ครบรอบวันตาย จิตรภูมิศักดิ์ .. ไปเยี่ยมคารวะที่โคนไม้แดง ชายป่าภูพาน
ขึ้นภูพาน... ไปเยี่ยมจิตร ภูมิศักดิ์
จิตร ภูมิศักดิ์ คือผู้ที่ถือได้ว่าอยู่ในชั้นแถวแนวหน้าของนักคิดนักเขียนไทย ทั้งในแง่ของวิชาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ชีวิตและผลงานของ จิตร ภูมิศักดิ์ มีความหลากหลายและล้ำลึกจนกล่าวได้ว่าเป็นสหวิทยาการ ทั้งภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ทฤษฎีการเมือง งานวิจารณ์ งานแปล วรรณคดี ศาสนา บทกวี บทเพลง เป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่มอบไว้ให้กับสังคมไทย ที่ยังไม่มีนักคิดนักเขียนคนคนไหนเคยพิชิตความกว้างใหญ่ไพศาลขององค์ความรู้ว่าด้วยสังคมไทยได้เท่า และยังคงมีบทบาทต่อสังคมรวมทั้งส่งอิทธิพลอย่างทรงพลังให้กับขบวนการนักศึกษาในเวลาต่อมา
ในท้องถิ่นจังหวัดสกลนคร มีเบื้องหลังความเคลื่อนไหวและวาทกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมายซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นลอยๆ แต่เป็นวาทกรรมที่สมควรมีการวิพากษ์วิจารณ์ เช่นอาจสืบสาวไปได้ถึงสมัยเสรีไทย ที่เคลื่อนไหวในแถบนี้ก่อนที่จะแปรเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของทหารป่าหรือที่ฝ่ายรัฐบาลเรียกว่า ผกค. รวมทั้งอาวุธที่ใช้เกิดจากอดีตเสรีไทย เพราะครูครอง จันดาวงค์ ผู้ฝึกอาวุธให้กับเสรีไทยแถบนี้ทั้งหมด ต่อมาสภาพการเมืองที่กดดันระหว่างสายทหารและเสรีไทย ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างพลเรือนสายปัญญาชนกับทหารที่ไม่อาจประณีประณอมกันได้ กดดันให้ครูครอง จันดาวงค์ และสมาชิกอีกหลายคนต้องตาย อาวุธของเสรีไทยที่สะสมไว้จึงถูกแปรมาใช้เป็นอาวุธของทหารประชาชน
ประวัติศาสตร์การเมืองบทนี้ยังโยงไปถึงแนวคิดของ "ขุนพลภูพาน" หรือครูเตียง ศิริขันธ์ ในเรื่องการต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกา ด้วยแนวคิดการรวมตัวอาเซียน การต่อต้านญี่ปุ่นและผลประโยชน์ของญี่ปุ่นที่ฝ่ายทหารได้รับและยังคงอยู่แม้หลังสงคราม ทำให้ทหารต้องล้างขุมกำลังของเสรีไทยให้หมด บทบาทของจิตร ภูมิศักดิ์ จึงได้ปรากฏขึ้นมาสืบสานการต่อสู้ในภาคอีสาน และการเคลื่อนไหวของนักศึกษาจนถึงช่วงเหตุการณ์ตุลาคม 2519 เครือข่ายวาทกรรมการเมืองท้องถิ่น สามารถเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ที่เชื่อมโยงถึงกันกับวาทกรรมชุดอื่นๆได้อีก
ดังนั้นแนวคิดการพัฒนา "เครือข่ายวาทกรรมการเมืองท้องถิ่น" จึงได้ถูกจุดประเด็นขึ้น เพราะเบื้องหลังของวาทกรรมต่างๆ ไม่ใช่มีเพียงแค่คำพูดแต่แฝงความคิดที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ที่ทำให้มองเห็นความสืบเนื่องกันของวาทกรรมแต่ละชุดแต่ละช่วงเวลา เชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผลกัน
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจในช่วงเวลานั้นได้ใช้นโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีเหวี่ยงแห ประมาณว่าจับมา 10 คนได้ตัวคอมมิวนิสต์จริงๆแค่ 1คนก็ถือว่าโอเคแล้ว ผู้ที่ถูกจับกุมในครั้งนั้นมีทั้งนักการเมืองแนวสังคมนิยม นักเขียน-นักหนังสือพิมพ์ นักศึกษา ปัญญาชน ในข้อหายัดเยียดว่า"มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์" และ "สมคบกันกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐทั้งภายใน และภายนอกราชอาณาจักร" ซึ่งรวมทั้ง "จิตร ภูมิศักดิ์" ถูกจับ 21 ต.ค. พ.ศ.2501
หลังถูกคุมขังอยู่นานกว่า 6 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ ก็ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2507 เนื่องจากศาลกลาโหมยกฟ้อง ซึ่งระหว่างถูกจองจำอยู่ก็มีผลงานเด่นที่เกิดขึ้นในคุกคืองานแปลนวนิยายเรื่อง "แม่" ของแมกซิมกอร์กี้ , โคทาน,และ "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาวและขอม และลักษณะทางสังคม ของชื่อชนชาติ"
"วันเสียงปืนแตก" คือการเริ่มต้นของสงครามประชาชน เมื่อเกิดการยิงปะทะกับฝ่ายรัฐบาลนัดแรกที่บ้านนาบัว อ.นาแก จ.นครพนม เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2508 และเดือนต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)เริ่มตอบโต้รัฐบาลด้วยกำลังอาวุธ และถือกำเนิดกองกำลังพลพรรคประชาชนไทยต่อต้านอเมริกา หรือ พล.ปตอ.
จิตร ภูมิศักดิ์ เดินทางสู่ภาคอีสานในเดือนตุลาคม พ.ศ.2508 เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยมีชื่อจัดตั้งว่า "สหายปรีชา" เขามาในฐานะคนผ่านทางซึ่งจะถูกส่งตัวไปศึกษาที่ประเทศจีน ตามคำขอของ "สหายไฟ" อัศนี พลจันทร หรือนายผี ผู้ซึ่งจิตร ภูมิศักดิ์ เชิดชูว่าเป็นมหากวีของประชาชนที่ตีแผ่ความยากเข็นของชีวิตและปลุกเร้าวิญญาณการต่อสู้ของประชาชนได้อย่างมีพลังและเพียบพร้อม
จุดหมายปลายทางของสหายปรีชา ยังไปไม่ถึงประเทศจีน แต่ต้องมาจบชีวิตลงบนผืนแผ่นดินอีสานเพราะเขาขออยู่เรียนรู้การปฏิวัติในชนบท โดยในเดือนต่อมาได้เดินทางเข้าสู่ที่มั่นกลางดงพระเจ้า รับหน้าที่ปฏิบัติงานด้านมวลชน แต่อยู่ในดงพระเจ้าได้ไม่นานกำลังทหารฝ่ายรัฐบาลเข้ากวาดล้างมาถึง พวกเขาจึงต้องถอยทัพเดินนทางรอนแรม ผ่านป่าเขาลูกแล้วลูกเล่าทั้งภูผาเหล็ก,ภูผาดง ผ่านไปถึงภูผาลม สถานที่ซึ่ง สหายปรีชา แต่งเพลงชื่อ"ภูพานปฏิวัติ" และต่อมาเป็นเพลงต่อต้านอันโดดเด่นของขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
วันที่ 4 พ.ค. 2509 สหายปรีชา และพลพรรคอีก 5 คน เข้าไปทำงานมวลชนที่บ้านหนองแปน และบ้านคำบ่อ วันรุ่งขึ้นได้ถูกกองกำลังฝ่ายรัฐบาลล้อมปราบ ทำให้ต้องแยกกันหลบหนีเป็นสองกลุ่ม สายปรีชา,สหายสวรรค์,สหายวาริช แตกไปทางเขาภูอ่างศอแต่เกิดหลงลงทาง จนถึงตอนค่ำมาโผล่ที่บ้านหนองกุง ต.คำบ่อ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ด้วยความหิว สหายปรีชา อาสาเข้าไปขอข้าวในหมู่บ้านและได้ข้าวเหนียวมาหนึ่งปั้นจากนางคำดี อำพล ขณะที่รีบเดินกลับออกมาหาเพื่อสหายซึ่งรออยู่ นางคำดี ให้คนไปแจ้งกำนันแหลม หรือ นายคำพล อำพน จึงได้นำกำลัง อส.ออกติดตามไปทันที่ชายป่า
กระสุนนัดแรกพุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนของ อ.ส.นายหนึ่ง โดนเข้าที่บริเวณขาของจิตร ภูมิศักดิ์ และอีกหลายนัดตามมาทำให้เขาจบชีวิตลงที่โคนต้นแดง ชายป่าท้ายหมู่บ้าน และศพถูกเผาทันที เมื่อตอนค่ำวันที่ 5 พฤาภาคม 2509 แต่สำหรับกำนันแหลม หรือนายอำพล คำพน ยังคงมีชีวิตอยู่ที่บ้านหนองกุง ในสภาพวัยชรา ส่วน "อ.ส." ซึ่งเป็นชาวบ้านหนองกุง คนที่เปิดฉากยิงนัดแรกพึ่งจะจบชีวิตลงเมื่อไม่นานด้วยโรคมะเร็ง
เวลาผ่านล่วงมานานมีผู้สนใจใคร่รู้เรื่องราวของจิตร ภูมิศักดิ์ มีนักศึกษา ปัญญาชน ลงพื้นที่ติดต่อขอสัมภาษณ์พูดคุยกับกำนันแหลม แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมืออย่างเต็มใจนัก ลูกสาวของกำนันแหลม เคยตัดพ้อพ้อมกับตั้งคำถามกลับมาว่า
"ทำไมเรื่องนี้มันยังไม่จบไม่สิ้น จนป่านนี้แล้วยังไม่จบไม่สิ้นอีกเหรอ..."ผ่านพ้นไปถึง 30 ปีถัดมาความรู้สึกของคนในครอบครัวของกำนันแหลม ยังไม่พร้อมต้อนรับผู้คนที่เดินทางมาเยี่ยมจิตร ภูมิศักดิ์ เพราะผู้ใคร่รู้ที่ดั้นด้นมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ห้วงเวลานั้นแสดงออกทางสายตาดูจะไม่เป็นมิตร เคยมีคณะทัศนศึกษาเดินทางมาที่หมู่บ้าน เมื่อมาหยุดรถที่หน้าบ้านของกำนันแหลม นอกจากจะไม่ลงไปถามไถ่แล้ว ยังส่งสายตามองมาพร้อมกับเสียงซุบซิบ ..หลังนี้เหรอบ้านกำนันแหลมคนที่ยิงจิตร ภูมิศักดิ์..."
เข้าสู่ยุค 2540 เป็นต้นมา บรรยากาศเริ่มคลี่คลายขึ้นและดูเหมือนชาวบ้านหนองกุง รวมทั้งกำนันแหลม ต่างเข้าใจในวิถีแห่งการต่อสู้ในอดีตระหว่างซ้ายกับขวา ชาวบ้านจะร่วมกันจัดงานทำบุญในวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี ภาพถ่ายและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งถูกรวบรวมเก็บไว้อย่างดีบนศาลาวัดบ้านหนองกุง ทั้งประวัติและผลงาน ประวัติการต่อสู้ บทความที่เคยปรากฏตามสื่อสิ่งพิมพ์ ก็จะถูกนำออกมาปัดฝุ่นอีกครั้งเพื่อการจัดแสดงนิทรรศการ และมีการจัดสร้างอนุสรณ์สถานจิตร ภูมิศักดิ์ ขึ้นในบริวณที่เขาจบชีวิตลง
พระอธิการ โสภา กิตติโสภโณ เจ้าอาวาสวัดประสิทธิสังวรณ์ (วัดบ้านหนองกุง) บอกว่า อนุสรณ์สถานนี้พึ่งจะเสร็จสมบูรณ์และจัดงานฉลองไปหมาดๆพร้อมกับงานทำบุญปีที่ผ่านมา มีปฏิมากรรมหินทรายแกะสลักรูปของจิตร ภูมิศักดิ์ อยู่บนแท่นแวดล้อมด้วยสวนหย่อม บนที่ดินขนาด 100 ตรว.ซึ่งคุณภิรมย์ฯ พี่สาวของจิตร ภูมิศักดิ์ ได้ขอซื้อจากเจ้าของเดิมและมอบถวายโอนกรรมสิทธิ์ให้กับวัดประสิทธิ์สังวรณ์ นายปานชัย บวรรัตนปาน ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ในขณะดำรงค์ตำแหน่ง เป็นผู้จัดหางบประมาณสร้างอนุกรณ์สถาน ได้ติดต่อขอซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อขยายพื้นที่ แต่ทางเจ้าของทีดินข้างเคียงไม่ขาย
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=435311