เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: ชาวนาไทย ที่ 02 ก.พ. 01, 08:05



กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: ชาวนาไทย ที่ 02 ก.พ. 01, 08:05
อยากรู้ว่าวิถีชีวิตของชาวนาในสมัยก่อนเค้าจะมีความเป็นอยู่อย่างไร ท่านทั้งหลายมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 26 ม.ค. 01, 08:02
ในแง่ความอุดมสมบูรณ์นั้นคงจะดีมาก มีเอกสารจีน(จิตรว่าไว้นะครับ ไม่ได้ผมว่า) ว่า ดินแดนแถบนี้ ทำนาปีหนึ่งพอกินถึง 3 ปี
แต่ไอ้ทำแล้วจะได้กินเท่าไร คงขึ้นกับระบอบการปกครองแรงงาน ถ้าเป็นระบบศักดินาก็คงพอลืมตาอ้าปาก แต่ถ้าเป็นระบบทาสแบบขอมก็ลองจินตนาการดูแล้วกันครับ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ม.ค. 01, 09:31
ถ้ายึดศิลาจารึกเป็นหลัก ว่า " ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ชาวนาสุโขทัยคงไม่อดอยาก  มีข้าวมีปลากินอุดมสมบูรณ์ดี
นอกจากนี้ ยังเป็นการค้าเสรี  ใครใคร่ค้าช้าง ค้าวัว ค้าควาย ก็ทำได้เสรี  วัว ควายนี่เกี่ยวกับไถนา  ชาวนาเลี้ยงวัวควายมีลูกออกมา ก็จูงวัวควายไปซื้อขายตามเมืองต่างๆกันได้สะดวก  เจ้าเมืองบ่เอา จกอบลู่ทาง คือไม่คิดค่าภาษีผ่านด่าน

พอมาถึงอยุธยา เรามีระบบ ไพร่ กับเจ้า   เพราะสังคมอยุธยาเป็นสังคมแรงงาน  ไม่ใช่แรงเงินอย่างในยุคโลกาภิวัตน์  
ชาวนาก็ต้องสละเวลาปีละ ๖ เดือนบ้าง น้อยกว่านั้นบ้าง มาเป็นไพร่หลวงหรือไพร่หลวง  มาทำงานให้เจ้านายขุนนาง แล้วแต่ใครสังกัดที่ไหน
แรงงานชาวนาก็ไปในด้านการขุดคลอง สร้างป้อมค่าย  ก่อสร้างสถานที่เช่นวังและวัดวาอาราม  
ครบกำหนดแล้วกลับไปทำนาเหมือนเดิม  แต่ชาวนาไทยก็ไม่ได้ทำนาทั้งปี   หมดหน้านา ผู้หญิงก็ทอผ้า ผู้ชายก็ตีเหล็ก  หรือจะหย่อนใจ พนันปลากัด ตีไก่ ชกมวย ไปบ้างก็ได้
เมื่อเกิดศึกสงคราม   ทางเมืองหลวงก็ระดมคนเข้าเป็นทหารหมด ไม่แบ่งเป็นทหารและพลเรือนอย่างทุกวันนี้   มีหน้าที่ป้องกันเมืองหรือยกไปทำศึกกับที่อื่น
หมดศึกแล้วกลับไปทำนา

ความเป็นอยู่ของชาวนาสมัยอยุธยา  ถ้าพูดว่าไม่มีเงินก็ใช่ค่ะ  แต่จะว่าอดอยากไหม-ไม่นะคะ  เว้นแต่ปีไหนข้าวยากหมากแพงเพราะฝนแล้ง   เกิดโรคระบาด
อยู่ได้เพราะที่ดินอุดมสมบูรณ์มาก โดยเฉพาะภาคกลาง   ทำนาก็พอกิน  อาหารการกินหาได้จากแผ่นดินและน้ำ ทุกอย่าง

คนจีนและคนที่อพยพจากถิ่นอื่นมาอยู่ จึงตั้งตัวทำมาหากินได้ดีบนผืนแผ่นดินไทย
ไม่เคยอ่านพบในประวัติศาสตร์ว่าชาวนาไทยทิ้งถิ่นอพยพไปอยู่ประเทศอื่นแบบไปตายเอาดาบหน้าค่ะ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 26 ม.ค. 01, 18:29
สมัยก่อนประวัติศาสตร์นี่หาหลักฐานยากหน่อยครับ ก็ยังไม่มีประวัติศาสตร์จารึกเป็นตัวอักษรน่ะ คงต้องใช้หลักฐานทางโบราณคดีแทน
มีใครบอกผมว่าอารยธรรมบ้านเชียง หรืออย่างไร เป็นที่แรกๆ ในโลกที่มนุษย์รู้จักปลูกข้าว (เจ้า) อยู่ในเมืองไทยนี่เองครับ ต้นตระกูลชาวนา แต่ข้อนี้ก็ยังถกเถียงกันอยู่ เห็นบางสำนักว่าเป็นอารยธรรมโบราณในดินแดนที่เป็นเมืองจีนเดี๋ยวนี้


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: Oatmeal ที่ 26 ม.ค. 01, 23:58
ในสมัยอยุธยา  แนะนำให้ลองอ่านใน
จดหมายเหตุลาลูแบร์ดูครับ
ค่อนข้างกล่าวไว้อย่างละเอียด
อีกเล่มคือ ประวัตฺสาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม  โดย ตุรแปง
เอาไว้แล้วผมจะพิมพ์ มา Post ลงในนี้ให้อีกทีนะครับ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: Oatmeal ที่ 27 ม.ค. 01, 00:00
ขอโทษครับ กำลังง่วงเลยพิมพ์คำว่า ประวัติศาสตร์ผิด อิอิ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: ชาวนาไทย ที่ 27 ม.ค. 01, 02:04
แล้วคิดว่าชาวนาเค้าจะทำนากันอย่างไรอะครับ มีควายไถนาหรือป่าว เกี่ยวข้าวอย่างไงอะครับ  แล้วเค้าทำอย่างไรกะข้าวบ้างอะครับ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: Oatmeal ที่ 27 ม.ค. 01, 11:40
ขออนุญาตยกข้อความในบทที่เกี่ยวกับชาวนาไทย  จากจดหมายเหตุลาลูแบร์  มาตามที่สัญญาไว้ครับ
เป็นฉบับแปลโดยกรมพระยานริศรา ปี ๒๔๕๔

“ชาวสยามปลูกข้าวในที่นาดอน  ในพระราชอาณาจักร ซึ่งน้ำฝนไม่ไหลท่วม  นาอย่างนี้มั่นคงมากกว่านาลุ่มดังกล่าวแล้ว  และได้เมล็ดข้าวดีกว่าด้วย  เก็บไว้ได้นานกว่า  เมื่อข้าวกล้างอกงามอยู่ในเทือกตกกล้าที่หว่านเพาะไว้นานพอแล้ว  ก็ถอนมาดำใหม่ในที่นาอื่นซึ่งได้ไถคราดทำเทือกเตรียมไว้  เสร็จแล้วระบายน้ำเข้าไปท่วมอย่างเราทำนาเกลือ  กระทั่งน้ำเพียงพอนวดดินให้น่วม  เพราะต้องการเช่นนี้จึงต้องหาที่ดอนหน่อยและนาอย่างนี้ต้องขังน้ำฝนไว้ในนาเอง  จึงยกคันนารอบๆเป็นกะทงๆ  และระบายน้ำเข้าไปเลี้ยงพื้นดินได้ระดับ   เมื่อมีน้ำท่วมแม้เพียงเฉาะแฉะแล้วก็เอาต้นข้าวกล้าที่ถอนมาดำรากมิดลงไปในดินทีละกอๆ  ด้วยใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไป”

ผมว่าวิธีการของชาวนาไทยในสมัยอยุธยากับปัจจุบันนั้นไม่แตกต่างกันสักเท่าไร

และใช้วัวควายเหมือนเดี๋ยวนี้ละครับ
เอาไว้จะคัดบทที่เกี่ยวกับวัวควายสมัยนั้นมาฝากอีกทีครับ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 28 ม.ค. 01, 00:58
แล้วการที่ชาวนาหลาย ๆ บ้านมาช่วยกันเกี่ยวข้าว แบบที่เรียกว่า การลงแขก (ไม่น่ากลายเป็นความหมายอื่นไปเลย) นี่มีหลักฐานมาตั้งแต่สมัยไหนครับ พอจะทราบมั้ยครับ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: ชาวนาไทย ที่ 28 ม.ค. 01, 03:12
แล้วพิธีกรรมเกี่ยวกับการทำนาหละครับ เค้าทำอะไรกันบ้าง ทั้งในสมัยก่อนและปัจจุบัน ผมก็อยากทราบครับว่าการลงแขกมีแต่สมัยไหน


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: Oatmeal ที่ 28 ม.ค. 01, 14:00
พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนี่มีมาแต่ สมัยอยุธยาแล้วครับ
ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ก็กล่าวถึงอยู่หลายตอน


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 29 ม.ค. 01, 00:19
อย่างนั้นสนามหลวงในสมัยอยุธยานี่คือ ที่ไหนครับ ใช่ทุ่งพระเมรุหรือเปล่า


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: สำรวย ที่ 30 ม.ค. 01, 04:58
อ่านแล้วชวนสงสัยหลังจากว่างจากการทำงานแล้วชาวนาเค้าทำอะไรกันค่ะ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: แจ้ง ใบตอง ที่ 30 ม.ค. 01, 13:09
ชนบทสมัยก่อนชาวนาทำนาได้เฉพาะในฤดูทำนาเท่านั้น บางที่ก็ปีละครั้ง บางที่ก็ปีละสองครั้ง
เมื่อหมดจากหน้านาชาวนาก็ว่าง มีเวลาว่างมากก็ต้องหาอะไรทำเพื่อให้แก้เซ็ง ชาวนาที่มีฝีมือ
ทางด้านศิลปะ หรือทางด้านช่างก็อาจจะเข้าวัดเข้าวา สร้างสรรค์ศิลปะที่เป็นโบราณสถาน
โบราณวัตถุในเวลาต่อมา ตามแต่กำลังฝีมือ คนที่ไม่มีฝีมือทางศิลปะ ก็หาอะไรทำที่มันสนุกสนาน
ตามเทศกาลหรือขี้เกียจหน่อยก็เล่นการพนัน ต้มเหล้ากินกันบ้าง ที่ยิ่งกว่านั้น อาจจะรวบรวมพวก
ออกปล้น คุณชายคึกฤทธิ์ท่านว่าการปล้นสมัยก่อนเป็นกีฬาของลูกผู้ชายอย่างหนึ่ง ก่อนปล้นก็ต้อง
มีการแจ้งเจ้าทรัพย์ล่วงหน้าว่าเสือจะเหยียบแดนเมื่อไหร่ เจ้าทรัพย์จะได้เตรียมตัวป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ
พอปล้นได้ก็เอาทรัพย์สินมาแบ่งพวกพ้องลูกเมีย  ปล้นก็มิได้เอาทรัพย์สินไปหมดเหลือติดบ้านไว้ให้
เจ้าของทรัพย์ทำทุนบ้าง เป็นสปริตของโจรน่ะครับ ความจริงผมก็ไม่ค่อยทราบรายละเอียดมาก
เพราะยังไม่เคยเป็นโจร ฟังจากคุณตาเล่าให้ฟังอีกที...


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: สำรวย ที่ 01 ก.พ. 01, 00:36
ไม่มีเรื่องเล่าจากคุณตาอีกแล้วเหรอครับ อยากฟังอีก ครับคุณแจ้ง ใบตอง


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: อ่ำแมน ที่ 01 ก.พ. 01, 01:04
แล้ตกลงภาคอีสานปลูกข้าวมาก่อนภาคกลางจริงเหรอ แล้วควายล่ะ มาจากภาคอีสานเช่นกันหรือไม่


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: แจ้ง ใบตอง ที่ 01 ก.พ. 01, 19:54
อารยธรรมโบราณในประเทศไทย ผมคิดว่าบ้านเชียงน่าจะเป็นที่แรกที่พบหลักฐานว่า
คนสมัยนั้นดำรงชีพด้วยการกินข้าว ข้าวที่คนบ้านเชียงกินคงจะเป็นข้าวเหนียวครับ หลายร้อยปีก่อน
คนไทยทั้งประเทศก็กินข้าวเหนียว พอเรารับวัฒนธรรมการกินมาจากอินเดีย ก็เริ่มเปลี่ยนมา
เป็นกินข้าวเจ้า โดยเริ่มจากชนชั้นสูงคือกษัตริย์ก่อน จึงเรียกว่าข้าวเจ้า ต่อมาข้าราชบริพาร
ก็เริ่มกินข้าวเจ้าบ้าง จนมาถึงชนชั้นล่างในที่สุด  (ตรงนี้ไม่ยืนยันความถูกต้องครับ เคยอ่าน
ผ่านมานานมากแล้ว จำชื่อหนังสือไม่ได้ด้วย)

ภาคกลางปลูกข้าวเจ้าไว้กิน  แต่ปลูกข้าวเหนียวไว้ทำขนม
ภาคอีสานปลูกข้าวเหนียวไว้กิน แต่ปลูกข้าวเจ้าไว้ทำขนม (ขนมจีน/ข้าวปุ้น)

ข้าวเจ้าสามารถมาทำเป็นขนมได้หลายชนิดเหมือนกันเช่น ขนมปลากริม (ไม่รู้เขียนอย่างนี้หรือเปล่า)
น่าจะใช้แป้งข้าวเจ้าทำ แต่ที่แน่ๆ คือข้าวพญาคู ข้าวพญาคูนั้น ผมเคยทำกินเล่นระหว่างพี่ๆน้องๆ
ครั้งไหนไปเที่ยวบ้านคุณตา (ตอนที่ข้าวเริ่มตั้งท้องเป็นน้ำนม) ผมจะออกไปเกี่ยวข้าว  แล้วก็
ขอยืมครกตำข้าวของคุณลุง มาตำข้าวโดยใส่ลงไปทั้งรวง ตำไปเรื่อยๆจนเมล็ดข้าวเริ่มแตก
น้ำนมข้าวสีขาวก็จะออกมา ผสมกับสีเขียวของใบข้าวเปลือกข้าว พอถึงตอนนี้ต้องตำเบาๆ
มิฉะนั้นน้ำนมข้าวจะกระฉอกหกหมด ตำหลายรอบกว่าจะได้น้ำนมข้าวสีเขียวหนึ่งกาละมังย่อมๆ
เสร็จแล้วก็นำน้ำนมข้าวมากรองเศษใบข้าวเปลือกข้าวออก  แล้วก็ใส่หม้อตั้งไฟ สักพักก็เติม
น้ำตาลให้หวานมากน้อยตามใจชอบ ต้มข้าวไว้ซักครู่พอเริ่มข้น (อย่าให้ข้นมาก) ก็ยกลงเป็นอันเสร็จ
เราจะได้ข้าวพญาคูที่หอมหวาน นำมาแบ่งกันกินระหว่างพี่ๆ น้อง

ขอโทษเจ้าของกระทู้ครับที่ออกนอกเรื่องไปนิดนึง อยากเล่าอะไรๆให้ฟังเป็นการแก้เหงาไปในตัว
ที่บ้านคุณตาผมทำนาครับ ตอนนี้ก็ยังทำอยู่ที่หนองจอก ผมจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับชีวิตชาวนาพอสมควร
ถ้าอยากได้รายละเอียดเกี่ยวกับการทำนามากๆ    ผมแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง"หนุ่มชาวนา"
ของนิมิตร ภูมิถาวร ครับ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 01, 20:28
ข้าวพญาคูของคุณแจ้ง เคยได้ยินเขาเรียกว่าข้าวยาคูค่ะ ทำอย่างที่ว่า  บางคนก็ใส่ใบเตยลงไปให้สีออกเขียวและหอมใบเตยด้วย
เขาว่ามันเหมือนพุดดิ้ง  ใครเคยกินทั้งสองอย่าง ตอบได้ไหมคะ
อยากฟังเรื่องชีวิตชนบทจากคุณแจ้งอีกค่ะ ยังไงถ้ามีเวลา ก็ช่วยไปตั้งกระทู้ใหม่ด้วยได้ไหมคะ

เรื่องโจร ได้ยินมาคล้ายๆกับคุณแจ้งค่ะ   เป็นสังคมสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒
พวกนี้เขาอยู่กันเป็นหมู่บ้าน  พี่น้องเครือญาติกันหัวบ้านท้ายบ้าน  พอรวมกำลังกันได้บางทีก็เลิกทำไร่ทำนา  ปล้นเขากินสะดวกกว่า
มหาดไทยยุคสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เคยปราบโจรพวกนี้มามาก   บางคนพออายุมากเข้าก็เกษีนณตัวเอง  กลายมาเป็นฝ่ายมหาดไทย ช่วยปราบโจรรุ่นหลังก็มี


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: แจ้ง ใบตอง ที่ 01 ก.พ. 01, 23:18
ความจริงก็ไม่ค่อยชนบทมากเท่าไหร่ครับ   อยู่ชานๆ กรุงเทพนี่เอง ถิ่นฐานทางแม่อยู่หนองจอก
ทางพ่ออยู่ตลิ่งชัน ทั้งสองที่ก็ยังเป็นชนบทของกรุงเทพอยู่ ฝั่งธนทำสวน ฝั่งพระนครทำนา แต่ผม
ใช้ชีวิตอยู่ที่สวนฝั่งธนมากกว่า เพิ่งย้ายมาเรียนหนังสือที่ขอนแก่นไม่กี่ปีนี้เอง ถ้ามีโอกาสเหมาะๆ
จะหาเรื่องชนบทๆ มาเล่าให้ฟังครับ

เรื่องโจรที่อยู่กันเป็นหมู่บ้าน หรือเป็นซ่องโจร ที่ขึ้นชื่อก็มี ซ่องดำหัวแพร (น่าจะอยู่ที่พัทลุง คุณ นกข.
คงทราบดี  พวกนี้ไม่ทำนาครับ ปล้นอย่างเดียว) ดำหัวแพรจะโหดร้ายมาก ถ้าปล้นบ้านไหนแล้วเจ้าของบ้าน
ไม่เอาเงินติดบ้านไว้ให้เลย(เช่นเอาไปฝากธนาคารหมด) จะโดนฆ่าทั้งบ้าน  ชาวบ้านก็กลัวต้องเก็บเงินไว้ที่บ้านบ้าง
เผื่อดำหัวแพรมาปล้นจะได้มีให้ (สมัยนั้น ชาวบ้านพึ่งตำรวจไม่ได้เลย เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง)
โจรกลุ่มของดำหัวแพรจะมีสัญลักษณ์คือการเดินถือพร้าบังหู ถ้าใครเดินถือพร้าบังหูก็เป็นอันรู้กันว่าเป็นพวก
เดียวกัน แต่ก็มีพวกที่อยากเลียนแบบ ชอบเดินถือพร้าบังหู  ถูกลูกน้องของดำหัวแพรตบเดี้ยงไปหลายราย...

ออกนอกประเด็นของกระทู้อีกแล้ว ขออภัยอีกครั้งครับ พอดีติดพัน


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: สำรวย ที่ 02 ก.พ. 01, 01:23
จริงๆแล้วหลักฐานที่ถ้ำผีแมน จ.แม่ฮ่องสอน มีหลักฐานเกี่ยวกับการเพาะปลุกที่สันนิษฐานได้ว่ามนุษย์อาจเริ่มมีการเพาะปลูกเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่เราไม่พบเมล้ดข้้าว พบแต่เมล็ดพันธ์พืชอื่นๆ ถ้ามีการเพาะปลูกข้าวขึ้นจริง แล้วพบหลักฐาน ที่นี้ก็จะมีอายุที่เก่าที่สุด เพียงแต่ในขณะนี้ก็ยังไม่มีใครยืนยันได้ คงต้องให้ข้าวที่บ้านเชียงมีค่าอายุที่เก่าที่สุดไปก่อนนะครับ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: ชาวนาไทย ที่ 02 ก.พ. 01, 01:26
ดีมากเลยครับคุณแจ้ง ใบตอง ไม่ถือว่าออกนอกเรื่องเลยครับ อยากให้คุรแจ้ง และคนอื่นๆช่วยเล่าเรื่องชาวนา บ้านเราอีกเยอะๆจังเลยครับ


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: แจ้ง ใบตอง ที่ 02 ก.พ. 01, 13:23
เรื่องอาหารการกินของชาวนา ก็เป็นเรื่องที่น่าพูดถึงครับ    ชาวนากินอยู่ง่ายๆ สมัยก่อนชาวนา
ไม่ต้องซื้อกับข้าวกิน    ทุกอย่างหาเอาตามท้องทุ่ง   อยากจะกินอะไรก็หาเอา  อาหารหลักจะเป็น
พวกปลา เกือบทุกบ้านจะมีเครื่องมือหาปลาอยู่แล้วเช่นพวก ลอบ ลัน ไซ แห เบ็ด  พวกนี้เป็น
เครื่องมือที่สามารถหยิบฉวยไปกับตัวได้  แต่ถ้าเป็นยอจะต้องทำให้มั่นคง ไม่สามารถเคลื่อนย้าย
ได้(ยอบางชนิดมีขนาดเล็ก สามารถเคลื่อยย้ายได้เช่นกัน)  ยกยอให้สนุกต้องหน้าหนาว หลังจาก
นวดข้าวเสร็จแล้ว ยกกันตลอดคืนเพราะว่าช่วงนี้ปลาเยอะครับ ดึกๆถ้าหนาวนักก็เอาฟางมาสุมไฟ
แก้หนาว ปลาที่ยกได้ก็จะเอาใส่กระชังไว้ข้างยอก่อน ถ้าได้ปลามากๆ ก็เอาไปทำปลาร้าบ้าง ทำน้ำปลา
บ้าง(ชาวนาไม่ซื้อน้ำปลากิน ทำน้ำปลากินเอง) ตากแห้งบ้าง จนบางทีกินปลากันจนเบื่อ ต้องเปลี่ยน
ไปกินอย่างอื่น...

ของหวานก็มีกินไม่ได้ขาดครับ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล เดือนสามนี่จะมีการกวนกาละแม ที่ขึ้นชื่อก็คือ
การกวนกระยาสารทเดือนสิบ กวนกระยาสารทนี่ต้องใช้ฝีมือครับ เพราะต้องประกวดประขันกันด้วย
ส่วนผสมต่างๆ ต้องพอเหมาะ น้ำอ้อยกี่ส่วน แบะแซกี่ส่วน ถั่วลิสง งาข้าวตอก ใช้อย่างละเท่าไหร่
(ผมจำรายละเอียดได้ไม่หมด) ต้องคำนวณให้ดี บ้านไหนครอบครัวใหญ่ก็กวนกันหลายกระทะอย่าง
บ้านคุณตาของผมก็ประมาณ ๓ กระทะเพราะลูกหลายคน  พอกวนเสร็จก็เอาไปทำบุญ แจกลูกๆ หลานๆ
แล้วก็เอาไปแจกเพื่อนบ้าน ความจริงทุกบ้านก็กวนกินเองอยู่แล้ว แต่ที่ต้องเอาไปแจก เพราะเป็นธรรมเนียม
ว่าของใครกวนดีไม่ดี เป็นการอวดฝีมือไปในตัว บ้านที่กวนแล้วแฉะ หรือเหนียวก็จะถูกล้อ ไม่เป็นไรปีหน้าแก้ตัวใหม่...

ช่วงออกพรรษาที่ก็จะมีการทำข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มลูกโยนก็เหมือนกับข้าวต้มผัดนั่นแหละแต่ไม่ได้ใส่กล้วย
ทานกับน้ำเชื่อม วิธีการห่อก็แปลก ใช้ใบมะพร้าวที่ยังไม่แก่(ใบยังเป็นสีขาวเอามาจากทางมะพร้าวที่เพิ่งแทง
ออกจากคอ ) เวลาห่อก็ทำเป็นห่อกลมๆ ย่อมกว่าลูกปิงปองหน่อย ห่อเสร็จแล้วก็ให้เหลือใบมะพร้าวเอาไว้
ซักคืบหนึ่งเป็นหาง เอาไว้ถือไปไหนมาไหนได้ (ประเพณีการทำข้าวต้มลูกโยนจะอยู่แถวฝั่งธนครับ)

บางครั้งผมอยากกินข้าวหลาม ก็อ้อนลุงไปตัดไม้ไผ่ ทำกันทีเป็นสิบกระบอก อร่อยตามประสาเด็กๆ
ข้าวต้มผัดก็ได้กินบ่อยจนเบื่อ (บ้านผมเรียกข้าวต้มมัด)  ขนมปลากริม บัวลอย ไข่หวาน เป็นพื้น

ชาวนาแถวบ้านผมจะทำอาหารมื้อใหญ่ คือมื้อเย็น ตอนกลางวันออกไปนาก็หากับข้าวกลับมาด้วยเพื่อทำ
กับข้าวตอนเย็น แล้วก็อุ่นกินมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงด้วย  ตอนเย็นทำกับข้าวหรือมีของหวานอร่อยๆ ก็จะตัก
ไปฝากเพื่อนบ้านด้วย เป็นธรรมเนียมถ้าเอากับข้าวไปให้แล้ว เพื่อนบ้านจะไม่ล้างถ้วยชามคืนทันที วันต่อไป
หากมีอะไรอร่อยๆบ้างก็จะตักใส่ถ้วยคืนไปให้ ตอนผมเด็กๆมีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้างบ้านตักแกงมาให้ ผมล้าง
ถ้วยคืนทันที โดนแม่ดุแทบแย่ว่าไม่รู้จักมารยาท

เสียดายธรรมเนียมเหล่านี้ได้เลือนหายไปจากสังคมไทยไปเกือบหมดแล้ว เพราะขาดคนสืบทอด รุ่นลูกก็
แยกย้ายกันไปตั้งครอบครัวใหม่ รุ่นหลานก็เริ่มใช้ชีวิตเมืองกรุง กลายเป็นคนเมืองไปหมด เหลือแต่เพียง
ความทรงจำที่ดีๆ เท่านั้น


กระทู้: ชาวนาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงอยุธยาเค้ามีความเป็นอยู่อย่างไรกันนะ
เริ่มกระทู้โดย: B ที่ 02 ก.พ. 01, 20:05
Khun Jang ka, what  you wrote make me think of "Pooyai Lee" ka. I am waiting to read more ka.