กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: bahamu ที่ 01 ก.ย. 12, 20:45 "อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี
แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน" ที่หลวงวิจิตรวาทการแต่งไว้มีเนื้อมากที่นี้หรือไม่ ช่วงเวลาใดที่แต่ง แล้วยังมีกลอน หรือคำคม อื่นอีหรือไม่ กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ย. 12, 21:17 ไม่ทราบค่ะ บางทีผู้รู้ท่านอื่นในเรือนไทยอาจจะทราบ
โดยส่วนตัว ไม่เห็นด้วยกับคุณหลวงวิจิตรวาทการในความคิดข้อนี้ ก็เลยไม่ได้ติดตามต่อไปว่าท่านเขียนไว้ที่ไหน กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ย. 12, 21:29 บางทีคุณหลวงอาจจะเขียนจากประสบการณ์ของท่าน เพราะท่านก็เป็นคนเด่นคนหนึ่งในยุคสมัย จุดมุ่งหมายของท่าน ไม่ว่าเขียนเตือนตรงๆหรือเขียนประชดประชันใครก็ตาม ดิฉันก็ไม่อยากให้คนอ่านยึดทัศนะนี้ว่าถูกต้องควรถือเป็นแบบอย่าง
จริงๆแล้ว คนที่ควรถูกเตือนคือคนที่ไปอิจฉาคนอื่นว่าเด่นกว่า เพราะความอิจฉาไม่ว่าในโอกาสไหนมันเป็นสิ่งผิดทั้งนั้น แต่นี่กลับไปเตือนคนที่ทำดีให้เขาระแวงระวังอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ย. 12, 21:33 คำคมของพล.ต.หลวงวิจิตรวาทการ
ชีวิตเหมือนเรือน้อยล่องลอยอยู่ ต้องต่อสู้แรงลมผสมคลื่น ต้องทนทานหวานสู้อมขมสู้กลืน ต้องทนฝืนยิ้มได้ เมื่อภัยมา กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 01 ก.ย. 12, 22:05 บางทีคุณหลวงอาจจะเขียนจากประสบการณ์ของท่าน เพราะท่านก็เป็นคนเด่นคนหนึ่งในยุคสมัย จุดมุ่งหมายของท่าน ไม่ว่าเขียนเตือนตรงๆหรือเขียนประชดประชันใครก็ตาม ดิฉันก็ไม่อยากให้คนอ่านยึดทัศนะนี้ว่าถูกต้องควรถือเป็นแบบอย่าง จริงๆแล้ว คนที่ควรถูกเตือนคือคนที่ไปอิจฉาคนอื่นว่าเด่นกว่า เพราะความอิจฉาไม่ว่าในโอกาสไหนมันเป็นสิ่งผิดทั้งนั้น แต่นี่กลับไปเตือนคนที่ทำดีให้เขาระแวงระวังอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE LIKE กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: bahamu ที่ 01 ก.ย. 12, 22:26 กลอนพูดเป็นนัย ถ้ามีหัวท้ายคงสมบูรณ์ คล้ายกับของที่อื่นเหมือนกันแบบหลิวปัง ฆ่าหานซิ่น จางเหลียงไม่รับตำแหน่ง เซียวเหออยู่แบบคนเฝ้าเสือ
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายตาย ฆ่าสุนัขล่าเนื้อ 卸磨杀驴 Xiè-mò-shā-lǘ ฆ่าลาเมื่องานเสร็จ ข้ามแม่น้ำแล้ว รื้อสะพาน กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: ลุงไก่ ที่ 02 ก.ย. 12, 07:27 ในความเห็นของผม ท่านอาจจะหมายถึงตัวท่านเอง?
กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.ย. 12, 08:23 ก็เป็นได้ค่ะ แต่คนอ่านไปตีความว่าเป็นสุภาษิตที่ท่านให้คนอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่
กลอนพูดเป็นนัย ถ้ามีหัวท้ายคงสมบูรณ์ คล้ายกับของที่อื่นเหมือนกันแบบหลิวปัง ฆ่าหานซิ่น จางเหลียงไม่รับตำแหน่ง เซียวเหออยู่แบบคนเฝ้าเสือ ทั้งหมดที่คุณ bahamu ยกมาไม่ใช่สุภาษิต แต่เป็นคำพังเพย คนละอย่างกับกลอนของคุณหลวงวิจิตรวาทการค่ะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายตาย ฆ่าสุนัขล่าเนื้อ 卸磨杀驴 Xiè-mò-shā-lǘ ฆ่าลาเมื่องานเสร็จ ข้ามแม่น้ำแล้ว รื้อสะพาน กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ก.ย. 12, 10:48 ผมเห็นด้วยกับท่านอาจารย์เทาชมพูนะครับ กลอนทั้งบริบทที่ลงบาทสุดท้ายที่ว่า ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกินนั้น ทำให้ด้อยค่าไปเกือบหมด ทั้งที่คนส่วนใหญ่ทีเดียวที่ไม่ได้ขี้อิจฉาตาร้อน เที่ยวหมั่นไส้คนเก่งกว่า ดีกว่า เด่นกว่าตัว ถ้ามี ก็เห็นจะเป็นพวกโรคประสาทรับประทาน เหมือนนังแม่เลี้ยงของนางสโนว์ไวท์ กับพวกนางร้ายในละครทีวีเมืองไทยเท่านั้น ที่คิดว่าตัวเองดีวิเศษไม่มีใครเทียม
ความจริงการทำดีกับทำเด่น ก็มีความหมายต่างกันในตัวเอง คนที่ชอบทำเด่นอาจจะไม่ได้กำลังกระทำดีก็ได้ อย่างนักการเมืองที่ชอบชิงบทกันเวลาออกข่าวทีวีเป็นต้น พวกเขาย่อมไม่อยากเห็นใครมาเด่นเกิน อ้าว เผลอไปแขวะเค้าเข้าให้แล้ว แม้ว่าจะพร้อมกันกระทำดีก็เถอะ ดูหนังสงครามประเภททหารกล้าทั้งหลายที่นายสั่งให้วิ่งไชโยโห่ร้องตลุยบุกเข้าไปแนวศัตรูนั่นประไร ไอ้คนที่วิ่งถือธงมักจะถูกยิงล้มก่อนหมู่ ผู้กล้าคนใหม่คว้าธงมาวิ่งต่อ ก็ถูกยิงอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกที่สามารถตลุยไปถึงแนวข้าศึกจนเอาชนะได้นั้น มักจะผลุบๆโผล่ๆ วิ่งมั่งหลบมั่ง ไม่มีบทเด่นหน้าจอ คือการที่จะชนะการต่อสู้ไม่ใช่การยอมตายอย่างไร้ความคิดนะครับ แม่ทัพใหญ่ของอเมริกาคนหนึ่ง ดูซิผมนึกชื่อไม่ออกเสียแล้ว เขากล่าวกับพี่น้องทหารหาญว่า เรามาที่นี่ ไม่ใช่มุ่งหมายจะมาสละชีพเพื่อชาติ(นะโว้ย) แต่เราจะมาทำให้พวกข้าศึกสละชีวิตเพื่อชาติของมันต่างหาก สรุปว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัยนั้น คิดตรองให้ดี เอาบาทนี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ในหลายกรณีย์ทีเดียวนะครับ กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.ย. 12, 11:17 ท่าน NAVARAT.C มาเปิดประเด็นยาวแล้ว เห็นจะต่อประเด็นได้อีกยาว
ได้ยินกลอนบทนี้เป็นครั้งแรกเมื่อแม่ท่องให้ฟัง สมัยลูกสาวยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ ก็ถามแม่ด้วยความสงสัยจริงๆประสาเด็กว่า...ต้องทำความดียังไงถึงจะไม่เด่นล่ะคะ แม่ก็หัวเราะแล้วตอบว่า..เออ จริงซี ตอนนั้นงงจริงๆกับกลอนบทนี้ เพราะอยู่ร.ร. เวลาเพื่อนคนไหนได้ที่ 1 หรือได้รางวัลอะไร ชนะเลิศกลับมา ก็มีการประกาศให้รู้กันอย่างชื่นชมในโรงเรียน ครูก็พอใจ เพื่อนฝูงก็นับถือคนนั้นว่าเก่ง ก็ไม่เห็นใครรู้สึกขึ้นมาว่า..แหม เก่งแล้วร.ร.ต้องยกย่องให้เด่นเกินหน้าคนอื่นด้วย เงียบๆหน่อยไม่ได้รึไง ใครคิดยังงั้นก็คงถูกมองว่าบ้า ก็คนนี้เขาทำอะไรได้มากกว่าคนอื่นเขาถึงเด่น ไม่เห็นผิดตรงไหน ทำไมจะต้องแอบๆ เอาไว้ราวกับไปทำอะไรอับอายขายหน้ามา ถ้ายึดถือเคร่งครัดว่า " อย่าเด่นจะเป็นภัย" คัทเอาท์ตามหน้าโรงเรียนที่ลงรูปและรางวัลของนักเรียนเก่งทำชื่อเสียงให้ร.ร. ต้องถูกปลดลงมาให้หมด มิฉะนั้นเด็กคนนั้นจะอยู่กับเพื่อนได้ลำบาก เพราะใครๆก็หมั่นไส้ พวกศิษย์เก่าหรือศิษย์ปัจจุบันดีเด่นในสถาบันทั้งหลาย พวกข้าราชการดีเด่น นักธุรกิจดีเด่นฯลฯ ได้รางวัลแล้วต้องปกปิดเป็นความลับ ห้ามเผยแพร่ข่าว คณะกรรมการต้องส่งโล่ไปให้ทางไปรษณีย์ หรือสั่งให้คนเดินหนังสือแอบเอามามอบให้ที่โต๊ะ ห้ามเพื่อนร่วมงานรู้ เดี๋ยวเขาจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ถูกเกลียดชังหมั่นไส้เพราะเด่นเกิน เท่ากับส่งเสริมประชากรให้เข้าใจไปในทางเดียวกันทั้งประเทศว่า ความอิจฉาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ต้องแก้ไข รักษามันเอาไว้ ส่วนเหยื่อนั้นต้องหาทางปกป้องตัวเองไปตามยะถากรรม ใครก็ช่วยไม่ได้จริงๆ กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 02 ก.ย. 12, 13:07 กลอนบทนี้ของหลวงวิจิตรฯ ตรงกับสุภาษิตญี่ปุ่นบทหนึ่งที่ว่า
出る杭は打たれる。 - でるくいはうたれる อ่านว่า เดะรุ คุอิ วะ อุทะเระรุ แปลว่า ลิ่มที่ยื่นออกมาจะถูกตอก ช่างไม้ย่อมตอกลิ่มหรือตะปูที่โผล่ออกมา (http://www.j-campus.com/kotowaza/image/daiku.jpg) เป็นคำเปรียบเทียบว่า ผู้ที่มีความสามารถเด่นล้ำหน้ากว่าผู้อื่น ย่อมถูกอิจฉาริษยา หรือถูกกลั่นแกล้ง หรือใช้เปรียบเทียบกับการกระทำที่ออกนอกหน้า หรือแตกต่างกว่าคนอื่น ย่อมถูกรังเกียจ และถูกลงโทษจากสังคม สำนวนนี้แสดงถึงขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณของชาวญี่ปุ่น คือการผสานความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ หล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมที่ให้เกียรติต่อผู้อาวุโส โดยคำนึงถึงประสบการณ์ มากกว่าการให้เกียรติต่อผู้เยาว์ ที่แม้จะมีความสามารถมากเป็นพิเศษก็ตาม ดังนั้น ชาวญี่ปุ่นจึงมักเก็บความสามารถหรือความคิดของตนเอง และไม่ทำตนให้โดดเด่นหรือผิดแปลกไปจากสังคม อันถือเป็นมารยาทประการหนึ่ง ในการให้เกียรติฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง จาก เว็บสอนภาษาญี่ปุ่น (http://www.j-campus.com/kotowaza/view.php?id=300) ;D กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.ย. 12, 13:33 มาเพิ่มเติมถึงวัฒนธรรมอื่นบ้าง นอกจากญี่ปุ่น
ภาษาอังกฤษมีคำว่า self-esteem คำนี้กูเกิ้ลแปลว่า ความนับถือตัวเอง ความหมายคือรู้จักภูมิใจในตัวเอง ที่เราเกิดมาเป็นเราอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ มีอย่างนี้ โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆว่าเขามีน้อยหรือมีมากกว่าฉัน ฉันเป็นได้น้อยกว่าเขาหรือมากกว่าเขา มันเป็นเรื่องป่วยการเปล่าๆ เมื่อคนเราถูกปลูกฝังให้มี self-esteem ก็จะเห็นคุณค่าของตัวเอง ค้นพบจนเจอว่าตัวเองมีอะไรดีบ้าง อย่างน้อยคนเราก็ต้องมีอะไรดีสักอย่างในตัวเอง ต่อให้เกิดมาจน ขี้ริ้วขี้เหร่ หรือแม้แต่พิการไม่สมประกอบทางใดทางหนึ่ง แต่ธรรมชาติก็ไม่ให้มนุษย์เคราะห์ร้ายไปทุกอย่าง ถึงไม่เจออะไรดีสักอย่างในตัวเอง ก็ยังต้องพบว่า..ฉันก็คือฉัน เป็นตัวของฉันเองไม่ซ้ำกับคนอื่น ไม่ใช่ต้นหมากรากไม้หรือสิ่งของที่เหมือนกันจะแยกไม่ออก การค้นพบบางอย่างในตัวเองทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมา ความรู้สึกว่ามนุษย์อื่นมีดีกว่า ข่มตัวเองให้ด้อยลงไปเมื่อนึกถึงเขา ก็จะหายไป ความอิจฉาคนอื่นก็จะไม่เข้ามารุกราน เพราะคนที่อิจฉาหรือหมั่นไส้คนอื่น คือคนที่ยอมรับโดยอัตโนมัติว่าคนนั้นดีกว่าเรา ไม่มีใครอิจฉาหรือหมั่นไส้คนที่เราเห็นว่าอ่อนด้อยกว่าเราทุกทาง ความภูมิใจในตัวเอง จะทำให้มนุษย์คนนั้นรู้จักพัฒนาส่วนดีที่ค้นพบในตัวเองให้ดียิ่งๆขึ้น ไม่ได้ต้องการจะเหมือนใคร ไม่ต้องการเลียนแบบใคร หรือแข่งกับใคร แต่เป็นไปตามแบบของตัวเองตามใจเลือกนี่แหละดีที่สุดแล้ว กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.ย. 12, 13:43 ส่วนค.ห.นี้ วัฒนธรรมไทย
กลอนบทนี้ของหลวงวิจิตรฯ ตรงกับสุภาษิตญี่ปุ่นบทหนึ่งที่ว่า 出る杭は打たれる。 - でるくいはうたれる อ่านว่า เดะรุ คุอิ วะ อุทะเระรุ แปลว่า ลิ่มที่ยื่นออกมาจะถูกตอก ช่างไม้ย่อมตอกลิ่มหรือตะปูที่โผล่ออกมา ;D ไทยมีคำพังเพยตรงกันข้ามว่า โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน (ระยะหลังใช้คำเปลี่ยนไปจากเดิมว่า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน ความจริงผิดค่ะ ไม่มีใครแก่เพราะกินข้าว มีแต่โตเพราะกินข้าวเยอะ) โคลงโลกนิติ พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร มีอายุร้อยหนึ่ง นานนัก ศีลชื่อปัญจางค์จัก ไป่รู้ ขวบเดียวเด็กรู้รัก ษานิจ ศีลนา พระตรัสสรรเสริญผู้ เด็กนั้นเกิดศรี กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ก.ย. 12, 14:43 อ้างถึง เวลาเพื่อนคนไหนได้ที่ 1 หรือได้รางวัลอะไร ชนะเลิศกลับมา ก็มีการประกาศให้รู้กันอย่างชื่นชมในโรงเรียน ครูก็พอใจ เพื่อนฝูงก็นับถือคนนั้นว่าเก่ง ก็ไม่เห็นใครรู้สึกขึ้นมาว่า..แหม เก่งแล้วร.ร.ต้องยกย่องให้เด่นเกินหน้าคนอื่นด้วย เงียบๆหน่อยไม่ได้รึไง ใครคิดยังงั้นก็คงถูกมองว่าบ้า ก็คนนี้เขาทำอะไรได้มากกว่าคนอื่นเขาถึงเด่น ไม่เห็นผิดตรงไหน ทำไมจะต้องแอบๆ เอาไว้ราวกับไปทำอะไรอับอายขายหน้ามา อันนี้ตรงกับที่ผมเขียนไว้ตรงนี้ อ้างถึง กลอนทั้งบริบทที่ลงบาทสุดท้ายที่ว่า ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกินนั้น ทำให้ด้อยค่าไปเกือบหมด ทั้งที่คนส่วนใหญ่ทีเดียวที่ไม่ได้ขี้อิจฉาตาร้อน เที่ยวหมั่นไส้คนเก่งกว่า ดีกว่า เด่นกว่าตัว ถ้ามี ก็เห็นจะเป็นพวกโรคประสาทรับประทาน เหมือนนังแม่เลี้ยงของนางสโนว์ไวท์ กับพวกนางร้ายในละครทีวีเมืองไทยเท่านั้น ที่คิดว่าตัวเองดีวิเศษไม่มีใครเทียม ส่วนว่า อ้างถึง ถ้ายึดถือเคร่งครัดว่า " อย่าเด่นจะเป็นภัย" คัทเอาท์ตามหน้าโรงเรียนที่ลงรูปและรางวัลของนักเรียนเก่งทำชื่อเสียงให้ร.ร. ต้องถูกปลดลงมาให้หมด มิฉะนั้นเด็กคนนั้นจะอยู่กับเพื่อนได้ลำบาก เพราะใครๆก็หมั่นไส้ พวกศิษย์เก่าหรือศิษย์ปัจจุบันดีเด่นในสถาบันทั้งหลาย พวกข้าราชการดีเด่น นักธุรกิจดีเด่นฯลฯ ได้รางวัลแล้วต้องปกปิดเป็นความลับ ห้ามเผยแพร่ข่าว คณะกรรมการต้องส่งโล่ไปให้ทางไปรษณีย์ หรือสั่งให้คนเดินหนังสือแอบเอามามอบให้ที่โต๊ะ ห้ามเพื่อนร่วมงานรู้ เดี๋ยวเขาจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ถูกเกลียดชังหมั่นไส้เพราะเด่นเกิน เท่ากับส่งเสริมประชากรให้เข้าใจไปในทางเดียวกันทั้งประเทศว่า ความอิจฉาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ต้องแก้ไข รักษามันเอาไว้ ส่วนเหยื่อนั้นต้องหาทางปกป้องตัวเองไปตามยะถากรรม ใครก็ช่วยไม่ได้จริงๆ อันนี้ผมได้เขียนไว้ว่า อ้างถึง ความจริงการทำดีกับทำเด่น ก็มีความหมายต่างกันในตัวเอง คนที่ชอบทำเด่นอาจจะไม่ได้กำลังกระทำดีก็ได้ “จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย”เห็นจะใช้ไม่ได้ในเรื่องการเรียน ตลอดจนการทำงานตามหน้าที่ ซึ่งคิดดีแล้ว ชอบแล้ว และความดีนั้นถูกยกให้เด่นขึ้นโดยผู้อื่นที่อยู่ร่วมสังคม ไม่ใช่ยกหางตนเองให้คนทั้งหลายยกย่อง แต่หากว่าจะต้องตกเป็นเหยื่อของพวกโรคประสาทประเภทขี้อิจฉาแล้ว ก็เห็นจะต้องยอมละครับ ส่วนจะปกป้องตนเองอย่างไร ก็ว่ากันไปอีกประเด็นหนึ่ง กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.ย. 12, 16:43 ;D
กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: bahamu ที่ 08 ก.ย. 12, 17:55 คติพจน์ที่หลวงวิจิตรวาทการ แต่งไว้
"รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย" "ความจริงเป็นเหมือนน้ำมัน ย่อมจะลอยขึ้นข้างบนเสมอ" "จะต้องคิดการก้าวหน้าไว้เสมอ ก่อนที่จะหลับควรกำหนดไว้ให้แน่นอนว่า พรุ่งนี้จะทำอะไรอีกบ้าง ถ้าเขียนไว้ด้วยยิ่งดี และพอถึงวันรุ่งขึ้น ก็ต้องทำให้ได้ตามกำหนดนั้นจริงๆ" "นักการเมืองมีหน้าที่ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ฉะนั้นสินเชื่ออันสำคัญที่สุดในทางบุคคลิกก็คือ หลักประกันที่ว่าจะไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ไม่มีอะไรที่ประชาชนจะระวังระแวงเท่าเรื่องประโยชน์ส่วนตัว" หลวงวิจิตรวาทการ ผู้ปฏิวัติอาชีพเต้นกินรำกิน สังคมไทยสมัยโบราณนี่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถึงแม้ทุกผู้คนจะชอบดนตรี และชอบดูการแสดง แต่กลับไม่ค่อยจะยกย่องผู้มีอาชีพนี้ เพราะถือว่าเป็นอาชีพชั้นต่ำ ดูได้จากการเรียกขานผู้มีอาชีพนี้ว่าพวก“เต้นกิน รำกิน” และครอบครัวที่มีสถานะทางสังคมสูง ก็ยากนักที่จะยอมรับคนอาชีพนี้ เข้ามาเป็นเขย หรือสะใภ้ เข้าทำนอง “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” ผู้ที่เข้ามามีบทบาทปฏิวัติอาชีพ “เต้นกิน รำกิน” ให้เป็นที่ยอมรับของสังคมสมัยนั้นได้ในระดับหนึ่งก็คือ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ผู้รับตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรคนแรก ซึ่งได้ทำการส่งเสริมงานศิลปวัฒนธรรมให้เฟื่องฟูขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะศิลปการแสดง โดยการก่อตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ ปัจจุบันคือวิทยาลัยนาฏศิลป์ขึ้นมา http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2 (http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2) กระทู้: หลวงวิจิตรวาทการ แต่งกลอน "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ในโอกาสใด เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 08 ก.ย. 12, 19:23 พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ผู้รับตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรคนแรก ซึ่งได้ทำการส่งเสริมงานศิลปวัฒนธรรมให้เฟื่องฟูขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะศิลปการแสดง โดยการก่อตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ ปัจจุบันคือวิทยาลัยนาฏศิลป์ขึ้นมา
คำกล่าวข้างต้นน่าจะเกิดความเข้าใจผิดเสียแล้วครับ โรงเรียนที่สอนนาฏดุริยางคศาสตร์แห่งแรกคือ โรงเรียนทหารกระบี่หลวงหรือโรงเรียนพรานหลวงที่สวนมิสกวัน ผลผลิตของโรงเรียนนี้มีอาทิ ครูโฉลก เนตรสูตร ครูมนตรี ตราโมท ครูอาคม สายาคม ครูนายรงคภักดี (เจียร จารุจรณ) ครูเอื้อ สุนทรสนาน ฯลฯ โรงเรียนนี้ถูกยุบไปเมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จสวรรคต แล้วเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วหลวงวิจิตรวาทการจึงได้คิดรื้อฟื้นโรงเรียนพรานหลวงขึ้นมาใหม่ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ เพื่อให้รับกับว่าตนเป็นผู้คิดก่อนึ่ง แต่รากเดิมของโรงเรียนนี้ก็คือโรงพรานหลวง ซึ่ง ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ ศิลปินแห่งชาติได้ทำวิจัยเรื่องนี้ไว้ในวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของท่านแล้ว |