ในเมื่อกรมเจ้าท่าดูแลแม่น้ำ คุณตั้งสูบน้ำไปใช้ในอุตสาหกรรม ไม่ได้ตักน้ำขึ้นมาใช้ในบ้าน ก็ต้องขออนุญาตกรมเจ้าท่าซีคะ หรือว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ ต้องขอกรมชลประทาน?
น่าสนใจเหมือนกันว่าคำตอบจะออกมาแบบไหน
ผมก็ไม่ทราบคำตอบเหมือนกันครับ
มาลองไล่กันดูเล่นๆ สนุกๆ เพื่อคลายเครียดนะครับ และขอแยกซอยออกไปสักหน่อยด้วยครับ
กรมป่าไม้ดูแลผืนป่า ซึ่งโดยนัยก็น่าจะเป็นพื้นที่ๆมีความลาดชันเกิน 35 หรือ 40% นับจากฐานของ slope ไปประมาณ 40 เมตร (ตัวเลขเหล่านี้ผมจำได้ไม่แม่นแล้ว) ทั้งนี้เนื่องจากกรมที่ดินมีข้อกำหนดตามกฎหมายว่าไม่สามารถจะออกโฉนดในลักษณะพื้นที่ดังที่เล่ามาได้ ซึ่งก็มีประเด็นว่าแล้วจะนับจากจุดใดให้เป็นป่า โดยเฉพาะหากพื้นที่เป็นลักษณะที่เป็นลอนคลื่น (undulating terrain) นอกจากนั้นแล้วหากจะเป็นพื้นที่ป่าก็จะต้องมีการประกาศตามกฎหมาย พื้นที่ๆเป็นผืนป่าเหล่านี้ คือป่าสงวนแห่งชาติ ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติก็มีการประกาศเป็นพื้นที่ขนาดเล็กทับซ้อนลงไปให้เป็นพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ และพื้นที่อื่นๆอีก เช่น เขตห้ามล่าสัตว์ โดยมีกฎหมายเฉพาะรองรับ แล้วก็ยังมีการประกาศเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นต่างๆ (พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นหนึ่งเอ หนึ่งบี ชั้นสอง ชั้นสาม) ทับซ้อนลงไปอีก ซึ่งพื้นที่ชั้นลุ่มน้ำต่างๆนี้ใช้มติ ครม.รองรับ และก็มิใช่พื้นที่ที่มีความหมายตรงกับศัพท์ทางเทคนิคที่เรียกว่า catchment area กลับกลายเป็นพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง คือส่วนที่เป็นหนอก โหนก ของทิวเขา และพวกเขาโดดๆบนพื้นที่ราบทั้งหลาย ของทุกชนิดที่พบอยู่ในพื้นที่ป่าถูกจัดเป็นของป่ารวมทั้งแร่ด้วย (ไม่ทราบว่าจะรวมทรัพยากรอื่นๆ เช่นน้ำด้วยหรือไม่)
กรมเจ้าท่าดูแลพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นร่องน้ำ (รวมตลิ่ง) เกาะแก่งต่างๆ บรรดาห้วยหนองคลองบึงตามธรรมชาติทั้งหลายที่มีน้ำ และรวมทั้งการใช้ประโยชน์ในเส้นทางน้ำนั้นๆ (เรือ ท่าเรือ ดูดทราย ฯลฯ) โดยนัยก็คือ ลำห้วยลำคลองหนองบึงทั้งหลายทั่วประเทศไทย ตลอดจนทะเลในเขตอาณา (และก็น่าจะรวมพื้นที่ชุ่มน้ำที่เรียกว่า wet land ด้วย ซึ่งได้มีการออกโฉนดให้เป็นกรรมสิทธิไปแล้วมากมาย) โดยนัยง่ายๆก็คือ ที่ใดมีน้ำที่นั่นดูแลโดยกรมเจ้าท่า (จะต้องมีลักษณะที่มีน้ำบนพื้นผิวตลอดเวลาหรือแห้งบ้างท่วมบ้างตามฤดูกาล อันนี้ไม่รู้ครับ) นั่นหมายความว่ากรมเจ้าท่าก็มีหน้าที่และมีเขตอำนาจอยู่พื้นที่ๆเป็นเขตป่าด้วย และก็หมายความว่าคลองตามธรรมาติหรือลำรางในพื้นที่ราบลุ่มทั้งหลาย รวมทั้งพื้นที่ชื้นแฉะและบึงทั้งหลายก็อยู่ในเขตอำนาจการดูและของกรมเจ้าท่า มากไปกว่านั้นเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลทั้งหลายที่ประกาศโดยกรมป่าไม้ ก็ทับซ้อนกับเขตอำนาจของกรมเจ้าท่า (แล้วอำนาจแท้จริงอยู่จะอยู่ที่กรมใด)
กรมชลประทานดูแลเรื่องน้ำเพื่อการเกษตร จะต้องมีการขุดคลองส่งน้ำ คลองและน้ำในคลองชลประทานกลายเป็นสมบัติของกรมชลประทานที่จะต้องดูแล
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่สร้างเขื่อนกั้นน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า เขื่อนและอ่างเก็บน้ำและน้ำกลายเป็นสมบัติของ กฟผ.ที่จะต้องดูแล
น้ำที่ใช้จนกลายเป็นน้ำที่ไม่สะอาดและมีมลพิษปนเปื้ือนแล้วถูกปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ กลายเป็นเรื่องของส่วนราชการอื่นที่จะต้องดูแล (เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
ความเป็นทรัพยากรธรรมชาติตามหลักการ คือ "ความเป็นทรัพยากรเกิดมาจากความต้องการของมนุษย์ที่กำหนดให้มันเป็น ความเป็นทรัพยากรเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา" ทรัพยากรที่สำคัญของมนุษย์ชาติต่างกลุ่มกันจึงไม่เหมือนกันในสภาพและช่วงเวลาที่ต่างกัน
ทรัพยากรน้ำของไทยซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งของไทยที่ขาดผู้ดูแลอย่างเป็นระบบที่แท้จริง ต่างกับป่าไม้ แร่ธาตุ และพลังงานที่มีผู้ดูและทั้งระบบอย่างชัดเจน
ขยายความเขียนมาเสียยืดยาว เพียงเพื่อจะให้ความเห็นว่า กฎหมายต่างๆของประเทศใดๆสังคมใดๆนั้น เขียนขึ้นมาบนพื้นฐานของความมีจริยธรรมและความมีสำนึกในความถูกต้องทำนองครองธรรมของคนในยุคสมัยนั้นๆ จะเอามาตีความตามตัวอักษรในยุคต่อๆมาในสภาพที่สังคมและจริยธรรมเปลี่ยนไปเพื่อเป็นประโยชน์และเป็นคุณแก่ตนและพวกพ้องนั้นหาได้ไม่