เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: นิรันดร์ niran@mut.ac.th ที่ 09 พ.ค. 01, 00:46



กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ niran@mut.ac.th ที่ 09 พ.ค. 01, 00:46
ไม่เข้าใจ
เรียนถามผู้รู้หน่อยครับ

โพธิ์ เวสันตร
ดูกร มหาเวสสันดร  อย่าอาวรโว้เว้ทำเนาเขา ข้ากับเจ้าเขาจะตีกันนั้นไม่ต้องการ
ให้ลูกเป็นทานแล้วยังมาสอดแคล้วเมื่อภายหลัง ...

ที่ผมสงสัยก็คือ ตรงที่ว่า ข้ากับเจ้า หมายถึงใครกับใครครับ
ผมคิดว่าข้า น่าจะหมายถึงพระกัณหาพระชาลี ส่วน เจ้า น่าจะหมายถึงพรามณ์ชูชก

พอผมไปสอบถามอาจารย์ภาษาไทยท่านหนึ่งท่านบอกว่า
ข้าหมายถึงพระเวสสันดร เจ้าหมายถึงพรามณ์ชูชก

ผิดถูกเป็นอย่างไรช่วยชี้แจงแบบมีเหตุผมด้วยนะครับ
ผมค่อนข้างดื้อ บอกเฉย ๆ ไม่ค่อยเชื่อครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: ปะกากะออม ที่ 09 เม.ย. 01, 12:01
ก็ต้องย้อนเรื่องไปก่อนละค่ะ

นี่เป็นเหตุการณ์เมื่อชูชกได้รับพระราชทานสองกุมาร ก็ฉุดกระชากลากตีต่อหน้าพระเวสสันดร  สองกุมารร้องรำพันให้พระบิดาช่วย จนพระเวสสันดรโกรธชูชกที่กล้าตีสองกุมาร  ถึงกลับตรัสว่า

"อุเหม่ อุเหม่ พราหมณ์ผู้นี้นี่อาจองทะนงหนอ มาตีลูกต่อหน้าพ่อไม่เกรงใจ  ธชีเอ่ย  กูมาอยู่ป่าเปล่าเมื่อไร  ทั้งพระขรรค์ศิลป์ชัยก็ถือมา"   แต่แล้วก็ทรงระลึกสติ จึงสอนพระองค์เองว่า
"ดูกร มหาเวสสันดร  อย่าอาวรณ์โว้เว้ทำเนาเขา  ข้ากับเจ้าเขาจะตีกันไม่ต้องการ  ให้ลูกเป็นทานแล้วยังมาสอดแคล้วเมื่อภายหลัง"

จึงหมายความว่าไม่ควรเข้าไปยู่งกับ ข้า คือ สองกุมาร  ที่ถูกไล่ตีโดย เจ้า คือ ชูชก

ต่อจากนั้นพระเวสสันดรก็สงบพ้นจากความเศร้าโศก


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 เม.ย. 01, 13:27
มัวไปพิมพ์มาแปะ คุณปะกากะออมเข้ามาตอบให้เสียแล้ว
เอาความเห็นนี้มายืนยันอีกทีค่ะ ไหนๆก็พิมพ์แล้ว
น้ำท่วมทุ่งหน่อยนะคะ คุณนิรันดร์เก็บผักบุ้งเอาเอง

กันฑ์ ๘   กุมาร
....พระบรมราชฤาษีเธอจึงตรัสสอนพระองค์เองว่า  โภ เวสฺสนฺตโรดูกรมหาเวสสันดรอย่าอาวรณ์โว้เว้ทำเนาเขา    ข้ากับเจ้าเขาจะตีกัน   ไม่ต้องการให้เป็นทานแล้วยังมาสอดแคล้วเมื่อภายหลัง   ท้าวเธอก็ตั้งสมาธิดับพระวิโยค  กลั้นพระโศกสงบแล้ว   พระพักตร์ก็ผ่องแผ้วแจ่มใสดุจทองอุไรทั้งแท่งอันบุคคลแกล้งหล่อ   แล้วมาวางไว้ในอาศรม  

คำแปลศัพท์ที่เป็นปัญหากับคนยุคปัจจุบัน
อาวรณ์ = เรื่องมาก ไม่รู้จักจบ
โว้เว้  = เหลวไหล
ทำเนาเขา  = ช่างเขาเถิด
สอดแคล้ว  = กินแหนงแคลงใจ
แกล้ง = แปลว่า ตั้งใจทำ บรรจงทำ ค่ะ
มั

ถอดความออกมา(ตามสำนวนของดิฉัน)ว่า  พระเวสสันดรสอนพระองค์เองว่า...นี่แน่ะเวสสันดร  เธออย่าเรื่องมากไม่รู้จบ เหลวไหลจริง  ช่างเขาเถิด   ข้ากับเจ้าเขาจะตีกัน ทำเหมือนเธอไม่ต้องการยกลูกให้เป็นทาน  แล้วยังจะมาเรื่องมากแคลงใจกับพราหมณ์ในตอนหลังเสียอีก
พอตั้งสมาธิระงับอารมณ์ได้แล้วพระพักตร์ก็แจ่มใสเปล่งปลั่งขึ้นเหมือนแท่งทองที่ช่างบรรจงหล่อนำมาตั้งไว้ในอาศรม


ส่วนประโยคที่เป็นปัญหาคือ
ข้ากับเจ้าเขาจะตีกัน
๑)ตามความเข้าใจของคุณนิรันดร์คือ  พราหมณ์ชูชกตีสองกุมาร  พราหมณ์อยู่ในฐานะเจ้า(นาย)  สองกุมารอยู่ในฐานะข้า(บ่าว)  มายื้ดยุดตีกันชุลมุนอยู่ตรงหน้า  พระเวสสันดรจึงยกภาพที่เห็นตรงหน้ามาเตือนสติพระองค์เองว่า.... ข้ากับเจ้าเขาจะตีกัน ก็เรื่องของเขา  หักใจอย่าไปยุ่งกับเขาเลยเพราะยกลูกให้เป็นทานไปแล้วก็ถือว่าให้จริงๆ  เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ต้องมากินแหนงแคลงใจกันภายหลัง
๒) ส่วนอาจารย์ภาษาไทยท่านนั้น   คุณไม่ได้บอกว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น  ดิฉันเดาว่าท่านตีความว่า ข้ากับเจ้าเขาจะตีกัน คือ
ข้า = I หมายถึงพระเวสสันดร
เจ้า = you หมายถึงชูชก
จะแปลอย่างอื่นไม่ได้ เพราะพระเวสสันดรไม่ใช่ข้า(บ่าว)ของชูชก และชูชกก็ไม่ใช่เจ้า(นาย) หรือเจ้าใหญ่นายโตมาจากไหน  แม้อยู่ในวรรณะพราหมณ์ ซึ่งทางอินเดียถือว่าเหนือกว่าวรรณะอื่น  การแปลเวสสันดรชาดกก็ไม่ได้ยึดถือเรื่องวรรณะเป็นใหญ่   กลับให้ชูชกยกย่องนอบน้อมพระเวสสันดรด้วยซ้ำ เพราะในสังคมไทย กษัตริย์เป็นใหญ่ที่สุด

ย้อนกลับมาแปลอีกที
แปลว่าพระเวสสันดรทรงคว้าพระแสงศรขึ้นมาจะตีกับชูชก   เพราะไม่ต้องการให้ลูกเป็นทาน แล้วยังกินแหนงแคลงใจที่ชูชกทารุณสองกุมาร  ?
ถ้าคิดยังงั้นละก็อาจารย์ภาษาไทยผิด   เพราะพระเวสสันดรไม่ได้พูดกับชูชก ท่านพูดกับตัวเองต่างหากล่ะคะ  และมีประโยคที่แสดงเห็นชัดว่าท่านเตือนสติตัวเองไม่ให้เข้าไปยุ่งด้วย ไม่ใช่บอกตัวเองว่าจะไปตีกับชูชก หรือแม้แต่เตือนตัวเองไม่ให้ไปตีกับชูชก
อีกอย่างคือชูชกเป็นบุคคลที่ ๓ ในความคิดนี้  ค่ะ  จะเป็น "เจ้า" กับ "ข้า " ไม่ได้

สรุปสั้นๆหลังจากให้เหตุผลมาเสียยาว ว่าดิฉันเข้าข้างคุณนิรันดร์ค่ะ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 09 เม.ย. 01, 14:53
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยครับ
วันหลังจะรบกวนใหม่นะครับ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 10 เม.ย. 01, 02:45
อ่านทีไร ก็ไม่ชอบพระโพธิสัตว์ ปางสุดท้ายก่อนเสวยชาติเป็นพระพุทธเจ้าเลยครับ
ผมคิดเหมือนกับ ลูกสาวของพระเวสสันดร ตรงที่คงจะคิดว่า พ่อทำไมถึงไม่รักเราเลย
จนทำให้ชาติต่อมา มีเฉพาะลูกชายเท่านั้นที่ตามไปเกิดเป็นโอรสของพระพุทธเจ้าใช่มั้ยครับ ผมอ่านทีไร ผมก็รู้สึกว่า การได้บรรลุถึงธรรมะอันสูงสุด ทำไมต้องทำให้ต้องทำให้คนที่เรารักต้องเจ็บปวดและเดือดร้อน จริง ๆ น่าจะเป็นบาปหรือเปล่า ผมไม่สามารถเข้าใจจริง ๆ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 12 เม.ย. 01, 15:54
เห็นด้วย
ถึงไม่รักลูกก็ไม่มีสิทธิที่จะส่งลูกให้ไปเดือดร้อน ถูกคนอื่นทรมาน
ผมคิดว่าน่าจะเป็นแค่นิทานมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ผมว่าคำสอนในพระพุทธศาสนา เป็นคำสอนที่
เมื่อไปปฏิบัติแล้วจะเกิดผลจริง และไม่จำกัดกาล เรียกว่า อะกาลิโก
คือปฏิบัติเมื่อไรก็ได้ผลดีเมื่อนั้น

เช่นเมื่อเราลดความยึดมั่นถือมั่นลงได้บ้าง
เวลาเราสูญเสียของที่เรารักก็ไม่ทุกข์มาก
แต่จะไม่ให้รักลูกเลย เอาไปยกให้เป็นทาสคนอื่น อันนี้ก็ทำใจลำบากครับ
ยิ่งเห็นคนอื่นมาทุบตีลูกเราต่อหน้า ผมว่าคงได้ตายกันไปข้างแน่
ผมคงบรรลุยาก


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: อำแดงริน ที่ 12 เม.ย. 01, 20:17
ตั้งแต่เด็กๆ อ่านเรื่องนี้ครั้งแรกก็ไม่ชอบพระเวสสันดรเสียแล้วค่ะ คนอะไร ใจร้ายจริงๆ
จะเอาตัวเองบรรลุท่าเดียว...5555

เห็นด้วยกะคุณพระนายและคุณนิรันดร์ค่ะ
^___^
อ้อ ไม่เจอกันนานนนนนนน
สบายดีหรือคะ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 12 เม.ย. 01, 20:36
เคยคุยกันเรื่องนี้มาแล้วรอบหนึ่ง
อยากให้อจารย์นิรันดร์ คุณพระนาย และอำแดงรินลองหาหนังสือเล่มหนึ่งของทางสวนโมกข์ ชื่ออะไรผมก็ลืมแล้ว จะเป็นตีความเวสสันดรชาดกแบบมองด้านใน หรือยังไงนี่แหละ

ท่านตีความใหม่หมดครับ ท่านว่า เรื่องเวสสันดรชาดกเป็นปริศนาธรรมหรือสัญลักษณ์ทางนามธรรม บ่งถึงการต่อสู้ในใจคนเรานี่เอง ตัวละครทุกตัวท่านจับตีความใหม่หมดเป็นนามธรรมไปหมด เป็นกิเลสบางตัวบ้างเป็นลักษณะของธรรมมะบางข้อบ้าง เป็นอาการของจิตบางอย่างบ้าง

สรุปแล้ว ไม่มีคนจริงๆ อยู่ในตัวละครเลย ก็เลยไม่เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะกระบวนการในจิตมันไม่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนใดๆ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 13 เม.ย. 01, 00:30
ผมมักจะมีข้อสงสัยตรงนี้แหละครับ ถ้าพูดก็คือว่า อย่าไปหวังเลยเรื่องบรรลุ แค่เข้าใจก็ไม่เข้าใจแล้วล่ะครับ อย่าง พรหมวิหาร 4 เนี่ยก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ผมยอมรับว่า ทำได้ยากมากครับ
เมตตา อันนี้ผมว่ามีอยู่ในเกือบทุกคน
กรุณา เช่นเดียวกัน
มุทิตา ยังไม่ยากมาก
อุเบกขา นี่แหละครับ ที่ใกล้เคียงกับเรื่องพระเวสสันดร คือทำยังไงที่เราจะไม่เศร้า เสียใจ กับความทุกข์ของคนที่เรารัก เลย มองว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอะไรงี้
ขอแย้งคุณ นกข. นิดนึง ครับ ถึงแม้ตัวละครในพระเวสสันดรจะเป็นนามธรรมก็ตาม
ความรู้สึกของการจะบรรลุจนสามารถ ตัดใจให้ ความรัก ความผูกพันระหว่าง พ่อแม่ลูก ซึ่งเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด ยังต้องตัดทิ้งเนี่ย ผมยังมีคำถามครับ ว่าเป็นสิ่งที่น่าทำเหรอครับ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 13 เม.ย. 01, 05:40
ผมไม่มีหนังสือเล่มนั้นอยู่ในมือเสียด้วย แต่ผมแนะนำให้คุณพระนายไปหาอ่านครับ น่าสนใจครับ

แต่อธิบายตามที่จำได้ลางๆ (ซึ่งอาจจะผิด) ไม่มีความรู้สึกของความรักแบบพ่อแม่ลูกเลยครับ ในการตีความของท่าน "พระเวสสันดร" / "นางมัทรี" เป็น "พ่อแม่" ของ "กัณหา/ชาลี" นั้น ไม่มีคนที่ชื่อเวสสันดร คนที่ชื่อมัทรี คนที่ชื่อกัณหากับชาลี อยู่เลย เป็นลักษณะว่า กัณหาชาลีเป็นความรู้สึกชนิดนี้ ซึ่งเกิดขึ้นมา เพราะปัจจัย คือ อาการทางจิตชนิดนั้น กับชนิดนั้น ดังนั้นพูดเป็นสัญลักษณ์ได้ว่า ความรู้สึกชนิดนี้เป็น "ลูก" ของอาการทางจิตชนิดนั้น ไม่มีบุคคลอยู่จริงๆ ไม่ได้เป็นพ่อแม่ลูกกันจริงๆ
ดังนั้นในกรณีของการตีความอย่างนี้สำนักนี้ ความรู้สึกที่พ่อแม่ (ที่เป็นคนจริง) รักลูก (ที่เป็นคนจริง) จึงไม่มาเกี่ยวข้องเลย เพราะเรากำลังพูดถึงว่าอาการอย่างนี้ของจิต เกิดจากอาการอย่างนั้น ต่างหาก

เหมือนกับว่าเรามีสมการเคมีอยู่สมการหนึ่งบรรยายถึงปฏิกิริยาเคมี สารประกอบตัวหนึ่ง บวกกับอีกตัวหนึ่ง กลายเป็นตัวใหม่ เอามาเล่าเป็นภาษาวรรณคดีก็อาจเล่าได้ว่า สารตั้งต้น 2 ตัวแรกเป็นพ่อกับแม่ สารตัวหลังเป็นลูก แล้วถ้ามีการแยกสารตัวลูกนั้นออกไปจากบีกเกอร์ ทำให้สารตั้งต้นเย็นลง (-สมมติ) ภาษาวรรณคดีอาจจะเล่าได้ว่า พ่อแม่บริจาคลูกไป แต่ถามว่า เรื่องนี้มีความรู้สึกรักลูกตามประสามนุษย์มาเกี่ยวไหม ถ้าถือตามการตีความนี้ก็ต้องบอกว่า ไม่เกี่ยวเลยครับ เพาะจริงๆ มันเป็นสารเคมี


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 13 เม.ย. 01, 06:03
และแท้ที่จริงเอาจริงๆ แล้ว แม้แต่ถ้าจะกล่าวถึงความรู้สึกของคนจริงๆ (ที่ไม่ใช่นามธรรม) ถ้าคุณจะไปนิพพานจริงๆ แล้ว ความเป็นห่วงลูกหลานคุณก็ต้องตัดให้ได้นะครับ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 เม.ย. 01, 08:49
คำว่า นิพพาน มีอยู่ในศาสนาและลัทธินิกายอื่นนอกจากพุทธค่ะ อย่าง เชน ของศาสดามหาวีระก็มี
มีวิธีบรรลุกันคนละแบบ
พุทธศาสนาถือว่าการบรรลุนิพพานคือการตัดความเกี่ยวข้องในกิเลสออกไปทั้งหมด ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง
ความรักลูกเมียก็ต้องตัด  ไม่งั้นก็จะวนเวียนกลับมาเกิดใหม่ อยู่ในสังสารวัฏฐ์ไม่หมดสิ้น
การไปให้พ้นคือตัดขาดจากทุกอย่าง  ไม่ยึดมั่นกับอะไรทั้งนั้น

ในฐานะมนุษย์ซึ่งยังไม่คิดจะตัดขาด   ดิฉันอ่านเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกอย่างคุณพระนายทุกทีละค่ะ    ต่อให้รู้ว่าเป็นแค่สารเคมีอย่างคุณนกข.ว่าก็เถอะ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: อำแดงริน ที่ 13 เม.ย. 01, 14:10
^______^
คุณนกข.เจ้าคะ
ความรู้สึกรักลูกไม่มี เพราะคิดแบบสารเคมี
แต่ลูกโดนตีแล้วเจ็บ สารเคมีไม่เจ็บนะ
อย่างมากตีเข้าก็บีกเกอร์แตก อิ อิ
มาแซวค่ะ เรื่องธรรมะไม่สู้


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 17 เม.ย. 01, 11:34
ผมเข้าใจคล้ายที่คุณเทาชมพูอธิบายว่า
จะบรรลุธรรมชั้นสูง ต้องตัดขาดจากอารมณ์ต่าง ๆ ให้ได้
แต่การที่รู้ว่า ถ้าส่งลูกให้ไปเป็นทาสแล้วลูกต้องเดือดร้อนแสนสาหัส
ไม่น่าจะเข้าหลักพรหมณวิหาร
เพราะทำไปเพื่อความสุขของชูชก แต่ตั้งบนความทุกข์ของสองกุมาร
ของพระนางมัทรี และทั้งของประองค์เองด้วย

เห็นด้วยที่ว่า ถ้าจะออกบวช ต้องตัดขาดจากลูกเมีย
แต่ไม่ใช่ยกลูกเมียไปให้คนอื่นทารุณ
อย่างไรก็ตาม ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ก็เป็นวรรณคดีที่ควรอนุรักษ์
แต่เราก็น่าจะใจกว้างให้คนวิจารณ์ด้วยครับ
เด็กที่เรียน ถ้ามองในมุมที่ไม่เหมือนครูหรือต่างจากความเชื่อเดิม
ก็ควรได้คะแนน ถ้าเรียนอย่างมีเหตุผล มิใช่เพียงจำไว้นะ ฉันสอนอย่างนี้


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 17 เม.ย. 01, 16:41
การตีความที่ผมว่า เป็นแค่แนวเดียวสำนักเดียวเท่านั้นครับ และว่าที่จริง ไม่ใช่แนวที่แต่ก่อนเขาตีความกันมาด้วย สำนักสวนโมกข์ท่านตีความขึ้นมาใหม่ เป็นแต่ส่วนตัวผมชอบการตีความของท่านเท่านั้น

เรื่องนี้สุดแต่ตีความครับ ผมไม่ขัดข้อง ยินดีรับการตีความทุกอย่าง

ที่เขาตีความขึ้นมาแต่เดิมนั้น เน้นเรื่องทานบารมี การให้ พระเวสสันดรให้ทุกอย่าง ให้ช้างม้ารถคชพลธนสารสมบัติ จนถึงบุตรภริยาก็สละได้เป็นทาน เพราะ "พระบิตุรงค์จงรักพระโพธิญาณ".. ในแง่นี้คนแต่ก่อนเขาก็จะชื่นชมว่า พระเวสสันดร เป็น คน ที่บำเพ็ญบารมีขั้นสูงจริงๆ สละหมด แต่พอถูกคนสมัยนี้ถามว่า พระเวสสันดรทำไมเป็นพ่อที่ใจร้ายจัง แล้วสิทธิมนุษยชนของกัณหาชาลี พระนางมัทรีไปอยู่ไหนเสียล่ะ คนเก่าๆ ท่านก็คงจะอึกอักเหมือนกัน เผลอๆ อาจดุส่งด้วยว่าสงสัยอะไร บาป -

ผมเองก็เคยสงสัยอย่างนี้แหละครับ แต่พอทางสายสำนักท่านพุทธทาสท่านบอกว่าท่านจะลองตีความใหม่ เหมือนที่ตีความไซอิ๋ว  "ถอดรหัส" ออกมา จากบุคคลาธิษฐานเป็นธรรมาธิษฐาน ผมเลยเกิดความเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่งว่าเอ้อ มองมุมใหม่อย่างนี้ก็ได้เหมือนกันแฮะ

ในการตีความใหม่นี้ ทานไม่ใช่จุดสำคัญที่สุด (ถ้าผมเข้าใจท่านไม่ผิด) แต่เรื่องเวสสันดรชาดกทั้งเรื่องคือสัญลักษณ์ของกระบวนธรรมที่นำไปสู่การปล่อยวาง การปล่อยวาง การไม่ยึดถือมั่น กลายมาเป็นความสำคัญกว่าทาน การเสียสละถูกตีความใหม่เป็นการสำรอกการสลัดสละความยึดถือมั่นออกไป ไม่ใช่การบริจาคเงินทองสิ่งของ อย่างที่บอกแล้ว ตามทีท่านว่า ไม่มีคนจริงๆ สักคนเดียว พระเวสสันดรก็อยู่ในใจเรา ชูชกก็ใช่ ท้าวสีพี กัณหา ชาลี มัทรี พระอินทร์ ... สีพีนคร ป่าเขาวงกตทั้งป่า ฯลฯ ล้วนอยู่ในใจเราหมด เป็นความรู้สึกชนิดต่างๆ เท่านั้นเอง

ผมเรียนด้วยความเสียดายอีกทีว่า ผมจำอธิบายของท่านไม่ได้หมด จำได้ตกๆ หล่นๆ อาจจะผิด แต่เท่าที่ผมจำได้นะครับ คล้ายๆ อย่างกับว่า กัณหา กับ ชาลี น่ะ แทนความยึดมั่นถือมั่นนะครับ ชื่อกัณหารู้สึกท่านจะวิเคราะห์ศัพท์ว่าแปลว่า ดำ ชาลีก็ บ่วง เวสสันดรดูเหมือนคือ โพธิจิต อาการเคลียคลอเคล้าเหมือนลูกแหง่ อาการที่เปรียบได้กับความหวั่นไหวของพ่อที่รักลูก จริงๆ แล้วไม่ได้แปลว่าพ่อที่เป็นคนชื่อเวสสันดร ใจร้ายจัง ขายลูกเล็กๆ น่ารัก 2 คนไปได้ลงคอ เพราะกัณหากับชาลีก็ไม่ใช่คน ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ น่ารัก แต่เป็นสัญลักษณ์แสดงความรู้สึกความติดยึดอย่างหนึ่ง อาการทั้งหมดที่ว่ามานั้นท่านแลว่าโพธิจิตยังอาลัยกิเลสบางตัว เกิดการต่อสู้กันในใจเรานี่เอง และในที่สุดก็ปล่อยวางได้ ตัดขาดจากความยึดมั่นถือมั่นได้ มัทรีก็เป็นสัญลักษณ์แทนอะไรอีกตัวหนึ่งเหมือนกัน ชูชกก็เหมือนกัน

ถ้ามองแบบนี้อย่างของท่าน ซึ่งเป็นมุมใหม่กว่าที่พระแต่ก่อนๆ มาท่านมองนะครับ ก็อย่างที่ผมบอก คือไม่เกี่ยวข้องกับความรักระหว่างพ่อแม่ลูกจริงๆ เลย ไม่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนด้วย เพราะทั้ง "พ่อ"  ทั้ง "ลูก"  "แม่"  "เมีย "ผัว"  " เจ้ากับข้า"   ฯลฯ น่ะ คือตัวเราเองอยู่ในตัวในใจเราเองทั้งหมดแหละ

ถ้ามองมุมนี้ พระโพธิสัตว์หรือผ้แสวงความจริงคนหนึ่ง บำเพ็ญเพียรละกิเลส แต่บางทีก็ยังมีอาลัยกิเลศนั้นหรือกิเลศมันมันเกาะแข้ขานัวเนียบ้าง แต่ในที่สุดก็ทำใจให้ผ่องแผ้วได้ ตัดกิเลสได้ อย่างนี้ คุณจะไปยุ่งอะไรท่านเล่า จะบอกว่าพระโพธิสัตว์ใจร้าย กิเลสที่เกิดในใจท่าน เปรียบเหมือนท่านเป็นพ่อ เคยมานัวเนียอยู่ตั้งแต่เริ่มชาติภพยังสละตัดทิ้งเสียได้ไม่ใยดี ไม่สงสารกิเลสน้อยๆ ตาดำ ๆ มั่งเลย... แฮ่ะๆ เอางั้นเหรอครับ

บอกแล้วนะครับว่านี่เป็นการตีความแนวหนึ่งเท่านั้น ผมว่าการตีความให้กัณหาชาลีแทนที่จะเป็นคนจริง เป็นเด็กน่ารัก กลายเป็นตัวแทนของกิเลสตัวหนึ่งไป นี่คงทำให้พระสำนักอื่นสะดุ้งเหมือนกัน


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: ผมครับ ที่ 20 เม.ย. 01, 19:44
อ.นิรันตร์นี่มีลักษณะเหมือนผมคือเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ เรื่องอื่นก็สนใจและเข้าไปคลุกคลีได้ด้วย
แต่ต่างจากผมครงที่ อ.นิรันดร์เปรียบเสมือน จระเข้ ผมเหมือนจ้ด้วย   อ.นิรันดร์เปรียบเสมือน แอคคอร์เดียน  ผมเหมือนหีบเพลงปาก


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: Agent Smith ที่ 21 เม.ย. 01, 15:16
เรื่องคล้ายๆใน
                                                      พระอนาคตวงศ์
                   นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลาย
                    วันหนึ่ง พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงการอุบัติตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสตอบแก่พระสารีบุตรว่า
                    "ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จะมีสรรพสัตว์ที่บังเกิดในโลก ได้เป็นพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเมื่อสิ้นอายุเป็นแน่  สัตว์เหล่าอื่นทำบาปแล้วจุติจากอัตภาพเป็นมนุษย์นี้แล้ว บังเกิดในอบายภูมิทั้ง 4  จุติจากอัตภาพนั้นท่องเที่ยวไปมา บำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จักถึงนิพพาน ดูก่อน พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เจริญ พระพุทธเจ้าในอดีต มีมาแล้วหาที่สุดมิได้ เราไม่อาจกำหนดคำนวณพระพุทธเจ้าได้ ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ในอนาคต พระพุทธเจ้า 10 พระองค์จักเสด็จอุบัติดังนี้แล"
                พระสารีบุตร จึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดาว่า  " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงแสดง พระพุทธเจ้า 10 พระองค์ แก่พุทธบริษัท 4
เถิด "
                 พระบรมศาสดาจึงทรงแสดง ทสโพธิสัตตา แก่พุทธบริษัท ดังนี้
1. พระศรีอริยเมตไตรยบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ....(ตัด)...
             เมื่อตรัสแสดงพุทธพยากรณ์ จบจึงตรัส พระคาถาธรรมแก่พุทธบริษัท 4
ว่า
             " เมื่อสัตบุรุษให้ทานที่บุคคลพึงให้ได้ยาก  
              การกระทำกรรมที่บุคคลพึงกระทำได้ยาก
              อสัตบุรุษทั้งหลายย่อมไม่ทำตามที่สัตบุรุษ
             ดำเนินนั้นๆ  ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายอัน
              อสัตบุรุษดำเนินตามได้ยาก"  ดังนี้
                จบอุเทศที่ 1 ด้วยพระพุทธพยากรณ์ดังนี้แล            
2. พระรามพุทธเจ้า   .....(ตัด)......
3. พระธรรมราชาพุทธเจ้า  .....(ตัด)......
4. พระธรรมสามีพุทธเจ้า .....(ตัด)......


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: Agent Smith ที่ 21 เม.ย. 01, 15:48
5. พระนารทพุทธเจ้า      
             เมื่อพระศาสนาของพระธรรมสามีพระพุทธเจ้าได้ล่วงไปแล้ว ได้บังเกิดสุญกัปอันเป็นกัปที่ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา และการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  เมื่อสุญกัปล่วงไป จักบังเกิดมัณฑกับ ซึ่งจักมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 2 พระองค์   อสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูรตอนเหนือซึ่งอยู่ใต้อุตตรกุรุอวีป  จักบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระนารทพุทธเจ้า และเมื่อศาสนาของพระนารทพุทธเจ้าล่วงไปแล้วพระรังสีมุนีพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เป็นองค์ที่ 2 ในมัณฑกัป
   ในกาลสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอสุรินทราหูปรมโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สิริคุต ครองนิรมลนคร มีพระมหาเทวี ทรงพระนามว่า ลัมพุสสาเทวี มีพระราชโอรส และพระราชธิดา 2 พระองค์  พระโอรสทรงพระนามว่า นิโครธกุมาร พระธิดา ทรงพระนามว่า โคตมี
   วันหนึ่งพราหมณ์ 8 คน มาเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอพระนครกับพระราชา   พระราชาผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรได้ฟังดังนั้นจึงโสมนัสยิ่ง  พระราชทานพระนครแก่พราหมณ์ทั้ง 8 แล้ว ทรงพาพระเทวี  และพระโอรสพระธิดา  เสด็จออกจากพระนครไปสู่ธรรมิกบรรพต  สร้างอาศรม  และทรงรักษาศีล ณ ที่นั้น
   ในกาลนั้น มียักษ์ตนหนึ่ง มีร่างกายสูง 120 ศอก  ออกมาจากป่าเพื่อทูลขอพระโอรส และพระธิดาทั้ง 2 พระองค์  จากพระบรมโพธิสัตว์   ครั้นได้ฟังดังนั้นพระบรมโพธิสัตว์ตรัสว่า   “ดูก่อนยักษ์ผู้มีหน้างาม ผู้เจริญ เราเลี้ยงพระโอรสทั้ง 2 ไว้เพื่อให้ทาน บัดนี้เจ้ามาที่นี่เพื่อขอ 2 กุมารนี้ ดังนั้นเราจักยก พระโอรสทั้ง 2 แก่ท่าน”  จึงเสด็จขึ้นจูงมือพระโอรสทั้ง 2 แล้วทรงหลั่งทักขิโณทกกล่าวให้หมู่เทวดาเป็นพยานในทานอันประเสริฐ และตั้งความปราถนาว่า
   “ดูก่อนปฐพี และหมู่เทวดาทั้งหลาย ขอท่านผู้เจริญทั้งหลายมาเป็นพยานให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด   พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น  เป็นที่รักยิ่งกว่าบุตรและธิดาอันเป็นที่รักน้อยกว่าร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า ด้วยผลบุญแห่งการให้บุตรและธิดาอันเป็นที่รักนี้  เราไม่ต้องการจักรพรรดิสมบัติ  ไม่ต้องการอินทสมบัติ  ไม่ต้องการมารสมบัติ   ไม่ต้องการพรหมสมบัติ  ไม่ต้องการประเทศราชสมบัติ  แต่ต้องการสัพพัญญุตญาณเท่านั้น  ขอการให้บุตร และธิดานี้ จงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณเถิด”
   เมื่อสิ้นเสียงอธิษฐาน ทันใดนั้นพื้นปฐพีได้หวั่นไหว  สะท้าน  สะเทือน สมุทรสาครก็กระเพื่อม  ขุนเขาสิเนรุราชก็โน้มยอดสู่ธรรมิกบรรพต  ฝรก็ดังกระหึ่มกึกก้อง สายฟ้าไม่ใช่ถดูกาล ก็แลบแปลบปลาบ
   ในกาลนั้นยักษ์ได้พา 2 กุมารไปหลังบรรณศาลา เอาฟันกัดคอ 2 กุมารและเคี้ยวกินทั้ง 2 กุมาร ต่อหน้าพระพักตร์พระบรมโพธิสัตว์  ทรงทอดพระเนตรเห็นหยดเลือดแต่มิได้ทรงหวั่นพระทัยเลย  กลับทรงชมเชยทานของพระองค์แก่หมู่เทวดาด้วย
   เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้กล่าวการสร้างพระบารมีของพระบรมโพธิสัตว์ตามที่พระธรรมเสนาบดีทูลขอแล้ว  ทรงมีพระพุทธพยากรณ์ว่า พระอสุรินราหูบรมโพธิสัตว์จักได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธนารทศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสูง 120 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 1 หมื่นปี มีต้นจันทน์เป็นต้นไม้ตรัสรู้  มีรส 7 ประการ เกิดขึ้นในสกลปฐพี  มหาชนทั้งปวงบริโภครสปฐพีแล้วเลี้ยงชีพ  ด้วยผลแห่งการให้กุมารเป็นทาน  มหาชนทั้งหลายจักบังเกิดความสวยงามแห่งรูป   ด้วยผลที่ยักษ์เคี้ยวกินกุมารต่อหน้าพระพักต์ของพระบรมโพธิสัตว์  แสงสว่างแห่งพระพุทธรัศมีจักบังเกิดตลอดกาลเป็นนิตย์ทั้งกลางคืน และกลางวัน
   จบอุเทศน์ที่ 5 ด้วยพระพุทธพยากรณ์ดังนี้แล
 6. พระรังสีมุนีพุทธเจ้า   .....(ตัด)......
7. พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า  .....(ตัด)......
8. พระนรสีหสัมพุทธเจ้า .....(ตัด)......
9. พระติสสสัมพุทธเจ้า   .....(ตัด)......
10. พระสุมังคลสัมพุทธเจ้า .....(ตัด)......


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 30 เม.ย. 01, 15:51
เอ  เห็นผมเป็นไอ้เข้ขวางคลองหรือครับ

ผมเห็นว่าถ้าพระเวสสันดรจะบรรลุพระโพธิญาณได้ด้วยการทำมหาปิยบุตรทานบารมี ได้นั้น
ควรเป็นการบรรลุทานเพื่อทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ด้วย
ไม่ใช่ตัวเองพ้นทุกข์ แล้วคนอื่นจะทุกข์แล้วก้อนิ่งเฉย

ถึแม้ไม่ใช่ลูกเรา ถ้าเราเห็นคนเขากำลังทำร้ายกันอยู่อย่างไม่เป็นธรรม เราจะทำอย่างไร
ถ้าเราอยู่ในวิสัยที่สามารถจะช่วยเหลือได้
ขนาด พ่อ กำลังทารุณลูกตัวเอง เราเป็นชาวบ้าน ยังต้องเข้าไปช่วยกันไม่ให้
พ่อทำร้ายลูกตัวเองได้ เรียกว่ามีเมตตา กรุณา คือต้องการให้คนอื่นพ้นทุกข์ และเป็นสุข
อุเบกขา นั่นต้องเป็นข้อสุดท้าย ถ้าทำเมตตา กรุณา และมุทิตาไม่ได้แล้วค่อยอุเบกขา

ผมว่าถ้าถือว่า พระเวสสันดรท่านเป็นเจ้าของชีวิตสองกุมาร แล้วจะทำให้คนพ้นทุกข์
ก็น่าจะยกชีวิตของสองกุมารให้เป็นสิทธิขาดของสองกุมารเอง ไม่ใช่ส่งให้คนอื่นทำร้าย
แล้ว "พระพักตร์ก็ผ่องแผ้วแจ่มใส ดุจทองอุไรทั้งแท่งอันบุคคลแกล้งหล่อแล้วมาวางไว้ในอาศรม ...


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 01, 17:49
อ่านแล้วก็อึ้งไปเหมือนกันค่ะ คุณนิรันดร์
คิดว่าจุดมุ่งหมายของผู้บันทึกเรื่องนี้ลงในพระไตรปิฎก มีจุดประสงค์ให้เห็นว่าพระเวสสันดรสามารถบำเพ็ญทานบารมีได้ยอดยิ่งกว่ามนุษย์อื่น
อะไรที่มนุษย์ทั่วไปรักใคร่หวงแหนเป็นตายยังไงก็ไม่ยอมให้ใคร อย่างเมียและลูก ท่านก็สละให้ได้
แม้มีกิเลสวูบขึ้นมาก็หักอารมณ์นั้นได้สำเร็จ  เป็นความยิ่งใหญ่ของพระเวสสันดร
ส่วนรายละเอียดการยกให้โดยไม่คำนึงสวัสดิภาพ ทำเอาสองกุมารถูกเฆี่ยนตีสาหัส   กลายเป็นความเคราะห์ร้ายของคนหนึ่งเพื่อประโยชน์ของอีกคนหนึ่ง  ท่านผู้บันทึกเรื่องนี้คงไม่ได้มองในแง่นั้น
อีกอย่างค่านิยมในอินเดียเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปี  (พระเวสสันดรอยู่ในสมัยไหนก็ไม่ทราบ แต่ต้องเก่ากว่านั้นแน่นอน) เป็นคนละเรื่องกับสิทธิมนุษยชนและการพิทักษ์สิทธิเด็กและสตรี
ชักมองรางๆแล้วว่าพุทธศาสนาจะอยู่ได้ ๕๐๐๐ ปีนี่จริง  เพราะเมื่อถึงวันนั้น  เหตุผลและการยึดถือของคนเปลี่ยนไปกันหมด    พุทธศาสนาอาจจะสูญไปจากการนับถือโดยไม่มีใครมาทำลาย แต่หมดไปด้วยตัวของตัวเองก็ได้


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 30 เม.ย. 01, 23:41
เรื่องนี้เคยคุยกันรอบหนึ่งแล้ว
นิทานชาดก คือนิทานอย่างหนึ่งครับ บางคนอาจจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระต่าย นาค กษัตริย์ พราหมณ์ ฯลฯ จริงๆ แต่ผมมองว่าเป็นวรรณกรรม นิทานชาดกก็เป็นประเภทหนึ่งของนิทานแขกที่มีเล่ากันมา พระโบราณาจารย์ท่านอาจจะเอามาใส่ไว้ในพระไตรปิฎก เป็นวิธีสื่อการสอนอย่างหนึ่งให้เพลินๆ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่จุดของผมคือว่า ท่านที่จดบันทึกเข้ามานั้น ก็ยังเป็นคนอินเดียยุคนั้น มีค่านิยมแบบอินเดียยุคนั้น เคยฟังนิทานอินเดียยุคนั้นหรือก่อนนั้นมา ดังนั้นก็คงจะได้อิทธิพลจากนิทานแขกอื่นๆ ด้วย

นิทานแขกอินเดีย เช่นนิทานฮินดู  (หรือแม้แต่หนังแขกเดี๋ยวนี้) ที่มุ่งให้เกิดการสะเทือนอารมณ์อย่างถึงที่สุด จนถึงกับสุดโต่ง ก็มีเป็นแบบอยู่ เช่นเรื่องท้าวหริศจันทร์ (พระเอกในใจท่านมหาตมะคานธี) ที่ยึดถือวาจาสัตย์มั่น ลั่นปากว่าจะทำบุญกับฤษีวิศวามิตรแล้วก็ทำจริงๆ จนถึงมอบราชสมบัติทั้งหมดให้ฤษี ขายพระมเหสี ขายพระโอรส ขายพระองค์เองลงเป็นทาสเอาเงินมาทำบุญ หรรือย่างท้าวอัชบาลที่เชือดเนื้อพระองค์เองให้พรานป่า ไถ่เนื้อทรายจนเนื้อหมดพระองค์สิ้นพระชนม์ ก็มีเป็นตัวแบบอยู่ แม่ยกอินเดียฟังนิทานพวกนี้แล้วก็คงร้องไห้ระงมไป รูปแบบวรรณกรรมอย่างนี้มีมาก่อน พอพุทธศาสนาเกิดขึ้น และในชั้นหลังเกิดอยากจะเล่านิทานแข่งกับฮินดูบ้าง ก็คงได้เค้าจากนิทานเดิมที่มีอยู่แล้ว (เรื่องรามเกียรติ์ยังมีโผล่อยู่ในชาดกเรื่องหนึ่งเลย เป็นเค้าๆ) ผมเชื่อว่าเป็นพระอาจารย์ในยุคหลังพุทธกาลครับ ที่เริ่มอยากจะเติมสีสันบันเทิงให้คำเทศน์ท่านบ้าง ในสมัยพุทธกาลแท้ๆ นั้นผมคิดว่านิทานชาดกยังไม่เกิด คือยังไม่มีการเล่ากัน แต่นิทานที่จะเป็นเค้าให้นิทานชาดกเกิดมานานแล้ว

ผมเองถือว่าชาดกเป็นวรรณกรรมครับ ผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าจริงๆ หรือเป็นเรื่องอดีตชาติของพระพุทธองค์จริงๆ แม้นิทานชาดกจะอ้างอย่างนั้นก็ตาม เรื่องพระมโหสถนั้น เห็นอิทธิพลเค้าเรื่องการแสดงปัญญาตัดสินคดีที่อยู่ในนิทานของอารยธรรมเก่าๆ หลายอารยธรรม (รวมทั้งคิงโซโลมอนของยิว) มีคดีหนึ่งที่พระมโหสถตัดสินคดีหญิง 2 คนแย่งลูก เหมือนในไบเบิ้ลพระคัมภีร์เก่าเปี๊ยบเลย

ดังนั้น ชาดกก็เป็นแค่เครื่องมือสื่อการสอนตัวหนึ่ง ไม่ใช่ตัวสัจจธรรมเอง (อย่างที่ทางเซนบอกว่า นิ้วที่ชี้ไปที่ดวงจันทร์ ไม่ใช่ตัวดวงจันทร์เอง) และดังนั้นผมถึงว่า เราสามารถตีความชาดกใหม่ได้ ตีให้เป็นประโยชน์ก็ได้ หรือถ้าไม่ตีความ จะฟังเล่นเพลินๆ ก็ได้เป็นนิทาน

เพราะถ้าจะเอาจริงจังแล้ว ศึกษาพุทธธรรมจากตรงอื่นดีกว่าครับ เช่น เรื่องทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดที่อื่น (ที่ไม่ใช่นิทานชาดก) ว่า การให้ที่บริสุทธิ์ ที่จะมีผลดี ควรจะประกอบด้วยปัจจัยอะไร ให้แล้วไม่เดือดร้อนเรา ไม่เดือดร้อนคนอื่น ฯลฯ ท่านตรัสไว้แล้ว ซึ่งถ้าเอามาจับกับที่อ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงเล่านิทานชาดกเองก็จะเห็นเอง ว่าพระเวสสันดรสอบผ่านหรือไม่ผ่าน หรืออย่างเรื่องพระเตมีย์ใบ้อย่างนี้ สุดโต่งหรือเปล่า เป็นพุทธแท้หรือได้เค้านิทานแขกฮินดูมา ลองนึกดูสิครับ

ทางสวนโมกข์ท่านเลยจับเอาชาดกมาตีความใหม่ไงครับ สำนักสวนโมกข์เหมือนกัน ที่บอกว่าเราต้องอ่านพระไตรปิฎกอย่างพินิจ มิใช่เชื่อหมดทุกตัวอักษร ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านอ้างนิทานเรื่องหนึ่งในพระไตรปิฎกที่พูดถึงสุริยุปราคา โดยอธิบายว่าเป็นเรื่องของเทวดาพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระราหู ... สมัยนี้เรารู้ทางดาราศาสตร์แล้วว่าคืออะไร เราจะหลับตาเชื่อพระไตรปิกฎส่วนนี้ได้หรือ? แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าห้ามเชื่อพระไตรปิฎกเลย หรือว่าเหลวไหลหมด เพราะส่วนที่พระไตรปิฎกท่านซีเรียสก็มีอยู่ แล้วก็ในส่วนที่เป็นธรรมะนั้น ก็มีระบบคิดที่ชัดเจนเป็นระบบและไม่ขัดแย้งกันเอง ตรวจสอบกันเองได้ตลอดทั้งพระไตรปิฎก (โดยไม่เกี่ยวกับส่วนที่เป็นนิทาน) อยู่

ขออนุญาตเรียนแย้งคุณเทาชมพูนิดเดียวครับ ว่า ผมเองเชื่อว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า (พูดให้ถูกคือ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ - เพราะธรรมะมีของมันอยู่แล้ว) นั้น เป็นอกาลิโก ดังนั้นให้อีก 5000 ปีอีกกี่รอบก็ยังคงจริงอยู่นั่นเอง แต่ผมเห็นด้วยกับคุณเทาฯ ในแง่ที่ว่า สิ่งที่เราเรียกว่า พุทธศาสนา นั้น เป็นสังขารอันหนึ่ง ประกอบขึ้นมาจากหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ตัวสัจจธรรมเอง ตัวแก่น รวมกับกระพี้อย่างชาดกบางเรื่อง รวมกับศาสนบุคคล กับพิธีการ ความเชื่อที่เข้ามาอิงกับศาสนานี้  ฯลฯ กลายเป็นสถาบันทางสังคมอันหนึ่งขึ้น ในแง่นี้ สถาบันพุทธศาสนาเสื่อมได้เช่นเดียวกับสังขารขันธ์ทั้งหลาย แต่กฏธรรมชาติในขั้นปรมัตถ์นั้นยังไงๆ ก็จริงอยู่เสมอไปครับ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคนที่ถือพุทธหลงเหลืออยู่ในโลกหรือไม่ จะเพราะสังคมเปลี่ยนค่านิยมไปหมด หรือเพราะคนเราจุดระเบิดนิวเคลียร์ทำลายตัวเองไปหมดก็ตาม ไตรลักษณ์ก็ยังเป็นไตรลักษณ์ ตัวสัจจธรรมยังเป็นสัจจธรรมอยู่ดี ไม่ขึ้นกับว่ามีคนมารับรู้ไหม


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 พ.ค. 01, 00:27
โพสต์ไปแล้วก็นึกเหมือนกันว่าจะมีใครแย้งเรื่องอกาลิโกหรือไม่   ก็มีจริงๆ  คุณนกข.นี่เอง
เห็นด้วยค่ะ ไม่ค้าน
ดิฉันเขียนกำกวมไปหน่อย   ควรแยกให้ชัดว่าพูดถึงพุทธศาสนา ไม่ใช่พุทธธรรม
ขอขยายความว่า
ความคิดมุ่งไปที่เรื่องพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้หลายองค์  ไม่ใช่องค์เดียวที่เรารู้จัก
จะมีช่วงที่พุทธศาสนาเสื่อมสูญไปจากโลก  ในช่วงนั้นจะไม่มีใครรู้จักพุทธธรรม  
เป็นช่วงที่พระปัจเจกพุทธเจ้าบังเกิด  ตรัสรู้แต่สอนใครไม่ได้    รู้แล้วก็นิพพานไปเงียบๆเมื่อถึงเวลา
จนพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นมา  ตรัสรู้  นำพระธรรมที่เป็นสัจธรรมของธรรมชาติมาสั่งสอน  โลกก็เริ่มมีพุทธศาสนาอีกครั้ง


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 01 พ.ค. 01, 04:19
สำหรับท่านที่สนใจ คราวก่อนนี้เคยคุยกันเรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่กระทู้ RW 205 ครับ


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 09 พ.ค. 01, 12:46
ผมยังเห็นว่า พระพุทธศาสนานั้นเป็น อะกาลิโก
คือเรียนรู้ได้และปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาล
ส่วนนิทานชาดก ก็เป็นเพียงนิทาน
ไม่ได้เป็นดัวพระทุทธศาสนาอย่างแท้จริง
อาจเป็นนิทานที่อิงศาสนา อย่าถือเป็นจริงจังมากนัก
มรรค ๘ คือแนวทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ที่แท้จริง
เป็นอริยสัจจะ
ถึงแม้ไม่นับถือพระพุทธเจ้า แต่ถ้าปฏิบัติตามมรรคแปด ก็พ้นทุกข์ได้
ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่ถ้าไม่นับถือพระเจ้าก็จะไม่อาจพ้นทุกข์


กระทู้: มหาเวสสันดรชาดก
เริ่มกระทู้โดย: bun ที่ 19 ก.ย. 18, 11:13
แม้ว่าจะเป็นกระทู้ที่นานแล้ว...และผมอ่านดูหลายรอบแล้ว...
แต่เท่าที่อ่านมา..เป็นแค่ความคิดนึก ไปตามเหตุผลของความรู้สึกธรรมดา ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงปัญญาจากชาดก
ผมก็รอว่า น่าจะมีใครสักคนมาเฉลยสิ่งที่ใช่ ให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างชัดเจน
แต่ก็ยังไม่มีเห็นมีใครตอบสิ่งที่ถูกต้องตามจริง และตามเจตนนารมณ์ของธรรมมะ
...ซึ่งพระผู้มีพระภาค ได้จำแนก(ย่อย)ธรรมสำหรับมนุษย์ให้เข้าใจได้...ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจได้