น “บ้าน” ของพระองค์ ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นก็ทรงต้องกลับไปประทับยังโรงพยาบาลอีก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ย. 16, 09:19
หลังจากนั้นแล้ว ผมก็มีโอกาสจะได้เห็นพระองค์อีกก็จากจอทีวีเพียงอย่างเดียว


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 พ.ย. 16, 09:19
เรื่องของผมก็มีเพียงเท่านี้ หากท่านอื่นจะมีเรื่องเล่าคล้ายกันมาลงก่อนที่ท่านอาจารย์เทาชมพูจะกลับมาจากญี่ปุ่น ก็เชิญนะครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 17 พ.ย. 16, 13:34
วิฬาร์สถิตถิ่นด้าว      อาทิตย์ อุทัย
มุสิกพลันฟุดฟิด       ลั่นเหย้า
ใคร่สนองตอบลิขิต    ให้ครั่น  ครื้นเครง
ทว่าเรื่องเล่าเข้าเฝ้า    แทบไท้  ไป่มี


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ย. 16, 20:54
กลับมาแล้วค่ะ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 พ.ย. 16, 21:34
 ;D


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 25 พ.ย. 16, 19:08
เรื่องของผมก็มีเพียงเท่านี้ หากท่านอื่นจะมีเรื่องเล่าคล้ายกันมาลงก่อนที่ท่านอาจารย์เทาชมพูจะกลับมาจากญี่ปุ่น ก็เชิญนะครับ

กระทู้ใกล้ตกหน้ากระดาน ดูเงียบๆไป ก็เลยจะขอนำเรื่องความทรงจำที่ประทับใจเป็นอย่างมากของผมมาเล่าสู่กันฟังบ้าง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 25 พ.ย. 16, 20:28
เป็นเพื่อนรักกับคุณ NAVARAT C. ร่วมโรงเรียนกินนอนมาด้วยกันนานอยู่หลายปี   ช่วงเป็นเด็กก่อน พ.ศ. 2502 อยู่ต่างคณะกัน (หอพัก)  แต่หลังจากนั้นก็ข้ามมาเป็นเด็กโตอยู่คณะเดียวกัน  ก็เลยมีเรื่องราวความประทับใจไม่ต่างกันนัก

พอจะจำได้ว่า ประมาณ พ.ศ. 2498 หรือ '99  ผมได้ว่าผมถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 4 สำหรับผู้แสดงชุด "แย้ลงรู" แสดงต่อหน้าพระพักตร์ในงานที่โรงเรียนจัดถวายเพื่อความสำราญพระราชหฤทัยเช่นเดียวกับที่คุณ NAVARAT C. ไปแสดง (คห.45-48)    ผมต้องใส่ชุดเป็นอาหมวย ใส่เสื้อแพร กางเกงแพร อีกคนใส่ชุดแขก แต่อีกสองคนนั้นจำไม่ได้   ไม่ชอบเลยที่ต้องแต่งตัวในลักษณะนั้น และโกรธมากที่เกื่อนล้อเลียน  จำได้ว่าการแสดงชุดของผมนี้เป็นในช่วงบ่ายแก่ๆ (คงจะประมาณบ่าย 4-5 โมงเย็น) จำได้ว่ามีกลุ่มคนยืนส่งเสียงเชียร์อยู่และได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์และสมเด็จนางเจ้าพระบรมพระราชินีนาถยิ้มแย้ม    ผมแพ้ในการแสดงชุดนี้ ไม่สามารถดึงเชือกไปคว้าธงที่ปักอยู่ได้   ครับ ใส่ชุดอาหมวยแต่ใส่รองเท้าหนังผูกเชือกตามเครื่องแบบของโรงเรียน แข่งกันบนสนามหญ้า ก็ลื่นไถลกันไปมาทั้งสี่คนที่แสดงกันนั้นแหละครับ  ก็คงจะเป็นภาพที่น่าจะดูเอ็นดูดีไม่น้อย 


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 พ.ย. 16, 08:14
ผมเข้าใจเอาเองว่า หลังจากที่เด็กวชิราวุธเข้าไปแสดงการละเล่นถวายทอดพระเนตรตามที่ผมและคุณนายตั้งเล่า เด็กโรงเรียนจิตรลดาก็คงจะพอแสดงเองได้แล้ว พวกเรารุ่นหลังๆจึงไม่มีประสบการณ์เช่นนั้นอีก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 26 พ.ย. 16, 19:15
เมื่อย้ายเข้าไปอยู่คณะใน (กลุ่มพวกเด็กโต) ปีแรกก็เลือกเรียนเรื่อง "ปั้นดินเผา" เพื่อหนีการเข้าไปนั่ง 1 ชม.ในห้องเพร็บ (ในขณะที่หลายคนเลือกเรียนตนตรีเข้าวงปี่สก็อต วงโยธวาทิต และวงจุลดุริยางค์) ผมก็เลยพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำเครื่องปั้นดินเผาทั้งระบบ ตั้งแต่การเตรียมดิน การปั้นด้วยโต๊ะหมุน (ด้วยแรงถีบ) การเผา การเคลือบ ก็จำได้จนกระทั่งทุกวันนี้  แต่มาได้เข้าใจว่าทำไมต้องทำเช่นนั้นเช่นนี้ก็เมื่อมาเรียนและเป็นนักธรณีวิทยาแล้ว
   
ปีต่อมาโรงเรียนก็เปิดวงดนตรีใหม่เรียกว่าวง String band ผมก็เลยสมัครเข้าเรียนและเลือกเรียนเครื่องแมนโดลิน (Mandolin) เครื่องดนตรีอื่นๆก็มีอาทิ Mandola, Guitar, Steel Guitar (หรือ Slide Guitar) ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า Hawaiian Guitar, Violin และ Viola   มีคนสนใจเรียนน้อย วงจึงเล็กกระทัดรัด มีเครื่องแมนโดลินอยู่สองสามตัว นอกนั้นก็อย่างละตัว   เพลงที่เรียนและซ้อมกันบ่อยมากเท่าที่จำได้ก็มี Santa Lucia, La Paloma, O Sole Mio, Arrivederci Roma นอกนั้นก็เป็นเพลงของ Hawaii และอื่นๆ   จำไม่ได้แล้วครับ   


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 26 พ.ย. 16, 20:28
แล้ววง String Band ซึ่งเล่นเพลงที่นุ่มนวลก็ได้มีโอกาสไปเล่นออกอากาศในห้องส่งของสถานีวิทยุ อ.ส.ซึ่งตั้งอยู่ในพระราชวังสวนจิตรลดา ซึ่งสมัยนั้นเรียกกันว่า สถานี อ.ส.วันศุกร์  ก็ไม่ทราบหรอกครับว่าทำไมจึงเรียกกันว่า อ.ส.วันศุกร์  ผมทราบแต่เพียงว่าพระองค์ท่านจะเสด็จลงมาทรงดนตรีร่วมกับนักดนตรีในวงดนตรีของพระองค์ และออกอากาศสดทุกเย็นวันศุกร์

ผมได้มีโอกาสเข้าไปเล่นออกอากาศอยู่สองสามครั้ง  ก็ไม่ทราบหรอกครับว่าท่านผู้ใดเป็นผู้จัดผังการออกอากาศ จำได้แต่ว่าจะเป็นรายการก่อนหน้ารายการของพระองค์ท่าน ดังนั้นเมื่อเราแสดงเสร็จ ก็จะอกจากห้องส่งมาตั้งแถวอยู่ห่างๆรอรับเสด็จพระองค์ท่าน   
อาคารสถานีวิทยุ อ.ส.เป็นอาคารชั้นเดียว และดูเหมือนจะมีเพียงห้องส่งและห้องควบคุมเท่านั้น จำได้ว่าอย่างนั้นนะครับ    อาคารสถานีมีเฉลียงและมีหลังคา  พระองค์ท่านจะทรงนั่งพักเสวยน้ำพระสุธารสที่เฉลียงนี้ัก่อนที่จะเสด็จเข้าห้องส่งเพื่อทรงดนตรี  ในระหว่างที่พระองค์ทรงนั่งอยู่ เราก็จะได้ยินเสียงบรรดานักดนตรีของวง อ.ส.วันศุกร์ ต่างคนต่างซ้อม เสียงดังไม่เป็นเพลงใดๆ จนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จเข้าห้องส่ง เสียงจึงค่อยเบาลงหน่อย

ได้เห็นพระองค์ทรงการแต่งกายในชุดแบบสบายๆ (จำได้ว่าทรงเสื้อยืดและพระสนับเพลาสีอ่อนๆ)  ผมก็ได้แต่มีความประทับใจสุดๆเท่านั้น ได้เห็นพระอริยาบทแบบสบายๆที่ต่างไปจากที่ได้เห็นในช่วงเวลาปฎิบัติพระราชกรณียกิจที่เป็นทางการต่างๆ   เป็นภาพที่ประทับใจมากๆครับ           


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 พ.ย. 16, 19:13
เมื่ออยู่มัธยมปลายก่อนจะจบการศึกษาจากโรงเรียน ในวันกรีฑา (ที่คุณ NAVARAT C. เล่าไว้ใน คห. 59) ก่อนปิดภาคเรียนเทอมปลาย ผมได้ถูกคัดให้เป็นผู้ถวายการแสดงในนิทรรศการวิทยาศาสตร์ ในเรื่องพลังของสนามแม่เหล็ก โดยใช้แม่เหล็กอยู่ใต้โต๊ะดูดเรือจำลองเล็กๆให้เคลื่อนที่บนผิวโต๊ะพื้นเรียบๆด้านบน

ในการแสดงครั้งนั้น คุณครูเพียงแต่ให้แนวทางทางวิชาการ ส่วนคำถวายรายงานนั้นต้องทำเอง ทำเป็นบทกราบบังคมทูลแล้วซ้อมการกล่าวนั้นให้ผู้บังคับการฯ ? หรือคุณครู ?ฟัง (จำไม่ได้แล้วว่าต่อหน้าใคร)  จำได้ว่ามีการซ้อมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ตอนซ้อมก็ไม่กลัวอะไรหรอก  แต่พอวันจริง ยิ่งใกล้เวลาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นตามลำดับ หัวใจเต้นตูมตามเป็นพักๆตามแต่ว่าจะนึกถึงขึ้นมาเมื่อใด   คำอธิบายที่จะถวายต่อพระองค์ ที่ว่าท่องจำมาจนรู้สึกว่าขึ้นใจแล้วนั้น มันชักเริ่มจะสับสน รู้สึกจะไม่เรียงต่อเนื่องกันเรียบๆเสียแล้ว เรื่องราวหรือเนื้อเรื่องดูจะกระโดดไปกระโดดมา อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง 

พอเห็นพระองค์ท่านเสด็จเข้ามาในห้องนิทรรศการ ร่างกายที่ยืนสงบอยู่ก็ชักจะเริ่มไม่ค่อยสงบ ทุกส่วนของร่างกายและอวัยวะต่างๆเริ่มจะอยู่ไม่นิ่ง ต้องทำใจบังคับให้มันสงบ เรียกขวัญของตัวเองให้มาอยู่กับเนื้อกับตัว    เมื่อถึงเวลาจริง การแสดงและการถวายรายงานทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดีจนพระองค์ท่านมีพระราชดำรัสถาม เท่านั้นเองแหละครับ ที่ว่าเราสามารถควบคุมตัวเองได้แล้วนั้นก็พลันกระเจิงอีก แต่ก็ถวายการตอบไปแบบตะกุกตะกัก         


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 พ.ย. 16, 20:18
ในช่วงเวลานั้น ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ๆกับพระองค์ท่าน (ห่างกันประมาณเมตรเดียว)   แต่พอมีอายุมากขึ้น เมื่อย้อนนึกกลับไปถึงประสบการณ์ของตนเองในวันนั้น ผนวกกับเรื่องราวต่างๆตามที่สื่อได้นำเสนอเกี่ยวกับพระจริยวัตรที่เป็นไปอย่างตามปกติของพระองค์   ได้ก็ทำให้ผมได้รู้อย่างลึกซึ้งว่าพระองค์ท่านนั้นทรงมีพระเมตตาที่มีต่อพสกนิกรของท่านอย่างเหลือล้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นวัยใด ไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมใด คนป่วย คนเจ็บ...ฯลฯ ครับ เรียกว่า any walk of life จริงๆ

ในวันนั้น พระองค์ท่านจะรับฟังแล้วทรงดำเนินผ่านไปเฉยๆก็ได้ การแสดงก็เป็นเพียงของเด็กๆที่เพิ่งจะเรียนรู้ทางวิทยาการได้ไม่นาน พระองค์ท่านทรงมีความรู้ความรู้สูงกว่านั้นมาก แต่ก็ยังทรงให้ความสนใจเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ   ก็จึงไม่น่าจะแปลกใจนะครับที่เราจะเห็นภาพพระองค์ท่านทรงสนทนากับชาวบ้าน และจะได้ยินกระแสพระราชดำรัสในลักษณะของการให้กำลังใจ ให้ลุกขึ้นต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายด้วยความอดทนตลอดมา


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 28 พ.ย. 16, 07:53
(https://scontent.fbkk10-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/15241258_609990559204247_3759867096062162084_n.jpg?oh=e9e49d59f222490028331fb10743ca57&oe=58B59ADB)

คนในรูปบอกว่าเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙ ยังเรียนชั้น ป.๖ โรงเรียนวชิราวุธ ถูกแต่งเป็นหญิงเพื่อแสดงรีวิวประกอบเพลง "ราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น" ซึ่งเป็นการแสดงของเด็กเล็ก
ส่วนเด็กโตแสดงละครเรื่อง "เฮเลนออฟทรอย"

จากเฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 พ.ย. 16, 20:29
คิดว่าปีที่มีการแสดง Helen of Troy นั้น น่าจะเป็นปี พ.ศ.2507 หรือ 2508 นะครับ  ยังช่วยกันทำหมวกแบบทหารโรมัน ใช้กระดาษกับแป้งเปี่ยกทำหมวก ใช้ไม้กวาดมาทำพู่ของหมวก   แล้วพลบค่ำวันหนึ่งก่อนวันแสดงจริง พวกผมก็ยังแอบยกพวกไปเล่นกันอย่างสนุกสนาน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 พ.ย. 16, 21:28
ในวันกรีฑาปีสุดท้ายก่อนจบจากโรงเรียน ก็ได้ถูกคัดให้ทำหน้าที่ถวายเครื่องพระสุธารส   เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นบนเวทีและประทับบนเก้าอี้พระที่นั่งเพื่อทรงชมการแข่งขันกีฬาและการแสดงต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ก็มีนักเรียน 2 ชุดๆละ 3 คนแยกกันทำหน้าที่ สำหรับผมนั้นอยู่ชุดถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถ   คนแรกจะเดินมือเปล่า คนที่สองจะต้องยกโต๊ะเล็กๆ (สำหรับวางข้างพระเก้าอี้ที่ทรงประทับนั่ง) คนที่สามจะต้องยกถาดเงินที่มีแก้วน้ำพระสุธารสและขนมของว่างจัดวางอยู่   คนแรกจะรับโต๊ะจากคนที่สองนำไปวางให้ถูกต้องพอดี คนที่สามจะส่งถาดชุดพระสุธารสให้คนแรกนำไปวาง   จำภาพได้ว่าทั้งสองพระองค์ทรงมองเราทั้งสองชุด

เมื่อได้ตั้งชุดถวายเสร็จสิ้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ได้ทรงยิ้มและเอ่ยพระโอษฐ์ว่า "ขอบใจจ้ะ"  คงไม่ต้องบอกกล่าวนะครับว่าเป็นอะไรที่เป็นความปิติและเป็นมงคลอย่างยิ่งของชีวิต   เมื่อเดินกลับไปด้านหลังก็มีแต่คนถามว่าพระองค์ท่านทรงตรัสว่าอะไร

ผมมาคิดดูในภายหลัง ก็เห็นว่าพระองค์ท่านคงจะทรงให้ความเอ็นดูเราเป็นอย่างยิ่ง  โต๊ะไม้นั้นก็หนักพอประมาณ แต่ถาดที่วางชุดพระสุธารสนั่นหนักมากจริงๆ ยกถือเดินมามีแต่เสียงกระทบกันของภาชนะที่วางอยู่บนถาด  ทุกย่างก้าวของเราเองก็คงจะดูเกร็งไปหมด แสดงอาการกลัวจะผิดพลาดจนเห็นได้ชัด  ตอนซ้อมก็ใช้ถาดธรรมดา ไม่หนัก  แต่พอวันจริงใช้ของจริง หนักจริงๆครับ

ประสบการณ์เล็กๆของผมนี้คงจะช่วยย้ำแสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงมีพระเมตตาเป็นที่ตั้งอยู่ในพระหฤทัยของพระองค์อยูตลอดเวลา

อาจจะสับสนนะครับ แต่คิดว่าในปีนั้น พวกเราได้เข็นรถพระที่นั่งไปไกลจนถึงเกือบถึงประตูโรงเรียน           


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 พ.ย. 16, 10:07
ดูรูปของบรรยงแล้ว ไม่ทราบว่าครูผู้หญิงแก่ๆทำไมชอบจับเด็กผู้ชายมาแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงเล่นระบำรำฟ้อน ผมละสยดสยองนัก กลัวถูกจับไปนุ่งผ้าซิ่นหรือกระโปรง คิดว่าคุณนายตั้งก็เคยโดน ส่วนผมโชคดีที่ระบำแขกไม่มีที่ต้องแต่งเป็นผู้หญิงเลยรอดตัวไป ไม่มีความทรงจำอันเลวร้าย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 29 พ.ย. 16, 10:26
ดูรูปของบรรยงแล้ว ไม่ทราบว่าครูผู้หญิงแก่ๆทำไมชอบจับเด็กผู้ชายมาแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงเล่นระบำรำฟ้อน ผมละสยดสยองนัก กลัวถูกจับไปนุ่งผ้าซิ่นหรือกระโปรง คิดว่าคุณนายตั้งก็เคยโดน ส่วนผมโชคดีที่ระบำแขกไม่มีที่ต้องแต่งเป็นผู้หญิงเลยรอดตัวไป ไม่มีความทรงจำอันเลวร้าย

โชคดีนะครับที่พี่ตั้วแกไม่กลายเป็นหญิง  ;D ;D ;D ;D ;D


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 พ.ย. 16, 11:05
บรรยง พงศ์พานิช คนดัง ในโรงเรียนเรียกกันว่า "ไอ้เตา" ที่บรรยงชอบเรียกตนเอง
คนๆนี้ไม่มีทางกลายพันธุ์ การถูกครูคณะเด็กเล็กจับแต่งเป็นผู้หญิง มีแต่จะทำให้เหล่าทะโมนห่ามขึ้น ผมเกรงว่าจะทำให้ศักดิ์ศรีของสุภาพสตรีจะพลอยมัวหมองไปด้วยมากกว่า


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 29 พ.ย. 16, 16:48
เรื่องให้เรียนแต่งเป็นหญิงนั้น  น่าจะเป็นความคิด "พี่เทิ่ง  สติเฟื่อง" ที่มาช่วยฝึกสอนในแต่ละปีมากกว่าครับ
พี่เทิ่งมาช่วยฝึกหัดการแสดงคั้งแต่ผมอยู่เด็กเล็กจน ม.ศ.๕ ก็ยังมาช่วยอยู่ทุกปีครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 พ.ย. 16, 18:31
เทิ่ง สติเฟื่อง กับ ท้วม ทรนง เป็นดาราดังคู่หูคู่ฮาของไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม ในยุคแรกๆของการโทรศน์ของไทย  ผมคิดว่า เทิ่ง สติเฟื่อง น่าจะเริ่มเข้ามาสัมผัสกับครูและนักเรียนในลักษณะส่วนบุคคลในช่วงแถวๆ พ.ศ. 2503 <-> 2504


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 พ.ย. 16, 19:38
จบจากโรงเรียนก็สอบติด มช. พอปลายปีแรกที่ไปเรียน ก็ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพระองค์ท่านอีก   พระองค์ท่านพระราชทานเลี้ยงอาหารเย็นนักศึกษาทั้งหมดในพื้นที่พระตำหนักภูพิงค์พระราชนิเวศน์   จำได้ว่า ก่อนที่จะรับประทานกันอาหารเสร็จเรียบร้อย วงดนตรีของสโมสรนักศึกษาก็เล่นดนตรีให้ความบันเทิง ผมเองเล่นกีตาร์ เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเล่นเปียโน จำได้ว่าเพลงหนึ่งที่เล่นเป็นเพลงของฝรั่งเศสชื่อเพลง  j' attendrai   ไม่นานนักทั้งพระพุทธเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็เสด็จมาที่เต็นท์แสดงดนตรี เพื่อพระราชทานโอวาทแก่นักศึกษาก่อนจะเลิกงาน  แต่แล้วพระองค์ก็ทรงนั่งที่เปียโนและเล่นเปียโนให้พวกนักศึกษาฟัง จากนั้นก็ทรงเปลี่ยนให้สมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นผู้ทรงเปียนโนแทน ส่วนพระองค์ท่านเปลี่ยนไปเล่นกีร์ตาโปร่ง   

ผมไม่รู้ว่าเพลงที่พระองค์ทั้งสองทรงเล่นนั้นชื่อเพลงอะไรบ้าง และก็ไม่แน่ใจว่ามีเพลงพระราชนิพนธ์อยู่ด้วยหรือไม่ จำได้ว่าทั้งสองพระองค์ทรงเล่นอยู่เพียง 2 หรือ 3 เพลง เท่านั้น    ครับ มัวแต่ตื่นเต้นกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน ก็เลยจำเรื่องราวในรายละเอียดไม่ค่อยได้    แต่เรื่องที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือ พระองค์ท่านได้ทรงเปียโนที่เต็มไปด้วย chord ทางเพลง jazz อย่างคล่องแคล่วและน่าทึ่งมากๆ  ส่วนสำหรับองค์สมเด็จพระบรมราชินีก็ทรงเปียโนได้อย่างเยี่ยมยอดแม้จะไม่ออกไปทางสไตล์แจส โดยมีพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงกีร์ตาโปร่งเป็น chord ประกอบ แถมก็ยังเป็น chord ยากๆของเพลงสไตล์แจ๊สที่เราไม่ค่อยจะรู้จักหรือเล่นกัน   ครับ เป็นเพลงที่ไพเราะมากจริงๆครับ

เป็นความประทับใจอย่างยิ่งของผมที่ได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ ได้เห็น ได้ยิน และได้รับรู้พระอัจฉริยะภาพของพระองค์ท่านทั้งสองที่ไม่มากคนนักจะได้มีโอกาสสัมผัสเช่นนี้       


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 พ.ย. 16, 20:26
เป็นบุญแท้ๆของคนยุคเรา


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ย. 16, 06:53
เมื่อเสด็จลงไปประทับที่สนามใหญ่ด้านข้างหอประชุมแล้ว นักเรียนวชิราวุธทั้งโรงเรียนจะสวนสนามถวายตัว หลังจากนั้นก็เป็นการแข่งขันกรีฑารอบชิงชนะเลิศระหว่างคณะต่างๆทั้งเด็กเล็กและเด็กโต ซึ่งโรงเรียนเลือกการแข่งขันประเภทที่สั้นๆและน่าสนใจมาถวายทอดพระเนตรเพี่ยงไม่กี่รายการ เช่น วิ่ง ๖๐ เมตรของเด็กเล็ก วิ่ง ๑๐๐ ๒๐๐ และ ๔๐๐ เมตร วิ่งผลัด ๔x๑๐๐ และวิ่งทน ๘๐๐ หรือ ๑๕๐๐ เมตร จำไม่ได้ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่นาน จบแล้วจะมีการแสดงหน้าพระที่นั่ง

ผมกับคุณนายตั้งจะเป็นดาราประกอบ สมัยของเราอยู่นั้นที่แน่ๆคือ เรื่องคลีโอพัตราปีนึง กับ เฮเลน ออฟ ทรอย อีกปีนึง ได้รับบทเป็นทหารเลว ฟันดาบกันโช้งเช้งๆ

ปีที่เล่นเป็นทหารกรีกเมืองทรอย ใส่เสื้อเกราะ(กระดาษแข็ง) รบกับฝ่ายสปาต้านั้น ทหารเลวสองคน คือผมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกคนหนึ่ง(อนาคตของเขาตอนนั้นหรืออดีตตอนนี้ติดยศพลเอก ตำแหน่งกรมวังผู้ใหญ่) ได้เล่นบทเด่นที่ผู้กำกับไม่ได้สั่งไว้ คือระหว่างที่เราถูกกำหนดให้ต้องนอนตายอยู่นิ่งๆในฉากนั้น ดั๊น ไปล้มลงบนรังมดคันไฟกลางสนามหญ้าพอดี ตายได้พักเดียวมดเข้าไปเต็มเสื้อเกราะ ดังนั้น ในขณะที่พระเอกนางเอกเขาแสดงบทโศกาอาดูรเข้าสู่ไคลแม็กซ์ของเรื่อง ผู้ชมทั้งสนามจะเห็นศพทหารเลวสองคนคืนชีพ ลุกขึ้นโซเซแล้วไปล้มลงนอนทุรนทุราย ไม่ยอมตายสักทีจนกระทั่งจบการแสดง

 

หมู่นี้คนแก่รุ่นผมจะเอารูปเก่าๆมารำพึงรำพันถึงพระพุทธเจ้าอยู่หัว ดังเช่นรูปของชัยสิริ สมุทวานิช เพื่อนซี้ร่วมรุ่นอีกคนหนึง ซึ่งเอาภาพตอนแสดงเป็นทหารกรีกในเฮเลน ออฟ ทรอย มาลงไว้ในfb อดไม่ได้ที่จะก๊อปเอามาลงไว้ในกระทู้นี้ เพราะผมและคุณนายตั้งก็แสดงอยู่ในฉากเดียวกันนี้แหละ

เล่นละครแต่งกายอย่างนี้มันจึงจะเหมาะกับลูกผู้ชายอกศอกเดียวในตอนนั้น อาไร้ ชอบเอาบทเด็กผู้หญิงมาบังคับให้เล่น
แล้วผมก็เข้ามายืนยันร่วมกับคุณนายตั้งให้อาจารย์วรชาติ เพื่อนรุ่นหลังหลายปีได้มั่นใจ บทเด็กผู้หญิงนี่เป็นฝีมือพวกครูแก่ๆคณะเด็กเล็กครับ ตอนนั้นนายเทิ่งยังไม่เข้าวงการบันเทิง ตอนเขาดังแล้วจึงสอดตัวเข้ามา โดยวันหนึ่งติดตามคุณอารีย์ นักดนตรีมาเยี่ยมหลานที่คณะดุสิต แล้วตีซี๊กับนักเรียนโต จนได้เข้ามาเป็นผู้ฝึกสอน ผู้จัดการแสดงให้คณะดุสิตเล่นในงานคณะก่อน แล้วจึงขยายกิจกรรมไปคณะอื่นๆ ซึ่งนายเทิ่งจะมีความสุขมากที่ได้อยู่ท่ามกลางหนุ่มๆวัยสะรุ่นทั้งหลาย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 16, 07:58
ทหารกรีกข้างบนนี้คือคุณชัยสิริ  คุณ NAVARAT  หรือคุณตั้ง คะ ดูไม่ออก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ย. 16, 08:06
ชัยสิริครับ
เขาเขียนบรรยายภาพไว้ว่า "สปาร์ต้าFoot-soldier(ทหารเดินเท้า)ละครกลางแจ้งประจำปีเรื่องสงครามกรุงทรอยมีม้าไม้(คนเข้าไปอยู่ข้างในได้หลายคน)-แสดงหน้าพระที่นั่งประมาณปี๒๕๐๕ผู้แสดงเกือบ๒๐๐คนฉากมโหฬาร"


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ย. 16, 09:50
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ประทับทอดพระเนตรการแสดงเรื่อง “เฮเลน ออฟ ทรอย” ในงานพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัล ณ วชิราวุธวิทยาลัย วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

ภาพและคำบรรยายจากบทความเรื่อง ฝากเรื่องราวไว้กับน้อง ๆ โดยคุณวีมี (http://www.vajiravudh.ac.th/OVtoVC/OVtoVC_01.htm)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ย. 16, 10:53
งานพระราชทานประกาศนียบัตรและทอดพระเนตรการแข่งขันกรีฑายุคโน้นของวชิราวุธวิทยาลัยยิ่งใหญ่จริงๆ เจ้านายทุกองค์จะเสด็จ เห็นไหมครับว่าทำไมภาพวันนั้นจึงตรึงตราตรึงใจพวกเราจนบัดนี้

ยุคหลังๆงานดังกล่าวย่อสั้นลงหมดตามความเหมาะสม


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 พ.ย. 16, 18:30
สงสัยว่าพวก OV ที่ได้พูดถึงเรื่อง Helan of Troy นี้น่าจะอยู่คนละโรงเรียนเดียวกันเสียแล้ว การแสดงชุดนี้จึงได้มีการระบุถึงตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 ไปจนถึง 2509   ;D


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 16, 18:32
2509  คุณนวรัตน์น่าจะเข้ารั้วสีชมพูไปแล้วนะคะ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 พ.ย. 16, 19:07
ใช่ครับ เข้าไปตั้งแต่ปี 2508   

ส่วนสำหรับที่ว่าเป็นการแสดงในปี 2503 นั้น  ผมและคุณนวรัตน์ก็เด็กเกินไปที่จะถูกจับมาเข้าฉากแสดง เพราะว่าเพิ่งจะเข้าคณะใน ตัวกะเปี๊ยกเดียว อยู่ ม.3 ครับ คงจะตกจากท้องม้าไม้ตายตอนโหนเชือกลงมาเสียก่อนที่จะได้ออกรบกันแน่

เรื่องของความสับสนเช่นกรณีดังกล่าวนี้ มักจะโยงไปถึงการขุดคุ้ยเรื่องอื่นๆเพื่อเอามาเป็นตัวกำหนดว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อใด  ผลก็คือ ทำให้เกิดการสนทนาที่สรวลเสเฮฮาในทุกโอกาสที่ได้พบกัน แถมยังทำให้คนอื่นได้หัวร่อตามไปด้วย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 30 พ.ย. 16, 19:38
สงสัยว่าพวก OV ที่ได้พูดถึงเรื่อง Helan of Troy นี้น่าจะอยู่คนละโรงเรียนเดียวกันเสียแล้ว การแสดงชุดนี้จึงได้มีการระบุถึงตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 ไปจนถึง 2509   ;D

 ;D ;D ;D ;D ;D


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ย. 16, 19:54
ชัยสิริครับ
เขาเขียนบรรยายภาพไว้ว่า "สปาร์ต้าFoot-soldier(ทหารเดินเท้า)ละครกลางแจ้งประจำปีเรื่องสงครามกรุงทรอยมีม้าไม้(คนเข้าไปอยู่ข้างในได้หลายคน)-แสดงหน้าพระที่นั่งประมาณปี๒๕๐๕ผู้แสดงเกือบ๒๐๐คนฉากมโหฬาร"


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6614.0;attach=63506;image)

(http://www.vajiravudh.ac.th/OVtoVC/Pics/021_4.jpg)

คุณวีมีบรรยายภาพว่า ม้าไม้และกระบวนรถศึกในการแสดงตำนานกรีกเรื่อง “ม้าไม้เมืองทรอย” ในงานกรีฑา เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒

http://www.vajiravudh.ac.th/OVtoVC/OVtoVC_21.htm



กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 พ.ย. 16, 20:22
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ประทับทอดพระเนตรการแสดงเรื่อง “เฮเลน ออฟ ทรอย” ในงานพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัล ณ วชิราวุธวิทยาลัย วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

ภาพและคำบรรยายจากบทความเรื่อง ฝากเรื่องราวไว้กับน้อง ๆ โดยคุณวีมี (http://www.vajiravudh.ac.th/OVtoVC/OVtoVC_01.htm)

จำไม่ได้ว่าเป็นปีใด หรือหลายปีใด  จำได้แต่ว่า ทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ได้ทรงลงมาจากเวทีที่ประทับ ทรงลงมาเล่นอย่างสำราญพระราชหฤทัยบนสนามหญ้าอย่างเป็นอิสระด้านหน้าเวทีที่ประทับขององค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ    


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 ธ.ค. 16, 10:19
ส่วนวันที่เราเรียกโดยสั้นว่า งานกรีฑานั้น เสด็จพระราชดำเนินมาอยู่นานกว่ามาก หลังจากพระราชทานรางวัลเรียนดีและประกาศนียบัตรแก่นักเรียนผู้จบการศึกษาแล้ว เสด็จลงจากหอประชุมไปยังตึกวชิรมงกุฏ อันเป็นตึกเรียน เพื่อทอดพระเนตรผลงานของนักเรียนในด้านศิลปหัตถกรรม และการทดลองวิทยาศาสตร์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทอดพระเนตรผลงานศิลปะของนักเรียน  ณ ตึกวชิรมงกุฎ ในงานพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัล

http://www.vajiravudh.ac.th/VC_Annals/vc_annal85.htm


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 ธ.ค. 16, 18:39
_/\_ ทรงพระสิริโฉมที่งดงามและสง่างามยิ่ง   


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 ธ.ค. 16, 19:37
เมื่อจะเริ่มต้นชีวิตคู่ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้เช่นเดียวกับท่านนวรัตน์   ครับ เรื่องนี้คือเหตุผลและพื้นฐานสำคัญที่ผมและภรรยาทำงานเพื่อให้เกิดประโยน์กับแผ่นดินอย่างเต็มกำลังความสามารถโดยไม่เคยคิดถึงเรื่องของผลตอบแทนและผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ผมและภรรยาเชื่อในพระบารมีของพระองค์ที่จะให้การคุ้มครองในด้านความปลอดภัยและอำนวยให้ภาระกิจต่างๆที่รับผิดชอบและกิจอันพึงกระทำเพื่อส่วนรวมได้ประสบผลสำเร็จลุล่วงด้วยดี    ผมและภรรยาต่างก็ทำงานอยู่ในพื้นที่สีแดงจัดและสีชมพูที่คนเขาขยาดกลัวกันตลอดมาตั้งแต่ปี '12 จนถึงหลังสถานการณ์ต่างๆค่อนข้างจะสงบลงอย่างถาวรทั่วๆไป


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 ธ.ค. 16, 20:49
ล่วงมาถึงปี พ.ศ.2527 

วันหนึ่ง ไปทำงานแต่เช้าตามปกติ (ประมาณ 6.45 น.)  พอผมเดินผ่านตึกกรมฯ (กรมทรัพยากรธรณี) ท่านรองอธิบดีก็กวักมือเรียก ว่ามีเรื่องที่จะต้องให้ไปดำเนินการด่วน ด้วยได้รับการประสานทางโทรศัพท์มาจากวัดบวรฯว่าสมเด็จพระญาณสังวรฯประสงค์จะขอนักธรณีฯให้ไปตรวจสอบหินของเขาชีจรรย์   ให้ผมไปประสานในรายละเอียดเพิ่มเติมที่วัด   ผมก็ไปที่วัดแล้วก็ได้ทราบว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาในหลวงกับสมเด็จญาณฯได้ทรงหารือกันในเรื่องที่สมเด็จญาณฯมีดำริจะให้มีการยุติการระเบิดและย่อยหินเขาชีจรรย์ (ตั้งอยู่ในเขตทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี) และคิดว่าน่าจะใช้วิธการทำการแกะสลักหน้าผา (ที่เกิดมาจากการระเบิดหิน) ของเขาโดดๆลูกนี้ให้เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่สูงประมาณ 120+เมตร เห็นกันได้ทั่วไปในพื้นที่ชายทะเลแถบนี้

ผมก็ไปสำรวจในวันนั้นเลย กลับมาก็ส่งหินตัวอย่างไปตัดเพื่อศึกษาในรายละเอียด เขียนรายงาน และในอีกสองวันต่อมาก็นำเสนอรายงานนั้นต่อสมเด็จญาณฯ  ในรายงานนั้นผมได้พยายามเขียนให้สั้นโดยลดความเป็นวิชาการทั้งด้านศัพท์และสำนวนลงไปจนเกือบหมด 

รายงานนั้นมิได้หยุดอยู่ที่สมเด็จญาณฯ แต่มีการนำส่งเพื่อถวายถึงในหลวงด้วย

สมเด็จพระญาณสังวร ในช่วงเวลานั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดวัดบวรนิเวศ์วิหาร 


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 02 ธ.ค. 16, 09:20
ติดตามอ่านที่ทุกท่านเล่าแล้วรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาเลยค่ะ คิดถึงพระองค์ท่านเหลือเกิน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ธ.ค. 16, 09:38
รู้สึกเช่นเดียวกับคุณนางมารน้อยค่ะ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 02 ธ.ค. 16, 14:05
เรียนถามคุณ naitang ว่า 
คุณสมบัติหินที่เขาชีจรรย์นั้น  ไม่เหมาะที่จะแกะสลักพระพุทธรูปเป็นประติมากรรมนูนสูงหรืออย่างไรครับ  ถึงได้แกะสลักเป็นเพียงลายเส้น 
หรือว่าเป็นพระดำริ/พระราชดำริที่ต้องการเพียงแค่ลายเส้น
ขอบคุณครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ninpaat ที่ 02 ธ.ค. 16, 15:32
สำหรับผม

ดูราวกับว่า วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ คือ วันเมื่อวานนี้ อยู่ทุกๆวัน

เวลานั้น ดูเหมือนจะเลือนหายไป และน้ำตาก็ยังคงไหล อยู่ทุกๆวันเช่นกัน เหมือนไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลง

นี่คือ ความทรงจำของผม ที่มีต่อพระพุทธเจ้าอยู่หัว
และผม ก็คิดถึงพระองค์ท่าน เหมือนกันครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Onsiri C. ที่ 02 ธ.ค. 16, 17:44
นำมาฝาก OV ทุกท่านค่ะ ไม่ทราบว่าได้ชมกันหรือยัง ในวิดีโอคลิปมีการเข็นรถพระที่นั่งของนักเรียนปัจจุบันด้วยค่ะ
http://news.thaipbs.or.th/content/258334


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ธ.ค. 16, 17:48
^ ขอบคุณครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 ธ.ค. 16, 19:32
ขออนุญาตเล่าเรื่องราวแบบย่อความไปก่อนนะครับ พรุ่งนี้ผมจะไป ตจว. ประมาณ 1 สัปดาห์ ไปอยู่ในพื้นที่ไกลปืนเที่ยง  กลับมาแล้วค่อยเล่าลงไปในรายละเอียดที่อาจจะเป็นที่น่าสนใจ

ผมได้เข้านมัสการสมเด็จพระญาณสังวรอยู่หลายครั้ง เพื่อประชุมหรือให้ความเห็นโดยตรงต่อองค์สมเด็จพระญาณสังวร เกี่ยวกับเรื่องการสลักพระที่เขาชีจรรย์   การสนทนาต่างๆได้ทำไห้ผมได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับวัดญาณสังวรารามมากขึ้นกว่าทีน่าจะได้รับรู้กันแบบทั่วๆไป โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว   

เรื่องของเขาชีจรรย์ที่ยังไม่จบ ก็ได้รับการโยงให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับหินแกรนิตที่ขนย้ายมาเพื่อแกะสลักเป็นพระธรรมจักรสำหรับวางในพื้นที่สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ที่พุทธมณฑล  ซึ่งต่อมาก็ได้มีโอกาสถวายรายงานด้วยปากเปล่าต่อองค์พระพุทธเจ้าอยู่หัว แต่จำไม่ได้ว่าในงานพระราชพิธีหรืองานสมโภชน์ใดที่พุทธมณฑล   ซึ่งนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้อยู่ใกล้ๆพระองค์ท่าน       


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 03 ธ.ค. 16, 08:35
เป็นอีกวิชาที่ไล่อ่านเล็คเชอร์เก่าจนตาแฉะ โชคดีนะคะที่อาจารย์ไม่เช็คชื่อ

วันก่อน อยู่บน BTS ทีวีฉายพระราชกรณียกิจของท่าน เห็นท่านเดินกรำฝนบนดอย ดูไปก็น้ำตาไหลไป อายคนที่นั่งข้างๆแทบแย่เลยค่ะ แต่หันไปอีกที อ้าว..เค้าก็นั่งทำตาแดงๆเหมือนกัน เลยหายอาย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ธ.ค. 16, 21:20
 (http://[/url)
ผมสนใจใคร่ลองฟัง รายการบริหารทางจิตสำหรับเด็กเล็ก (พุทธประวัติ)
หากเคยบันทึกไว้ในสื่ออินทรเนตร  รบกวนคุณ navarat ช่วยชี้ช่องให้ด้วยครับ  ขอบคุณครับ

ตอนนั้นที่ผมต้องขอผลัดคุณธสาครไปก่อนเพราะผมยังไม่พร้อม คือผมต้องไปค้นหาเทปคาสเซ็ทของแม่ชุดนี้ ซึ่งหลังจากการย้ายห้องย้ายหับหลายครั้งไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ถามไปที่น้องๆในที่สุดก็ได้มา แต่เทปหย่อนยานเพราะเก่ามาก ผมพยายามติดต่อไปที่อ.ส. เพื่อจะถามว่าสถานียังเก็บเทปต้นฉบับอยู่ไหม แต่เบอร์โทรศัพท์ที่ค้นได้จากเน็ทก็ดูเหมือนจะเลิกใช้สายไปเสียแล้ว

ผมจึงต้องหันกลับมาหาเทปที่มีและขอให้น้องเขยคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชำนาญการ ถ่ายทอดเป็นดิจิตอล โดยเขาพยายามแก้เสียงที่หย่อนยานให้ด้วยจนพอฟังได้ แม้ฟังดูจะเร็วไปนิดนึงก็ตามที เสร็จแล้วผมก็เอาไฟล์ที่เขาส่งมาให้ตอนนึง อัพขึ้นไปที่ยูทูป เพื่อที่จะโยงมาลงให้ฟังกันในกระทู้นี้ พอเป็นสังเขป

ขอเชิญฟังครับ ๑๑ นาทีเศษ

http://www.youtube.com/watch?v=musu4zMoyiI&feature=youtu.be (http://www.youtube.com/watch?v=musu4zMoyiI&feature=youtu.be)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 08 ธ.ค. 16, 01:54
เปิดดูผ่านทางระโยงไม่ได้ครับ 
ถ้าอย่างไรลองระบุชื่อคลิป  เดี๋ยวผมค้นจากชื่อคลิป  แล้วเข้าทางนั้นดูครับ

ผมเห็นด้วยกับการเสพทางโสต  ในปัจจุบันต้นทุนการจัดทำถูกกว่าสื่อสิ่งพิมพ์อย่างมาก  และวิธีการเสพก็ยังสะดวกกว่า 
ไม่ว่าจะฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ  หรือฟังแบบลำลอง  ซึ่งทำได้ในหลายโอกาส เช่น ขับรถ, ช่วงพักสายตาระหว่างวัน, ก่อนนอน


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ธ.ค. 16, 07:06
บทวิทยุดังกล่าว สถานีวิทยุอ.ส.ได้จัดพิมพ์เป็นเล่มด้วย ปกและคำนำมีดังนี้ครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ธ.ค. 16, 07:07
คำนำ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ธ.ค. 16, 07:19
สำหรับเนื้อเรื่องเฉพาะตอนนี้ มีดังนี้ครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ธ.ค. 16, 07:24
เปิดดูผ่านทางระโยงไม่ได้ครับ  
ถ้าอย่างไรลองระบุชื่อคลิป  เดี๋ยวผมค้นจากชื่อคลิป  แล้วเข้าทางนั้นดูครับ

ผมเห็นด้วยกับการเสพทางโสต  ในปัจจุบันต้นทุนการจัดทำถูกกว่าสื่อสิ่งพิมพ์อย่างมาก  และวิธีการเสพก็ยังสะดวกกว่า  
ไม่ว่าจะฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ  หรือฟังแบบลำลอง  ซึ่งทำได้ในหลายโอกาส เช่น ขับรถ, ช่วงพักสายตาระหว่างวัน, ก่อนนอน
ผมได้เข้าไปแก้ไขในยูทูปแล้ว เดิมมันล๊อคไว้เป็น private ผมเปลี่ยนเป็น public แล้ว คงไม่มีปัญหาแล้วละครับ

http://www.youtube.com/watch?v=musu4zMoyiI&feature=youtu.be (http://www.youtube.com/watch?v=musu4zMoyiI&feature=youtu.be)

ถ้ายังเข้าไม่ได้ ก็ใช้ key note นี้ หาใน you tube นะครับ

รายการบริหารจิตสำหรับเด็กเล็ก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 ธ.ค. 16, 09:24
บทวิทยุดังกล่าว สถานีวิทยุอ.ส.ได้จัดพิมพ์เป็นเล่มด้วย

สามารถอ่านทั้งเล่มได้ที่นี่

http://www.openbase.in.th/files/ebook/sangh/set1/sangharaja005.pdf

http://www.youtube.com/watch?v=musu4zMoyiI


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ธ.ค. 16, 13:51
ขอบคุณครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 09 ธ.ค. 16, 02:26
ขอบพระคุณ คุณnavarat.c  ที่ทำให้ผมกลับเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง
ก็ท่านเจ้าของเสียง  ใช้สรรพนามแทนผู้ฟังว่า เด็กๆ 
ผมเลยพลอยรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กที่กำลังล้อมวงฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่อง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 ธ.ค. 16, 08:08
ความจริงเสียงของแม่จะเนิบกว่าในไฟล์นี่โหลดลงมานี่หน่อยหนึ่งนะครับ จังหวะจะพอดีๆที่จะเกิดสมาธิในการฟังได้ง่าย


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 ธ.ค. 16, 18:58
กลับมาจาก ตจว.แล้วครับ  หาช่องเข้ากระทู้นี้ไม่ได้ก็เลยจะขอแทรกเข้าไปดื้อๆแบบไม่ค่อยจะสุภาพนัก แบบแทนที่จะค่อยๆเบียดเข้าไป

ก็จะขอเล่าต่อเรื่องเกี่ยวกับวัดญาณสังวรรามวรมหาวิหารที่ได้เล่าค้างไว้


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 ธ.ค. 16, 19:46
เรื่องราวของวัดญาณสังวรารามฯตามที่มีปรากฎอยู่ตามสื่อทั่วๆไปนั้น ไม่ค่อยจะมีรายละเอียดให้มากนัก  อันที่จริงแล้วชื่อของวัดเริ่มเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะก็เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับการจะแกะสลักพระองค์ใหญ่ที่หน้าผาเขาชีจรรย์   บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหรือพัฒนาวัดที่มีการบันทึกกันก็จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่เข้ามาในภายหลังจากที่วัดมีการตัดสินใจว่าจะเดินหน้าอย่างจริงจัง(เป็นทางการ)กับแกะสลักพระที่เข้าชีจรรย์ หลังจากที่ได้มีการถกความเห็นกันเป็นการภายในหลากหลายประเด็นมาเป็นเวลานานประมาณ 10 ปี ซึ่งผมได้เข้าไปเกี่ยวข้องก็ในช่วงเวลานี้


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 ธ.ค. 16, 20:45
การถกความเห็นต่างๆเป็นไปในลักษณะการสนทนาเป็นวงเล็กๆ ก็มีสมเด็จพระญาณสังวรฯ นายทหารเรือท่านหนึ่ง ตัวผม บางครั้งก็มีท่านรองอธิบดีกรมศิลปากร และพระอีกรูปหนึ่ง  วงสนทนาก็เป็นแบบง่ายๆ ไม่เป็นพิธีรีตรอง     ผมรู้สึกสมผัสได้จากข้อความและความเห็นที่สมเด็จพระญาณสังวรฯได้แสดงออกมาในทุกครั้ง ว่าต้องมีการสื่อสารระหว่างองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระญาณสังวรฯอยู่เป็นกิจวัตรประจำในเรื่องราวต่างๆและซึ่งลึกลงไปถึงในระดับรายละเอียดเลยทีเดียว       


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 ธ.ค. 16, 18:11
ก็คงจะเริ่มสัมผัสกับภาพลางๆเกี่ยวกับพัฒนาการของวัดญาณสังวรารามกันแล้วนะครับ

ท่านที่เคยเข้าไปเที่ยววัดและบริเวณพื้นที่รอบๆคงจะสังเกตเห็นได้ว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการพัฒนาอย่างมีระบบ ผ่านกระบวนการคิดและการออกแบบตามพื้นฐานทางวิชาการสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มวิชาสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และแม้กระทั่งทางศาสนา  เราจะเห็นมีการสร้างโรงพยาบาล มีการสร้างอ่างเก็บน้ำ มีการสร้างถนนหนทางที่วางทอดตัวไปแบบไม่ขัดตา ยังคงเห็นพื้นที่สวนคั่นระหว่างที่ตั้งวัดกับพระพุทธรูปแกะสลักที่หน้าผาเขาชีจรรย์ ฯลฯ 

ภาพที่ดูจะบ่งบอกออกมาก็คงน่าจะต้องเป็นพื้นที่พิเศษ เป็นพื้นที่ในลักษณะ self sufficient


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 ธ.ค. 16, 19:01
ใช่ครับ ผมได้รับรู้จากสมเด็จพระญาณวังวรฯว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงมีพระประสงค์จะมีสถานที่ๆมีความสงบและเรียบง่ายสำหรับการเจริญธรรมของพระองค์ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเข้าสู่วัยชราภาพ 

 _/\_ _/\_ _/\_

ซึ่งสาธารณะชนส่วนมากจะรับรู้เรื่องราวในลักษณะอื่นว่า เป็นวัดของสมเด็จพระญาณสังวรฯและจะเป็นสถานที่ใช้ทรงงานขององค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวเมื่อได้เสด็จออกทรงงานในพื้นที่ภูมิภาคนั้น


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 ธ.ค. 16, 20:20
ในช่วงที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องช่วงแรกๆ พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์นั้นสร้างเสร็จแล้ว ส่วนหินแกรนิตที่จะนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธบาทสำหรับมหามณฑบพุทธบาท ภปร.สก. นั้น ยังอยู่ในช่วงที่กำลังได้พบหินแกรนิตขนาดที่ต้องการในพื้นที่ จ.จันทบุรี

เมื่อผมได้รับรู้ว่าได้มีการรายงานต่อพระพุทธเจ้าอยู่หัวในทันทีที่มีการยืนยันว่าได้มีการพบหินแกรนิตขนาดใหญ่พอที่จะมาแกะสลักเป็นพระพุทธบาทและรายละเอียดต่างๆแล้ว   ผนวกกับได้รับรู้ว่า จุดตำแหน่งที่ตั้งต่างๆของอาคารและพุทธสถานที่สักการะต่างๆของวัดนั้น มาจากการถกกันระหว่างองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระญาณสังวรฯ  ซึ่งทุกตำแหน่งที่ตั้งของถาวรวัตถุต่างๆมีความสัมพันธ์กันหมด (เช่น องค์พระที่จะแกะสลักที่หน้าผาเขาชีจรรย์จะผินพระพักตร์ไปทิศใด สัมพันธ์กับองค์พระเจดีย์ฯเช่นใด กับอาคารหลักเช่นใด และกับพระพุทธบาทเช่นใด)

ก็คงจะคิดเป็นอื่นใดไม่ได้มากนัก วัดนี้เป็นวัดที่พระราชาและพระสังฆราชาร่วมกันสร้างขึ้นมา    ส่วนสำหรับผมเป็นการส่วนตัวนั้น ผม เชื่อว่าเป็นวัดของพระพุทธเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงสร้างขึ้นมา     


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 ธ.ค. 16, 19:00
ในเรื่องของการแกะสลักพระที่เขาชีจรรย์นั้น เรื่องจริงๆโดยย่อก็เป็นดังนี้

ด้วยที่เขาชีจรรย์มีความสูงที่เห็นโดดเด่นอยู่ในพื้นที่ย่านนั้น ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและสามารถมองเห็นได้จากวัด โดยเฉพาะมองเห็นส่วนที่เป็นหน้าผาของเขาซึ่งเกิดมาจากการทำการระเบิดและย่อยหินต่อเนื่องตลอดมานานหลายปี พื้นที่ของเขาชีจรรย์อยู่ในเขตทหารเรือ และซึ่งการระเบิดและย่อยหินนั้นก็เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของ ทร. 

สมเด็จพระญาณวังวรฯทรงเห็นว่าการระเบิดและย่อยหินต่อไปเรื่อยๆก็มีแต่จะทำลายทรัพยากรธรรมชาตืและลดทอนความสวยงามของพื้นที่ในองค์รวมลงไป  และเห็นว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์เฉพาะทางแต่เดิมนั้น ให้เป็นประโยชน์ในรูปแบบสาธารณะได้ และก็ยังคงเป็นการรักษาธรรมชาติอีกด้วย    ซึ่งสมเด็จพระญาณฯเห็นว่าน่าจะใช้วิธีการแกะสลักพระที่หน้าผาเขาชีจรรย์นั้น   นี่คือแรกที่มาของเรื่องที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องเมื่อเช้าวันหนึ่ง อันเป็นผลจากความเห็นของพระพุทธเจ้าอยู่หัวที่ทรงเสนอต่อสมเด็จพระญาณฯเมื่อค่ำคืนก่อนเมื่อเวลาประมาณ 21 น. ว่าควรจะให้กรมทรัพยากรธรณีไปสำรวจตรวจดูสภาพของหินเสียก่อน   


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 ธ.ค. 16, 19:25
ความมุ่งหมายแต่เดิมที่แท้จริงของการแกะสลักพระที่เขาชีจรรย์นั้น จึงมิใช่เพื่อการจะให้ได้มาซึ่งพระพุทธรูปแกะสลักองค์ใหญ่ที่สุดในโลก   แต่ด้วยพื้นที่ของหน้าผาในส่วนที่สามารถมองเห็นได้จากบริเวณพื้นที่ของวัดญาณฯนั้น สามารถแกะสลักพระพุทธรูปทรงนั่งที่มีความสมส่วนระหว่างหน้าตักกับความสูงได้ในขนาดใหญ่ที่สุดในโลก


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 ธ.ค. 16, 20:44
รายงานการไปสำรวจหินของเขาชีจรรย์ของผมนั้น ได้ทำให้มีการถกกันในเรื่องของการแกะสลักพระต่อมาอีกนานหลายปี  ความเห็นต่างๆที่มีการถกกันนั้น ผมทราบว่าพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับทราบอยู่ตลอดเป็นระยะๆ

การถกความเห็นในวงเล็กๆที่ผมได้กล่าวถึงนั้น ก็มีเรื่องของความเป็นไปได้ต่างๆ ไล่เรียงมาตั้งแต่การแกะสลักเป็นองค์พระแบบลอยตัว แบบนูนสูง และแบบนูนต่ำ ค่อยๆถกกันไปทั้งลักษณะรูปทรงขององค์พระและปัญหาที่จะเกี่ยวข้องตามมาทางเทคนิคต่างๆ ค่อยๆประสานถามความเห็นจากบุคคลและหน่วยงานเชี่ยวชาญทางวิชาการเฉพาะทางต่างๆ    ผมรู้สัมผัสได้ว่าเรื่องทั้งหลายนี้พระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับทราบและมีความเห็นผ่านมาทางสมเด็จพระญาณสังวรฯลงมา   

ความเห็นและความร่วมมือแบบจริงๆจังๆเกี่ยวกับเรื่องการแกะสลักพระนี้ ได้รับอย่างเต็มที่จากบุคคลและหน่วยงานต่างๆก็เมื่อสมเด็จพระญาณสังวรฯได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว    ส่วนผมนั้นก็ค่อยๆถูกกันให้ห่างออกไป


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 17 ธ.ค. 16, 16:38
ขอบคุณครับที่กรุณาเล่าให้ฟัง  ยาวดีครับ..ผมชอบ
ทีแรกนั้นก็สงสัยอยู่แล้วว่า  ด้วยบารมีของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร  หากจะสร้างองค์พระให้งดงามกว่าในปัจจุบัน  ก็น่าจะทำได้
แล้วนี่ยังมีพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเข้ามาเสริมอีกแรงหนึ่ง  เลยยิ่งฉงนหนัก 
บอกตรงๆว่าเห็นพระพุทธรูปเขาชีจรรย์ครั้งแรก  นึกในใจว่า "นี่เสร็จแล้วหรือ?  หรือว่าเป็นภาพร่างบนหินเพื่อรอการแกะสลักเป็นประติมากรรมนูนสูงต่อไปในอนาคต"
๙๙๙๙๙๙๙๙๙ ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ ๙๙๙๙๙๙๙๙๙
รออ่านตอนจบนะครับ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 17 ธ.ค. 16, 19:30
ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะมีความรู้สึกและฉงนเช่นเดียวกับคุณธสาคร    ที่จริงแล้วผมตั้งใจจะข้ามเรื่องราวของส่วนนี้ไป แต่เมื่อท่านผู้อ่านมีความสนใจ ก็จะขอขยายความออกไปอีกตามสมควร

เป็นความตั้งใจของสมเด็จพระญาณสังวรฯ (และน่าจะเป็นของพระพุทธเจ้าอยู่หัวด้วย) ที่จะดำเนินโครงการต่างๆเกี่ยวกับวัดญาณฯที่ไม่แตกต่างไปจากวิถีปกติที่สามัญชนเขาทำกัน ก็คือบนพื้นฐานของศรัทธาธรรมมากกว่าบนฐานของอำนาจ     ผู้ประสานงานการดำเนินการทั้งหมดของฝ่ายวัด ก็เป็นพระสงฆ์ นายทหารเรือและแม้ตัวผมเองผมที่มีตำแหน่งเพียงระดับกลาง  จึงทำให้เอกชนและหัวหน้าส่วนราชการทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารต่างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ว่าพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงเข้ามาเกี่ยวข้องและทรงมีพระราชดำริหรือความเห็นในเรื่องที่ได้มาติดต่อประสานและขอความเห็นต่างๆ

ผมกล่าวถึงเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปาก เพราะเคยเข้าไปร่วมอยู่ในหลายกรณี   


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ธ.ค. 16, 13:46
นำรูปและเรื่องมาสนับสนุนคุณนายตั้งครับ

http://www.geothai.net/kaocheechan-3/


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ninpaat ที่ 18 ธ.ค. 16, 16:29
ผมขออนุญาต เติมระโยง

ความรู้และประวัติโครงการก่อสร้างพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ “พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา” อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
บันทึกโดย ดร.เดชา หลวงพิทักษ์ชุมพล ผู้อำนวยการโครงการฯ (http://www.geothai.net/author/dacha_l/)

ให้ท่านอาจารย์ทั้งสองครับ




กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 ธ.ค. 16, 19:00
พระพุทธรูปบนหน้าผาแบบพระฉายที่ได้ปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้ ได้มีการถกกันมาในลักษณะของทางเลือกสุดท้ายมาตั้งแต่ระยะแรกๆที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้อง ในกรณีที่ไม่สามารถทำการแกะสลักแบบ bas relief ได้ 

เนื่องจากผมเป็นผู้สำรวจและทำรายงานเรื่องของสภาพหินแต่แรกเริ่ม เสมือนว่าผู้เดียวที่ได้รู้ได้เห็นสภาพจริงในองค์รวม ก็เลยต้องร่วมเสนอและให้ความเห็นกับแนวทางการดำเนินการต่อๆไป  หนึ่งในความเห็นนั้นก็คือ น่าจะลองพิจารณาเทคนิคการใช้คอนกรีตเชื่อมประสานรอยแตกรอยแยก (grouting) เพื่อให้ได้วัตถุเนื้อแน่นที่เป็นเนื้อเดียวกัน และเทคนิคการทำเย็บหิน (rock bolt) ว่าจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพื่อที่จะทำให้สามารถแกะสลักแบบ high relief ? หรือ bas relief ?   กฟผ.ซึ่งมีความสัดทัดและเชี่ยวชาญในเรื่องนี้จึงได้รับการประสานและเข้ามาเกี่ยวข้อง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 ธ.ค. 16, 19:19
ไม่ขยายความต่อแล้วนะครับ

เอาเป็นว่าเรื่องการแกะสลักนั้น ถูกจำกัดอยู่ในกรอบของความคิดว่า ทำไม่ได้ ยาก ต้องใช้งบสูง และความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง(ดังที่กล่าวมา)   ครับ...แล้วก็บรรยากาศและสถานะการณ์อื่นๆ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ธ.ค. 16, 19:23
มาอธิบายเพิ่มเล็กน้อย สำหรับท่านที่ไม่คุ้นกับศัพท์เทคนิคค่ะ
Bas Relief  คือการแกะสลักแบบนูนต่ำ   มีความสูงต่ำจากพื้นผิวเดิม เพียงเล็กน้อย

High Relief  คือแกะสลักลอยขึ้นมาจากผิวเดิมมาก   สามารถมองเห็นได้ 3 ด้าน คือด้านหน้า และด้านข้างอีก 2 ด้าน เห็นได้ชัดเจน

ภาพข้างล่างนี้ คือภาพนูนต่ำ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ธ.ค. 16, 19:24
ภาพแกะสลักนูนสูง


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 ธ.ค. 16, 19:37
หากได้อ่านและประมวลเรื่องราวและข้อมูลในระโยงที่คุณ NAVARAT C. และคุณ ninpaat ได้ให้ไว้แล้ว ก็จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงมีความผูกพันกับวัดญาณสังวรารามฯอยู่มากเลยใช่ใหมครับ  

ซึ่งพระองค์ท่านทรงมีดำริว่าจะทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อซื้อกรรมสิทธิที่ดินบนพื้นที่ระหว่างวัดกับเขาชีจรรย์ เพื่อจะได้ไม่เกิดมีสิ่งกีดขวางสายตาในอนาคตอีกด้วย    


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 ธ.ค. 16, 20:11
ในช่วงต้นๆของโครงการแกะสลักพระนั้น ก็ยังมีการทำการระเบิดและย่อยหินอยู่ ล่วงมาระยะหนึ่งจึงได้มีการยุติ   สมเด็จพระญาณฯไม่ประสงค์จะให้ยุติในทันใด เพราะจะกระทบกระเทือนต่อทั้งฝ่ายผู้ประกอบและฝ่ายผู้ต้องการใช้หิน   ผมให้ความเห็นว่า เพื่อเป็นการรักษาสภาพของหน้าผาที่ดูดีอยู่แล้ว แทนที่จะให้เขาทำการระเบิด ณ จุดต่างๆอย่างอิสระในช่วงก่อนยุติกิจการ ก็ขอให้เขาช่วยปรับหน้าผาบางส่วน เช่น ส่วนฐานของหน้าผา และส่วนปีกเขาด้านขวา (เมื่อหันหน้ามองหน้าผา) ซึ่งไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรต่อไปที่หน้าผา เราก็จะเห็นหน้าผาที่ดูสมบูรณ์สวยงาม 


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 19 ธ.ค. 16, 18:02
ผมได้อ่านประวัติการสร้างพระพุทธรูปเขาชีจรรย์  จากระโยงที่คุณ navarat ประเดิมไว้ให้  และตามอ่านจนครบทุกตอน (มีทั้งหมด 6 ตอน) จึงได้พบคำตอบที่ตัวเองสงสัย (ซึ่งตรงกับที่คุณ naitang สรุปไว้สั้นๆในความเห็นที่241) เลยคัดข้อความจากระโยงของเว็บธรณีไทยมาแปะไว้ที่นี่ดังนี้

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชวินิจฉัย  สรุปได้ว่าสมควรจัดสร้างเป็นแบบลายเส้น  แต่ให้ลึกและชัดขึ้นเห็นเป็นรูปพระพุทธรูปในระยะไกลจะดีกว่าการสร้างแบบนูนต่ำ  ซึ่งไม่เหมาะสม

เพราะจะมีปัญหาในด้านการบำรุงรักษาตลอดจนระยะเวลาและค่าก่อสร้าง"

"แรงระเบิดจากการทำเหมืองหินในอดีตประกอบกับการแทรกตัวของหินแกรนิตทำให้หินบริเวณหน้าผามีสภาพแตกร้าว มีรอยเลื่อน และคดโค้งมากมาย"

"ด้วยพระองค์ทรงทราบดีว่าสภาพหินของหน้าผาไม่ค่อยดีนัก  จึงมีพระราชวินิจฉัยลงมาว่า  ถ้าหากแกะสลักองค์พระแบบนูนสูง (High Relief) หรือแม้กระทั่งแบบนูนต่ำ (Bass Relief) การก่อสร้าง

อาจจะกระทำไม่สำเร็จหรือมิฉะนั้นค่าใช้จ่ายก็จะสูงและใช้เวลามาก  จึงควรทำเป็นแบบลายเส้น (Lined Pattern)"


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ธสาคร ที่ 19 ธ.ค. 16, 18:08
เป็นความวุ่นวายใจของผมเองที่อยากเห็นของสวยๆงามๆตามวิสัยปุถุชน  ทั้งๆที่ทราบว่าหากแกะสลักแบบนูนสูงนั้น  คงสิ้นเปลืองทรัพยากรในทุกๆด้านเป็นอันมาก 
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชอำนาจที่จะอำนวยการให้เรื่องยากสำเร็จลงได้  แต่กลับมีพระราชวินิจฉัยเลือกแบบ "ลายเส้น"  _/\_ ข้าพระพุทธเจ้าเลื่อมใสในสันตุฎฐีธรรม _/\_
คือถ้าเป็นผมนะ  ถ้ามีทั้งเงิน บุคลากร และโอกาส ที่จะสร้างพระประธานในอุโบสถซักแห่ง  คงอดใจไม่ไหวที่จะเลือกแบบที่สวยที่สุด

รูปที่ฉายเลเซอร์ยามค่ำคืนสวยดีครับ  หากมีการจัดงานรำลึกในโอกาสหน้าคราใด  น่าจะนำเลเซอร์กลับมาฉายอีกซักรอบ  สาธุล่วงหน้า




กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 ธ.ค. 16, 18:36
วันหนึ่งก่อนที่ผมจะห่างไปจากเรื่องของเขาชีจรรย์ หลังการที่ได้รายงานและอธิบายเรื่องทางเทคนิคต่างๆแล้ว ให้บังเอญว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของผม เลยกราบขอพรจากสมเด็จพระญาณสังวรฯ ก็ได้รับทั้งพรอันประเสริฐและพระเครื่องชุดหนึ่งพร้อมกับหนังสือของวัดบวรฯอีกชุดหนึ่ง    ซึ่งหนังสือที่มีคุณค่ามากสำหรับผม ชื่อ "ลักษณะพระพุทธศาสนา" ซึ่งเป็นคำสอนพระนวกะของสมเด็จพระญาณฯที่ได้ถอดมากจากเทปบันทึกเสียง   ลองหาอ่านดูนะครับ (http://sangharaja.org/index.php?option=com_content&view=article&id=1&Itemid=3)   

สำหรับผมนั้น เมื่อได้ผนวกความรู้และความเข้าใจเรื่องต่างๆที่ประมวลได้จากพระนิพนธ์อื่นๆทั้งหลายร่วมกันแล้ว ทำให้ได้คำตอบต่างๆที่มีการโจทย์ขานเล่าลือกันในหมู่ผู้คนในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าอยู่หัวกับพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย  _/\_

ผมได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการสมเด็จพระญาณวังวรฯอีกครั้งเมื่อปี 2542 ก่อนที่จะเดินทางไปประจำการอยู่ในต่างประเทศ


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 ธ.ค. 16, 18:53
ในระหว่างทำเรื่องเขาชีจรรย์ ก็ได้ถูกโยงให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องหินที่จะแกะสลักเป็นพระธรรมจักรเพื่อตั้งวางใว้ที่สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ที่พุทธมณฑล  เข้าไปเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการเร่งรัดการจัดสร้างพุทธมณฑล

มีเรื่องเล่านิดเดียวเกี่ยวกับหินพระธรรมจักรนี้ครับ  คงจะมีน้อยคนรู้ว่า หินพระธรรมจักรนี้ตั้งอยู่บนฐานที่เป็นระบบป้องกับแผ่นดินไหว


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 ธ.ค. 16, 19:23
เมื่อการสร้างสังเวชนียสถาน 4 ตำบลเสร็จสิ้นสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ได้เสด็จพระราชดำเนินมาชม วันนั้นมีการตั้งเต็นท์ ตั้งบอร์ด ติดโพสเตอร์แสดงเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับการสร้างสังเวชนียสถานแต่ละตำบล   พอมาถึงเต็นท์ตำบลพระธรรมจักร ผมเป็นผู้กล่าวถวายรายงานในส่วนของเรื่องของตัวหินที่นำมาแกะสลักเป็นพระธรรมจักร  พระองค์ท่านทรงยืนอยู่ห่างจากบอร์ดประมาณ 2 เมตร ตัวผมเองยืนอยู่ระหว่างบอร์ดกับพระองค์ท่าน  พอกล่าวถวายรายงานเสร็จ พระองค์ท่านก็ทรงก้มลงเล็กน้อยทอดพระเนตรที่แผ่นบอร์ด ทรงแย้มพระสรวลนิดๆแล้วก็ทรงตรัสว่า "Geology นั้นสะกดผิดนะ ตัว E มิใช่ตัว I"   ผมหันไปดูในทันใด มองไม่เห็นหรอกครับ แล้วก็ตอบ "พะยะค่ะ"  แล้วท่านก็เสด็จพระราชดำเนินต่อไป   พอเสด็จพ้นไปแล้วผู้จัดทำโพสเตอร์อธิบายก็เข้ามาก้มอ่านดู ผมเองต้องเข้าไปใกล้ๆจึงจะมองเห็นคำที่สะกดผิด    ท่านทรงเห็นได้อย่างไรนะในระยะห่างขนาดนั้น  ก็ยังเป็นงงอยู่จนปัจจุบัน         


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 ธ.ค. 16, 19:42
ครับ ทั้งอายและทั้งขำ  เรียนมาก็โดยตรง ทำงานมาก็โดยตรง รายงานก็เขียนกันอยู่เป็นประจำ ฯลฯ  ทำไมหนอ? จำเพาะเจาะจงจะต้องมาสะกดผิดเอาในงานวันสำคัญที่จัดถวายพระพุทธเจ้าอยู่หัว

ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ถวายงานและอยู่ใกล้ๆกับพระองค์ท่าน 

เป็นความทรงจำของผม ที่เมื่อนึกถึงขึ้นมาเมื่อใดก็รู้สึกปิติ ชุ่มฉ่ำหัวใจทุกครั้ง _/\_   


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 14 ต.ค. 19, 13:45
เมื่อวานได้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมวันเดียวที่ยุวพุทธฯ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในหลวงรัชกาลที่ 9 มีคนเข้าร่วมปฏิบัติถึงสี่ร้อยกว่าคน เห็นแล้วปลื้มค่ะ คนไทยยังรักและระลึกถึงพระองค์ท่านอยู่เสมอ :)


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ต.ค. 20, 14:57
ผ่านไปไม่เท่าไร  ใกล้จะครบ 4 ปีแล้ว


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: ninpaat ที่ 18 ต.ค. 20, 08:33
.
กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ฝนหนักน้ำย่อมท่วม แต่วิธีแก้ไขต้องมี! ร.๙ ทรงแก้ด้านตะวันออกได้ยั่งยืน!! (https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000104618)
เผยแพร่: 14 ต.ค. 2563 09:14   โดย: โรม บุนนาค

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000010793001.JPEG)

เมื่อก่อนปี ๒๕๒๖ เมื่อฝนตกหนักทีไร นักข่าวทุกสำนักต่างมุ่งไปที่ด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านถนนรามคำแหง
ซึ่งเจิ่งนองไปด้วยน้ำในทุกครั้งที่มีฝนตกหนัก และไม่ใช่ท่วมเช้าเย็นลด แต่แช่เป็นเดือนๆ การจราจรในย่านนั้นจึงต้องใช้เรือเป็นหลักบนถนน
ทางราชการต่างระดมความช่วยเหลือไปยังจุดนั้น กองทัพบกส่งรถ ยีเอ็มซี. กองทัพเรือส่งเรือท้องแบน ไปช่วยขนคนตามหมู่บ้านทั้งสองฟากถนนรามคำแหงออกมาถนนใหญ่ที่รถเมล์ยังพอวิ่งได้
ส่วนภายในหมู่บ้าน เช่นหมู่บ้านเสรี หลังมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นหมู่บ้านจัดสรรใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ชีวิตก็ต้องเปลี่ยนเป็น “นิวนอร์มอล”
รถขายของที่เคยมาหน้าบ้านทุกวันได้เปลี่ยนเป็นเรือ คนที่เคยหาบของมาขายก็ยังต้องทนลุยน้ำทำมาหากิน แต่ต้องตัดสาแหรกที่หาบให้สั้นพ้นน้ำ
บุรุษไปรษณีย์ที่เคยใช้มอร์เตอร์ไซด์หรือจักรยาน หันไปใช้อ่างใบใหญ่ใส่จดหมาย แล้วเจาะผูกเชือกลากน้ำไปบนฟุตบาทส่งตามบ้าน

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000010793002.JPEG)

แต่ก็แปลก ที่น้ำที่ท่วมขังอยู่ในย่านนั้น แม้จะท่วมอยู่นานถึง ๓-๔ เดือนก็ไม่เน่า เพราะกระแสน้ำไหลแรงอยู่ตลอดเวลา
บางซอยยังมีคนเอาตาข่ายมาขึงดักปลาเป็นกับข้าวได้ และท่วมซ้ำซากแบบนี้อยู่หลายปี นับเป็นความขมขื่นของคนในย่านนั้นทุกฤดูฝน จนหลายคนต้องย้ายบ้านหนี

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000010793003.JPEG)

ในขณะที่คนย่านรามคำแหงต้องลุยน้ำเข้าออกบ้าน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ซึ่งประทับอยู่ที่พระตำหนักสวนจิตรลดา ที่น้ำไม่ท่วม
ก็ทรงมาลุยน้ำเหมือนกัน ในปี ๒๕๒๖ ที่น้ำท่วมหนัก

วันที่ ๘ ตุลาคม เสด็จโดยเฮลิคอปเตอร์ ทอดพระเนตรน้ำท่วมบริเวณซอยศูนย์วิจัย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถนนลาดพร้าว บางกะปิ พระโขนง และสำโรง

วันที่ ๑๙ ตุลาคม เสด็จโดยเรือของกองพันทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์ ไปตามคลองแสนแสบ เพื่อตรวจการก่อสร้างทำนบคลองแสนแสบ ตามพระราชดำริ

วันที่ ๒๗ ตุลาคม เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งทอดพระเนตรสภาพน้ำท่วมบริเวณซอยศูนบ์วิจัย

วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่ง ทอดพระเนตรน้ำท่วมบริเวณเขตพระโขนงและบางนา

วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่ง ทอดพระเนตรสภาพน้ำท่วมบริเวณคลองพระยาราชมนตรี
และทรงพระราชดำเนินลุยน้ำผ่านทุ่งนาไปยังประตูระบายน้ำคลองพระยาราชมนตรี เป็นระยะทางประมาณ ๑ กิโลเมตร

วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่ง ทอดพระเนตรสภาพน้ำท่วมบริเวณคลองลาดกระบัง คลองหนองบอน ผ่านตามแนวถนนบางพลี

จากการเสด็จไปค้นหาข้อมูลของปัญหาถึงต้นตอของปัญหา ก็ทรงทราบว่า น้ำที่ท่วมย่านตะวันออกของกรุงเทพฯที่เป็นแอ่งกระทะนี้ เป็นน้ำที่มาจากทางด้านเหนือ
ถ้าจะสูบน้ำในย่านนี้ให้แห้ง ก็ต้องสูบทั้งทุ่งรังสิตให้แห้งก่อน ทั้งน้ำจากด้านตะวันออกของกรุงเทพฯนี้ ยังไหลไปเข้าท่วมตัวเมืองสมุทรปราการและพื้นที่กรุงเทพฯชั้นกลาง
ได้แก่ เขตดอนเมือง บางเขน บึงกุ่ม ลาดพร้าว บางกะปิ สวนหลวง ประเวศ พระโขนง และพื้นที่ชั้นใน เช่น คลองเตย ราชเทวี ปทุมวัน สาทร ป้อมปราบ และพญาไท

ฉะนั้นวิธีแก้ จะต้องกั้นไม่ให้น้ำจากด้านเหนือไหลเข้ากรุงเทพฯทางด้านนี้ ให้ไหลลงคลองก่อนจะมาถึงแอ่งกระทะ ให้ระบายออกลงทะเลโดยตรง

นั่นก็คือโครงการพระราชดำริให้กรุงเทพมหานคร ร่วมกับกรมทางหลวงและการรถไฟ สร้างคันดินเลียบถนนนิมิตใหม่ ถนนร่มเกล้า ถนนกิ่งแก้ว เป็นระยะทาง ๗๒ กิโลเมตร
เพื่อกันน้ำจากทุ่งทางเหนือไม่ให้ไหลลงมาในแอ่ง พร้อมทั้งขุดลอกคลองในย่านนั้นที่ตื้นเขินและตีบตัน ระบายน้ำให้ไหลลงทะเลได้คล่องขึ้น
เมื่อฝนตกลงมาในแอ่งกระทะ ไม่ว่าจะหนักแค่ไหน กำลังเครื่องสูบน้ำของ กทม.ก็สามารถสูบให้แห้งได้อย่างรวดเร็ว

จากปี ๒๕๒๗ เป็นต้นมา ปัญหาน้ำท่วมเขตตะวันออกของกรุงเทพฯก็หมดไป ตามคำกล่าวที่ว่า “พระบาทยาตรา ปวงประชาเป็นสุข”

ตอนนี้ทั้งวิศวกรและนักวิชาการทางด้านชลประทานก็มีมากมายแทบจะเดินชนกันตาย แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเจอดีเปรสชั่นเข้าไปน้ำนองไปทั่วประเทศ
และเจอแบบนี้มาซ้ำซาก ซึ่งวิธีแก้ไขก็น่าจะมี และเป็นงานเร่งด่วนกว่าแก้รัฐธรรมนูญเสียอีก น่าจะลงมือกันให้จริงจังกันเสียที
ที่สำคัญคนในเมืองก็ต้องแก้ไขตัวเอง ไม่มักง่ายทิ้งขยะลงไปอุดตันท่อระบายน้ำ ถ้าเจอแบบนี้นักวิชการทั้งหลายก็ต้องมึนไปเหมือนกัน

นิวนอร์มอลกันเสียที ให้เห็นว่าประเทศนี้ก็มีความก้าวหน้า


ขอขอบคุณ : mgronline.com (https://mgronline.com/)
.


กระทู้: พระพุทธเจ้าอยู่หัวในความทรงจำของผม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 20, 08:38
โครงการแก้มลิง โครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดำริไว้แก้ปัญหาอุทกภัยในประเทศไทย และยังคงใช้เป็นแนวทางการแก้ปัญหาน้ำท่วมจวบจนปัจจุบัน

          ปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทยเป็นปัญหาที่เรื้อรังมายาวนาน และตั้งแต่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในเขตกรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑลยาวนานกว่า 2 เดือน เมื่อปี พ.ศ. 2538 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 จึงมีพระราชดำริจัดทำโครงการแก้มลิง เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัย โดยอิงจากหลักการกินกล้วยของฝูงลิง

โครงการแก้มลิง กับความเป็นมา
   
          สืบเนื่องจากปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2538 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทอดพระเนตรเห็นว่า ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นนั้นเรื้อรังกว่า 2 เดือน ในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 จึงมีพระราชดำริโครงการแก้มลิงขึ้นครั้งแรก เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย พร้อมทั้งช่วยอนุรักษ์น้ำและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
โครงการแก้มลิง พระราชดำริจากพฤติกรรมลิง
   
          แนวคิดโครงการแก้มลิงเกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสถึงลิงที่อมกล้วยไว้ในกระพุ้งแก้มได้คราวละมาก ๆ โดยมีพระราชกระแสอธิบายว่า

          "ลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงจะรีบปอกเปลือก เอาเข้าปากเคี้ยว แล้วนำไปเก็บไว้ที่แก้มก่อน ลิงจะทำอย่างนี้จนกล้วยหมดหวีหรือเต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นจะค่อย ๆ นำออกมาเคี้ยวและกลืนกินภายหลัง"

เช่นเดียวกับทฤษฎีแก้มลิง ที่พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้สร้างพื้นที่กักเก็บน้ำไว้รอการระบายและเพื่อใช้ประโยชน์ในภายหลัง

https://hilight.kapook.com/view/162898