หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวอังกฤษไม่ได้ให้โอกาสแก่นายกวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟในการเป็นผู้นำประเทศเป็นสมัยต่อไป แต่กลับเลือกผู้นำพรรคเลเบอร์ นายคลีเมนต์ แอทลี(Clement Attllee)แทน ถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดของคนทั้งโลกที่ประชาชนหันหลังให้วีรบุรุษผู้นำชาติฝ่าฟันความยากลำบากจนชนะสงครามโลกครั้งที่สองมาได้
ค่อยๆขยับจากหลังชั้น มาแยกซอยออกไปสักครั้ง
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลเป็นวีรบุรุษ เป็นเอกบุรุษ เป็นมหาบุรุษของอังกฤษ ในยามสงคราม 6 ปีก็จริงอยู่ แต่ก็ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศเมื่อสงครามสงบอย่างเหลือเชื่อ ทั้งนี้ก็มีคนหาเหตุผลมาให้กันอยู่เยอะมาก ในอินทรเนตรก็มีอยู่หลายเว็บจนกระทั่งต้องให้ท่านทั้งหลายที่สนใจไปเลือกหากันเอง ว่าจะเชื่อใคร เพราะพบว่าต่างเว็บก็ต่างอธิบายกันไปหลายทาง
เหตุผลบางข้อที่คิดว่าฟังขึ้นก็คือ ความรู้สึกของประชาชนในยามสงครามและยามสงบไม่เหมือนกัน ในยามสงคราม นโยบายของเชอร์ชิลได้ผลในการนำประเทศไปสู่ชัยชนะ แต่พอสงครามสงบ ประชาชนฟื้นตัวขึ้นมาจากซากปรักหักพังของบ้านเมือง ก็พบว่านโยบายวีรบุรุษนำชัยนั้นไม่ตรงกับความต้องการของตนในขณะนั้นเสียแล้ว มีนักวิเคราะห์บอกว่า เชอร์ชิลมัววุ่นอยู่กับบัญชาการรบมา 6 ปีจนละเลยพรรคคอนเซอร์เวทีฟ หรือพรรคอนุรักษ์นิยมที่ตนเป็นหัวหน้าอยู่ พรรคก็เลยหันหัวเรือไม่ถูกว่าจะไปทางทิศทางไหนจึงจะรองรับความต้องการของประชาชนหลังสงครามได้ ผิดกับพรรคแรงงานหรือพักเลเบอร์ที่ไม่ได้ไปนำทัพกะเขาด้วย ก็มีเวลาทำการบ้านได้เป็นอย่างดี สร้างนโยบายตอบสนองประชาชนที่บอบช้ำจากสังคมพังทลายเพราะสงครามโลกได้ทันการ
นโยบายเอาใจประชาชนชั้นรากหญ้าซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่สุดในสังคมอังกฤษหลังสงคราม ได้ผลดีกว่าคำเตือนของเชอร์ชิลที่บอกว่า ให้ระวังนโยบายสังคมนิยมที่จะมาคุกคามโครงสร้างสังคมอังกฤษแบบเดียวกับรัสเซียเจอมาแล้ว คนอังกฤษไม่ต้องการผู้บัญชาการรบอีกต่อไป แต่ต้องการนายกฯที่มาปัดเป่าความลำบากยากจนให้ประเทศ เก็บเงินเก็บทองประหยัดสตางค์ให้คลังหลวงของประเทศมีเงินขึ้นมาอีกครั้ง ให้ประชาชนมีกินมีใช้ ลูกเต้าไม่อดอยาก ดำเนินชีวิตได้อย่างสงบ ไม่รบกับใครอีกแล้ว พอกันที เหนื่อยพอแล้ว ตายพอแล้ว ขออยู่สงบๆทีเถอะ
ด้วยเหตุนี้ เชอร์ชิลจึงแพ้เลือกตั้งไปอย่างคนอังกฤษรอบนอกก็งงไปตามๆกัน เช่นนี้ละค่ะ