เรือนไทย

General Category => ชั้นเรียนวรรณกรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: Wandee ที่ 27 มิ.ย. 12, 14:36



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 27 มิ.ย. 12, 14:36

อ่านเรื่องนี้มาจากหนังสืออนุสรณ์  หม่อมเจ้าการวิก  จักรพันธุ์  
เนื่องในพืธีพระราชทานเพลิงศพ   ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์
วัดเทพศิรินทร์ทราวาส  กรุงเทพมหานคร

วันที่ ๑ กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๔๕


       เก็บเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นที่ทราบกันมากนัก  ได้หลายเรื่อง  ซึ่งจะนำมาถ่ายถอดต่อไป

เป็นข้อเขียนที่มีเสน่ห์น่าอ่านอย่างยิ่ง   โดยเฉพาะเรื่องธรรมดาสามัญ  เรื่องการเป็นเสรีไทยที่ผ่านการฝึกก่อนที่จะกระโดดร่ม

ลงมาในไทย


        ท่านชายเล่าว่า


        "....ในที่สุดทางกองกำลัง ๑๓๖  แจ้งว่าจะส่งเราสองคน(คุณอรุณ กับท่านชาย)เข้าไปตอนพลบค่ำของวันที่ ๔ มีนาคม  

โดยมีจุดหมายอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย    ทศได้ท้วงว่า  การปล่อยพลร่มตอนพลบค่ำในช่วงที่ไม่ใช่เดือนหงายนั้นอันตรายมาก

ถ้าเครื่องบินมาถึงช้าไปก็มือเกินกว่าจะทิ้งพลร่ม   เพราะจะกะเวลาที่เท้ากระทบพื้นไม่ถูกอาจขาหัก     ถ้ามาเร็วไปท้องฟ้าก็ยังสว่าง  

ผู้คนคงจะเห็นกันเยอะ   คงจะถูกล่าจับกันสนุก    ขอให้เลื่อนไปในช่วงเดือนหงายถัดไป    แต่ทางฐานทัพ ๑๓๖ บอกรอไม่ได้   เพราะจะรีบส่งออกมาอีกสองคณะ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 27 มิ.ย. 12, 14:56

        ปรากฎว่าเครื่องบิน ฺB-24  ที่นำอรุณกับผมเข้ามา  ได้ลมส่งท้ายเข้ามาถึงก่อนกำหนดเวลากว่าครึ่งชั่วโมง(ราวห้าโมงเย็น)

ท้องฟ้ายังสว่างโร่  แดดจ้า     ผมมองลงมาเห็นผู้คนกำลังอาบน้ำริมแม่น้ำตอนผ่านจังหวัดตาก    เห็นมองขึ้นมาแล้วพากันชี้กันใหญ่  

และผู้คนในตลาดสุโขทัยก็มองเห็นอีก        นักบินถามว่า

"จะลงกันจริง ๆ หรือนี่    คนเห็นกันหมดแล้ว   ป่านนี้ข่าวคงไปถึงญี่ปุ่นแล้วกระมัง"


"ไม่ไหวแล้ว   รอมาตั้งนาน   เห็นที่จะลงอยู่แล้ว   ให้กลับไปอีกไม่เอาละ        ขอลงทั้งกลางวันอย่างนี้  เห็นไรก็เป็นกัน"


        เราสองคนจึงมานั่งที่รางเตรียมตัวกระโดด   นายสิบที่คอยอยู่จับมือและอวยพรสั้น ๆ        เมื่อทุกอย่างพร้อม  มีคำสั่ง

ACTION STATION GO!

        เราสองคนปล่อยมือจากขอบรางเลื่อนออกสู่ห้วงเวหา         ร่มเปิดออก   พยุงร่างลอยละลิ่วลงมาสู่พื้นเบื้องล่างในบริเวณที่ทำสัญญลักษณ์

ไว้โดยไม่ทันจะคิดอะไรเลย



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 27 มิ.ย. 12, 15:14


        บริเวณที่เตรียมไว้นั้น   เป็นสถานีทดลองการเกษตรอำเภอศรีสำโรง      หัวหน้ามารับคือคุณแสวง  กุลทองคำ

เป็นหัวหน้าสถานี  และภรรยาคือ คุณสมจิต (โล่นักรบ) ภายหลังได้เป็นคุณหญิง    กับตำรวจจำนวนหนึ่ง  และคณะของทศ

มีดาบตำรวจคนหนึ่งชื่อ ดาบตำรวจประสิทธิ (จำนามสกุลไม่ได้)      ทันที่ที่เขาเห็นผมลงมาอยู่ที่พื้นก็วิ่งมาถึงตัวแล้วร้องว่า


        "โอ๊ย!  คุณ ๆ    คนอ้วนนี่เขาชักจนมือหงิก"          ความจริงผมคว้าเก็บดินตรงนั้นมาบีบ    และดมดู  เพราะไม่ได้กลิ่นมานานแล้ว

อยากดมให้ชื่นใจสักหน่อย      พอได้ยินอย่างนั้นเข้า  ผมต้องรีบปล่อยและรีบลุกขึ้นเพื่อหันไปอีกด้าน        เจอเด็กเลี้ยงควาย ๓-๔ คน

ยืนอ้าปากหวออย่างตกตะลึง         ตำรวจขู่ว่า

        "มึงไม่ได้เห็นอะไรนะวันนี้   ถ้าเผื่อพวกนี้ถูกจับหรือเป็นอะไรไป  พวกมึงเป็นศพ"

        "ครับ ๆ  ไม่เห็นครับ  ไม่เห็น"   พวกเด็ก ๆ รับคำ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 27 มิ.ย. 12, 16:17

         พื้นที่เราลงมานั้นเป็นนาที่เขาไถแล้ว   ถ้าลงมาที่นาแข็ง ๆ คงแย่  รอบ ๆ เป็นป่าหนาทึบ

แทนที่ผมจะต้องวิ่งไปพับร่ม   ก็มีลูกน้องที่เป็นตำรวจวิ่งมาพับให้   ทำเอาผมยืนเวียนหัว  เพราะเขาพับผิดกับถูกกลายเป็นกองผ้าเบ้อเริ่ม  

ถ้าผมพับเองก็เหลือนิดเดียว  เพราะฝึกมาแล้ว   พอผมบอกจะไปขุดหลุมฝัง   เขาบอกไม่ต้องเดี๋ยวเอาไว้ที่สำนักงาน   ใส่ใต้ที่นั่งรถสองแถวไป


        จากนั้นเขาให้ผมเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว   มีชุดกากีของข้าราชการชั้นจัตวาไว้ให้เสร็จ    เรื่องนามแฝงนี้  ผมเตรียมไว้แล้ว

ระหว่างที่คุย ๆ กันได้พบกับนายกเทศมนตรีของเมืองสวรรคโลกขณะนั้นคือ  ขุนเพ่ง  ลิมประพันธ์    คุยกันแล้วถูกคอ    ผมเลยติดเป็นท่านขุนดีกว่า

ในเมื่อหน่วยเราเป็นหน่วยช้างเผือก   แล้วเพื่อน ๆ เรียกผมว่า พี่เหน่งบ้าง  พี่ขุนบ้าง  


        ได้เดินทางข้ามฟากไปฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิง  พบผู้ใหญ่หมู่บ้านประดาง  ชื่อบุญธรรม  อินทรวัณโณ

ซึ่งมีอดีตเป็นไอ้เสือบุญธรรม  ตอนอายุ ๑๘  ล้มแล้ว ๘​ ศพ    ตอนหลังเข้ามามอบตัวและทนายแนะนำตัวว่า  ให้รับราชการแล้วไม่ต้องรับโทษ

ตั้งแต่เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ไม่มีโจรผู้ร้าย   โกดังฝรั่งที่เชิงสะพานที่ข้ามวังเจ้า  เคยถูกปล้นเรื่อย  จับไม่ได้สักที  พอพี่บุญธรรมเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ไม่มีอะไร  

และไม่ต้องมียามเฝ้าด้วย


        พวกเขาพาเราไปฝากชีวิตกับผู้ใหญ่   คืนั้นเขาจัดอาหารรและจัดรำวงเพื่อควมบันเทิงสนุกสนานให้ด้วย     รุ่งขึ้นก็สั่งลูกน้อง ๒-๓ คนพาเราเดินไปตาม "ทางเดินฝิ่น"

ซึ่งปลอดภัยจากพวกญี่ปุ่นมากกว่าจะเดินไปตามทางปกติสู่บ้านห้วยเหลือง    ซึ่งอยู่บนเขากลางป่าลึกในเขตของพวกแม้ว(ม้ง)       ระหว่างทางมีป่าไผ่ขึ้น

เรียงรายร่มรื่นมาก     มีธารน้ำตกเป็นระยะ ๆ"


        ในต้นเดือน เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๘   เราได้รับคำสั่งให้เตรีมรับปัทม์ กับลุงไบรซ์   และนายตำรวจสันติบาลรุ่นช้างดำสองคน


          อรุณกับผมออกจากค่ายมารอรับคณะของปัทม์ตามเวลานัด    โดยพักค้างคืนที่บ้านของผู้ใหญ่บุญธรรม


         คืนนั้นเขาเลี้ยงข้าวสวยร้อน ๆ  กับปลาสลิดย่าง   ถามว่า

         "ท่านขุนกินเป็นมั๊ย"

         "เป็นซิพี่ธรรม   ปลาสลิดนี่ของชอบเชียวล่ะ"











กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 27 มิ.ย. 12, 16:38



        "เอ้า!   เดี๋ยวลองกิน   กินด้วยกัน"     ผมก็เลือกหยิบเอาส่วนที่เป็นขุย ๆ  มีกลิ่นตึ ๆ นิด ๆ

เขาร้องอย่างถูกใจว่า  "กินเป็นนี่"   เพราะคนอื่น ๆ จะเลือกกินส่วนที่กรอบ ๆ  และไม่มีกลิ่น

        หลังกินข้าวเสร็จ  เขาบอก

        "ท่านขุนนอนเถอะ   พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืด"     เขาเตือนเพราะรู้ว่าผมต้องไปรอรับเครื่องบินที่จะมาตอนตีสี่ตีห้า

     
        คืนนั้นเขานั่งอ่านหนังสือ  "สังข์ทอง" ให้ฟังจนหลับทั้งๆที่เขาก็อ่านหนังสือไม่คล่องไปกว่าผมเท่าไร       ผมนึกในใจด้วยความปลื้มว่า

        "แหม!   ฆ่าคนมาแล้ว ๘ ศพ   ยังอุตส่าห์มาอ่านหนังสือให้ฟัง"



(ถ้าหนังสือเป็นเสภาขุนช้างขุนแผน  คงอ่านเรื่อยไปจนรุ่งกระมัง/นักอ่านนึกในใจ)



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 มิ.ย. 12, 05:42


บรรพตระกูล

หม่อมเจ้าการวิก  จักรพันธุ์  ประสูติเมื่อวันี่ ๙ เมษายน  พ.ศ. ๒๔๖๐  ที่บางปะอิน  พระนครศรีอยุธยา

พระบิดาหม่อมมารดา  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรษฐวงศ์วราวัตร  กรมหมื่นอนุพงษ์จักรพรรดิ  หม่อมโป๊


ทรงมีเชษฐา  เชษฐภคินี  อนุชา  ขนิษฐา  ร่วมพระบิดาเดียวกัน ๒๓ องค์

ที่ร่วมหม่อมมารดาเดียวกัน ๔ พระองค์

๑.   หม่อมเจ้าวราธิวัตร  จักรพันธุ์

๒.  หม่อมเจ้าหญิงอภิลาศ  นันทมานพ

๓.  หม่อมเจ้าการวิก  จักรพ้นธุ์

๔.  หม่อมเจ้าประดิษฐาน  จักรพันธุ์


ชายา

หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี  (สวัสดิวัฒน์  จักรพันธุ์)

หม่อมหลวงประอร (มาลากุล)  จักรพ้นธ์ุ

บุตร - ธิดาบุญธรรม

หม่อมหลวงศิริเฉลิม  สวัสดิวัฒน์

หม่อมหลวงเพิ่มวุฒิ   สวัสดิวัฒน์

หม่อมหลวงปัณฑิตา  (จักรพันธุ์   โปษยานนท์)


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 มิ.ย. 12, 06:20

        ท่านชายการวิกทรงประสูติและเคยใช้ชีวิตช่วงต้นในละแวกนี้   ในเรือนไทยหลังใหญ่ ๓ หลัง  

ณ บริเวณทางใต้ของเกาะบางปะอิน  นามสมัยก่อนเรียกว่าตำหนักท้ายเกาะ  หรือตำหนักในกรม     ในกรมทรงเป็นนายวงดนตรี

และองค์อุปถ้มภ์ของเหล่านักดนตรีในย่านนี้ทั้งหมด  


       "ชื่อของผม  เด็จพ่อเป็นผู้ประทาน   มีความหมายถึงนกชนิดหนึ่ง   ซึ่งโปรดประทานเป็นการล้อชื่อผม  ด้วยทรงเห้นว่าเป้นเด็กช่างพูด"


หม่อมโป๊อยู่ในสกุลใดไม่ปรากฎแน่ชัด   บิดามาจากเมืองจีน  และตายไปก่อนท่านชายการวิกเกิด    ยายชื่อหงส์อาศัยอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งในตำหนัก  

มีน้องชายชื่อเง็ก  และน้องสาวชื่อง้วย   พื้นเพอยู่แถวบางปะอิน  อยุธยา


        พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ  พระราชทานที่ดินระหว่างถนนหลานหลวงกับถนนดำรงรักษ์

ช่วงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ(หลังกรมโยธาธิการเดิม) จดสี่แยกถนนจักรพรรดิพงศ์แด่พระนัดดา  แห่งสกุลจักรพันธุ์ ทุกพระองค์ได้อยู่ร่วมกันโดยแบ่งเป็นสัดส่วน

"เด็จพ่อทรงเลือกตำหนักริมฝั่งถนนดำรงรักษ์เป็นที่พำนักเพราะเห็นว่าอยู่ใกล้คลองมหานาค  ซึ่งสะดวกในการสัญจรโดยทางเรือ"


       "การที่เด็จพ่อต้องไปประทับที่บางปะอิน  เนื่องจากทรงรับราชการเป็นผู้กำกับดูแลความเรียบร้อยในเขตพระราชวังบางปะอินทั้งหมด   วันเวลาส่วนใหญ่

เด็จพ่อมักประทับที่บางปะอินเสียมาก   ครั้นจะเสด็จกรุงเทพ  ก็จะทรงเรือยนต์มาตามแม่น้ำลำคลอง   และจอดเรือไว้ในคลองมหานาค"


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 มิ.ย. 12, 06:44
        ท่านชายการวิกทรงเล่าว่าท่านเป็นลูกที่อยู่ใกล้ชิดกับเสด็จพ่อมากที่สุด  ด้วยความเป็นเด็กดื้อ  ซน

และชอบแกล้งผู้อื่น  แต่ไม่มีผู้ใดกล้าฟ้อง   เวลาเกเรขึ้นมา  เมื่อตอนไปโรงเรียน  ท่านก็ทำเรือที่มีคนพายพาไปโรงเรียนล่มเสีย  ปิ่นโตอาหาร

และของที่นำไปด้วยจมน้ำหมด


        "ในราวปี พ.ศ. ๒๔๖๙  ที่ผมได้เข้ามาอยู่ในพระราชวังดุสิตนั้น  มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว  และสมเด็จพระนางเจ้า

รำไพพรรณี พระบรมราชินี  เสด็จแปรพระราชฐานไปพระราชวังบางปะอิน      ในคืนวันหนึ่งเป็นคืนที่มีแสงจันทร์ทอแสงนวลพอกระจ่างตา

ทั้งสองพระองค์ก็ทรงพายเรือเพื่อเก็บกระจับที่ขึ้นอยู่แถว ๆ ริมน้ำตำหนักท้ายเกาะ   เป็นการพักผ่อนอิริยาบท   เด็จพ่อรับสั่งให้ผมลงเรือ

เพื่อเฝ้ารับเสด็จด้วย   โดยที่ผมเป็นคนนั่งพายที่หัวเรือ

        ครั้นพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นผมภายใต้แสงจันทร์  พระองค์ก้มีรับสั่งกับเด็จพ่อว่า

        "เด็กคนนี้น่าเอ็นดู   เอามาให้ฉันเลี้ยงเถอะ"


        เด็จพ่อทรงได้ยินก็รู้สึกปลาบปลื้มพระทัยนัก    กราบบังคมทูลถวายผมทันที   ด้วยทรงเกรงว่าหากพระองค์ท่านทอดพระเนตรผมตอนกลางวันเข้า  อาจจะเปลี่ยนพระราชหฤทัยก็ได้"


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 มิ.ย. 12, 10:16


        "เมื่อสององค์เสด็จกลับพระนครแล้ว   เสด็จพ่อก็ส่งผมเข้ากรุงเทพฯ  โดยอยู่ที่วังจักรพันธุ์  ถนนดำรงรักษ์ก่อน

เพื่อเตรียมตัวเข้าไปอยู่ในพระราชวังดุสิต  ซึ่งในขณะนั้นทั้งสองพระองค์ประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน


        ผมถูกส่งไปรับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนสตรีจุลนาค  อันเป็นโรงเรียนส่วนตัวของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น  เทพหัสดิน  ณ อยุธยา) 

ปลูกอยู่ในบริเวณรั้วบ้านของท่าน   และมีครูไฉไลลูกสาวคนโตของท่านเจ้าคุณเป็นคุณครูใหญ่        โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ใกล้กับวังจักรพันธ์

เวลาไปเรียน  ผมก็เดินข้ามถนนไปกับพี่น้องที่มีอายุใกล้เคียงกัน


        วันหนึ่งพี่เปา(วราธิวัตร)  ซึ่งอดทนเข้มแข็งเสมือน "พระเอกของผม"   ตัวท่านล่ำสันใหญ่โต  ทั้งที่ในตอนนั้นอายุเพียง ๑๖ - ๑๗

คอยดูน้อง ๆ ไม่ให้คนรังแก    พาผมไปเดินงานภูเขาทองที่วัดสระเกศ   แล้วผมเดินไปเหยียบตีนนักเลงคนหนึ่งเข้า    เขาไม่พอใจมาก

จะเอาเรื่องผมให้ได้   พี่เปาก็ขอโทษแทนให้  แต่นักเลงไม่ยอม   ทำอย่างไรก็ไม่ยอม         บอกว่าแค่ขอโทษไม่ทำให้หายเจ็บ    และแสดงความ

เป็นนักเลงออกมาจะเล่นงานพวกเรา          ท่านเลยเตะป้าปที่ก้านคอจนสลบไปเลย !


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 มิ.ย. 12, 11:01

        "ผมเรียนที่โรงเรียนสตรีจุลนาคนานราว ๓ เดือน   ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เข้าไปอยู่ในพระราชวังดุสิต

(มีเรื่องราวของโรงเรียนราชกุมารประมาณหนึ่งหน้าครึ่ง   ท่านชายเล่าว่าทรงโปรดอาหารเช้าหลังการออกกำลังกายคือ ไก่ชุบขนมปังทอดมาก
 มีรายชื่อเพื่อนนักเรียนและรายชื่อผู้สอน      จะขอเล่าเฉพาะเรื่องที่ท่านชายได้ฟังการอ่านนิทานเท่านั้น)


        พอตกบ่ายราว ๔ โมง   ก็เปลี่ยนเป็นสวมเสื้อโปโล   นุ่งกางเกงขาสั้นแบบฝรั่ง   ใส่ถุงเท้ารองเท้า  ตามเสด็จไปทรงเทนนิสหรือกอล์ฟ  

ซึ่งเครื่องแต่งกายนี้มีผู้ใหญ่คอยจัดให้ตามที่มีรับสั่งมา    



        ตอนค่ำก็จะพากันไปรอที่หน้าห้องพระบรรทม   โดยมีหม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรงวง  สวัสดิวัฒน์(พระธิดาองค์หนึ่งในสมเด็จกรมพระสวัสดิวัฒน์  

และสมรสกับหม่อมเจ้ากมลีสาน ชุมพล)ซึ่งประทับในฝ่ายในมารอเพื่อเข้าเฝ้า ฯ  พระเจ้าอยู่หัวอีกองค์หนึ่งด้วย      หลังจากที่สรงน้ำเสร็จ  ระหว่างแต่ง

พระองค์ก็จะทรงเล่านิทานแฝงคุณธรรมที่ทรงอ่านจากหนังสือพระราชทานเด็ก ๆ  ซึ่งทุกคนก็ชอบกันมาก   เช่นเรื่องทาร์ซาน  ผมชอบฟังเป็นพิเศษ

เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและการผจญภัยในป่า   หรือเรื่องที่จอห์น  คาร์เตอร์  ถูกสะกดจิตหลับไป  ตื่นอีกทีมาอยู่บนดาวพระอังคารเป็นต้น

เรื่องที่ทรงเล่าเหล่านี้จะทรงทำเสียงประกอบตามบทของตัวละตรด้วย   เป็นการเพิ่มการสนุกสนานมากขึ้น           แต่มีเสียงหนึ่งสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า

"GRRR...."    เป็นเสียงร้องของสิงโต           ผมก็ทำเสียงคำรามว่า

"เกร๊อออ...."         พระเจ้าอยู่หัวทรงได้ยิน   ก็รับสั่งว่า

"เออ  ใช่     ฉันอ่านมาตั้งนาน   ไม่รู้ว่าจะทำเสียงยังไง"         แล้วต่อมาศัพท์คำนี้ก็ใช้กันในพระราชาำนัก   อันมีความหมายถึงความไม่พอใจ  หรือ  โกรธเคือง



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Sujittra ที่ 28 มิ.ย. 12, 15:00
??


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 28 มิ.ย. 12, 15:46
โอย สนุกจังค่ะ คลาสนี้ขอนั่งหน้าสุดเลยค่ะ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 มิ.ย. 12, 17:17




        หึ หึ    เรื่องนี้เป็นชีวิตของ หม่อมเจ้าการวิก   จักรพันธุ์ค่ะ        ท่านเล่าไว้ด้วยสายตาของคนที่อยู่ในที่สูง

ได้ใกล้ชิดราชสำนักของรัชกาลที่ ๗    พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอ่านหนังสือนิทานเด็กประทาน      คนอ่านสามารถเข้าใจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้อีกแบบหนึ่ง

ว่าท่านมีจิตใจที่อ่อนโยนต่อพระญาติที่แสนซนโขยงหนึ่งถึงปานใด         

ท่านชายการวิกจากเมืองไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศถึง ๑๗ ปี  และได้เป็นเสรีไทยสายอังกฤษ         ท่านเล่าเรื่องไว้เยอะ   แต่ดิฉันนำตอนที่น่าสนใจที่สุดมาฝาก

เป็นเรื่องที่ท่านชายมองเมืองไทย   แม้นแต่ผู้ใหญ่บ้านอดีตผู้ร้ายก็เข้ามาร่วมปฎิบัติการช่วยเหลือเสรีไทย    ขนาดลงทุนอ่านหนังสือสังข์ทองซึ่งคงเป็น

หนังสือวัดเกาะเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ     ให้ท่านฟังเพื่อให้ท่านได้พักผ่อนก่อนออกปฎิบัติการ              ท่านมองโลกสวยงาม  และให้ความสนใจในมนุษย์เดินดิน

การที่มาเล่าเรื่องในเรือนไทยนี้ก็เพียงหวังจะให้สหาย ๆ  ไปตามหาหนังสืออ่านเองเพราะจะเล่าไปตลอดก็คงกินเวลานานมาก       เพื่อน ๆ ในเรือนไทยชอบอ่าน

หนังสือจนกระทั่งไปได้หนังสืออะไรมาก็ต้องมาอ่านสู่กันฟัง   อ่านกันจนเสียงแหบแห้งไม่ยอมหยุด   ด้วยแข่งขันกันว่าไปได้เอกสารฉบับไหนมาจากหอจดหมายเหตุบ้าง


        หม่อมประอร  จักรพันธุ์  เล่าว่า   ไม่เคยเห็นท่านทรงมีความโกรธ  ดุ  หรือตวาดผู้ใด  หรือโกรธแค้นใครเลย    ตลอดเวลา

ที่อยู่ด้วยกันท่านมีแต้ความรักอันอ่อนโยน  เอื้ออาทรห่วงใยตลอดเวลา



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 มิ.ย. 12, 17:27

        "ระหว่างที่พวกเรานั่งฟังนิทานที่ทรงเล่านี้   จะมีการเลื่อนยศกันด้วย      คือพระองค์จิรศักดิ์ ฯทรง

นั่งใกล้ที่สุด    ถัดไปก็เป็นท่านหญิงสีดาดำรงวง  สวัสดิวัฒน์    หากคราวใดพอพระราชหฤทัยเด็กคนไหน

ก็จะมีรับสั่งเรียก      เด็กคนนั้นก็จะเขยิบขึ้นมานั่งในตำแหน่งของท่านหญิงสีดา      ซึ่งท่านหญิงสีดากับเด็กคนนั้น

ก็จะทรงแอบหยิกกันด้วยความไม่พอพระทัยแบบเด็ก ๆ           ผมเองก็เคยถูกหยิกได้แต่นั่งสะดุ้ง...."


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 มิ.ย. 12, 17:46


        " แล้วก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ   ให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะและหลวงไพเราะเสียงซอเข้ามาสอนการเล่นดนตรีไทยด้วย 

ซึ่งตอนแรกเด็ก ๆ ก็เรียนอยู่หลายคน   แต่ค่อยๆหายกันไปจนเหลือแต่ผมที่เล่นตีฆ้องวง  กับท่านหญิงสีดาที่เล่นซอด้วง

และบางคราวทั้งพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี  ก็เสด็จลง มาเล่นดนตรีด้วย

        การเล่นดนตรีไทยของผมนั้น   เด็จพ่อทรงทำพิธีครอบครูให้ตั้งแต่ตอนที่อยู่บางปะอิน   และทรงสอนให้ตีขิมให้เป็นเบื้องต้น

เมื่อมาเรียนในวังจึงไปได้อย่างรวดเร็ว    และพระเจ้าอยู่หัวทรงวางพระราชหฤทัยในฝีมือ    จึงโปรดเกล้าให้ผมร่วมวงกับพระญาติชั้น

ผู้ใหญ่และครูดนตรีไทยหลายท่านเมื่อคราวมีงานคฤหาสน์มงคลเฉลิมฉลองขึ้นศาลาเริงในพระราชวังไกลกังวลหัวหิน  เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๑ 

 ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของผมจนบัดนี้"


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 28 มิ.ย. 12, 19:49

        พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ  พระราชทานที่ดินระหว่างถนนหลานหลวงกับถนนดำรงรักษ์

ช่วงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ(หลังกรมโยธาธิการเดิม) จดสี่แยกถนนจักรพรรดิพงศ์แด่พระนัดดา  แห่งสกุลจักรพันธุ์ ทุกพระองค์ได้อยู่ร่วมกันโดยแบ่งเป็นสัดส่วน

"เด็จพ่อทรงเลือกตำหนักริมฝั่งถนนดำรงรักษ์เป็นที่พำนักเพราะเห็นว่าอยู่ใกล้คลองมหานาค  ซึ่งสะดวกในการสัญจรโดยทางเรือ"


       "การที่เด็จพ่อต้องไปประทับที่บางปะอิน  เนื่องจากทรงรับราชการเป็นผู้กำกับดูแลความเรียบร้อยในเขตพระราชวังบางปะอินทั้งหมด   วันเวลาส่วนใหญ่

เด็จพ่อมักประทับที่บางปะอินเสียมาก   ครั้นจะเสด็จกรุงเทพ  ก็จะทรงเรือยนต์มาตามแม่น้ำลำคลอง   และจอดเรือไว้ในคลองมหานาค"


สวัสดีคุณวันดีที่นับถือ กระผมขอแนบแผนที่ แผนผังวังพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรษฐวงศ์วราวัตร  กรมหมื่นอนุพงษ์จักรพรรดิ บริเวณถนนดำรงรักษ์ให้ชมครับ ตัววังหันหน้าออกคลองมหานาค ด้านหนึ่งติดคลอง ด้านที่เหลือติดวังอีก ๒ วัง ทางเข้าวังเป็นวงกลมประดับดอกไม้รูปดาว มีบ่อน้ำให้เดินเล่น มีตำหนักใหญ่และเรือนต่าง ๆ

คัดลอกจากสมุดแผนที่เล่มโต หนักยี่สิบกิโลกรัม ไม่สามารถสแกนได้ จึงเพียงวาดภาพออกมาให้คุณวันดี


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 มิ.ย. 12, 21:45


ขอบคุณคุณหนุ่มสยามค่ะในไมตรี

        โปรดระวังหนังสือแผนที่ไว้ดี ๆ  เพราะเห็นว่ามีผู้สนใจโผล่มา   

เท่าที่เข้าใจหนังสือหนักเพียง ๑๐  กิโลกรัมไม่ใช่หรือคะ   ปกก็ไม้ได้ทำด้วยเงินนี่นา


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 28 มิ.ย. 12, 22:10


ขอบคุณคุณหนุ่มสยามค่ะในไมตรี

        โปรดระวังหนังสือแผนที่ไว้ดี ๆ  เพราะเห็นว่ามีผู้สนใจโผล่มา   

เท่าที่เข้าใจหนังสือหนักเพียง ๑๐  กิโลกรัมไม่ใช่หรือคะ   ปกก็ไม้ได้ทำด้วยเงินนี่นา

มาเลยครับ ยินดี เป็นปกผ้าไหมสีเหลือง หาใช่ดาดหุ้มด้วยเงินไม่ แต่ล้ำค่าไม่แพ้กัน


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 29 มิ.ย. 12, 05:31


        "ส่วนวันหยุดเรียนเสาร์-อาทิตย์   พวกเด็ก ๆ จะไปคอยเฝ้ากันที่หน้าห้องพระบรรทมในตอนเช้าเพิ่มขึ้นอีกช่วงหนึ่ง

หลังจากที่สมเด็จพระบรมราชินีแต่งพระองค์เสร็จและเสด็จออกแล้ว      เด็ก ๆ ก็กรูกันเข้าไปถามโน่นถามนี่   ซึ่งจะทรงอธิบายได้เป็นความรู้   

บางครั้งก็ทรงเล่านิทานพระราชทาน         โดยเฉพาะหนึ่งทุ่มของวันเสาร์จะโปรดเกล้าฯ ให้ฉายหนัง       โดยทั้งสองพระองค์ประทับบนโซฟา

มีเด็ก ๆ นั่งดูอยู่โดยรอบ       มีอาหารใส่ถาดเสริฟเป็นชุด   ตกดึกมีไอสครีมโซดา    เด็กคนไหนหลับ    ก็จะถูกแย่งกินเสียหมด"


        "ความที่ผมเป็นเด็กบ้านนอก   ได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากกว่าเพื่อน ๆ ที่อยู่ในวัง   อีกทั้งนิสัยส่วนตัวของผมที่ออกจะชอบแสดงและพูดจาให้คนอื่นหัวร่อ

คิดหาอะไรแปลก ๆ มาเล่าให้ฟัง   พวกเพื่อน ๆ เลยชอบฟังและรู้สึกสนุก   ผมเลยค่อย ๆ เป็นหัวโจกของกลุ่มไปโดยปริยาย    อย่างเช่นตอนนั้นพระเจ้าอยู่หัว

ทรงมีพระราชดำริให้ขุดสระน้ำ  เพิ่งเสร็จใหม่ ๆ   เทซีเมนต์แล้วยังไม่ปูกระเบื้อง  ไม่มีเครื่องอะไรพร้อม       ผมก็นำเด็ก ๆแก้ผ้าแล้วกระโดดตูมลงไป   

เมื่อทรงทราบก็มีรับสั่งว่าอย่าเพิ่งเล่น  เพราะมีผู้หญิงข้าหลวงอยู่    เลยทรงสั่งกางเกงอาบน้ำมาให้        เมื่อปูกระเบื้องแล้ว  มีเครื่องกระโดดพร้อม

ผมก็กระโดดพุ่งหลาวลงไปให้เด็ก ๆ ดู   ปรากฎว่าใบหน้าไปกระแทกโดนก้นสระเป็นรูแผลคล้ายรูกุญแจ  มีเลือดออก    พระองค์จิรศักดิ์์์์์์ฯ ก็ไปกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า

จมูกผมมีรูกุญแจ"


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 29 มิ.ย. 12, 06:16


        "ด้วยความเป็นหัวโจกของผมก็ก่อเรื่องขึ้นจนได้คือ  วันหนึ่ง  พระองค์จิรศักดิ์ ต้องเสด็จไปตัดพระเกศาที่ร้านแถวแพ่งนราฯ

ย่านเสาชิงช้า   ท่านทรงมีรถของทูลกระหม่อมพ่อ(สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุฯ)ซึ่งเป็นรถตอนเดียว  ทรงนั่งไปกับพระพี่เลี้ยง

ส่วนพวกเรานั่งรถยนต์หลวง(ร.ย.ล.) ซึ่งเป็นรถฟอร์ดแบบรถขนหมู          ระหว่างนั่งรถยนต์ขนหมูนั้น   พวกเราโหวกเหวกสนุกสนานกันไป

มีแต่พระองค์จิรศักดิ์ ฯ ที่ต้องทรงนั่งอย่างโก้อยู่องค์เดียว    ขากลับจึงขอมาด้วยเพื่อจะได้เฮฮากับเพื่อน ๆ

         บังเอิญวันนั้นมีอันจะต้องเกิดเหตุขึ้น  คือ  ตามกิจวัตรแล้วพระองค์จิรศักดิ์ฯ จะต้องเข้าไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวก่อนพวกเรา   หลังจากที่สมเด็จพระราชินี

เสด็จฯ ออกจากห้องพระบรรทมแล้ว  เพราะมีพระฐานะเป็นพระราชโอรสบุญธรรม   จึงมีสิทธิพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่ต้องรอให้มหาดเล็กออกมาเรียกถึง

จะเข้าไปได้           ซึ่งระหว่างนั้นถ้าทรงมีเวลาก็จะประทับเก้าอี้นวมแล้วทรงเล่านิทานพระราชทาน         หากมีคนมาคอยเฝ้าก็จะทรงแต่งพระองค์  หวีพระเกศา

พวกเด็ก ๆ ก็นั่งดูกันไป         พอเสด็จฯ ออกที่ห้องติดกับห้องบรรทมอีกด้านหนึ่งคนละห้องกับห้องที่เราไปเฝ้า    ซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์มีพระเก้าอี้ยาว

ไว้ทรงเอนพระวรกายได้    เวลาไม่มีแขกผู้ใหญ่มา   พวกเราก็พากันไปนอนพังพาบ  นอนคว่ำ  นอนหงาย  อ่านหนังสือกัน   พอมีผู้ใหญ่เข้ามาก็ลุกขึ้นนั่ง

พับเพียบเรียบร้อย


        แต่วันเกิดเหตุนั้น   รถที่ประทับของพระองค์จิรศักดิ์ฯ กลับมาถึงก่อน   รถ ร.ย.ล.ยังมาไม่ถึง    กลายเป็นว่าสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จฯออกนานแล้ว   

ท่านยังไม่ได้เข้าไปเฝ้าพร้อมพวกเรา     พระเจ้าอยู่หัวก็รับสั่งถามว่า  ทำไมช้าและมาพร้อมกันหมด         ท่านก็กราบทูลว่าอาศัยรถขนหมูมา   ได้เฮกันสนุกสนาน   

พระองค์ท่านทรงฟังแล้วก็ทรงชี้มาทางผมพร้อมกับมีรับสั่งว่า

      "แกเชียวเป็นหัวโจกใช่ไหม"          ผมตกใจมากถึงกับผายลมปรู้ด   คล้ายกับว่ามีความผิดอย่างมาก    ทั้งๆที่ทีแรกรู้สึกว่าเป็นเรื่องโก้ที่เป็นหัวโจก     

กลายเป็นว่าถูกกริ้วในฐานะที่ทำให้เพื่อนฝูงตามเป็นฝูงแกะ      ผมบอกกับตนเองว่าเป็นคนดังไม่ค่อยดีเลย   ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง   แต่ผมเองก็ไม่

รู้สึกว่าถูกลงโทษแต่อย่างใด   เนื่องจากพระองค์ท่านก็ไม่ได้มีรับสั่งคาดโทษอะไร"


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 29 มิ.ย. 12, 07:19
รถฟอร์ดแบบรถขนหมู น่าจะเป็นรุ่นนี้ เพราะรุ่นนี้ทำให้มีกระบะท้ายบรรทุกของได้


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 29 มิ.ย. 12, 08:13


        "ด้วยความเป็นหัวโจกของผมก็ก่อเรื่องขึ้นจนได้คือ  วันหนึ่ง  พระองค์จิรศักดิ์ ต้องเสด็จไปตัดพระเกศาที่ร้านแถวแพ่งนราฯ

ย่านเสาชิงช้า   ท่านทรงมีรถของทูลกระหม่อมพ่อ(สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุฯ)ซึ่งเป็นรถตอนเดียว  ทรงนั่งไปกับพระพี่เลี้ยง

ส่วนพวกเรานั่งรถยนต์หลวง(ร.ย.ล.) ซึ่งเป็นรถฟอร์ดแบบรถขนหมู          ระหว่างนั่งรถยนต์ขนหมูนั้น   พวกเราโหวกเหวกสนุกสนานกันไป

มีแต่พระองค์จิรศักดิ์ ฯ ที่ต้องทรงนั่งอย่างโก้อยู่องค์เดียว    ขากลับจึงขอมาด้วยเพื่อจะได้เฮฮากับเพื่อน ๆ

       


ถึงจะเป็นเจ้า แต่ก็ทรงเป็นเด็ก อดสนุกไม่ได้ อ่านไป หัวเราะไป สนุก แฮ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 29 มิ.ย. 12, 08:27
อ่านเรื่องท่านชายหวานแล้ว  ทำให้นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ และสมเด็จพระบรมราชินี ที่คุณกรุ่ม  สุรนันทน์ท่านเล่าให้ฟังว่า
เมื่อท่านถวายตัวแล้ว  ทรพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปเรียนที่โรงเรียนวชิราวุธ
วันหนึ่งพวกเด็กๆ กำลังเล่นน้ำกันอยู่ในสระกลางโรงเรียน  กำลังดำผุดดำว่ายกันสนุกสนาน  พลันเหลือบไปเห็นล้นเกล้าฯ กับสมเด็จพระบรมราชินี
เสด็จพระราชดำเนินมาที่ริมสระ  เป็นการเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์จึง  เพื่อทอดพระเนตรสถานที่ที่จะทรงถ่ายภาพยนตร์เรื่อง ชิงเมือง
คุณกรุ่มท่านเล่าว่า พอนักเรียนเห็นในหลวงกับพระราชินีเสด็จฯ ใกล้เข้ามา  พวกที่พอจะหลบทันก็หลบไป  เหลืออยู่จำนวนหนึ่งที่หลบไม่ทัน
พอเสด็จฯ ถึงริมสระ  สมเด็จพระบรมราชินีก็มีพระราชเสาวนีย์ให้พวกที่หลบไม่ทันขึ้นมาเฝ้าฯ ทรงถามชื่อเรียงตัว  แล้วโปรดให้คุณข้าหลวงจดชื่อไปทุกคน
โดนจดชื่อไปทุกคนก็หนาวๆ ร้อนๆ ไปตามกัน  อาจจะต้องรับพระราชอาญาเป็นอย่างแรง  หรือจะทรงบอกไปยังบิดามารดาหรือผู้ปกครองให้ทราบก็เป็นได้
ต่อมาอีกราวสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ (จำไม่ได้ครับ)  ล้นเกล้าฯ กับสมเด็จพระบรมราชินีก็เสด็จฯ มาที่โรงเรียนอีกครั้ง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักเรียนที่ถูกจดรายชื่อไปคราวก่อนให้มาเป็นตัวแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ชิงนาง 
และสมเด็จฯ ทรงพระมหากรุณาพระราชทานสบู่หอมให้ผู้ที่ถูกจดชื่อคนละก้อน  เลยเป็นอันพ้นทุกข์กันไปได้


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 29 มิ.ย. 12, 10:30


        ว้าว....คุณกรุ่ม  สุรนันท์โผล่มากระทู้นี้ด้วย     เป็นพระเดชพระคุณของคุณวีมีอย่างยิ่ง    นักอ่านนักสะสมหนังสือเก่าทุกคนเคารพ

คุณกรุ่ม  สุรนันท์      



        คุณปิยะสารณ์คะ     ท่านชายเป็นศิลปินนะคะวาดภาพสีน้ำ  และเป็นมวยด้วย   ครูฝึกฝรั่งที่กะจะอัดพวกมาฝึกทหารที่อินเดีย

สอนวิชาป้องกันตนเอง     มองหานักเรียนไทยจะยำ   ท่านสบสายตา   เขาก็เรียกขึ้นไป            ท่านชายน่ะหมัดหนักมาตั้งแต่อยู่วชิราวุธ

ตูมเดียวครูฝึกก็ล้มทั้งยืน   ดูองค์ท่านล่ำสันเป็นแท่งสี่เหลี่ยม



        คุณณลที่นับถือ     รูปรถสวยจัง      มีผู้สนใจที่ทำงานอยู่บริษัทน้ำมัน   มาเลียบเคียงถามเรื่องหนังสือแผนที่เล่มยักษ์แล้ว

เลยกระซิบช้างไปว่าได้มาเยาวราช


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 29 มิ.ย. 12, 11:36


        หม่อมเจ้าสีดาดำรวง   (สวัสดิวัฒน์)  ชุมพล    ทรงเขียนคำอาลัย ท่านชายการวิก    จักรพันธ์  ไว้ตั้งแต่ ๑๓ มีนาคม  ๒๕๓๑

ก่อนท่านจะสิ้นพระชนม์ เมื่อ ๒๕ สิงหาคม  ๒๕๓๓  ตามข้อสัญญาที่ให้ต่อกันไว้ว่าจะเขียนคำอาลัยให้กันและกัน

ม.ร.ว.  พฤทธิสาน  ชุมพลได้เก็บเอกสารไว้ ๑๔ ปี  ในโต๊ะเย็บเสื้อผ้าโบราณของท่านหญิงเพื่อไม่ให้หาย  จึงจำได้ว่าเก็บไว้ที่ใด

ขอนำมาเล่าต่อในที่นี้เพราะเป็นเวลาที่สำคัญ


        ในราว พ.ศ. ๒๕๗๐   เสด็จประพาสหัวเมืองแถบชายทะเล    ต้องทอดสมออยู่ที่เกาะพงันเพื่อรอให้น้ำขึ้น  แล้วเรือจึงจะผ่านสันดอนเข้ากรุงเทพได้

ท่านชายการวิกตอนนั้นอายุ ๙ - ๑๐ ขวบ  รูปร่างแข็งแรง  และใหญ่โตล่ำสันกว่าอายุจริง    มีสมองมากด้วยและเป็นในทางดี  เช่นปกป้องเด็กที่อ่อนแอ 

และคอยไกล่เกลี่ยมืให้เขาทะเลาะกันเป็นต้น           พวกเราเด็ก ๆ รักและเกรงใจท่านหวานมาก   ทุกเรื่องและเกือบทุกเรื่องที่ท่านหวานตัดสินว่า  เราควรทำ   

เราก็เชื่อท่านหวานเสมอ   เพราะความเกรงใจในความดีของเขา   หรืออาจจะเป็นด้วยความเกรงกลัวหมัดอันหนักของเขาก็ได้ (แต่เขาไม่ได้ใช้มันกับพวกเราบ่อยนัก)


        พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปีนขึ้นไปยังต้นน้ำตกหน้าทอนอันไหลแรงและสูงชันมาก   พร้อมด้วยข้าราชบริพารฝ่ายหน้า          เหตุเกิดที่ธารน้ำตกใกล้ต้นน้ำนี้

ซึ่งพื้นหินที่มีตะไคร่น้ำจับ  ลื่นมาก        ทรงพระราชดำเนินไปประทับลงบนหินที่ลื่นมาก   แล้วน้ำก็พัดพระองค์ให้ค่อย ๆเลื่อนลงไปจะตกลงไปยังเบื้องล่าง

กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์   เห็นว่าเหตุการณ์ดังนี้จะเป็นอันตรายได้              จึงพุ่งองค์ลงไปขวางพระเจ้าอยู่หัวไว้    แต่ก็ไม่สามารถที่จะช่วยพาพระเจ้าอยู่หัวขึ้นมาจากจุดนั้นได้

ท่านหวานซึ่งวิ่งเล่นอยู่แถวนั้นเห็นเข้า    จึงปีนขึ้นไปฉุดพระองค์พระเจ้าอยู่หัวขึ้นมาได้               แต่พอถึงคราวจะช่วยเสด็จในกรม   ท่านได้ถูกน้ำพัดพาไปไกลเสียแล้ว

ไม่สามารถจะยื่นมือให้เสด็จในกรมจับได้เพื่อพาองค์ลงมา                เสด็จในกรมจึงทรงตะโกนบอกท่านหวานให้  "ส่งตีนมา"             ท่านหวานก็กระทำตาม

จึงดึงเสด็จอาว์ขึ้นมาจากกระแสน้ำได้อีกองค์หนึ่ง       นี่เป็นวีรกรรมใหญ่ของไอ้เก่ง     ซึ่งขณะนั้นมีอายุ ๑๐ ขวบเท่านั้น   
           

เรื่องนี้เป็นที่โจษขานกันมาก          แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็พลอยรู้เรื่องโดยละเอียดไปด้วย         พวกเราเด็ก ๆ ก็รู้สึกภูมิใจในท่านหวาน  และนับถือเขามากขึ้น




"ไอ้เก่ง"   นั้นเป็นชื่อพระเอกหนังส่วนพระองค์ของพระเจ้าอยู่หัว เป็นเด็กที่คอยคุ้มครองน้อง ๆ   เล่นโดยเด็ก ๆ ๕ คนและผู้ใหญ่ ๒ คน   ท่านชายการวิกแสดงนำ



อธิบายความ
ชื่อ "หวาน"   นั้นเป็นชื่อลำลอง   พี่ชายของท่าน(วราธิวัตร) ตอนเล็กๆ  ตัวขาวอ้วนกลมเหมือนซาลาเปา   ซึ่งปกติซาลาเปาก็มีทั้งไส้เค็มและหวาน     เขาก็เรียกกันว่า  "ท่านเปา"

พอท่านการวิกประสูติมาตัวกลม  ก็กลายเป็น " ซาลาเปาไส้หวาน"        แต่ท่านเปา  ไม่มีคำว่าไส้เค็มมาแต่ต้น        ท่านการวิกก็เลยกลายเป็น "หวาน"  ด้วยเหตุนี้


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 มิ.ย. 12, 11:00

        "หลังจากนั้นไม่นาน  ก็โปรดเกล้าฯ ให้ผมไปเรียนที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย  ซึ่งผมเข้าใจว่าอาจเป็นวิธีการที่พระองค์ท่านจะทรงใช้ควบคุมเด็ก

ไม่ให้เหลิงวุ่นวายจนเกินไป    และไม่ให้เด็กตามหัวหน้าคนใดคนหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา  จนขาดความเชื่อมั่นเป็นตัวของตัวเอง   จึงต้องแยกตัว

'หัวหน้า' ออกจากกลุ่มเสีย    และเป็นการใช้ 'ไม้นวม'  ที่จะลงโทษผมก็ได้

        การเรียนที่วชิราวุธนั้นเป็นโรงเรียนประจำกินนอน   ผมได้กลับเข้ามาในวังก็ช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์   และไม่รู้สึกขื่นขมแต่อย่างใด   เพียงแต่รู้สึก

ขาดทุนเล็กน้อยที่อดฟังนิทานพระราชทานจากพระโอษฐ์ของพระองค์ท่าน  ในตอนค่ำของวันธรรมดา


        ผมได้เป็นนักมวยอย่างบังเอิญด้วย   วันหนึ่งครูบอกว่าจะสอนวิธีการชกมวยให้รู้ไว้เพื่อป้องกันถูกรังแก        และครูมีลูกศิษย์คนหนึ่งตัวผอมกระหร่อง  หัวโต  

เขาเดินเข้ามาใส่นวมเรียบร้อย     คงเป็นเด็กที่ครูหัดไว้แล้ว   ครูก็มองหานักเรียนที่อยู่ตรงหน้าที่จะมาเป็นคู่ซ้อม   และสายตาของครูก็มาหยุดที่ผม  พร้อมกับบอกว่า

        
        "รูปร่างท่าทางใหญ่แข็งแรงดี   คงจะได้"      แล้วสั่งให้คนเอานวมมา         ความเป็นเด็กบ้านนอกผมจึงไม่เคยเห็นนวมมาก่อน  เห็นแต่ไกล ๆ นึกว่าลูกมะพร้าว

เขาก็เอานวมมาใส่ให้      ครูบอกว่าต้องต่อยกัน  เสร็จแล้วห้ามถือโทษโกรธกัน  เพราะนี่เป็นการกีฬา   แต่ประสบการณ์ชกมวยนั้น  ผมเคยเห็นแต่เด็กวัดเขาชกกันเหมือนควายขวิด

ซึ่งผมคิดว่าเป็นแบบฉบับที่สมบูรณ์แล้ว

         พอครูบอกเริ่ม   เขาก็ก้มหน้าก้มตาเข้ามา ตุ้บ   ตุ้บ   ตุ้บ   ผมไม่กล้าเงยหน้าเลย  กลัวเจ็บ

แต่ก็เห็นหนังลูกกลม ๆ ลอยมาทุบ ตุ้บ       โอ๊ยเสียงในหูดังวี๊ด  วี๊ด    แล้วเขาก็เต้นโยกตัวมองหาไม่เห็นเลย   มีแต่เสียงลมวืด  วืด

ผมจะต่อยก็ไม่โดน  เป็นแบบควายขวิดทุกที             แล้วก็นึกได้ว่าก่อนอื่นต้องหาว่าเท้าเขาอยู่ไหน  ตัวเขาถึงจะอยู่ตรงนั้น

พอผมจับจังหวะเท่าของเขาได้   ผมก็ชกพั่บเข้าไป   ไม่ทราบถูกตรงไหน   แต่เขาล้มโครม          ครูบอกพอ ๆ ให้จับมือกัน

ตังแต่นั้นผมได้ยินครูว่า

        "ตานี่หมัดหนัก  น่าจะพัฒนา"    แต่หลังจากนั้น  ผมก็ไม่มีโอกาสได้ต่อยมวยอีกเลย   จนได้ไปแสดงฝีหมัดอีกครั้งหนึ่งยังต่างเมือง"


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 มิ.ย. 12, 11:17


        "ผมเรียนอยู่ที่วชิราวุธราว ๑ ปี   ผลการสอบออกมาได้ที่ ๓    ครูบอกว่าเรียนเก่งเหมือนกับหมัดหนัก

และต้องพยายามรักษาสองเรื่องนี้ต่อไปให้ได้         ต่อมาก็โปรดเกล้าให้ผมกลับมาเรียนที่โรงเรียนราชกุมารได้

วันที่กลับมาก็มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าฯ   ซึ่งผมรู้สึกใจเต้นและกลัวว่าจะกริ้วอะไรอีกหรือเปล่า    แต่แล้วกลับยื่นพระหัตถ์พระราชทาน

เสมาพระปรมาภิไทยย่อ ป.ป.ร. แก่ผม        เป็นเครื่องหมายว่าพระราชทานอภัยโทษในการ 'เนรเทศ' ไปอยู่โรงเรียนวชิราวุธ

ผมก็ไม่สร้างพฤติกรรมเป็นหัวโจกอีก   และปรากฎว่าผลการเรียนกลับดีขึ้น  ถึงกลับสอบได้ที่ ๑ ทุกวิชา   เป็นปีที่ผมคิดว่าผมฉลาดและเรียนเก่งที่สุดอยู่ปีหนึ่ง"


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 01 ก.ค. 12, 06:55


         "ในพระราชพิธีสวนสนามเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๒  ทูตทหารฝรั่งเศสได้กราบบังคมทูลว่า  ขณะนี้ไม่มี

นักเรียนไทยไปเป็นนักเรียนนายร้อยฝรั่งเศสเหมือนแต่ก่อน   พระองค์ท่านจึงรับสั่งว่า  แล้วจะหาให้ไปสักคนหนึ่ง

หลังจากนั้นก็โปรดเกล้าฯ ให้พระยาบรมบาทย์บำรุงมาสอนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนราชกุมาร      ไม่นานผมก็ต้อง

เตรียมตัวเดินทางอย่างเร็ว     พระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้คุณสอาด  มีชูธนพาผมไปทำหนังสือเดินทางที่กระทรวงต่างประเทศ

และไปตัดเสื้อผ้าสำหรับใส่ที่ห้าง S.T. Dost ของชาวเยอรมัน  อยู่แถวสี่กั๊กพระยาศรี  ตรงบริเวณเจริญกรุงตัดกับถนนบำรุงเมือง

จำได้ว่าตัดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขาสั้น ๒ ชุด         เป็นผ้าสักหลาดสีเทาแก่  มีเน็คไทและถุงเท้าด้วย


         ผมเข้าไปกราบบังคมทูลลาพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีในคืนก่อนวันเดินทาง   พระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งว่า

        "ให้ไปเรียนนะ  ไม่ใช่ไปเที่ยว   ตั้งใจเรียนให้ดี   ฉันอยากเห็นแกเป็นนายพลก่อนฉันตาย  อย่าเผลอไปก็แล้วกัน"


วันเดินทางคือตอนเช้าของวันที่ ๘ พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๔๗๒    ขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง          การเดินทางไปเมืองนอกแต่ก่อนเป็นเรื่องใหญ่มาก

พ่อแม่พี่น้องและญาติผู้ใหญ่ต้องมาส่งกันคับคั่ง      เด็จพ่อ  แม่  แลัยายก็มาส่งพร้อมพี่น้องหลายองค์        ตอนแรกผมคิดว่ายายจะร้องไห้แน่

แต่ไม่เป็นเช่นนั้น        ยายให้พรน่ารักตามประสาว่า

        "ท่านชายของยายต้องไปเรียนให้เก่งเหมือนทวี(ลูกของป้าคนหนึ่ง)  แต่ต้อง 'ไล่'  ให้ได้ที่ ๓ นะ"  (ยายหมายความถึงสอบไล่)

        "ทำไมต้องได้ที่ ๓ ด้วยล่ะยาย"

        "ไม่ได้หรอก   ที่หนึ่ง ต้องเป็นของพระองค์ชาย  ( พระองค์เจ้าจุมภฎบริพัตร )        ที่สองต้องเป็นของท่านกาติ๊บ ( หม่อมเจ้าคัสตาวัส  จักรพันธุ์​) 

ยายได้ข่าวท่านเรียนเก่งมาก     อย่าบังอาจไปแข่งกับท่านนะ"

       
        ความจริงทั้งพระองค์เจ้าจุมภฎบริพัตร  และ  พี่คัสตาวัส  กำลังศึกษาอยู่ประเทศอังกฤษ          แต่ความเข้าใจของยายคือ 

เมืองนอกทั้งหมดเป็นประเทศเดียวกัน  และเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน"


(ต่อมาท่านชายการวิกได้ไปเรียนหนังสือที่ Lycee Perier  ประเทศฝรั่งเศส ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๓ - ๒๔๗๘
พ.ศ. ๒๔๗๔ - ๒๔๘๔   ถวายการรับใช้พระบทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ประเทศอังกฤษ
พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๘  เป็นเสรีไทยสายอังกฤษ
พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๔๙๑  เสด็จกลับไปถวายการรับใช้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ฯ ณ ประเทศอังกฤษ
พ.ศ. ๒๔๙๑             เสด็จกลับประเทศไทย)



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: lantum ที่ 02 ส.ค. 12, 03:41
อ่านเพลินและสนุกมากคะ ชอบๆๆคะ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ส.ค. 12, 06:27
นั่นน่ะสิครับ

ถ้าคุณlantumไม่ดึงกระทู้นี้ขึ้นมาผมคงลืมว่าได้ติดตามอ่านอยู่
นึกว่าจบไปแล้ว

น่าจะยังมีต่อนะครับ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: ลุงไก่ ที่ 02 ส.ค. 12, 10:26
คุณหนุ่มมีรายละเอียดของวังตามหมายเลขที่ผมหมายไว้บ้างไหมครับ
และคลองที่แยกออกจากคลองมหานาค ผมสันนิษฐานว่าเป็นคลองจุลนาค


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: lantum ที่ 02 ส.ค. 12, 21:20
รอฟังคำตอบด้วยคะ และเจ้าของกระทู้น่าจะมีมาเล่าต่อนะคะ มีนักอ่านตามอ่านอยู่นะคะ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 02 ส.ค. 12, 22:01

ขอบคุณคุณลั่นทมค่ะ

เล่าพอเป็นน้ำจิ้มค่ะ     เล่าตอนที่คิดว่าสำคัญพอที่ท่านที่เข้ามาอ่านจะตามหาอ่านเอง

ประวัติท่านผู้ใหญ่บางท่านก็เล่าตอนที่เห็นว่าน่าสนใจ   สหายบางท่านก็เข้าใจว่าดิฉันจะคัดลอกมา  จึงช่วยกันเขียนให้บ้าง

ถ้าเป็นตอนที่โบราณจริงๆ  ดิฉันก็จะเล่าเท่าที่เป็นความรู้  มีสาระ  เชื่อมโยงไปยังเรื่องอื่นๆ   ธรรมดาใช้หนังสือเก่าหลายเล่มค่ะ

ยังมีหนังสืออนุสรณ์อีกหลายเล่ม         มีเวลาแล้วจะมานะคะ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ส.ค. 12, 09:07
ไม่อยากให้จบ เลยเอามาต่อครับ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ส.ค. 12, 09:10
Wandee
อ้างถึง
หม่อมเจ้าการวิก  จักรพันธุ์  ประสูติเมื่อวันี่ ๙ เมษายน  พ.ศ. ๒๔๖๐  ที่บางปะอิน  พระนครศรีอยุธยา

พระบิดาหม่อมมารดา  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรษฐวงศ์วราวัตร  กรมหมื่นอนุพงษ์จักรพรรดิ  หม่อมโป๊


ทรงมีเชษฐา  เชษฐภคินี  อนุชา  ขนิษฐา  ร่วมพระบิดาเดียวกัน ๒๓ องค์

ที่ร่วมหม่อมมารดาเดียวกัน ๔ พระองค์

๑.   หม่อมเจ้าวราธิวัตร  จักรพันธุ์

๒.  หม่อมเจ้าหญิงอภิลาศ  นันทมานพ

๓.  หม่อมเจ้าการวิก  จักรพ้นธุ์

๔.  หม่อมเจ้าประดิษฐาน  จักรพันธุ์
[/size]



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ส.ค. 12, 09:21
Wandee
อ้างถึง
"หลังจากนั้นไม่นาน  ก็โปรดเกล้าฯ ให้ผมไปเรียนที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย  ซึ่งผมเข้าใจว่าอาจเป็นวิธีการที่พระองค์ท่านจะทรงใช้ควบคุมเด็กไม่ให้เหลิงวุ่นวายจนเกินไป    และไม่ให้เด็กตามหัวหน้าคนใดคนหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา  จนขาดความเชื่อมั่นเป็นตัวของตัวเอง   จึงต้องแยกตัว'หัวหน้า' ออกจากกลุ่มเสีย และเป็นการใช้ 'ไม้นวม'  ที่จะลงโทษผมก็ได้

        การเรียนที่วชิราวุธนั้นเป็นโรงเรียนประจำกินนอน   ผมได้กลับเข้ามาในวังก็ช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์   และไม่รู้สึกขื่นขมแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกขาดทุนเล็กน้อยที่อดฟังนิทานพระราชทานจากพระโอษฐ์ของพระองค์ท่าน  ในตอนค่ำของวันธรรมดา



น.ร.ว.หม่อมเจ้าการวิก  จักรพันธุ์ ฉายพระรูปกับพระบิดา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรษฐวงศ์วราวัตร



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ส.ค. 12, 09:25
คุณวีหมีครับ

ที่หน้าอกน.ร.ว.กรวิกนั่น ^ ทรงประดับเหรียญอะไรฤา
อ้างถึง
อ่านเรื่องท่านชายหวานแล้ว  ทำให้นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ และสมเด็จพระบรมราชินี ที่คุณกรุ่ม  สุรนันทน์ท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อท่านถวายตัวแล้ว  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปเรียนที่โรงเรียนวชิราวุธ

วันหนึ่งพวกเด็กๆ กำลังเล่นน้ำกันอยู่ในสระกลางโรงเรียน  ดำผุดดำว่ายกันสนุกสนาน  พลันเหลือบไปเห็นล้นเกล้าฯ กับสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินมาที่ริมสระ  เป็นการเสด็จฯส่วนพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรสถานที่ที่จะทรงถ่ายภาพยนตร์เรื่อง ชิงเมือง

คุณกรุ่มท่านเล่าว่า พอนักเรียนเห็นในหลวงกับพระราชินีเสด็จฯ ใกล้เข้ามา  พวกที่พอจะหลบทันก็หลบไป  เหลืออยู่จำนวนหนึ่งที่หลบไม่ทัน พอเสด็จฯ ถึงริมสระ  สมเด็จพระบรมราชินีก็มีพระราชเสาวนีย์ให้พวกที่หลบไม่ทันขึ้นมาเฝ้าฯ ทรงถามชื่อเรียงตัว  แล้วโปรดให้คุณข้าหลวงจดชื่อไปทุกคน พอโดนจดชื่อไปทุกคนก็หนาวๆ ร้อนๆ ไปตามกัน  เพราะอาจจะต้องรับพระราชอาญาเป็นอย่างแรง  หรือจะทรงบอกไปยังบิดามารดาหรือผู้ปกครองให้ทราบก็เป็นได้

ต่อมาอีกราวสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ (จำไม่ได้ครับ)  ล้นเกล้าฯ กับสมเด็จพระบรมราชินีก็เสด็จฯ มาที่โรงเรียนอีกครั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักเรียนที่ถูกจดรายชื่อไปคราวก่อนให้มาเป็นตัวแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ชิงนาง  และสมเด็จฯ ทรงพระมหากรุณาพระราชทานสบู่หอมให้ผู้ที่ถูกจดชื่อคนละก้อน  เลยเป็นอันพ้นทุกข์กันไปได้

ภาพประกอบ แอบว่ายน้ำสระกลางโรงเรียน อันนี้ใช้stuntmanแสดงแทน


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 04 ส.ค. 12, 09:56
คุณวีหมีครับ

ที่หน้าอกน.ร.ว.กรวิกนั่น ^ ทรงประดับเหรียญอะไรฤา

ภาพไม่ชัดแต่พอจะเดาไว้ว่า เหรียญทางด้านขวาตรงแนวดุมเม็ดที่ ๓ น่าจะเป็น เสมาอักษรพระบรมนามาภิไธยย่อ ปปร. ที่ทำเป็นคล้ายๆ รูปหยดน้ำ  ส่วนเหรียญที่อกซ้ายนั้นเนื่องจากภาพไม่ชัดจึงได้แต่เดาเอาว่าน่าจะเป็นน่าจะเป็นแหนบสายนาฬิกา รร.๖ ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเป็นที่ระลึกในวันขึ้นปีใหม่  ทั้งนี้หากคำนวณตามชันษาของท่านชายซึ่งประสูติในตอนปลายรัชกาลที่ ๖ แล้ว  น่าจะเป็นแหนบสายนาซิกาด้านล่างนี้กระมังครับ 


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ส.ค. 12, 10:12
ขออนุญาตขยายข้อความมาอ่าน

ภาพไม่ชัดแต่พอจะเดาไว้ว่า เหรียญทางด้านขวาตรงแนวดุมเม็ดที่ ๓ น่าจะเป็น เสมาอักษรพระบรมนามาภิไธยย่อ ปปร. ที่ทำเป็นคล้ายๆ รูปหยดน้ำ  ส่วนเหรียญที่อกซ้ายนั้นเนื่องจากภาพไม่ชัดจึงได้แต่เดาเอาว่าน่าจะเป็นน่าจะเป็นแหนบสายนาฬิกา รร.๖ ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเป็นที่ระลึกในวันขึ้นปีใหม่  ทั้งนี้หากคำนวณตามชันษาของท่านชายซึ่งประสูติในตอนปลายรัชกาลที่ ๖ แล้ว  น่าจะเป็นแหนบสายนาฬิกาด้านล่างนี้กระมังครับ

ขอบคุณท่านสารานุกร รัชกาลที่๖ มากครับ 


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 04 ส.ค. 12, 11:43
คุณหนุ่มมีรายละเอียดของวังตามหมายเลขที่ผมหมายไว้บ้างไหมครับ
และคลองที่แยกออกจากคลองมหานาค ผมสันนิษฐานว่าเป็นคลองจุลนาค


จัดพระนามผู้ครองวังตามแนบครับ

จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง

๑. วังหม่อมเจ้าทศศิริวงษ์

๒. วังหม่อมเจ้าดรุณ

๓. วังพระองค์เจ้าอ๊อดคาร์นุทิศ

๔. วังหม่อมเจ้าปิยบุตร

๕. วังหม่อมเจ้าดนัย

๖. วังพระองค์เจ้าเสรษฐวงศืวราวัตรฯ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 04 ส.ค. 12, 16:38


กลับมาตามคำเรียกร้องเจ้าค่ะ   


       ผมเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๙  เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐   เป็นโอรสรองสุดท้ายของเด็จพ่อ (กับหม่อมแม่)   คือ

พระเจ้าวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าเสรฐวงศ์วราวัตร  กรมหมื่นอนุพงษ์จักรพรรดิ  พระโอรสองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้า

บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์(ต้นราชสกุล จักรพันธ์ุ) ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาท

สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๔   และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี

        'ทูลหม่อมปู่'   ทรงมีพระบรมเชษฐา  พระเชษฐภคินี  และพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีเดียวกัน ๔ พระองค์ 

ตามลำดับดังนี้

๑.   สมเด็จ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์​ฯ  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

๒.   สมเด็จ  เจ้าฟ้าหญิง จันทรมณฑล  โสภณภควดี  กรมหลวงวิสุทธิกษัตรีย์

๓.   สมเด็จ  เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี  กรมพระจักรพรรดิพงษ์

๔.  สมเด็จ  เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์   กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช



        ต่อมาในหลวงรัชกาลที่ ๕  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างศาลาพระบรมราชานุสรณ์ไว้ในวัด

เบญจมบพิตร  ใกล้พระที่นั่งทรงธรรม   จารึกพระปรมาภิไธยและพระนามาภิไธยไว้ที่หน้าบันของจตุรมุข   เรียกกันว่า 'ศาลาสี่สมเด็จ'

ศาลานี้เป็นศาลาขนาดเล็ก   จึงไม่ใคร่จะมีใครสนใจรู้เห็นมากนัก


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 04 ส.ค. 12, 16:54


        เสด็จพ่อมีพระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมมารดาเดียวกัน    คือ  คุณย่า หม่อมราชวงศ์สว่าง (สกุลเดิม

ศิริวงศ์   ซึ่งบุรพชนของคุณย่าทางบิดาคือ  พระองค์เจ้ามงคลเลิศ  สืบมาแต่พระบรมราชวงศ์จักรี  กับราชินิกุลรัชกาลที่ ๒ 

และ ราชินิกุล รัชกาลที่ ๓) ทั้งหมด ๕ พระองค์คือ

๑.   เด็จพ่อเป็นองค์ใหญ่

๒.  พระองค์เจ้าหญิงอรพัทธ์ประไพ

๓.  พระองค์เจ้าหญิงสุทธวิไลยลักขณา

๔.  พระองค์เจ้าออสคาร์นุทิศ  กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์

๕.  พระองค์เจ้าหญิงประภาสิทธิ์นฤมล (พระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร  กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน   
     ต้นตระกูล 'ฉัตรชัย' 



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 05 ส.ค. 12, 08:22


       เด็จพ่อมีโอรส - ธิดาทั้งหมด ๒๗ องค์   แต่ที่มีพระชันษาเติบโตมา ๒๓ องค์     พระนามแต่ละองค์นั้น

หากเป็นองค์ในชั้นแรก ๆ  มักจะได้รับพระราชทาน   หากเป็นในชั้นหลัง ๆ  เด็จพ่อทรงประทานเอง  ซึ่ง  เวลา

อ่านออกเสียงแล้วจะคล้องจองกัน  ตามลำดับดังนี้

        ดวงแก้ว(ญ)   แววจักร(ช)   สำนักเนตร์(ญ)   เสรษฐพันธุ์(ช)    วัลย์วิเชียร(ญ)   เวียนขวา(ช)   จารุภักตร์(ญ)

ศักดิ์สิทธ์(ช)   อิทธิเดช(ช)   เจตนาทร(ช)   อรอุษา(ญ)    วราธิวัตร(ช)   สิริอัจฉรา(ญ)   อาชว(ช)   อภิลาศ(ญ)   อัชฌา(ช)

การวิก(ช)   จิตรการ(ช)   สมานมิตร์(ช)   ประดิษฐาน(ช)   วัณณาฑิต(ช)   จิตรจง(ญ)   ส่งรัศมี(ญ)   


        ส่วนพี่น้องที่ร่วมแม่เดียวกับผม คือพี่เปา - วราธิวัตร   พี่หญิงอภิลาศ​(นันทมานพ)   ผม  และ น้องแป้ง -ประดิษฐาน

โดยยศศักดิ์ของพี่น้องและผมแล้ว   ควรเป็นชั้นหม่อมราชวงศ์เท่านั้น   แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทรงพระกรุณาโปรดเกลเา ฯ สถาปนาเด็จพ่อและเด็จอาที่เกิดจากคุณย่า  ซึ่งเป็นสะใภ้หลวงพระราชทานของทูลกระหม่อมปู่ขึ้นเป็น

พระเจ้าวรวงงศ์เธอ พระองค์เจ้าทุกพระองค์เป็นกรณีพิเศษ   โอรสและธิดาในชั้นต่อมาจึงเป็นหม่อมเจ้าทุกองค์ 


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 05 ส.ค. 12, 08:34


        จริง ๆ แล้วสกุล 'จักรพันธุ์'   เป็นราชสกุลที่ไม่ร่ำรวย  ทั้งนี้เพราะทูลกระหม่อมปู่ไม่ทรงมีทรัพย์สินใด ๆ

เป็นการส่วนพระองค์    พระราชวังเดิมฝั่งธนบุรี  ซึ่งเป็นที่ประทับตลอดพระชนมชีพเป็นเพียงพระราชวัง  ที่พระบาทสมเด็จ

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นที่ประทับเท่านั้น      ทูลกระหม่อมปู่ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดี

พระคลังมหาสมบัติ   ทรงเคร่งครัดต่อหน้าที่มาก   ด้วยอาจจะเป็นที่ถูกติฉินนินทาได้


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 05 ส.ค. 12, 08:50


       ตอนเด็ก ๆ  ผมเป็นเด็กที่ใกล้ชิดกับเสด็จพ่อมากที่สุด   ด้วยความที่เป็นเด็กดื้อ  ซน  และชอบแกล้งผู้อื่นอย่างร้ายกาจที่สุด

แต่ไม่มีผู้ใดฟ้อง   มีครั้งหนึ่งถูกพี่เปาเหวี่ยงลงนอกชานเพราะไปด่าท่านเข้า   หรืออย่างเวลาไปโรงเรียนนิเวศธรรมประวัติ   

ผมก็จะได้นั่งโต๊ะพิเศษใกล้ ๆ กับครู   เพราะอยู่ในฐานะ 'ท่านชาย'   ครูก็เกรงใจ    ทำให้ไม่ได้เรียนอะไรติดตัวมาเลย 

แม้นแต่ ก ไก่  ก  กา  ผมยังอ่านไม่ได้ทั้งๆที่อายุ ๘ ขวบแล้ว      แต่ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ชอบมาก   ด้วยได้อ่านหนังสือความรู้

เกี่ยวกับเรื่องเรือยนต์หรือกีฬาต่าง ๆที่เป็นของเด็จพ่อสั่งมาจากต่างประเทศเสมอ         มีอยู่ครั้งหนึ่ง  ผมไปแสดงความเป็น

"โคตรเด็ก" กับครูหนุ่มคนหนึ่ง   เลยถูกตีแต่พลาดไปถูกขมับ    ก็เลยมีเสียงเล่าลือกันใหญ่ว่า  ครูคนนี้ต้องถูกไล่ออก

เด็จพ่อทรงมีความยุติธรรมพอทรงทราบก็รับสั่งว่าไม่ได้ ๆ    ครูทำถูกแล้ว



กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 05 ส.ค. 12, 17:14

        ผมเป็นเด็กที่ขี้เกียจไปโรงเรียน   เวลาเกเรขึ้นมา  หม่อมแม่ก็ตามคนรับใช้มาให้พายเรือไปส่ง

พอพายไปเหนือน้ำหน้าบ้านสักหน่อย  ผมก็แกล้งเอียงให้เรือล่ม   ปิ่นโตอาหาร  ของที่ต้องนำไปด้วยก็จมน้ำหมด

หม่อมแม่ก็ลงโทษ    ผมก็ชี้หน้าท่านขู่ว่า  จะฟ้องเด็จพ่อว่า  หม่อมแม่ชอบเล่นไพ่ซึ่งเด็จพ่อไม่โปรดให้เล่นการพนัน  

เวลาหม่อมแม่เล่นก็เอาผมไปคอยสับไพ่โดยให้เงินคืนละหนึ่งบาท   สมัยนั้นมีค่ามาก  พอที่จะเลี้ยงคนได้ทั้งบ้าน   พอขู่

หม่อมแม่อย่างนี้   หม่อมแม่ก็ขู่กลับว่าถ้าฟ้องเด็จพ่อก็จะฟ้องกลับว่า   ผมรับจ้างมานั่งสับไพ่ด้วย

แต่เด็จพ่อกับหม่อมแม่ยังเอาผมไว้ไม่ไหว    จึงต้องมอบให้เป็นภาระของยาย  

        ก๋งผมมาจากเมืองจีน  และตายไปก่อนผมเกิด    ส่วนยายชื่อหงส์เป็นคนไทยแท้  อาศัยอยู่ในห้องหนึ่งของตำหนักด้วย

แม่ผมคือหม่อมโป๊   อยู่ในสกุลใดไม่ปรากฏแน่ชัด  ผมไม่เคยถาม  เพราะสมัยนั้นการที่เด็กไปไต่ถามเรื่องของผู้ใหญ่ไม่สมควร

แม่มีน้องชายชื่อเง็ก  และน้องสาวชื่อง้วย  พื้นเพของแม่ก็อยู่แถวบางปะอิน  อยุธยา

        ยายเป็นคนธรรมะธรรมโมมาก   คอยเลี้ยงดูผมเวลากินกับนอน  ผมจึงผูกอยู่กับยาย   ทุกคืนก่อนนอนยายจะสวดมนต์

บทต่าง ๆ ยาวมาก  จนผมฟังเพลินจนหลับไป    และผมก็จำบทสวดมนต์ต่าง ๆ ได้จนบัดนี้   กระทั่งบางคนบอกว่าผมเหมือน

คนเคยบวชเรียนมา   ทั้งที่ผมไม่เคยบวชเลย   แล้วยายก็เป็นคนทำให้ผมกลายเป็นเด็กทำท่าจะดีกับคนอื่นเขาขึ้นมาได้คนหนึ่ง


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 06 ส.ค. 12, 09:57


        การที่ผมเป็นเด็กดื้อ  ไม่ได้หมายความว่าเก่งกล้าอะไรเลย   กลับเป็นเด็กที่ขี้ขลาดตาขาว  กลัวกระทั่งกล้องถ่ายรูป

พอเขาเอาผ้าคลุมกล้องจะถ่ายทีไร   ผมเป็นร้องจ๊ากวิ่งหนี      อย่างหน้าน้ำ   น้ำจะขึ้นสูงถึงเสาเรือนจะถึงพื้น    วันหนึ่ง

ผมมองลงไปที่ใต้ถุน  เพราะคิดว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ     เห็นพญานาคตัวเบ้อเริ่ม  มีหงอน  มีเกร็ดเป็นลายกนกเหมือนรูป

เขียนในโบสถ์   ก็ตกใจวิ่งไปหายาย    พอมาดูอีกทีปรากฎว่าเป็นงูเหลือมตัวใหญ่มาก   นั่นเป็นจินตนาการกับความบ้าปนกันทำให้เห็นเป็นพญานาค

       
        เวลาท้องฟ้ามืดครึ้ม  มีพายุเมฆฝนทะมึนมา   ผมก็กลัวร้องไห้วิ่งหนีเข้าไปคลุมโปงในห้องยาย       ยายบอกว่า   "ท่านชายของยาย

เป็นคนเก่ง  ไม่ต้องกลัว   เดี๋ยวยายจะเสกมีดอีโต้ไปตัดลมให้"    แล้วยายก็พาออกไปทำท่าตัดลมตามทิศต่าง ๆ  พร้อมกับสวดคาถากำกับด้วย

คาถาที่สวดนั้นว่าอย่างไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว      พอยายทำพิธีเสร็จ  ลมก็หยุดจริง ๆ   ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือความศักดิ์สิทธิ์แต่เห็นผลทันที

คราวหลังพอเกิดลมพายุขึ้นอีก     ยายจะเป็นคนให้ผมรำอีโต้แล้วสวดคาถาเอง    ซึ่งวิธีนี้ก็เท่ากับยายสอนให้ผมมีความกล้าและเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 08 ส.ค. 12, 09:41


        ชีวิตในวัยเด็กที่บางปะอินนั้นสนุกสนานมาก   ความที่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์และมีท่าน้ำอยู่หน้าตำหนัก   

ผมจึงหัดว่ายน้ำได้คล่องเหมือนปลา   เวลากินข้าวบางมื้อถึงกับเอาชามข้าวใบใหญ่ ๆ ผลักให้ลอยน้ำ

แล้วว่ายตามไปตักกิน   ก่อนจะมาช่วยยายรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกอยู่ตามทเองร่องแถวตำหนัก


        ความที่เป็นเด็กบ้านนอกที่อยู่ใกล้ชิดกับเรือยนต์    เขาทำอะไรผมก็ไปดูไปช่วย  จึงทำให้ผมมีความชำนาญ

ในการซ่อมแซมเครื่องยนต์ของเรือและการเดินเรือมาตั้งแต่อายุแค่ ๗ ชวบ ๘ ขวบ     เวลาเด็จพ่อเข้ากรุงเทพฯ  ต้องไป

ขึ้นรถไฟที่สถานีบางปะอิน   ผมก็ออกเรือไปส่ง    ทรงภูมืใจมากและผมก็ท่องชื่อเรือยนต์หลวงได้ครบทั้ง ๔๐ กว่าลำ


        กระทั่งวันหนึ่ง  สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา (สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางต์เดชาวุธ) เสด็จพร้อมด้วยหม่อมแผ้ว

(ท่านผู้หญิงแผ้ว  สนิทวงศ์เสนี) มาเยี่ยมเสด็จพ่อ   หม่อมแผ้วก็สอนให้ผมท่องชื่อเรือพร้อมกับพิมพ์ดีดให้ดู     ผมก็หัดพิมพ์ดีดเอง

จนสามารถพิมพ์ได้    และผมก็หัดเขียนรูปเรือด้วย   เขียนไปเขียนมาคนที่เห็นก็บอกว่าเอ๊ะ!  เหมือนเรือนั่นเรือนี่ ฯลฯ   


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 09 ส.ค. 12, 08:11


        กระทั่งวันหนึ่ง   เด็จอากรมหมื่นอนุวัตรฯ  ซ่ึ่งมักเสด็จโดยขบวนเรือตุ๊ก ๆ(เรือสูบเดียว)มาเยี่ยมที่ตำหนักท้ายเกาะ

บ่อย ๆ   รับสั่งให้ผมลองแข่งเรือกับพี่จักรพันธ์(พระเจ้าวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ  โอรสในเด็จอา)

ตอนนั้นท่านทรงชันษาราว ๑๖ ปี

        เด็จอารับสั่งให้ผมขับเรือ 'จักรเพชร'  เป็นเรือยนต์เล็ก ๆ หนึ่งในสองลำของท่าน   ส่วนพี่จักรพันธ์ฯ  ทรงขับเรือ

'อภัยโทษ'  ซึ่งเป็นเรือลำยาว  แล้วตรงท้ายเกาะต้องเลี้ยววงกว้างถึงจะเลี้ยวได้   ผมก็เลี้ยวตัดปรื้ดเลย   เสด็จอารับสั่งว่า

        "อ้อ...เป็นมวย   ไม่เลี้ยวโค้งตาม" 


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 09 ส.ค. 12, 08:27


        ในช่วงนั้นผมเคยตามเสด็จพ่อซึ่งต้องมาทำหน้าที่รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ 

ในยามที่เสด็จมาทรงทอดกฐิน ณ วัดวิเวกวายุพักตร์อยู่บ้างไม่กี่ครั้ง   แต่เป็นการเฝ้า​ฯอย่างไกล ๆ เพราะยังเด็ก   

จึงไม่มีหน้าที่เข้าไปถึงข้างใน   และเป็นช่วงปลายรัชสมัยแล้ว    ความทรงจำเกี่ยวกับพระองค์ท่านจึงมีไม่มาก   

และพระองค์ก็สวรรคตในเวลาต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖  พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘

        ครั้นบ้านเมืองผลัดแผ่นดินใหม่    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้าประชาธิปกษักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา

เสด็จขึ้นครองเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็น  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗    และในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่  พร้อมด้วยพระมเหสี  คือสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี  พระบรมราชินี  ก็ได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ

แก่ผมอย่างสูงสุด

        ประดุจร่มเงาแห่งฉัตรที่ปกแผ่ทอดความอบอุ่นแก่ชีวิตผมตลอดมา


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 09 ส.ค. 12, 08:49


        เดินทางไปเมืองนอก

        ตอนรถไฟออกจากหัวลำโพง  ผมยังแต่งตัวแบบไทย  คือสวมเสื้อราชปะแตน  นุ่งโจงกระเบน

แต่ก็จินตนาการไปตามประสาเด็กบ้านนอกที่ยังไม่รู้จักเมืองนอก   คือเข้าใจไปว่าเมืองนอกต้องมีอากาศหนาวเย็น

เหมือนที่เคยเห็นในหนัง   พอตกค่ำผมเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำหรูของรถไฟ  เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว  ด้วยเห็นว่า

จวนจะถึงเกาะปีนังเข้าเขตมลายูซึ่งเป็นเมืองนอกแล้ว  ต้องใส่เสื้อเชิ้ตที่เป็นเนื้อผ้าประเภทขนสัตว์ปนอยู่  และผูกเน็คไท   

ปรากฎว่าหิดขึ้น  เพราะร้อนเหลือเกิน


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 09 ส.ค. 12, 12:45


       จากปีนังก็ต่อไปยังสิงคโปร์  และลงเรือ อองเตร เลอ บง  เป็นเรือหรู   มีอาหารการกินอย่างดี

เรือใช้เวลาเดินทางจึงถึงท่าเรือเมืองมาร์เซลย์  ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๒

วินาทีแรกที่เห็นเมืองนี้ก็รู้สึกผิดหวัง  เพราะมีเรือใหญ่ เก่า ๆ โทรมๆ    มีฝรั่งเป็นกุลีขนถ่านแบกมาเหงื่อไหลมีผงถ่านดำ ๆติดมอมแมม

ที่ตกใจที่สุดคือเห็นม้าลากรถบรรทุกของหนัก ๆ  ตัวใหญ่เท่าช้าง      ภาพเมืองนอกที่เห็นไม่เหมือนในหนังฝรั่ง

ที่มีทิวทัศน์สวยงามชวนฝัน  อย่างที่เคยดูในเมืองไทยเลย


       ผมอยู่ที่เมืองมาร์เซลย์ กับครอบครัว เดอลาโฟรี     เขาให้เกียรติมากส่งรถเรโนท์ขนาด ๘ สูบ คันเบ้อเริ่มมารับที่ท่าเรือ

สมัยนั้นรถเรโนท์มีความใหญ่และโก้เหมือนเป็นรถเบนซ์ในสมัยนี้    รูปทรงของรถเป็นแบบเก๋งครึ่งคัน   คนขับอยู่กลางแจ้ง

หน้าหม้อรถเหมือนจักรเย็บผ้าใหญ่มาก   ไปที่ไหนคนเห็นก็รู้ว่าเศรษฐีมาแล้ว


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 ส.ค. 12, 12:57
The New 6 Cylinder Renault, c.1920


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 09 ส.ค. 12, 13:13

        ผมไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน   Lycee Perier   ซึ่งเป็นชื่อของถนนด้วย   เป็นโรงเรียนของรัฐบาล

ไม่ต้องเสียเงิน   นอกจากค่าสมุดดินสอเท่านั้น     โรงเรียนนี้เป็นสังคมใหม่ที่ผมได้รับรู้    เพราะห้องที่ผมเรียนอยู่นั้นมีทั้ง

ลูกของคนส่งนม   คนขายเสื้อผ้า   คนขายหนังสือพิมพ์   คนขายหมู  กระทั่งลูกของผู้ว่าฯ   นายอำเภอ    มีผมเป็นนักเรียนไทยคนเดียว

แต่ไม่ได้บอกใครว่าเป็นเจ้า     และความเป็นคนไทยนี่เอง   ทำให้ผมได้รับอะไรหลายอย่างที่เป็นประสบการณ์ในชีวิต...


       ระหว่างนั้นผมได้ไปปารีสอยู่หลายครั้ง   เพราะพี่คัสตาวัตวัสที่ทรงเรียนเสนาธิการที่อังกฤษเสด็จมาพาผมไปชมการชกมวยของ

แชมเปี้ยนโลกชาวฝรั่งเศสที่มีอยู่ ๒ - ๓ คนในเวลานั้น    ผมได้จดจำท่าทาง เขามาฝึกฝนกับเพื่อน ๆจนชำนาญขึ้นมาเอง


       ในสมัยนั้น  ประเทศฝรั่งเศสได้ประเทศต่าง ๆ เป็นอาณานิคมเยอะทำให้คนที่ด้อยการศึกษาของเขา   จะรู้สึกและแสดงอาการ

เหยียดหยามคนผิวเหลืองมากกกว่าคนผิวดำ   เพราะคนผิวดำใช้งานได้ดี  ขยันกว่า    โดยเฉพาะเห็นคนญวนคนจีนนี่ไม่ได้  

ต้องเรียกอย่างดูถูกว่าไอ้ญวน  ไอ้เจ๊ก   เขาจะดูถูกวัฒนธรรมของคนตะวันออกมาก    ผมเป็นคนไทยแต่พอถูกเรียกอย่างนี้ก็โกรธ

อยากจะเตะ  อยากจะสู้     เพราะสำนึกในพระบรมโอวาทของพระเจ้าอยู่หัว  พระโอวาทของเด็จพ่อ  และคำสั่งสอนของแม่และยายอยู่เสมอว่า

อย่าไปมีเรื่องรังแกต่อต้านอะไรกับใครถ้าไม่จำเป็น   หลีกได้ก็หลีก   หลีกไม่ได้จึงคิดต่อสู้เพื่อป้องกันสิทธิความถูกต้องของเรา


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 09 ส.ค. 12, 13:14


ขอบพระคุณคุณชัยค่ะ


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 09 ส.ค. 12, 14:15
        ตอนนั้นผมอายุราว ๑๔ ปีครึ่ง    มีเด็กหนุ่มนักฟุตบอลรุ่นใหญ่อายุสัก ๒๐ - ๒๑ ปี   ตัวสูงใหญ่กว่าผม

เดินมา ๕ คน   ชี้ข้ามถนนมาที่ผมกับเพื่อนที่กำลังเดินอยู่ว่า

        "เห็นไอ้ลูกเจ๊กไหม    แม่มันตอนนี้นั่งกินบะหมี่อยู่บนขดหางเปียที่เมืองจีน"

        ผมได้ยินก็โกรธมากที่ถูกเรียกว่าเจ๊ก   แล้วยังพูดถึงแม่อีก    จึงฮึดขึ้นมาจึงตะโกนเรียก

        "ไหนเอ็งเก่งจริง   เข้ามาพูดใกล้ ๆ หน่อยซิ   ได้ยินไม่ถนัด"      พวกเขาก็เดินเข้ามาทั้งห้าคน ถามว่า

เอ็งว่าอะไรนะ    ผมบอกว่าพูดอีกทีซิ    เจ้าหัวหน้าก็เข้ามาจับข้อมือผมไว้และพูดซ้ำ   ผมก็สบัดมือออก    เขาก็ควักลูกนัยน์ตาผมแล้วชกเปรี้ยง!

ผมรู้สึกมันมืดคล้าย ๆ ดับไปเลย

พอมีเสียงวี้ด ๆ  เหมือนกับผมดูหนังที่เห็นตัวเองนุ่งกางเกงนักมวยใส่นวมเต้นอยู่บนเวที   ต่อยอยู่กับยักษ์ใหญ่ที่เป็นตัวหัวหน้าชกกันอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมง  

เอาไม่ลงจนมันเพลียติดเชือก  ผมก็นึกว่า  เอ!  ขักไม่ค่อยดี    เจอของจริงเข้าแล้วหรือเปล่า   ใจหายวูบ      เลยลืมตาตื่นคืนสติ   เห็นเจ้านั่นพิงอยู่กับประตูเหล็ก

ตัดเข้าบ้านคน   อ้าว!     นี่เรื่องจริงไม่ใช่หนัง   ผมต่อยท้องเขาจนเจ็บมือ   ชกปากกับจมูกจนเลือดสาดก็ยังไม่ลง  

คิดในใจว่าต้องหาทางวิ่งหนีแล้ว   แต่ยังเหลืออีกตั้งสี่คนยืนขวางอยู่     ตัดสินใจเสี่ยงเดินเข้าไปหา   แถมดึงแขนเสื้อขึ้นอีกนิด

ถามว่า

      "ใครจะเป็นคนต่อไป  หรือเข้ามาทั้งหมดก็ได้"       พวกนั้นกลับบอกว่า  พอแล้ว...จะเอาหมอนี่กลับไปบ้าน  แล้วเขาก็อุ้มกันไป  

ปรากฎว่าเสื้อเกี่ยวอยู่กับปุ่มเหล็กดัดเขาจึงไม่ล้ม    พอเขาหิ้วปีกไปกันปุ๊บ   ผมได้ยินเสียงประตูรถยนต์ปิดดังปัง   แล้วมีหญิงแก่

คนหนึ่งนุ่งกระโปรงดำวิ่งผ่านหน้าผมไปจนเกือบจะชนผม   ผมยืนนิ่งตะลึงที่เห็นแกถือร่มไล่ฟาดหลังเจ้าพวกนั้น  พลางร้องว่า

       "พวกแกรังแกเด็ก  ฉันเห็นตั้งแต่ต้น  สมน้ำหน้า"    หญิงแก่คนนี้เป็นเจ้าของประตูเหล็กดัดบ้านหลังนั้นและเข้าบ้านไม่ได้   จึงได้เห็นมวยสดตลอด....


       ผมเหลียวหาเจ้าเพื่อนที่เดินมาพร้อมกันก็ไม่พบ   สักครู่ถึงเห็นเขากระโดดข้ามกำแพงบ้านที่มีเหล็กดัดออกมา    หลังจากที่หนีไปแอบซุ่มดูอยู่

ผมบอกกับเขาว่า

        "แหม   รู้สึกใจเสีย   ชกอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมงเอาไม่ลง"

        "ครึ่งชั่วโมงที่ไหน   ไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำไป"


        ผมพาสังขารอันสะบักสะบอมกลับมาบ้าน   คุณแม่เห็นเข้าตกใจร้องห่มร้องไห้  เพราะเห็นตาของผมโปน  

มีเนิ้อห้อยออกมานิดหนึ่งคงเป็นเพราะถูกเล็บขูด  มีเลือดไหลซิบ ๆ   คุณแม่เอาเนื้อดิบ ๆ มาโปะให้  เพื่อจะได้ไม่เป็น

รอยดำเมื่อแผลแห้ง    และบอกว่าทีหลังอย่าไปต่อยกับเขานะ   ผมบอกว่าจะพยายาม   แต่คราวนี้หนีไม่พ้นจริง ๆ


        วันรุ่งขึ้นไปโรงเรียน   มีข่าวลือไปทั่ว   พวกนักเรียนทั้งเด็กเล็กเด็กโตเข้ามาจับมือกันใหญ่    

ตั้งแต่นั้นผมกลายเป็นบุคคลสำคัญ   มีลูกน้องเยอะ   เดินไปไหนสบาย    หากมีใครอ้าปากจะเรียกคำไม่ดีต่อผม

ก็มีคนจัดการให้เสร็จ

(ขออนุญาตจบเพียงนี้ก่อนค่ะ        แล้วจะมาต่อภาคที่ท่านชายไปอยู่กับรัชกาลที่ ๗)


กระทู้: คนไทยชอบอ่านหนังสือ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 ส.ค. 12, 14:25
สลับฉากครับ