ทิ้งเป็นปริศนาต่อไปว่า บ้านเลขที่ ๑ ตรอกกัปตันบุช เป็นบ้านของพ่อค้าวาณิชฝรั่ง หรือคหบดีไทยท่านใด
ในบทความที่อ้างถึง กล่าวว่าวัดแก้วแจ่มฟ้าเดิมตั้งอยู่บริเวณนั้นจนกระทั่งพระยาวิสูตรสาครดิษฐ์ และพวกชาวต่างประเทศรวม๑๓คน ได้ทำหนังสือร้องทุกข์ถึงเสนาบดีว่าการต่างประเทศเมื่อวันที่๒๕มีนาคม๒๔๔๐ ว่าพวกตนได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากกลิ่นและสิ่งโสโครกในวัด เสี่ยงต่ออหิวาห์ตกโรคดังเช่นที่มีฝรั่งในละแวกนายหนึ่งตายเพราะโรคดังกล่าวไปแล้วก่อนหน้า ทางการจึงส่งคนไปสำรวจได้ความว่า ความโสโครกดังกล่าวมาจากในพื้นที่เดิมที่เป็นป่าช้าเก่าของวัด ซึ่งมีส้วมสาธารณะตั้งอยู่ให้ชาวบ้านข้างเคียงไปใช้ บ้านเหล่านี้บางหลังก็ทำคอกเลี้ยงหมูกลิ่นตลบ ทั้งยังมีการนำขยะปฏิกูลไปทิ้งในป่าช้าจนสกปรกส่งไปทั่ว
ในรายงานยังได้กล่าวถึงการตรวจสอบอาณาเขตดั้งเดิมของวัดว่าแต่เดิมนั้น ที่ดินธรณีสงฆ์ติดกับแม่น้ำและคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งได้มีการผาติกรรมไปเป็นธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ และยูไนเต็ดคลับ กับทั้งมีการตัดถนนเข้าไปชิดกำแพงแก้ว ทำให้วัดถูกล้อมรอบด้วยบ้านของชาวตะวันตก ยกเว้นด้านที่ราษฎรไทยครอบครองอยู่ดังกล่าวข้างต้น จึงเสนอให้ทางราชการผาติกรรมพื้นที่วัดทั้งหมดแล้วย้ายวัดไปสร้างใหม่ พื้นที่เดิมควรนำมาปลูกตึกให้ฝรั่งเช่า
แม้ฝรั่งจะเร่งรัดให้รีบดำเนินการ โดยสถานกงสุลอังกฤษและฮอลันดามีหนังสือขอให้จัดการกับปัญหาก่อนฤดูฝนจะมาถึง แต่กว่าหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการแบบไทยๆ และพระคลังข้างสามารถหางบประมาณมาย้ายวัดไปสร้างใหม่ในที่อยู่ปัจจุบันได้ ก็ใช้เวลาร่วม๑๐ปี
บ้านเลขที่๑ ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณของวัดเดิม หากดูตามแผนที่ฉบับตีพิมพ์พ.ศ.๒๔๕๐ ตรงนั้นปรากฏเป็นพื้นที่โล่ง(ป่าช้าเก่าหรือเปล่าละนั่น) แต่ถ้าดูแผนที่ซึ่งสำรวจปีพ.ศ.๒๔๖๘ ตีพิมพ์พ.ศ.๒๔๗๕ บ้านหลังนี้ได้ปรากฏขึ้นแล้วบนที่โล่งดังกล่าว เจ้าของบ้านคือพระคลังข้างที่ ไม่ทราบผู้เช่า ต่อมาในปี๒๕๐๑ ได้โอนมาเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้เช่าล่าสุดคือกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งได้ให้บริษัทสุรามหาราษฎรจำกัด เช่าช่วงต่อจนหมดสัญญาเช่าในปี๒๕๓๗ หลังจากนี้มา ไม่ปรากฏผู้เช่า แม้ว่าอาคารจะมิได้ถูกทิ้งร้างโดยสิ้นเชิงก็ตาม