เทียบกำลังคชสารกันแล้ว เจ้าพระยามหินทร์ฯแผ่วกว่าด้านสมเด็จเจ้าพระยาฯหลายช่วงตัว สกุลบุนนากมีบทบาทในแผ่นดินมาตั้งแต่รัชกาลที่2 เข้มมากขึ้นในรัชกาลที่ 3 สนับสนุนให้'วชิรญาณเถร' ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 รับดูแลแผ่นดินให้ตอนต้นรัชกาลที่ 5
การที่เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงกล้า 'เปิด' กับบิ๊กแผ่นดินเช่นท่านสมเด็จเจ้าพระยาฯ แปลว่าท่านมั่นใจว่าท่านก็มี 'ดี' พอตัว
เชิญคุณ Jalito มาอ่านพระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ 5 พระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้าวชิรุณหิศ ถึงเคยอ่านแล้วก็ขอให้อ่านอีกครั้ง จะมองเห็นความรู้สึกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ที่มีต่อขุนนางสำคัญในยุคนั้น
----------------------------------
ที่ ๒/๖๑๓๔ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
วันที่ ๘ กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๒
ถึง ลูกชายใหญ่ เจ้าฟ้าวชิรุณหิศ
----------------------------------------------
ในเวลานั้น อายุพ่อเพียง ๑๕ ปีกับ ๑๐ วัน ไม่มีมารดา มีญาติฝ่ายมารดาก็ล้วนแต่โลเลเหลวไหล หรือไม่โลเลเหลวไหลก็มิได้ตั้งอยู่ในตำแหน่งราชการอันใดเป็นหลักฐาน ฝ่ายญาติข้างพ่อคือเจ้านายทั้งปวงก็ตกอยู่ในอำนาจสมเด็จเจ้าพระยา และต้องรักษาตัวรักษาชีวิตอยู่ด้วยกันทั่วทุกองค์ ไม่เอื้อเฟื้อต่อการอันใดเสียก็มีโดยมาก ฝ่ายข้าราชการถึงว่ามีผู้ที่ได้รักใคร่สนิทสนมอยู่บ้างก็เป็นแต่ผู้น้อยโดยมาก ที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มีกำลังสามารถอาจจะอุดหนุนอันใด
...............................................
๔. ส่วนข้าราชการผู้ใหญ่ ซึ่งรู้อยู่ว่ามีความรักใคร่นับถือพ่อมาแต่เดิม (พ่อ) ก็ได้แสดงความเชื่อถือรักใคร่ยิ่งกว่าแต่ก่อน จนมีความหวังใจว่าถ้ากระไร คงจะได้ดีสักมื้อหนึ่ง หรือถ้ากระไร ก็จะเป็นอันตรายสักมื้อหนึ่ง
๕. ผู้ซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นศัตรูปองร้าย ก็มิได้ตั้งเวรตอบ คือเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ย่อมเคารพนับถือและระมัดระวังมิให้เป็นเหตุว่าคิดจะประทุษร้ายตอบ หรือโอนอ่อนยอมไปทุกอย่าง จนไม่รู้ว่าผิดว่าชอบ เพราะเหตุที่รู้อยู่ว่าเป็นศัตรู
เจ้าพระยามหินทรฯ อยู่ในข้อ ๔ เพราะท่านจงรักภักดีต่อสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯจึงทรงผูกมิตรไว้แน่นแฟ้น ส่วนข้อ ๕ ใครอยู่ในฐานะเป็น"ไม้ซุง" ในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวเป็น "ไม้ซีก" คงไม่ต้องอธิบายเพิ่ม
หลังจากบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ ความตึงเครียดอย่างในต้นรัชกาลคงจะคลายลง เพราะอำนาจคืนกลับมาสู่พระเจ้าอยู่หัวแล้ว เมื่อเกิดกรณีนิราศหนองคาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าก็ยังยึดนโยบายเดิมคือผ่อนปรนประนีประนอม รักษาน้ำใจทุกฝ่ายไว้ แต่น่าสังเกตว่า แม้พระองค์ท่านสั่งลงโทษนายทิม และเอาหนังสือไปทำลายทั้งหมด แสดงว่าทรงเห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดเต็มๆ แต่เมื่อนายทิมยืนกรานว่าทำคนเดียว ลูกขุนก็ทำท่าว่าเชื่อตามคำให้การเพราะไม่มีหลักฐานอื่น พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงอนุโลมตามนั้น เจ้าพระยามหินทรฯเลยลอยนวล แสดงได้อย่างหนึ่งว่าบัดนี้พระราชอำนาจนั้นแข็งกล้าพอที่จะคานความประสงค์ลึกๆ ของสมเด็จเจ้าพระยาฯได้แล้ว
ส่วนพวกเราคนรุ่นหลัง ก็คงอ่านจากตามพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ รู้ว่า พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จกรมฯดำรง ตลอดจนขุนนางทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็คิดกันทั้งนั้นว่านายทิมไม่ใช่ตัวการ