ด้วยความเคารพ ผมเห็นว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านเป็นอะไรก็เลิศทุกอย่าง ยกเวันอย่างเดียว คือเป็นนักการเมือง
เอาแค่เรื่องนี้นะครับ
จอมพลป.พิบูลสงคราม ก็ขึ้นบริหารประเทศแทน
16 กันยายน พ.ศ. 2491 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพราะคัดค้านการขึ้นเงินเดิอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ในขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ยอมรัฐบาล
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ลาออกจากส.ส.ครั้งนั้นถูกมองแต่แรกว่าอยากดังมากกว่าจริงใจ เพราะไม่นานจอมพลป.ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ก็มีชื่อม.ร.ว.คึกฤทธิ์เข้าไปเสียบเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์แทนคนในที่ถูกปลดออก ทั้งๆที่เป็นคนนอก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลุ่มส.ส.ฝ่ายรัฐบาลไม่พอใจ ก่อหวอดประท้วงขึ้น เหตุผลคือม.ร.ว.คึกฤทธิ์คัดค้านการขึ้นเงินเดือนของส.ส.และลาออกจากส.ส.เป็นการประท้วง โดยแจ้งในใบลาออกว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ดังที่ประชาชนไว้วางใจให้กระทำได้ แต่แล้วไฉนจึงกลับมายอมร่วมเป็นรัฐมนตรีกับรัฐบาลที่ตนประท้วงอีกเล่า
เหตุการณ์ในการคัดค้านขยายตัวบานปลายไปใหญ่โต จนในที่สุดม.ร.ว.คึกฤทธิ์ทนความร้อนรุ่มไม่ไหว จึงต้องลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี มารู้ทีหลังว่าเสียทีเสือเฒ่าเข้าแล้ว จอมพลป.ยั๊วะมากตอนที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ลาออกจากส.ส.เพราะถือว่าหักหน้ากัน แต่อาศัยหน้านิ่ง ทิ้งระยะนิดนึงแล้วเอาตำแหน่งรัฐมนตรีเกี่ยวเบ็ดล่อเข้าไป ปลาตัวสำคัญก็ฮุบเหยื่อ หลังจากนั้นจอมพลป.ก็ขยิบตาให้ส.ส.ในพรรคออกมาประท้วง แฉโพยเสียจนม.ร.ว.คึกฤทธิ์เสียศูนย์ไปพักนึงเต็มๆ
เมื่อมาเล่นการเมืองในยุคหลังในนามพรรคกิจสังคม ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจหมาย แต่ได้ฉายาว่า เฒ่าสารพัดพิษ ไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่ ผมจึงว่าท่านอยู่เป็นปราชญ์ผู้พหูสูตรของประเทศน่ะ จะดีกว่ามากมายเลย
แต่เอ๊ะ ผมชักสงสัยเหมือนกันว่า มาตรฐานของนักการเมือง “ดีๆ” ของท่านอาจารย์เทาชมพูจะอยู่ที่แห่งใด ถ้าคิดว่า ถ้าอยู่ที่ไม่คดโกงอย่างเดียว นอกจากพี่น้องสองท่านแล้ว ก็คงมีหลายคนอยู่ และผมกำลังนึกถึงพวกรัฐมนตรีของรัฐบาลจอมพลป.ที่เป็นเทคโนแครต อย่างนายดิเรก ชัยนาม เป็นต้น มีกลายคนที่เก่งและสัตย์ซื่อมือสะอาด แต่พวกท่านเหล่านี้ก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นนักการเมือง ที่สำคัญ คนประเภทนี้ก็ทนสังฆกรรมกับพวกนักการเมืองที่ปากอย่างใจอย่าง ทำอีกอย่าง ไม่ได้นาน เมื่อมาทำงานให้บรรลุเป้าหมายเฉพาะกิจแล้ว แล้วก็เปิดหมวกอำลา