เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 11, 13:35



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 11, 13:35
เล่าเรื่องเบาๆสักกระทู้   

ขอรวบรวมภูต+ผี+ปีศาจ  เท่าที่นึกออก  ทั้งไทยและเทศมาให้อ่านกัน     ถ้าเป็นยักษ์หรืออมนุษย์อย่างอื่นก็เอาไว้รอในกระทู้อื่นนะคะ

ทั่วโลกมีคำว่า ผี   ในความหมายของสภาพดำรงอยู่ของผู้ที่ตายไปแล้ว   แม้ในความเป็นจริง  ไม่มีใครชี้ลงไปได้แน่ๆว่าผีมีจริงหรือไม่    จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถเอาตัวตนออกมาพิสูจน์กันให้เห็นชัดๆ เหมือนหาสัตว์ประหลาดของคุณเพ็ญชมพู  แต่ความเชื่อเรื่องผีมีจริงก็แพร่หลายอยู่ทุกประเทศ  สามารถจะคว่ำความเชื่อด้านตรงข้าม คือความเชื่อว่าผีไม่มีจริง ได้สอบตกไปทุกยุคทุกสมัย

รอยอิน ก็ดูเหมือนจะยอมรับสถานภาพของผี ไม่มากก็น้อย  จึงให้คำอธิบายไว้ว่า

ผี   น. สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและร้าย     เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีเรือน ผีห่า, เรียกคนที่ตายไปแล้ว;




กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 11, 13:59
ในหลักฐานเก่าแก่ของไทย  คือหลักศิลาจารึกกรุงสุโขทัยหลักที่ ๑  มีคำว่า ผี  อยู่ในจารึก

    “เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีกุฎี พิหาร ปู่ครู อยู่ มีสรีดภงส์ มีป่าพร้าว ป่าลาง มีป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขพุงผี เทวดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ถูก พลีบ่ถูก ผีในเขาอันบ่คุ้ม บ่เกรง เมืองนี้หาย”

    ความหมายของ"ผี" ในที่นี้ไม่ใช่ผีประเภทหลอกหลอนอย่างที่เข้าใจกัน  แต่หมายถึงเทวดา  พระขพุงผีเป็นเทวดาระดับประธาน  สิงสถิตอยู่ในเขาทิศหัวนอนเมืองสุโขทัย มีตำแหน่งเป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมือง  ถ้าพระเจ้าแผ่นดินบวงสรวงสังเวย ให้ความเคารพอย่างถูกต้อง พระขพุงผีก็ปกปักคุ้มครองเมืองสุโขทัย   ทำนองเดียวกับพระสยามเทวาธิราชของกรุงรัตนโกสินทร์

    คำว่า ผี ที่ใช้ในความหมายของเทวดา   สุโขทัยใช้ตรงกับไทยอาหม    ส่วนไทยใหญ่อธิบายว่า ผีคือเทวดาชั้นระดับต่ำกว่าพรหม แต่สูงกว่ามนุษย์  อยู่ในสวรรค์ ๖ ชั้น ก็คงจะตรงกับสวรรค์ฉกามาพจรของไทย
  
   ภาพล่างนี้คือเทวรูปพระขพุงผี  ที่ค้นพบโดย   สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถได้เสด็จไปสำรวจเมืองสุโขทัย  ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455  ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “กำเนิดเมืองสวรรคโลก สุโขทัย” ว่า

    “มีพยานชัดที่กล่าวว่า เบื้องหัวนอนมีพระขพุงผี เทพยดาในเขาอันนั้น ทางเหนือเมืองสุโขทัยไม่มีภูเขาจนลูกเดียว ส่วนทางใต้มี ซ้ำไปหาเทวรูปได้ที่ในเพิงหินด้วย ดูจะเป็นพระขพุงผีแน่ ไม่มีปัญหาเลย”
    แต่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่า "พระแม่ย่า" สันนิษฐานว่าเป็นนางเสือง พระชนนีของพ่อขุนรามคำแห่ง


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 11, 16:50
      ในยุคใดสมัยใดก่อนหน้านี้ ไม่แจ้ง  แต่พูดแบบเหวี่ยงแหคงไม่ผิดว่า พอมาถึงในสมัยอยุธยา  คำว่าผีที่แปลว่าเทวดาก็หายไป  กลายมาเป็นผีอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
     ในการละเล่นในเทศกาลบันเทิงๆต่าง มีการเล่นเข้าผี เช่นในสงกรานต์ของทุกภาค  เรียกว่า ฟ้อนผี ซึ่งมีผีหลายชนิด ภาคใต้ เรียกว่า การเล่นเชื้อ อุปกรณ์การเล่นขึ้นอยู่กับการเลือกเล่น เข้าผีชนิดใด เช่น ผีสุ่มก็ใช้สุ่ม ผีกะลาก็ใช้กะลา มีเครื่องประกอบการเล่น เช่น ธูป เทียน สำหรับจุดเชิญ และผ้าผูกตา เป็นต้น ส่วนที่สำคัญคือ คนรับอาสาให้ผีเข้า มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หญิงและชาย มักเล่นในเวลาเย็นหรือย่ำค่ำ ผีที่นิยมเล่นคือ
    ผีคน ได้แก่ เล่นแม่ศรี  ผีนางกวัก
    ผีสัตว์ ได้แก่ ผีลิงลม ผีควาย ผีช้าง ผีหงส์ ผีมดแดง ผีอึ่งอ่าง ผีปลา ฯลฯ
    ผีที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ ได้แก่ ผีกระด้ง ผีสุ่ม ผีกะลา ผีจวัก
วิธีเล่น เมื่อจุดธูปเชิญผีแล้ว ก็ผูกผ้าปิดตา ผู้อาสาเชิญผีเข้า ต่อมาจึงร้องเพลงเชิญผี เชิญผีชนิดใดก็ร้องเพลงของผีชนิดนั้นๆ เนื้อความของเพลงที่ร้องจะร้องกันมาแต่โบราณ ร้องซ้ำๆกัน หลายๆครั้ง จนอาสาให้ผีเข้าเริ่มโงนเงนแสดงว่าผีมาแล้ว ผู้ร่วมเล่นจะร้องเพลงเชิญชวนให้ร่ายรำ กระโดดโลดเต้น และวิ่งไปวิ่งมา หรือไล่จับกันไปตามอริยาบถของลักษณะผี เมื่อเล่นเป็นที่พอใจแล้วประสงค์จะให้ผีออก ก็ร้องตะโกนที่หูหรือผลักให้ล้ม กระโดดข้ามตัวผู้อาสาเชิญไปมา 3 เที่ยว ผู้อาสาเชิญผีเข้าก็จะรู้สึกตัวเป็นปกติ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 11, 21:03
ความคิดที่ว่าผีเป็นเทวดาชนิดหนึ่ง ตามแบบสุโขทัย  ยังสืบเนื่องมาถึงอยุธยาในวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ   

เรื่องพระลอ ดิฉันตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการผสมผสาน ระหว่างวัฒนธรรมถิ่นอื่นที่ไม่ใช่ภาคกลาง  กับราชสำนักอยุธยา    ภาษาที่ใช้มีภาษาเหนือปนอยู่ตลอดเรื่อง  ขนบการแต่งต่างๆก็มีกลิ่นอายแปลกแยกออกไปเห็นชัด    วรรณคดีอยุธยาส่วนใหญ่รับอิทธิพลมาจากอินเดีย  ไม่ว่าชาดก หรือมหากาพย์   แต่ลิลิตพระลอรับเรื่องมาจากท้องถิ่นในแหลมทองนี้เอง   
ตัวพระตัวนางก็แปลกแยกออกไปไม่ซ้ำแบบใคร   ขณะที่ตัวนางในวรรณคดีภาคกลางเป็นฝ่าย passive หรือเป็นฝ่ายถูกกระทำ จากเพศชาย  อันเป็นสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง  แบบวัฒนธรรมอินเดีย  แต่ลิลิตพระลอ  ผู้หญิงเป็นนางพญาครองเมือง  ผู้หญิงเป็นฝ่ายรุกจู่โจมเอาตัวผู้ชายมาให้ได้    ผู้หญิงเป็นคนลงมือสั่งฆ่าอย่างโหดเหี้ยมไม่กลัวพระอาญา     ลักษณะแบบนี้ไม่มีในวรรณคดีอื่นของราชสำนัก

แต่จะพูดเรื่องนี้ก็จะออกนอกเรื่องไปไกล   ขอย้อนกลับมาถึงผีในพระลอดีกว่า
ตอนปู่เจ้าสมิงพรายทำเสน่ห์พระลอ   ขบวนการหรือขั้นตอนไม่ได้แค่อย่างเดียวหนเดียว  แต่ทำหลายขั้นหลายตอน  ขั้นตอนสำคัญคือระดมพลจากเทพและภูตผีปีศาจที่อยู่ในอำนาจของปู่เจ้า มาตั้งเป็นกองทัพ   ไปโจมตีผีบ้านผีเมืองของพระลอ    เพื่อจะจู่โจมเข้าเมือง ให้พระลอตกอยู่ในอาถรรพณ์ของปู่เจ้าได้สะดวก

ผี ในเรื่องนี้สืบทอดมาจากวัฒนธรรมพระขพุงผีของสุโขทัย    ผีเมืองก็คือเทพชั้นผู้น้อยที่รักษาเมือง  มีระดับทหารไพร่พลที่เรียกว่าผี รักษาอยู่ชั้นนอกเหมือนทหารลาดตระเวนชั้นประทวน      เมื่อข้าศึกผียกมา  ทหารพวกนี้แตกพ่าย ก็รีบถอยร่นเข้ามาแจ้งพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองซึ่งเป็นเทพชั้นนายพล  ให้รู้ว่าศึกใหญ่มาตีเมืองแล้ว
ลิลิตพระลอ  ไม่ได้แยกผีจากเทพ  แต่ผีดูจะเป็นระดับเล็กกว่าเทพ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ค. 11, 18:25
เรื่องผีเทวดารักษาเมือง ยังมีให้เห็นในสมัยอยุธยา   ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร  แต่ไม่ได้เกิดที่สยาม   ไปเกิดที่เมืองละแวก  เมืองหลวงของกัมพูชา

เมื่อเกิดศึกครั้งสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีเมืองละแวก ในพ.ศ. 2137   ครั้งที่พงศาวดารไทยเมื่อก่อน เล่าว่าทรงจับพระยาละแวกมาทำพิธีปฐมกรรม ตัดหัวเอาเลือดล้างพระบาท    แล้วนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างอ.ขจร สุขพานิชไปหาหลักฐานจากสเปนมาว่า พระยาละแวกหนีไปได้
มีรายละเอียดอยู่ในกระทู้โปรตุเกสเข้าเมือง   จึงไม่เอ่ยซ้ำ
แต่จะเล่าว่า พงศาวดารเขมรบันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า ทางเขมรก็เตรียมกำลังทัพพร้อมสู้ไว้เต็มพิกัดอัตราเหมือนกัน     พระยาละแวกมีใบบอกไปยังเจ้าเมืองกำปงเสียม สตึงเตรง บารายณ์ เชิงไพร อาสนฺจุก   เจ้าเมือง ตโบงฆมุม กระแจะ กุญชร ไพรแวง และททึงไถล คอยสกัดทัพไทยที่อาจจะยกกำลังเข้ามาทางน้ำ   ส่วนกำลังทัพที่เมืองบาพนม ศรีธันดร โรงฎำรี เชิงบาแฎง ไพรนคร สำโรงทง รลาบเอียน ไปตั้งรับที่เขตบริบูรณ์

เตรียมกันคึกคักขนาดนี้ แต่ปรากฏว่าทัพเขมรแตกพ่าย  พงศาวดารเขมรโทษเทวดาอารักษ์ผู้รักษาเมือง  ว่าไม่ยอมสู้รบกับทหารไทย   ทัพไทยก็ตีเมืองแตกไปเรื่อยจนถึงเมืองละแวกซึ่งเป็นเมืองหลวง
เมื่อทัพไทยตีเมืองละแวก    พงศาวดารเขมรมีข้อกล่าวหาใหม่ ว่าไทยส่งไส้ศึกไป ๒ คนไปทำพิธี ทำอาถรรพณ์ขับไล่เทวดาที่รักษาเมืองละแวก  เรียกชื่อว่าอ้ายติปัญโญและอ้ายสุปัญโญ     สองคนนี้ทำได้สำเร็จ  จนเมืองหลวง "บันทายลงแวก”แตกในที่สุด  เจ้านายเขมรถูกจับมาอยุธยาหลายองค์รวมทั้งมหาอุปราชเมืองเขมรด้วย แต่พระยาละแวกหนีไปได้ แล้วไปสิ้นพระชนม์ระหว่างทางลี้ภัยไปราชอาณาจักรลาว


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 พ.ค. 11, 20:17
ผีเมืองอีกแบบหนึ่งที่เป็นตำนานเล่าขานกันมา คือผีเฝ้าเมือง    เชื่อกันว่าเมื่อมีการสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาที่ใด จะต้องฝังคนเป็นๆลงในหลุมหลักเมือง หรือใต้ประตูเมือง   ให้เป็นผีเฝ้ารักษาเมืองอยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์     ความเชื่อเป็นตุเป็นตะนี้ ผูกเป็นเรื่องว่า   

"  มีเรื่องเล่าสืบกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ว่าในพิธีสร้างพระนคร ต้องทำพิธีฝังอาถรรพ์ ๔ ประตูเมือง และ พิธีฝังเสาหลักเมือง การฝังอาถรรพ์ กระทำด้วยการป่าวร้องเรียกผู้คนที่มีชื่อ อิน-จัน-มั่น-คง ไปทั่วเมือง เมื่อชาวเมืองผู้เคราะห์ร้ายขานรับ ก็จะถูกนำตัวมาสถานที่ทำพิธี และถูกจับฝังลงหลุมทั้งเป็น ทั้ง ๔ คน เพื่อให้วิญญาณของคนเหล่านั้นอยู่เฝ้าหลักเมือง เฝ้าประตูเมือง เฝ้าปราสาท คอยคุ้มครองบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรูและปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บมิให้เกิดแก่คนในนคร เรื่องเล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ไม่มีบันทึกในพงศาวดาร"

ถ้ามองกันด้วยเหตุผล  จนบัดนี้คงไม่มีชาวบ้านคนไหนตั้งชื่อลูกว่า อิน จัน มั่น คง กันอีกต่อไป หลังจากชุดแรกถูกฝังลงหลุมไปแล้ว  แต่ก็อุตส่าห์มีคนเชื่อถึงขั้นเอาไปเขียนไว้ในหนังสือ "ประวัติจังหวัดภูเก็ตฉบับฉลอง 25 พุทธศตวรรษ" เมื่อพ.ศ.2500 โดยเล่าถึงการฝังหลักเมืองไว้ตอนหนึ่งว่า

    "เมื่อท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรได้ถึงอสัญกรรมแล้ว พระยาถลาง (ทองพูน) ได้เป็นเจ้าเมืองถลาง ได้จัดหาสถานที่เพื่อสร้างเมืองใหม่ขึ้น และได้ตกลงให้สร้างเมืองใหม่ขึ้น ที่ตำบลเทพกษัตรี อำเภอถลางในปัจจุบันนี้ โดยเรียกว่า "บ้านเมืองใหม่" เมื่อจัดหาที่ได้แล้ว จึงได้ประกอบพิธีกรรมขึ้นเพื่อฝังหลักเมืองโดยนิมนต์พระภิกษุสงฆ์รวม 32 รูป เจริญพระพุทธมนต์อยู่ 7 วัน 7 คืน แล้วจึงให้อำเภอทนายป่าวร้องหาตัวผู้ที่จะเป็นแม่หลักเมือง (ผู้ที่จะเป็นแม่หลักเมืองได้ต้องเป็นคนที่เรียกกันว่า สี่หูสี่ตา คือกำลังมีครรภ์นั่นเอง) การป่าวร้องหาตัวแม่หลักเมืองนี้ได้ประกาศป่าวร้องไปเรื่อย ๆ ไปตลอดทุกหมู่บ้านว่า โอ้เจ้ามั่น โอ้เจ้าคง อยู่ที่ไหนมาไปประจำที่ ในที่สุดจึงไปได้ผู้หญิงชื่อนางนาคท้องแก่ประมาณ 8 เดือนแล้ว นางนาคได้ขานตอบขึ้น 3 ครั้ง แล้วได้เดินตามผู้ประกาศไป ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมื่อไปถึงหลุมที่จะฝังหลักเมือง นางนาคก็กระโดดลงไปในหลุมนั้นทันที ฝากหลุมก็เลื่อนปิด เจ้าพนักงานก็กลบหลุมฝังหลักเมืองเป็นอันเสร็จพิธีการฝังหลักเมือง"  
   
    เรื่องนี้เคยวิเคราะห์ไว้ในกระทู้เก่าของเรือนไทยว่า ฟังจากเรื่องเล่าก็รู้แล้วว่าเพี้ยน  เหลวไหล เชื่อไม่ได้    หนึ่งในหลายเหตุผลคือผู้หญิงท้องตั้ง ๘ เดือนสามารถกระโดดลงหลุมได้นี่แหละ

   ส.พลายน้อยได้วิจารณ์ไว้ว่า
   "ตามเรื่องข้างต้นนี้ไม่มีในพงศาวดาร คนเขียนขึ้นตามที่เคยฝังเขาเล่ากัน หรือจับเอาเรื่อง "ราชาธิราช" เมื่อพระเจ้าฟ้ารั่วสร้างปราสาทมาเป็นพิธีฝังหลักเมืองดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า
    "ครั้นวันฤกษ์พร้อมกันคอยหาฤกษ์แล้วนิมิตกึ่งฤกษ์เวลากลางวัน พอหญิงมีครรภ์คนหนึ่งเดินมาริมหลุม คนทั้งปวงพร้อมกันว่าได้ฤกษ์ แล้วก็ผลักหญิงนั้นลงในหลุม จึงยกเสาปราสาทนั้นลงหลุม"
       บางทีจะเป็นเรื่องนี้เองก็ได้ ที่คนเอาไปโจษขานเล่าลือกัน แล้วเลยหลงเข้าใจผิดไปว่า การฝังหลักเมืองหรือประตูเมืองนั้นต้องฝังคนท้องทั้งเป็นหรือคนที่มีชื่อว่า อิน จัน มั่น คง จนพวกฝรั่งฟังไม่ได้ศัพท์จึงเอาไปเขียนอธิบายกันยืดยาว และที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ หนังสือประวัติจังหวัดภูเก็ตเล่มดังกล่าวได้ตีพิมพ์เรื่องตอนนี้ไปได้อย่างไร คนอ่านไม่ได้คิดก็จำเรื่องผิด ๆ ไป "


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 พ.ค. 11, 22:12
ถ้าถามว่าการฝังคนเป็นผีเฝ้าเมือง ถ้าไม่มีหลักฐานในประเทศไทย   ที่อื่นมีไหม ก็ขอตอบว่ามี    เมื่อพม่าสร้างเมืองหลวงมัณฑเล  ได้ทำพิธีสร้างผีเฝ้าเมืองแบบที่เราเชื่อว่าเป็นของไทย   
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เล่าไว้ในพม่าเสียเมืองว่า  เมื่อพระเจ้ามินดุงทรงย้ายเมืองหลวงมาที่ตำบลมมัณฑเล    ผังเมืองก็เหมือนเมืองหลวงก่อนๆคือเป็นรูปสี่เหลี่ยม จึงมีกำแพงสี่ด้าน กำแพงแต่ละด้านมีประตูเมืองสามประตู รวมเป็นสิบสองประตูด้วยกัน   ที่เสาประตูเมืองและตามที่สำคัญอื่นๆนั้น ต้องฝังอาถรรพ์ และอาถรรพ์นั้นก็คือคนเป็นๆ

ในหนังสือพม่าเสียเมือง ระบุไว้ละเอียดลออในเรื่องนี้ ว่า

"เมื่อพระเจ้ามินดุงสร้างเมืองมัณฑเลนั้น ต้องเอาคนเป็นๆมาฝังถืง ๕๒ คน ฝังตามประตูเมืองประตูละ ๓ คน   ๑๒ ประตููู ก็เป็น ๓๖ คน  ตามมุมเมืองอีกมุมละคน  ประตูพระราชวังและสี่มุมกำแพงพระราชวังก็ต้องฝังคนอีก  และเฉพาะใต้พระที่นั่งสิงหาสน์อันเป็นพระที่นั่งในท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนางนั้น ต้องฝังถึง ๔ คน

คนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อให้เป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้นต้องเลือกให้ได้ลักษณะตามที่โหรพราหมณ์กำหนด    ไม่ใช้คนโทษที่ต้องโทษประหาร แต่เป็นคนที่อยู่ในวัยต่างๆกัน ตั้งแต่ผู้มีอายุไปจนถึงเด็กๆ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง  ทุกคนต้องมีฐานะดีเป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน ต้องเป็นคนที่เกิดตามวันที่โหรกำหนด ถ้าเป็นเด็กผู้ชายต้องเป็นเด็กที่ยังไม่มีรอยสักตามตัว ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องยังไม่เจาะหู ทหารมีหน้าที่จับคนเหล่านี้มาให้ได้จนครบ

พอมีข่าวออกไปว่าจะเอาคนมาฝังทั้งเป็น ผู้คนก็หลบไปจากเมืองมัณฑเลเกือบหมด ทางราชการสั่งให้มีละคร ให้คนดูทั้งกลางวันและกลางคืนหลายวัน  แต่ก็ไม่มีใครมาดู ในที่สุดก็ต้องเที่ยวซอกซอนค้นเอาตัวมาได้จนครบ  เมื่อได้ฤกษ์ก็เลี้ยงดูคนเหล่านั้นแล้วสั่งเสียให้คอยเฝ้าเมือง และรักษาพระราชวัง  แล้วก็เอาลงหลุม        เอาเสาประตูใส่หลุมตามลงไป ลูกเมียญาติพี่น้องซึ่งได้รับพระราชทานรางวัลก็คงจะรับไปอย่างไม่สบายใจนัก..."


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 พ.ค. 11, 22:24
ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ ถ้าสนใจก็ลองเข้าไปดูได้ครับ


พม่าบูชายัญ ตอน2ของ “มาดูรูปพิธีกรรมสำเร็จโทษเจ้านายในพม่ากัน”  

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8404784/K8404784.html

 ;D


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 พ.ค. 11, 08:38
ผี ในเรื่องนี้สืบทอดมาจากวัฒนธรรมพระขพุงผีของสุโขทัย    ผีเมืองก็คือเทพชั้นผู้น้อยที่รักษาเมือง  มีระดับทหารไพร่พลที่เรียกว่าผี รักษาอยู่ชั้นนอกเหมือนทหารลาดตระเวนชั้นประทวน      เมื่อข้าศึกผียกมา  ทหารพวกนี้แตกพ่าย ก็รีบถอยร่นเข้ามาแจ้งพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองซึ่งเป็นเทพชั้นนายพล  ให้รู้ว่าศึกใหญ่มาตีเมืองแล้ว
ลิลิตพระลอ  ไม่ได้แยกผีจากเทพ  แต่ผีดูจะเป็นระดับเล็กกว่าเทพ

ประวัติที่มาของพระเสื้อเมืองและพระทรงเมือง นี้มีการพูดถึงอยู่เนือง ๆ แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ชัดแจ้ง

ครั้งหนึ่งได้เคยถกเรื่องนี้กันกับคุณโฮและคุณม้าในห้องสมุด พันทิป มีความเห็นต่อเทวดาทั้งสองนี้หลายหลาก
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/03/K7677216/K7677216.html

คุณเพ็ญเริ่มก่อน

พระเสื้อเมือง อาจจะมาจากคำว่า พระเชื้อเมืองอันหมายถึงว่าเป็นผีเชื้อสาย หรือเทวดาที่คุ้มครองรักษาเมืองตามลัทธิของไทยโบราณที่นับถือผีบรรพบุรุษปู่ย่าตายาย ตามความเห็นของขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์)

คุณโฮมีความเห็นกลับตรงกันข้ามคือ คำว่าพระเชื้อเมืองก็อาจมาจากพระเสื้อเมือง ก็ได้

"เสื้อ" น่าจะเป็นคำไทเดิม ที่ตรงกับคำว่า "เสื้อ (ผ้า)" คือ สวมใส่ หรือ สถิต หรือ สิง ปกป้องอะไรบางอย่าง เช่น เสื้อผ้า ก็ปกป้องร่างกาย เสื้อเมืองก็ปกป้องเมือง

ผีเสื้อเมือง พระทรงเมือง ก็คือ ดวงวิญญาณของผี ที่ปกป้องเมือง (สังเกตว่า พระเสื้อเมือง และ พระทรงเมือง น่าจะเป็นการเปลี่ยนคำให้ดูเป็นทางการมากขึ้น คือ เปลี่ยนจาก ผี เป็น พระ และ เปลี่ยนจาก เสื้อ เป็น ทรง)

คุณม้าเห็นด้วยกับคุณโฮ

แต่คุณเพ็ญมีความเห็นแตกแขนงมาจากคุณโฮ

มีเรื่องล้อเล่นกันอยู่เสมอว่า เมื่อมีพระเสื้อเมืองแล้วจะมีพระกางเกงเมืองด้วยหรือเปล่า ถ้าหากคำว่า "เสื้อ" ใน พระเสื้อเมืองมาจาก "เสื้อผ้า" อย่างที่คุณโฮว่าแล้ว คำว่า "ทรง" ในคำว่า "พระทรงเมือง" ก็เป็นไปได้ว่ามาจากคำว่า "ซง หรือ ส่ง" (ในภาษาผู้ไทและไทยอีสาน) ซึ่งเป็นคำไทเก่า ที่แปลว่า กางเกง

คนไทยเรียกชาวไทดำว่า ลาวโซ่ง โซ่งนั้นมีการสันนิษฐานว่า น่าจะมาจากคำว่า ซ่วง หรือ ซ่ง ซึ่งเป็นภาษาไทดำ แปลว่ากางเกง เพราะว่าชาวไทดำเหล่านี้สวมกางเกงสีดำ  ปัจจุบันเรียกคนเหล่านี้ว่า ชาวไทยโซ่ง หรือ "ไทยทรงดำ"

สรุปแล้ว พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เป็นใคร หรือ อะไร มาจากไหนกันแน่

รออ่านความเห็นของคุณเทาชมพู


 ???


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 พ.ค. 11, 08:56
ครั้งหนึ่งได้เคยถกเรื่องนี้กันกับคุณโฮและคุณม้าในห้องสมุด พันทิป มีความเห็นต่อเทวดาทั้งสองนี้หลายหลาก
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/03/K7677216/K7677216.html


ในกระทู้ที่อ้างถึงข้างบนมีความเห็นดี ๆ ของคุณโฮเกี่ยวกับ พระเสื้อเมือง และ พระทรงเมือง ต่อเนื่้องอยู่ ๓ ความคิดเห็น อดใจเอามาเผยแพร่ต่อไม่ได้

 ;D

ความคิดเห็นที่ 51 

ไม่ได้เข้ามาอ่านสามสี่วัน กระทู้ไปเร็วจริง อิอิ

ขอตอบคำถามก่อนนะครับ

คุณ jassb1 ถามว่า
อ้างถึงท่าน Hotacunus ... พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ทำไมปัจจุบันจึงยังมีทั้งสองชื่อล่ะครับ
ผมสงสัยว่า หากเราแปลง ผีเชื้อ ไปเป็น พระเสื้อ ... แล้ว"พระทรง" มาจากไหนอีกหรือครับ ...
เริ่มมึนกะผีกะสางเทวดาอารักษ์แล้วซี
ตอบ: ข้อนี้ เหมือนหลายท่านให้ความเห็นไปบ้างแล้ว
เรื่อง พระเสื้อเมือง - พระทรงเมือง ถ้าตามความเห็นผมนะครับ คำดั่งเดิมจริงๆ คือ ผีเสื้อเมือง มาจาก ผี (คือดวงวิญญาณ ไม่ใช่ผีที่น่ากลัวแบบหนังผีปัจจุบัน) + เสื้อ (คุ้มครอง, สิงสถิต) + เมือง

ดังนั้น จึงอาจรวมความได้ว่า ดวงวิญญาณที่คุ้มครองเมือง

ต่อมา คำว่า ผี น่าจะถูกแปลงความหมายไปเป็นผีที่น่ากลัว หรือ ดวงวิญญาณของคนตายทั่วๆ ไป ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่าง และให้ความเคารพกับดวงวิญญาณที่ปกป้องเมือง จึงให้เกียรติดวงวิญญาณเหล่านั้น ด้วยคำว่า "พระ"

ผีเสื้อเมือง จึงกลายเป็น พระเสื้อเมือง

ส่วนพระทรงเมือง จะมาจาก ที่คุณเพ็ญชมพูเล่าติดตลกว่า ทรง (ภาษาถิ่น) = กางกาง หรือไม่นั้น ไม่ทราบเหมือนกันครับ อิอิ

แต่ผมคิดว่า ก็คงเป็นการเล่นคำโดย แปลง "เสื้อ" เป็น "ทรง" แต่ก็ยังคงความหมายว่า (อยู่) คุ้มครอง หรือ สถิต (อยู่) พระทรงเมือง จึงน่าจะเป็นที่แปลงให้สุภาพ และให้เกียรติดวงวิญญาณครับ (เนื่องจาก ระดับภาษาพัฒนาขึ้นมากกว่าสมัยสุโขทัย ที่คำๆ เดียวมีความหมายกว้าง เช่น ผี หมายถึงดวงวิญญานกว้างๆ ทั้งของคน และ เทพ)

จากคุณ : -_- (Hotacunus)   - [ 5 เม.ย. 52 03:34:01 ]


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 พ.ค. 11, 08:58
ความคิดเห็นที่ 52

เห็นหลายท่านอ้างถึงจารึกหลักที่ ๑ (พ่อขุนรามคำแหง) ในจารึกนี้ มีทั้ง เสื้อ และ เชื้อ ครับ ดังความต่อไปนี้

ไพรฟ้าหน้าใสลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแล้ ล้มตายหายกว่าเหย้าเรือน
พ่อเชื้อเสื้อคำมัน ช้างขอ ลูกเมียเยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไทย
ป่าหมากป่าพลู พ่อเชื้อมัน ไว้แก่ ลูกมันสิ้น

สรุปง่ายๆ เป็นกฎหมายมรดก ถ้าหัวหน้าครอบครัวตาย ให้ทรัพย์สินทั้งหมดของหัวหน้าครอบครัว ตกเป็นของบุตร

=============================
เนื้อหานี้ ได้ถูกสรุปไว้สองวรรคในจารึกวัดป่ามะม่วง (ภาษาไทย) หลักที่ ๑ ของพญาลิไท (หลานพ่อขุนรามคำแหง) ความดังนี้ครับ

พ่อตายไว้แก่ลูก พี่ตายไว้แก่น้อง

=============================

ประโยคปัญหาคือ "พ่อเชื้อเสื้อคำมัน" ของจารึกหลักที่ ๑

ศ. ยอร์ช เซเดส์ อธิบายว่า
"พ่อเชื้อ" = พ่อที่ล่วงลับไปแล้ว (ยังใช้อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
"เสื้อคำ" = เสื้อที่ปักเป็นลายด้วยดิ้นด้วยทองคำ หรือใช้คู่กับพ่อเชื้อและมีความหมายอย่างเดียวกันก็ได้

ถ้าตามความหมายนี้ "เชื้อ" น่าจะหมายถึง "ผีบรรพบุรษ"

แต่ถ้าเป็นความเห็นของผม ผมเห็นว่าน่าจะตัดคำดังนี้
พ่อเชื้อ เสื้อ คำ มัน คือ
(ให้) หัวหน้าครอบครัว (= พ่อ)
มอบมรดก (= เชื้อ เทียบ เชื้อสาย คือส่งต่อกันเป็นทอดๆ)
เสื้อ (= เสื้อผ้า หนึ่งในปัจจัยสี่ อิอิ)
คำ (= เงินทอง ปัจจัยที่ห้า อิอิ)
ของตน (มัน คือ ของมัน ของพ่อ ภาษาไทยนิยมละคำว่า "ของ" ซึ่งแน่นอนว่า "มัน" ในที่นี้คงไม่ใช่หัวเผือก หัวมัน อิอิ)

อาจไม่มีคำว่า ผีเสื้อ ผีเชื้อ ตรงๆ ในจารึกหลักนี้ แต่จากคำอธิบายของ ศ.เซเดส์ คำว่า ผีเชื้อ (เทียบ พ่อเชื้อ) จึงอาจหมายถึง ผีบรรพบุรุษ ก็คงได้มั้งครับ

พระเชื้อเมือง ก็อาจแปลว่า ผีบรรพบุรุษประจำเมือง
พระเสื้อเมือง ก็อาจแปลว่า ผีผู้สิงสถิตอยู่ในเมือง

===================================================

คำว่า "ผี" ในจารึกหลักที่ ๑ มีว่า
มีพระขพุงผีเทพดาในเขาอันนั้นเป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้
ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูกเมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี 
ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอั้น บ่คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย

นี่คงเป็นประโยคขยายความของ ผีเสื้อเมืองครับ ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นว่า ผีเสื้อเมือง อาจไม่จำเป็นต้องสถิตอยู่ในเมือง แต่เป็นหลักชัยภูมิของเมืองก็ได้ ในกรณีของสุโขทัย ในจารึกบอกว่ามี "ผี" อยู่หลายตนในเมือง แต่ที่ใหญ่สุด เป็น ผีเทวดา ผู้ครองภูเขา นามว่า พระขพุง

=======================
จารึกที่น่าจะกล่าวถึง "ผีเสื้อ" มากที่สุดคือ จารึกปู่ขุนจิดขุนจอด

แม้ผู้ใดบ่ซื่อไซร้ให้ --------- (ผี)มัน ทั้งเสื้อใหญ่
เขาพูคาเขาผาดาน ผาแ(ด)งแฝงแม่ พระศักดิ์พระสอ
เสื้อทานยอางพานสถาน ปู่ชระมื่น หมื่นห้วยแสนดง
ทั้งปู่เจ้าพระขพง เขายรรยง พระศรี ผีบางพระศักดิ์
อารักษ์ทุกแห่ง ....

... ใครบ่ซื่อ จุ่งผีฝูงนี้ หักก้าวน้าวคอ อย่าเป็นพระยา
เถิงเท่าเป็นเจ้าอยู่ยืน หืนตายดังวันทันดังเครียวเขียว
เห็นอเวจีนรกตกอบายเวทนา เสวยมหาวิบาก
อย่าได้คาดได้พบพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์สักคาบ ...

จากความในจารึกหลักนี้ ทำให้เห็นว่า สมัยสุโขทัยเรียก "เสื้อ" ครับ ไม่ได้เรียก "เชื้อ" ดูได้จากประโยคที่ "ทั้งเสื้อใหญ่ เขาพูคาเขาผาดาน" นั่นแสดงว่า "เสื้อ" ก็คือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่สิงสถิตอยู่ในเขาต่างๆ รอบเมือง นอกจากนี้ ยังมีผีบรรพบุรุษสถิตอยู่ในเมือง และสถานที่ต่างๆ อีกมากมาย แต่ "เสื้อ" ที่ใหญ่ที่สุดเป็น "เสื้อ" ที่สถิตตามขุนเขา

ดังนั้น "ผีเสื้อ" จึงน่าจะหมายถึง ผีที่สถิตอยู่ หรือ ผีที่สิงอยู่ ณ ที่ได้ที่หนึ่ง (เทียบ เสื้อที่สวมติดกับร่างกาย) แต่จะเป็นที่ไหนก็ระบุไป เช่น ในจารึกสุโขทัยระบุว่า สิงอยู่ตามขุนเขา ดังนั้น ผีเสื้อเมือง จึงแปลว่า ผีที่สถิตอยู่ในเมือง ก็คงพอได้ โดยอิงกับบริบทเกี่ยวกับ "เสื้อ" ที่ปรากฎในเนื้อความของจารึกสุโขทัย

ผมเองก็ไม่เคยค้นคำว่า "เสื้อ" มาก่อน ก็ขอบคุณเจ้าของกระทู้ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ถึงตรงนี้ เลยทำให้นึกถึง "ผีเสื้อ" ที่เป็นแมลง ว่า เป็นได้หรือไม่ ที่คนภาคกลางเรียกชื่อนี้ในความหมายว่า "ดวงวิญญาณแห่งขุนเขา"
แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 52 04:33:48

จากคุณ : -_- (Hotacunus)   - [ 5 เม.ย. 52 04:23:27 ]



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 พ.ค. 11, 08:59
ความคิดเห็นที่ 53

กลับมาที่คำถามในกระทู้ อิอิ
๑.คติ ผีเสื้อสมุทร มาจากไหน เสมือนคติ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ที่คอยปกปักรักษาเมือง หรือไม่ หรือผีเสื้อสมุทร จะเป็นพระเสื้อสมุทร ครับ?
ตอบ: คำว่า ผีเสื้อสมุทร ในวรรณคดีไทย น่าจะหมายถึง ดวงวิญญาณในท้องทะเลครับ คือ "สิงสถิต" อยู่ในห้วงน้ำเป็นแห่งๆ ไป อย่างในพระอภัยมณี นางผีเสื้อสมุทร จะสิงสถิต (สิงสถิต = เสื้อ) อยู่ในทะเลอันดามัน แถบหมู่เกาะนิโคบาร์-นาคาวารี (ชื่อตามเรื่องนั้น ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ข้อมูลจากการตีความ บ่งว่าเป็นบริเวณดังกล่าวครับ)

ถามว่า คติผีเสื้อสมุทร มาจากไหน ? ผมคิดว่า ก็คือจินตนาการครับ คือ ผีที่สิงตามที่ต่างๆ พอดีท้องเรื่องเกี่ยวกับทะเล ก็สร้างผีเสื้อสมุทรขึ้นมา ซึ่งก็คือ วิญญาณที่สิงอยู่ในทะเล แต่หน้าที่นั้น คงเป็นความเหมือนที่แตกต่างกับ ผีเสื้อเมือง เพราะผีเสื้อเมือง ปกป้องคน และราชา (ตีความจากจารึก) ส่วนผีเสื้อสมุทรสิงอยู่ในทะเล ครองอำนาจในห้วงน้ำตัวเอง คนผ่านมาก็จับกิน

=======================
๒.ถ้าไม่ใช่ พระเสื้อ แผลงเป็น ผีเสื้อ ... ทำไม จึงถือเอา "ผี" มาปกปักรักษาทะเล (ทั้งที่ "อากาศตะไล" ผู้รักษาเมืองลงกา ซึ่งโดนหนุมานฆ่าทิ้ง อีกเช่นกัน ยังดำรงตำแหน่ง "พระเสื้อเมืองลงกา")
ตอบ: ผี ในคำว่า ผีเสื้อ ก็คือ วิญญาณที่สิงสู่อยู่ในทะเลครับ ก็มีหน้าที่ ดูแลรักษาทะเล ซึ่งอาจให้คุณ ให้โทษ แก่พ่อค้าเรือสำเภาที่หลงทางเข้ามา

================================

๓.ผีเสื้อสมุทรที่โดนหนุมานแหก อก กับผีเสื้อสมุทรที่โดนพระอภัยมณีตีจาก (น่าสงสารนะ) มีความเกี่ยวพันกันมากน้อยแค่ไหน ในแง่ประวัติวรรณคดี
ใครมาก่อนกัน และจริงๆแล้ว ทั้งสองตนนี้ รุปลักษณ์ "น่า" จะคล้ายกันไหม
ตอบ: ผมไม่ทราบว่า "รามายณะ" (ฉบับเต็ม) มีผีเสื้อสมุทร หรือไม่ (อ่านไม่จบเสียที อิอิ) ถ้าไม่ ผีเสื้อสมุทร คงเป็นการสอดแทรกของไทย ให้เรื่องสนุกขึ้น
ผีเสื้อสมุทรของรามเกียรติ์ อาจเป็นแรงบันดาลให้สุนทรภู่สร้างนางผีเสื้อสมุทร ให้มีรูปลักษณ์ดังนั้นครับ เพราะเรื่องรามเกียรติ์มีมาก่อนสุนทรภู่เกิด เข้าใจว่า สุนทรภู่เองก็น่าจะเคยเห็นภาพจิตรกรรมที่วัดพระแก้วครับ

====================
๔.มีนางผีเสื้อสมุทร ตนอื่น ในวรรณคดีไทยอีกหรือไม่ครับ
ตอบ: วรรณคดีไทย เท่าที่ผมนึกออก ไม่ค่อยมีท้องเรื่องเกี่ยวกับทะเลครับ พระอภัยมณีเป็นเรื่องที่แหวกแนวจารีตมาก (ในหลายๆ ประเด็น) ที่เห็นชัดๆ คือ ท้องเรื่องเกี่ยวกับมหาสมุทร

ถ้าเป็นวรรณคดีไทย น่าจะเป็นผีเสื้อน้ำมากกว่าครับ ผีเสื้อน้ำ ก็คือ ดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ตามแหล่งน้ำต่างๆ

====================
ในพระไตรปิฎก ก็มีกล่าวถึงเกี่ยว "ผีเสื้อน้ำ" ครับ (ผมไม่ทราบว่า บาลี ท่านเรียกอะไร เข้าใจว่า อาจใช้คำว่า รากษส) แต่ก็ขึ้นอยู่กับท้องเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางข้ามมหาสมุทร ผีเสื้อน้ำ ในเรื่อง ก็ตรงกับคำว่า "ผีเสื้อสมุทร" ครับ
เช่น
สมุททวรรคที่ ๓
สมุทรสูตรที่ ๑
บุคคลใดข้ามสมุทรนี้ ซึ่งมีทั้งคลื่น มีทั้งน้ำวน มีทั้ง
สัตว์ร้าย มีทั้ง "ผีเสื้อน้ำ" น่าหวาดกลัว ข้ามได้แสนยากได้
แล้ว บุคคลนั้นเราเรียกว่า เป็นผู้เรียนจบเวท อยู่จบ
พรหมจรรย์ ถึงที่สุดแห่งโลก ข้ามถึงฝั่งแล้ว ฯ

ราชบัณฑิตยสถาน อธิบายคำว่า "รากษส" ว่า
รากษส [รากสด] น. ยักษ์ร้าย, ผีเสื้อนํ้า, ชื่อพวกอสูรชั้นต่ำ มีนิสัยดุร้าย ในคัมภีร์
โลกทีปกสารว่า เป็นบริวารของพญายม, ในคัมภีร์โลกบัญญัติว่า เป็น
บริวารของพระวรุณ, ใช้ รากโษส ก็มี. (ส.; ป. รกฺขส).
แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 52 05:19:52

จากคุณ : -_- (Hotacunus)   - [ 5 เม.ย. 52 05:15:40 ]

 
   
 
 
 


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 พ.ค. 11, 09:10
อ้างถึง
สรุปแล้ว พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เป็นใคร หรือ อะไร มาจากไหนกันแน่
รออ่านความเห็นของคุณเทาชมพู

ยังเช็คทะเบียนบ้านของท่านไม่เจอ  ว่าพ่อแม่ชื่ออะไร  สัญชาติไหน  เชื้อชาติไหน
รอคุณเพ็นโนเช็คเองดีกว่า


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 พ.ค. 11, 10:58
ผีของไทยมีที่มาหลายแห่ง   ไม่ได้มาจากเชื้อสายตระกูลเดียวกัน จะได้สืบสาวที่มากันง่าย   

ผีของสุโขทัยที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทวดา เรียกชื่อว่าพระขพุงผีหรือขพุงเฉยๆ  ฟังจากชื่อแล้วไม่คิดว่าท่านเดินทางมาจากอินเดีย  แต่น่าจะมาจากที่ใดที่หนึ่งในเอเชียอาคเนย์ของเรานี่เอง   จะมาจากไทยใหญ่หรือว่าไทยใหญ่รับไปสุโขทัยอีกที  ข้อนี้ไม่รู้เหมือนกัน 
แต่พอแกะรอยได้ว่า คำว่า ผี ในสมัยสุโขทัยมีฐานะระดับในสังคมอีกมิติหนึ่งค่อนข้างสูง   เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทวดา   ต่อมาพอมาถึงอยุธยา   เทวดากับผีก็ยังรวมกลุ่มกันอยู่  แต่เทวดาอยู่ในฐานะสูงกว่าผี    พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองพวกนี้มีหน้าที่รักษาเมือง แต่ได้รับการเคารพยกย่องมากกว่าคำว่าผีบ้านผีเมืองธรรมดา  พวกนั้นดูจะลดชั้นลงไปเป็นบริวารของพระฯเหล่านี้

การอัญเชิญเทวดามารักษาเมือง เพราะเชื่อว่ามีเทวดาคุ้มบ้านคุ้มเมืองอยู่    เป็นพิธีแบบไสยซึ่งคนไทยชาวพุทธรับมาง่าย  เพราะไม่ขัดกับหลักของพุทธ     เนื่องจากพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงเทวดาอยู่บ่อยๆ  ส่วนใหญ่เป็นเทวดาฝ่ายดี ที่ดึกๆก็ลงจากสวรรค์มาเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อสดับตรับฟังธรรมะ      แต่พิธีไสยแบบฝังคนเป็นๆลงเฝ้าเมืองนั้นกล่าวกันแบบกระมิดกระเมี้ยน เป็นพงศาวดารกระซิบ   ไม่มีหลักฐานใดยืนยันออกมาโต้งๆ ว่าเคยทำ     หลักฐานที่ว่าเคยทำในเมืองถลางก็ฟังไม่เป็นเรื่องเป็นราว เหมือนนิทานพื้นบ้านเสียมากกว่าข้อเท็จจริง      แต่ว่าเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างมอญและพม่าเคยทำกันมา  มีหนังสือให้อ้างอิงได้


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 พ.ค. 11, 11:30
      ถ้าดูตามเหตุผลความเป็นไปได้   คนไทยถือสาเรื่องสาเหตุการตายจนจำแนกเอาไว้หลายชนิด   ถ้าตายแบบหลังอยู่บนที่นอน(อนุโลมว่าบนเสื่อ บนพื้นกระดานด้วยก็ได้ ) ถือว่าเป็นการตายแบบธรรมดา โดยมากป่วยตายหรือแก่ตายไปเอง  ไม่เสียหายอะไร   ส่วนตายแบบกะทันหันด้วยอุบัติเหตุหรือถูกฆ่า เรียกว่าตายโหง      ตายด้วยโรคระบาดเรียกว่าตายห่า    ถือเป็นรูปแบบการตายที่น่าเกลียดน่ากลัว   ไม่น่าประสบ  ใครเจอเข้าถือว่าทำกรรมไม่ดีเอาไว้   จึงเป็นที่มาของคำสบถสาบานว่า "ถ้าไม่จริงขอให้ตายโหงตายห่าซิเอ้า"     แปลว่าขอยืนยันความสัตย์จริงๆ  จึงไม่กลัวว่าจะต้องตายแบบเลวร้าย

     ดังนั้นการฆ่าคนอย่างเลือดเย็น เอาลงหลุมทั้งเป็นๆ นอกจากกระทำฆาตกรรมให้เกิดผีตายโหง ซึ่งผิดกฎหมายบ้านเมืองแล้ว  ยัง นับเป็นเรื่องอัปมงคล    ถ้าทำเพื่อให้คนเหล่านั้นเป็นวิญญาณฝ่ายดีช่วยเหลือปกป้องบ้านเมือง ก็เป็นไปไม่ได้     เพราะผีตายโหงเป็นผีที่คนไทยถือว่าเฮี้ยน  น่าจะก่อความเดือดร้อนให้บ้านเมืองมากกว่าปกป้องบ้านเมือง        ตัวอย่างการสร้างเมืองมัณฑเลก็มองเห็นข้อนี้ว่าผีตายโหง ๕๒ ตนนั้นไม่ยักช่วยเมืองตอนอังกฤษรุกมาถึง  กลับทำให้พม่าเสียเมืองอย่างง่ายดาย    ส่วนราชบัลลังก์พม่าที่มีผีตายโหงถูกฝังไว้ข้างใต้ถึง ๔ ตน  แทนที่จะคุ้มครองเจ้านาย  ก็อาจมองได้ว่า ทำให้พระเจ้าสีป่อกษัตริย์องค์สุดท้ายถูกเนรเทศไปอินเดียจนสิ้นพระชนม์  ไม่มีโอกาสกลับมาบ้านเมืองอีก

     แต่ถ้าถามว่ามีไหมที่ฝังศพไว้เป็นวิญญาณรักษาเมือง   ก็ตอบว่ามี  แต่ไม่ได้อยู่ในเอเชียอาคเนย์  แต่อยู่ในประเทศจีนเรื่องสามก๊ก    เมื่อขงเบ้งตายลง  ก็สั่งเสียให้ฝังศพตนไว้บนยอดเขาเตงกุนสานในที่กลางแจ้ง   ห้ามทำสุสานทำศาลาทับศพของตัว   ทั้งนี้ก็ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไม  แต่จุดมุ่งหมายของขงเบ้งมาเป็นที่ประจักษ์ ก็เมื่อมีข้าศึกบุกมาถึงบริเวณนี้   แม่ทัพจงโฮยและไพร่พลถูกปีศาจหลอกหลอนจนไม่เป็นอันได้นอน     ต้องทำพิธีบวงสรวง วิญญาณขงเบ้งจึงมาให้เห็น และขอร้องมิให้ทำร้ายราษฎรเมื่อเข้าถึงเมืองได้   จงโฮยก็รับคำ  จึงเข้าเมืองเสฉวนได้
     เรื่องขงเบ้งกลายเป็นผีเทพารักษ์รักษาเมือง เกิดจากความสมัครใจ   ตัวเองก็ตายไปก่อนด้วยเหตุธรรมชาติ  ไม่ได้ถูกบังคับให้ลงหลุมทั้งเป็นๆ จะกลายเป็นเทพไปก็พอจะฟังขึ้น มากกว่าผีตายโหงเฝ้าเมือง   


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: ศศิศ ที่ 26 พ.ค. 11, 23:07
ผีเสื่อ คือผีที่ดูแลในอาณาเขตพื้นที่หนึ่งๆ ตามชื่อที่ตามมา เช่น ผีเสื้อบ้าน ผีเสื้อวัด ผีเสื้อห้วย ฯลฯ

ผีเสื้อ น่าจะเป็นลูกน้องของท้าวเวสสุวัณ ในรูปแต้มวัดภูมินทร์ มีท้าวเวสสุวัณ และ ผีเสื้อบก ผีเสื้อน้ำ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 26 พ.ค. 11, 23:17
แนบภาพพระเสื้อเมือง ผมถ่ายภาพไว้เมื่อปี 2553 ครับ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 27 พ.ค. 11, 08:46
ความเชื่อเรื่องเสื้อบ้าน เสื้อเมืองและเสื้อวัด เป็นความเชื่อของคนทางเหนือ

เสื้อบ้าน หมายถึงวิญญาณที่คอยให้ความอนุเคราะห์แก่คนในหมู่บ้าน เสื้อเมือง หมายถึงวิญญาณของเจ้าเมืององค์ก่อน ๆ หรือวีรบุรุษที่คอยให้ความคุ้มครองและอนุเคราะห์ดูแลคนทั้งเมือง และเสื้อวัด หมายถึงวิญญาณที่คอยปกป้องดูแลวัด

ทุกวันนี้ชาวเหนือก็ยังมีความเชื่อในเรื่องนี้อยู่ ที่กลางหมู่บ้านจะมีเรือนเล็ก ๆ เรียกว่า "หอเสื้อบ้าน" เป็นที่สิงสถิตของ "ผีเสื้อบ้าน" ทุก ๆ ปีชาวบ้านจะจัดของไปเซ่นไหว้ จากนั้นก็นำมาแจกจ่ายกันกิน

(http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj331/images/khaoban11.jpg)

(http://images.thaiza.com/108/108_20080903141502..jpg)

(http://www.nectec.or.th/oncc/province/pictures/n3/chmai2-303-1-3.jpg)

 ;D


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: ศศิศ ที่ 27 พ.ค. 11, 20:14
มีหลายคำที่คล้ายๆกัน  เช่น เสื้อเมือง (น่าจะมีองค์เดียว) , เชนเมือง (ว่ากันว่าเป็นบูรพกษัตริย์ที่จุติไปเป็นเชนเมือง) , อารักษ์ (อาจมีหลายองค์)


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ค. 11, 20:47
รอยอิน เก็บคำว่า เสื้อ ในความหมายของผีไว้ด้วย    ท่านอธิบายว่า

เสื้อ ๒   น. เชื้อสาย; ผีหรืออมนุษย์จําพวกหนึ่ง เรียกเต็มว่า ผีเสื้อ, ถ้าอยู่
   ในนํ้า เรียกว่า ผีเสื้อนํ้า หรือ เสื้อนํ้า, ถ้าเป็นยักษ์ เรียกว่า ผีเสื้อ
   ยักษ์, ถ้าอยู่รักษาเมือง เรียกว่า ผีเสื้อเมือง เสื้อเมือง หรือ พระ
   เสื้อเมือง.

        รอยอินท่านไม่นับว่าเสื้อเป็นเทวดา   เรียกกว้างๆว่า อมนุษย์  

        อย่างที่เกริ่นมาก่อนหน้านี้ว่า ภูตผีปีศาจของไทยมีที่มาจากหลายแหล่งด้วยกัน    บางพวกก็อพยพมาจากอินเดีย เช่นปีศาจ  ทั้งนี้รู้ได้จากชื่อที่เรียก บาลีและสันสกฤตสะกดว่า "ปิสาจ"   เป็นผีชั้นต่ำ   อยู่ในดินแดนที่เรียกว่าปีศาจโลกซึ่งเป็นภูมิต่ำสุด    จึงเป็นผีฝ่ายร้าย
        เมื่อมาถึงแหลมทอง ปีศาจเป็นคำใช้ในความหมายกว้างๆ ไม่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงว่าต้องหน้าตาเป็นอย่างไรแบบไหน     คนตายแล้วก็กลายไปเป็นปีศาจได้  เช่นอุศเรนในพระอภัยมณี พอหัวใจวายตายก็กลายเป็นปีศาจร้ายมารังควานนางวาลี
        เป็นวันพุธอุศเรนถึงเวรตาย                ปีศาจร้ายร้องก้องท้องพระโรง
        เปรต ก็อพยพมาจากอินเดีย  ดูได้จากชื่อเช่นกัน ทั้งบาลีและสันสกฤตเรียกเหมือนกันว่า " เปต"   ในชมพูทวีปเปรตมีหลายชนิดหลายเผ่าพันธุ์     แต่เมื่อมาอยู่ในประเทศไทย  ไทยกำหนดลักษณะเฉพาะให้คือรูปร่างสูงปรี๊ดเท่าต้นตาล   ผอมโซ  ส่งเสียงหวีดร้องแหลม  มือเท่าใบตาล และปากเท่ารูเข็ม กินอะไรไม่ได้    ต้องมาขอส่วนบุญจากมนุษย์   เท่าที่เคยอ่านก็ไม่พบว่าเปรตเป็นผีดุร้าย   แต่ค่อนไปทางน่าเกลียดน่ากลัวและน่าเวทนา  ต้องทำบุญไปให้เสียมากกว่า
        คนที่เคยเห็นเปรตจริงๆ ไม่ใช่เปรตอาจารย์กู้   คือคุณป้า ม.ล.เนื่อง นิลรัตน  ท่านเขียนเอาไว้ในหนังสือชีวิตในวัง       เมื่อดิฉันไปเยี่ยมท่านที่บ้าน  ท่านยังชี้ให้ดูที่ดินว่างๆติดกับบ้านท่าน   ว่าตรงนี้แหละที่เปรตมาปรากฏตัวให้เห็นเพื่อขอส่วนบุญ  หลายสิบปีมาแล้ว    คนเห็นกันทั้งบ้าน


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 พ.ค. 11, 22:41
เสื้อ ๒   น. เชื้อสาย; ผีหรืออมนุษย์จําพวกหนึ่ง เรียกเต็มว่า ผีเสื้อ, ถ้าอยู่
   ในนํ้า เรียกว่า ผีเสื้อนํ้า หรือ เสื้อนํ้า, ถ้าเป็นยักษ์ เรียกว่า ผีเสื้อ
   ยักษ์, ถ้าอยู่รักษาเมือง เรียกว่า ผีเสื้อเมือง เสื้อเมือง หรือ พระ
   เสื้อเมือง.
       
           
            รอยอินท่านไม่นับว่าเสื้อเป็นเทวดา เรียกกว้างๆว่า อมนุษย์

เสื้อเมืองอยู่ทางเหนือเป็นผี - ผีเสื้อเมือง  พอลงมาทางใต้กลายเป็นเทวดา - พระเสื้อเมือง 



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 11, 12:05
เปรตที่ขึ้นชื่อในตำนานผีไทยอีกตัวหนึ่งคือเปรตวัดสุทัศน์   เล่าลือกันว่าประจำอยู่แถววัดสุทัศน์ มี ๒ ตัวด้วยกันผัวเมีย   สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ บริเวณเสาชิงช้ายังเปลี่ยวในตอนกลางคืน  ดึกๆ  เปรตก็ออกมาเดินเล่น  บางทีก็ชะโงกไปทักทายอยู่นอกหน้าต่างชั้นบนของตึกแถว ให้เจ้าของห้องตกอกตกใจ     แต่เดาว่าถ้าทักทายบ่อยๆ  นานๆเข้าชาวบ้านก็คงจะชินกันไปเอง  เพราะเปรตพวกนี้ไม่ดุร้ายอะไร   
ที่มาของเปรต เล่าอีกทางหนึ่งว่ามาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ   เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่    ดิฉันเคยไปดูภาพวาดผนังโบสถ์ของวัดสุทัศน์เหมือนกัน  แต่ไม่เคยเห็นภาพดังกล่าว   ท่านไหนเคยเห็นกรุณาบอกด้วย 

ส่วนอะไรที่ลือกันว่าโย่งเย่งอยู่แถวๆหน้าวัดนั้น   ก็มีคำตอบว่าเป็นเงาของเสาชิงช้าหน้าวัดนั่นเอง

นอกจากผีอพยพหรือผีอิมพอร์ตจากชมพูทวีป    เรายังมีผีท้องถิ่นแท้ๆ ที่ไม่ได้มาจากไหนอีกด้วย     ส่วนใหญ่ประจำอยู่ในชนบท ในเมืองหลวงไม่ค่อยจะมี    ท่านผู้อ่านเรือนไทย ที่ตอนเล็กๆมีบ้านอยู่ต่างจังหวัด คงเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีท้องถิ่นกันมาทุกถิ่น

อย่างแรกคือผีปอบ

ปอบไม่ได้เป็นผีที่ยืนหยัดได้ด้วยตัวของมันเองล้วนๆ อย่างปีศาจ   แต่ต้องอาศัยร่างมนุษย์เป็นที่อาศัยหาอาหาร  เหมือนปาราสิต (parasite)ชนิดหนึ่ง
มนุษย์ที่ถูกปอบสิงมักจะเป็นหญิงชรา   ไม่เจอปอบที่เป็นเด็กเล็กหรือหนุ่มสาว    แม้แต่ชายชราก็ไม่ค่อยมี   อาการที่เห็นคือผอมกงโก้  ไม่ยักอ้วนทั้งๆชอบกินของสดคาวอย่างเลือดหรือเครื่องในสัตว์   อาการอีกอย่างคือไม่สบตาคน   
ถ้ามองทางการแพทย์   คนที่ปอบเข้าน่าจะป่วยด้วยโรคพยาธิละมัง เพราะชอบกินของสดคาวดิบๆสุกๆ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: ศศิศ ที่ 30 พ.ค. 11, 21:21
ผีอย่างนี้มีเยอะเลยครับแม่ครู

ผีกละ (+ ผีกละหงอน + ผีกละยักษ์) เป็นผีที่คนทางเหนือกลัวที่สุด เชิงเดียวกับผีปอบ ของทางอีสาน

ผีสือ ผีโพรง ... ผีที่กินของคาว แบ่งเพศ หญิง - ชาย แบ่งสีไฟ เขียว - แดง (สือ - โพรง) แต่ผีสือทางเหนือ ออกหากินแบบไปทั้งตัว ปรากฏในวรรณกรรมหลายเรื่อง เช่น ในเรื่อง นางอุทธรา (คล้ายกับปลาบู่ทองของไทย) ที่แม่เลี้ยงนางอุทธราเป็นผีสือ (หากเป็นเรื่องปลาบู่ทอง คนเป็นแม่ของนางอี่)

ผีฟองฝ้าย ... เหมือนก้อนฝ้ายที่ถูกลมพัดปลิว จะดูดเลือดคนจนตาย

ผีตามอย .. เป็นผีที่ตาฟาง จะหาคนต่างเพศตัว ไปเสพ จนตาย

ผีอี่ค้อย(ผีจักแคร่, ผีกองกอย) ... ผีที่คล้ายคนไม่มีสะบ้าหัวเข่า

ฯลฯ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 11, 21:50
ส่งไม้ให้คุณศศิศเล่าเพิ่มเติมอีก ผีพวกนี้น่าสนใจทั้งนั้น 

ผีท้องถิ่นที่รู้จักกันมากที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอได้รับการประชาสัมพันธ์กว้างขวาง ในฐานะดารานำในหนังและละครทีวี คือผีกระสือ
ผีกระสือผูกขาดไว้สำหรับเพศหญิง    ส่วนผู้ชายเป็นผีกระหัง      ลักษณะผีกระสือเป็นดวงไฟกลมๆ ล่องลอยไปในเวลากลางคืน   กินของสดคาว ไม่ว่าเลือดหรือเครื่องในสัตว์    รวมทั้งอุจจาระ    บ้านไหนผู้หญิงคลอดลูกมีกลิ่นเลือดและน้ำคาวปลา จะล่อใจผีกระสือให้ลอดใต้ถุนขึ้นมากิน     ชาวบ้านจึงต้องเอาหนามแหลมๆมาสุมไว้ใต้ถุน เพื่อกันผีกระสือลอดขึ้นไป  หนามจะเกี่ยวหัวและไส้ผีกระสือที่ลอยไปพร้อมดวงไฟ
ร่องรอยของกระสือคือรอยเปื้อนสีเหลืองๆ จากการเช็ดปากผ้าที่ตากไว้กลางแจ้งในเวลากลางคืน  มีกลิ่นเหม็น

ฝรั่งมีกระสือเหมือนกันเรียกว่า Will o'the Wisp เป็นดวงไฟกลมๆล่องลอยวับๆ ในที่มืด   มักจะล่อนักเดินทางให้หลงคิดว่ามีคนหยุดพักแรม ก่อกองไฟ  ก็จะแวะจากถนนเข้าไปสมทบ  แล้วก็หลงทางสาบสูญไป






กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 11, 22:00
ผีไทยที่ดังที่สุด รู้จักกันทั่วประเทศ เคยแสดงนำในภาพยนตร์ ละครทีวี ละครเวที มาแล้วนับสิบ ๆ เรื่อง

คุณเทาชมพูพอนึกออกไหมว่าชื่อผีอะไร

 ;D


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 11, 22:01
ผีปอบละมั้ง  จากหนังบ้านผีปอบ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 11, 22:03
ยังไม่เคยเห็นละครเวทีเรื่องบ้านผีปอบสักที

 ;D


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 11, 22:16
 :-\


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 11, 22:23
ได้ยินเสียงแว่วมาแต่ไกล

พี่มากขาาาาาาาา

 ;)


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 11, 22:27
ไม่น่าเลย   ลืมเธอไปได้ยังไง    
กระทู้ใกล้ๆกันนี้ เพิ่งจะคุยเรื่องทุ่งบางกะปิไปหยกๆ    คลองพระโขนงก็ผ่านทางนั้น

เปรตวันทอง...คำตอบสุดท้าย


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 11, 22:48
 
เปรตวันทอง...คำตอบสุดท้าย

แล้วพี่มากเป็นอะไรกับวันทองหนอ

 ???



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 11, 10:03
คุณเพ็ญชมพูต้องไปค้นสำมะโนครัวเอาเอง  ;)

วันทองทำบาปไว้ ตายไปจึงกลายเป็นเปรต  แต่ไม่ดุร้ายเท่าผีตายทั้งกลมอย่างแม่นาค      ผู้หญิงคลอดลูกตายทั้งแม่ทั้งลูก หรือตายขณะตั้งครรภ์   เรียกว่าตายทั้งกลม  ได้ชื่อว่าเป็นผีที่เฮี้ยนมาก    ต้นเหตุก็มาจากดารานำที่คุณเพ็ญชมพูเป็นแฟนคลับนี่ละค่ะ

พูดถึงผีผู้หญิง  นอกเหนือจากปอบ กระสือ ผีตายทั้งกลม  ก็ยังมีอีกตัวหนึ่ง เรียกว่า ผีชมบ อ่านว่าชะมบ หรือบางทีสะกดว่าฉมบ เป็นผีผู้หญิงที่ตายในป่า    สิงอยู่ในบริเวณที่ตาย มีรูปเห็นเป็นเงา ๆ แต่ไม่ทําอันตรายใคร     
ในเมื่อไม่ทำอันตรายใคร  ก็เลยไม่มีใครเอาใจใส่มากนัก จึงไม่รู้จักกันอีก   อีกอย่างคือป่าตอนนี้หายากมาก  กลายเป็นรีสอร์ตเสียเป็นส่วนใหญ่   ผีชมบก็คงไม่มีที่อยู่   ผีชมบจึงสูญพันธุ์ไป 

ผีพื้นเมืองอีกตัวหนึ่งที่คุณศศิศเอ่ยถึง คือผีกองกอย  กระจัดกระจายอยู่หลายถิ่นทั้งเหนือและภาคกลาง    มีภูมิลำเนาอยู่ในป่า    เวลาคนเดินทางแวะพักแรมในป่า พวกนี้ก็มาดูดเลือดกินจากหัวแม่เท้า    ผีกองกอยมีอวัยวะไม่ครบ 32 มีแต่ 31  คือมีขาข้างเดียว   ไปไหนต้องกระโดดไป พร้อมกับร้อง ก๋อย ก๋อย  จึงเป็นที่มาของชื่อ
พวกนี้เป็นผีเล็กผีน้อย   ยังไม่เคยขึ้นบทดารานำอย่างผีปอบหรือแม่นาค    นอกจากหากินเหมือนทากแล้ว  ก็ไม่ปรากฏว่าเคยหักคอหรือทำร้ายใครมากไปกว่านั้น


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: ธีร์ ที่ 31 พ.ค. 11, 13:29
เรียนถามท่านอาจารย์ เทาชมภู ครับ

จริงๆแล้วคำว่า ผีตายทั้งกลม ใช้ กลม ไหนกันแน่ครับ กลม แบบ ล.ลิง  หรือ กรม แบบ ร.เรือ ครับ (หลายกลมหน่อยไปหน่อยคงไม่เมานะครับ  :-[)

ยังมีผีอีกหนึ่งอย่างที่ปัจจุบันคนแปลผิดไปจากคนโบราณ คือ ผีพราย ปัจจุบันหมายถึงผีทางน้ำทั้งหมด แต่โบราณท่านหมายถึง ท่านเจ้าที่(ในความหมายปัจจุบัน)



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 11, 13:33
สะกดว่า ตายทั้งกลม  ล.ลิงค่ะ
ถ้าตายทั้งกรม  ก็นับเป็นความเคราะห์ร้ายของหน่วยราชการนั้นจริงๆ

ป.ล. ชมพู สะกด พ. พานค่ะ 


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 11, 13:37
ผีพราย เรียกอีกชื่อว่า โหงพราย  เป็นตัวประกอบในขุนช้างขุนแผน   เป็นข้าที่ขุนแผนผูกไว้ด้วยคาถาอาคมให้รับใช้    ขุนช้างเองก็มีไม่น้อยหน้าเหมือนกัน  คือเลี้ยงเอาไว้เฝ้าบ้าน    ในเรื่องนี้ไม่ปรากฏว่าผีพรายเกี่ยวอะไรกับน้ำ   
แต่ในนิยายหลายเรื่องเรียกผีในน้ำว่า พรายน้ำ   ก็คือผีน้ำนั่นเอง   แต่คงเป็นเพราะชื่อไปซ้ำกับคำว่า พรายน้ำซึ่งเป็นฟองน้ำผุดขึ้นสู่ผิวน้ำละมัง   ผีประเภทนี้จึงกลายเป็นผีประจำอยู่ในน้ำไปแทน

พจนานุกรมราชบัณฑิตให้คำจำกัดความของ "พราย"  ว่า เป็นผีจําพวกหนึ่ง (มักกล่าวกันว่าเป็นผีผู้หญิงที่ตายทั้งกลม)    ตามความหมายของรอยอิน แม่นาคก็เป็นผีพราย


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 31 พ.ค. 11, 14:17
คุณเพ็ญชมพูต้องไปค้นสำมะโนครัวเอาเอง   ;)

ไปค้นแล้ว พบว่าสามีอำแดงนาก เดิมไม่ได้ชื่อ "มาก"

คุณเทาชมพูทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม

 ;)


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: ธีร์ ที่ 31 พ.ค. 11, 14:38
ขอบุคณท่านอาจารย์ครับ เพราะมีหลายกระแสมาก

บางท่านว่า ใช้ กรม เพราะหมายถึงว่า ตายทั้งหมด คือทั้งแม่และลูก

ไม่ใช้กลมที่หมายถึง วงกลม  :D ครับเลยสับสน


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 11, 16:02
ตอบคุณเพ็ญชมพู              คงจะสำรวจสำมะโนครัวจากอำเภอเดียวกัน  ชื่อเดิมของพี่มากคือนายชุ่ม   แต่กรมพระนราฯ ท่านทรงตั้งให้ใหม่เมื่อนำไปเป็นละคร
ตอบคุณธีร์          พจนานุกรมของราชบัณฑิตฯ สะกดว่า ตายทั้งกลม ค่ะ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 31 พ.ค. 11, 21:34
ชื่อแรกของพี่มากคือ ชุ่ม

ก.ศ.ร. กุหลาบเขียนไว้ใน สยามประเภท ฉบับวันเสาร์ที่ ๑๐ มีนาคม ร.ศ. ๑๑๘  ว่า

"..จะเปนวันเดือนปีใดจำไม่ได้เปนคำพระศรีสมโภช (บุด) วัดสุวรรณเล่าถวายสมเด็จอุปัชฌาย์ว่า ในรัชกาลที่ ๓ กรุงเทพฯ อำแดงนาก บุตรขุนศรีนายอำเภอ บ้านอยู่ปากคลองพระโขนง เปนภรรยานายชุ่ม ตัวโขนทศกรรฐ์ในพระจ้าวบรมวงศ์เธอจ้าวฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี อำแดงนากมีบุตรถึงอนิจกรรม นายชุ่มทศกรรฐ์สามีนำศพอำแดงนากภรรยาไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุด... ศพอำแดงนากฝังไว้ที่นั่นไม่มีปีศาจหลอกผู้ใด เปนแต่พระศรีสมโภชเจ้าของวัดมหาบุด เล่าถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสว่า นายชุ่มทศกรรฐ์เปนคนมั่งมี.... บุตรนายชุ่มมีชายหญิงหลายคน แต่ล้วนยังไม่มีสามีภรรยาทั้งสิ้น บุตรนายชุ่มหวงทรัพย์สมบัติของบิดา เกรงว่าบิดาจะมีภรรยาใหม่...พวกลุกชายจึงทำอุบายให้คนไปขว้างปาชาวเรือ ตามลำคลองริมป่าช้าที่ฝังศพอำแดงนากมารดา กระทำกิริยาเปนผีดุร้ายหลอกคน จนถึงช่วยนายชุ่มถีบระหัดน้ำเข้านาแลวิดน้ำกู้เรือของนายชุ่มที่ล่มก็ได้ บุตรชายแต่งกายเปนหญิงให้คล้ายอำแดงนากมารดาทำกิริยาเปนผีดุร้ายให้คนกลัว ทั่วทั้งลำคลองพระโขนง... บุตรนายชุ่มทศกรรฐ์หลายคนได้เล่าถวายเสด็จอุปชฌาย์ว่า ตนได้ทำมายาเปนปีศาจอำแดงนากมารดาหลอกชาวบ้าน จริงดั่งพระศรสมโภชกราบทูลเสด็จอุปัชฌาย์ทุกประการ.."

ชื่อต่อมาคือ "โชติ"  
            
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งทรงเป็นสยามมกุฏราชกุมาร ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เรื่องสั้น "นากพระโขนงที่สอง" ไว้ใน หนังสือ"ทวีปัญญา" ฉบับแรกสุด เมื่อเดือนเมษายน ร.ศ. ๑๒๓ ทรงใช้นามแฝงว่า “นายแก้วนายขวัญ”  สมมติให้นางนากมีสามีชื่อโชติ เป็นกำนัน

ชื่อสุดท้ายคือ "มาก"

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เจ้าของโรงละครปรีดาลัยทรงนิพนธ์เรื่อง “อีนากพระโขนง” เป็นละครร้อง และตีพิมพ์บทละครเป็นหนังสือเมื่อต้นรัชกาลที่ ๖  เมื่อ ร.ศ. ๑๓๑   หน้าปกเขียนว่า “บทละครร้องเรื่องอีนากพระโขนง (ว่าเปนเรื่องจริง) หมากพญา รจนาสำหรับลครในปรีดาลัย ร.ศ. ๑๓๑”

หมากพญา เป็นนามแผงของกรมพระนราฯ ทรงกำหนดให้ตัวละครมี ๑๐ ตัว มีชื่อและอายุดังต่อไปนี้
๑. นายมาก อายุ ๓๕ สามีอำแดงนาก เปนคนซื่อ ๆ
๒. ทิดทุ้ย อายุ ๓๘ เกลอนายมาก ขี้เมา
๓. ตาหมี อายุ ๖๘ เก่า ๆ เขลา ๆ
๔. ตาเทิ่ง อายุ ๕๐ สัปเหร่อ
๕. ขรัวเต๊ะ อายุ ๖๒ อาจาริย์วิชาอาคม
๖. ตาปะขาวเม่น อายุ ๖๕ ผู้มีวิชาอาคม
๗. สามเณรเผือก อายุ ๑๘ ศิษย์ขรัวเต๊ะเจ้าเวทมนต์
๘. อำแดงนาก อายุ ๓๒ ภรรยานายมาก เปนคนดี
๙. ยายม่วง อายุ ๖๐ ภรรยาตาหมี เท่อ ๆ
๑๐. ยายโม่ง อายุ ๕๑ หมอผดุงครรภ์

ภาพยนตร์ และละครในยุคหลัง ๆ ใช้ชื่อพี่มากตามละครกรมพระนราฯ ไม่เปลี่ยนแปรเป็นอื่นอีกเลย

 ;D


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 31 พ.ค. 11, 22:02
แม่นาคพระโขนง ปี 2502

กำกับ โดย เสน่ห์ โกมารชุน

แสดงโดย สังสิทธิ์ สัตยวงศ์ , ปรียา รุ่งเรือง



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 31 พ.ค. 11, 22:03
แม่นาคคืนชีพ 2503

แสดงโดย อดุลย์ ดุลรัตน์ , วิไลวรรณ วัฒนพานิช


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 31 พ.ค. 11, 22:04
วิญญาณรักแม่นาค 2505

ปรียา รุ่งเรือง กลับมาในบทแม่นาคอีกครั้ง ในค่าย เสน่ห์ศิลป์ภาพยนตร์


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 31 พ.ค. 11, 22:05
แม่นาคคะนองรัก 2511

แสดงโดย ปรียา รุ่งเรือง , ชุมพร เทพพิทักษ์ , ฤทธิ ลือชา

ปรียา มารับบทแม่นาคอีกครั้ง ในหนังของเสน่ห์


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 31 พ.ค. 11, 22:06
แม่นาคอเมริกา 2518

แสดงโดย กรุง ศรีวิไล , เปียทิพย์ คุ้มวงศ์

ความดังของแม่นาค ทำให้ผู้สร้างนำชื่อไปสร้างแบบ เข้ารกเข้าพง นำฝรั่งมาเล่นเป็นแม่นาค และดัดแปลงเรื่อง จนกลายเป็น หนังผี เกรดต่ำ



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 31 พ.ค. 11, 22:07
แม่นาค บุกโตเกียว 2519

แสดงโดย อุเทน บุญยงค์ , ภาวนา ชนะจิต , อรสา พรหมประทาน

หนังค่าย เมืองทองภาพยนต์


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 31 พ.ค. 11, 22:09
เรื่องแม่นาค แห่งทุ่งพระโขนงนั้น เท่าที่จำได้ ชอบอยู่ ๒ เรื่อง

๑. มือยาวเก็บมะนาว

๒. หม้อสะกดวิญญาณ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: puyum ที่ 31 พ.ค. 11, 22:50
ขอแก้หน่อย ความคิดที่ ๓๙

นำแสดงโดย สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 มิ.ย. 11, 09:58
            "ผีพราย" มาโผล่หน้าจอเมื่อคืนนี้ ครับ



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: ลุงไก่ ที่ 01 มิ.ย. 11, 10:06
ขอส่งผีเข้าประกวดบ้าง ...



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 มิ.ย. 11, 10:34
ภาพและคลิปจากชาวพันทิป

ขออภัยคุณ SILA อย่างยิ่ง   เนื่องจากไม่ชอบดูหน้าตัวเองในทีวี และนิตยสาร   จึงขอเซนเซอร์ค่ะ      



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 มิ.ย. 11, 11:38
เห็นแว้บ ๆ เมื่อวาน

http://www.youtube.com/watch?v=ZFgYrlyqJac&feature=player_embedded

 :D


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 11, 16:20
เมื่อคืน  เกิดพายุใหญ่แถวบ้าน  ต้นมะขามและมะม่วงในซอยหักโค่นไปหลายต้น   ไฟดับตั้งแต่หกโมงเย็นจนเกือบสี่ทุ่ม   เลยไม่ได้ดูเงาพรายตอนต้น   มาดูเอาตอนปลายๆ แล้วก็ดูไม่ตลอด  เพราะอะไรคงไม่ต้องถาม

เรื่องนี้มีพื้นฐานมาจากคำบอกเล่าของน.อ.ภากร ศุภชลาศัย ร.น.  ซึ่งเป็นหลานตาของ "เสด็จเตี่ย"  พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์       ตอนไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่แชงการีล่า     ระหว่างทาง คนอื่นๆ เขาลงจากรถไปช็อปปิ้งกันหมด   คนไหนเบื่อช็อปก็นั่งเฝ้ารถ   ก็เลยนั่งคุยเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลา
คุณภากรถ่ายทอดคำบอกเล่ามาจากท่านหญิงจารุพัตรา ท่านแม่ ซึ่งเป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของเสด็จกรมหลวง  ว่ากระโหลกแม่นาก(สะกด ก.ไก่ให้ถูกต้อง) มีจริง  เสด็จในกรมท่านทรงเก็บไว้    เป็นกระโหลกชิ้นส่วนตรงหน้าผาก    ทรงสั่งพระธิดาไว้ว่าเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วให้นำไปถ่วงน้ำที่ปากอ่าว    ท่านหญิงก็ทรงทำตาม   ตอนทิ้งลงไป มีควันพลุ่งขึ้นมาจากน้ำทะเล เห็นกับตา

คุณภากรเล่าอะไรอีกหลายอย่าง   ซึ่งก็เก็บเอามาใส่ไว้ใน "เงาพราย" หมด    ใครติดตามละครเรื่องนี้ไปได้จนจบก็คงจะเห็น   แต่คนเขียนเล่าแค่นี้เห็นจะพอแล้วละค่ะ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 01 มิ.ย. 11, 16:34
เมื่อท่านเจ้าของปั้นเหน่งกระโหลกแม่นาค ยืนยันว่าได้ทิ้งน้ำแล้ว แต่เมื่อราวสองปีก่อนมีการค้นหากระดูกหน้าผากแม่นาค นำมาให้ชมกันด้วยนะครับ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 01 มิ.ย. 11, 16:38
ศาลย่านาค (ปัจจุบันแถววัดมหาบุศย์ ต่างเรียก "ย่านาค") อยู่มุมหนึ่งของวัดมหาบุศย์ ที่ทางเข้ามีต้นไม้ขนาดคนโอบอยู่ด้านหน้าศาล ภายในศาลได้รับการบูรณะใหม่ไม่เหลือเค้าเดิม รูปปั้นปูนย่านาค บ้างมีสไบมาคุลม บ้างมีวิกผมสวมให้ รายล้อมด้วยเครื่องแก้บน เช่น ชุดสตรีไทยเป็นพันๆตัวแขวนภายในศาล และมีของเด็กเล่นจำนวนมากมาย

ทั้งนี้เมื่อหลายปีก่อน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเสด็จมาที่ศาลย่านาคด้วยครับ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 มิ.ย. 11, 20:05
เมื่อคืน  เกิดพายุใหญ่แถวบ้าน  ต้นมะขามและมะม่วงในซอยหักโค่นไปหลายต้น   ไฟดับตั้งแต่หกโมงเย็นจนเกือบสี่ทุ่ม   เลยไม่ได้ดูเงาพรายตอนต้น   มาดูเอาตอนปลายๆ แล้วก็ดูไม่ตลอด  เพราะอะไรคงไม่ต้องถาม

เอามาให้คุณเทาชมพูดู

http://www.youtube.com/watch?v=RMFeYOUohh4&feature=player_embedded#at=89


อีก ๘ คลิปคุณเทาชมพูคงหาดูต่อได้ไม่ยาก

http://www.dooeii.com/เงาพรายตอนแรก31พฤษภาคม2554.html (http://www.dooeii.com/เงาพรายตอนแรก31พฤษภาคม2554.html)

จะถูกเซนเซอร์อีกไหมหนอ

;D



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 11, 20:13
อย่าเลยค่ะ    เดี๋ยวจะกลายเป็นโฆษณาละคร   ใครอยากดูไปหาดูกันเอง
คุยเรื่องหัวข้อกระทู้ต่อดีกว่า


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มิ.ย. 11, 20:50
ยังนึกถึงผีท้องถิ่นมากกว่านี้ไม่ออก   ขอย้อนกลับไปถึงผีอิมพอร์ตจากอินเดียอีกตัวหนึ่ง เพิ่งเข้ามาในสยามเมื่อรัชกาลที่ ๖ นี้เอง เรียกชื่อว่า เวตาล  หรืออาจแผลงศัพท์เป็น "ไพตาล"
รอยอินให้ความหมายว่า     เวตาล   น. ผีจําพวกหนึ่ง ชอบสิงอยู่ในป่าช้า. (ส. เวตาล ว่า นักปราชญ์ที่ไม่ได้ถ่ายวิชาให้ใคร ตายไปแล้วเป็นผีชนิดนี้)  ถ้าเป็นอย่างหลัง พวกเราในเรือนไทยก็คงรอดจากเป็นเวตาลกันทุกคน

เวตาลตัวที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ในพระนิพนธ์ นิทานเวตาล ของน.ม.ส.  หรือ พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส ผู้เป็นกวีสำคัญพระองค์หนึ่งของรัตนโกสินทร์        แต่เวตาลผู้เป็นตัวละครเอกในเรื่องนี้ ไม่ได้ตรงจากอินเดียมาอยู่ในเมืองไทย  หากแต่แวะไปเป็นนักเรียนอังกฤษอยู่พักใหญ่   ก่อนจะเข้ามาถึงสยาม  
กล่าวคือนิทานเวตาลที่กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงได้มา  ไม่ใช่ฉบับสันสกฤตของศิวทาส   แต่เป็นฉบับภาษาอังกฤษของเซอร์ริชาร์ด เอฟ. เบอร์ตัน ชื่อเดิมว่า   Vikram  and  the Vampire  
ท่านเซอร์ริชาร์ดท่านแปลปีศาจชนิดนี้ว่า vampire หรือปีศาจค้างคาว  ส่วนคำว่าเวตาล  ภาษาอังกฤษทับศัพท์ว่า betaal (เพตาล)   แต่เวตาลตัวนี้ไม่มีพฤติกรรมดูดเลือดอย่างแดรคคูล่า   เป็นปีศาจที่ค่อนข้างจะขี้เล่น และฉลาดรอบรู้ในวิชาการสมกับเรียนในอังกฤษมาก่อน  จึงกล้าเล่นทายนิทานปัญหากับพระเจ้าวิกรมาทิตย์  ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ของอินเดียโบราณ  

ใครสนใจ หาอ่านได้ที่
http://sukumal.brinkster.net/meaploy/vetal/


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 มิ.ย. 11, 21:25
ผีท้องถิ่นเท่าที่นึกได้
๑. ผีโพง
๒. ผีพราย (พรายน้ำ)
๓. ผีปอบ
๔. ผีกระสือ
๕. ผีกองกอย
๖. เจ้าที่ผีเรือน
๗. ผีปู่ย่า
๘. เสือสมิง
๙. ปู่โสมเฝ้าทรัพย์
๑๐. กระหัง (สมัยรัชกาลที่ ๓ ในหมวดกฎหมาย ว่า "กระหาง")
๑๑. ฉมบ (สมัยรัชกาลที่ ๓ ในหมวดกฎหมาย ว่าไว้)
๑๒. จะกละ (สมัยรัชกาลที่ ๓ ในหมวดกฎหมาย ว่าไว้)
๑๓. นางไม้
๑๔. ผีตานี
๑๕. ผีเสาเรือนตกน้ำมัน
๑๖. ผีปอบ
๑๗. ผีฟ้า
๑๘. แม่ซื้อ แม่ศรี
๑๙. ผีแม่หม้าย
๒๐. แม่โพสพ
๒๑. กุมารทอง
๒๒. นางกวัก


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มิ.ย. 11, 21:26
ท่าทางจะคุ้นเคยดี   ช่วยเล่าให้ฟังบ้างได้ไหมคะ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 มิ.ย. 11, 21:38
ท่าทางจะคุ้นเคยดี   ช่วยเล่าให้ฟังบ้างได้ไหมคะ

อูยยยย คงไม่ชำนาญขอรับ  :-[

..ศุภมัสดุ ๑๑๕๖ ศกมะแมนักษัตรเจตมาศปัญจะมีดิถีวาร พระบาทสมเด็จพระเจ้ารามาธิบดี ศรีสิทธิวิสุทะบุรุษโสดม บรมจักรพรรดิธรรมมิราชเดโชไชยไชยาเทพาดิลก ตรีภูวนาธิเบศบรมบพิตพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จ ณ พระที่นั่งมังคลาพิเศกโดยบูรพาภิมุข เบื้องไพชยนตมหาปราสาท มีพระราชโอการมารพระบัณฑูรสุริสิงหนาท พระราชบัญญัติคำนับไว้แก่ ผู้รัง, กรมการ ผู้พิจารณาความ ฉมบ จะกละ กระสือ กระหาง ถ้าเป็นสัจแล้ว อย่าให้ เจ้าเมือง, กรมการ เอา ฉมบ จะกละ กระสือ กระหางไปฆ่าเสีย ให้บอกส่งเข้าไปยังกรุง ให้ไว้แต่นอกขนอน จะให้พิจารณาก่อน ถ้า เจ้าเมือง, กรมการ มิบอกส่งเข้าไปแลฆ่าเสียแล้ว จึงบอกเข้าไปยังกรุงต่อภายหลังให้มีโทษถึงสิ้นชีวิต ฯฯ....

ใจความได้ว่า ถ้ามีการกล่าวโทษบุคคลว่าเป็น ฉมบ จะกละ กระสือ กระหาง ให้จับส่งเข้ากรุงเทพ อย่างเพิ่งฆ่า แต่ถ้าเจ้าเมืองและกรมการ ได้ฆ่าตายแล้ว จะประหารเจ้าเมืองและกรมการ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มิ.ย. 11, 21:59
หมายถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวใช่ไหมคะ
คดีกล่าวหาว่าใครเป็นฉมบ จะกละ กระสือ กระหาง น่าจะเป็นคดีชุกชุมในหัวเมืองยุคนั้น    ผู้รั้งหรือกรมการเมืองคงชำระผิดพลาด ทำเอาคนไม่ผิดต้องตายกันไปมาก     จึงต้องทรงกวดขันให้ส่งเข้ามาพิจารณาในเมืองหลวง ซึ่งน่าจะยุติธรรมมากกว่า เพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเท่าคนในท้องถิ่น     จึงทรงกำชับด้วยการคาดโทษขุนนางที่ละเมิดเรื่องนี้ไว้ถึงตาย

นี่คือเดาล้วนๆ   อยากฟังความเห็นท่านอื่นด้วยค่ะ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 มิ.ย. 11, 22:01
ผีปู่ตา

เป็นผีบรรพบุรุษประจำหมู่บ้าน
ทางภาคพายัพเรียกว่า ผีปู่ย่า
ส่วนภาคกลางเรียกว่า ผีปู่ย่าตายาย
ทางอีสานเรียก ผีปู่ตา
จีนเรียก ไท้ตี้ หรือ ทู้ตี้ คือ เจ้าที่

โดยทั่วไปจะมีการสร้างศาลไว้ปากทางเข้าหมู่บ้าน ก่อสร้างเสาประตูทำนองเสาชิงช้า อย่างโขลนทวาร เปรียบดังขื่อบ้าน และเป็นการป้องกัน "ผีแขก" หรือผีไม่มีศาลเข้ามายังหมู่บ้าน


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 มิ.ย. 11, 22:04
ผีพ่อเลี้ยง

เป็นผีประจำบ้านเรือน เป็นผู้คุ้มครองคนในบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าคนอื่นจะมานอนที่เรือน ต้องบอกผีพ่อเลี้ยงก่อน ถ้าไม่บอกกล่าวจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดี เรียกว่า "ผิดผีพ่อเลี้ยง"


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 มิ.ย. 11, 22:09
ผีปอบ

ผีปอบก็คือ คนธรรมดาอย่างเรา แต่มีอาการเหมือนถูกผีสิงในร่างกาย ร่างกายทรุดผอม สุดท้ายก็ถูกกินตับไตไส้พุงไปหมดจนตาย ผีชนิดนี้ถ้าโกรธใครก็เข้าไปสิงร่างกายได้ ถ้าคนมีวิชาก็จะเลี้ยงปอบไว้ได้ เพื่อใช้งานให้ไปสิงกับคู่อริ ดังนั้นคนที่ปอบเข้าสิงมักจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านไป

การอาศัยกริยาผู้เป็นปอบ คือ ตาขวางไม่กล้ามองใคร ถ้าพบแล้วต้องหาหมอผีมาไล่ออกไป


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 มิ.ย. 11, 22:12
ผีฟ้า = เป็นผีฝ่ายดี คือ อยู่บนฟ้า ซึ่งหมายถึง "เทวดา" นั่นเอง

โดยผีฟ้า เกิดจากความเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ ธรรมชาติซึ่งมองไม่เห็นทำให้เกิดความเคารพ โดยทั่วไปแล้วผีฟ้า ถูกเรียกบุคคลที่สามารถทำพิธีกรรมในการรักษาโรค โดยผ่านการเข้าทรง เพื่อรักษาคนไข้


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 มิ.ย. 11, 22:17
กระสือ

กระสือ เป็นผีชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอาการแปลงร่างได้ คือ การถอดหัวและลำไส้ออกจากตัว ซึ่งเกิดเฉพาะผู้หญิง และตกค่ำกระสือตะถอดหัวไปกินวัว ควายและสัตว์ตัวเล็ก และสิ่งของสกปรกต่างๆ โดยเฉพาะอุจจาระ การที่สังเกตุว่าถิ่นใดมีกระสือ คือ ผ้าที่ตากไว้ยามกลางคืน จะมีรอยคราบเช็ดปากไว้ แล้วบ้างว่ากระสือ จะมีแสงกระพริบได้


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 มิ.ย. 11, 22:19
กองกอย เป็นผีป่าชนิดหนึ่งลักษณะรูปร่างจะเป็น ผีที่มีขาข้างเดียว มีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน เวลาไปไหนมาไหนจะกระโดดไป

ด้วยขาข้างเดียว และส่งเสียงร้องว่า "กองกอย ๆ" อันเป็นที่มาของชื่อ เชื่อว่ามีหน้าตาคล้ายลิง หรือค่าง บ้างเรียกว่า ผีโป่ง หรือผีโบ่งขาม

สันนิษฐานว่า ความเชื่อเรื่องผีโป่งก็คือ ค่างแก่ที่หน้าตาน่าเกลียดไม่สามารถขึ้นต้นไม้ได้...

เชื่อว่า ผีกองกอย จะดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนค้างแรมในป่า วิธีการป้องกันคือ ให้นอนไขว้ขาหรือชิดเท้ากันทั้งสองข้างเป็นที่น่าสังเกตว่า

ผีลักษณะแบบเดียวกับผีกองกอย มีความเชื่อกระจายทั่วไป ไม่เฉพาะในไทย ในมาเลเซีย เชื่อว่า มีคนป่าเผ่าหนึ่งมีขาข้างเดียว ไม่มีสะบ้า หัวเข่า

ที่จีนก็มีความเชื่อว่ามีปีศาจชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ตามภูเขา มีขาเดียว ตัวเล็ก แต่ผมยาว ตาโต หูแหลม มักขโมยอาหารหรือสิ่งของของคนเดินทาง

เมื่อถึงวันตรุษ ก็มักเข้ามาอาละวาดในหมู่บ้าน เชื่อว่านำมาซึ่งความอัปมงคล และใครจับต้องตัว มันจะเผชิญกับโชคร้ายหรือเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ

แม้แต่ผีขาเดียว ที่ไปไหนมาไหน ด้วยวิธีการกระโดด....

แหล่งที่พบเห็น: พบเห็นในป่าลึกทั่วประเทศ

เอกลักษณ์ประจำตัว:มีขาข้างเดียว มีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน กระโดดด้วยขาข้างเดียว และส่งเสียงร้องว่า "กองกอย ๆ" หน้าตาคล้ายลิง


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: puyum ที่ 02 มิ.ย. 11, 22:27
ผีท้องถิ่น
 ผีโรง
 ผีหม้อ(หม้อตาปู่)


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 มิ.ย. 11, 09:09
ลูกกรอก    คือ ผีเด็กที่ตายตั้งแต่อยู่ในท้อง   ถูกนำมาปลุกเสก  ผูกไว้ด้วยอาคมให้รับใช้เจ้าของ      ในขุนช้างขุนแผน  กุมารทองที่ขุนแผนฆ่าคว้านท้องนางบัวคลี่  เอาลูกในท้องมาย่างไฟ  (อ่านคำบรรยายภาพแล้วน่าสยดสยองมาก)   ซากศพเด็กที่ถูกบาร์บิคิวจนแห้งเกรียม  ไม่มีเลือด ไม่มีน้ำหนอง  คือลูกกรอกนั่นเอง   


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 06 มิ.ย. 11, 16:23
นางตะเคียน
นางตะเคียน เป็นผี ตามตำนานพื้นบ้านของไทย เป็นผีผู้หญิง สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียน

บริเวณ ผืนป่าที่ผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่จะสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนมาปัดกวาดอยู่เสมอๆ ก็คงเหมือนกับคนอยู่บ้านต้องออกมาปัดกวาดหน้าบ้านตัวเองให้สะอาดอยู่ตลอด เวลานั่นเอง

นางตะเคียนมักมีรูปร่างหน้าตาสะสวย หมดจดงดงาม ผมยาว ห่มสไบ ใส่ผ้าถุง บางที่ก็ว่าแต่งตัวเหมือนสาวบ้านป่าทั่วๆ ไป ผีนางตะเคียนมักจะเป็นจำพวกหวงที่อยู่ และจะดุร้ายมากหากใครคิดจะรุกรานที่อยู่ของตน

เนื่องจากต้นตะเคียน มีผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่ การจะนำเอาต้นตะเคียนมาขุดเป็นเรือ (เรือสมัยก่อนใช้วิธีขุดขึ้นจากต้นไม้ทั้งต้น) หรือนำไม้ตะเคียนมาสร้างบ้าน จำเป็นจะต้องทำพิธีบวงสรวงขออนุญาตจากนางตะเคียนก่อน ทั้งนี้ เมื่อต้นตะเคียนที่ถูกนำมาแปรสภาพเป็นยานพาหนะ หรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว นางตะเคียนที่สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงสถานะตามไปด้วย เช่น ถ้าเป็นเรือ นางตะเคียนก็จะกลายเป็นแม่ย่านางเรือ เป็นต้น

ตำนานนางตะเคียน
            คนไทยมีความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วว่า ต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุยืนยาวนานปี มักจะมีรุกขเทวดาสถิตอยู่ทุกต้น


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 06 มิ.ย. 11, 16:32
ผีโพลง หรือ ผีโพง เป็นผีของไทยภาคเหนือ ขุนมหาวิชัย ได้เล่าไว้ว่า ผีโพงเรียกว่าผีกระสือ ผีชนิดนี้มักเกิดแต่คนที่มีว่านยาอันแรงคล้ายกับผีปอบ และมันมักติดแปดผู้อื่นได้ เป้นต้นว่า มันถ่มน้ำลายถูกผู้ใด ผู้นั้นมักกลายเป้นผีโพงเหมือนผู้ที่เป็นแล้ว หรือถ้ามันไม่ชอบผู้ใด แล้เอาไม้คานหาบน้ำของแม่หม้ายไปขว้าง
ข้ามหลังคาเรือนแล้ว มักทำให้ผู้นั้นฉิบหาย กริยาที่ผีโพลงชอบ คือ ฝนตกพรำ มันมักออกหากินพวกของโสโครกในเวลาดึก และมักจะเที่ยวด้อมๆ มองๆ ตามใต้ถุนเรือน ที่มีผู้หญิงอยู่ไฟ เขากล่าวว่า ผู้หนึ่งได้เห็นผีโพง มาเที่ยวหากินที่ใต้ถุน เขาจำหน้าได้ว่าเป็นคนนั้นแน่ เขาจึงเอาหอกซัดพุ่งลงไป ถูกที่กลางหลัง เขาเข้าใจว่า ผู้นั้นคงจะตาย และเมื่อเวลาเช้า ได้ไปตรวจดูที่บ้านคนนั้น ก็เห็นคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ บาดแผลก็ไม่มี เขานึกประหลาดใจเป็นอันมาก จึงไปดูในสวนของผู้นั้น เห็นหอกปักอยู่ที่กอว่าน ติดอยู่กัยหัวว่าน ที่ผู้นั้นปลูกไว้ เพราะฉนั้น เขาจึงเห็นว่า ผีโพงเกิดจาก ผู้ที่มีว่าานยาอันแรงร้าย ว่านอันแรงร้ายนั้น มักจำแลงเป็นรูปเจ้าของไปได้ (จะจริงเท็จฉันในไม่แจ้ง) ผีโพงนี้ ไม่ได้รบกวนและทำอันตรายแก่มนุษย์ โดยอุบายอย่างหนึ่งอย่างใดเลย พระคุณเจ้าลานนาศรีโหภิกขุ เล่าว่า ท่านได้เห็นดวงไฟดวงหนึ่งเคลื่อนไหวไปมาในตอนกลางคืน ขณะที่ฝนตกพรำๆ ท่านได้เฝ้ามองอยู่เป็นเวลานาน และเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นนั้น คือ ผีโพง ท่านเล่าต่อว่า มีชาวบ้านหลายคนเคยเห็นผีโพง เขาว่ามันเป็นคนเราดีๆนี่เอง แต่ออกหากินกบ เขียด หรือของคาวจัดในเวลาดึงสงัด และมีแสงเรืองออกทางจมูก แสงของผีโพงนั้น จะหยดลงสู่พื้นดินเหมือนเวลาเราเขี่ยไต้ มันชอบออกล่ากบ เขียดตามทุ่งนา เมื่อจับได้ก็ใส่ปากดูดกินแต่คาวแล้วขว้างทิ้ง พวกชาวบ้านเล่าว่า เคยเห็นผีโพงในระยะประชิดตัวเหมือนกัน ยืนยันว่า ผีโพงก็เป็นคนธรรมดานี่เอง มีอาการทุกอย่างครบ ๓๒ แต่ผิดแผกจากคนธรรมดาก็ตรงที่มันชอบล่า กบ เขียด กินในเวลาค่ำคืน และมีแสงออกที่จมูก เมื่อมีคนพบมันเข้า ผีโพงจะอ้อนวอน ขอร้องว่า อย่าได้พูดไป เพราะเหตุว่า เป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างยิ่ง


ผีโพงที่เป็นผู้ชาย เวลาออกหากินมักจะสะพายดาบติดตัวไปด้วย เมื่อจวนตัวเข้าจริงๆ มันก็จะทำร้ายเอาเหมือนกัน บางตัวที่เป็นมานานปีก็ฉลาด พกเอาไฟฉายไปด้วย เวลามีคนมาพบเข้า จะได้แก้ตัวได้ว่า มาหาปลา หากบ ถ้าไปทำอะไรให้ผีโพงแค้นเคืองแล้ว มันจะอาฆาตพยาบาท และพุ่งด้วยก้านกล้วยถึงตายได้ ถ้ามันพุ่งข้ามหลังคาบ้าน ก็จะพากันฉิบหายวายวอด ตามธรรมดาชาวบ้านถือกันว่า คนที่เป็นผีโพงนั้น เนื่องมาจากวิบากกรรมของเขาเอง พวกชาวบ้านจึงไม่มีใครสนใจ เพราะผีโพงไม่ทำอันตรายและไม่เป็นภัยต่อใครๆ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 06 มิ.ย. 11, 16:41
เปรต
เป็นผีตามความเชื่อไทย มีรูปร่างสูงเท่าต้นตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซ ผิวดำ ท้องโต มือเท่าใบตาล แต่มีปากเท่ารูเข็ม และเปรตจะหิวอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากกินอะไรไม่ได้ จึงชอบมาขอส่วนบุญในงานบุญต่างๆ

คำว่า เปรต แปลว่า ผู้ตายไปแล้ว ในทางพุทธศาสนาหมายถึง สัตว์พวกหนึ่งที่ที่เกิดในเปตสิสัยซึ่งเป็นอบายภูมิ ๑ ใน ๔ ซึ่งประเภทของเปรตมีหลายประเภท เช่นประเภทหนึ่งเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต คือเปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้ หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร โบราณมีความเชื่อที่ว่า ถ้าใครทำร้ายพ่อแม่ ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นผีเปรต

แบ่งตาม เปตวัตถุอรรถกถา

แบ่งได้ 4 ประเภท

    ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ จากอาหารที่มีมนุษย์ให้ เช่น การเซ่นไหว้ เป็นต้น
    ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ
    นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
    กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย

แบ่งตาม คัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์
แบ่งได้ 12 ประเภท

    วันตาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร
    กุณปาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินซากศพคนหรือสัตว์ เป็นอาหาร
    คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร
    อัคคิชาลมุขเปรต คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกทั่วในปากตลอดเวลา
    สุจิมุขเปรต คือ เปรตที่มีปากเท่าเล็กขนาดเท่ารูเข็ม
    ตัณหัฏฏิตเปรต คือ เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนจนเกิดทุกข์จากความหิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
    สุนิชฌามกเปรต คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา
    สุตตังคเปรต คือ เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมราวกับมีด
    ปัพพตังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าขนาดของภูเขา
    อชครังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายราวกับงูเหลือม
    เวมานิกเปรต คือ เปรตที่ต้องเสวยสุขเป็นเทวดาเฉพาะในเวลากลางวัน แต่ในเวลากลางคืนได้ไปเสวยทุกข์เป็นเปรตกินเนื้อตัวเอง
    มหิทธิกเปรต คือ เปรตที่ถวายสิ่งของให้แก่พระสงฆ์ไม่ว่าจะเป็น ช้าง ม้า หรือเกวียน ซึ่งเป็นการถวายเพื่อเอาหน้าแต่ลับหลังขอคืน เมื่อตายไปเป็นเปตรที่ขี่ช้าง ม้า ไม่ก็นั่งเกวียน

แบ่งตามวินัยและลักขณสังยุตตพระบาลี
แบ่งได้ 21 ประเภท

    อัฏฐีสังขสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่กระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ
    มังสเปสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่เนื้อเป็นชิ้นๆ
    มังสปิณฑเปรต คือ เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน
    นิจฉวิปริสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม
    อสิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
    สัตติโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นหอก
    อุสุโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
    สูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
    ทุติยสูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
    กุมภัณฑเปรต คือ เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก
    คูถกูปนิมุคคเปรต คือ เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
    คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระ
    นิจฉวิตกิเปรต คือ เปรตหญิงที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม
    ทุคคันธเปรต คือ เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
    โอคิลินีเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
    อลิสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีศีรษะ
    ภิกขุเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับพระ
    ภิกขุณีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับภิกษุณี
    สิกขมานเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสิกขมานา
    สามเณรเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณร
    สามเณรีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณรี


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 06 มิ.ย. 11, 16:48
เสือสมิง
ถือว่าเป็นเสือชนิดหนึ่ง ที่มีคำสาปอาถรรพณ์สถิตอยู่ในตัว สามารถแปลงกายเป็นเสือได้ เพื่อหลอกผู้ที่พบเห็น โดยเฉพาะนักเดินป่า หรือนายพราน ผู้ที่เป็นเสือสมิงอาจเป็นได้หลายแบบ คือ
    เกิดจากดวงวิญญาณของเสือที่ตายแล้ว มาสิงสู่ร่างคน หรือวิญญาณคนที่ตายแล้วยังไม่ไปเกิด จึงได้สิงสถิตและจองจำในร่างของเสือร้าย
    เกิดจากเสือที่อาละวาดกินคนเข้าไปมาก จนมีวิญญาณคนสิงอยู่ในร่าง
    ผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า สามารถแปลงกายเป็นเสือแต่อาจจะทำผิดครูจึงทำให้เวทมนตร์เข้าหาตัว หรือ ผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าแต่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ของเข้าตัวกลายเป็นเสือได้ เสือสมิงพวกนี้จะเรียกว่า สมิงอาคม

ลักษณะและพฤติกรรม

    เสือสมิง คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่า ต้องเป็นเฉพาะผู้หญิง แต่ในความจริงเสือสมิงเป็นได้ทั้งชายและหญิง
    เสือสมิงที่มีฤทธิ์แรง สามารถแปลงกายเป็นเสือตัวใหญ่ในช่วงเวลาไหนก็ได้ ทั้งกลางวันและกลางคืน มีแรงอาฆาตพยาบาทมาก
    เสือสมิงที่มีฤทธิ์ปานกลาง จะแปลงกายได้ในตอนหวาดกลัวสุดขีด หรือในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงแล้วกลายเป็น เสือลายพาดกลอน

พฤติกรรม ผู้ที่เป็นเสือสมิง จะมีพฤติกรรมลึกลับในส่วนลึกของจิตใจ ทั้งบุคลิกท่างการแสดงออก จะมีลักษณะคล้ายกับเสือโคร่ง ชอบกินเนื้อสัตว์แบบสุกๆดิบๆและมีกลิ่นคาว ถ้าสัตว์อื่นที่ได้พบเห็นจะต้องหวาดกลัวทันที บางรายก็ไม่ปรากฏอาการแต่จะมีการมองด้วยสายตาที่น่ากลัว ผู้คนทั่วไปไม่ค่อยกล้าสบตา

    เสือสมิง เป็นความเชื่อที่อาจคล้ายคลึงกับชาวต่างชาติ อาทิ มนุษย์สิงโต(นรสิงห์),มนุษย์หมาป่า ,มนุษย์เสือดาว เสือดำ ,มนุษย์จระเข้


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 11, 10:10
สงสัยอยู่คำหนึ่งคือ ผีดิบ  ว่าหมายถึงอะไรกันแน่    ตั้งแต่อ่านหนังสือและดูหนังตอนเด็กๆ  ผีดิบเป็นชื่อที่คนไทยเรียกเจ้าอสุรกายแฟรงเกนสไตน์       มีนิยายสามเกลอตอนที่ดร.ดิเรกเข้ามารวมกลุ่ม ชื่อ ผีดิบอาละวาด    เข้าใจว่าเมื่อหนังเรื่อง Frankenstein's Monster เข้ามาฉาย    คนที่ตั้งชื่อหนังเป็นภาษาไทย คงจะเรียกเจ้าตัวนี้ว่า ผีดิบ

http://www.youtube.com/watch?v=tTNN5h8CG_Y

รอยอินให้คำตอบ ของคำว่า ผีดิบ ว่าผีที่ยังไม่ได้เผา     ก็นับว่าตรงตัวดี   อาหารที่ยังไม่ได้ผ่านไฟ ก็เรียกว่าอาหารดิบ    เจ้าผีตัวนี้ยังไม่ได้เผาจริงๆ  ชิงลุกมาอาละวาดเสียก่อน


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 ก.ย. 11, 11:33
ยกปีศาจจากกระทู้ "สัตว์ประหลาด" มารวมไว้ที่นี่อีกแห่งหนึ่ง

ในอังกฤษก็มีเรื่องร่ำลือถึงรอยประหลาดชื่อว่า รอยเท้าปีศาจ (http://www.mysteriousbritain.co.uk/england/devon/other-mysteries/the-devils-footprints.html)

ปีศาจหรือซาตานในความเชื่อของชาวบ้านที่นั่นหน้าตาเป็นอย่างนี้ คือมีเขา ๓ เขา มีหาง และมีขาเป็นแพะ

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3296.0;attach=24841;image)

ภาพนี้บรรยายว่า

The Evil One Can Take Many Shapes But This is His True Shape

ปีศาจตนนี้ชื่อว่า  Baphomet (http://furoshiki.exteen.com/20060513/baphomet)

สังเกตว่าหน้าออกทางแพะชัดเจน

ทำไมปีศาจต้องหน้าตาเหมือนแพะด้วย   ???


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3296.0;attach=24842;image)

 ;D


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ค. 23, 12:25
ดึงกระทู้นี้ขึ้นมาอีกครั้ง  เพราะไปเจอข่าวนี้ค่ะ

เอเจนซีส์ - กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วโลกโซเชียลมีเดียระหว่างถ่ายทอดสดทางทีวีวันพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ มีคนตาดีเห็นคนสวมชุดคลุมยาวดำอยู่แต่ไกลวิ่งตัดผ่านไป ลือไปต่างๆ นานาว่าอาจเป็นรีปเปอร์ ทูตล่าวิญญาณ

ดิอินดีเพนเดนท์ของอังกฤษรายงานวันนี้ (6 พ.ค.) ว่า ท่ามกลางกระแสพิธีวันบรมราชาภิเษกที่ยังคงคึกคักในอังกฤษ โลกโซเชียลมีเดียแดนผู้ดีต้องมาขบคิดกันอีกครั้งเมื่อเกิดมีคนตาดีบังเอิญเห็นภาพปริศนาระหว่างกำลังพิธีอยู่ด้านในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ที่ถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษ

เป็นภาพปรากฏคนลึกลักสวมชุดคลุมยาวดำเห็นอยู่แต่ไกลวิ่งผ่านประตูมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ไปอย่างน่าพิศวง เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทหารอังกฤษในชุดเครื่องแบบทางการสีแดงกำลังเดินทางเข้าสู่พิธี การปรากฏตัวของบุคคลปริศนาที่ผ่านประตูโบสถ์ไปยังเป็นเวลาเดียวกันกับที่เหล่านักร้องประสานเสียงกำลังขับขานดังไปทั่วตัวอาคารโบสถ์ที่เก่าแก่

สื่ออังกฤษรายงานว่า ชาวเน็ตที่ได้เห็นต่างพูดไปต่างๆ นานา มีบางคนชี้ว่าเป็นภาพของกริม รีปเปอร์ (grim reaper) และมีบางส่วนชี้ไปว่า บุคคลลึกลับอาจเป็นเจ้าหญิงไดอานาที่ล่วงลับไปนานแล้วกลับมาปรากฏให้เห็นก็เป็นได้

https://mgronline.com/around/detail/9660000041834

ยังไม่มีเวลาไปค้นเรื่องราวจริงๆว่าเป็นยังไง   เอามาลงให้อยากรู้กันก่อน
ฝากคุณเพ็ญชมพู คุณหมอ SILA  คุณโหน่ง และท่านอื่นๆช่วยค้นต่อด้วยนะคะ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 พ.ค. 23, 15:35
ว่าแต่ว่า "ท่านยม" (grim reaper) กำลังมองหาใครอยู่หนอ ;D

https://youtu.be/DBSR8CimsNw


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 ส.ค. 23, 11:35
เดี๋ยวนี้คนไทยหันมานับถือบูชาภูติผีปีศาจกันแล้ว

ช่วงเช้าวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ มีข่าวรถบรรทุกขนรูปปั้นขนาดใหญ่ มาติดคานสะพานลอยถนนรัชดาภิเษก ทำให้รถติดเป็นแถวยาว ซึ่งต่อมาบรรดาสื่อให้ข้อมูลว่าเป็นรูปปั้น "ครูกายแก้ว" เล่าลือว่าป็นอาจารย์ของ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗

ปัจจุบันรูปปั้น "ครูกายแก้ว" ตั้งอยู่ที่บริเวณแยกรัชดา-ลาดพร้าว มีประชาชนเดินทางเข้ากราบไหว้ไม่ขาดสาย

https://youtu.be/K9eNvRoQmNM

ครูกายแก้ว ดูลักษณะรูปร่างคล้ายกับภาพวาดในหนังสือ นิทานเวตาล น่าจะไม่ใช่เทพ แต่เป็นปีศาจมากกว่า


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ส.ค. 23, 14:34


ครูกายแก้ว ดูลักษณะรูปร่างคล้ายกับภาพวาดในหนังสือ นิทานเวตาล น่าจะไม่ใช่เทพ แต่เป็นปีศาจมากกว่า


อดไม่ได้ต้องขอแหยม....

เห็นแล้วนึกถึงตัว Gargoyle

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/08/16/dWz9mh1.jpeg) (https://www.picz.in.th/image/dWz9mh1)


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 23, 18:49
จาก FB  ของ  เดอะ พิซซ่า เมตตาดี

- สร้างกระแสให้เป็นข่าวดัง
- แจกเหรียญฟรี ส่งหน้าม้าไปรับเหรียญ
- ส่งหน้าม้าไปดักรอซื้อเหรียญจากหน้าม้า ที่หน้างาน
- พากันปั่นข่าว (มีสื่อฯช่วยปั่น) อัพราคาไปเรื่อย ๆ
- จากเหรียญโง่ ๆ ราคาอัพไปหลักหมื่น หลักแสน 
- เอาเหรียญที่ตุนไว้ออกมาขาย
- โกยเงินจากพวกคนขาดสติ 
- ขายเหรียญหมด กระแสตก ปิดจ็อบ
- เหรียญราคาร่วงติดฟลอร์ คนซื้อน้ำตาไหล
- รอปั้นตัวใหม่ขึ้นมาหลอกแดกต่อ
.
ผมพูดถึง วัฏจักรทั่วไปของวงการนี้


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 23, 09:13
จากเพจ Thai PBS   

ประชาชนแห่กราบไหว้ #ครูกายแก้ว ไม่เชื่อกระแสบูชายัญ ลูกหมา-ลูกแมว
.
วันนี้ (15 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ที่ตั้ง องค์ครูกายแก้ว ที่บริเวณแยกรัชดา-ลาดพร้าว มีประชาชนเดินทางเข้ากราบไหว้ไม่ขาดสาย แม้ขณะนี้จะมีการกั้นรั้วสแลนสีเขียวโดยรอบบริเวณ  เนื่องจากอยู่ระหว่างงานก่อสร้างเทเสาทำโครงหลังคา
.
ขณะเดียวกัน ในกลุ่ม Facebook ลูกศิษย์ครูกายแก้ว บรมครูผู้เรืองเวทย์ มีสมาชิกกลุ่มประมาณ 2,500 คน ได้เกิดกระแสการเผยแพร่ข้อมูล การบูชายัญ ครูกายแก้ว ด้วยลูกหมา-ลูกแมว โดยอ้างถึงเลือดบริสุทธิ์ กระแสตอบรับในกลุ่มมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เห็นด้วย รวมถึงผู้ที่ต่อว่าถึงพิธีกรรมที่รุนแรง
.
ทีมข่าวสอบถามประชาชนที่เดินทางมากราบไหว้ครูกายแก้วถึงเรื่องดังกล่าว ต่างให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะการกราบไหว้ ครูกายแก้ว หรือทวยเทพใด ๆ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่ทำไปเพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนั้นพิธีกรรมการเข่นฆ่า เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่น จึงไม่สอดคล้องกัน
.
ขณะเดียวกันประชาชนที่มากราบไหว้ต่างก็ยอมรับว่า ไม่เคยรู้จักชื่อของครูกายแก้วมาก่อน เพิ่งมารู้จักเมื่อตอนที่เกิดเหตุติดสะพานขณะเคลื่อนย้าย และเดินทางมากราบไหว้เพราะมีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว และกราบไหว้เพื่อความสบายใจ-ความเป็นสิริมงคล ส่วนกระแสการบูชายัญ ต่อให้เป็นเรื่องจริง ก็ไม่เห็นด้วยและไม่คิดจะทำตาม แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ไม่ใช่เรื่องจริง
.
สำหรับสิ่งของที่ประชาชนใช้ประกอบการกราบไหว้ ครูกายแก้ว เป็นดอกไม้ดอกดาวเรือง ชุดหมากพลู แต่ใช้ธูปสีดำเป็นส่วนใหญ่ และมีบทสวดมนต์เฉพาะของครูกายแก้วอีกด้วย
.
นอกจากนี้ โดยรอบบริเวณที่ตั้งครูกายแก้ว ยังมีการตั้งประดิษฐานของเทพอีกหลายองค์ อาทิ พระศิวนาฏราช พระพิฆเนศ พระนารายณ์ทรงครุฑประทับพระราหู เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ประชาชนกราบไหว้ทุกองค์เทพ ที่ประดิษฐานอยู่ในบริเวณนั้น
.


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 23, 09:13
น่าจะลงเอยแบบจตุคามรามเทพ


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 ส.ค. 23, 09:35
;D


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 23, 10:41
พอเห็น "กายแก้ว" ครั้งแรกก็นึกถึงตัวเวตาล  ในนิทานเวตาล ที่น.ม.ส. กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงแปลจาก Vikram & the Vampire ที่ Richard A.Burton  เขียนขึ้น โดยอิงจากนิทานพื้นเมืองของฮินดู     ตัวเวตาลในเรื่องนี้คือปีศาจค้างคาว ที่ชอบเข้าสิงในศพ  หน้าตาที่ฝรั่งเข้าใจคือเป็นแบบข้างล่าง
แต่เวตาลในศาสนาฮินดู ตามที่มีรูปสลักหินไว้  หน้าตาเป็นอีกแบบ
ส่วนชื่อ "กายแก้ว" น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Gargoyle  คำนี้ออกเสียงแบบไทยๆ ไม่ใช่เขมร  และไม่ใช่ชื่อขอมสมัยพระเจ้าชัยวรมันแน่นอน


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: unicorn9u ที่ 17 ส.ค. 23, 11:42
ที่ตรงนั้นเป็นที่ของใครครับ ที่เอามาตั้ง
มีใครมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรหรือเปล่า


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 23, 11:43
สงสัยอยู่เหมือนกัน  เดาว่าเป็นที่เอกชนค่ะ
ตั้งเทวรูปไว้หลายองค์


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 23, 12:30
หาคำตอบมาให้

สุชาติ รัตนสุข สร้างรูปกายแก้วขึ้นในประเทศไทย
เดิมมีขนาดเล็ก เป็นลักษณะคนนั่ง หน้าตักเพียงแค่ประมาณ 2 นิ้วเท่านั้น   ต่อมา  สุชาติก็ได้ทำการวาดภาพจากนิมิตและจินตนาการ จากนั้นก็ทำการหล่อรูปองค์ครูขึ้นเป็นองค์แรก มีลักษณะเป็นองค์ยืน คล้ายคนแก่ นำไปไว้ที่สำนัก จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการบูชาครูนั่นเอง

รูปร่างเป็นลักษณะของผู้บำเพ็ญ กึ่งมนุษย์กึ่งนก มีปีกด้านหลัง มีเล็บยาวสีแดงและเขี้ยวสีทองเพื่อสื่อถึงนกการเวก อ้างอิงตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่บนกำแพงบายน ที่มีประวัติของการเวกซึ่งเป็นพวกนักดีดสีตีเป่า ถือเป็นครูของศาสตร์ศิลป์ทั้งหลายในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของกัมพูชา ทั้งนี้ นกการเวก มีความเชื่อว่า เป็นสัตว์จากป่าหิมพานต์ที่มีเสียงไพเราะ ซึ่งช่วยดึงดูดใจคนที่ได้ยิน ช่วยโน้มน้าวใจในการเจรจาสื่อสาร
ความนิยมนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย เพราะยังเป็นที่เลื่องลือไปจนถึงแดนไกลอย่างจีน ไต้หวัน และฮ่องกง อีกด้วย
ศาลกายแก้วมีหลายแห่ง   ล่าสุดที่ลานโรงแรมเดอะ บาซาร์ แบงค์ค็อก รัชดาภิเษก ได้มีการตั้งรูปหล่อสูง 4 เมตร กว้าง 3.50 เมตร มาประดิษฐาน


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 23, 13:23
เวตาล (Vetala) ดั้งเดิมของอินเดีย


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 23, 13:27
ตำนาน gargoyle

https://thaienews.blogspot.com/2023/08/gargoyle.html


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ส.ค. 23, 07:45
ขนลุกอึ้งกันทั้งบาง!สาวเพชรบูรณ์ถ่ายภาพติดคล้ายผีเปรต พระ-ชาวบ้านยืนยันเคยเจอกับตัวเอง

ชาวบ้านหมู่ที่ 10 ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ แจ้งว่าได้ถ่ายรูปติดภาพปริศนาคล้ายผีเปรตตามตำนานและเรื่องราวที่เล่าๆ กันมา มีลักษณะตัวสูงกว่าต้นไม้ มีแสงไฟ 2 ดวงสีแดงก่ำคล้ายดวงตา เมื่อนำไปให้เพื่อนบ้านดูบางรายก็ว่าเป็นผีเปรต ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็บอกว่าเป็นนกเค้าแมว จึงได้เดินทางไปยังจุดที่ถ่ายภาพดังกล่าว ซึ่งอยู่บริเวณหน้าวัดสนามบิน ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์

น.ส.อารียา บัวอินทร์ อายุ 27 ปี ผู้ที่ถ่ายภาพดังกล่าวเปิดเผยว่า ตามปกติตนก็ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาอยู่แล้ว ในวันเกิดเหตุเป็นคืนวันที่ 14 ส.ค.2566 เวลาเกือบเที่ยงคืน ขณะที่ตนกำลังจะนอน แต่ลูกชายวัย 3 ขวบ ไม่ยอมหลับ ตนจึงแกล้งพูดว่าถ้าไม่นอนผีเปรตจะมาเอาตัวไปนะ

แต่แล้วจู่ ๆ ลูกชายก็พูดขึ้นมาว่า..ผีเปรตมาโน่นแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้เอะใจ เพราะลูกชายเป็นคนที่ชอบดูหนังผี ชอบดูรูปภาพเกี่ยวกับผี แต่ก็ได้ลองหันไปดูทางหน้าต่างก็พบว่ามีดวงไฟสีแดง 2 ดวงขนาดใหญ่คล้ายดวงตาผีที่เห็นในหนัง และมีลักษณะโยกไป โยกมา จึงได้นำโทรศัพท์มาถ่ายรูปและคลิปไว้

“ส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว แต่เห็นว่ามีลักษณะแปลกจึงถ่ายไว้ แต่พอตนหันมาดูลูกแล้วหันกลับไปดวงไฟดังกล่าวก็หายไปแล้ว”

กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น(15 ส.ค.66) จึงนำภาพออกมาดูอีกครั้ง แต่เนื่องจากภาพค่อนข้างมืด จึงได้เพิ่มแสงเพื่อให้มองชัดขึ้นก็พบว่ามีลักษณะคล้ายกับผีเปรตในภาพยนตร์ที่ตัวสูง ๆ และเมื่อนำภาพดังกล่าวไปให้เพื่อนบ้านดู หลายรายก็ยืนยันว่าเป็นผีเปรตจริง ๆ เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นป่าหลังบ้าน ไม่มีดวงไฟอะไรอยู่เลย และก่อนหน้านั้นก็ได้มีสุนัขหอนต่อเนื่องกันมาหลายวันแล้วด้วย

นางละเอียด นาคแพง อายุ 77 ปี ซึ่งอยู่บ้านใกล้เคียงเปิดเผยว่า เชื่อว่าภาพถ่ายดังกล่าวเป็นผีเปรตอย่างแน่นอน เพราะบริเวณพื้นที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นป่าช้าเก่า สมัยก่อนมีการฝังศพเป็นจำนวนมาก และเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วตนก็เคยเห็นผีเปรตกับตาตัวเอง ในขณะที่กำลังจะเข้านอน แล้วมองไปทางวัดสนามบิน ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านก็ได้เห็นเงาของผีเปรตค่อยสูงขึ้นๆ จึงรีบเรียกสามีให้มาดู แต่พอตนละสายตา และหันกลับมามองอีกครั้งภาพนั้นก็หายไปแล้ว ตนจึงรีบวิ่งเข้าห้องนอนทันที

่อ่านต่อได้ที่

https://mgronline.com/local/detail/9660000074326


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ส.ค. 23, 09:35
https://youtu.be/ZMX4H5juaXM

กายแก้ว กับ เปรตเพชรบูรณ์ เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือมี "ตาสีแดงก่ำ"


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.ย. 23, 09:45
กรณีมีการตั้งรูปปั้น "ครูกายแก้ว" บริเวณหน้าโรงแรมเดอะ บาซาร์ รัชดาภิเษก จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของหลายฝ่าย ตามมาด้วยข้อถกเถียงในสังคมว่าสมควรย้ายรูปปั้นครูกายแก้วหรือไม่

วันที่ 28 ส.ค.2566 นายชาลี นพวงศ์ ณ อยุธยา เลขานุการประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยนายสิทธิชัย หอมศิริวรรณ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย แถลงข่าวเกี่ยวกับการตั้งรูปปั้น "ครูกายแก้ว" ในพื้นที่ของโรงแรม ยืนยันว่าจะไม่ย้ายรูปปั้น "ครูกายแก้ว" โดยชี้แจงเหตุผลหลักๆ ที่สังคมตั้งคำถาม ทั้งในทางบริหารธุรกิจและความเชื่อ โดยยืนยันว่าการตั้งวางครูกายแก้วไม่ผิดหลักกฏหมายใดและไม่ผิดหลักศาสนา แต่ด้วยหลักการประนีประนอม จะมีการจัดสร้างโดมครอบ เพื่อสร้างความสบายใจของทุกฝ่าย

https://www.youtube.com/watch?v=1EuebZ7a54o


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 23, 19:26
จากรายการ โหนกระแส

เจ้าหน้าที่จัดเวรยามออกตรวจ หลังชาวบ้านผวาหนัก กระสืออาละวาดในหลายตำบล
.
เมื่อคืนนี้ (17 ตุลาคม 2566) เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจังหวัดลพบุรีและหลายหน่วยงาน แบ่งกันออกตรวจพื้นที่ และพบปะกับชาวบ้านใน 4 ตำบล ของอำเภอเมืองและอำเภอท่าวุ้ง หลังมีชาวบ้านพบเจอกระสือแบบตัวเป็นๆ จนขวัญผวากันไปทั้งหมู่บ้าน และไม้กล้าที่จะออกจากบ้านยามค่ำคืน ซึ่งชาวบ้านที่พบเจอต่างก็บอกเป็นเสียเดียวกันว่า กระสือที่เจอเป็นกระสือแก่ มีผมสีขาว แต่ไม่มีใครทราบว่ากระสือตัวนี้มาจากไหน เพราะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนในพื้นที่
.
จากการออกตรวจ และพูดคุยกับชาวบ้าน เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ และสร้างความอุ่นใจให้กับชาวบ้านว่าเจ้าหน้าที่จะให้การช่วยเหลือและช่วยดูแลความปลอดภัย แต่สิ่งที่ทางส่วนราชการเป็นห่วงและต้องรีบออกมาในครั้งนี้ ไม่ได้ห่วงเรื่องกระสือ แต่ห่วงว่าหากชาวบ้านไม่ออกจากบ้านยามค่ำคืน อาจเป็นช่องว่างของกลุ่มมิจฉาชีพ จะใช้โอกาสนี้ออกมาซ้ำเติม ขโมยทรัพย์สิน ทั้งสัตว์เลี้ยง และทรัพย์สินอื่นๆ จึงต้องจัดเจ้าหน้าที่ตรวจตรากันอย่างเข้มงวด


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 23, 19:29
โหนกระแส
 
นายอำเภอแจงแล้ว กระสืออาละวาดที่ลพบุรี ที่แท้คนใส่หน้ากากมาขโมยไก่ชน ลุงเจ้าของบ้านยัน ไม่ใช่คนแน่นอน

จากกรณีกระแสข่าว ผีกระสือ ออกอาละวาดหากินกลางดึก ที่ต.บ้านเบิก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี จนสร้างความหวาดผวาให้กับชาวบ้านในตำบลเป็นอย่างมาก ล่าสุด นายยศวิน บำรุงเวช ป้องกันจังหวัดลพบุรี ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลพบุรี นำกำลัง ออกตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับชาวบ้าน
ล่าสุดผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Sathaporn Auyha” แจ้งในกลุ่ม “แจ้งเหตุลพบุรี” โดยเป็นเอกสารที่นายพิษณุ ประภาธานานันท์ นายอำเภอเมืองลพบุรี แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี โดยมีข้อความว่า
“ด้วยวันที่ 17 ต.ค.2566 ปรากฎภาพข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการพบเจอกระสือในพื้นที่ ต.โพธิ์ตรุ อ.เมือง ลพบุรี จ.ลพบุรี สร้างความหวาดกลัวและตื่นตะหนก ให้กับประชาชนในพื้นที่หลายตำบลของ อ.เมือง ลพบุรี และ ต.บ้านเบิก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏข่าวดังกล่าวสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
ผู้ให้ข่าวชื่อนายวิเชียร แจ้งว่าพบกระสือที่บ้าน ช่วงกลางดึกประมาณ กลางเดือน ก.ย.2566 ตนกับกระสือระยะห่างประมาณ 5 เมตรเห็นเฉพาะใบหน้า อ้างว่าเป็นหญิงแก่ผมขาสลับดำ จ้องหน้าแยกเขี้ยวใส่นายวิเชียร และนายวิเชียร ใช้จอบไล่ตีกระสือ จนออกไปทางถนน นายวิเชียรนำเรื่องที่ประสบเหตุดังกล่าวไปเล่าให้กับชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงทราบและได้มีการพูดคุยต่อๆ กันไป
แต่จากการสืบข้อเท็จจริง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ที่อยู่ติดกับบ้านนายวิเชียร แจ้งว่าช่วงเช้าหลังเกิดเหตุวันที่นายวิเชียรพบกระสือ ตนได้วิ่งออกกำลังกาย ได้พบหน้ากากบริเวณหน้าบ้านของนายวิเชียร มีลักษณะตรงตามที่นายวิเชียรให้ข่าว จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นคนสวมหน้ากาก เพื่อมาขโมยไก่ชนของนายวิเชียร หรือทรัพย์สินมีค่าอื่น
นายอำเภอ เมือง ลพบุรี ขอความร่วมมือ อบต.โพธิ์ตรุ กำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลโพธิ์ตรุ ช่วยประชาสัมพันธ์เสียงตามสายและขับรถ แจ้งเตือนประชาชนอย่าตื่นตะหนกกับข่าวที่ปรากฏ พร้อมทั้งฝ้าระวังทรัพย์สินของมีค่า เครื่องมือการเกษตรหากมีความคืบหน้าประการใดจะแจ้งให้จังหวัดทราบในโอกาสต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายวิเชียรได้บอกในรายการโหนกระแส หลังทราบข่าว ขณะออกอากาศสด ยืนยันว่าไม่ใช่คนใส่หน้ากาก ในหมู่บ้านไม่มีขโมยแน่นอน


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 23, 08:59
จาก FB โหนกระแส

กระสือลพบุรี’ ค่าตัวพุ่ง 1 ล้านบาท เจ้าของรีสอร์ตพร้อมจ่าย ถ้าจับตัวเป็น ๆ ไม่ได้ ก็ขอให้ถ่ายรูปมา

เป็นข่าวฮือฮาหลังมีคนแจ้งว่าพบกระสือตัวเป็น ๆ ที่บริเวณ ต.โพธิ์ตรุ-ต.ท้ายตลาด อ.เมือง จ.ลพบุรี ระบุลักษณะว่าเป็นคนแก่ ผมหงอก ทำให้ชาวบ้านต่างออกไปพิสูจน์ว่ามีจริงหรือไม่
ด้านคนที่พบก็ยืนยันว่า เจอตัวเป็น ๆ มองหน้า แถมถูกแยกเขี้ยวใส่ แต่ต่อมา นายอำเภอเมืองลพบุรี ออกมายืนยันว่า ไม่ใช่กระสือ แต่เป็นโจรใส่หน้ากาก ทั้งยังพบหน้ากากตกอยู่ใกล้บ้านของคนที่เจอคนแรกด้วย แต่หลายคนก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นแค่ขโมย พากันออกไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา

ล่าสุด สมาชิกติ๊กต็อกรายหนึ่งได้โพสต์คลิปออกตามล่ากระสือที่ จ.ลพบุรี พร้อมกับทีมงาน โดยก่อนหน้าเคยไปมาแล้ว แต่ไม่เจอ และยังบอกว่า ตอนนี้ค่าตัวกระสือตัวนี้พุ่งขึ้นถึง 1 ล้านบาทแล้ว

“ถามกันจังว่ากลัวกระสือมั้ย ไม่กลัวนะฮะ เดี๋ยววันนี้ 5 ทุ่มจะไปล่ามันใหม่ วัยรุ่น อ.เมืองลพบุรี เตรียมตัว เอาให้เห็นแสงไฟแว๊บ ๆ ก็ยังดี เอาให้คุ้มค่ากับการที่ต้องขี่รถไป วันนี้จะไปแบบเต็มระบบ เอากล้องไปเยอะมาก”
จากนั้นได้บอกอีกว่า จะมาอัปเดตค่าตัวกระสือ พร้อมกับลงรูปเจ้าของรีสอร์ตที่ จ.สระบุรี ที่พร้อมจะจ่ายเงิน 1 ล้านบาท ถ้าจับกระสือมาได้
“วันนี้จะพาทุกคนไปจับ เพื่อเงิน 1 ล้านบาท เขาจ่ายจริง เจ้าของรีสอร์ตที่ จ.สระบุรี หรือถ้าจับไม่ได้ แต่ถ่ายรูปมาได้ เขาให้ค่าน้ำมัน 1 หมื่นบาท”


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 23, 15:18
วันนี้ (19 ต.ค.66) เฟซบุ๊ก “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” ของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

“กระสือ” ไม่น่ามีชีวิตอยู่จริง ตามหลัก กายวิภาคศาสตร์ anatomy

ไหนๆ ช่วงนี้เค้ากลับมาฮิตคุยเรื่องผีกระสือกันอีกแล้ว ขนาดถกเถียงกันทางฟิสิกส์ ว่ากระสือใช้พลังงานแบบไหนถึงสามารถลอยตัว บินได้ พร้อมไฟแว้บๆ ด้วย ก็ขอแจมด้วยมุมมองทาง “ชีววิทยา” บ้างละกันครับ

คือถ้าไม่ได้มองว่ากระสือเป็น “ผี” เป็น “ปีศาจ” ที่ทุกอย่างอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ แล้วพิจารณาว่ากระสือเป็น “สิ่งมีชีวิต” ชนิดหนึ่งที่เทียบเคียงเป็นญาติใกล้ชิดกับมนุษยชาติ ก็จะมีคำถามตามมาทางชีววิทยาอีกมากมายเลย โดยเฉพาะในเชิงการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายของกระสือ
อ่านต่อที่
https://www.naewna.com/likesara/763854


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ย. 23, 13:19
คงเดือดร้อนถึงอาจารย์เจษฎ์อีกแล้ว  ;D ;D ;D

หนุ่มชัยภูมินั่งเล่นหน้าบ้านคืนวันพระ ขนหัวลุก! เห็นแสงประหลาดลอยอยู่เหนือยอดไม้ ถ่ายรูปแชร์ให้ชาวบ้านดู เชื่อเป็น "ผีกระสือ" ทำหวาดผวาทั้งตำบล ตกค่ำคนไม่กล้านอนเฝ้านา รีบเข้าบ้านนอน.

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่บ้านกุดละลม ต.หนองนาแซง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ปรากฏว่าชาวบ้านต่างหวาดผวา “ผีกระสือ” หลังพบแสงไฟประหลาดลอยขึ้นเหนือยอดไม้กลางทุ่ง ซึ่งชาวบ้านเชื่อเป็นกระสือออกหากินกบเขียด คราวนี้พบหลังวันพระ หลังจากวันลอยกระทง มีคนถ่ายภาพมาได้ เมื่อขยายภาพซูมดูเห็นจะจะ ทั้งหัวทั้งไส้ จากนั้นก็ได้นำภาพถ่ายมาให้เพื่อนบ้านดู ทำให้ชาวบ้านต่างจับกลุ่มพูดกันไปต่างๆ นานา พร้อมนำภาพที่ถ่ายไว้ได้นำมาแชร์ลงโซเชียล

นายจิรัตน์ ตั้งพงศ์ อายุ 32 ปี ชาวบ้านกุดละลมซึ่งเป็นคนถ่ายภาพเอาไว้ได้ เปิดเผยว่า ช่วงประมาณ 2 ทุ่ม วานนี้ซึ่งเป็นคืนวันพระ ขณะที่ตนนั่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้านและมองเล่นไปที่ทุ่งนา ได้เห็นแสงไฟลอยขึ้นเหนือยอดไม้กลางทุ่งนาทิศตะวันตกของหมู่บ้าน โดยเห็นแสงไฟประหลาดค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นดินและลอยสวนทางย้อนกลับแรงลม มุ่งหน้ามาในชุมชน ตนจึงถ่ายภาพเอาไว้ ถ่ายด้วยกัน 5 ครั้ง ติดเพียงเดียว พอจะถ่ายคลิปวิดีโอแต่ก็ถ่ายไม่ติด แสงนั้นจึงค่อยๆ จางหายไป จากนั้นก็ได้เอาภาพถ่ายแชร์ให้เพื่อนบ้านดู และชวนเพื่อนบ้านออกไปดูตรงจุดดังกล่าว แต่ก็ไม่พบ

อ่านต่อได้ที่
 https://www.dailynews.co.th/news/2945932/?fbclid=IwAR2JcWeqFsS4JlhuYgL2he-ECt627rWoTcP9wBKd2i6j2VD314qu9fTCthQ



กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ม.ค. 24, 18:40
    28 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสุรินทร์รายงานว่า หลังมีภาพข่าวสนั่นในสื่อโซเซียลว่าถ่ายภาพกระสือได้ ขณะลอยผ่านพื้นที่หน่วยกู้ชีพ อบต.น้ำเขียว อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ทำให้มีผู้สนใจและแชร์ภาพกระสือกันสนั่น
     จากเรื่องดังกล่าวผู้สื่อได้ลงพื้นที่ไปยัง หน่วยกู้ชีพ อบต.น้ำเขียว และได้พบกับนายสมพร สะหอม อายุ 52 ปี หัวหน้าหน่วยกู้ชีพ อบต.น้ำเขียว ได้เล่าว่าภาพที่มองเห็นรูปร่างคล้ายกระสือ ที่แพร่ในสื่อโซเชียลเป็นภาพถ่ายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในบริเวณด้านทิศตะวันตกหน่วยกู้ชีพ อบต.น้ำเขียว
    โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านแล้ว โดยคนที่ถ่ายภาพได้คือ น.ส.ปนัดดา ศรีมารักษ์ อายุ 16 ปี บ้านเลขที่  22 /2 ม.6 ต.แก อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ เป็นผู้ถ่ายภาพดวงไฟคล้ายกระสือนี้ได้
     จากนั้นผู้สื่อได้ติดต่อสอบถาม น.ส.ปนัดดา ศรีมารักษ์ อายุ 16 ปี ผู้ถ่ายภาพเล่าว่า เมื่อเวลา 19.45 น. ของวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ตนเองกับแฟนได้ขับรถมาแวะเล่นที่หน่วยกู้ชีพและขณะนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ ตนสังเกตเห็นบรรยากาศท้องฟ้ามีแสงของดวงดาวสวยงาม ตนจึงนำมือถือถ่ายภาพดวงดาวไว้ดู
    จังหวะนั้นตนเห็นดวงไฟดวงใหญ่ลอยมาจึงได้ถ่ายไว้ ที่แรกนึกว่าเป็นโคมไฟ หลังจากนั้นได้นำภาพมาเปิดดูก็พบดวงไฟขนาดใหญ่ แต่เมื่อนำภาพให้แฟนดูและซูมดู ถึงต้องผงะเพราะภาพที่เห็นแฟนบอกว่าเป็นกระสือ ตนถึงกับตกใจ ร้องเสียงหลง ทำให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้วยกันถึงกับแตกตื่นออกมา หลังดูรูปภาพแล้วถึงกับตะลึงกันตามตามกัน
      ด้านนายนิธิกันต์ จำปาจีน อายุ 28 ปี เจ้าหน้าที่กู้ชีพ อบต.น้ำเขียว เล่าว่า ตนเป็นคนโพสต์และเผยแพร่ภาพเหล่านี้ออกไปเอง ซึ่งทำให้เป็นที่สนใจของผู้พบเห็นมาก อย่างไรก็ตามในวันดังกล่าวผู้สื่อข่าวยังได้พบว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้นำธูปเทียนจุดบอกกล่าวแม่ขาวอันมุณี ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตภายในต้นประดู่ใหญ่ ในจุดบริเวณที่เกิดเหตุพบภาพกระสือดังกล่าว
       ซึ่งในเวลาเดียวกันหลังมีภาพรูปร่างคล้ายกระสือแพร่ออกไป ทำให้ทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตนบุรี ได้ออกตรวจพื้นที่ ต่างก็ยังไม่มั่นใจว่าภาพดังกล่าวจะเป็นภาพผีกระสือจริงหรือไม่  ขณะที่นายเฉลิม ไกรทอง อายุ 77 ปี บ้านเลขที่ 170 ม.13 ชาวบ้านน้ำเขียว ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบผีกระสือ แต่อาจจะมาจากพวกผีเร่รอนที่มาจากเจ้าของเลี้ยงดูไม่ดี รักษาไม่ค่อยได้ดูแลไม่ค่อยได้ อาจจะมาจากรักษาของไม่ได้ทำให้สิ่งเหล่านี้ออกหากินก็เป็นไปได้ แต่สำหรับตนเคยเห็นแต่อยู่ตามท้องนาแต่ในหมู่บ้านไม่เคยเห็น
        ขณะที่ชาวบ้านน้ำเขียว หลังจากทราบข่าวเรื่องนี้ต่างได้มีการวิพากวิจารณ์กันสนั่นเช่นกัน ว่าสิ่งเหล่านี้อาจมีอยู่จริงในหมู่บ้าน.012

https://www.naewna.com/channel/783526


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ก.พ. 24, 12:51
เรื่องแปลกๆ จากคดีหนุ่มโรงงานถูกฆาตกรรม มัดมือมัดเท้าทิ้งข้างทาง เลียบมอเตอร์เวย์ จ.ฉะเชิงเทรา คนที่บังเอิญไปพบศพบอกเห็นร่างคนนั่งจ้อง ย้อนมาดูถึงรู้ว่าเป็นศพ สุดท้ายคุยไปคุยมา เป็นคนที่รู้จักกันหมด ท่านเรวัชบอก เรื่องนี้มีประสบการณ์ เขาอาจจะตั้งใจให้มาเจอ

https://www.facebook.com/HKS2017/videos/1568995743890479/


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ก.พ. 24, 07:58
พบหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตอำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ตั้งกฎเหล็กปกครองหมู่บ้าน 9 ประการ หลังเกิดเหตุการณ์คนในหมู่บ้านเสียชีวิตปริศนาติดต่อกันหลายศพเดือนแล้ว 15 ศพ  ชาวบ้านเผยสาเหตุจากการละเมิดกฎข้อห้ามที่บรรพบุรุษตั้งไว้ พอถึงยุคสมัยใหม่อาจจะมีบางคนฝ่าฝืน เหมือนเป็นการ “ผิดผี” พอประกอบพิธีล้างอาถรรพ์ สถานการณ์จึงกลับมาเป็นปกติ ยืนยันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้ง พบหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน ต.หัวหิน อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจากถนนหลวงกว่า 30 กิโลเมตร และอยู่ท้ายเขื่อนลำปาว ขึ้นป้ายข้อความกฎระเบียบหมู่บ้าน บนแผ่นป้ายเหล็กสีน้ำเงิน ตัวอักษรสีขาวขนาดใหญ่ ปักไว้ข้างปากทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อให้คนที่จะเดินทางเข้าหมู่บ้านสังเกตได้ชัดเจน ด้วยข้อความว่า “หยุดอ่านกฎระเบียบหมู่บ้าน 1.ห้ามไม่ให้เอาศพคนตายจากที่อื่นเข้าบ้าน, 2.ห้ามฆ่าสัตว์สี่เท้าในเขตแดนของหมู่บ้าน, 3. ห้ามสีข้าวหรือขนข้าวขึ้นยุ้งฉางในวันศีล 8-14-15, 4. ห้ามนำหญ้าคาเข้ามาภายในหมู่บ้านในวันศีล 8-14-15, 5. ห้ามขนฟืนเข้ามาในหมู่บ้านในวันศีล 8-14-15, 6. ห้ามรถขนดิน หิน เข้ามาในหมู่บ้านในวันศีล 8-14-15, 7. ห้ามขนถ่านเข้าบ้านในวันศีล 8-14-15, 8. ห้ามแขวนขาวัวเข้ามาในหมู่บ้าน, 9. ห้ามไม่ให้เผาถ่านในเขตหมู่บ้าน”

ข้อความที่ปรากฏบนแผ่นป้ายดังกล่าว เป็นเหตุให้บุคลภายนอกที่เดินทางมาพบและได้อ่าน เกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นเรื่องที่แปลก โดยทั่วไปไม่มี นอกจากจะเป็นป้ายบอกชื่อหมู่บ้าน หรือป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่พอมาพบเจอป้ายนี้ จึงชวนค้นหาคำตอบ

ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และที่มาที่ไปของป้ายข้อความนั้น โดยไปพบป้ายดังกล่าวที่ปากทางเข้าบ้านโคกกลางเหนือ หมู่ 5 ต.หัวหิน อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ทั้งนี้ ได้สอบถามนางคำอุ กองแสน อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64 หมู่ 5 บ้านโคกกลางเหนือ ทราบว่ากฎระเบียบหมู่บ้าน ตั้งมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ เริ่มแรกคือมีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตติดต่อกันหลายราย จนคิดว่าเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ เจ้าอาวาสวัด ผู้นำชุมชนและชาวบ้านจึงได้หารือกัน ไปเสาะหาพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาอาคม มาทำพิธี “สูตรถอด” หรือทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อล้างอาถรรพ์ให้กับหมู่บ้าน เป็นการปัดเป่าเสนียดจัญไร จากนั้นร่วมกันตั้งกฎระเบียบหมู่บ้าน 9 ประการ เพื่อให้ “คะลำ” (ภาษาอีสาน) หรือให้งด ให้ละเว้นการกระทำนั้นๆ ตามที่ปรากฏในแผ่นป้าย เหตุการณ์เสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติจึงคลี่คลายไป ชาวบ้านก็ทำมาหากินตามปกติเรื่อยมาหลายสิบปี

นางคำอุ กล่าวอีกว่า แต่เมื่อช่วงเดือน ม.ค.67 ที่ผ่านมา กลับมีเหตุการณ์คนในหมู่บ้านทยอยเสียชีวิตติดต่อกัน 15 ศพ ชาวบ้านก็ตื่นกลัวกัน เพราะบางคนเจ็บไข้ได้ป่วยไม่รุนแรง ไม่น่าจะเสียชีวิต ก็เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และไม่ทราบสาเหตุ เหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดก่อนตั้งกฎระเบียบหมู่บ้าน บางคนว่าน่าจะเกิดอาถรรพ์ หรือเกิดจากกระทำผิดต่อผีพระภูมิเจ้าที่ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อาจะละเมิด ฝ่าฝืน กระทำผิด ทั้งที่เจตนา และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เจ้าอาวาสวัด ผู้นำชุมชน และชาวบ้านก็ได้ร่วมกันปรึกษาหารือ เพื่อแก้ไขสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมีมตินิมนต์ “หลวงพ่อ วัดหนองผักแว่น” มาประกอบพิธีกรรมล้างอาถรรพ์ จากนั้นขึ้นป้ายใหม่ เพื่อให้คนในหมู่บ้านหรือคนที่จะเข้ามาในหมู่บ้านได้อ่าน ได้จดจำและปฏิบัติตาม ทุกวันนี้เหตุการณ์ภายในหมู่บ้านจึงกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้งหนึ่ง

ด้านนางปัทมาภรณ์ ประทุมวัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านโคกกลางเหนือ หมู่ 5 กล่าวว่า นอกจากจะตั้งกฎเหล็ก หรือกฎระเบียบหมู่บ้าน 9 ประการแล้ว ในทางปฏิบัติหากพบบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นคนในหมู่บ้านหรือบุคคลภายนอกฝ่าฝืน เช่น ฆ่าสัตว์สี่เท้า สีข้าว ขนฟืน ขนหิน นำหญ้าคาเข้ามาในหมู่บ้าน ก็จะถูกปรับเป็นเงินจำนวน 500 บาท เพื่อนำเงินพัฒนาวัด เป็นต้น ส่วนเหตุผลที่ออกกฎข้อห้ามเพื่อให้คะลำ หรือเป็นข้อห้าม ให้งดให้ละเว้น ก็เป็นไปตามคำแนะนำของหลวงพ่อวัดหนองผักแว่น ผู้นำประกอบพิธีล้างอาถรรพ์ให้กับหมู่บ้าน ซึ่งได้นิมนต์ท่านมาประกอบพิธีล้างอาถรรพ์เมื่อวันที่ 23-24 ม.ค.67 ที่ผ่านมา

นางปัทมาภรณ์กล่าวอีกว่า กฎระเบียบทั้ง 9 ประการ ต่างมีความหมายที่ดีและแอบแฝงด้วยคติธรรม ไม่ต่างกับเป็นกุศโลบายให้ถือศีลกินเจ ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ไม่ทำลายธรรมชาติ ให้หาเวลาเข้าวัด ปฏิบัติธรรม ที่หากปฏิบัติตามก็จะเกิดผลดีต่อตนเองและชุมชน หากละเมิดก็ไม่ต่างกับการผิดผีบรรพบุรุษ ที่เคยพาประพฤติปฏิบัติมา จึงทำให้เกิดเหตุมีชาวบ้านเสียชีวิตติดต่อกันหลายศพ จนเกิดอาการหวาดผวา รีบนิมนต์หลวงพ่อวัดหนองผักแว่นทำพิธีล้างอาถรรพ์ดังกล่าว  อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าเป็นข้อห้ามที่ไม่งมงาย เป็นการออกกฎระเบียบที่สอดคล้องกับยุคสมัย เพราะสัมผัสได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ชาวบ้านโคกกลางเหนือทุกคนก็มีความเชื่อเช่นนี้ ทุกวันนี้จึงดำเนินชีวิตกันอย่างปกติสุข ดังนั้น ใครไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะอาจจะมีอันเป็นไปถึงแก่ชีวิตก็อาจเป็นได้

https://www.naewna.com/index.php


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 24, 11:04
     เมื่อไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อจะมาผสมโรงคุยในกระทู้ สงครามโลกครั้งที่สอง วันระเบิดลง (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=7411.0)  ของคุณ Superboy   ก็เลยไปเจอข้อเขียนของจอมพล ป. พิบูลสงคราม  ใช้นามปากกาว่า "สามัคีชััย "พูดถึงแม่นาคพระโขนง ไว้ว่า
    เขาว่านางนาคพระโขนงหยิงไทยคนหนึ่งผู้ลือนามได้ตายเพราะคลอดลูกตายแล้ว ยังมาแปลงตัวเปนผีหยู่กับผัวได้ เวลาทำกับข้าว ของตกไต้ถุน ผีนาคพระโขนงทำมือยาวลอดช่องลงไปหยิบขึ้นมาได้ ผีนาคที่เล่านี้จะมานอนด้วยกับคนพูดอกุสล ฉันพูดมาเพียงนี้เหงื่อแตกเพราะกลัวผีนาคคนสำคัน ที่ฉันพูดถึงผีนาคพระโขนงนี้ ตั้งไจจะหลอกผู้พูดอกุสล จะได้หยุดพูดกันเสียที เพราะจะเอาเหตุผลมาพูดก็คงไม่เชื่อ และบางทีไม่ซาบ ซ้ำไม่ฟังเสียด้วย จึงลองยาขนานผีนาคพระโขนง บางทีจะสักดิสิทธิบ้างก็ได้ คือไช้ยากลางบ้านนั่นเอง ไม่ไช้ยาเหตุผลตามหลักวิชา ฉันขอข้ามเรื่องสับเพเหระข่าวอกุสลนี้ รอไห้ผีนาคพระโขนงช่วยปัดเป่าต่อไป
   ย่อหน้าข้างบนนี้ไม่ได้พิมพ์ผิด  แต่สะกดตามตัวสะกดแบบใหม่ที่จอมพลป. กำหนดขึ้นในยุคนั้นค่ะ
   อ่านข้อความเต็มได้ที่นี่
   https://www.the101.world/plaek-pibulsongkram-mae-nak-phra-khanong/


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 เม.ย. 24, 15:47
https://www.youtube.com/watch?v=perzpR9mUSI


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 เม.ย. 24, 10:39
https://www.youtube.com/watch?v=391CLiFGefE


กระทู้: ภูตผีปีศาจ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 เม.ย. 24, 17:38
จากเพจ  อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์
 
เมื่อวาน ให้สัมภาษณ์นักข่าวช่องอมรินทร์ทีวี เกี่ยวกับข่าว "ผีฮ่องกง" ครับ เลยเอามาให้ดูกัน (ดูลิงค์ด้านล่าง)
.
. คือ ภาพถ่ายของจริงที่เป็นประเด็นเนี่ย จะพบว่า จริงๆ มันเป็นภาพกว้างมากเห็นเต็มถนน เต็มตัวตึกหน้าร้านนั้นเลย (รูปที่แชร์ๆ กัน คือ ซูมมาเฉพาะตัวคนถ่าย) ตัวคนในภาพค่อนข้างเล็ก สะท้อนกระจกมา และก็อยู่ในมุมมืดด้วย 
.
..  เวลาถ่ายภาพด้วยกล้องมือถือ ที่หน้าจอก็ไม่ค่อยสว่างมาก สายตาและความคิดก็น่าจะไปจดจ่ออยู่กับการจัดองค์ประกอบภาพ มองเล็งไปที่จุดที่เด่นชัต (เช่น ภาพกราฟิตี้แมว ที่หน้าร้าน) ... เลยเป็นไปได้ง่ายมากครับ ที่จะไม่สังเกตเห็น ถ้ามีใครมาแอบ "โฟโต้บอมพ์" แกล้งร่วมเฟรมอยู่ด้านหลังครับ
.
 ... ส่วนตัว คิดว่าไม่น่าจะเป็นการทำคอนเทนต์ หรือถูกตัดต่อภาพครับ (ซึ่งเช็คได้ไม่ยาก ถ้าเอาไฟล์ภาพของจริง มาเช็คได้) น่าจะแค่เข้าใจผิดนั่นแหละครับ
-----------------------------
จากข่าว "พิสูจน์ผีฮ่องกงสาวโต้จัดฉาก ทนายชี้ถ้าสร้างคอนเทนต์มีความผิด" | ทุบโต๊ะข่าว | 18/4/67
#ผีฮ่องกง #คอนเทนต์ #ทุบโต๊ะข่าว
พิสูจน์ผีฮ่องกงสาวโต้จัดฉาก ทนายชี้ถ้าสร้างคอนเทนต์มีความผิด
ไขปริศนา #ผีฮ่องกง ยูทูบเบอร์สาวยันไม่ได้สร้าง #คอนเทนต์ เรียกยอดไลก์ อ.เจษฏา ลั่นไม่ใช่ผี ทนายเตือนระวังโทษหนักถ้าไม่ใช่เรื่องจริง
จาก https://www.youtube.com/watch?v=q1y2tFN_p3c