NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 225 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 08:14
|
|
.
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 226 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 08:15
|
|
ในกระทู้ที่แล้ว “สถูปและอัฐิสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร จริงหรือ ?” ความเห็นของท่านผู้นี้ผมอยากตอบเต็มกำลัง แต่พิจารณาแล้วว่าผมคงตอบสั้นไม่ได้ คงไม่เข้าใจ หากยาวก็คงสับสนไปหมด เพราะเนื้อเรื่องมันดำเนินมาอย่างพัลวันพัลเก จับต้นชนปลายไม่ถูก จึงเป็นเหตุให้ต้องเปิดกระทู้นี้
สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมถ์เป็นสมาคมวิชาชีพ ก่อตั้งมาแปดสิบปีแล้ว ตั้งแต่สี่สิบห้าปีที่แล้วมา บทบาทเด่นของสมาคมประการหนึ่ง คืองานอนุรักษ์ โดยผ่านกรรมาธิการศิลปสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นที่ระดมสมองของบุคคลากรทรงคุณค่าของชาติในด้านนี้ ทั้งจากภาคราชการและเอกชน มีผลงานที่เป็นรูปธรรมมากมาย งานที่คณะทำงานของสมาคมเข้าไปอาสาเฉพาะงานนี้ เห็นชื่อบุคคลากรแล้วก็นอนใจได้ สถาปนิกเราเข้าใจครับ งานของเราถ้าเกี่ยวข้องกับงานที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพเฉพาะทาง เช่นวิศวกรสาขาต่างๆ นักสิ่งแวดล้อม แพทย์ ฯลฯ หรือนักโบราณคดี เราต้องเชิญเข้ามาร่วมงานด้วยเสมอ พวกนี้มีศัพท์เฉพาะของฝรั่งเรียกว่า associate แต่นักโบราณคดีอาวุโสผู้ร่วมทีมงานอยู่ด้วยนั้น กรมศิลปากรไม่ยักเห็น
ส่วนภาพที่นำมาซึ่งคำถามของคุณพีรศรีนั้น สถาปนิกได้ออกแบบร่างไว้หลายแบบ เผื่อให้คณะกรรมาธิการทวิภาคีของสองรัฐบาลเป็นผู้เลือก ยอดสถูปทรงไทยก็เป็นแนวคิดหนึ่งในสองสามแบบที่เตรียมไว้ แต่ก็ไม่ได้เสนอ
สำหรับหลักการคร่าวๆของการบูรณะโบราณสถานก็คือ หนึ่ง จะใช้ preservation หรือสงวนรักษาสิ่งที่พบไว้ในลักษณะเดิมทุกประการ หรือจะใช้ สอง conservation หรืออนุรักษ์โดยให้ความเคารพต่อส่วนสำคัญของโบราณที่ปรากฏอยู่ แล้วปฏิสังขรณ์ส่วนที่พังสูญหายมลายทรากไปแล้ว ให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ ซึ่งสุดท้าย รัฐบาลพม่าเป็นผู้ตัดสินใจแต่ฝ่ายเดียวในการเลือกการอนุรักษ์ (ซึ่งตรงกับแนวคิดของคณะทำงาน)
วิธีการอนุรักษ์ก็คือ ทำการบันทึกทั้งภาพถ่ายและภาพเขียน ก่อนจะรื้ออิฐโบราณออกมาคัดเกรด เลือกไว้ที่จะนำกลับไปก่อใหม่โดยกรรมวิธีเดิม แต่อาจเปลี่ยนปูนก่อเป็นสมัยใหม่เพื่อความทนทานในอนาคต ส่วนใดของโบราณสถานเคยมีปูนฉาบผิวอยู่ ก็ซ่อมเข้าไปใหม่ตามสภาพเดิม ในส่วนที่ไม่มีหลักฐานเดิมเหลืออยู่เลย ก็ต้องใช้วิธีการสันนิษฐาน โดยนำโบราณสถานชนิดเดียวกัน ในยุคเดียวกันมาเปรียบเทียบ แล้วกำหนดแบบ ก่อสร้างเสร็จแล้วให้คนยุคหลังรู้ชัดๆว่าส่วนใดเป็นการก่อสร้างสมัยไหน แต่ตรงนี้ผู้รู้จริงระบุไม่ได้หรอกครับว่า ส่วนที่บูรณะขึ้นมาใหม่นั้นจะผิดหรือถูกต้องตรงกันกับของจริงๆในอดีต จะมีก็แต่นักวิจารณ์เท่านั้นที่จะแสดงภูมิรู้ (ขอโทษนะครับ ประโยคหลังนี้ไม่ได้ว่าคุณพีรศรี)
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 227 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 08:18
|
|
พระสถูปองค์ใหญ่ ซึ่งแต่แรกคาดหวังว่าจะพบพระอัฐิ จึงจินตนาแบบเตรียมไว้เป็นทรงไทย แต่เมื่อพบว่าเป็นพระพุทธเจดีย์ จึงเปลี่ยนความคิด สร้างจริงๆเป็นทรงพม่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 228 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 08:19
|
|
สถูปทรงโกศ ซึ่งมีร่องรอยให้เห็นมากที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 229 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 08:22
|
|
พระสถูปที่พบบาตรบรรจุพระอัฐิ มียอดเป็นทรงไทย เป็นการเคารพสิ่งที่คนพม่า "เชื่อว่า" ตามหลักฐานแวดล้อมของเขา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 230 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 08:24
|
|
สถูปทรงพม่า ซึ่งยังไม่มีการสำรวจภายใน ซึ่งทีมงานไทย-พม่าเชื่อว่าต้องเป็นของบุคคลที่สำคัญรองลงมาจากท่านเจ้าอาวาสองค์แรก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 231 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 08:28
|
|
อิฐก่อรูปหม้อแบบบูรณคตะ(หม้อใส่ดอกไม้บูชาพระตามวัฒนธรรมอินเดียโบราณ) ซึ่งมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์มาก จะทำการ preservation ไว้ในสภาะเดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 232 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 08:33
|
|
แบบจริงๆที่ใช้ในการก่อสร้างเหล่านี้ สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญชาวพม่าที่หลวงพ่อษิตากูเชิญมา เป็นผู้ตัดสินใจ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นไปตามกำหนดของทางการพม่าผู้อนุญาต ซึ่งถือเป็นเงื่อนไข ใครก็ตาม ไม่สามารถจะกระทำตามอำเภอใจได้
เอกสารตัวจริงออกให้เป็นภาษาพม่า คณะทำงานต้องจ้างผู้แปลที่ทางราชการรับรอง แปลออกมาเป็นภาษาไทยตามที่เห็น
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 233 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 11:36
|
|
ของขวัญจากแฟนเพจในเฟซบุคของผม เมื่อเห็นภาพพระสถูปทรงโกศ
อาวุธ เทพนิมิตร ทางปักษ์ใต้เขาเรียกบัว เพื่อเก็บอัฐิพระราชาและเจ้านายชั้นสูง เช่นบัววัดแจ้ง ที่นครศรีธรรมราช เขาจะใช้รูปทรงแบบนี้ครับ
ม.ล. ชัยนิมิตร นวรัตน ขอบคุณมากนะครับที่ชี้เป้าให้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 234 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 12:24
|
|
จบภาค ๓
ขึ้น
ภาค ๔
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 235 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 12:26
|
|
เวลาที่ผ่านไป ๑ ปี เพื่อให้การเมืองของพม่านิ่งนั้น เป็นที่เข้าใจได้ของทีมงานไทย ดังนั้นสิ่งที่พึงกระทำก็คือ ทำใจ แล้วรอเวลา
ถามว่า มาถึงขั้นนี้แล้ว มันคุ้ม หรือไม่คุ้มที่เข้าไป “เปลืองตัว” ทำงานนี้
คำตอบของวิจิตร ชินาลัย ผู้อำนวยการโครงการตอบด้วยความมั่นใจว่า “Once in a life time – คุ้ม ลองคิดดูว่าถ้าสมาคมไม่เข้าไป ป่านนี้หลักฐานต่างๆของพระเจ้าอุทุมพรคงถูกปาดไปรวมกับกองขยะที่เขาขนไปทิ้ง คนไทยจะไม่มีวันรู้ว่าหลังจากที่ทรงตกเป็นเชลยศึก ต้องไปอยู่เมืองพม่านั้น ทรงมีชีวิตอย่างไร ชาวไทยทั้งหลายที่ไปอยู่ที่นั่นต้องไปตกระกำลำบากเป็นข้าทาษพม่าหรือเปล่า
การค้นพบหลักฐานที่สำคัญ คือบาตรประดับกระจกเป็นสีมรกต ซึ่งนักโบราณคดีของพม่าเห็นแล้วต้องตะลึง เพราะเป็นเครื่องราชูปโภคที่กษัตริย์พม่าทรงใช้เอง หรือพระราชทานให้ผู้ใดเป็นพิเศษเท่านั้น แต่ก็จะต้องเป็นบุคคลที่มีฐานันดรศักดิ์ระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเช่นกัน แล้วเป็นเหตุให้นักประวัติศาสตร์ของเขาช่วยกันค้นคว้าต่อ จนทำให้คนไทยพลอยทราบไปด้วยว่า พระองค์ได้รับการถวายพระเกียรติยศในฐานะพระราชาไปตลอดการเดินทางสู่เมืองอังวะ ซึ่งทรงประทับอยู่ถึง ๒๙ ปี ในเมืองพม่า เป็นขวัญกำลังใจของคนไทยพลัดถิ่นที่สิ้นหวังในการจะหาทางกลับบ้านกลับเมือง เพราะเกรงว่าจะเป็นการหนีเสือปะจระเข้เข้ามาตายเปล่า จึงทำใจยอมรับสภาพและกลายเป็นคนพม่ากลมกลืนไปกับเขา
แต่ที่ยิ่งกว่านั้น พระจริยาวัตรในสมณะเพศของพระองค์ได้เป็นที่เคารพสักการะของคนพม่า นับตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินไปจนถึงชาวบ้านชาวเมือง สูงสุดกระทั่งได้รับความเชื่อถือว่าทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงได้รับการเอาพระทัยใส่อย่างดีจากกษัตริย์พม่าทุกพระองค์ จนถึงรัชสมัยพระเจ้าปะดุง เมื่อทรงทิ้งเมืองอังวะไปสร้างราชธานีใหม่ที่อมระปุระ ได้ทรงสร้างวัดโยเดียให้ประทับจำพรรษา บนพื้นที่ที่เป็นเสมือนพระราชอุทยาน แล้วอาราธนาพระมหาเถระอุดุมบะระให้เสด็จตามไปด้วย จนกระทั่งเสด็จสรรคต และได้รับพระราชทานเพลิงศพอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีหลักฐานบันทึกว่าที่เนินลินซิน
จะมีคนไทยสักที่คนที่รู้เรื่องนี้ ส่วนใหญ่ก็คาดเดาว่าพระชะตากรรมของพระองค์คงจะคล้ายๆกับเจ้าอนุเวียงจันทน์ และเชลยศึกชาวลาวที่ถูกกว่าต้อนมากรุงรัตนโกสินทร์ การได้รู้ความจริงเช่นนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่าต่อความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติไทยและพม่าอย่างยิ่ง ในการที่ต้องอยู่ร่วมกันในประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก ถ้าไม่มีเรื่องการขอขุดค้นพระสถูปเกิดขึ้น ความรู้ด้านประวัติศาสตร์เช่นนี้คงไม่มีใครสนใจจะขุดขึ้นมาพูด
สำหรับงานที่เป็นรูปธรรมที่ได้กระทำไป เราก็ได้อนุสรณ์สถานของพระเจ้าอุทุมพร หรือ Mahathera King Udumbara Memorial Ground ที่ไม่มีใครจะรื้อทำลายลงไปได้อีกต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 236 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 12:28
|
|
ถามว่าคณะทำงานใช้เงินไปแล้วเท่าไหร่
ก็ประมาณยี่สิบล้านบาท งานที่ล่าช้าทำให้งบของเราบานปลายไปบ้าง แต่ดีว่าผมประหยัดมากนะ ไปกันทีไรก็นอนโรงแรมคืนละห้าร้อยบาท ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง มีบัญชีรายจ่าย งบดุลส่งให้สมาคมตลอด ทั้งๆที่เงินทุนสำหรับโครงการนี้ไม่ได้มาจากสมาคมโดยตรงนะ แต่มีผู้บริจาคมาเข้าบัญชีของสมาคม ซึ่งยังเหลืออีกประมาณสิบล้าน พอเพียงกับปริมาณงานที่เหลือ ซึ่งเราต้องกลับไปทำให้เสร็จ
หากถูกขัดขวางไม่ให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เราก็ยังมีหน้าที่จะต้องนำพระอัฐิกลับไปฝังไว้ในที่เดิมที่ขุดออกมา แล้วต่อยอดสถูปทั้งหลายให้เสร็จตามแบบที่เคยได้รับอนุญาต และทำระบบป้องกันน้ำท่วมในหน้าน้ำ กับรั้วที่ถาวร ตลอดจนห้องน้ำห้องท่าสำหรับผู้มาเยี่ยมชมสักการะ
แต่งานพวกนี้ก็ใช้เงินไม่มากแล้ว อีกห้าหกล้านก็คงจบ
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 237 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 12:31
|
|
แล้วต่อไปจะบริหารอย่างไรไม่ให้เป็นที่หากินของบรรดาเหลือบ
เราเคยปรึกษากันในเรื่องนี้กับหลวงพ่อษิตากูและทีมงานชาวพม่า มีแนวคิดพ้องกันว่าจะจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมารับมอบ ซึ่งหลวงพ่อก็ได้จัดตั้งเป็นสมาคมวัฒนธรรมมหาเถระอุดุมบาราขึ้นมาแล้ว หากยกระดับขึ้นเป็นมูลนิธิ เช่นเดียวกับมูลนิธิสุสานทหารสัมพันธมิตรในย่างกุ้ง ซึ่งมีระเบียบการบริหารที่ดี มีผู้ไว้วางใจส่งเงินมาบริจาคจากทั่วโลก ให้ดูสถานที่จนเป็นระเบียบสวยงาม
แต่เรื่องนี้พวกเราคงไปช่วยเขาจัดตั้งในตอนแรกเท่านั้นนะ หลังจากเป็นไปตรงกับทิศทางแล้วก็คงต้องปล่อยให้คนพม่าดูแลกันไปเอง
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 238 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 12:36
|
|
แล้วคาดว่ารัฐบาลพม่าจะยอมให้เราเข้าไปดำเนินการต่อเมื่อไหร่
เริ่มมีสัญญาณมาแล้วจากคนของรัฐบาลพม่าที่ไปพบกับคนของเราในที่ประชุมนานาชาติ เขาบอกว่าเราสามารถไปยื่นขอทำงานต่อได้แล้ว โดยให้ไปขอตรงกับรัฐบาลกลางที่เมืองเนปิดอว์ ซึ่งฝ่ายเราก็ประชุมหารือกันไปเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ว่าใครจะมีความคิดเห็นเช่นไร
คือตั้งแต่โครงการถูกระงับ พื้นที่ก็เริ่มรก นานไปนานไปเกิดมีคนเอาขยะไปทิ้งในบริเวณที่ทางราชการไปปราบพื้นที่ไว้ ชาวเมืองก็เริ่มโวยบ้าง ตอนนั้นปาดทิ้งสุสานปู่ย่าตายายของเขาไป โดยอ้างว่าจะพัฒนาพื้นที่ให้เจริญตา แต่กลับปล่อยให้เป็นที่ทิ้งขยะตามเดิม จะทำอนุสรณ์สถานก็ไประงับไว้อีก
หลวงพ่อษิตากูก็ไม่ได้ทอดทิ้ง ท่านพยายามทวงถามตลอดเวลา เป็นเรื่องที่กดดันพวกผู้บริหารมากทั้งระดับเทศบาลเมืองอมระปุระ และรัฐมัณฑะเลย์ แต่เขาต้องการให้เรื่องผ่านรัฐบาลกลาง ให้ทางโน้นสั่งลงมา เพราะการระงับโครงการครั้งนั้นก็เป็นนโยบายจากเบื้องสูงที่ต้องการให้ลดข้อขัดแย้งกับชาวมุสลิมที่นอกเรื่องโรฮินยา ซึ่งตอนนี้เรื่องโรฮินยารัฐบาลพม่าก็ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 239 เมื่อ 08 พ.ย. 17, 17:37
|
|
สำหรับเหตุการณ์ประจำวันในช่วงสุดท้ายมีดังนี้
๒๔ เมษายน ๒๕๖๐ นายอองโกลิน ตัวแทนของหลวงพ่อษิตะกู ได้ยื่นขอประดิษฐานพระธาตุและปรับปรุงพระสถูปต่อ เพื่อให้ประชาชนได้เคารพบูชา และอนุรักษ์โบราณสถานที่ทรุดโทรมใกล้พังทลาย ต่อทางการเขตมัณฑะเลย์
๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ผู้ว่าการเขตมัณฑะเลย์ ได้ส่งหนังสือไปยังสำนักงานบริหารเมืองอมรปุระ ให้รวบรวมความคิดเห็นจากผู้ที่อยู่อาศัยในเมือง ประเด็นดังกล่าว
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ สำนักงานบริหารเมืองอมรปุระเปิดประชุม ผู้ปกครองท้องถิ่น และหมู่บ้าน ที่ประชุมสรุปว่า ให้ผู้อำนวยการเมืองถามความคิดเห็นจากมหาเถระสมาคม ส่วนผู้อยู่อาศัยในเมืองไม่มีการคัดค้าน
๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ ผู้อำนวยการเมืองอมรปุระทำหนังสือถึง มหาเถระสมาคมของพม่า ขอทราบความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว
๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ มหาเถระสมาคมเขตเมืองของอมระปุระ ได้ตอบหนังสือกลับว่า มหาเถระสมาคมไม่ทราบรายละเอียดในเรื่องนี้ จึงแจ้งความเห็นว่าผู้เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการต่อได้ตามกฏหมายและหลักเกณฑ์
๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ สำนักบริหารเมืองอมรปุระ ทำหนังสือถึงสำนักบริหารเขตมัณฑะเลย์ทราบว่า การดำเนินการปรับปรุงพระสถูป และอนุรักษ์โบราณสถาน ที่ลินซินกง เพื่อให้ประชาชนได้เคารพบูชา ทำได้โดยปฏิบัติตามกฎหมาย มหาเถระสมาคมเมืองและผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองไม่มีการคัดค้าน
๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ สำนักงานบริหารเขตมัณฑะเลย์จัดประชุมระหว่างผู้บริหารเขตมัณฑะเลย์ และเมืองอมระปุระทุกตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งราษฎรอาวุโส ผู้แทนชุมชน โดยอนุญาตให้นายอองโกลิน ตัวแทนของหลวงพ่อษิตะกูเข้าร่วมด้วย โดยประธานที่ประชุมแจ้งว่า ประชาชนในท้องถิ่นและมหาเถระสมาคมไม่คัดค้านเรื่องดังกล่าว โดยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ประธานเองมีความเห็นว่า ควรต้องมีการพบปะพูดคุยและขออนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและศาสนา รัฐบาลสาธารณรัฐเมียนมาร์กับฝ่ายไทย ในเรื่องการดำเนินการปรับปรุงเจดีย์และการบำรุงรักษาอาคารโบราณสถาน ซึ่งจะมีการบริจาคจากกองทุนของไทย
๕ กันยายน ๒๕๖๐ นายอองโกลิน ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและศาสนา หากคณะนำโดยเอกอัครราชทูตอาเซียน ฯพณฯ ประดาป พิบูลสงคราม (Thai Representative for ASEAN connectivity Coordinating Committee Ambassador Extraordinary and Plenipotentiary of Thailand) จะขอเข้าพบ
๑๑ กันยายน ๒๕๖๐ รองเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและศาสนาทำหนังสือตอบนายอองโกลินมาว่าสามารถทำได้
๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ คณะทำงานฝ่ายไทยนัดปรึกษาหารือ
ตุลาคม ๒๕๖๐ เดือนแห่งความอาลัย คนไทยไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน
พฤศจิกายน ๒๕๖๐ มีเหตุให้ผมจำต้องศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด เพื่อนำมาเขียนลงเรือนไทย หวังจะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเผื่อบางท่านที่พลัดหลงเข้ามาอ่านจะได้เมตตา ปรับอคติที่เคยมีกับคณะทำงานของสมาคมสถาปนิกสยามที่อุทิศตนไปทำงานโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ด้วยจิตอาสาและความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
อนาคตอันใกล้นี้ หากไม่มีใครไปสร้างพระวิบากถวายพระองค์อีก ไม่ช้าไม่นาน คนไทยจะได้เห็นอนุสรณ์สถานพระมหาเถระเจ้าอุทุมพร ในแผ่นดินพม่า และจะได้ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นที่เคารพสักการะของคนพม่าเพียงไร บางที ความแค้นเคืองเกลียดชังของคนไทยที่มีต่อคนพม่าในอดีตจะจางลง ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ของคนรุ่นหลังทั้งสองชนชาติในภายภาคหน้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|