เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์โลก => ข้อความที่เริ่มโดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 17:29



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 17:29
เป็นนักเรียนแอบเรียนอยู่หลังห้องมานานหลายปีกว่าจะสมัครสมาชิกได้
เอาแต่อ่านอย่างเดียวแล้วมันเขินๆ อย่างไรไม่ทราบ วันนี้เลยขอออกมาหน้าห้องหน่อยละกันครับ


เมื่อไม่กี่วันก่อนเจอคนแชร์ภาพภาพหนึ่งใน Facebook เป็นภาพของฝูงชนที่กำลังทำท่า Nazi salute คือการยกแขนทำความเคารพแบบนาซี
ในภาพจะมีชายคนหนึ่งที่ทำเหมือนกำลังยืนกอดอก ไม่ยกมือทำท่าแบบคนรอบข้างไปด้วย แล้วก็มีคำบรรยายไว้ว่า ชายผู้นั้นคือ August Landmesser

ได้เห็นภาพนี้  ผมก็เลยเกิดความสนใจว่าใครคือ August Landmesser  แล้วชีวิตหรือเรื่องราวของเค้าเป็นอย่างไร
การทำท่าเหมือนต่อต้านนาซี ส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตของเค้าหรือไม่
ในฐานะเป็นนักเรียนติดตามอ่านมานาน วันนี้เลยของนำเรื่องราวของคนที่กล้าสวนกระแสมาเผยแพร่ต่อบ้าง


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 17:33
เรื่องราวของ August Landmesser นับได้ว่าเป็นโศรกนาฐกรรมแท้ๆ เหมือนกับชีวิตของคนอีกหลายล้านคนที่ต้องทั้งดับสูญอย่างน่าเศร้าในช่วงสมครามโลกครั้งที่สอง
มีคนได้รับผลกระทบมากมาย เพียงเพราะความเกลียดชังที่ถูกเพาะขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลเพื่อสนองผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มคนไม่กี่คน

ภาพนี้คาดว่าถูกถ่ายในปี 1936 ในงานปล่อยเรือ Horst Wessel ซึ่งฮิตเลอร์เองก็เข้าร่วมงานด้วย ชายในภาพถูกชี้ตัวว่าคือออร์กุสโดย Irene Messer ลูกสาวของเค้าในปี 1996
และเธอได้เผยแพร่เรื่องเศร้าของครอบครัวเธอในหนังสือ A Family Torn Apart by “Rassenschande,” โดยได้เล่าเรื่องราวของพ่อของเธอที่เธอแทบจะไม่เคยมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดเลย รวมถึงโศกนาฐกรรมอื่นๆ ในครอบครัวด้วย



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 17:37
August Landmesser เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 1910 ใน Moorrege  ใกล้  Harnburg   มีชีวิตวัยเด็กไม่ต่างจากเด็กทั่วไป 
ตระกูล Landmesser ที่จริงแล้วอาจจะมีบรรพบุรุษเป็นชาวยิว แต่ตามประกาศ Landgericht's (District Court) ruling of 26th October 1938  ถือว่าตระกูล  Landmesser เป็นเยอรมัน  และเป็นชาวอารยัน
ประวัติช่วงต้นของชีวิตของ August เช่นการศึกษา หรือครอบครัว ไม่เป็นที่รับรู้มากนัก  รู้แต่ว่า August เป็นลูกชายโทน  และเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคนาซี ซึ่งเป็นการสมัครเพื่อให้รับโอกาศเรื่องหน้าที่การงานเท่านั้น  ไม่ได้มีอุดมการณ์แรงกล้าอะไร
แบบเดียวกับที่คนรัสเซียในยุคคอมมิวนิสต์ ต้องหาทางสมัครเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์นั่นแหละ


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 17:43
ปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อ August พบรักกับ Irma Eckler สาวเชื้อสายยิวในปี 1934 

ที่จริงแล้ว Irma มีเชื้อสายยิวเพียงเพราะพ่อของเธอเป็นลูกครึ่งยิว แต่ตัวเธอเองถูกเลี้ยงดูมาแบบชาวคริสเตียน
ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อวันที่  24 เมษายน 1935  ขณะนั้น กฏหมายเยอรมันห้ามชาวเยอรมันมีสัมพันธ์กับคนเชื้อสายยิวเพื่อปกป้องเลือดอารยันให้บริสุทธิ์เพิ่งผ่าน   
ดังนั้นการที่คนเยอรมันแต่งงานกับคนเชื้อสายยิวจึงผิดกฏหมาย     การสมรสของทั้งคู่จึงไม่ได้รับการรับรอง 


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 17:55
อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันและมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน คือ Ingrid ซึ่งเกิดในปี 1935 และ  Irene ในปี 1937 ลูกสาวของทั้งคู่ถูกถือว่ามีเลือดไม่บริสุทธิ์




กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 17:59
และเนื่องจากฝ่าฝืนกฏหมายที่ต้องการรักษาสายเลือดอารยันให้บริสุทธิ์   ในที่สุด August และ Irma ภรรยา ถูกจับในปี 1938  เนื่องจาก August เป็นคนเยอรมัน ไม่ใช่ยิว จึงถูกตัดสินให้ไปใช้แรงงานในค่ายกักกันเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง August ถูกส่งไปอยู่ในค่ายกักกันที่ Börgermoor 

ส่วน Irma ภรรยาถูกถือว่าเป็นคนยิว  จึงถูกส่งไปที่ค่ายแรงงานที่  Lichtenburg  และส่งต่อไปที่ Ravensbrück จนเสียชีวิตในเดือน มกราคม 1942   


ภาพนี้เป็นจดหมายที่ลูกสาวเขียนถึง August ช่วงที่ยังอยู่ในคุก



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 18:03
เมื่อตอนที่ August และภรรยาถูกจับและถูกตัดสินจำคุก  ลูกสาวของทั้งคู่ถูกจับแยกกัน Ingrid ลูกสาวคนโตโชคดีได้ไปอยู่กับย่า เพราะ Ingrid ลูกสาวคนโต แม้จะมีมารดาเป็นคนยิว แต่ด้วยเหตุที่เธอเกิดก่อนที่กฏหมายที่ชื่อว่า Nuremberg Laws มีผลบังคับใช้ เธอจึงถูกถือว่าเป็นลูกครึ่งยิว แต่ยังสามารถอยู่กับย่าซึ่งเป็นเยอรมันตลอดมาจนสงครามสิ้นสุด



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 18:09
Irene น้องสาวไม่โชคดีเท่า เธอเกิดหลังกฏหมาย Nuremberg Laws  มีผลบังคับใช้ และถูกถือว่าเป็นยิว
เธอถูกส่งไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าและต้องเร่ร่อนไปหลายๆ ที่  แต่นับว่าวาสนาของเธอยังดี  เธอได้พ่อบุญธรรมชื่อ Erwill Proskauer ซึ่งเป็นคนยิวที่ทำงานในค่าย   
ครั้งหนึ่งเธอได้รับการช่วยเหลือจากคนรู้จักแอบพาเธอออกจากแถวตอนที่กำลังต่อแถวกับกลุ่มเด็กที่จะต้องถูกส่งไปเข้าห้องรมแก็ส  เด็กคนอื่นๆ ตายทั้งหมด
หลังจากนั้นเธอได้รับการช่วยเหลือมีผู้พาเธอไปซ่อนอยู่ที่ Hamburg โดยเธอถูกซ่อนไว้ในโรงพยาบาลในวอร์ดคนไข้เด็ก 
จากนั้นเธอถูกพาไปซ่อนตัวใน Brandenburg ทำให้เธออยู่รอดมาได้จนสงครามสงบ   และสุดท้ายเธอเป็นผู้ชี้บุคคลในภาพที่ยืนกอดอกนี้ในปี 1996 ว่าคือพ่อของเธอ

ภาพ Irene และภาพของเธอกับพ่อเลี้ยง


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 18:13
ส่วน  August Landmesser  ถูกปล่อยตัวในต้นปี 1941 และทำงานเป็นโพร์แมนในโรงงาน Heinkel-Werke ใน Warnemünde
ระหว่างนั้น August ได้มีโอกาสติดต่อกับลูกสาว  แต่ทั้งหมดไม่เคยได้มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน   


ในเดือนกุมภาพันธ์ 1944 August ถูกเกณฑ์เป็นทหาร  และด้วยแนวคิดทางการเมืองและประวัติความผิดในอดีต August จึงถูกส่งไปอยู่ในหน่วย  Bewährungsbataillon 999
หน่วยทหารหน่วยนี้รวบรวมกำลังพลมาจากพวกที่ทำความผิดต่างๆ เพื่อส่งไปรบหรือทำภารกิจฆ่าตัวตายหรือมีความเสี่ยงสูงต่างๆ 
August ถูกประกาศว่าสูญหายไปในการรบและคาดว่าเสียชีวิตในเดือนพฤศจิกายนปี 1944  และได้รับการประกาศว่าเสียชีวิตในการรบอย่างเป็นทางการในปี 1949



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 12, 18:22
เรื่องราวของ August เป็นเรื่องเศร้าๆ เหมือนอีกหลายล้านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลก
เป็นเรื่องของครอบครัวคนธรรมดาที่ได้รับผลกระทบจากความเกลียดชังที่ถูกสร้างขึ้นมาและยัดเยียดให้กับผู้คนในสังคมอย่างไม่มีเหตุมีผล
คนที่รับผลความเกลียดชังพวกนี้ก็คือคนธรรมดาๆ นี่แหละ  


น่าเศร้าที่แม้จะมีบทเรียนแบบนี้ ประวัติศาสตร์โลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
เมื่อใครซักคนสามารถจุดกระแสสร้างความเกลียดชังขึ้นมาได้ถึงที่สุด  การเข่นฆ่ากันอย่างไร้เหตุผลสามารถเกิดขึ้นได้อีกเสมอ  
เพื่อนบ้านที่เคยเป็นเพื่อนกัน คบหากัน จู่ๆ ลุกขึ้นมาฆ่ากันได้หน้าตาเฉย ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล
ขอแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นฝ่ายตรงข้าม หรือตัวกำลังยืนอยู่ข้างฝ่ายที่มีความชอบธรรม  เพียงแค่นี้ก็ฆ่าคนที่ไม่เคยห็นหน้ามาก่อนได้เลย
ตัวอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นในรวันดา   บอสเนีย   ติมอร์  และอีกหลายๆ ที่ในโลก  ทั้งในอดีต และในอนาคต

ข้อมูลหลักและรูปภาพ ส่วนใหญ่มาจากที่นี่ครับ http://www.mentalfloss.com/blogs/archives/96463


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ค. 12, 19:05
วันนี้ท่านอาจารย์ประกอบเลื่อนจากหลังชั้น  มายืนหน้าชั้นอย่างสง่าผ่าเผย  จึงตามมายกโต๊ะให้นั่งนะคะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที่นำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ   อ่านแล้วสะเทือนใจ 
โดยเฉพาะประโยคนี้

อ้างถึง
ขอแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นฝ่ายตรงข้าม หรือตัวกำลังยืนอยู่ข้างฝ่ายที่มีความชอบธรรม  เพียงแค่นี้ก็ฆ่าคนที่ไม่เคยห็นหน้ามาก่อนได้เลย


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 พ.ค. 12, 21:15
น่าเศร้าที่แม้จะมีบทเรียนแบบนี้ ประวัติศาสตร์โลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
เมื่อใครซักคนสามารถจุดกระแสสร้างความเกลียดชังขึ้นมาได้ถึงที่สุด  การเข่นฆ่ากันอย่างไร้เหตุผลสามารถเกิดขึ้นได้อีกเสมอ  
เพื่อนบ้านที่เคยเป็นเพื่อนกัน คบหากัน จู่ๆ ลุกขึ้นมาฆ่ากันได้หน้าตาเฉย ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล
ขอแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นฝ่ายตรงข้าม หรือตัวกำลังยืนอยู่ข้างฝ่ายที่มีความชอบธรรม  เพียงแค่นี้ก็ฆ่าคนที่ไม่เคยห็นหน้ามาก่อนได้เลย
ตัวอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นในรวันดา   บอสเนีย   ติมอร์  และอีกหลายๆ ที่ในโลก  ทั้งในอดีต และในอนาคต

นึกถึงศัพท์คำว่า "มิคสัญญี" (http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?Search=1&ID=3612)

ยุคมิคสัญญี หมายถึง ยุคที่ผู้คนฆ่าฟันกัน เพราะต่างฝ่ายต่างมองว่าผู้อื่นเป็นสัตว์ซึ่งต้องล่า คือไม่เห็นว่าผู้อื่นเป็นคน เมื่อต่างฝ่ายต่างมองแบบเดียวกัน จึงเกิดการฆ่าฟันโดยไม่ปรานีต่อกัน ผู้คนจึงล้มตายเป็นจำนวนมาก

ถ้ามีปัญหาขัดแย้งกัน แล้วไม่ประนีประนอมกันด้วยความเที่ยงธรรม คิดแต่เอาชนะกัน บ้านเมืองของเราก็คงไม่พ้นเกิดมิคสัญญีเข้าสักวัน

 :o  :(  :'(


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ค. 12, 10:45
ไม่ทราบว่าคุณประกอบจะเข้ามาเล่าต่อหรือเปล่า    กระทู้นี้มีเรื่องน่าสนใจเกินกว่าจะปล่อยให้ตกจอไปง่ายๆ  ก็เลยขอมาต่อความยาวอีกหน่อยค่ะ

อ่านจากประวัติของ August Landmesser อาจมีบางคนเกิดคำถามว่า ทำไมจึงเป็นความผิดที่ชาวเยอรมันไปแต่งงานกับชาวยิว   คำตอบก็คือ  มันมาจากนโยบายของ "ท่านผู้นำ" ฮิตเลอร์   ที่จงเกลียดจงชังชาวยิวเข้ากระดูกดำ   จนไม่เห็นว่าคนเหล่านี้เป็นมนุษย์ด้วยกัน     แต่ควรจะสาบสูญไปเสียจากโลกไม่เว้นแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดง
และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือฮิตเลอร์มุ่งมั่นจะสร้างเผ่าพันธุ์เยอรมันที่บริสุทธิ์ทางสายเลือด  และเก่งกล้าสามารถขึ้นมาครองโลก   สถาปนาโลกที่มีแต่เยอรมันเผ่าพันธุ์บริสุทธิ์นี้ขึ้นมา เรียกว่าอาณาจักรไรซ์ที่ 3    และเยอรมันสายเลือดแท้ไม่มีเจือปนนี้ เรียกว่า "อารยัน"
เมื่อมีอารยันก็ต้องไม่มีสายเลือดสกปรกอื่นๆมาเจือปน   เช่นยิว  และไม่ใช่ยิวอย่างเดียว คนผิวดำและเชื้อสายอื่นๆที่ไม่ได้ผมทองตาสีฟ้า ก็โดนกวาดล้างไปด้วย

ในค.ศ. 2012   เยาวชนยุคนี้อ่านแล้วอาจหัวเราะงอหายว่าเป็นความคิดบ้าบออะไร เป็นไปไม่ได้     แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  ความคิดนี้จริงจังขนาดออกเป็นกฎหมายทีเดียว ว่าห้ามคนเยอรมันไปผสมเลือดด้วยการสมรสกับยิว


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ค. 12, 10:59
ย้อนกลับไปก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   เยอรมันเพิ่งแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 มาไม่นาน  อาณาจักรยิ่งใหญ่ถูกตัดแบ่งออกไปเป็นหลายประเทศเหมือนยักษ์ถูกตัดแขนขา    ตัวประเทศเยอรมนีบอบช้ำกระปลกประเปลี้ย  ผู้คนยากจนแทบอดตาย    มีคนกลุ่มเดียวที่รอดพอมีเงินทองอยู่ได้ก็คือพวกยิว  ที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศในยุโรป   

ยิวไม่มีประเทศของตนเอง  เป็นเผ่าพันธุ์ที่เก่งเรื่องเงินๆทองๆ  ทำมาค้าขายคล่องไม่ว่าจะไปปักหลักอยู่ในดินแดนไหนก็รวยขึ้นมาได้      จึงถูกมองว่ายิวเป็นพวกที่งกเงิน และถูกรังเกียจจากฝรั่งที่ถือว่าตัวเองสูงส่งกว่า แต่กลับกระเป๋าแห้งกว่า     ใครที่อ่านพระราชนิพนธ์แปลในรัชกาลที่ 6  เรื่อง เวนิสวาณิช ก็คงจำได้ว่าไชล็อคตัวร้ายของเรื่องก็เป็นยิวสุดงก

ในประเทศอื่นยิวถูกเขม่นก็จริง  แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น     เพราะรัฐบาลประเทศส่วนใหญ่ก็ยังมีมโนธรรมพอจะไม่ทำอะไรลงไป    แต่ในเยอรมัน เมื่อนายสิบทหารคนหนึ่งผงาดขึ้นมาด้วยวาทศิลป์อันปลุกใจชาวเยอรมันให้เกิดกระแสชาตินิยมได้อย่างไม่มีอะไรเท่า    เขาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในลัดนิ้วมือเดียว
จากนั้น นายสิบฮิตเลอร์ ก็ใช้กระแสชาตินิยม ปลุกในคนเยอรมันให้หันไปบ้าคลั่งหัวปักหัวปำเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  คือผู้นำพูดอะไร  ประชาชนก็เฮชูแขนขวาเหยียดตรง พรึ่บเดียวเหมือนกันหมด   เป็นสัญญาณว่าผู้นำไปทางไหนฉันก็จะตามไปทางนั้น   จะให้ก่อมิคสัญญีอะไร เพียงแต่บอกว่าให้ทำเถอะ  ก็จะทำด้วยความเต็มใจ



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 พ.ค. 12, 13:39
แห่ะๆ ท่านอาจารย์เล่นบอกกลายๆ ว่ายังไม่ให้ไปไหน ก็ต้องเพิ่มเติมอะไรซักหน่อย

กระแสเกลียดชังชาวยิวยังคงไม่จางหายแม้แต่ในปัจจุบัน
แถมกระแสเกลียดชาวยิวนี่ กลับแพร่ระบาดเข้ามาในความนึกคิดของคนไทยจำนวนไม่น้อยด้วย ทั้งที่คนไทยแทบจะไม่รู้จักชาวยิวเลย
คนไทยไม่น้อยพลอยเกลียดคนยิวไปด้วย เพราะมีแต่ภาพในหัวว่าคนยิวหน้าเลือด ขี้โกง เจ้าเล่ห์ เอาเปรียบ

จะยกตัวอย่างหนึ่งมาให้ จากบทความในเว็บ manager ชื่อนายต่อพงษ์ เขียนเกี่ยวกับหนังเรื่อง Downfall ซึ่งเล่าเรื่องราวในช่วงวันท้ายๆ ของฮิตเล่อร์
นายต่อพงษ์ลงท้ายบทความเกี่ยวกับชาวยิวไว้ดังนี้

" ที่สำคัญ โลกนี้จะปราศจาก “ยิว” ซึ่งในความคิดของฮิตเลอร์ ยิวคือต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้ายทั้งมวล โลกที่มีไม่ยิวจะเป็นโลกที่สงบสุขที่สุด!!
      
        ไปๆ มาๆ ผมว่าฮิตเลอร์คิดถูกเกี่ยวกับยิวมากๆ เลยครับแฮะ "

ที่มา http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9550000054700

 อ่านแล้วก็รู้สึกกันอย่างไรครับ  คนหกล้านถูกส่งไปตาย มีเรื่องเศร้าเผยแพร่มากมาย  แต่คนไทยในยุค 70 ปีให้หลังยังบอกฮิตเล่อร์คิดถูก
เดี๋ยวต้องมาต่อเรื่อง ทำไมคนยิวถูกเกลียดกันหน่อย



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 พ.ค. 12, 17:17
ชาวยิวคือใคร?  แบบไหนถึงเรียกว่ายิว?

ตามความเข้าใจของผม ยาวยิวคือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสายมาแต่โบราณ เคยตั้งรกรากอยู่แถวๆ บริเวณที่ตอนนี้เป็นประเทศอิสราเอลนี่แหละ
เป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อในศาสนาเดียวกันคือศาสนายูดาย ซึ่งเชื่อว่าเผ่าพันธุ์ของตนมีพันธะสัญญากับพระเจ้า ทำให้ชาวยิวสามารถรักษาความเชื่อและขนบวัฒนธรรมของตนได้ยาวนาน
แม้อพยพย้ายถิ่นฐานก็ยังสามารถรักษาขนบธรรมเนียมและความเชื่อของตนได้ ไม่หล่อหลอมไปกับวัฒนธรรมสังคมอื่นๆ ได้โดยง่าย ดังนั้นแม้จะไปอยู่ที่ไหน ชาวยิวก็ยังเป็นชาวยิว
จะแตกต่างจากชาติพันธุ์อื่นๆ   อย่างชาวจีนที่อพยพมาเมืองไทย แค่ไม่เกิน 3 รุ่นก็กลายเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์แล้ว  แต่ชาวยิวสามารถรักษาความเป็นชาวยิวได้นานนับพันปีไม่ว่าจะไปตั้งรกรากที่ไหน

ทำไมชาวยิวต้องอพยพไปอยู่ที่ต่างๆ ในยุโรปต้องติดไว้ก่อน ข้อมูลมีแต่ภาษาอังกฤษผมไม่แข็งแรง ฝากอาจารย์ท่านๆ อื่นๆ ก่อนตรงนี้
เอาเป็นว่าในช่วงพันกว่าปีที่ผ่านมา ชาวยิวได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่างๆ ทั่วยุโรป อย่างยุโรปตะวันตกเอง เช่นในอังกฤษก็มีชาวยิวไปตั้งรกราก
ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง โปแลนด์มีประชากรยิวมากที่สุดในยุโรป คือมีมากกว่า 3 ล้าน 3 แสนคน


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 พ.ค. 12, 17:31
ย้อนกลับไปช่วงต้นยุคกลางของยุโรป เอาซักเมื่อประมาณ 8-900 ปีที่ผ่านมา ศาสนจักรมีบทบาทและอิทธิพลไม่น้อย
ความเชื่อในศาสนาคริสต์คาธอลิกกระจายไปทั่วยุโรป  ข้อบัญญัติต่างๆ ของศาสนาคริสต์ส่งผลต่อวิถีชีวิต การทำมาหากินของผู้คน

ยุโรปในยุคนั้นเป็นยุคฟิวดัล ในอาณาจักรต่างๆ มีกษัตริย์และชนชั้นขุนนางเป็นผู้ครอบครองที่ดิน มีชาวบ้านเป็นแรงงาน
เมื่อมีชาวยิวไปอาศัย  ชาวยิวถูกจำกัดบทบาทไม่สามารถรับราชการเป็นขุนนางได้ ไม่สามารถครอบครองที่ดินได้ ดังนั้นชาวยิวจึงไม่อาจประกอบอาชีพด้านการกสิกรรมได้
จึงต้องปรับตัวหันไปทำอาชีพด้านอื่นๆ คือเป็นพ่อค้าทำการค้าขายไปทั่ว  ระบบการค้าขายในยุคนั้นต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันมาก ดังนั้นเครือข่ายการค้าของชาวยิวจึงแข็งแกร่งมาก
เพราะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันอย่างสูง และเมื่อมีการค้า ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินตรา เกิดระบบการเงินขึ้นมาโดยมีชาวยิวเป็นตัวหลักของระบบ

นอกจากการค้าแล้ว สำหรับชาวคริสต์ในอดีตนั้น การให้กู้ยืมและคิดดอกเบี้ยเป็นบาป ดังนั้นถ้าคิดจะกู้หนี้ยืมสิน ชาวคริสต์ก็ต้องหันไปกู้จากชาวยิวที่ไม่มีข้อจำกัดด้านนี้
ชาวยิวจึงมีสถานะเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ในสังคมด้วย   และเจ้าหนี้ ไม่ว่าในสังคมไหนในโลก ไม่มีใครเคยได้รับบทพ่อพระ  แต่ต้องเล่นเป็นตัวโกงทั้งนั้น
เพราะถ้าเจ้าหนี้ใจดีเกินไป ไม่ช้าคงได้กลายเป็นลูกหนี้แน่ๆ   ภาพลักษณ์ชาวยิวก็เลยเป็นแบบที่เราเห็นกันมาจนถึงปัจจุบัน ลองจินตนาการเจ้าหนี้ของคุณในปัจจุบันดู
อาจจะมองเห็นภาพไม่ต่างจากชาวยุโรปยุคนั้น



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 พ.ค. 12, 17:43
ลูกหนี้รายใหญ่ของยุโรปในยุคกลางก็คือบรรดากษัตริย์และเจ้าปกครองต่างๆ นั่นแหละ เมื่อต้องการเงินไปทำสงครามหรือใช้จ่ายอะไรก็แล้วแต่ เงินในคลังไม่มีก็ย่อมต้องกู้จากพ่อค้า
พ่อค้าที่มีเงินให้กู้และยินดีจะให้กู้โดยคิดดอกเบี้ยด้วย ก็เห็นจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น

จริงๆ แล้วบรรดากษัตริย์ในยุโรปนั้นมีการเบี้ยวหนี้ชาวยิวก็หลายครั้ง  เบี้ยวแล้วยังฆ่าทิ้งก็ยังมี การสังหารหมู่ชาวยิวในยุโรปมีบันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแล้ว
และเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ตลอดประวัติศาสตร์พันปีที่ผ่านมา บางครั้งเมื่อมีโรคระบาดหรืออะไรก็ตาม ชาวบ้านมักจะโทษชาวยิวไว้ก่อนแล้ว
ตัวอย่างการสังหารหมู่ เช่นในปี 1190 ชาวยิว 150 คนถูกสังหารหมู่ที่ Clifford's  Tower ในเมือง York ประเทศอังกฤษ


ภาพ Clifford's Tower ครับ


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ค. 12, 19:16
ภาพการเผา  Clifford's  Tower  ในช่วงสังหารหมู่ชาวยิว  ปราสาทส่วนที่เป็นไม้ก็มอดไหม้ไปด้วย


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 15 พ.ค. 12, 22:01
ความจริงเนื้อหาในไบเบิลส่วนที่ระบุว่าการคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นบาปก็อยู่ใน Old Testament ซึ่งก็คือคัมภีร์ Torah ของยิวนั่นแหละครับ เพียงแต่ยิวตีความพระคัมภรีในส่วนนี้ว่า "ห้ามกินดอกคนยิวด้วกัน" ก็เลยทำให้ยิวกลายเป็นพวกผูกขาดปล่อยกู้กินดอกจนร่ำรวยกุมอำนาจเศรษฐกิจในยุโรปได้ครับ


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ค. 12, 22:48
คุณประกอบทิ้งคำถามไว้ถึงสาเหตุที่ชนชาติยิวกระจัดกระจายไปทั่วยุโรป      ดิฉันก็รู้แบบสเน้คๆฟิชๆ พอจะมาต่อความยาวกระทู้ได้อีกนิดหน่อย
ถ้าผิดพลาดอย่างใด  ใครรู้ขอให้มาแก้ไขให้ด้วยนะคะ

ต้องย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ของชนชาตินี้ตั้งแต่เริ่มแรก   ไม่มีใครรู้ว่าคนยิวคนแรกมาจากไหน แต่เท่าที่พอจะสืบตำนานย้อนกลับไปได้คือเป็นชนเผ่าจำนวนน้อยเผ่าหนึ่ง ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณแม่น้ำไทกริสยูเฟรติส (หรือเมโสโปเตเมีย)  ต่อมาประมาณ 1800 ปีก่อนคริสตกาล  พวกนี้ได้อพยพไปแสวงหาดินแดนที่อุดมสมบูรณ์กว่านี้ เรียกว่าคานาอัน แปลว่า "ดินแดนแห่งน้ำผึ้งและน้ำนม" ก็คือปัจจุบันคืออิสราเอล เลบานอนและจอร์แดนบางส่วน”
อยู่ที่นั่นประมาณ 100 ปี  ยิวก็อพยพอีกครั้ง คราวนี้ไปอยู่ในอียิปต์ ตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ในแผ่นดินอียิปต์  ด้วยความเฉลียวฉลาด ขยันขันแข็งและทรหดอดทน  ยิวก็เจริญก้าวหน้าและขยายจำนวนมากขึ้นจนพระเจ้าฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่ครองอียิปต์ชักจะระแวงว่า ขืนปล่อยไว้สักวันชาวยิวอาจจะลุกฮือกันขึ้นมายึดบ้านครองเมืองของตนก็เป็นได้


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ค. 12, 23:00
   เมื่อไม่ไว้ใจซะอย่าง ฟาโรห์รามเสสที่ 2 จึงเริ่มนโยบายทั้งจำกัดและกำจัดชาวยิว  ตอนแรกก็จำกัดสิทธิ์ ให้ใช้งานหนักเยี่ยงทาส ให้อาหารแต่น้อย กดขี่ขมเห่ง เฆี่ยนตี บังคับให้สร้างพระราชวังและปีรามิดเพื่อลิดรอนกำลังพวกยิวมิให้โงหัวขึ้นมาได้    แต่พอจำกัดไปสักพัก  เห็นว่าให้ผลช้าเกินไป   จึงเปลี่ยนมากำจัดเอาดื้อๆ   โดยสั่งฆ่าทารกเพศชายของชาวยิวทุกคนไม่มีเว้น ด้วยหวังว่าจะทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิวให้สิ้นซากน
  แต่ยิวก็เกิดผู้นำขี่ม้าขาวขึ้นมาในราวปี 1250 ก่อนคริสตกาล คือ “โมเสส”(ใครเคยดูหนัง บัญญัติ 10 ประการคงจำได้) โมเสสเป็นคนพาชาวยิวหนีออกจากอียิปต์  ผ่านทะเลแดง  ไปขึ้นอีกฝั่งได้สำเร็จ   และยังได้รับบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า ต่อมากลายเป็นหลักปฏิบัติสำหรับชาวยิวและลูกหลานสืบต่อกันมา
  ชะตากรรมของชาวยิวยังเคราะห์ร้ายไม่จบ ทั้งๆลูกหลานของโมเสสก็สามารถตั้งดินแดนได้อย่างมั่นคง เรียกว่าคานาอัน   มีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่อย่างพระเจ้าดาวิด   หรือเดวิด    ซึ่งขยายดินแดนออกไปมากมาย แต่ก็เป็นธรรมดานั้นแหละเมื่อมีแผ่นดินกว้างใหญ่ก็เป็นการยากที่จะดูแลทั่วถึง อาณาจักรยิวจึงได้มีเกิดแบ่งแยกดินแดนเป็นสองภาคคือ อิสราเอล (ภาคเหนือ)และยูดาห์(ภาคใต้)  อิสราเอลมีเมืองหลวงคือ เชเคม ทีรชาห์ และสะมาเรียตามลำดับ ส่วนยูดาห์มีเมืองหลวงชื่อ ยูเดียและกรุงเยรูซาเล็ม  ความเจริญนี้สืบทอดลงมาถึงยุคพระเจ้าโซโลมอน โอรสพระเจ้าดาวิด
  เราคงคุ้นๆกับ King Solomon's Mines หรือสมบัติพระศุลีนะคะ   ก็องค์นี้แหละค่ะ

  หลังจากสิ้นยุคกษัตริย์ซาโลมอนแล้ว อิสราเอล และยูดาห์ก็หันมารบพุ่งกันเองเป็นเวลานานถึง 100 ปี  ดินแดนคานาอันเป็นเสมือนรอยต่อของสามทวีปคือ ยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ดังนั้นหากประเทศใดได้ครอบครองเหนือปาเลสไตน์ก็เท่ากับได้ครองสามทวีป ด้วยเหตุผลนี้ดินแดนอิสราเอลที่พวกยิวอาศัยอยู่นั้นจึงไม่สามารถรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกาไปได้


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 17 พ.ค. 12, 05:03
ทิ้งท้ายไว้เป็นภาระท่านอาจารย์ใหญ่ๆ จริงๆ เลย  ต้องช่วยท่านอาจารย์โดยหาภาพมาประกอบหน่อย  โฉมหน้าของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ครับ เป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่มากคนหนึ่งของอิยิปต์ อายุยืนถึง 90 ปี ครองราชย์นานกว่า 60 ปี อัศจรรย์มากสำหรับคนเมื่อสามพันกว่าปีก่อนที่ใครอายุถึง 50 นี่ก็ยืนมากๆ แล้ว

ภาพน่ากลัวเล็กน้อย เป็นภาพมัมมี่ของฟาโรห์และภาพหน้าที่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยครับ


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 12, 09:22
ถ้ายังไม่มีใครมาร่วมวง  เราก็ก้มหน้าก้มตาต่อกระทู้กันไปก่อนค่ะ คุณประกอบ

    ในเมื่อพื้นที่เป็นที่ยั่วใจอาณาจักรอื่นๆ  ในที่สุดดินแดนของยิวก็ถูกรุกรานโดยอาณาจักรที่เข้มแข็งกว่า  เริ่มต้นด้วยอัสซีเรียยึดสะมาเรียและยูดาห์ไว้ได้หลายปี   จากนั้นบาบิโลนก็เข้ามารุกรานแทนที่  ถึงขั้นยึดกรุงเยรูซาเล็มได้  ชาวยิวกลายเป็นเชลยในดินแดนตัวเอง   แต่ยิวก็ก่อกบฎกับเจ้าเมืองที่บาบืโลนส่งมาปกครอง  ลุกฮือกันขึ้นจับเจ้าเมืองประหารเสีย เป็นเหตุให้เกิดศึกล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาระหว่างบาบิโลนกับยิว     ยิวที่รอดตายก็ถูกกวาดต้อนจากดินแดนของตนไปเป็นทาสที่บาบิโลน
     ยิวแพแตกอยู่นานจนอำนาจของบาบิโลนเสื่อมลง  อาณาจักรเปอร์เซียเข้ามามีอำนาจแทน   ชะตากรรมยิวก็ค่อยเงยหน้าอ้าปากขึ้นมาได้หน่อยเมื่อพระเจ้าไซรัสแห่งเปอร์เซียทรงประนีประนอมผ่อนปรนให้ยิวในบาบิโลนอพยพกลับไปเยรูซาเล็มได้  แต่ก็มีข้อแม้ว่าอาณาจักรยูดาห์ของชาวยิวต้องขึ้นอยู่กับเปอร์เซีย   ยิวก็ตกลง เพราะดีกว่าอยู่เป็นทาสไม่เห็นอนาคตอย่างเดิม
     อีกไม่นาน  อเลกซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกก็แผ่อำนาจไปทั่วอาณาจักรแถบนั้น  พิชิตอาณาจักรเปอร์เซียลงได้   ยิวในฐานะเมืองขึ้นก็ต้องอยู่ในเงื้อมมือของกรีกแทน    จะเห็นว่าชาวยิวไม่เคยมีอิสระเป็นของตนเองได้นาน  ถ้าไม่เร่ร่อนหนีจากนายคนหนึ่งไป  ก็ต้องจำยอมเป็นทาสของนายอีกคนแทน   ทำให้นักประวัติศาสตร์บางคนมองว่าดูไปแล้วชนชาตินี้เหมือนถูกสาปมาให้เป็นทาสคนอื่นตลอดเวลา
   แต่เรื่องยิวเป็นชนชาติที่ถูกสาปนี่เป็นอีกหัวข้อหนึ่งค่ะ  เล่าเรื่องเดิมต่อดีกว่า     


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 12, 09:32
     เมื่อกรีกปกครองยิว  ก็ตั้งเมืองอเล็กซานเดรียเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม ศิลปะ การศึกษา การค้า เป็นหน้าเป็นตาของอาณาจักร ชาวยิวเองได้รับอิสระให้ทำมาค้าขายได้  จึงค่อยสบายขึ้นมาหน่อย   จึงยอมรับวัฒนธรรมกรีกเข้ามาในหมู่คนรุ่นหลัง  สืบต่อมาอีกสองสามชั่วคน หนุ่มสาวยิวก็ชักเอนเอียงไปทางกรีก  ไม่สามารถพูดภาษาฮีบรูดั้งเดิมของคนได้  ทำให้ยิวชาตินิยมไม่พอใจ  เกิดห่วงอนาคตของเผ่าพันธุ์   จึงจัดตั้งกองทัพประชาชนที่ชื่อว่า “แมคคาบี” เพื่อต่อต้านกรีก   ลุกฮือขึ้นฆ่าเจ้าเมืองและขุนนางกรีกที่ปกครอง จึงเป็นชนวนให้เกิดสงครามระหว่างกรีกกับยิว
    165 ปีก่อนคริสตกาล  ยิวก็สามารถเอาชนะกรีกได้   ตีเอานครเยรูซาเล็มกลับคืนมาจากกรีกได้สำเร็จ แล้วสถาปนาราชอาณาจักรยูดาห์ขึ้นเป็นอิสระ   เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่ยิวได้เป็นเอกราชกับเขาเสียที

    แต่เวรกรรมก็ยังไม่หมด  แทนที่จะอยู่เป็นปึกแผ่นให้คุ้มเหนื่อยที่สู้มาจนสำเร็จ  ยิวเกิดการแตกแยกภายในอาณาจักร จนเกิดศึกกลางเมืองประหัตประหารกันเอง   เป็นเหตุให้พลังของบ้านเมืองอ่อนแอลง    มหาอำนาจที่จ้องอยู่ข้างนอกคือโรมันซึ่งเรืองอำนาจขึ้นมาแทนกรีกก็ได้จังหวะ สวมบทบาทตาอยู่ กรีฑาทัพเข้ามาซ้ำเติมตาอินกับตานาที่อ่อนแออยู่แล้วให้ตกเป็นเมืองขึ้นของตัวเองโดยง่าย    และแต่งตั้งข้าหลวงมาปกครอง
    ประวัติศาสตร์ยิวก็ซ้ำรอยอีกครั้ง คือกลับไปเป็นข้าทาสของคนอื่นเขาอีก    ในช่วงนี้เองจูเลียสซีซาร์ที่ปกครองโรมันก็แต่งตั้งคนของเขามาเป็นผู้ปกครองยิวทั้งหมด   รายนี้ชื่อว่าพระเจ้าเฮร็อด


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 12, 17:59
      ในช่วงนี้เอง มีคำสั่งออกมาจากจักรพรรดิ์โรมันให้ประชาชนในความปกครองของโรมันทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของอาณาจักร ต้องย้อนไปจดทะเบียนสำมะโนครัวที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน     เป็นเหตุให้ช่างไม้คนหนึ่งต้องพาภรรยาท้องแก่ของตนย้อนกลับไปที่เมืองเบธเลเฮม ในปาเลสไตน์เพื่อทำทะเบียนสำมะโนครัว   แต่ที่พักเต็มหมด  ต้องไปพักแรมในคอกสัตว์   คืนนั้นเองภรรยาก็ให้กำเนิดทารกน้อยผู้กลายมาเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์
     เด็กน้อยคนนี้ชื่อเยซู   เมื่อโตขึ้นได้ออกเทศนาเผยแพร่ความเห็นต่างๆด้านศาสนา   และป่าวประกาศว่าตนเป็นพระคริสต์เจ้า หรือบุตรของพระเจ้า เกิดมาเพื่อช่วยให้มนุษย์ให้รอดจากบาป    มีผู้เล่าลือกล่าวขานกันว่าชายหนุ่มคนนี้สามารถทำปาฏิหาริย์ต่างๆได้ จนผู้คนเลื่อมใส ติดตามไปเป็นสานุศิษย์มากมาย   
      พฤติกรรมนี้นอกจากถูกเพ่งเล็งจากทางการแล้ว  ชาวยิวใหญ่ๆโตๆสมัยนั้นก็ไม่พอใจ   เพราะยิวในปาเลสไตน์มีศาสนาดั้งเดิมของตนเองอยู่แล้ว    คำสั่งสอนของนักเทศน์คนใหม่ไม่ตรงกับความเชื่อเดิมของยิว  หลายอย่างก็ตรงข้ามกับความเชื่อเดิม และวัฒนธรรมเก่า ๆ ที่เคยอบรมสั่งสอนกันมา   ชาวบ้านชาวเมืองรวมทั้งข้าราชการระดับสูงในสมัยนั้นจึงมองว่าเป็นปรปักษ์สำคัญ    หลังจากเผยแพร่คำสั่งสอนได้  3 ปี   ท่านก็ถูกจับกุม   และถูกคนใหญ่คนโตสมัยนั้นตัดสินประหารชีวิตอย่างนักโทษชั้นต่ำ ด้วยการตรึงกางเขนตอกตะปูทั้งมือและเท้า  ทิ้งเอาไว้จนตายบนไม้กางเขนนั่นเอง  จากนั้นศพจึงได้ถูกนำลงจากกางเขนแล้วไปฝังไว้ในถ้ำโดยมารดาและสานุศิษย์
    จากนั้นก็มีข่าวว่าพระคริสต์เจ้าได้กลับคืนชีพท่ามกลางประจักษ์พยานมากมาย  สุดท้ายได้กลับสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาลูกศิษย์   หลังจากนั้น ศาสนาใหม่ก็เริ่มแพร่หลายไปทั่ว  แม้ว่าในระยะแรกๆจะถูกต่อต้านมากเพียงใดก็ตาม แต่ในเวลาต่อมาก็เป็นที่ยอมรับของโรมัน  และแพร่หลายไปทั่วโลกในเวลาต่อมา
     ส่วนยิวก็ยังมีศาสนาของตนเองอยู่เช่นเดิม    ไม่ได้เปลี่ยนเป็นชาวคริสตศาสนา


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 12, 18:14
       ส่วนยิวประสบชะตากรรมเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อีกครั้งใน ค.ศ. 66  ถึงเวลาบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างแท้จริง   เมื่อยิวพยายามต่อต้านเพื่อเป็นอิสระจากโรมัน   แต่คราวนี้ยิวพ่ายแพ้   โรมันบุกเข้าทลายกำแพงเมืองเยรูซาเล็มจนราบ   กวาดล้างชาวยิวชนิดไม่ให้เหลือกซาก     ชาวยิวแตกพ่ายกระจัดกระจาย  หนีเอาชีวิตรอด กระจัดกระจายไปอยู่ทั่วโลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   ไม่มีประเทศของตัวเองอีกต่อไป    ต้องกลายเป็น "พลเมืองชั้นสอง" แทรกตัวอยู่ในประเทศต่างๆ
        อย่างไรก็ตาม น่าชมอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ว่าชาวยิวอพยพไปอยู่ประเทศใดก็ตาม    ก็ยังดำรงความเป็นยิวอย่างมั่นคง  ศรัทธาในศาสนาตนอย่างเคร่งครัด    ช่วยเหลือเกื้อกูลสามัคคีในหมู่ยิวด้วยกัน  และรักชาติรักแผ่นดินอย่างเหนียวแน่น  ที่สำคัญคือชาวยิวไม่ว่าอยู่ต่างถิ่นดินแดนไหนก็ตาม   ทุกคนมีความหวังเหมือนกันว่า สักวันหนึ่งจะต้องกลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดให้จงได้
       แม้ว่ายิวถูกฮิตเลอร์กวาดล้างไปถึง 6  ล้านคน  ยิวที่เหลือรอดมาได้ก็ยังสู้ต่อไปเพื่อทำฝันให้เป็นจริง          ในประเทศต่าง ๆ ที่ชาวยิวอาศัยอยู่ พวกยิวรวมกลุ่มจัดตั้ง “องค์กรไซโอนิสม์” ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือด้านการเงิน และสนับสนุนให้มีการตั้งประเทศของตนขึ้นมา   จนในที่สุด  ในวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ความฝันของพวกยิวก็เป็นจริง เมื่อเดวิด เบน คูเรียน นายกรัฐมนตรีชาวยิวได้ประกาศอิสรภาพให้แก่ชาวยิว และสถาปนาประเทศของชาวยิวขึ้นมาใหม่ คือ “ประเทศอิสราเอล” ในปัจจุบันนี้เอง


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 12, 18:44
ขอส่งไม้ให้คุณประกอบตามเดิมค่ะ


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 พ.ค. 12, 12:58
เข้ามาให้กำลังใจคุณประกอบ

ขออย่าเพิ่งท้อกับวัฒนธรรมเงียบของคนในห้องนี้นะครับ


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 พ.ค. 12, 14:40
ขออนุญาตย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้นเรื่องการเคารพแบบนาซี

เชื่อหรือไม่ การเคารพลักษณะนี้มีมาในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๕ แล้ว เรียกว่า การทำความเคารพแบบเบลลามี  (http://en.wikipedia.org/wiki/Bellamy_salute)

ฟรานซิส เบลลามี (http://en.wikipedia.org/wiki/Francis_Bellamy) นำท่านี้มาใช้เพื่อประกอบการมอบคำปฏิญาณแก่ธงชาติสหรัฐอเมริกา โดยดัดแปลงมาจากการทำความเคารพแบบโรมัน หรือเป็นที่รู้จักกันว่า "การทำความเคารพธงชาติ" ถูกใช้ครั้งแรกในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๙๒ ต่อมา การทำความเคารพของพลเรือนได้เปลี่ยนเป็นการกำมือแนบกับหัวใจ และได้เพิ่มไปใช้แขนตามการคิดค้นของเบลลามี

ลัทธิฟาสซิสต์ได้ดัดแปลงการทำความเคารพแบบโรมันเพื่อการฟื้นฟูวัฒนธรรมโรมันโบราณ ต่อมา พรรคนาซีได้ลอกเลียนแบบแนวคิดดังกล่าวได้เกิดเป็นการสดุดีฮิตเลอร์ขึ้นมา ภายหลังจากการโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ประธานาธิบดีแฟรงกลิน โรสเวลต์ ได้เปลี่ยนไปใช้การกำมือแนบกับหัวใจเพื่อป้องกันความสับสนกับการสดุดีฮิตเลอร์ ซึ่งสภาคองเกรสได้อนุมัติในรหัสธง เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๕

 ;D


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 18 พ.ค. 12, 16:28
การเคารพโดยทำท่ายกมือแบบนาซีนี่ อาจจะมีมาตั้งแต่ยุคโรมันเลยก็ได้ครับ  อันนี้บอกจากความทรงจำ เพราะเคยดูหนังบ้าง การ์ตูนบ้าง
จะเห็นว่าพวกทหารโรมันก็จะยกมือทำความเคารพแบบนี้   

ทั้งท่านอาจารย์เทาชมพู อาจารย์นวรัตนมาทิ้งท้ายแบบยังไม่ให้จบ ไอ้ผมกะว่าจะหนีหายไปซุ่มตัวหลังห้องเลยชักจะยากซะแล้ว
ไอ้จะหาอะไรมาเล่ามันก็พอมี แต่ติดขัดเรื่องเอกสารอ้างอิงอาจจะไม่ชัดเจน  แต่จะลองหาตัวอย่างการปลูกฝังความเกลียดชังที่ทำให้เกิดการเข่นฆ่ากันอย่างมโหฬาร
โดยฝ่ายที่คิดว่าตัวอยู่ข้างความชอบธรรม สามารถทำอะไรต่างๆ กับอีกฝ่ายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เพียงต่างกันแค่เผ่าพันธุ์ได้อย่างโหดเหี้ยม
แค่ในศตวรรษนี้ มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมากมาย   แต่เพราะเคยดูหนังสุดโหดแต่ประทับใจเรื่องโฮเตลรวันดา  เดี๋ยวจะลองเอาเหตุการณ์ในรวันดามาเล่าบ้าง 
เกริ่นทิ้งไว้ก่อนครับ อิอิ


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 12, 18:03
เข้ามาให้กำลังใจคุณประกอบ

ขออย่าเพิ่งท้อกับวัฒนธรรมเงียบของคนในห้องนี้นะครับ


ดีจริง ไม่เงียบแล้วละค่ะ


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 12, 19:51
อ่านถึงความโหดร้ายของมนุษย์มามากแล้ว   มาอ่านถึงความดีของมนุษย์ให้สบายใจขึ้นบ้างนะคะ

ท่ามกลางความมืดมน  แสงสว่างก็ยังไม่หายไปเสียทีเดียว
คุณยายคนข้างล่างนี้ชื่อ อิเรนา เซนด์เลโรวา เป็นชาวโปล(โปแลนด์)  อดีตผู้ช่วยพยาบาล วัย 97 ปี   เธอช่วยชีวิตเด็กๆชาวยิวให้รอดตายจากค่ายกักกันในกรุงวอร์ซอกว่า 2500 คน    แม้ว่าตอนท้ายเธอถูกจับและถูกทรมานจากตำรวจเกสตาโปของเยอรมนี แต่ก็รอดพ้นจากการถูกสังหารได้อย่างหวุดหวิด เมื่อผู้คุมตัวเธอถูกขบวนการต่อต้านนาซีติดสินบนให้ปล่อยตัวเธอจนหลบรอดไปได้
       
อิรานาเป็นสาวรุ่นอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  โดยหน้าที่เธอต้องไปปฏิบัติงานในค่ายกักกันของชาวยิวที่วอร์ซอ    ตอนนั้นเยอรมันยึดครองโปแลนด์อยู่   เมื่อทหารนาซีต้อนชาวยิวจากค่ายกักกันไปแดนประหาร   เธอก็หาทางช่วยชีวิตเด็กๆ จนสำเร็จ  ทั้งๆยากเย็นแสนเข็ญ  และเสี่ยงตายสารพัด   อย่างที่คนทั่วไปไม่กล้าเสี่ยง
เด็กบางคนถูกซุกซ่อนมาในหีบเครื่องมือคนงาน   บางคนต้องมุดท่อระบายน้ำหรือคืบคลานออกไปตามทางลับ  เด็กยิวไม่ต่ำกว่า 2,500 คนรอดตายจากค่ายกักกันไปหลบซ่อนอยู่กับครอบครัวชาวโปล และตามโบสถ์คาทอลิกได้สำเร็จ
       
ชาวยิว 3.5 ล้านคนในโปแลนด์เป็นกลุ่มเคราะห์ร้าย ที่ถูกกวาดล้างเกือบทั้งหมดจากทหารนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลงานของอิเรานาทำให้รัฐสภาโปแลนด์มอบเหรียญตราเกียรติยศอินทรีเผือกให้เธอ   และได้จากสถาบันอิสราเอล รวมถึงรางวัลอื่นๆ
อีกด้วย
เธอถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 98 ปี ในค.ศ. 2008


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 12, 21:57
ระหว่างคุณประกอบกำลังสำรวจการเมืองในรวันดาอยู่  ขอคั่นโปรแกรมหน้าม่าน ด้วยการพากลับไปหายิวอีกครั้งนะคะ
ยิวภูมิใจอยู่อย่างหนึ่งว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด   ถึงขั้นอัจฉริยะก็หลายคน  โดยเฉพาะนักปรัชญา  นักวิทยาศาสตร์
ตามรายชื่อข้างล่างนี้
- อัลเบิร์ต ไอนสไตน์
- อดัม  สมิธ บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์
- วอลแตร์ นักปรัชญาผู้จุดประกายปฏิวัติฝรั่งเศส ,
- ซิกมันต์ ฟรอยด์  บิดาแห่งจิตวิทยาแผนใหม่
- มาร์ค ชากาล ศิลปิน
- คาร์ล มาร์กซ์
- วู้ดดี อัลเลน ผู้กำกับภาพยนตร์ตุ๊กตาทอง
- ลิซ เทเลอร์ ดาราอมตะ


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 12, 21:58
ปรัชญาศาสนาของยิวก็น่าสนใจ    ดิฉันจะไม่ลงลึกไปถึงแก่น   ขอหยิบยกข้อคิดง่ายๆมาให้อ่านกัน   ว่าชาวยิวเขาคิดกันอย่างไร

ในขณะที่คริสต์ศาสนาสอนให้ "รักเพื่อนบ้าน"  และพุทธศาสนา สอนให้เมตตากรุณาต่อผู้อื่น  ยิวสอนว่า ให้รักตัวเองก่อน และยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน    คนที่ไม่รักตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปรักคนอื่น

สัจธรรมสำหรับยิว  เห็นได้จากนิทานต่อไปนี้

อาจารย์กับลูกศิษย์คู่หนึ่งสนทนากันอยู่   
ลูกศิษย์ ถามอาจารย์ว่า   " อาจารย์ครับ  สัจธรรมมีอยู่ทุกหนแห่ง เหมือนก้อนหินตามทางที่เราเดินผ่านใช่ไหม"     
อาจารย์ ตอบว่า  "ถูกแล้ว เราอาจก้มลงหยิบสัจธรรมได้ทุกหนแห่ง   แต่การหยิบต้องก้มตัวลงไป  ตรงนี้ละที่ทำยาก"
ยิวถือว่าความถ่อมตัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน  ไม่รู้จักโค้งคำนับผู้อื่น  สักวันจะวิบัติ
คนชั่วที่น่ากลัว คือคนฉลาดที่ไม่รู้จักถ่อมตัว  แม้ว่าความฉลาดจะเป็นเรื่องดี  แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาฉลาดแบบเห็นแก่ตัว

ยิวชอบตั้งคำถาม ซักไซ้ไล่เลียง ค้นหาคำตอบจนแน่ใจว่าใช่แล้วจึงเชื่อ   ยิวกล่าวว่า  การหลงทาง 1 ครั้ง  สู้ถาม 10 ครั้งแล้วไม่หลงทาง ไม่ดีกว่าหรือ

เพราะฉะนั้นยิวจะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ประเภทต้นกล้วยออกลูกเป็นพญานาค    หรือเป็นคนสำคัญคนนั้นคนนี้กลับชาติมาเกิด

คติข้อหนึ่งของยิวที่ชาวพุทธไม่รู้จัก คือ " เมตตาต่อศัตรู หมายถึงเหี้ยมโหดต่อตนเอง "


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 12, 21:59
ระหว่างอู้อยู่ เจอฉากคั่นรายการจากท่านอาจารย์ใหญ่แล้วอดไม่แสดงความคิดเห็นไม่ได้

ในฐานะที่ไม่เคยรู้จักชาวยิวแม้แต่คนเดียว เคยเจอคนยิวตัวเป็นๆ ก็แค่หนสองหน  แต่อ่านเกี่ยวกับเรื่องเศร้าๆ ที่ชาวยิวเผชิญมาเยอะ แถมได้อ่านความคิดเห็นของคนไทยทั่วไป ที่ส่วนใหญ่ก็เหมือนผม คือไม่เคยศึกษารู้เรื่องศาสนายิว ไม่รู้จักคนยิว แต่มีทัศนคติที่เป็นลบต่อชาวยิวแบบไม่น่าเชื่อ เช่นตัวอย่างนายนักเขียนที่ยกมาในต้นๆ กระทู้ แถมเมื่อมีการอ้างถึงคำภีร์หรือศาสนายิว เรามักจะเห็นการยกข้อความที่คนนอกอ่านแล้วจะรู้สึกเป็นลบต่อศาสนายิวหรือคนยิว แถมไม่รู้ว่าไอ้ที่ยกมาหนะจริงหรือเปล่า และถ้าจริง ยกมาแค่บางส่วนหรือยกมาทั้งหมด เพราะเราต้องดูบริบททั้งหมด ไม่ใช่แค่บางข้อความ   

นอกจากนี้แล้วคนส่วนใหญ่แม้แต่ผมไม่เคยอ่านคำภียร์ศาสนายิวเลย แต่ฟังเค้าเล่ามา หรือเขียนตามๆ กันมา  คนมากมายก็ทึกทักไปแล้วว่าจริงตามนั้น นั่นอาจเป็นอีกที่มาของความเกลียดยิว ไม่กี่เดือนก่อนในเว็บ Pantip มีคนไปถ่ายรูปค่ายกักกันของนาซีมา แล้วมีคนไทยหลายคนมาแสดงความเห็น มีการยกเรื่องไม่ดีต่างๆ นา แม้แต่ยกคำสอนของศาสนายิวที่ดูเอาเปรียบเห็นแก่ตัวออกมาเล่า พอถามว่าไปได้ยินมาจากไหน ก็บอกว่าได้รับการบอกเล่าต่อมาจากคนไทยด้วยกันนี่แหละ แล้วเอามาเล่าต่อจริงๆ จังๆ ในรูปแบบข้อเท็จจริงไป

ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แทบจะไม่เห็นบทบาทของชาวยิวในรูปของชนชาตินักรบเลย ชาวยิวดูจะเป็นพวกรักสงบ มุ่งค้าขาย มากกว่าจะสร้างเกียรติยศในรูปแบบผู้พิชิต ทำให้ตลอดประวัติศาสตร์โลก ชาวยิวจึงมักตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ถูกกดขี่ มากกว่าเป็นผู้กระทำ โดนเผาบ้าง โดนให้เลือกว่าจะเปลี่ยนศาสนาหรือถูกเผาบ้าง   ยิวเพิ่งมีภาพของนักสู้ที่เก่งกาจ เป็นทหารที่มีฝีมือในช่วงที่ก่อตั้งประเทศอิสราเอลแล้วและมีความขัดแย้งกับพวกอาหรับนี่เอง ซึ่งที่มาของความเก่งกว่าไม่ได้มาจากความสามารถเฉพาะตัวที่ทหารยิวมีเหนือกว่าพวกอาหรับ มีสัญชาตญาณนักรบ เกิดมาก็เป็นแรมโบ้เลย แต่น่าจะเป็นเรื่องของการฝึกอย่างเป็นระบบ มีการใช้สมอง การวางแผน และการตอบโต้ที่ไม่ได้อิงแต่ตำรา

แล้วทำไมคนยิวฉลาดกว่า ได้โนเบลมากมาย เป็นคนดังระดับโลกก็เยอะ? 
อาจจะเป็นเพราะไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนชาวยิวก็ถูกกดขี่ ทำให้ต้องปรับตัวเอาตัวรอด ต้องขยันมานะอดทน ปรับระบบวิธีคิด วิธีอบรมสั่งสอน ซึ่งวิธีที่ปรับเอื้อต่อการเรียนรู้ การวิเคราะห์ และไม่ยึดติดกับกรอบมากนักก็ได้ ทำให้ยิวมีนักวิทยาศาสตร์ดังๆ เก่งๆ หลายคน อันนี้ผมเดาล้วนๆ   :P


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 12, 22:00
น่าจะต้องพูดถึงปรัชญายิวกันอีกสักหน่อยแล้วละค่ะ

ข้างล่างนี้คือความเชื่อของชาวยิว
The key to happiness is to appreciate what you have. If it's so simple, why are so many people unhappy?
กุญแจสู่ความสุขคือพอใจกับสิ่งที่ตนเองมี    ถ้าหากเห็นว่าข้อคิดนี้ช่างง่ายเสียเหลือเกิน  เหตุไฉนเล่าคนจำนวนมากจึงไม่มีความสุข?

Jews throughout the ages have willingly given up their lives, rather than abandon being Jewish. Why? Because until you know what you are willing to die for, you have not yet begun to live.
ชาวยิวทุกยุคสมัยยอมตายดีกว่าจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ยิว   ทำไมน่ะหรือ?  ก็เพราะว่า ตราบใดที่คนเรายังไม่รู้ว่าเราเต็มใจสละชีวิตเพื่อสิ่งใด    ก็ยังไม่ถือว่าเราเริ่มมีชีวิตอย่างแท้จริง


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 พ.ค. 12, 20:06
ขออนุญาตแอบเข้าห้องมาร่วมเสวนาด้วยครับ

ผมมีประสบการณ์เล็กๆน้อยๆกับคนยิว ครั้งแรกเมื่อรับนักเรียนแลกเปลี่ยนในโครงการของโรงเรียนของลูก ครั้งที่สองมีคนยิวทำงานอยู่สถานที่เดียวกัน และครั้งที่สามกับเจ้าหน้าที่ทางการทูต

แม้จะได้สัมผัสกับคนยิวแท้ๆ ผมก็ยังไม่ทราบปรัชญาชีวิตของชาวยิว จนะกระทั่งได้อ่านของคุณเทาชมพูนี้แหละครับ

เท่าที่ประสบมา ในส่วนของจิตใจลึกๆและอาการที่แสดงออก ดูเหมือนคนยิวค่อนข้างจะเก็บตัว เหมือนกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รับหรือยอมมาเป็นมิตรกับตน เขาจะสังเกตและพินิจพิจารณาอยู่ค่อนข้างนานกว่าจะเปิดประตูมิตรภาพอย่างจริงใจกับคนอื่น แม้ว่าเราจะเห็นสภาพของเขาในสังคมทั่วไปว่าเป็นคนร่าเริงเข้ากับใครก็ได้ก็ตาม แต่เมื่อเขาเปิดประตูแล้ว ความสัมพันธ์กับเราก็จะกลายเป็นเรื่องที่เขารู้สึกผูกพัน ซึ่งเราเองอาจจะกลับกลายเป็นมีความรู้สึกว่าความรู้สึกสบายๆหายไป (ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่สำคัญคงจะเป็นผลพวงมาจากเรื่องราวต่างๆที่เขาบอกเล่าถ่ายทอดกันมาหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง)

ในหลายๆกรณีผมก็รู้สึกว่า การให้ด้วยไมตรีจิตที่เราทำไปโดยไม่ได้มีอะไรคิดอยู่ในใจนั้น ทำไมจะต้องมีการตอบแทน ซึ่งดูก็เหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องลึกเข้าไปในด้านของจิตใจในเชิงของบุญคุณ ดูจะเป็นในลักษณะของต่างตอบแทน หรือการแลกกันอย่างเสมอภาค หรือการที่เขาตีค่า (value) บนฐานที่ต่างกับเรา เพื่อให้กันไปจบกันไปเสียมากกว่า จะด้วยปร้ชญาในทำนองนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ทำให้คนยิวถูกมองว่าเป็นคนไม่ยอมเสียเปรียบ

ทัศนคติของคนยิวคงจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากตั้งแต่อดีตจนไปถึงในอนาคต เพราะมีการถ่ายทอดและปลูกฝังความเป็นคนยิวอย่างต่อเนื่องในลักษณะของ Cloning     



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ค. 12, 20:48
ไม่รู้จักคนยิว  แต่คนอเมริกันที่ดิฉันรู้จัก โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า มักจะอึดอัดกระดากกระเดื่องถ้าเป็นฝ่ายรับอะไรจากคนไทยโดยเขาไม่สามารถตอบแทนได้สมน้ำสมเนื้อกัน     ความรู้สึกนี้พี่ไทยไม่เข้าใจ   เห็นตัวอย่างได้คือนักเรียนไทยในสมัยโน้นเมื่อไปต่างถิ่น ก็ถือธรรมเนียมไทย  เห็นครูบาอาจารย์ก็ดี   เจ้าของบ้านก็ดี เป็นผู้ที่ต้องเคารพนับถือ     เมื่อเคารพก็ต้องมีของขวัญให้ในโอกาสต่างๆ  เช่นวันเกิด คริสต์มาส ปีใหม่ งานเลี้ยง ฯลฯ

นักเรียนไทยรุ่นก่อนๆมักบอกน้องๆผู้กำลังจะไปว่า "เตรียมของไทยๆไว้บ้างนะ  ไว้ให้เป็นของขวัญจากเมืองไทยให้ฝรั่ง"  ทีนี้การติดต่อคมนาคมในสมัยโน้นมันไม่ง่ายอย่างสมัยนี้    เดินทางกันไปอเมริกาทีก็เตรียมได้เลยว่าจะหายสูญกันไปหลายปี    พ่อแม่จึงสั่งให้ขน "ของไทยๆ"ไปเยอะๆ จะได้พอ   ไม่ต้องโกลาหลส่งตามไปทีหลังให้ยุ่งยาก แถมค่าส่งไปรษณีย์แพงอีกต่างหาก

นักเรียนไทยจึงมีของไทยกันเต็มกระเป๋า  จำพวกผ้าไหมไทย ช้างไม้ ห่วงกุญแจ   ฯลฯ   เอาไปฝากอาจารย์ที่ปรึกษา  ฝากเจ้าของบ้าน  ฝากผู้ประสานงานของมหาวิทยาลัย  ฝากผู้ดูแลนักเรียนไทย  ฝากและฝากฯลฯ   เอาไปแล้วก็ขี้เกียจเก็บให้หนักกระเป๋า   มีโอกาสเมื่อไรเป็นต้องเทกระเป๋าให้
เพื่อนคนหนึ่งของดิฉันเก่งมาก  ขนหัวโขนจำลองชนิดตั้งโชว์ไปได้ตั้ง 4 หัว โดยไม่บุบสลายเลยจากเดินทาง   ไปตั้งโชว์เพชรระยิบระยับอยู่บนหิ้งหน้าเตาผิงของเจ้าของบ้าน

ฝรั่งที่ไม่รู้ธรรมเนียมไทยก็เลยงง ว่านักเรียนไทยมาเช่าบ้านอยู่ทำไมต้องเอาของขวัญแปลกๆไปให้ด้วย    ดิฉันก็มีของเล็กๆน้อยๆให้เจ้าของบ้านเหมือนกัน   เรียนจบกลับมาแล้วก็ยังติดเป็นความเคยชินว่าทุกคริสต์มาสจะต้องส่งของขวัญไปให้ Mom ตามที่เราเรียกเธอ    ส่งเสียจน Mom ฝากบอกเพื่อนคนไทยมาว่าไม่ต้องส่งให้อีก เพราะเธอลำบากใจว่าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร

ที่เล่ามาเสียยาว เพื่อจะบอกว่า  คนยิวคงจะถือธรรมเนียมแบบเดียวกันละมังคะ     ส่วนทางเมืองดิฉันนั้น   หลังจากนักเรียนไทยทยอยไปเรียนกันหลายรุ่น  อาจารย์ฝรั่งก็เข้าใจธรรมเนียมไทยว่าเราเป็นฝ่ายให้ฝ่ายเดียว  เขาไม่ต้องให้ตอบแทน   หรืออยากให้ก็ให้ของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆพอ    ก็เลยหายกระดากกระเดื่อง


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 พ.ค. 12, 21:16
คุณเทาชมพูก็พูดถูก  ทิ้งเอาไว้เพียงเท่านี้นะครับ





กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 ก.ย. 12, 16:07
เอามาฝากคุณประกอบ

http://atcloud.com/stories/106255

 ;D


กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 01 ก.ย. 12, 16:31
อันที่ท่านอาจารย์เพ็ญชมพูยกมาผมเคยเห็นแล้วครับ  ที่นั่นเหมือนจะเป็นเว็บที่รวบรวมบทความต่างๆ ไว้ รู้สึกเค้าจะใส่เครดิตไว้ด้วยว่าเอามาจากที่ไหน ในมุมหนึ่งผมว่าก็ดีครับ จะได้มีคนอ่านเยอะๆ  ;D   และเนื่องจากผมไม่ได้เอาไปขายที่ไหน เครดิตบอกชื่อประกอบไปก็ไม่มีใครรู้จัก เคยเขียนอธิบายวิธีสอบใบขับขี่ในอังกฤษลงบล็อกไว้ผมบอกไว้เลยใครจะเอาไปแก้ไข เผยแพร่ ดัดแปลงทำได้เลยไม่ต้องขออนุญาต  ดังนั้นใครจะเอาอะไรที่ผมเขียนไว้ไปใส่เครดิตตัวเองหรือไม่ยังไง ตอนนี้ส่วนตัวยังไม่เดือดร้อนครับ แห่ะๆ แต่ไว้ถ้าเริ่มเขียนหนังสือขายเองบ้างทีนี้สิค่อยซีเรียสหน่อย 






กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: Oh ที่ 01 ก.ย. 12, 22:43
สวัสดีคะ โอ๋ เป็นสมาชิคใหม่ที่ไม่ใหม่จริงๆ  ;D  ซุ่มอ่านเว็ปไซด์นี้มาแรมเดือน ทำให้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นเยอะเลยต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์หลาย ๆ ท่านที่มักจะมีคำถามและคำตอบมาให้อ่านเสมอ ๆ
ผู้น้อยขออนุญาติ บอกเล่าประสบการณ์จากเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้ยินได้ฟังมาจากปากของคุณแม่สามี และจากเทปที่สามีได้บันทึกไว้เมื่อสามสิบปีที่แล้วจากคุณพ่อคุณแม่ ปัจจุบันคุณแม่ของสามียังมีชีวิตอยู่คะ



กระทู้: เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ย. 12, 22:51
สวัสดีค่ะ
เชิญตั้งกระทู้ใหม่ในห้องประวัติศาสตร์ไทยได้เลยค่ะ