เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 06:33



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 06:33

     หนังสืออนุสรณ์   ๑๕  มกราคม  ๒๕๑๓


จัดว่าเป็นหนังสืออนุสรณ์ที่ให้ความรู้ เกร็ดในพระราชวังสวนดุสิต   โรงเรียนนายร้อย และเกร็ดการรับราชการทหารที่เกรียงไกร

ชีวิตของท่านหลังจากนั้น  ได้อ่านมาจากหนังสือของ ไทยน้อยอีก ๓ เล่ม(กวาดยืม มิใช่กวาดซื้อ 
มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่งแถวราบ ๑๑  สองลัง)

แผนต้นไม้ตระกูลไกรฤกษ์ ๕ แผ่น  ในตอนแรกของหนังสืออนุสรณ์เล่มนี้  กว้างขวางและกระจ่าง

จะขอคัดลอกเรื่องที่น่าสนใจ  สนุกสนาน  มาเล่า  แม้นว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย     

เคยอ่านเรื่อง คุณพูนเพิ่ม  และ คุณนิ่ง  ไกรฤกษ์  ที่ได้รับการเลี้ยงดูในตำหนักเจ้าจอมมารดาชุ่ม ในเวลาไล่เลี่ยกัน   
ชีวิตของ จงกล  ไกรฤกษ์ สนุกสนาน  บ้าบิ่น   เปิดเผย  ผจญภัย   
สมกับหนังสือที่ท่านเขียนไว้ว่า "ตัวตายแต่ชื่อยัง"  (หาอ่านยังไม่ได้ค่ะ)



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 06:40


เกิดเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน  พ.ศ. ๒๔๔๔

บิดามารดา         ขุนเสาวรักษบรรณาคม(ชิต  ไกรฤกษ์)และคุณลิ้นจี่ ไกรฤกษ์

เมื่ออายุ ๙ ขวบ  ได้เป็นพลทหารราบ ๒๑ ของทูลกระหม่อมอัษฎางค์

อายุ ๑๔ ปี  เข้าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า      สำเร็จเป็นนายทหารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ 


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 07:33

เมื่อมีแผนผังตระกูล  ก็ต้องเล่าย้อนความกันเล็กน้อย

คุณปู่ ของ จงกล  คือ  นายนวม  ลูกพระยาโชฎึก(ทองจีน)     

น้องของนวม คือ  พระมงคลรัตน์(ช่วง)  เป็น  บิดาของ เจ้าจอมมารดาชุ่ม  พระยาบุรุษรัตน์(นพ)  พระยาประเสริฐศุภกิจ(เพิ่ม)   
(ขอยกตัวอย่างแต่บางท่าน)


เมื่อขุนเสาวรักษบรรณาคม(ชิต) คุณพ่อ       ถึงแก่กรรมด้วยโรคฝีในท้อง  เป็นหนี้เจ้าจอมมารดาชุ่มลูกพี่ลูกน้อง อยู่  ๔๐ ชั่ง
ยืมมารักษาตัวเพราะเจ็บป่วยอยู่นาน       ได้ขอร้องให้คุณแม่ ไปรับใช้การงาน หรือจะพูดตรง ๆ  ก็ไปเป็นบ่าวเพื่อหักหนี้

ด.ช. จงกล  อยู่ชั้นมัธยม ๑ โรงเรียนเบญจมบพิตร  กลุ้มใจเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมมารดาต้องไปเป็นบ่าวคนอื่น  เพื่อรักษาความซื่อสัตย์ของบิดา
หลักฐานการกู้เงินก็ไม่มี


จงกลไปอยู่กับคุณท้าวนารีวรคณารักษ์(แจ่ม  ไกรฤกษ์) ที่ตำหนักสวนกุหลาบ

แม่ในเวลานั้นได้เงินลดหนี้ ๔๐ ชั่ง เดือนละ ๔ บาท  และได้ประทานเงินเดือน เดือนละ ๘ บาท  ทำงานเป็นนายห้องเครื่อง
ทำกับข้าวเสวยและเลี้ยงคนในตำหนัก ซึ่งมีอยู่ ๘๐ คน  เป็นคนไปจ่ายตลาดวันละ ๖๐ บาท

เป็นของแน่นอนว่าตงต้องกินเศษกินเลยวันหนึ่ง ๆ ไม่น้อยกว่า ๕ บาท    แม้จะมีฐานะเป็นบ่าวหรือขี้ข้าแต่การเงินไม่เลวนัก
ดีกว่าคุณ ๆ ในวังทั้งหลาย




กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 10:57
พระราชวังสวนดุสิตอยู่ห่างวังสวนกุหลาบราว ๕๐๐ เมตร  ประตูเข้าวังเรียกว่าประตูสี่แซ่


    เมื่อจงกลได้เข้ามาพึ่งพระบารมีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนนครราชสีมาได้ ๓ วัน  ก็ได้รับหมายเกณฑ์ทหารของ ร. ๒๑

ที่ทูลกระหม่อมอัษฎางค์เป็นผู้บังคับการกรม   สมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนารถทรงแนะนำให้จัดขึ้น

ด้วยพระประสงค์จะอบรมบ่มย้อมพระอนุชา  ในแนวเดียวกันกับสมเด็จพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซียได้ทรงมา

ตั้งแต่ทรงพระเยาว์เป็นการเอาอย่างรัชทายาทประเทศรัสเซีย



เครื่องแบบพลทหารใหม่  มีกางเกงผ้าหนาแบบทหารรัสเซียสีน้ำเงิน  ที่ปลายขากางเกงมรชัตติงหรือเข็มขัดรัดให้สูง

แค่น่อง  กับผ้าพันแข้งเป็นรูปสามเหลี่ยม



หลวงบริหารทัยราช(สุ่น  ไกรฤกษ์) นายร้อยเอกผู้บังคับกองร้อย  สั่งว่า

"เอ็งลองนุ่งกางเกง  แล้วหัดพันแข้งให้เรียบร้อย        พรุ่งนี้ต้องตื่นตีห้า  ไปเข้าแถวฝึก"


      จงกล  อายุ ๙ ขวบตอบ  "เค้าไม่นุ่ง        เค้าไม่หัด"


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: overhaul ที่ 25 พ.ค. 10, 13:46




อายุ ๑๔ ปี  เข้าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า      สำเร็จเป็นนายทหารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ 
คุณwandeeครับ สมัยนั้นน่าจะเรียกว่า โรงเรียนนายร้อยทหารบก ครับ :)


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 16:19
ขอบคุณค่ะ  คุณ overhaul    เดี๋ยวดิฉันแก้ใน ประวัติ ตอนตันของหนังสือเลยนะคะ

อันที่จริงท่านเล่าเรียนหนังสือไว้ละเอียดค่ะ   ยังไปไม่ถึง


เรานักอ่านหนังสือเก่าต้องอ้างอิงให้มากที่สุด และช่วยเหลือกันโดยแก้ไขข้อมูล กล่อมเสาให้เนียนเป็นเนื้อแพรให้ได้

ตอนนี้ดิฉันใช้หนังสืออนุสรณ์เป็นหลัก  และต่อไปจะใช้หนังสือของไทยน้อยค่ะ




       คุณท้าวนารีีีวรคณารักษ์(แจ่ม  ไกรฤกษ์)พระพี่เลี้ยงของทูลกระหม่อม ผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาของแม่  อยู่ที่นั่นด้วย

"เอ็งจะดื้อดึงอะไรมิได้   ทุกคนที่นี่แม้ตัวข้า       ก็เป็นขี้ข้าทูลกระหม่อมทุกคน        ท่านต้องพระประสงค์อะไร

ทุกคนต้องทำตาม   เอ็งจงก้มลงหมอบกราบถวายบังคมท่านเสียเดี๋ยวนี้"



       ข้าพเจ้าหันไปมองดูคนที่เรียกว่าทูลกระหม่อม   ประทับอยู่บนเก้าอี้ทาสีทองตัวใหญ่       มีคนหมอบคลานโบกพัด

คุณท้าวนารี ฯ หมอบอยู่ข้าง ๆ       เต็มไปด้วยพระอิสริยายศน่าเกรงขาม    แล้วก้มลงกราบ บังเอิญมิได้แบมือ    เป็นที่สบพระทัย รับสั่งว่า


      "อ้ายเด็กคนนี้ฉลาด  สมเป็นหลานคุณท้าว      เอ็งไม่อยากเป็นทหารแล้วอยากเป็นอะไร"



       ข้าพเจ้าทูลว่า

       "เขาอยากเป็นนักเรียนนายร้อยอย่างหม่อมเจ้าลักษณเลิศ(ชยางกูร) และ หม่อมเจ้า"ไปรมากร(วรวรรณ)"

        ตามสายตาของข้าพเจ้าเห็นว่าหม่อมเจ้าสององค์แต่งเครื่องแบบนักเรียนนายร้อยสวยสะดุดตาสะดุดใจ

แถมมีหน้ามีตากว่าเด็กคนอื่น ๆ


        "ไม่เจียมกะลาหัว     อยากตีตัวเสมอเจ้า      เอ็งรู้ไหม   แม่ของเอ็งก็ต้องไปเป็นขี้ข้าเสด็จพระองค์อาทร

เอ็งเป็นอะไรมานักหนา   จะเลือกเป็นนั่นเป็นนี่       ประเดี๋ยวจะหยิกให้เนื้อเขียว"



     ทูลกระหม่อมทรงพระสรวลอย่างพระทัยดี  แล้วตรัส

"เอ็งเข้าใจเลือก - เอ็งฉลาด    เอาเถอะข้าจะให้เอ็งได้เป็นนักเรียนนายร้อยตามใจเอ็ง 

แต่ต้องเป็นพลทหารราบ ๑๑ ของข้าก่อน    ต่อไปถ้าเอ็งทำตัวดีก็จะให้เป็นนักเรียนนายทหารเหมือนกัน"


"ไม่เอา    เขาไม่อยากเป็พลทหาร        เขาจะเป็นนักเรียนนายร้อย"



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 25 พ.ค. 10, 18:47
อ่านความเห็นที่ ๓ ของคุณ Wandee เขียนถึง ร.๒๑ ว่าจะเรียนว่าสมัยรัชกาลที่๖ มี ร.๑ - ร.๒๐  ก็พอดีมาเห็นในความเห็นที่ ๕ ว่า ร.๑๑  จึงขออนุญาตเรียนว่า ที่ถูกคือ ร.๑๑ ครับ  ทูลกระหม่อมอัษฎางค์ทรงเป็นผู้การกรม ๑๑  ยังมีพระรูปทรงเครื่องราบ ๑๑ ทรงฉลองพระองค์สีน้ำเงิน  ประดิษฐานที่ท้องพระโรงวังสวนกุหลาบ

ในสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้นจัดหน่วยทหารเป็น ๑๐ กองพล  แต่ละกองพลจะมี ๒ กรมทหารราบ  ๑ กองทหารม้า หรือกองทหารพราน (ราบเบา = Light Infantry)  ๑ กองทหารปืนใหญ่  ๑ กองทหารสื่อสาร  ๑ กองทหารช่าง  และ ๑ กองทหารพาหนะ (ปัจจุบันเรียกขนส่ง)

กรมทหารราบที่ ๑ และ ๑๑ สังกัดกองพล ๑  กองพลที่ ๒ เป็นกรมทหาราบที่ ๒ แลพ ๑๒  เรียกลำดับกันไปเช่นนี้ตนถึงกองพลที่ ๑๐ มีกรมทหารราบที่ ๑๐ และ ๒๐ ครับ


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 19:41
ขอบคุณ    คุณ วีมี ค่ะ    ต้นฉบับพิมพ์ผิด และดิฉันก็คัดลอกอย่างมิได้ระมัดระวัง   ขอรับผิดค่ะ


ร.ท. จงกลเป็นนายทหารที่เก่ง  เรียนเสธสอบได้ที่สอง    และได้รับราชการใกล้ชิด พลตรีหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์  เทวกุล

มีข้อมูลที่น่าสนใจอีกมาก        ตั้งใจจะเล่าแต่เรื่องที่เป็นเกร็ดชาววัง  เพราะสนุกสนานน่าฟัง   อ่านแค่คำอาลัยก็

บอกอะไรได้อีกมาก     ท่านเรียก ท่านผู้หญิงแผ้ว ว่า หม่อมพี่  เพราะโตมาทันเล่นกัน    ท่านไม่ได้เล่าเรื่องนี้  แต่ท่านผู้หญิงเล่าเองในคำอาลัย


      

      ข้อบกพร่องคงมีเพราะ คุณ จงกลเขียนงานไว้ไม่น้อย   ในหนังสือฉบับนี้เอง  แผนภูมิสกุลก็ยังมีที่ดิฉันตีความไม่กระจ่างอยู่บ้าง



      
       การทหารของประเทศไทยสมัย พ.ศ. ๒๔๕๕    มีทหารราบ ๒๐ กรม

เฉพาะกรมรวม ๑๕ กับกรมราบ ๑๑  มีปืนกลกรมละ ๑ กองร้อย  เป็นปืนกลแบบแมกซิมและแบบ

ลูอิสของเบลเยี่ยม     กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดชเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม  เป็นผู้เปลี่ยนแปลง

ทหารไทยสมัยใหม่ครั้งเจ้าพระยาสุรศักดิ์ ฯ(เจิม  แสงชูโต)ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น       งานสำคัญคือกฎหมายเกณฑ์ทหาร



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 20:46

            ต่อมา  สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ  จักกองทัพบกเป็น ๑๐ กองพล  ในขณะที่ไทยมีพลเมือง ๗ ล้านคน

ส่งนักเรียนนายร้อยไปเรียนต่างประเทศมากขึ้น


       ทหารบกไทยสมัยนั้น  แต่งกายสวมกางเกงสีน้ำเงินเข้ม ยาวปกเข่า  มีผ้าพันแข้งหนาพันทับขอบขากางเกงจนถึงข้อเท้า 

ไม่สวมรองเท้า  ใช้เสื้อนอกสีเทา  กระดุม ๕ เม็ด  สวมหมวกแก๊ป  ใช้ปืนเล็กยาวมีเกลียวในลำกล้องเป็นอาวุธประจำกาย 

ทหารไทยรุ่นเก่าใช้ปืนปัศตันไม่มีเกลียว   แม้ทหารฝรั่งก็เพิ่งใช้ปืนมีเกลียว(ซ้สโปร)ในกองทันนโปเลียนเป็นเริ่มแรก

มีการซ้อมรบแทบทุกปลายปี    เป็นทหารหัวเมืองมาซ้อมรบที่ทุ่งส้มป่อย  ซึ่งบัดนี้เป็นพระราชวังสวนจิตรลดา


     ในขณะที่ประเทศชาติกำลังอลวน เพื่อจะรักษาเอกราชให้พ้นจากฝรั่งล่าเมืองขึ้น  และไทยรีบก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองนี้

ชีวิตของเด็กชายอายุ ๙ ขวบก็อลวน


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 21:16

       ข้าพเจ้าอยู่ในฐานะครึ่งๆกลางๆ ของคำว่า "หลานผู้กำพร้าผู้ยาก"  หรือ "เด็กที่เขายกให้"

ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิเช่นหลานคนอื่นๆของท่าน เช่นบุตรพระยาจรรยายุติกฤต(สวน ไกรฤกษ์)(พี่ชายเจ้าพระยามหิธร(ลออ))

ซึ่งเขาเป็นนักเรียนมหาดเล็กหลวงมีสิทธิเท่าเทียมกับหม่อมเจ้าสององค์ ที่เป็นนักเรียนนายร้อยที่เล่าไว้แล้ว



       ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในฐานะเด็กรับใช้  แต่ก็มีงานประหลาดและน่ารังเกียจอยู่อย่างหนึ่ง  คือจะต้องจับจิ้งจกให้ได้วันละ ๓ ตัว

เอาไปให้เจ้าหน้าที่  แล้วเขาจะจ่ายบุหรี่ชมชื่นให้ในอัตราบุหรี่ตัวหนึ่งต่อจิ้งจกตัวหนึ่ง       

งานนี้แม้พี่ๆของข้าพเจ้าผู้มีฐานะสูงก็ต้องจับจิ้งจกทั่วกันหมด  เพราะทูลกระหม่อมทรงเกลียดจิ้งจก

จึงเกิดกฎนี้ขึ้น




       เจ้าจอมมารดาชุ่ม(ไกรฤกษ์)นั้น    สวยมากถึงกับโปรดให้ตามเสด็จคราวประพาสชวา   

ออกแขกเมืองได้รับคำชมเชยว่าเป็นหญิงไทยที่งามอย่างไม่มีใครเทียบ   พระธิดาสองพระองค์คือ

พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา  และ พระองค์เจ้าสุจิตราภรณี



       อยู่มาเจ้าจอมมารดาชุ่มวายชนม์ลง  ตั้งโกศที่ตำหนักหลังหนึ่งทางโรงช้างใกล้บริเวณเขาดิน

มีการเลี้ยงพระเป็นจำนวนมากทั้งเช้าและเพล    ตลอดจนเลี้ยงกรมวังและเจ้าพนักงานต่าง ๆ ด้วย

มารดาข้าพเข้าต้องจ่ายเครื่องกับข้าววันละ ๑๒๐ บาท    จึงกินเศษกินเลยร่ำรวย

ข้าพเจ้าซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของท่านจึงมีเงินไปโรงเรียนวันละ ๒ บาท    สมัยนั้นข้าวแกงจานละ ๕ สตางค์



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 พ.ค. 10, 21:31
ส่งรูปนี้มาประกอบเรื่องก่อนครับ


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 22:00
     เสด็จพระองค์อาทร ฯ     โปรดปรานมารดาของข้าพเจ้ามาก   นอกจากยกหนี้ ๔๐ ชั่งให้แล้ว

ยังประทานแก้วแหวนเงินทอง  ทรงมอบอำนาจในการปกครองข้าหลวงทั้งหลายให้ด้วย

เวลานั้นข้าพเจ้าอายุ ๙ ขวบ  ยังไม่เกินกฎของพระราชวังที่ห้ามเด็กชายมีอายุ ๑๐ ขวบเข้าไปในพระราชวัง

ข้าพเจ้าจึงเป็นเด็กชายคนเดียวที่ปนอยู่ในหมู่เด็กหญิงทั้งรุ่นสาวและสาวใหญ่ราว ๘๐ คน

วันใดที่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปโรงเรียน    ก็หางานทำถวาย  เช่นอ่านหนังสือพิมพ์  หมอบเฝ้าคอยรับใช้   วิ่งไปตามคนนั้นคนนี้ที่มีรับสั่งหา



งานที่โปรดปรานที่สุดคือจับจิ้งจกบนตำหนักไปปล่อยที่อื่น  เพราะเสด็จทรงเกลียดและกลัวจิ้งจกมากกว่าทูลกระหม่อมอัษฎางค์เสียอีก




       มื่อถึงเวลาเสวย   มารดาซึ่งเป็นนายเครื่องหมอบเฝ้าทูลแนะนำกับข้าวจานโน้นจานนี้อร่อย  ลองชิมหน่อยเถิดเพคะ

ปลาร้าหลนนี้ทำอย่างพระยา..... ที่ทำถวายพระพุทธเจ้าหลวงใส่มาในกะลามะพร้าวใช้ไฟรุม ๆ  พอไหม้หอมเกรียมอร่อยเพคะ

ทอดกุ้งนั่นก็เหมือนกัน  ต้องทำด้วยครกดิน  สากไม้ค่อยๆบุบให้เมือกกุ้งจับตัวกัน  ถึงจะเหนียว

ปีนี้อย่าเสวยผักหวานเลยเพคะ  ฝนลงแล้วเขาว่าผักหวานมีพิษ



ส่วนข้าพเจ้านั้นก็หมอบเฝ้าอยู่ข้างมารดา  หาแซ่มาคอยปัดแมลงวัน     บางทีก็โปรดแบ่งกับข้าวเช่นข้าวตั้งหน้าตั้งประทาน

แล้วรับสั่ง "เอ็งกินเสียเดี๋ยวนี้แหละ   อร่อยไหม?"





กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 พ.ค. 10, 22:12

     ขอบคุณ คุณ  Navarat. C  ค่ะ

     อ่านคุณจงกล  เลยไปคุณ ไทยน้อย   หลงไปตะรุเตา และเกาะเต่า  กลับมาอ่านประวัติคุณไทยน้อยใหม่

ท่านเล่าซำ้เป็นบางครั้ง  กบฎสันติภาพค่ะ(อ่านมาจากสวนหนังสือ)


     สหายติดต่อมาว่า มีเจ้าคุณศราภัยไหม   ตอบว่าไม่มีแต่จำอะไรพอได้


     ตอนคุณจงกลเป็นเสธ พลตรี  ท่านปรีดิเทพย์พงษ์  เทวกุล   คุณจงกลท่านเล่าอย่างร่าเริง ว่าท่านได้เรียนรู้การทำงานที่ละเอียดรอบคอบปานใด



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 26 พ.ค. 10, 05:08
   
       เสวยเสร็จแล้วก็รับสั่งสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ ถึงคนโน้น-คนนั้น     บางทีก็เร่งให้ข้าหลวง

กินข้่าวเร็วๆจะทรงมโหรี     บางทีทรงอ่านหนังสือ   และมักจะโปรดให้ข้าพเจ้าอ่านถวาย

โปรดเเรื่องอิเหนา  และพงศาวดารโรมัน   ทรงฉลองพระองค์ผ้าลายอย่างดีสีเขียวตั้งแช(ค้นมาว่าคือสีเขียวสนิม)

และห่มสไบสีเกษรชมพู่อบร่ำหอมกรุ่น       



พอแดดร่มลมตกเสด็จลงมาที่สนามหญ้าหน้าตำหนัก     ทรงออกกำลัง  เล่นมอญซ่อนผ้า  หมาไล่ห่าน

รับสั่งให้ข้าพเจ้าปีนขึ้นไปเก็บดอกลำดวนซึ่งบานอยู่บนต้นมาถวาย



สองทุ่มถึงเวลาเสวย        เสร็จแล้วมักทรงดนตรี       

ถ้าเดือนหงายก็เสด็จลงมาที่สนามโคนต้นกาหลงที่ส่งกลิ่นให้ถวิลหา....



ตำหนักที่ประทับ ๒ ชั้นกว้างขวาง      มีห้องทองซึ่งทาสีเหลือง   ในตู้เต็มไปด้วยพานทองหรือเครื่องทองทั้งห้อง

ห้องสีชมพูก็มีทุกสิ่งสีชมพูไปทั้งหมด         พื้นดินอันเป็นอาณาเขตตำหนักราวสองไร่   มีชื่อว่า "สวนภาพผู้หญิง"

บริเวณพื้นดินเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ดอกนานาชนิด      เช้าดอกกรรณิการ์บานสะพรั่ง  เก็บมาร้อยมาลัย

ก้านสีแดงเอามาขยี้แก้ม  ทำให้แก้มสีแดงเรื่อน่ารัก           



กุหลาบมีทุกชนิด   แต่โปรดกุหลาบมอญมากกว่าอื่น

มีสระและคลองส่งน้ำถ่ายเทได้         มีผู้ชายที่เป็นจีนทำสวน ๒ คน         มีพลทหารรักษาวังคุมเข้ามาทำงาน ๒ โมงเช้า กลับ ๕ โมงเย็น



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 26 พ.ค. 10, 06:25

       เมื่ออายุ ๑๐ ขวบ  ต้องออกจากวัง      เสด็จพระองค์อาทรฯ   ประทานพลับพลาส่วนนอกที่สี่แยกถนนซางฮี้ให้เป็นที่อยู่

และทรงอนุญาตให้มารดาข้าพเจ้าออกจากวังมาดูแล  คงให้เข้าไปอยู่ในวังแต่เฉพาะเวลากลางวัน



       ข้าพเจ้าอยู่คนเดียวก็คบค้ากับพวกคนขับรถในละแวกนั้น  มั่งมีเงินพอจะฟุ่มเฟือย   ก็ติดตามพวกคนขับรถ

เข้าไปแทงโปในโรงบ่อน        เข้าซ่องโสเภณีที่ชื่อว่ากุหลาบเหลือง           ข้าพเจ้าเป็นเด็กจึงยังไม่ได้ลงไม้ลงมือไปกับเขาด้วย

การเล่าเรียนก็เลวลง       หนีโรงเรียนเป็นอาจินต์          แต่เมื่อจวนสอบไล่   ก็สนใจเรียนเสียพักหนึ่ง

สามารถสอบไล่ได้ในอันดับจวนตกอยู่เสมอ          มารดาข้าพเจ้าเมื่อมีเงินก็สังคมกับนักการพนันถั่วโปและไพ่





       พออายุ ๑๔ ปี  ได้เข้าโรงเรียนนายร้อย         เสด็จรับสั่งให้หลวงบริหารทัยราช  ปลัดกรมของกรมหลวงนครราชสีมา

เป็นผู้จัดการนำไปฝากโรงเรียนนายร้อย   ให้จัดเครื่องใช้ไม้สอยให้อย่างเดียวกับที่เคยจัดถวายหม่อมเจ้า เช่นที่นอนแพร-ท๊อปบูท

และหมวกสักหลาดขาวที่ตัดโดยห้างบีกริม           ของใช้หรูเช่นนั้นเชิดหน้าชูตานัก


       โรงเรียนนายร้อยสมัยโน้นมี ๘ ชั้น    แบ่งเป็นปฐม ๖ ชั้น    ตั้งอยู่เชิงสพานช้างโรงสี ซึ่งต่อมาเป็นที่ตั้งของกรมแผนที่

เป็นมัธยม ๒ ชั้น  อยู่ถนนราชดำเนินนอก


       ข้าพเจ้าเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่สอง  จึงต้องเรียนอยู่ ๗ ปีถึงจะได้เป็นนายร้อยห้อยกระบี่   

ชั้นประถมปีที่ ๖  ก็เทียบเท่ามัธยมสามัญปีที่ ๘


นอกจากวิชาสามัญก็มีวิชาหน้าที่ของทหาร  เช่น ระเบียบข้อบังคับ   และฝึกหัดให้เหนื่อยจนลิ้นห้อย

โดยนายทหารพลรบซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา          ส่วนครูวิชาสามัญนั้นเป็นนายทหารผู้ช่วยรบติดอินทรธนูทอง

ภายใต้ความอำนวยการของอาจารย์ใหญ่พันโทพระสารสาสน์พลขันธ์(ลอง  สุนทานนท์) ผู้มีนามปากกาว่า ๕๕๕





(ราชทินนาม สารสาสน์พลขันธ์  เท่าที่จำได้ มีถึง ๓ ท่านที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ในวงวรรณกรรม    สหายในวงนักอ่านส่วนมาก
จะรู้จัก เยรินี ผู้พยายามจะสร้างลูกกระสุนแต่ทำไมได้ จึงแอบสั่งดินปืนจากสิงคโปร์เข้ามา    และ ๕๕๕ ผู้ที่ไปใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายในต่างประเทศ
ไม่รู้จักหรืออ่านข้ามตำนานสามก๊กไป จึงไม่รู้จักพระสารสาสน์พลขันธ์(สมบูรณ์) ผู้เขียนสามก๊กอีกหนึ่ง สำนวน จบ  แต่โรงพิมพ์ทำหายช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
สหายที่นับถือในเรือนไทย  เมื่ออยากอ่านอะไรมาก ๆ  จะบ่นว่า  ...แล้วจะได้อ่านไหมนี่......          เรื่องนี้เป็นอันจนใจนะท่าน)


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 26 พ.ค. 10, 06:46
ในวามเห็นก่อนหน้า  คุณ Wandee เล่าถึงนายทหารพลรบและผู้ช่วยพลรบติดอินทรธนูทอง
เรื่องนี้มีข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ในสมัยก่อนเปลี่ยการปกครอง  เฉพาะนายทหารพลรบเท่านั้นที่ติดอืนทรธนูตามยาวบ่า  คือจากต้นคอไปปลายบ้า
ส่วนผู้ช่วยพลรบ และข้าราชการพลเรือน  ติดอินทรธนูที่ปลายบ่าในแนว  ในแนวขวางบ่า  จากด้านหน้าไปด้านหลังบ่า


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 26 พ.ค. 10, 07:38

ดีจังเลยค่ะ คุณ V_Mee       เพิ่มความรู้ให้พวกเรา  เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้คือเรื่องน่ารู้

ขอเรียนเชิญให้แวะมาบ่อยๆ 



ดิฉัน คัดลอก  มาจากหนังสืออนุสรณ์ ที่น่าอ่านมากที่สุดเล่มหนึ่ง  ไม่ได้เขียนเลย

อ่านแล้ว นำมาฝาก     เพราะเห็นว่าสนุก  และเปิดเผย

อยากให้เห็นคุณค่าของหนังสืออนุสรณ์ที่ดีเช่นนี้



สกุลมหาศาลนั้นย่อมมีสมาชิกที่ร่ำรวยและยากจนปะปนกันไป     ที่รักษาตนและฐานะไว้ได้ก็นับว่าเก่ง

สกุลไกรฤกษ์นั้นก็ได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติพี่น้องไว้มาก          หนังสือที่เกี่ยวกับสกุลนี้ก็มีทั่วไป

ไม่ค่อยเห็นตำรากับข้าวของบ้านนี้

ทราบว่า หมูหวานที่เคี่ยวจนมันหมูออกราวกับกระจก  แต่ตัวเนื้อหมูนั้นไม่หวานจนแสบไส้  หากมีรสขมเล็กน้อยจากการใช้ไฟที่เหมาะ

ยังมีทำกันอยู่บ้าง     เคยได้รับแจกมาประมาณสองครั้งเป็นลาภปาก    กินกับน้ำพริกกะปิธรรมดา     




กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 27 พ.ค. 10, 00:10
  
     เรื่องซุกซนสัปดนของนักเรียนนายร้อยมีเยอะ            เล่ากันสิบวันไม่จบเป็นเรื่องสนุก ๆ ทั้งนั้น

เช่นเรื่องครูฝรั่งชาวอิตาเลียนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นนายพันโทพระสารสาสน์พลขันธ์(เยรินี)

เป็นครูสอบไล่ภาษาอังกฤษที่หลับหูหลับตาให้คะแนนนักเรียนชอบกล



     ทั้งชั้นเรียนมี ๓๐ คน   มีคนที่เอาใจใส่ภาษาอังกฤษอยู่ ๒ - ๓ คน      เวลาสอบอ่านอังกฤษเรียกนายสำอางคนเก่งอังกฤษ

ไปยืนอ่านหน้าชั้น  เสร็จแล้วให้คะแนน ๑๐๐ เปอร์เซนต์

คนที่สองชื่อนายช่วง  ถูกเรียกให้ไปอ่าน  แต่นายช่วงเฉยเสียให้นายสำอางไปอ่านแทน     ได้คะแนน ๑๐๐ เปอร์เซนต์เท่ากันอีก

ทั้ง ๓๐ คน  นายสำอางไปอ่านแทนทุกคน  ได้คะแนน ๑๐๐ ทุกคน

เมื่อให้คะแนนคนสุดท้ายแล้ว คุณพระชาวอิตาเลียนเงยหน้าถามว่า

           " ..... ึง     ไม่เหนื่อยหรือ?"  




(อ่านพิชัยสงครามฮินดูแล้วอดยิ้มไม่ได้      ก.ศ.ร.กุหลาบหาหนังสือโบราณให้เยรินีหลายเล่ม และเล่าว่าเยรินีสะสมตำราพราหมณ์)


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 27 พ.ค. 10, 00:45


เข้าโรงเรียนนายร้อย พ.ศ. ๒๔๕๘  จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นร้อยตรีทหารปืนใหญ่พิษณุโลกมาแล้วหนึ่งปี


เรื่องขัน ๆ ที่คุณจงกลเล่า

     แทบทุกคนแสดงตัวว่าตนมีคู่รักสวยนักสวยหนา    สมัยนั้นมีรถยนต์ในกรุงเทพฯ ไม่ถึงพันคัน

หลายคนชูคอชะเง้อหาหญิงสาวบนรถยนต์ที่ตนได้แลเห็น  ขณะที่เช้าเย็นไปกลับที่โรงเรียนราชินี     มีมากคนที่มีความรู้

ว่าเบอร์รถที่เท่านั้น  เป็นรถของใครและบ้านอยู่ที่ไหน      มั่งมีมากน้อยอย่างใด       ตั้งหน้าเอาหนาเข้าแลก

เก้อเปล่าก็มี   สำเร็จก็มาก



       ฝรั่งคนหนึ่งเป็นอาจารย์ภาษาต่างประเทศทั้งที่โรงเรียนสตรีมีชื่อและโรงเรียนนายร้อย   ซึ่งทั้งสองโรงเรียน

ทำการเซ็นเซ่อร์จดหมายนักเรียนอย่างกวดขัน          มีคนหนึ่งไปหลอกอาจารย์ว่า       ทางบ้านคุณหญิงโกษาธิบดี

ซึ่งเป็นป้าฝากจดหมายไปให้นางสาว...............     ซึ่งอยู่โรงเรียนใส่ซองเดียวมากับที่ท่านมีจดหมายถึงผม         

เป็นเรื่องด่วน  จะรอให้ผมกลับบ้านตอนบ่ายวันเสาร์ไม่ทันกาล

ผมชอฝากจดหมายคุณป้าไปให้น้องสาวของผมด้วย        แล้วเขาเขียนโน้ตสั้น ๆ บนหลังซองถึงน้องสาว


ทำอย่างนั้นเพียงสองฉบับเท่านั้น          อาจารย์ฝรั่งก็ทำหน้าที่นำจดหมายตอบของนางสาว ............ จากโรงเรียนสตรี

มาให้ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นพี่ชายสายโลหิต


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 00:14
     สำเร็จออกมาเป็นนายทหารเมื่อพ.ศ. ๒๔๖๕     ไปอยู่ที่กรมทหารราบที่ ๑๕ จังหวัดนครราชสีมา

พ.ศ. ๒๔๖๙  สอบไล่ผ่านโรงเรียนเสนาธิการ  ได้เป็นอันดับ ๒         ได้โยกย้ายไปรับราชการต่างจังหวัด





(หนังสืออนุสรณ์ หน้า ๓๒ - ๓๔)

"ไปหัดทหารที่กรมกองอยู่ ๒ เดือน   นายพันโทอาจารย์โรงเรียนเสนาธิการอีกคนหนึ่งซึ่งดุไม่แพ้พระยาศรีสิทธิสงคราม  และดุโผงผางกว่าด้วยซ้ำ

เป็นหัวนอกเยอรมันเหมือนกัน  และเป็นหม่อมเจ้า   เรียกข้าพเจ้าไปหา    เวลานั้นท่านดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกข่าวทหารของกรมเสนาธิการทหารบก

เมื่อเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ทหารที่โรงเรียนเสนาธิการเคยถามว่า   พวกเธอเมื่อจบโรงเรียนเสนาธิการ  ใครอยากไปทำงานกับฉันบ้าง

เงียบ - ไม่มีใครตอบและกระดุกกระดิก          นอกจากข้าพเจ้าคนเดียวที่ยกมือขึ้น         ท่านมองหน้าตอบขอบใจแล้วเลิกลากันไป

วันนี้เรียกให้ไปหาคงจะเอาไปทำงานด้วย             จึงเริ่มสืบสวนพระประวัติของหม่อมเจ้าองค์นี้         ตายแล้ว!      



           แม้ร้อยเอกเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ก็ยังดุราวกับเสือ       แล้วอาตมานี้เป็นอะไรมาจะพ้นกรงเล็บเสือ


เรื่องที่ทราบมานั้นมีดังนี้


       วันหนึ่งหม่อมเจ้า .......... ผู้บังคับการเดินไปตรวจภายในบริเวณ       บังเอิญพบขี้ม้าในคอกที่อยู่ในกองร้อยของสมเด็จเจ้าฟ้า    

จึงสั่งให้นายสิบเวรกองร้อยไปตามผู้บังคับกองร้อยของแกมา   กองแกสกปรก         นายสิบถวายเคารพรายงานว่า

       "ยังไม่เสด็จจากวัง"

       "สายจนป่านนี้ยังไม่ออกจากวังได้หรือ       บอกให้ไปตามมา   เอ!  เจ้านี่-"            นายสิบเวรคว้าจักรยานขี่ปรื๊อมายังวังสุโขทัย

กราบทูลให้ทรงทราบ      รับสั่งว่า

       "ไปบอกเขาเถิดว่าฉันป่วย"

       เมื่อทูลว่าฉันป่วยให้ท่านผู้บังคับการทราบแล้ว     ก็ยังถูกดุอีกแต่ดังลั่นกว่าครั้งก่อน

       "ป่วยเป็นอะไร-มีใบตรวจของแพทย์หรือเปล่า?        ถ้าไม่มีถือว่าขาดราชการ   แกลงบัญชีว่าป่วยไม่ได้       ต้องลงว่าขาดราชการนะ"



นายสิบเวรหน้่าเหรอกลับกองร้อยบอกกับนายทหารผู้บังคับหมวดว่า

       "ตั้งแต่ผมเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่        ไม่เคยยุ่งยากใจเท่าครั้งนี้         ผมจะไปทูลสมเด็จเจ้าฟ้าผู้บังคับกองร้อยว่าอย่างไรดี    

จะลงบัญชีว่าท่านขาดราชการได้หรือ         ท่านเป็นสมเด็จเจ้าฟ้านะ      โธ่!   ใครเขาเป็นผู้บังคับการก็ไม่เห็นเขาดุตะพึด  ไม่เลือก

หน้าอินทร์หน้าพรหม  เหมือนท่านผู้บังคับการคนนี้        ถ้าท่านจะดุกันเองก็เป็นเรื่องของท่าน   แต่นี่ท่านตีวัวกระทบคราด  ผมแย่"



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 00:33

       นายสิบจะปฎิบัติอย่างไรไม่สำคัญนัก          ที่สำคัญคือต่อมาไม่ช้า  สมเด็จพระพันปีหลวงทรงน้อยพระราชหฤทัยว่า  พระราชโอรสถูกเคี่ยวเข็ญ

ทันใดนั้นนายพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถเสด็จไปเฝ้ากราบบังคมทูลว่า

       "หม่อมฉันเองเป็นคนสั่งให้ผู้บังคับบัญชาเขาเข้มงวด  เพื่อน้องเอียดน้อยจะได้เข้มแข็งในราชการแผ่นดิน"





       เล่ากันว่า  ถ้าเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลก ฯ  ไม่เสด็จไปกราบบังคมทูล     ท่านผู้บังคับการที่ดุปานเสือ   จะต้องกลายเป็นเสือกระดาษ 

และเลยเป็นที่เห็นกันว่าท่านผู้นี้ได้รับความเชื่อถือ-ความรักจากทูลกระหม่อมจักรพงษ์มาก         ท่านเป็นผู้มีอิทธิพลในกระทรวงกลาโหมนานมาแล้ว

เมื่อสิ้นบุญทูลกระหม่อมจักรพงษ์แล้ว   ท่านผู้นี้บังเอิญเป็นน้องเขยของพลเอกหม่อมเจ้าบวรเดชเสนาบดีกระทรวงกลาโหมคนใหม่     ท่านก็ทรงอิทธิพล

อยู่ตามเดิม    แม้จะได้เคยถวายความเคี่ยวเข็ญแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ซึ่งทรงผ่านราชสมบัติ  แต่ครั้งยังทรงเป็นร้อยเอกดังเล่ามาแล้ว

พระมหากษัตริย์มิได้ทรงถือสาหาความและกลับโปรดปรานด้วยซ้ำ


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 01:06
     เมื่อกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑  มีงานฉลองกรม   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว   พระราชทานพระบรมราโชวาท

มีความตอนหนึ่งว่า



       "ข้าพเจ้าไม่ลืมกรมทหารปืนใหญ่นี้เลย  เพราะเคยได้รับความลำบากยากแค้นมามาก(ทอดพระเนตรไปทางท่านผู้บังคับการที่เคยดุ)

แต่ข้าพเจ้าก็อดทน   จนกระทั่งเปลี่ยนหน้าที่ไปทำอย่างอื่นก็ค่อยสบายหน่อย  จึงไม่ลืมกรมนี้ได้เลย"



ท่านผู้บังคับการคนดุ กราบทูล

       "ขอเดชะปกเกล้า

        เมื่อครั้งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเป็นผู้บังคับกองร้อยในกรมนี้              ก็เท่ากับเสด็จประทับเป็นร่มโพธิทองให้บรรดาข้าพระพุทธเจ้า

ทั้งปวง  ได้มีเกียรติ  ได้เฝ้าแหนร่วมราชการรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นลำดับมา             แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าโง่เขลาเปรียบดุจ

คนมีตาหามีแววไม่             เพราะไม่หยั่งทราบล่วงหน้าว่า               มีผู้บังคับกองร้อยองค์หนึ่งภายใต้การบังคับบัญชาของข้าพระพุทธเจ้า

จะได้มีบุญญาธิการผ่านราชสมบัติ  ในเวลาต่อจากนั้นไปไม่ช้า            จึงมิได้ถวายความสมควรขณะที่บังคับบัญชากันอยู่

ถ้าข้าพระพุทธเจ้าแน่ใจว่า     ผู้บังคับกองร้อยของข้าพระพุทธเจ้าจะได้เป็นพระมหากษัตราธิราช                   ข้าพระพุทธเจ้าก็คงจะได้ถวาย

ความเข้มงวดยิ่งกว่าที่ได้เป็นมาแล้วอย่างแน่นอน....."

 


       ทั้งๆที่หวั่นพรั่นพรึงว่า   ลูกระเบิดกำลังตกลงมากลางที่ชุมนุม

แต่ทุกคนก็ตบมือกันกราวใหญ่          เป็นเสียงที่ดังจากพระราชหัตถ์ด้วย          

ก็พากันเบาใจและเห็นว่า  เป็นคำปราศรัยที่ฉลาด  อย่างไม่กลัวคน

แต่นั้นนายทหารส่วนมากต่างพูดกันว่า  ผู้บังคับการองค์นี้เปรี้ยว   พากันเข็ดเขี้ยวไม่กล้ารอต่อกร




กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 28 พ.ค. 10, 01:19
เข้ามาลงชื่อว่าตามอ่านอยู่ครับ

สนุกมากๆ ได้เปิดหูเปิดตาอีกเยอะเลยครับ


ปล.ขออภัยที่ปาดหน้านะครับ ;D


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 01:34

       ขอบคุณที่แวะมาบอกค่ะ

       เรื่องอ่านหนังสือเพื่อความเพลิดเพลินเป็นนโยบายประจำใจ

       ยังมีเรื่องสนุกอีกเรื่องสองเรื่อง  แล้วคุณจงกลก็มีธุระไปติดคุกอยู่หลายปี  ทารุณสุดที่จะกล่าว

ท่านใจสู้ค่ะ       เสื้อผ้าที่พันกายรุ่งริ่ง ท่านก็ไม่อับอายค่ะ


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 01:40

       อย่างนี้ไม่เรียกปาดหรอกค่ะ  เรียกว่าให้กำลังใจ

คนที่ปาด คือ คนที่ชิงตอบเรื่องยากๆไปก่อนที่ดิฉันจะคิดออก
เลยต้องทำเป็นฉุน


เรามาอ่านหนังสือเก่ากันนะคะ


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 28 พ.ค. 10, 07:48
อ่านที่คุณ Wandee เล่าถึงหม่อมเจ้าผู้บังคับการกรมท่านนั้น  ก็นึกว่าจะถามอยู่เหมือนกันว่า ใช้ หม่อมเจ้า ป. ซึ่งทรงเป็นผู้บังคับการทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ใช่หรือไม่  พลันคุณ Wandee ก็เฉลยออกมาแล้วว่า ความเข้าใจของผมนั้นถูกแล้ว

เรื่องที่ผู้การกรมถวายนาฬิกาข้อมือผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ก็คงจะมีที่มาจากเรื่องที่คุณ Wandee ได้กรุณาหยิบยกขึ้นมาเล่าไว้ข้างต้น  ว่ากันว่า ทูลกระหม่อมท่านเสด็จมาตรวจแถวตอนเช้าไม่ทันสักวัน  ท่านผู้การกรมเลยถวายนาฬิกาข้อมือแด่ทูลกระหม่อมไว้เรือนหนึ่ง  ด้วยทรงหวังว่าทูลกระหม่อมจะเสด็จมารับตรวจทันเวลาทุกเช้า  แต่คงจะเป็นเพราะเวลานั้นทูลกระหม่อมประทับอยู่กับสมเด็จพระพันปีหลวงที่วังพญาไท  แล้วสมเด็จพระพันปีทรงใช้เวลากลางวันเป็นกลางคืน  และกลางคืนเป็นกลางวัน  เลยคงจะทำให้ทูลกระหม่อมบรรทมดึกตามพระบรมราชชนนี  เลยตื่นไปรับตรวจไม่ทันสักวัน  เล่ากันอีกว่า เมื่อท่านผู้การกรมกราบทูลถามถึงเรื่องนาฬิกา  ทูลกระหม่อมก็รับสั่งว่า ถอดไว้ที่วัง  ท่านผู้การกรมก็เลยหมดปัญญาจะจัดการกับลูกน้องพระองค์นี้

เรื่องความดุของท่านผู้การกรมท่านนี้  มีคำยืนยันจากหลานปู่ของท่านครับว่า ดุจริง  ไม่เว้นแม้แต่ลูก  ขนาดหลานที่ว่าทรงเมตตานัก  หลานๆ ก็ยังว่าทรงดุเหลือประมาณ


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 28 พ.ค. 10, 09:33
ถ้า ม.จ. ป. ของผมเป็นท่านเดียวกับคุณ V_Mee ท่านก็เป็นโอรสของพระเชษฐาที่สมเด็จฯพระพันปีหลวงทรงเกรงพระทัย
จึงทรงกล้าที่จะ ต่อปากต่อคำ กับผู้บังคับกองร้อยของท่าน  :D


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 09:39
      ขอบคุณ คุณ​V_Mee   ที่เฮโลสาระพา  ช่วยกันลากเรื่องนี้


      ยังมีตอนที่ท่าน "เฮี๊ยบ"  อีกนิดหน่อยค่ะ   อ่านแล้วก็ขำ

ดีใจด้วยที่คุณ V_Mee  แวะมา         เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเรื่องของเจ้านายเป็นเรื่องที่ต้องเล่าสู่กันฟัง

เพื่อนที่ขายหนังสือมือสองเล่าว่า  มีคนมาตามหนังสือเรื่องที่เล่าๆกันนี้อยู่จำนวนหนึ่ง และมีคนรุ่นใหม่สนใจไต่ถาม

คุณจงกลท่านเป็นบุรุษผู้ฝึกตนแล้ว       ความไม่แน่นอนของชีวิตขึ้นลงที่ท่านผ่านมา  คงทำให้ท่านนึกถึงชีวิตในวัยเด็กที่มีความสุข



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 09:59


       ในหน้าแรกของ คำไว้อาลัย    พลตรีหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์  เทวกุล  เขียนถึงคุณจงกล  ไกรฤกษ์ ไว้ว่า


     "มิตรสัมพันธ์ระหว่างเราทั้ง ๒     ได้เริ่มมีมาแต่ พ.ศ. ๒๔๗๐       เวลานั้นคุณจงกลมียศทหารบกเป็นร้อยตรี   รับราชการร่วมกันเป็นเวลา ๑ ปี
ที่แผนก ๓  กรมยุทธการทหารบก

คุณจงกลได้ศึกษาวิชาในโรงเรียนเสนาธิการ ฯ มาก่อนแล้ว       จึงเป็นผู้ที่มีความรู้ในหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ

และด้วยความเอาใจใส่ก็สามารถปฎิบััติการได้สมกับตำแหน่ง     

ในรายงานประจำตัวได้คะแนนรวมว่า  "ดี"  ถึงต้นปี ๒๔๗๑  ได้เลื่อนยศเป็นร้อยโท


       ในกาลต่อมาเราทั้ง ๒ ต่างแยกสังกัดกัน       ร.ท.จงกล คงเป็นนายทหารประจำการ   ฝ่ายผู้เขียนได้ย้ายไปรับราชการกระทรวงต่างประเทศ จนถึง พ.ศ.​๒๔๗๕

ภายหลังเวลาที่ผู้เขียนกลับจากต่างประเทศและออกจากราชการแล้ว          เราจึงได้พบปะกันอีกเป็นครั้งคราว           

ได้สังเกตว่า  ร.ท. จงกลเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายและมีความรู้ในเหตุการณ์บ้านเมือง       ส่อให้เห็นว่าเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังมาก"





กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 10:24
ขอบคุณคุณ​ CVT  ที่แวะมาอ่านค่ะ

อ่านหนังสือเก่า  ก็เก็บข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ   ไปใช้ในงานที่กำลังศึกษาอยู่ได้เสมอ

ส่วนหนึ่งก็จะนำไปเถียงทะเลาะกับเพื่อนนักอ่าน  หักล้างกันด้วยความเพลิดเพลิน

แต่เจริญใจไปได้ไม่นานเพราะเพื่อน ๆ        ก็จะรีบไปอ่านหนังสือใกล้เคียงมาอีก ๒-๓ เล่ม

นำข้อมูลใหม่มาทุ่มใส่   วนเวียนไปดั่งนี้ค่ะ


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 11:57

"เสนาธิการ
 (หน้า  ๓๘ - ๓๙  อ้างอิงเดิม)


       นายทหารเสนาธิการนั้น   มีหน้าที่และตำแหน่งออกไปรับราชการตามลำดับความสำคัญ ดั่งนี้

       ประจำกรมเสนาธิการ  ซึ่งถือกันว่าแผนยุทธการและการฝึกทหาร    และการฝึกทหารสำคัญที่สุด

       ประจำกองทัพกองพลกรม

       ประจำกรมยุทธศึกษา


       ในแผนกที่ ๓   กรมเสนาธิการนั้น  แบ่งเป็นกองยุทธการ  ซึ่ง ร้อยเอกหลวงพลหาญสงตราม(จิต  อัคนิทัต)รับผิดชอบ

ท่านสำเร็จโรงเรียนเสนาธิการสอบ  แล้วไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสไล่ได้ที่ ๑


มีนายทหารเสนาธิการเป็นผู้ช่วย ๓ คน


กองฝึกทหารทหารนั้น  ร.อ. หลวงไววิธีทัพ(พล เสนีย์วงศ์)รับผิดชอบ     มีผู้ช่วยเช่นเดียวกัน

ข้าพเจ้าไม่เคยทำงานเสนาธิการ  เพราะเพิ่งย้ายมาจากกรมทหาร  ถูกบรรจุให้เป็นนายทหารคนสนิท    รวมเรื่องจากสองกองนั้นไปถวายหัวหน้าแผนก

ในฐานะเป็นคนใหม่  หลวงไวเป็นผู้ฝึกงานให้        วัน ๆ หนึ่งออกหนังสือหลายสิบเรื่อง  ต้องแยกเรื่องส่งกองทั้งสอง  เสนอความเห็นและเซ็นชื่อกำกับ
และต้องส่งสำเนามาที่กองของเราด้วย



วันหนึ่งมีคำสั่งพื้น ๆ  และประหลาด    เป็นคำสั่งของกองพลแห่งหนึ่งว่า  ท่านผู้บัญชาการกองพลผ่านไป  หมู่ทหารสัมภาระบอกแถวทำการเคารพ  แต่พลทหารทำการเคารพไม่เรียบร้อย

จึงขอตักเตือน

ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่มีสาระ  จึงบันทึกว่า   นำเสนอเพื่อทราบแล้วเก็บ

ร.อ. หลวงไววิธีทัพ  เขียนว่า    ทราบ-ไว


หัวหน้าแผนกส่งกลับมาว่า  ให้พิจารณาใหม่ -  ด่วน

ข้าพเจ้าก็งง เพราะไม่ทราบจะพิจารณาอย่างใหม่อย่างไร       ผู้บัญชาการกองพลเขาเตือนทหารของเขาให้ทำความเคารพให้ถูก  ไม่น่าจะมีประเด็น


ร.ต.จงกลจึงตามนายทหารเสนาธิการคนเก่า  ผู้สำเร็จจากต่างประเทศและสอนในโรงเรียนเสนาธิการ มาขอความเห็น          ทุกคนจนปัญญา

มีผู้เสนอความเห็นว่า  ลองเสนอชมเชยผู้บัญชาการกองพลว่าเรื่องเล็กน้อยก็ไม่ทิ้ง         ข้าพเจ้าเห็นตรงกันข้ามว่าถ้าจะเป็นเรื่องชมเชย  เจ้านายท่านสร้างพระคุณเอง ไม่ต้องยืมมือเราก็ได้

จึงเสนอไปว่า

การปรากฏว่า ทหารในกองพล.....บกพร่องแม้แต่การทำความเคารพ      ผู้รับผิดคนแรกคือผู้บัญชาการกองพล  น่าจะได้รับการตำหนิ

ไม่มีใครยอมเซ็นชื่อ   ตกลงใส่ชื่อข้าพเจ้าเข้าไปคนเดียว



เรื่องกลับออกมาว่า

       "ชอบแล้ว     ร่างหนังสือเป็นหนังสือซองเล็กลับ-เฉพาะ  แนะนำให้เขาลาออก"



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 28 พ.ค. 10, 16:54
อ่านเรื่องทหารทำความเคารพไม่เรียบร้อยแล้ว  ชวนให้นึกถึงเรื่งที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จประพาสหัวเมืองมณฑลปักษ์ใต้  ทรงพระราชบันทึกไว้ว่า เวลานั้นเป็นช่วงที่เริ่มจัดตำรวจภูธรในหัวเมืองใหม่ๆ  ตำรวจภูธรจึงใช้ระเบียบปฏิบัติของทหาร  ทีนี้เวลาเสด็จไปที่ไหนๆ ก็ต้องทรงยกพระหัตถ์รับความเคารพอยู่ตลอด  เพราะแม้แต่เวลาที่ประทับอยู่ในพลับพลา  ถ้าทหารที่ยืนรักษาการมองเห็นพระองค์แค่แวบเดียวก็ถวายเคารพ  ก็ต้องทรงยกพระหัตถ์รับ  ถึงกับมีพระราชบันทึกว่า วันๆ ไม่ต้องทรงทำอะไร  ต้องยกพระหัตถ์รับความเคารพจนเมื่อยพระกรเต็มทน

นอกจากนั้นคุณๆ มหาดเล็กในรัชกาลที่ ๖ ท่านนังเล่ากันอีกว่า วันดีคืนดีก็มีรับสั่งให้คุณมหาดเล็กบางคนไปเป็นทหาร  เป็นพลทหารเกณฑ์นะครับ  ท่านเล่ากันสนุกว่า ทหารสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้นถูกลงทัณฑ์กันเป็นเรื่องปกติ  จะเรียกว่าสามเวลาหลังอาหารก็ยังได้  แค่สวมเสื้อไม่ตึงก็โดนทัณฑ์  สวมหมวกเบี้ยวไปนิดก็ลงทัณฑ์  ฉะนั้นเรื่องทหารทำความเคารพไม่เรียบร้อยแล้วผู้บังคับบัญชาถูกตำหนิว่า อบรมทหารไม่ดี  จึงเป็นเรื่องไม่แปลกสำหรับยุคนั้นเลยครับ 


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 18:08


       คุณจงกลกับคณะพรรค       คุยเรื่องเสนาธิการเอี่ยซิ่ว  ที่รู้ใจโจโฉจนถูกประหารชีวิต

ผู้ฟังคนหนึ่งบอกว่าเรื่องโบราณเกืนไป  มีเรื่องใหม่ ๆในเมืองไทยไหม




       "เห็นจะพอมี -  ฟังซี   งานปฎิภาณไหวพริบเรื่องที่สอง   ศาลาการเปรียญวัดราชาธิวาสน่ะ       ลองเดินไปดูเถิด

แข็งแรงกว้างขวาง  เสาแต่ละต้นใหญ่โต  ไม่มีที่ไหนเทียบได้   นอกจากที่ศาลาการเปรียญวัดหลวงพ่อเพชร-เมืองพิจิตร

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้่าอยู่หัว  เสด็จไปวัดราชา   ทรงชี้โน่น  ชี้นี่  บัญชาการเองก็ว่าได้

เช้าวันหนึ่งเสด็จไปถึงศาลาการเปรียญที่กำลังสร้าง   ทรงเห็นต้นโพธิต้นใหญ่ใบสล้างบังศาลา     จึงรับสั่งกับกรมหลวงสรรพศาสตร์

ผู้เป็นแม่กองก่อสร้างว่า

       "ต้ดต้นโพธิ์เสีย   จะเอาไว้ทำไม"

        กรมหลวงสรรพศาสตร์มีพระพักคร์จืด ๆ      กราบทูลตะกุกตะกักแบ่งรับแบ่งสู้ว่า

       "พ่ะย่ะค่ะ       กานกิ่งเสียบ้างก็ดี"


       ธรรมเนียมกษัตริย์ตรัสสั่ง     ไม่ว่าอะไร คำไหนเป็นคำนั้น          แต่ไฉนวันนั้นคนรับคำสั่ง  ซึ่งเป็นผู้รู้ขนบธรรมเนียมเป็นอย่างดีกลับตะแบงว่า

กานกิ่ง  ไม่ยักตัดพระราชกระแสรับสั่ง         ก็ทรงฉงนพระราชหฤทัยอยู่            ว่ามันจะเมาเหล้าตั้งแต่เช้าก็ไม่ใช่

นอกจากน้ำเสียงพูด    นัยตาก็มีความหมายชอบกล


ไม่ช้าทรงระลึกได้ว่า  สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยบรรพชาที่วัดนี้     เคยนั่งกรรมฐานที่โคนต้นโพธิ์

เห็นจะเป็นต้นโพธินี้เอง

เคราะห์ดีจริง ๆ  ที่ไม่ได้ตัดต้นโพธิ์อนุสรณ์สำคัญ


       เห็นกันหรือยังล่ะ!    ว่าข้าราชการเก่า ๆ  เขาปฎิบัติการด้วยความสุขุมคัมภีรภาพและเต็มไปด้วยชั้นเชิงอย่างไร"



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 22:01

       ผู้บังคับบัญชานั่งทำงานคนเดียวในห้อง     เมื่อจะเรียกใครจะกดกริ่งไฟฟ้า        เสียงกริ่งยาว ๑ ครั้งเป็นการเรียกข้าพเจ้า

๒ ครั้ง เรียกคุณหลวงไววิธีทัพ         ๓ ครั้งเรียกหลวงพลหาญสงคราม    โดยมากได้ยินยาวครั้งเดียวทุกที         

เพราะท่านมัวใช้ความคิดทำงาน   ไม่ยอมเสียเวลาจดจำ   หรือก้มลงอ่านข้อความที่ปิดไว้ข้างสวิตช์ว่าจะเรียกใครให้กดกี่ครั้ง

ท่านจะเรียกใครก็ตามกดกริ่งยาวมันครั้งเดียว          ข้าพเจ้าก็ปร๋อไปเปิดบังตาพาตัวเข้าไปหา

วันนั้นเลยเปิดประตูเข้าไปได้ ๒  ก้าว   ถูกเอ็ดลั่น


       "ไม่ต้องสะเออะเข้ามา        ยืนอยู่ที่ประตูพอแล้ว        ไปตามหลวงไว ฯ มา"

       "พ่ะย่ะค่ะ"     ข้าพเจ้ารับคำ            แต่ภายในใจนึกสำรวจความผิดของตนเองที่ถูกดุ      ก็มองหาความผิดไม่ได้

แล้วก็นึก           ท่านเป็นคนใจร้อน        เราทำไม่ถูกพระทัย  ต่อไปเราต้องทำให้ถูกจงได้

แวะไปบอกหลวงไวว่าท่านเรียก          แล้วกลับมานั่งถอนใจยาวสองสามพรืด


เสียงกริ่งก็กังวาลขึ้นอีก

คราวนี้ไม่สะเอะเลยประตูเข้าไปอีกแล้ว       เพียงเปิดบังตาโผล่หน้าเท่านั้นก็พอ    กันถูกดุอีก

       "ทำไมไม่เข้ามา       รู้ไหมว่าถ้าผู้บังคับบัญชาเรียก  แกต้องห่างกี่ก้าว"

       "สามก้าว"        ข้าพเจ้าตอบเสียงดังเอาบ้าง        จนหลวงไวที่นั่งอยู่ก่อนอมยิ้ม       ขณะที่ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในห้องจนใกล้ได้ระยะแล้วชิดส้นเท้าดัง  ปัง! 

ยืนนิ่งเฉยเพื่อรอรับคำสั่ง

       "แล้วกัน"    ท่านดุอีกแลดุต่อไปว่า   "อ้่ายเจ้าคนนี้มันยังไง...ทำไมไม่นั่ง....จะต้องเชิญให้นั่งอีกหรือ      โธ่!  เรียกมาจะใช้งาน       แล้วมายืนโด่อยู่ได้....

นั่งลงซิ     โอ๊ย!  ฉันปวดหัว  จนเกือบลืมเรื่องที่กำลังพูดค้างอยู่แล้ว"



คุณจงกลโดนเรื่องรักษาความสะอาดห้องทำงานของท่าน  เรื่องหมึกในขวดแห้ง  ภารโรงซึ่งเป็นคนอยู่ในวังของท่านชี้แจงว่า

       "เติมหมึกมากก็ไม่ได้นะครับ  เพราะว่าท่านเป็นคนใจเร็ว  จิ้มพรวดลงไปจนมิดปากกา  เกิดเลอะเทอะ  เลยพาลหาเรื่องอื่นมาดุ

จนกว่าจะมีใครทำให้ท่านลืมดุ     รักจะอยู่กับท่านก็ต้องเอาใจท่านให้ได้   ไม่ว่าร้ายอย่างไรก็ต้องทน      เวลาดีของท่านก็มีนะครับ" 



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 พ.ค. 10, 22:25

        วันหนึ่งมีเสียงกริ่งเรียก      สงสัยคงเสวยกาแฟลืมใส่น้ำตาล



ท่านชวนคุย         ในที่สุดถามว่า

"แกมาทำงานกับฉันรู้สึกหนักใจอะไรบ้าง"

"ไม่มีอะไรที่หนักใจเลยพะย่ะค่ะ"


คำตอบของข้าพเจ้าดูเหมือนจะทำให้ท่านผิดแผนอีก       เลยเปลี่ยนแผนใหม่ด้วยถ้อยคำที่ว่า

"แกเกลียดฉันไหม?"

"ไม่เกลียด-แต่รักด้วยซ้า"

"แกคอมพลีเม้นท์  กระมัง?"

"พ่ะย่ะค่ะ    คอมพลีเม้นท์(เยินยอ)     ทั้งต่อหน้าและลับหลัง"

"ฉันเห็นว่าแกโกหก    เพราะฉันดุแกอยู่ทุกวัน       ถามจริงๆเถิด  แกไม่โกรธหรือ?"

"ไม่โกรธ"

"ทำไมถึงไม่โกรธ"

"เพราะท่านดีกว่าเกล้าฯ  ทั้งชาติวุฒิ-วัยวุฒิ-และคุณวุฒิ"

"ถ้าฉันขาดวุฒิใดสักอย่างล่ะ?"

"ก๊อ!  ดูถูก"


       ทั้งนี้เพราะจิตใจข้าพเจ้า  ก็เหมือนคนไทยทั้งหลายที่ยังติดอยู่ในวัฒนธรรมดั้งเดิม    แม้บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปรไป

เป็นสมัยอำนาจและพระเจ้าเงินตรากำลังเรืองอานุภาพ        แต่ภายใต้จิตสำนึกของคนไทย   ยังนับถือแน่นในวุฒิทั้งสาม

เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยเราอยู่เสมอ"











กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 พ.ค. 10, 17:18
....ลัดนิ้วมือเดียว  เหาะข้ามไปลงกา   (แปลว่ากระโดดข้ามความที่คุณจงกลโดนหล่อหลอมเข้มงวด...)


     ข้าพเจ้าถูกเหลาถูกเสี้ยมมา  จนตนเองกลายเป็นไม้กลัด       ข้าพเจ้ามีหน้าที่รวบรวมเรื่องจากกองฝึกทหารและ
กองยุทธการทำเสร็จแล้วเข้าไปเสนอ  วัน ๆ หนึ่ง ๑๐ -  ๒๐ เรื่อง

ท่านให้ข้าพเจ้ารออยู่ก่อน  อ่านความเห็นของเจ้าหน้าที่  แล้วเงยหน้าขึ้น  ถามข้าพเจ้าว่า แกมีความเห็นอย่างไร


ข้าพเจ้าใช้สติปัญญาวิชาการตอบไป   ดูมันมีบกพร่องมากมายเสมอ    จึงตั้งต้นใหม่      คอยสังเกตสีหน้าท่านเวลาอ่าน
จับได้เทียวว่าตอนต้นพอใจ          ตอนกลางเฉยๆ         ตอนท้ายสีหน้าไม่สู้ดี

เมื่อเงยหน้าขึ้นถาม   ข้าพเจ้าอาศัยวิชาโอนเข้าหาสีหน้าท่านเป็นตอน ๆ

ข้าพเจ้าเฉลยว่า

ความมุ่งหมายของสีเครื่องแบบทหารนั้น     ก็เพื่อให้กลมกลืนกับสีของภูมิประเทศ   บ้านเมืองเราสีเขียวชอุ่ม
ด้วยต้นไม้  ใช้สีกากีแกมเขียวดีอยู่แล้ว

ส่วนทหารอังกฤษในอัฟริกาเหนือหรือในอินเดีย  อยู่ในดินแดนแห้งแล้งหรือทะเลทราย      เขาจึงใช้สีกากีคล้ายสีทราย

เราจะใช้สีกากีบ้าง         โดยไม่คำนึงถึงภูมิประเทศในบ้านเมืองเรา  หาควรไม่

ท่านได้ฟังข้าพเจ้าโน้มวิชาการผนวกสีหน้าวันนั้น      ชมเปาะทีเดียว


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 10, 17:35
อ้างถึง
อ่านที่คุณ Wandee เล่าถึงหม่อมเจ้าผู้บังคับการกรมท่านนั้น  ก็นึกว่าจะถามอยู่เหมือนกันว่า ใช้ หม่อมเจ้า ป. ซึ่งทรงเป็นผู้บังคับการทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ใช่หรือไม่  พลันคุณ Wandee ก็เฉลยออกมาแล้วว่า ความเข้าใจของผมนั้นถูกแล้ว

ถามว่าท่านคือหม่อมเจ้าหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล พระโอรสในสมเด็จฯกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ใช่ไหมคะ
เปิดเผยคงไม่เป็นไรมั้งคะ  คุณจงกลไม่ได้บันทึกอะไรที่เสียหายถึงท่าน


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 พ.ค. 10, 17:39
       ท่านให้ข้าพเจ้าอภิปรายปัญหาแทบทุกเรื่องที่รวบรวมนำเสนอ    ต้องคืนเรื่องให้เจ้าหน้าที่แก้ไขประมาณ ๖ - ๑๐ เรื่อง

ไม่ต้องแก้ไข ๖๐ เปอร์เซ็นต์


บางวันไม่ต้องอภิปรายก็ราวได้ขึ้นสวรรค์


เรื่องที่จะต้องแก้ไขนั้น   ข้าพเจ้าทูลถามว่าจะให้เขาแก้ไขตรงไหนอย่างไร?

"แก้ตามที่เราพูกันมาแล้วยังไงล่ะ       ฉันบอกแกแล้วนี่   จะเซ้าซี้ไปถึงไหน"

ตายห่ ! ----    ข้าพเจ้าอภิปรายกลอนสด       พูดโน้มเอียงไปตามสีหน้า       เรื่องซับซ้อนกันตั้ง ๑๐ เรื่อง  ไม่ได้จด  
จำไม่ได้ว่า แต่ละเรื่องที่ท่านพูด  ข้าพเจ้าพูด   เราตกลงยุติเรื่องกันไว้อย่างไร

"ฉันพูดแล้ว - สั่งแล้ว - ไม่มีการสั่งซ้ำ"

ข้าพเจ้าหอบเรื่องกลับออกมา  ต้องตั้งสติย้อนหลัง


คราวต่อไปข้าพเจ้าสังเกตสีหน้าท่าน   แล้วทำเครื่องหมาย บวก  ลบ  คูณ  หาร ไว้ทุกเรื่อง
แปลตามเครื่องหมายว่า พอใช้   เลว   ดีมาก   เลวมาก
ตอนนี้ข้าพเจ้าก็อภิปรายผิดใจน้อยลง


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 พ.ค. 10, 17:57

คุณจงกลเคารพนับถือท่านชาย    เพราะคุณจงกลยังเป็นเพื่อนนักเรียนมากับพระอนุชา

ไม่อย่างนั้นท่านชายคงไม่เขียนหน้าแรกของหนังสืออนุสรณ์ให้ ว่า คุณจงกลเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย

ชีวิตสาหัสที่ต้องผจญอยู่ในคุก และโดนปล่อยเกาะ รวมแล้วสิบกว่าปี        คงทำให้คุณจงกลหวลระลึกถึงความหลังที่ได้รับการฝึกหัดอย่างหนัก

ท่านเป็นคนละเอียดอ่อนมากทีเดียว    เมื่อโดนย้ายเกาะอย่างกระทันหัน  สุนัขที่เลี้ยงไว้ว่ายตามเรือเล็กมาเป็นฝูง แล้วหมดแรงหายไปในทะเล    คุณจงกลทรมานใจมาก

ท่านเป็นคนร่าเริง  และสู้เสมอ       ไม่ให้ความหลังมาดึงชีวิตท่านลง       จึงเป็นนักการเมืองที่ประชาชนรัก


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 พ.ค. 10, 18:19
คุณจงกลเล่าเรื่องโดนดุด่า   แต่ก็เล่าด้วยว่า  ถ้ามีคนอื่นปะปนอยู่ด้วย

ท่านจะไม่ละเมิดเกียรตินายทหาร   เป็นของต้องห้าม     คุณจงกลบอกว่าถึงจะทนดุด่าสักเท่าใดทนได้



       เมื่อร้อยเอกหม่อมเจ้านักขัตมงคลกิติยากร  สำเร็จโรงเรียนนายทหารเสนาธิการหลังมหาสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น

เป็นที่หวังอย่างอุ่นอกอุ่นใจกันนักว่า  กองทัพไทยจะได้ก้าวหน้าทันสมัย      ใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านผู้นี้มีอิทธิพลเฉิดฉายนัก  

ไม่ช้าปีก็จะเป็นใหญ่เป็นโต




       พระอาจารย์ของข้าพเจ้าถามข้าพเจ้าว่ารู้จักไหม?

ทูลว่ารู้จักแล้ว

ก็ย้อนถามอีกว่า    "แกว่านักขัตมีอิทธิพลไหม?"

"มีซี - มีแยะด้วย"

"เมื่อแกมีความรู้เช่นนั้นก็ดีแล่ว          ฉันต้องการให้เขามาพบฉันที่ห้องทำงานของเรานี่       แต่ฉันไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของเขา  

เรียกเขามาพบไม่ได้        แกไปหาวิธีการเองให้เขามาหาฉัน    แต่ฉันไม่ได้เรียกเขานะ   เข้าใจไหม?"


       ข้าพเจ้าไปที่ห้องทำงานหม่อมเจ้านักขัตมงคล  เพื่อทำงานแสนง่าย (หรือใครจะว่ายากก็ตามใจ)  เป่ามนต์ให้หม่อมเจ้านักขัต ฯ กุลีกุจอขึ้นไปหาพระอาจารย์ของข้าพเจ้าเอง  

ไม่เผลอไผลไปบอกว่าถูกเรียกสิน่า            แล้วจะใช้มนต์บทไหนล่ะ?         ไม่มีใครเขียนสอนไว้       ต้องคิดเอาเอง




กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 พ.ค. 10, 21:16
     "ข้าพเจ้าผลักบังตาโผล่หน้าเข้าไปในห้องนั้นแล้วถอยกลับมางับแงผลุบโผล่         ให้เจ้าของห้องรำคาญเล่นอย่างงั้นแหละ

เป็นดังหมาย

ท่านนักขัตเงยพักตร์แล้วตะโกน

"เข้ามาสิ  จงกล       ฉันว่างเข้ามาคุยกันบ้าง"

"ยังคุยไม่ได้กระหม่อม    เพราะจะต้องกลับไปทูลท่านปรีดิเทพย์​ฯ ว่า  ท่านยังประทับอยู่ ...."

"ทำไม      น้าอั๋นอยากพบฉันเรอะ...อ๊ะ!     ฉันไปหาท่านเอง"


       แล้วเราสองคนก็เดินตามกันต้อย ๆ ไปหาน้าอั๋น

เมื่อท่านนักขัตกลับแล้ว   ถูกถามว่าไปทำอย่างไรนักขัตเขาถึงมา ............ก็เล่าถวายว่าไปทำผลุบโผล่ให้ทราบ

บ๊ะชอบอกชอบใจใหญ่      หยิบซิการ์อย่างดีส่งให้มวนหนึ่งเป็นรางวัล  ที่ใช้ไหนใช้ได้ดังจินดา"


หม่อมเจ้าปริดิเทพย์พงษ์  เทวกุล      รักใคร่เมตตาเอ็นดูคุณจงกลมาก
ท่านชายได้ทรงยืนดูบรรจุศพตั้งแต่ต้นจนปิดฝาโลง


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 พ.ค. 10, 21:35


       ท่านผู้หญิงแผ้ว  สนิทวงศ์เสนี     เขียน  คำไว้อาลัย


ข้าพเจ้ากับคุณจงกล  ไกรฤกษ์   ได้รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเยาว์       เพราะคุณแม่ของคุณจงกล(ลิ้นจี่  ไกรฤกษ์)  ได้มาอยู่ในวังสวนกุหลาบ
กับพี่สาวของท่าน  ท้าวนารีวรคณาลักษณ์(แจ่ม  ไกรฤกษ์)          เราเคยวิ่งเล่นด้วยกัน          รับประทานอาหารที่คุณแม่ลิ้นจี่ทำให้อย่างดีเลิศ
คุณแม่รักข้าพเจ้ามากเสียด้วย       เวลาที่ข้าพเจ้าทะเลาะกับคุณจงกล  คุณแม่จะเข้าข้างข้าพเจ้าเสมอ      เพราะคุณแม่ชอบเด็กผู้หญิงและชอบละครมาก


เวลาล่วงมาข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้น         ข้าพเจ้าได้กราบทูลขอประทานทูลกระหม่อมอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนรราชสีมา   ตั้งให้คุณแม่ลิ้นจี่เป็นใหญ่คุมห้องเครื่องทั้งหมด

คุณจงกลก็ไปมาเสมอที่วังสวนกุหลาบ

ตามธรรมดาคุณจงกลเธอเรียกข้าพเจ้าว่าหม่อมพี่         ข้าพเจ้าก็นึกว่าคุณจงกลคือน้องร่วมมารดาเดียวกัน

เวลาข้าพเจ้าตกทุกข์  คุณแม่ลิ้นจี่ไม่เคยไปจากข้าพเจ้าเลย    เราอยู่ร่วมทุกข์สุขกัน      คุณจงกลก็มาเยี่ยมเสมอ ๆ

เวลาที่คุณจงกลอยู่ที่บางขวาง  ข้าพเจ้าเป็นห่วงมาก เพราะคุณแม่ลิ้นจี่ได้ถึงแก่กรรมไปเสียแล้ว

ข้าพเจ้าก็มีความลำบากเท่า ๆ กับคุณจงกลเหมือนกัน    ช่วยเหลือกันไม่ได้เต็มที่นัก



กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 พ.ค. 10, 21:49
    
     คุณจงกลเข้าร่วมกับกบฎบวรเดช      ติดคุกบางขวาง ๕ ปีเศษ

ถูกปล่อยเกาะตะรุเตา ๓ ปี

ถูกส่งต่อไปเกาะเต่าอีก ๒ ปีเศษ



     เมื่อถูกปลดปล่อย  ท่านนั่งรถรางไปหาคุณกุหลาบ  สายประดิษฐ   คุณสถิตย์  เสมานิล   คุณเสลา  เลขะรุจิ

คนทั้งสามเฉพาะคุณกุหลาบพูดว่า  คุณจงกล  ตอนนี้ช่วยผมหน่อย(ซึ่งความจริงไม่มีความจำเป็นเลย

แต่เป็นไมตรีของเพื่อนๆ  ถ้าคุณไม่ช่วยหนังสือก็จะไม่เดิน)


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 30 พ.ค. 10, 22:07
     
       ชีวิตในบางขวาง และชีวิตชาวเกาะนั้น  หาอ่านได้ทั่วไป  คุณไทยน้อยเขียนไว้เอง ๓ เล่ม

คุณจงกลเป็นนักสู้  เมื่อได้รับการปลดปล่อย  ท่านหิ้วปูทะเลที่จับเองมาสองหลัว  บอกให้ลูกนำไปขายที่ตลาด

เป็นเงินค่าใช้จ่ายไปก่อน        ท่านไม่คิดพึ่งใคร


     คลังหนังสืออนุสรณ์ของดิฉันมีหนังสือน้อยมาก  แต่คงพอจะนำบุคคลสำคัญมาเล่ากันได้

     


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 มิ.ย. 10, 10:35
.


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 มิ.ย. 10, 10:36
.


กระทู้: ตัวตายแต่ชื่อยัง ร.ท. จงกล ไกรฤกษ์
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 01 มิ.ย. 10, 10:52
ขอบคุณค่า