เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 14 พ.ค. 24, 10:11
|
|
ดิสนีย์แลนด์คืออาณาจักรสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็น soft power สำคัญของสหรัฐอเมริกา แพร่วัฒนธรรมบันเทิงสู่โลกมายาวนานกว่า 6 ทศวรรษแล้ว เกิดมาจากสมองและสองมือของผู้ชายคนเดียว ชื่อ วอลต์ ดิสนีย์ (Walt Disney) ภูมิหลังของดิสนีย์แสนจะธรรมดาสามัญมากจนไม่น่าเชื่อว่าเมื่อเติบโตขึ้น เขาจะกลายเป็นคนที่ทั่วโลกรู้จัก มาจนกระทั่งถึงแก่กรรมไปยาวนานแล้ว ชื่อเสียงก็ยังอยู่ยงคงกระพัน เขาเกิดมาในครอบครัวธรรมดาๆค่อนข้างจะยากจนด้วยซ้ำ พ่อมีเชื้อสายไอริช อพยพมาอยู่ในแคนาดา แล้วมาอเมริกา แต่งงานกับแม่ซึ่งเป็นสาวอเมริกันจากรัฐฟลอริดา มีลูกด้วยกัน 5 คนเป็นชาย 4 หญิง 1 วอลต์เป็นลูกคนที่ 4 ทั้งสองอพยพไปเป็นชาวนาอยู่ที่เมืองแคนซัส ซิตี้ รัฐแคนซัส เมื่อวอลต์อายุ 7 ขวบ เขาเติบโตอยู่ในเมืองนี้อย่างลูกชาวบ้านธรรมดาๆ ตอนเช้าๆก็เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์หารายได้ช่วยพ่อแม่ สายก็เข้าเรียนหนังสือไปตามปกติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 14 พ.ค. 24, 14:17
|
|
หนูน้อยวอลต์มีนิสัยผิดแผกจากพี่น้องคนอื่นๆ คือชอบวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ ตั้งแต่เด็ก เขาวาดรูป ระบายสีรูป ขายเพื่อนๆและคนรู้จัก ตั้งแต่ก่อน 7 ขวบด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่มีใครคาดฝันว่าจะเอาดีทางนี้ได้ ชีวิตในบ้านไม่มีความสุข พ่อเขามีฐานะคนยากจน ชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะฉะนั้นลูกเมียก็อดๆอยากๆ ซ้ำยังเข้มงวด เจ้าระเบียบและเฆี่ยนตีลูกๆเป็นว่าเล่น แม่เองก็ป่วยทางจิต ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของลูกๆ จนพี่ชายคนโตทนไม่ไหว ออกจากบ้านไปทันทีที่โตพอจะสู้ชีวิตเองได้ ส่วนวอลต์แอบโกงอายุเพื่อจะได้ออกจากบ้าน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น เขาสมัครไปเป็นคนขับรถพยาบาลของกาชาด ได้ไปปฏิบัติภารกิจในฝรั่งเศสและเยอรมัน เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง ก็ได้กลับมาบ้านในวัย 18 ปี โชคดีชิงทุนได้ จึงมีโอกาสไปเรียนต่อที่สถาบันศิลปะเมืองแคนซัส ซิตี้ ณ ที่นี้เอง ชีวิตของหนุ่มน้อยวอลต์ ก็เริ่มเห็นแสงสว่าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 15 พ.ค. 24, 10:00
|
|
ในสถาบันการศึกษาแห่งนี้ หนุ่มน้อยวอลต์เจอเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งชื่อ เอิบ ไอเวิร์กส์ (Ub Iwerks) หนุ่มน้อยทั้งสองผูกมิตรกันเพราะต่างก็มีใจรักศิลปะด้านเดียวกัน คือชอบวาดภาพ วาดการ์ตูน ในที่สุดก็ได้มาทำงานร่วมกัน สร้างสตูดิโอของตนเอง ผลิตการ์ตูนสั้นออกสู่ตลาด งานในช่วงต้นเป็นเช่นเดียวกับงานของมือใหม่ทั้งหลาย คือล้มลุกคลุกคลานจนล้มละลาย ปิดกิจการ แต่ดิสนีย์ไม่ยอมย่อท้อ เขาอำลาแคนซัส ซิตี้ มาลอสแอนเจลิสเพื่อจะตั้งตัวใหม่ เอาเพื่อนรักมาด้วย เปิดสตูดิโอผลิตการ์ตูน การ์ตูนตัวแรกที่สตูดิโอเล็กๆแห่งนี้ผลิตป้อนให้ยักษ์ใหญ่ยูนิเวอร์แซล ชื่อเจ้ากระต่ายออสวอลด์ (Oswald the Rabbit)ในปี 1927 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไอเวิร์กส์เก่งทางวาดการ์ตูนเคลื่อนไหวให้มีชีวิตชีวา เก่งทางถ่ายภาพ ส่วนดิสนีย์เก่งทางออกแบบ หามุมกล้อง สร้างบุคลิกนิสัยใจคอให้ตัวการ์ตูนดูมีชีวิตชีวาจริงๆ ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีใครคิดกัน ผลคือเจ้ากระต่ายตัวแรกโด่งดัง กลายเป็นคู่แข่งของการ์ตูนดังๆสมัยนั้น ตอนนั้น มิกกี้เม้าส์ยังไม่เกิดค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 15 พ.ค. 24, 14:28
|
|
วอลต์เริ่มมีกำลังใจ ขยายสตูดิโอ จ้างคนมาร่วมงานด้วยอีกหลายคน อนาคตทำท่าจะสดใส แต่ด้วยความอ่อนหัด ทำให้เขาไม่รู้เรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ แม้ว่าเจ้ากระต่ายออสวอลด์เกิดจากสมองและฝีมือของเขาล้วนๆ แต่ลิขสิทธิ์กลับตกเป็นของผู้ซื้อ ก็เลยหลุดลอยจากมือไป แม้ว่าผลิตออกมาได้ถึง 26 ตอน ด้วยกันแล้วก็ตาม วอลต์เป็นนักสู่้ที่ไม่มีวันหมดกำลังใจ เมื่อสูญเสียกระต่าย เขาก็ฮึดสู้สร้างการ์ตูนตัวใหม่ขึ้นมา จะเป็นไรไป ตำนานเล่ากันว่าสมัยที่เขายังเช่าห้องใต้หลังคาโกโรโกโส ดำเนินชีวิตด้วยความยากแค้นเพียงลำพัง มีเจ้าหนูตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในรูที่ผนัง มันจะออกมาแทะเศษขนมปังนิดๆหน่อยๆ ที่เขาเหลือไว้ให้มันเป็นประจำ คนกับหนูก็เลยกลายเป็นเพื่อนในยามยาก เมื่อวอลต์คิดสร้้างการ์ตูนตัวใหม่ เขาก็เอาหนูตัวน้อยนี่แหละมาปรับปรุงโฉมเสียใหม่ จับมันนุ่งกางเกง สวมรองเท้าและถุงมือ ทำท่าทางอย่างมนุษย์ ตั้งชื่อให้ว่า Mortimer Mouse แต่ภรรยาเขาท้วงว่าชื่อนี้ไม่เพราะ สามีก็เลยต้องคิดหาชื่อใหม่อีกหลายชื่อ จนมาลงเอยที่ Mickey Mouse อันเป็นตำนานอมตะมาจนทุกวันนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 15 พ.ค. 24, 14:33
|
|
มิกกี้ปรากฏโฉมเป็นครั้งแรกในปี 1928 ในการ์ตูนสั้นเรื่อง Steamboat Willie เป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่มีการพากย์เสียงตัวการ์ตูน ก่อนหน้านี้การ์ตูนมีแต่ดนตรีประกอบในแบคกราวน์เฉยๆ เจ้าหนูตัวใหม่ประสบความสำเร็จล้นหลาม ชื่อมิกกี้ เม้าส์กลายเป็นเครื่องรางนำโชคของดิสนีย์นับแต่นั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 16 พ.ค. 24, 14:01
|
|
ความสำเร็จของมิกกี้ เม้าส์ ทำให้ดิสนีย์ผู้ไม่เคยหยุดยั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ผลิตการ์ตูน มินนี่ เม้าส์ (Minnie Mouse) ออกมาในปีเดียวกัน ตัวนี้หน้าตาเหมือนมิกกี้ แต่เป็นผู้หญิง นุ่งกระโปรง สวมรองเท้าส้นสูง มินนี่เป็นหวานใจของมิกกี้ นิสัยใจคอเป็นผู้หญิงเต็มตัว อ่อนหวาน ช่างเอาใจ เมตตาปรานี แต่ก็แสนงอน ทำให้เล่นบทได้หลากหลาย เป็นที่ถูกอกถูกใจเด็กๆทั่วอเมริกา มิกกี้กับมินนี่เป็นคู่รักกันก็จริง แต่ดิสนีย์ไม่เคยอนุญาตให้สองตัวนี้มีบทบาทถึงขั้นแต่งงานกัน ต่างคนต่างอยู่กันคนละบ้าน ยาวนานมาจนกระทั่งบัดนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 16 พ.ค. 24, 19:35
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 17 พ.ค. 24, 09:22
|
|
เมื่อประสบผลสำเร็จจากมิกกี้ เมาส์ ต่อมาคือมินนี่ ตัวการ์ตูนอื่นๆก็เกิดขึ้นมาเป็นทิวแถว ล้วนเป็นเพื่อนของมิกกี้ มาร่วมผจญภัยในการ์ตูนสั้นๆแต่ละตอน เช่นโดนัลด์ ดั๊ก กูฟฟี่ หลานๆของมิกกี้ และหลานๆของโดนัลด์ ข้างล่างนี้คือการ์ตูนสั้นยุคต่อมาจากการ์ตูนขาวดำ ตัวการ์ตูนเริ่มมีสีสันเทคนิกคัลเลอร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 17 พ.ค. 24, 10:57
|
|
ความสำเร็จของการ์ตูนสั้นไม่ได้ทำให้ดิสนีย์หยุดอยู่ตรงนั้น เขาริเริ่มโครงการใหม่ที่ไม่มีผู้สร้างการ์ตูนคนไหนทำมาก่อน นั่นคือสร้างการ์ตูนเรื่องยาวขึ้นมาให้สำเร็จจนได้ เป็นการ์ตูนสีสันสวยงาม มีเพลงไพเราะประกอบ อันเป็นสิ่งที่อภิมหายากในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องไม้เครื่องมืออะไรก็ไม่มีอย่างปัจจุบัน ภาพเคลื่อนไหวด้วยวาดด้วยมือทีละแผ่น แค่ตัวการ์ตูนก้าวเดิน 1 ก้าวก็วาดให้ขยับทีนะนิดๆ ไม่รู้ว่ากี่แผ่นแล้ว ดิสนีย์รวบรวมนักวาดฝีมือดีมาร่วมงานกัน ทุกคนทุ่มเทให้กับงานที่ใครๆก็บอกว่าไม่มีทางสำเร็จ จ้างเด็กสาวมาแสดงท่าเคลื่อนไหวของสโนไวท์ จ้างคนมาพากย์เสียง มาร้องเพลงที่แต่งกันเองขึ้นมา เรื่องที่ดิสนีย์เลือกคือ Snow White and the Seven Dwarfs จากเทพนิยายเยอรมันของพี่น้องตระกูลกริมม์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 18 พ.ค. 24, 09:35
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 18 พ.ค. 24, 11:10
|
|
ดิสนีย์ทุ่มเทเงินลงไปในการสร้างการ์ตูนเรื่องนี้ มหาศาล ถึง 1.5 ล้านดอลล่าร์ ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้ฮอลลีวู้ดจับตามองด้วยความเสียวไส้ ว่าใครจะอยากมาดูการ์ตูนที่แพงกว่าหนังดังๆเสียอีก ในเมื่อตอนนั้น หนังดี เพลงไพเราะ ระบำงามตา และดาราดังก็มีกันให้ดูเกลื่อนโรงไปหมด พอการ์ตูนออกฉาย บรรดาผู้จับตามองในทางร้ายก็หงายเก๋งไปตามๆกัน เพราะหนังทำเงินถึง 8 ล้านดอลล่าร์ สูงสุดในบรรดาหนังทุกเรื่องในปีนั้น ผู้คนแห่แหนกันมาดูสโนไวท์และคนแคระกัน จนเป็นปรากฏการณ์ของปี ถ้าอยากดูทั้งเรื่อง เข้าไปตามลิ้งค์นี้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 19 พ.ค. 24, 19:52
|
|
ความสำเร็จมหาศาลของการ์ตูนสโนไวท์ ทำให้ในปีนั้น เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสคาร์ หรือรางวัลตุ๊กตาทอง สาขาเพลงยอดเยี่ยม ในปี 1937 ต่อมาในปี 1938 องค์กรได้มอบรางวัลตุ๊กตาทองเกียรติยศให้ดิสนีย์ คือตุ๊กตาทองขนาดมาตรฐาน 1 ตัว และตุ๊กตาทองตัวน้อยๆ อีก 7 ตัวรายล้อม ผู้มอบรางวัลคือดาราเด็กที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้น เชอร์ลี่ เทมเปิ้ล เธอทำหน้าที่ตัวแทนของเด็กๆทั่วโลกที่เป็นแฟนการ์ตูนของดิสนีย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 19 พ.ค. 24, 20:35
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|