เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: เปี้ยว ที่ 25 ก.พ. 04, 10:49



กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: เปี้ยว ที่ 25 ก.พ. 04, 10:49
 พอดีผมไปอ่านมาจากเว็บนึงว่า

สามี แปลว่า ผู้เลี้ยง; ผัว
ภรรยา แปลว่า ผู้ควรเลี้ยง; เมีย

แปลอย่างนี้จริงๆหรือเปล่าครับ แล้วทั้งสองคำนี้มาจากภาษาอะไรครับ


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.พ. 04, 11:27
 เคยได้ยินแต่ ปาล แปลว่าผู้เลี้ยง  เราเอามาใช้ว่า บาล
อย่างโคบาล คือคนเลี้ยงวัว  ตรงกับ cowboy ค่ะ

สามี มาจาก สฺวามินฺ  คำบาลีและสันสกฤต   ใช้ตรงกัน
แปลว่านาย หรือเจ้าของค่ะ   น่าจะตรงกับ master
ส่วนภรรยา  หรือภริยา   สันสกฤตเรียกว่า ภารฺยา  บาลีใช้ ภริยา  เรารับมาทั้ง 2 คำ  แปลว่า ผู้ได้รับการเลี้ยงดู  ผู้ได้รับการค้ำจุน

มันก็บ่งถึงหน้าที่ในสมัยโบราณว่าสามีเป็นผู้เหนือกว่า เพราะเลี้ยงดูภรรยา จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของ
ส่วนภรรยาก็อยู่ในฐานะผู้อยู่ในการค้ำจุน ให้สามีเลี้ยงดู

ว่าแต่คุณเปี้ยวสงสัยขึ้นมาเพราะกำลังจะไปทำหน้าที่เลี้ยงดูใคร  หรือยังไงล่ะคะ


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 26 ก.พ. 04, 17:50
 คำว่า สามี กับ บดี เดิมความหมายเหมือนกัน มี 2 ความหมาย คือ ผู้เป็นใหญ่ ผัว คำว่าสามี แปลว่าผู้เป็นใหญ่ก็ได้ แต่ต่อมามักใช้ในความหมายว่าผัว ส่วนบดี แปลว่าผัวก็ได้แต่ต่อมามักใช้ในความหมายว่าผู้เป็นใหญ่

แต่สะท้อนว่า แขกฮินดูโบราณมองว่าสามีเป็นใหญ่ในครอบครัวเหนือภรรยา ซึ่งไม่จำเป็นต้องจริงเช่นนั้นในครอบครัวไทย (แฮ่ะๆ...)

ผมเคยแกล้งแผลงแปล อธิบดี ว่า ผัวหลวง ไม่ใช่ผัวน้อย ส่วนผัวน้อยก๊อ อนุบดี อิอิอิ -


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 26 ก.พ. 04, 18:13
 จากบทสวดมนต์
สามีจิปฏิบิันโน หมาย ถึง พระสงฆ์คือผู้ที่ปฏิบัติสมควรแล้ว
ถ้าเช่นนี้จริง สามี น่าจะหมายถึงเหมาะ หรือสมควร
แต่ผมว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไรที่จะแปลแบบนี้
ผมเห็นด้วยกับคำแปลของคุณ"เทาชมพู" เพราะเคยอ่านเจอในพจนานุกรมภาษาบาลี

ส่วนคำว่า ภรรยา หรือ ภริยา
ในความเห็นผมนะครับ
ภร น่าจะมาจาก ภาระ
ภรรยา ก็คือผู้ที่เป็นภาระ
(คล้าย ๆ ราหุล ที่เป็นห่วงผูกคอ)
ภาระอันนี้ ก็คงจะหมายถึง เป็นผู้ที่ต้องถูกเลี้ยงดู

แต่บางทีก็ไม่ใช่
เห็นมีสามีบางคนคอยแต่ให้ภริยาเลี้ยงดู
เช่น ทำกับข้าวให้สามีกิน จัดบ้านให้เรียบร้อยไว้คอยท่าสามี
เจ้าหล่อนทำสารพัดเลย เลยไม่รู้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นภาระ
 


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: บ้านายคำเก่ง ที่ 27 ก.พ. 04, 09:12
 สรีสวัสสดีชุผู้ทุฅนน่อ ...

ที่ล้านนาบ้านข้าม่อนนั้นตะก่อนเพิ่นตั้งสวาธุเจ้าหลวงครูบาทังหลายมีราชชครู สังฆราชา สะหวามีสามีก็ว่า แล มหาเถน ... คำว่า สะหวามีคือว่าสามีนี้เปนคำทังพายในแล

เพิ่นเอาคำมุนี้ลุกแต่เมืองลงกาพุ้นมาน่อเช่นไปสืบสาสนามานั้นแล

ที่ล้านนานั้นบ่เคยมีคำว่าสามีแปว่าผัว หลอนว่าจักร้องผัวก็ว่าผัวอี้นา เปนท้าวพญาไหย่ประเทสท้องห้องไดก็ว่าผัวทึงหมดหั้นแล ฅะเท้ามาเถิงขึ้นไธยจิ่งมีคำว่า ... ตนเปนสามิกา ... คำว่า สามิกา แปว่าผัวแล

คำว่า เมีย นั้นก็ร้องเมียมาเมินแล้วแลจักหมายเอาสองคำแล เมีย ที่เปนคู่ผัว แล เมีย คือว่า พิกบ้าน ไพบ้านแล ส่วนว่า ภันรยา นั้น คำเมืองเพิ่นว่า ภันนยา รือว่า ภรัพน์ยา ก็ปะคำนี้พร้อมกันกับ สามิกา นั้นแล

มีเจี้ย ๑ ว่า พระกินเหล้าทุเจ้าเอาเมีย ไผผิด ....

(คำแปลภาษาไทย)

สวัสดีทุกๆคนครับ

ที่ล้านนาบ้านผมนั้น ในอดีตมีการตั้งตำแหน่งพระสงฆ์ให้เป็น ราชครู สังฆราชา สวามีหรือสามีก็เรียก และ มหาเถร... คำว่าสวามีหรือสามีนี้จึงเป็นคำที่ใช้ในฝ่ายสงฆ์

คำเหล่านี้นำมาจากการรับพระพุทธศาสนาที่ลังกา

ที่ล้านนานั้นไม่มีคำว่าสามีที่แปลว่าผัว หากจะเรียกผัวก็เรียกว่าผัว แม้แต่กษัตริย์หรือเจ้าเมืองใดก็ตามก็เรียกว่าผัว(เพราะไม่มีคำราชาศัพท์) ตราบจนกระทั่งล้านนากลายเป็นประเทศราชของสยามจึงปรากฎมีคำว่า ... ตนเป็นสามิกา .. คำว่า สามิกา แปลว่าผัว

คำว่าเมียก็เช่นเดียวกันใช้เรียกคู่กันกับผัวมานานแล้วซึ่งคำว่าเมียมีสองความหมาย ความหมายหนึ่งคือคู่ของสามี และอีกความหมายแปลว่า กลับบ้าน (ล้านนาเรียกว่า พิกบ้าน -- อ่านว่า ปิ๊กบ้าน ก็ได้ เมียบ้าน ก็ได้) ส่วนคำว่า ภรรยา นั้น ภาษาล้านนาเขียนว่า ภันนยา หรือ ภรัพน์ยา ก็มาพร้อมๆกับ สามิกา

มีโจ๊กตลกถามว่าพระกินเหล้าทุเจ้าเอาเมีย--(พระ-กิ๋น-เหล้า-ตุ๊-เจ้า-เอา-เมีย)... ใครผิด ?

คำตอบคือ พระ ... เพราะพระหมายถึง เณร ทุเจ้า หมายถึงพระสงฆ์ เมียแปลว่า กลับ

ดังนั้นแปลว่า สามเณรฉันเหล้าแต่พระสงฆ์เอากลับวัด (เรื่องนี้จึงมีเฮตามมา)


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 27 ก.พ. 04, 10:07
 (เห็นคุณพนายคำฯ ใส่เสียงในฟิล์ม ผมเลยเอามั่ง)

กาโฮ้ ฮัจช่ะ อีนี่ในภาษาอินตะระเดีย คำว่า สวามี อีนี้ก็เป็นคำเรียกนักบวชฮินดูเหมือนกันน่ะ คะร้าบ อีนี้มีท่านนักบวชฮินดูหลายท่านใช่ไทเทิ่ล คำนำหน้าชื่อ ว่าสวามี น่ะ เช่น สวามีสัตยานันท ปุรี นะนายจ๋า อีนี้ถ้าสวามีแปลว่า นาย หรือผู้เป็นใหญ่ อีนี้ก็ปายโตรงกับคำว่า Master นะนายจ๋า Master ภาษาฝรั่ง นอกจากแปรว่านาย ยังแปรได้ว่าอาจารย์หรือครูเหมือนกันน่ะคะร้าบ คงแปรว่าท่านครูผู้เป็นใหญ่คะร้าบ อั๊ชช่า -

ทางพระพุทธศาสนา อีนี้ สามี เป็นส่วนหนึ่งของคำสรรเสริญพระสังฆคุณด้วยคะร้าบ อีนี่คุณครูนิรันดร์เขียนไว้ข้างบนแล้วคะร้าบ นอกจากนั้นเคยเป็นสมณศักดิ์พระผู้ใหญ่สมัยก่อนด้วยคะร้าบ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดวัดช้างไห้ ทางปักษ์ใต้ ท่านก็เคยได้รับถวายสมณศักดิ์จากราชสำนักอยุธยาเป็นท่านเจ้าคุณ สมณศักดิ์ท่านว่าอะร้าย - สามีราม ๆ อะไรทำนองนั่นคะร้าบ (จำไม่ได้แน่คะร้าบ)

อ้อ- คำว่าเมีย ที่คำเมืองแปลว่า กลับ นั่น ทางเมืองลาวเมืองอิสานบ้านเฮาก็ใช้คำเดียวกันอยู่เด๊อครั่บ เขาฮ้องว่า "เมือ" เช่น เมือเวียงจัน แปลว่ากลับเวียงจันทน์ นั่นแลอ้าย

สู่มาเต๊อะ ขอถามอีกคำ แล้วคำว่า ปิ๊ก นั่น ใจ้แปลว่า กลับ เหมือนกัน แม่นก่อ ?


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 27 ก.พ. 04, 10:08
 อ้อ เพิ่งอ่านเห็นมีคำว่าปิ๊กบ้านอยู่แล้ว ขอบคุณหลายๆ


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 01 มี.ค. 04, 11:42
 ขอฝากไปยังอาจารย์นิรันดร์ครับ ในความเห็นที่ 3

ตามความเข้าใจของผมเองนั้น บทสวดสรรเสริญพระสังฆคุณที่ผมก็จได้กระท่อนกระแท่นเต็มที (ห่างวัดครับ) ท่านว่า
สุปฏิบันโน ภควโต สาวกสังโฆ
อุชุปฏิปันโน ภควโต...
ญายปฎิบันโน ...
และ สามีจิปฏิปันโน ... ฯลฯ

วรรคสุดท้ายมีคำว่าสามีที่อาจารย์ยกมาด้วย

แต่คำแปลนั้นผมเข้าใจว่า สุปฏิปันโน ฯ วรรคแรกท่านจะแปลว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติ "ดี" (สุ แปลว่า ดี) อุชุปฏิปันโน ฯ นั้นถ้าผมเข้าใจไม่ผิดแปลว่า  ... เป็นผู้ปฏิบัติ  "งาม - เรียบร้อย" (แต่ไม่แน่ใจ) ญายปฏิปันโน ฯ วรรคนี้นั่นดูจะแปลว่า ...ปฏิบัติ "เหมาะสม" ส่วนสามีจิปฏิปันโน ฯ นั้น ผมจำไม่ได้เสียแล้วว่าแปลว่าอะไร หนังสือสวดมนต์แปลก็เผอิญไม่มีกับตัวขณะนี้ แต่จำคำพระได้คำหนึ่งว่า "สามีจิกรรม" แปลว่าการที่พระท่านทำความเคารพกันตามลำดับผู้ใหญ่ผู้น้อย ยังงั้น สามีจิ- จะแปลว่า อันควรเคารพ ได้ไหมครับ สามีจิปฏิปันโน ฯ ก็น่าจะแปลว่า เป็นผู้ปฏิบัติน่าเคารพ

ถ้า สามี แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ ได้ ก็น่าจะหมายความรวมไปได้ด้วยว่า เป็นผู้ได้รับความเคารพด้วย?


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 01 มี.ค. 04, 11:49
 ปั่นกระทู้ต่อ พักนี้ไม่เห็นค่อยมีใครเข้ามา

ปล. ...


















ถ้าผมอยากเป็นสามีมั่ง (สัญญาว่าถ้าได้เป็น จะเป็นสามีที่เคารพภริยาอย่างยิ่งเชียวครับ ไม่ว่าคำสองคำนี้เดิมจะแปลว่าอะไรมาก็ช่างเถอะ) ผมควรจะทำยังไงดี ใครช่วยผมหน่อยสิครับ...


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 01 มี.ค. 04, 13:31
 เท่าที่ผมทราบนะครับ
อุชุ น่าจะแปลว่าตรง
อุชุปฏิบันโน คือพระสงฆ์ท่านคือผู้ปฏิบัติในแนวเส้นตรงของทางสู่พระนิพพานครับ

ส่วน ญาญะปฏิปันโน ก็น่าจะหมายถึง การปฏิบัติตนเพื่อให้เกิดปัญญา

ส่วนผู้ที่สมควรได้รับการกราบไหว้ น่าจะเป็น อัญชลีกรณีโย

ผมฉีกทางนั้นออกมา 30 ปีแล้วครับ แต่ก็ยังพยายามระลึกถึงคำสั่งสอนเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตครับ


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 01 มี.ค. 04, 19:02
 ลิตเติ้ลมีคำตอบค่ะเอ่อหมายถึงบทสวดมนต์นะคะ  ลิตเติ้ลขอยกมาทั้งบทเลยแล้วกันจะได้คลายความสงสัยและมั่นใจขึ้น
บทสวดนี้เรียกว่า   สังฆาภิถุติ  ในวงเล็บพระท่านจะเป็นผู้นำสวดค่ะ

(หันทะ มะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส.)

           โย โส สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น หมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว ;
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติตรงแล้ว ;
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว ;
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว ;
ยะทิทัง,
ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ :
จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา,
คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่, นับเรียงตัวบุรุษ ได้ ๘ บุรุษ ;
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ;
อาหุเนยโย,
เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา ;
ปาหุเนยโย,
เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ ;
ทักขิเณยโย,
เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน ;
อัญชะลิกะระณีโย,
เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี ;
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ,
เป็นเนื้อนาบุญของโลก, ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ;
ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ,
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น ;
ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ,
ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้น ด้วยเศียรเกล้า ;

ลิงค์บทสวดมนต์อื่นๆ
 http://www.geocities.com/Athens/Olympus/1288/bkindx02.htm  


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 01 มี.ค. 04, 19:10
 คำว่า  ญายะ   หมายถึง หลักปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นจากทุกข์ คำๆนี้บังเอิญเมื่อ2อาทิตย์ที่แล้วลิตเติ้ลผ่านไปเจอเค้านั่งเรียนกันที่ห้องสมุดเรื่อนธรรมพอดี  รายละเอียดมีอะไรบ้างถ้ามีโอกาสลิตเติ้ลจะไปถามอาจารย์ท่านอีกทีค่ะ


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 02 มี.ค. 04, 15:14
ขอตั้งข้อสังเกตุครับคือในอินเดียนี่ ผู้หญิงเป็นคนไปสู่ขอผู้ชาย แถมต้องจ่ายค่าสินสอดตั้งหลายรูปี พอได้ฝ่ายชายมา ผู้ชายก็กลายเป็น Master และผู้ให้การเลี้ยงดู ส่วนผู้หญิงก็กลายเป็น ภรรยา หรือ ผู้ได้รับการเลี้ยงดู ผู้ได้รับการค้ำจุน หรือผู้ได้รับการคุ้มครอง

อืมมม... ต้องจ้างสามีมาเป็นรปภ. และ เจ้านาย น่าสงสารจริงๆครับ


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 03 มี.ค. 04, 13:13
 คุณสมบัติของสุภาพบุรุษที่ดีทั้ง ๑๐ ประการ มีดังต่อไปนี้(ที่ควรพิจรณาก่อนจะเลือกคู่ครอง)

๑.รักงาน ขยันขันแข็ง
    วิธีสังเกต เขาสนุกกับการทำงานหรือเปล่า เป็นคนสู้ชีวิตไหม เคยบ่นร้อนบ่นหนาว หรือ บ่นท้อใจให้เราได้ยินหรือไม่
๒.ใจดี มีเมตตา ไม่โกรธง่าย
    วิธีสังเกต อารมณ์ดีเสมอหรือไม่ เวลาเขาเจออะไรที่ขัดใจ เขาแสดงอาการโกรธหรือเปล่า ใครพูดขัดคอ
     เขาโกรธหรือไม่ เป็นต้น
๓.เป็นเพื่อนคู่คิดสำหรับทุก ๆ คน
    วิธีสังเกต เขาเป็นเพื่อนที่ปรึกษาที่ดีของทุก ๆ คนหรือเปล่า เขาเป็นคนรับฟัง เข้าอกเข้าใจคนอื่นหรือเปล่า
๔.เป็นคนเสียสละ
    วิธีสังเกต ในยามที่มีสถานการณ์เฉพาะหน้าอะไรบางอย่างที่ต้องการคนที่เสียสละ เขาเคยแสดงตัวอย่าง
      ของความเสียสละให้เราเห็นหรือเปล่า
๕.ใจซื่อ มือสะอาด
    วิธีสังเกต เขามีอาชีพทุจริตอะไรหรือเปล่า เขาเป็นคนรักความถูกต้อง ไม่ชอบการคดโกงหรือไม่
๖.ไม่เป็นคนโอ้อวด
    วิธีสังเกต เขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัวหรือเปล่า ชอบอวดเก่ง อวดรวย หรือ อวดโก้เก๋ หรือไม่
๗.ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
    วิธีสังเกต เขาเป็นคนกระตือรือร้น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังหรือเปล่า
๘.พูดจาสุภาพ อ่อนโยน
    วิธีสังเกต เขาเป็นคนพูดจาสุภาพกับทุก ๆ คนหรือเปล่า เขามีความอ่อนโยนให้เกียรติต่อสุภาพสตรีหรือไม่
๙.จดจำคุณความดีของผู้อื่น ไม่เคยลืม
    วิธีสังเกต เขาเคยพูดถึงคุณความดีของคนอื่น ๆ ให้เราฟังบ้างหรือเปล่า หรือว่าเป็นคนที่เห็นแต่ความ
      ดีของตัวเอง แต่ไม่เห็นความดีของคนอื่น
๑๐.เชื่อมั่นในการทำความดี ไม่หวังพึ่งอำนาจดลบันดาล
    วิธีสังเกต เขาเคยแสดงความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยไม่คิดที่จะไปพึ่งพาอาศัยใคร
      หรือไม่คิดที่จะไปกราบกรานขอโชคลาภกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดใด หรือเปล่า
กติกา
๑.ให้สังเกตเฉพาะบุรุษที่เรารู้จักนิสัยใจคอดีแล้วเท่านั้น เช่น เพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน ฯลฯ ไม่นับดารา หรือ นักร้อง เพราะนั่นเรารู้จักแค่ผิว ๆเผิน ๆ นะจ๊ะ
๒.คุณสมบัติข้อใดที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีอยู่จริง ให้คะแนน ๑ คะแนน คุณสมบัติข้อใด สังเกตแล้วเห็นว่าไม่มี หรือ มีนิสัยตรงกันข้าม ให้ ๐ คะแนน
๓.ให้คะแนนครบทุกข้อแล้ว รวบรวมคะแนนเก็บไว้ดูเล่นเป็นสถิติส่วนตัว ไม่บอกใคร ฮิฮิ
๔.เกมนี้นอกจากจะฝึกการสังเกตแล้ว ยังเป็นการฝึกนิสัยให้รู้จักเลือกคบหาแต่คนที่ดี ๆ ต่อไปในภายหน้าจะได้ไม่น้ำตาเช็ดหัวเข่านะจ้ะ


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 15 มี.ค. 04, 11:16
คุณอาทิตย์ดวงน้อยครับ

ผมว่า ถ้าจะต้องได้ดีครบ 10 ข้อ อย่างว่า ผมว่าสาว ๆ หลายท่านคงต้องไปอยู่คานทองนิเวศน์กันเป็นแถว ๆ แน่เลย

แต่ผมก็เ้ห็นด้วยนะครับ
ถ้าไม่ได้คนดีเป็นคู่ครอง อยู่คนเดียวก็คงจะมีความสุขกว่า
ไม่เป็นการเพิ่มประชากรให้แก่โลกด้วย

ผมดูแล้วเทียบกับตัวเองแล้วคงได้ไม่ถึง 50 % ของ 10 ข้อของคุณอาทิตย์ดวงน้อยหรอกครับ แต่ก็มีกุลสตรีเป็นเหยื่อรองรับอารมผมไปหนึ่งท่านนานกว่า 26 ปีแล้ว(อายุบุตรีคนโตของผม คาดว่าน่าจะไล่เลียกับคุณ little son กระมัง)
ตอนนั้นบัญญัติ 10 ประการนี้คงยังไม่มี ไม่งั้นผมคงไม่ได้แต่งงานแน่  


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 16 มี.ค. 04, 09:53
 อาจารย์ต้องให้แฟนอาจารย์ให้คะแนนค่ะ  เพราะคะแนนอาจมากกว่านี้แฟนอาจารย์ก็เลยเลือกอาจารย์ไงคะ    หนูเกิดหลังจากอาจารย์แต่งงานได้ปีเดียวค่ะ  ถ้างั้นหนูก็คงจะรุ่นเดียวกับลูกอาจารย์ใช่มั้ยคะ

   หนูมักจะได้ยินบ่อยๆว่าคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน จริงมั้ยคะ    ตอนนี้หนูว่าหนูก็ก้าวเข้าประตูหมู่บ้านคานทองไปแล้วยังไม่เต็มก้าวดี


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 16 มี.ค. 04, 09:56
 ขอฝากบทความนี้เอาไว้ซักบทความ น่าจะเข้ากับกระทู้   บทความนี้นำมาจาก ลานธรรมค่ะ
คัดย่อจาก หนังสือ "ชีวิตกับความรัก" ของท่าน อาจารย์ วศิน  อินทสระ



…………….ความรักที่แท้จริงต้องการความเสียสละสูงเป็นอันมาก  มีความสุขที่ได้เสียสละ  ได้ทำอะไรให้กับคนที่ตนรัก  และความเสียสละเป็นสัญลักษณ์สำคัญประการหนึ่งของความรัก  และเป็นนิมิตหมายว่า  เป็นความรักที่แท้จริง  คือ ต้องเสียสละ  ที่เรามักจะได้ยินอยู่เสมอว่าความรัก  ต้นรัก  ต้องรดด้วยน้ำตา  มันต้องมีความเสียใจ  มันต้องมีความเจ็บปวด  นี่คือ ความรักที่เป็นโลกียะ………

……….. ความสุขที่เกิดจากความรักที่เจือด้วยความใคร่ในประสาทสัมผัส  มักจะเป็นความสุขที่มีปัญหา  มีความขัดแย้งและบกพร่อง เพราะว่าทั้งผู้รักและผู้ถูกรักก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่ไม่สมบูรณ์  มีความบกพร่องอยู่ในตน  เมื่อมาสัมพันธ์กันเข้า  ก็เพิ่มความบกพร่องให้มากขึ้น  เหมือนคนตาบอดคนหนึ่ง  เมื่อมาสัมพันธ์กับคนตาบอดอีกคนหนึ่ง  มันจะทำให้ตาดีขึ้นได้อย่างไร  เป็นไปไม่ได้ มีแต่จะเป็นภาระมากขึ้น       เรื่องนี้เป็นข้อสังเกต  วิญญูชนผู้รู้ควรจะนำมาพิจารณา  การที่คนไปสัมพันธ์กันด้วยความรัก  ในแง่ของเสน่หาหรือ สิเน่หา นั้นคิดว่าจะทำให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้น  แต่บางทีก็ทำให้ความทุกข์สมบูรณ์ขึ้น  เพราะว่าเอาความบกพร่องทั้งสองไปบวกกัน  คนหนึ่งก็บกพร่องอีกคนหนึ่งก็ยังบกพร่อง  แล้วถ้าคนไม่มีธรรมะก็คอยจับผิดกัน  ไม่มีธรรมะเป็นทางดำเนินของความรัก  มันก็ไปนั่งจับผิดกัน  ส่วนที่ดีก็ไม่พูดถึง  มองแต่ส่วนที่ร้าย  มันก็มีความบกพร่อง  พอเอาความบกพร่องไปบวกกับความบกพร่องมันก็ยิ่งมีความบกพร่องมากขึ้น แล้วความบกพร่องมันก็เกิดขึ้นในใจ ………..

……….ควรจะทำความเข้าใจคู่สมรสของตนให้ถ่องแท้ และควรพยายามที่จะเข้าใจเขามากกว่าที่จะพยายามตั้งความหวังให้เขาเข้าใจเรา  ควรทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์  ดีกว่าที่จะพยายามให้เขาทำหน้าที่ของเขาให้สมบูรณ์  โดยที่ตัวเรายังบกพร่องอยู่นานาประการ   ตัวเราก็ยังบกพร่องอยู่มากมาย  แต่ว่าต้องการที่จะให้อีกคนหนึ่งหรืออีกด้านหนึ่งทำหน้าที่ให้สมบูรณ์  หรือว่าถ้าเป็นเพื่อนกันเราก็ควรจะตั้งความหวังว่า  ทำอย่างไรเราจะเป็นเพื่อนที่ดีของใครสักคนหนึ่ง  ไม่ใช่คิดอยู่แต่ว่าทำอย่างไรเราจะได้เพื่อนที่ดีสักคนหนึ่ง………

……..การพ่ายรักและการชนะรัก  ในภาษาโลกและในภาษาธรรม    ถ้าสมมติว่าจำเป็นจะต้องเป็นไปอย่างนั้นแล้ว  ก็ต้องพยายามที่จะทำอย่างไรให้ความรักเป็นพิษต่อจิตใจให้น้อยที่สุด คือว่ารักโดยประการที่จะทำให้มีทุกข์น้อยที่สุด  แต่ถ้าเกิดมีความทุกข์ขึ้นทีไรก็ให้พิจารณาเห็นโทษสิ่งนั้นอยู่เนืองๆ  ให้เห็นโทษของความรักอยู่เนืองๆ  แทนที่จะไปโทษคนนั้นคนนี้  ก็ให้โทษความรักนั่นแหละเป็นตัวการสำคัญ  บางทีเราก็ทำหน้าที่ไปโดยที่ว่ารับผิดชอบ  มีความเข้าใจ  อันนั้นสำคัญกว่าด้วยซ้ำไปสำหรับการดำเนินชีวิตที่เกี่ยวกับความรักความผูกพัน  คือ ทำไปตามหน้าที่ใน “ทิศหก” ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้  ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดี  เราอาจจะมีความสุขที่สงบเย็นตามมามอบให้เป็นรางวัลในภายหลัง  หรือแม้ในขณะที่ทำอยู่นั้นเอง  ได้รู้สึกว่าเขาได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุด  สมบูรณ์ที่สุด  เราก็ชื่นชมตัวเอง…………

………..การปรารถนาความสุขจากภายนอกไม่มีวันสนองความอยากให้เต็มบริบูรณ์ได้  เพราะโดยสภาวะที่แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มีความบกพร่องอยู่ในตน  เมื่อได้สิ่งนั้นมาจึงได้รับเอาความบกพร่องเหล่านั้นมาด้วย  ท่านลองนึกดูรอบๆตัวท่านว่าท่านมีสิ่งใด  ท่านก็ต้องทุกข์กับสิ่งนั้นบ้างไม่มากก็น้อย  ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า  มีบุตรย่อมเศร้าโศรกเพราะบุตร  ย่อมเดือดร้อนเพราะบุตร  ย่อมมีปัญหาเพราะบุตร  ย่อมจะมีความกังวลเรื่องบุตร  อย่างทำนาก็ย่อมมีโค  ย่อมต้องเดือดร้อนเพราะโค  สมัยก่อนพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้อย่างนั้น…………

………..ความรักที่มีอยู่โดยทั่วๆไปของคนทั้งหลาย  เป็นความรักแบบโลกียะ(เกี่ยวกับโลก)  นั่นมันวางอุเบกขาไม่ได้  วางไม่ลง  มันปล่อยไม่ได้ ก็ยังสร้างความเดือดร้อนให้ไม่มากก็น้อย  เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ต่ำ  หรือในระดับที่ว่าเป็นน้ำที่รดผักได้  รดต้นไม้ได้  แต่ว่าไม่เพียงพอที่จะนำมาดื่มแก้ความกระหายได้  ขอให้เราช่วยกันคิดช่วยกันนึก  ช่วยกันฝึกอบรมพัฒนาให้ดีขึ้น  ให้สูงขึ้น  เรียกว่าใช้ความรักให้เป็นประโยชน์กับชีวิต  ไม่ใช่จมปลักอยู่กับความรักแล้วก็เศร้าหมองไม่มีการพัฒนา  ไม่มีการเสาะหาแสวงหาทางที่จะหลุดพ้น    พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เห็นคุณเห็นโทษ  แล้วก็เห็นทางออกว่าเราจะออกอย่างไร  อย่างนี้เป็นต้น  และก็พร้อมที่จะออกไปได้เหมือนเนื้อป่าที่นอนทับกองบ่วงอยู่  แต่ไม่ติดบ่วงเมื่อพรานป่ามาก็พร้อมที่จะหนีไปได้ ไม่เหมือนเนื้อที่ติดบ่วงมันหนีไม่ได้  มันต้องเป็นเหยื่อของนายพราน  มันต้องถูกจับถูกยิงอย่างนี้นะครับ………


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 17 มี.ค. 04, 13:28
 นึกขลังขึ้นมา ขอเถียงท่านอาจารย์วศิน อินทสระ ของหนูตะวันหน่อยเถิด

"…………….ความรักที่แท้จริงต้องการความเสียสละสูงเป็นอันมาก......"  
-  ถ้าต้องถึงกับเสียสละก็ไม่ใช่ความรักในนิยามของผม  รักในพจนานุกรมของความคือความสุขที่ได้ให้แก่คนรัก

"……….. ความสุขที่เกิดจากความรักที่เจือด้วยความใคร่ในประสาทสัมผัส มักจะเป็นความสุขที่มีปัญหา มีความขัดแย้งและบกพร่อง......."
-  บ้า  ความรักกับเซ็กส์เป็นไวพจน์ของกันและกัน  ถ้าละวางจากกามราคะได้ ก็หมดรักแล้ว เหลือได้แต่พรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา  อย่างผมถ้ารู้สึกรักผู้หญิงคนไหน ก็ย่อมเห็นเธอผู้นั้นเป็นที่ปรารถนา ต้องการแต่จะคลอเคลีย โลมเล้าไม่รู้ห่าง  และก็แน่นอนว่าความสุขที่เกิดจากการสัมผัสนั้นจะสมบูรณ์ไปไม่ได้  หากเธอไม่สุขสมไม่รู้เบื่อด้วยเช่นกัน

"……….ควรจะทำความเข้าใจคู่สมรสของตนให้ถ่องแท้ และควรพยายามที่จะเข้าใจเขามากกว่าที่จะพยายามตั้งความหวังให้เขาเข้าใจเรา......."  
-  ก่อนคิดจะสมรสต้องรู้จักตนเองก่อน  มิฉะนั้นแล้วอย่าคิดรับผิดชอบชีวิตใคร  ตัวของตัวเองยังไม่รู้จักแล้วจะไปรู้จักใครอื่นได้

"……..การพ่ายรักและการชนะรัก......"  
-  ความรักไม่ใช่การแข่งขันเอาชัย  หากคิดเอาชนะแล้ว นั่นย่อมไม่ใช่ความรัก

"………..การปรารถนาความสุขจากภายนอกไม่มีวันสนองความอยากให้เต็มบริบูรณ์ได้ เพราะโดยสภาวะที่แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มีความบกพร่องอยู่ในตน......."  
-  เออ อันนี้ไม่เถียงก็ได้  เล่นเอาพระธรรมมาพูด ใครจะเถียงได้ละหว่า

"………..ความรักที่มีอยู่โดยทั่วๆไปของคนทั้งหลาย เป็นความรักแบบโลกียะ(เกี่ยวกับโลก) นั่นมันวางอุเบกขาไม่ได้ วางไม่ลง มันปล่อยไม่ได้ ก็ยังสร้างความเดือดร้อนให้ไม่มากก็น้อย....."
-  ก็ความรักเป็นเรื่องของโลกอยู่แล้ว  วางอุเบกขาได้เมื่อไร ก็เป็นการปฏิบัติแบบพรหม หรือเรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เป็นการออกจากกาม ก็ย่อมหมดรัก  แต่ถ้ายังมีรัก ก็ต้องมีทุกข์  และยินดีพอใจที่จะแบกรับทุกข์นั้นไว้เพื่อคนรักเสียด้วยซ้ำ

นี่แหละจำไว้นะหนูตะวัน ความรักของนักเลงโบราณเป็นแบบนี้
ตรงไปตรงมา  ไม่มีการสร้างภาพ  เป็นความรักที่สร้างชาติสืบแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน  ทีมันแตกแยกมีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เพราะมันรักไม่เป็นแม้แต่รักตัวเอง  เป็นแต่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 18 มี.ค. 04, 10:21
 "…………….ความรักที่แท้จริงต้องการความเสียสละสูงเป็นอันมาก......"
- ถ้าต้องถึงกับเสียสละก็ไม่ใช่ความรักในนิยามของผม รักในพจนานุกรมของความรักคือความสุขที่ได้ให้แก่คนรัก
***  แต่หนูคิดว่าการให้ก็คือการเสียสละอย่างหนึ่งนะคะ สละได้แม้จะต้องแลกกับชีวิต (หนูคิดเอง นิยายจริง จริ๊ง)

"……….. ความสุขที่เกิดจากความรักที่เจือด้วยความใคร่ในประสาทสัมผัส มักจะเป็นความสุขที่มีปัญหา มีความขัดแย้งและบกพร่อง......."
- บ้า ความรักกับเซ็กเป็นไวพจน์ของกันและกัน ถ้าละวางจากกามราคะได้ ก็หมดรักแล้ว เหลือได้แต่พรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อย่างผมถ้ารู้สึกรักผู้หญิงคนไหน ก็ย่อมเห็นเธอผู้นั้นเป็นที่ปรารถนา ต้องการแต่จะคลอเคลีย โลมเล้าไม่รู้ห่าง และก็แน่นอนว่าความสุขที่เกิดจากการสัมผัสนั้นจะสมบูรณ์ไปไม่ได้ หากเธอไม่สุขสมไม่รู้เบื่อด้วยเช่นกัน
***   จากบรรทัดแรก  อ่านดูแล้ว ความรักมีความหมายแค่เพียงเรื่องนี้หรือคะ  (ดูจากบรรทัดแรก)

"……….ควรจะทำความเข้าใจคู่สมรสของตนให้ถ่องแท้ และควรพยายามที่จะเข้าใจเขามากกว่าที่จะพยายามตั้งความหวังให้เขาเข้าใจเรา......."
- ก่อนคิดจะสมรสต้องรู้จักตนเองก่อน มิฉะนั้นแล้วอย่าคิดรับผิดชอบชีวิตใคร ตัวของตัวเองยังไม่รู้จักแล้วจะไปรู้จักใครอื่นได้
***  หนูคิดว่าศึกษาตัวเองไม่พอหรอกค่ะ ต้องทำความเข้าใจคนรักบ้าง รักเค้าอย่างที่เค้าเป็น  เข้าใจว่าทำไมเค้าต้องเป็นแบบนั้น
"……..การพ่ายรักและการชนะรัก......"
- ความรักไม่ใช่การแข่งขันเอาชัย หากคิดเอาชนะแล้ว นั่นย่อมไม่ใช่ความรัก
***  การพ่ายรักและการชนะรัก จากข้อความนี้  หนูคิดว่า ไม่น่าจะเป็นการแข่งขันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะรักไม่เป็นต่างหากจึงต้องทุกข์ใจเพราะหวังมากเกินไปแล้วไม่ได้ดั่งใจ  นี่น่าจะหมายถึงการพ่ายรัก  การชนะรัก น่าจะหมายถึงคนที่รู้จักรักรักด้วยสมอง ไม่คิดแต่ได้ รู้จักที่จะให้และยอมบ้างในบางครั้ง
"………..การปรารถนาความสุขจากภายนอกไม่มีวันสนองความอยากให้เต็มบริบูรณ์ได้ เพราะโดยสภาวะที่แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มีความบกพร่องอยู่ในตน......."
- เออ อันนี้ไม่เถียงก็ได้ เล่นเอาพระธรรมมาพูด ใครจะเถียงได้ละหว่า
*** อาจารย์ท่านมีหน้าที่สอนธรรมะและเผยแพร่ธรรมะน่ะค่ะ

"………..ความรักที่มีอยู่โดยทั่วๆไปของคนทั้งหลาย เป็นความรักแบบโลกียะ(เกี่ยวกับโลก) นั่นมันวางอุเบกขาไม่ได้ วางไม่ลง มันปล่อยไม่ได้ ก็ยังสร้างความเดือดร้อนให้ไม่มากก็น้อย....."
- ก็ความรักเป็นเรื่องของโลกอยู่แล้ว วางอุเบกขาได้เมื่อไร ก็เป็นการปฏิบัติแบบพรหม หรือเรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เป็นการออกจากกาม ก็ย่อมหมดรัก แต่ถ้ายังมีรัก ก็ต้องมีทุกข์ และยินดีพอใจที่จะแบกรับทุกข์นั้นไว้เพื่อคนรักเสียด้วยซ้ำ
*** ออกจากกาม กับหมดรัก ไม่น่าจะเกี่ยวกันนะคะ เราอาจจะเปลี่ยนจากรักแบบสามีภรรยามาเป็นรักเหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้องก็ได้ใช่มั้ยคะ สถานะเปลี่ยนไป แต่ความรักยังคงอยู่ มีเมตตา มีความปรารถนาดีให้แก่กัน  บางคนพอเลิกรักกัน  กลายเป็นศัตรูกัน เพราะคิดว่าไม่เกี่ยวกันแล้ว เธอจะเป็นตายร้ายดีก็เรื่องของเธอ  อย่างนี้ฟังดูไม่ค่อยดีเลย  น่าจะนึกถึงตอนรู้จักกันครั้งแรกบ้าง

นี่แหละจำไว้นะหนูตะวัน ความรักของนักเลงโบราณเป็นแบบนี้
ตรงไปตรงมา ไม่มีการสร้างภาพ เป็นความรักที่สร้างชาติสืบแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน ทีมันแตกแยกมีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เพราะมันรักไม่เป็นแม้แต่รักตัวเอง เป็นแต่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น (กราบขอบพระคุณ สำหรับข้อคิดค่ะ)

***หนูต้องขอโทษคุณถวามิภักดิ์ด้วยนะคะหากหนูแสดงความเห็นไม่ถูกกาละเทศะ  ถือว่าเป็นการดีค่ะที่มีคนมาแสดงความคิดเห็นกับบทความทำให้เห็นมุมมองกว้างขึ้นไปอีก


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 18 มี.ค. 04, 10:50
 ขอฝากขอยกธรรมบท ในเรื่องของนางโกลิกาผู้ประหารกิเลส (ซึ่งเป็นข้อความที่พระอานนท์ได้เมตตาให้ธรรมกับนางโกกิลาผู้หลงรักพระอานนท์) บางตอนมาให้อ่านกันค่ะ(คัดลอกข้อความมาจากคุณ satina ลานธรรม)


ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ ยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้วจะเป็นพิษแก่จิตใจ ทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น ความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง เธออย่าพอใจในเรื่องความรักเลย เมื่อหัวใจถูกลูบไล้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวังความผิดหวังก็จะรอเราอยู่ น้องหญิง! อย่าหวังอะไรให้มากนัก จงมองดูชีวิตอย่างผู้ช่ำชอง อย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้า ชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่นซึ่งก่อตัวขึ้นแล้วม้วนเข้าหาฝั่งและแตกกระจายเป็นฟองฝอย จงยืนมองดูชีวิตเหมือนคนผู้ยืนอยู่บนฝั่งมองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทรฉะนั้น

"โกกิลาเอย! เมื่อความรักเกิดขึ้น ความละอายและความเกรงกลัวในสิ่งที่ควรกลัวก็พลันสิ้นไป เหมือนก้อนเมฆมหึมา เคลื่อนตัวเข้าบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง ธรรมดาสตรีนั้นควรจะยอมตายเพราะความละอาย แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นความละอายมักจะตายไปก่อนเสมอ เมื่อความใคร่เกิดขึ้นความละอายก็หลบหน้า เพราะเหตุนี้พระบรมศาสดาจึงตรัสว่าความใคร่ทำให้คนมืดบอด อนึ่งโลกมนุษย์ของเรานี้ เต็มไปด้วยชีวิตอันประหลาดพิสดารต่างชนิดและต่างรส ชีวิตของแต่ละคนได้ผ่านมาและผ่านไป ด้วยความระกำลำบากทุกข์ทรมาน ถ้าชีวิตมีความสุขก็เป็นความหวาดเสียวที่จะต้องจากชีวิตอันรื่นรมย์นั้นไป

"โกกิลาเอย! มนุษย์ทั้งหลายผู้ยังมีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญาจักษุนั้น เป็นเสมือนทารกน้อยผู้หลงเข้าไปในป่าใหญ่อันรกทึบซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายอันน่าหวาดเสียวและว้าเหว่เงียบเหงา มนุษย์ส่วนใหญ่แม้จะร่าเริงแจ่มใสอยู่ในหมู่ญาติและเพื่อนฝูง แต่ใครเล่าจะทราบว่าในส่วนลึกแห่งหัวใจเขาจะว้าเหว่ และเงียบเหงาสักปานใดแทบทุกคนว้าเหว่ไม่แน่ใจว่าจะยึดเอาอะไรเป็นหลักของชีวิตที่แน่นอน เธอปรารถนาจะเป็นอย่างนั้นด้วยหรือ?

"น้องหญิง! บัดนี้เธอมีธรรมเป็นเกาะที่พึ่งแล้วจงยึดธรรมเป็นที่พึ่งต่อไปเถิด อย่าหวังอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย โดยเฉพาะความรักความเสน่หาไม่เคยเป็นที่พึ่งจริงจังให้แก่ใครได้ มันเป็นเสมือนตอที่ผุ จะล้มลงทันทีเมื่อถูกคลื่นซัดสาด

"ธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเพศใดภาวะใด การกระทำที่นึกขึ้นภายหลังแล้วต้องเสียใจนั้น พระศาสดาทรงสอนให้เว้นเสีย เพราะฉะนั้นแม้จะประสบปัญหาหัวใจ หรือได้รับความทุกข์ยากลำบากสักปานใด ก็ต้องไม่ทิ้งธรรม มนุษย์ที่ยังมีอาสวะอยู่ในใจนั้น ย่อมจะมีวันพลั้งเผลอประพฤติผิดธรรมไปบ้าง เพราะยังมีสติไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อได้สติในภายหลังแล้ว ก็ควรตั้งใจประพฤติธรรมสั่งสมความดีกันใหม่ ยิ่งพวกเรานักบวชด้วยแล้วจำเป็นต้องมีอุดมคติ การตายด้วยอุดมคตินั้นมีค่ากว่าการเป็นอยู่โดยไร้อุดมคติ

"น้องหญิง! ธรรมดาว่าไม้จันทร์นั้น แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น อัศวินก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลา อ้อยแม้เข้าสู่หีบยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม พระศาสดาทรงย้ำว่าพึงสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาธรรม


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 18 มี.ค. 04, 12:11
 *** แต่หนูคิดว่าการให้ก็คือการเสียสละอย่างหนึ่งนะคะ สละได้แม้จะต้องแลกกับชีวิต (หนูคิดเอง นิยายจริง จริ๊ง)
- นี่ไง ถ้ารู้สึกว่าต้อง"เสีย"สละ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทำด้วยความยินดีพอใจ  ฉะนั้นผมจึงยืนยันว่า ถ้ารักจริงต้องมีความสุขที่จะให้ และไม่รู้สึกว่าต้องเสีย ต้องสละ

*** จากบรรทัดแรก อ่านดูแล้ว ความรักมีความหมายแค่เพียงเรื่องนี้หรือคะ (ดูจากบรรทัดแรก)
- นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทำความรู้จักตัวเอง ไม่หลอกตัวเอง ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระอนาคามี เราย่อมยังมีกามราคะทั้งสิ้น  ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมากับตนเองแล้ว จะไปหวังความซื่อสัตย์จากใครอื่นได้  ผู้ที่จะแก้ปัญหาได้ ย่อมต้องยอมรับก่อนว่ามีปัญหา  หากตนเองยังไม่ยอมรับ เทวดาหน้าไหนก็ช่วยแก้ไม่ได้

*** หนูคิดว่าศึกษาตัวเองไม่พอหรอกค่ะ ต้องทำความเข้าใจคนรักบ้าง รักเค้าอย่างที่เค้าเป็น เข้าใจว่าทำไมเค้าต้องเป็นแบบนั้น
- ผู้ที่มีปัญญาที่ปราณีตละเอียดอ่อนพอที่จะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง จึงจะมีปัญญารู้จักผู้อื่นได้  ปัญญาแบบนี้แหละจะเป็นรากฐานที่มั่นคงในการแผ่ความสุขไปสู่คนโดยรอบ  พระอรหันต์ได้รับการกราบไหว้บูชาโดยทั้งสามโลก ท่านไม่ได้ไปทำความเข้าใจเอาชนะใครอื่นเลย  ท่านทำความเข้าใจแต่ในตนจนบังเกิดปัญญาเอาชนะกิเลสในตนเองเท่านั้น

*** การพ่ายรักและการชนะรัก จากข้อความนี้ หนูคิดว่า ไม่น่าจะเป็นการแข่งขันแต่อย่างใด ......
- โดยเนื้อหาไม่ได้เถียงจ้ะ  ติงแต่การใช้คำ ความรักที่จะเป็นพิษน้อยย่อมต้องไม่มองว่าเป็นการแข่งขัน  มิฉะนั้นแล้วคือความเห็นแก่ตัว หาใช่รักไม่

*** อาจารย์ท่านมีหน้าที่สอนธรรมะและเผยแพร่ธรรมะน่ะค่ะ
- ทราบอยู่จ้ะ เคยผ่านตาผลงานของอาจารย์วศินมานานมาก แต่มุมมองของผู้คนใจยุคของอาจารย์  โดยเฉพาะในประเด็นการให้นิยามความรักนั้น  ผมเห็นว่ายังสับสน และเป็นทฤษฎีหรืออุดมการณ์ ที่ไม่ตรงกับความจริง  ทัศนคติของผู้คนในยุคอาจารย์ที่ผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง เป็นรากฐานที่พัฒนามาเป็นความไม่รู้จักตนเองของคนในยุคปัจจุบัน และเป็นรากเหง้าของทุกปัญหาร้ายแรงที่เรากำลังเผชิญอยู่ในสังคม

*** ออกจากกาม กับหมดรัก ไม่น่าจะเกี่ยวกันนะคะ เราอาจจะเปลี่ยนจากรักแบบสามีภรรยามาเป็นรักเหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้องก็ได้ใช่มั้ยคะ ........
- นี่ก็อีก ความสำนึกในความเนื่องต่อบุคคลอื่นนั้นเป็นกามาวจร ก็คือยังข้องอยู่ในกามราคะนั่นแหละ  ถ้าวางอารมณ์ในพรหมวิหารได้ ก็เป็นพรหม  และที่สำคัญและสูงมาก คืออุเบกขา ปัจจุบันหนูตะวันยังอาจไม่ค่อยต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นมากนัก จึงอาจยังไม่สามารถเข้าใจได้เต็มที่  ต่อไปถ้าต้องมีกิจกรรมร่วมกับคนจำนวนมาก ยิ่งต้องรับผิดชอบดูแลคนจำนวนมาก ถ้าไม่รู้จักวางอารมณ์พรหมวิหารเลย  ถ้าไม่ถูกเขาฆ่าตาย ก็คงได้ฆ่าตัวตายเอง

***หนูต้องขอโทษคุณถวามิภักดิ์ด้วยนะคะหากหนูแสดงความเห็นไม่ถูกกาละเทศะ......
- ไม่มีอะไรต้องโทษจ้ะ ยกเว้นที่พิมพ์ชื่อผิด คนเราย่อมมีทัศนะคติไม่ตรงกันบ้างเป็นธรรมดา  นึกสนุกก็เอามาเถียงกันซะที  ถ้าวางอุเบกขาไม่เป็นก็กลายเป็นความขัดแย้ง ขยายตัวไปเป็นโทสะ นี่เห็นหรือยังว่าอุเบกขานะดีจริง อย่าไปหาว่าเป็นการหมดรัก  ที่เราคิดอย่างนั้นเพราะเรายังไม่รู้จักตัวเอง คิดแบบเห็นแก่ตัว แม้แต่รักตัวเองอย่างแท้จริงก็ยังทำไม่เป็น   ต่อไปถ้าหนูตะวันได้สมรสสมรักกับผู้ที่รู้จักอารมณ์อุเบกขาอย่างแท้จริง นั่นแหละคือโชคอันประเสริฐ  ที่สำคัญอย่าทำตนเป็นลิงได้แก้วก็แล้วกัน


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 18 มี.ค. 04, 19:53
 - นี่ไง ถ้ารู้สึกว่าต้อง"เสีย"สละ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทำด้วยความยินดีพอใจ ฉะนั้นผมจึงยืนยันว่า ถ้ารักจริงต้องมีความสุขที่จะให้ และไม่รู้สึกว่าต้องเสีย ต้องสละ
*** แต่หนูคิดว่าถ้าการเสียสละมาจากใจนั่นย่อมแสดงว่า พอใจนะคะ สาระสำคัญไม่น่าจะอยู่ที่พอใจแต่น่าจะอยู่ที่การกล้าเสียสละดีกว่าไม่กล้าที่แม้จะสละอะไร

- นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทำความรู้จักตัวเอง ไม่หลอกตัวเอง ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระอนาคามี เราย่อมยังมีกามราคะทั้งสิ้น ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมากับตนเองแล้ว จะไปหวังความซื่อสัตย์จากใครอื่นได้ ผู้ที่จะแก้ปัญหาได้ ย่อมต้องยอมรับก่อนว่ามีปัญหา หากตนเองยังไม่ยอมรับ เทวดาหน้าไหนก็ช่วยแก้ไม่ได้
*** น่าคิดนะคะ จริงอยู่คนที่จะละกามได้ต้องเป็นพระอนาคามี  แต่ถ้าเราไม่มัวหมกมุ่นคิดแต่เรื่องนี้มีสติอย่างต่อเนื่องอยู่กับปัจจุบันให้มาก   อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ต้องห่างๆเราไปบ้าง   ถึงจะไม่สามารถตัดขาดได้ก็ตาม  

- ผู้ที่มีปัญญาที่ปราณีตละเอียดอ่อนพอที่จะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง จึงจะมีปัญญารู้จักผู้อื่นได้ ปัญญาแบบนี้แหละจะเป็นรากฐานที่มั่นคงในการแผ่ความสุขไปสู่คนโดยรอบ พระอรหันต์ได้รับการกราบไหว้บูชาโดยทั้งสามโลก ท่านไม่ได้ไปทำความเข้าใจเอาชนะใครอื่นเลย ท่านทำความเข้าใจแต่ในตนจนบังเกิดปัญญาเอาชนะกิเลสในตนเองเท่านั้น
*** แต่โดยมากคนธรรมดาสามัญชนยังไม่ได้เป็นพระอรหัตน์กันนี่คะ จึงทำอย่างท่านไม่ได้  หนูเห็นด้วยค่ะว่าก่อนอื่นเราต้องรู้จักตัวเองก่อนแต่ก็ยังยืนยันว่าต้อง ศึกษาทำความเข้าใจคนรอบตัวบ้าง ไม่เฉพาะแต่คนที่เรารักและตัวเอง เพราะจิตใจเป็นเรื่องที่ละเอียดและซับซ้อนพอสมควร การศึกษานิสัยใจคอคนหรือจริตของแต่ละคนเป็นเรื่องสำคัญนะคะถ้าเราสารถรู้จริตคนที่เราต้องพบปะและอยู่ร่วมกันจะทำให้เราสามารถเข้าใจคนเหล่านั้นขึ้น  เช่นถ้าอยู่ใกล้คนที่มีโทสะจริต (โทสะจริตจะมีลักษณะโผงผางทำอะไรเสียงดัง ทำอะไรรวดเร็ว ) แล้วเค้ามักทำอะไรเสียงดัง ถ้าเราไม่เข้าใจว่าเค้ามีลักษณะอย่างนี้เอง เราก็จะพาลโกรธเค้าได้และอาจคิดว่าเค้าทำประชดเราหรือเปล่า  ประโยชน์ของการรู้จริตมีประโยชน์อย่างมากถ้าเจ้านายรู้จริตลูกน้อง  คนแบบนี้ต้องพูดด้วยยังไง เราจะใช้ให้ใครทำงานนี้ดี  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะรู้จริตของใครได้ก็ต้องศึกษาดูก่อน  



- ทราบอยู่จ้ะ เคยผ่านตาผลงานของอาจารย์วศินมานานมาก แต่มุมมองของผู้คนใจยุคของอาจารย์ โดยเฉพาะในประเด็นการให้นิยามความรักนั้น ผมเห็นว่ายังสับสน และเป็นทฤษฎีหรืออุดมการณ์ ที่ไม่ตรงกับความจริง ทัศนคติของผู้คนในยุคอาจารย์ที่ผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง เป็นรากฐานที่พัฒนามาเป็นความไม่รู้จักตนเองของคนในยุคปัจจุบัน และเป็นรากเหง้าของทุกปัญหาร้ายแรงที่เรากำลังเผชิญอยู่ในสังคม
***แล้วแบบไหนคะถึงจะถูกต้อง ความรักไม่มีถูกผิดไม่ใช่หรือคะ  


-ไม่มีอะไรต้องโทษจ้ะ ยกเว้นที่พิมพ์ชื่อผิด คนเราย่อมมีทัศนะคติไม่ตรงกันบ้างเป็นธรรมดา นึกสนุกก็เอามาเถียงกันซะที ถ้าวางอุเบกขาไม่เป็นก็กลายเป็นความขัดแย้ง ขยายตัวไปเป็นโทสะ นี่เห็นหรือยังว่าอุเบกขานะดีจริง อย่าไปหาว่าเป็นการหมดรัก ที่เราคิดอย่างนั้นเพราะเรายังไม่รู้จักตัวเอง คิดแบบเห็นแก่ตัว แม้แต่รักตัวเองอย่างแท้จริงก็ยังทำไม่เป็น ต่อไปถ้าหนูตะวันได้สมรสสมรักกับผู้ที่รู้จักอารมณ์อุเบกขาอย่างแท้จริง นั่นแหละคือโชคอันประเสริฐ ที่สำคัญอย่าทำตนเป็นลิงได้แก้วก็แล้วกัน
***  หนูเห็นด้วยค่ะว่าอุเบกขาดีจริง  ถ้าหนูเป็นลิงก็ขอกล้วยน้ำว้าดีกว่าค่ะไม่อยากได้แก้ว  แหะแหะ


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 19 มี.ค. 04, 10:21
 ยุคของอาจารย์วศินเป็นยุคที่นิยมบูชาวัฒนธรรมตะวันตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา  เวลาจะกล่าวถึงความรักอันบริสุทธิ์ก็นิยมหยิบยกเอาทฤษฎีพลาโตนิกเลิฟมาเป็นคัมภีร์

หากวัฒนธรรมฝรั่งนั้นเป็นวัฒนธรรมแห่งการสร้างภาพ ที่พัฒนาตนขึ้นมาจากการชูกิเลสและผลประโยชน์เป็นเป้าหมาย

ดูอย่างคำว่า Double Stadard ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงหยิบยกมาเป็นหนึ่งในหัวข้อที่พระราชทานตักเตือน  เป็นคำศัพท์ของวัฒนธรรมฝรั่งโดยแท้ หาคำไทยที่มีความหมายกระชับตรงกันไม่ได้

ในวัฒนธรรมไทยไม่มีความจำเป็นต้องบัญญัติศัพท์เช่นนี้  เพราะพระพุทธศาสนาที่แทรกอยู่ในทุกอณูของวัฒนธรรมไทย หล่อหลอมอบรมให้บรรพบุรุษไทยรู้จักใช้สติสร้างปัญญาให้เท่าทันธรรมารมณ์ในตน อันมีผลให้เท่าทันความดีชั่วในผู้อื่นไปด้วย อย่างไม่สามารถสร้างภาพปิดบังได้  และยังมีความซื่อตรงทั้งในและนอกด้วยศีล  บรรพบุรุษไทยจึงรู้ถึงคุณค่าแห่งความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น

ถ้าส่วนใดที่อาจารย์วศินหยิบยกมาแสดงเป็นพระธรรมของแท้ ย่อมไม่สามารถเถียงได้  สิ่งใดที่สลับสับสนกับทัศนคติและวัฒนธรรมที่มุ่งร้าย สิ่งนั้นเป็นอันตรายเป็นพิษภัยที่จำเป็นต้องคัดแยกมิให้ปะปนกับของดีของสูงที่เป็นมรดกสูงค่าของชาวไทย


กระทู้: สามี ภรรยา
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 22 มี.ค. 04, 12:28
 บางครั้งเราต้องยอมรับนะคะว่าคำบางคำต้องให้เป็นภาษาอังกฤษ เช่น Computer , printer และอื่นๆ เรียกชื่อไทยคงแปลกๆ

       ทฤษฎีความรักของพลาโตนิกเลิฟเป็นยังไงหนูไม่ทราบหรอกค่ะ  รู้แต่ว่ารักก็คือรัก