เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: ศรีปิงเวียง ที่ 11 ก.ย. 05, 10:21



กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 11 ก.ย. 05, 10:21
 บทความนี้ได้มาจากวารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 5 ฉบับที่ 3 ม.ค. 2527 ครับ และสืบเนื่องมาจากกระทู้ กอสสิบนอกกำแพงวัง ที่ตกกระทู้ไปแล้วครับ เนื้อหาเป็นสำนวนของเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ เรียบเรียงเมื่อ พ. ศ. 2513 ครับ(สำนวนคงเดิมทุกประการ)

“บทนิพนธ์ของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับในรัชกาลที่ ๕ เรื่องนี้มีรายละเอียดชีวิตในวังของ “คนัง” –ลูกเงาะป่า ซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อน”
เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก
เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในรัชกาลที่ ๕ เรียบเรียงเมื่อ พ. ศ. ๒๕๑๓
"“คนัง” เป็นชาวป่า ซึ่งเราเรียกว่า “เงาะ” มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าจังหวัดพัทลุง ไม่ห่างไกลจากถ้ำพระวัดคูหาสวรรค์เท่าใดนัก เงาะป่าในถิ่นดังกล่าวนี้เขาเรียกตัวเขาเองว่า “ก็อย” รูปพรรณสัณฐาน ความเป็นอยู่ นิสัยใจคอ ตลอดจนการนุ่งห่มเป็นอย่างไร และตัวนายคนังกับพวกเมื่ออยู่ป่ามีเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้แล้วในหนังสือบทละครเรื่องเงาะป่า และโดยที่หนังสือได้พิมพ์เป็นที่ระลึกแพร่หลายอยู่มาก ดังนั้นคนส่วนมากจึงคงจะได้รู้จัก “เงาะป่า” พวกที่เรียกจนเองว่า “ก็อย”นี้ดีอยู่แล้วแต่เรื่องราวของ “คนัง” ตอนแกเข้ามาเป็นมหาดเล็กกันมาก และยิ่งทราบว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงโปรด-ปราน“เงาะป่า” ตัวน้อยที่ชื่อ “คนัง” นี้มาก ก็ยิ่งสนใจอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขายิ่งขึ้น เคยมีมาถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของนายคนังจากข้าพเจ้าอยู่เนือง ๆ จึงมาเกิดความคิดขึ้นว่า ถ้าข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในพระราชสำนักสมัยที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเลี้ยงคนัง และรู้จักตัวนายคนังดีจะถือโอกาสเขียนเรื่องของคนังตอนที่เป็นมหาดเล็กไว้ ก็คงไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว จึงได้รื้อฟื้นความจำเมื่อหกสิบปีกว่ามาเขียนขึ้นก่อน"


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 13 ก.ย. 05, 23:05
 ป.ล. (ปฐมลิขิตตามแบบฉบับของคุณขรรค์ชัย บุนปาน)
บทความที่ปรากฏข้างบนนี้ เป็นคำนำที่แต่งโดยเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับครับ
"พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เคยเสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองพัทลุง ครั้งหนึ่ง เมื่อ ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) ครั้งนั้นเสด็จ ฯ ขึ้นไปถึงถ้ำพระวัดคูหาสวรรค์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึกพระปรมาภิไธยย่อ “จ.ป.ร.” ไว้ที่เพิงหินหน้าถ้ำ การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น จะได้ทอดพระเนตรเห็นพวกเงาะป่าบ้างหรือไม่ ไม่มีหลักฐานอะไรจะยืนยันได้ ต่อมาได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสหัวเมืองต่าง ๆ ในมณฑลปักษ์ใต้อีกหลายคราว คือในปี ร.ศ. ๑๑๗ (พ.ศ. ๒๔๔๑) ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓) ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) ทั้ง ๓ คราวนี้ตามที่จดหมายเหตุไม่ปรากฏว่าได้เสด็จฯ พัทลุง เสด็จฯ แต่นครศรีธรรมราชและสงขลา และก็เห็นจะเป็นในคราวเสด็จฯ เมืองนครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ ๓ ถึง ๘ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) นั้นเอง ทางบ้านเมืองได้นำพวกเงาะทั้งเด็กผู้ใหญ่ชายหญิงได้หลายรูปแต่ภาพฝีพระหัตถฟ์ที่ถ่ายภาพพวกเงาะครั้งนั้นไม่มีภาพนายคนังรวมอยู่ด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้ทรงสังเกตรูปพรรณสัณฐานและบุคลิกลักษณะของพวกเงาะป่าอย่างถี่ถ้วนด้วยความสนพระราชหฤทัย ทรงพระราชดำริใคร่ที่จะลองเลี้ยงเงาะป่าดูบ้างดังนั้น เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับพระนครแล้ว จึงมีพระราชดำรัสสั่งเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช ให้ส่งลูกเงาะป่าไปถวายสักคนหนึ่ง ไม่ได้ทรงเจาะจงว่าจะต้องเป็นเด็กชายเด็กหญิง ต้องพระาชประสงค์แต่เพียงให้ได้เด็กชายขนาดที่พอจะเเลี้ยงสะดวกไม่ใช่เด็กอ่อนเท่านั้นแต่ได้ทรงกำชับไปว่ามิให้เกณฑ์เกาะกลุ่มให้เป็นที่ตกอกตกใจจนพากันเตลิดเปิดเปิงไป ให้ใช้วิธีเกลี้ยกล่อมให้ผู้ใหญ่ยินยอมมอบเด็กให้ เจ้าพระยายมราชจึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการเมืองพัทลุงให้ดำเนินการสนองพระราชประสงค์"


ป.ล.โปรดติดตามตอนต่อไป .......และท่านจะเติมแต่งก็ได้
ส่วนกระทู้พระประวัติ (แบบเรียบเรียง) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย จะนำข้อมูลทยอยลงประมาณเดือนตุลาคมนี้ครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 20 ก.ย. 05, 22:45
 ต่อจากความเห็นที่แล้วนะครับ คอยดูว่าเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับนายคนังอย่างไร
"“คนัง” เป็นผู้มีบุญได้สั่งสมอบรมมาแล้วแต่ปุรพชาติจึงดลบันดาลให้ผู้ว่าราชการเมืองเลือกสรรเจาะจงเอาตัวส่งเข้ามาถวาย การนำตัวมานั้นทำกันเป็นระยะ ๆ ผู้ว่าราชการเมืองพัทลุงนำส่งให้ท่านสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช อยู่กับท่านสมุหเทศาภิบาลเป็นแรมเดือน ทั้งท่านเจ้าคุณและคุณหญิงช่วยปลอบโยนเอาใจให้หายเหงา จนกระทั่ง “เมื่อราบกว่าแต่ก่อนหย่อนตื่นเต้น” ดังกลอนพระราชนิพนธ์แล้วจึงพาเข้ากรุงเตรียมที่จะนำเข้าถวายตัว มีผู้เปรียบว่า การนำคนังเข้ากรุงเพื่อถวายตัวเป็นมหาดเล็กนี้เสมือนหนึ่งนำพระยาช้างเผือกมาส่งกรุงทีเดียว
ก่อนที่จะส่งตัวเข้าไปถวายที่ในพระบรมราชวังนั้น เจ้าพระยายมราชได้ส่งรูปคนังที่ท่านถ่ายไว้พร้อมทั้งได้มีหนังสือกราบบังคมทูลชี้แจงว่า จะให้ท่านผู้หญิงเป็นผู้นำตัวเข้าเฝ้าฯ ขอให้หาของเล่นสีแดง ๆ ไว้ล่อ และขอให้เตรียมข้าวสุกกับกล้วยน้ำว้าไว้ให้กิน ทั้งยังจำเป็นที่จะต้องมีพี่เลี้ยงเพราะยังเด็กอยู่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงทราบความในหนังสือกราบบังคมทูลแล้ว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศเป็น พระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ ทรงรับเลี้ยง
ที่จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๘ นั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังดุสิตขึ้นแล้วแต่ยังไม่แล้วเสร็จโดยสมบูรณ์ พระที่นั่งอัมพรสถานที่เริ่มสร้างแต่เมื่อเดือนธันวาคม ๒๔๔๕ ก็ยังไม่เสร็จ พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นแต่เตรียมการยังไม่ได้ลงมือสร้างเวลาเสด็จประทับที่พระราชวังดุสิตก็ประทับพระที่นั่งวืมานเมฆบางคราวก็เสด็จเข้าไปประทับในพระบรมมหาราชวัง ตอนที่เจ้าพระยายมราชส่งคนังเข้าถวายตัวนั้นประทับในพระบรมมหาราชวัง
ทางฝ่ายพระวิมาดาเธอฯ ได้ทรงเตรียมรับรองนายคนังเต็มที่ทีเดียว ทรงจัดสิ่งของเครื่องใช้สำหรับนายคนังไว้สารพัด ซึ่งจะได้กล่าวในภายหลังและได้ทรงจัดให้สตรีวัยกลางคนซึ่งมีนามว่า“พวง” เป็นพี่เลี้ยง แม่พวงนี้เคยเป็นข้าหลวง สมเด็จเจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรมขุนพิจิตรเจษฐ์จันทร์ มีหน้าที่ชักพัดในเวลาเสวย
เมื่อพูดถึงคำว่า“ชักพัด” คนสมัยนี้คงไม่เคยเห็น เพราะใช้พัดลมไฟฟ้าบ้าง เครื่องปรับอากาศกันบ้าง ดังนั้นพัดที่ใช้แรงคนชักจึงไม่เหลือให้เห็นในพระนคร แต่ตามวัดบ้านนอกยังมีอยู่บ้าง ที่วัดเขาบางทรายจังหวัดชลบุรีก็ที เพราะข้าพเจ้าเองเป็นผู้ติดถวายไว้ พัดชนิดนี้ทำโครงด้วยไม้สัก รูปร่างคล้ายบานหน้าต่างขนาดกว้างยาวตามความต้องการของเจ้าของ โครงนี้จะประดิษฐ์ให้งดงาม เช่นจะสลักเสลา หรือจะขัดเกลี้ยงหรือจะปิดทองล่องชาดก็สุดแล้วแต่จะคิดทำ ต่อจากตัวโครงด้านยาวติดระบายแพรหนา ๆ หรือผ้า หรือสักหลาดอะไรก็ได้ เหนือโครงด้านตรงข้ามกับที่ติดผ้าระบาย ติดห่วงสำหรับแขวนพัดห้อยกับฝ้าเพดานในลักษณะที่ให้โยนตัวแกว่งไกวอย่างเปลได้ ผูกเชือกเส้นใหญ่พอควรกับโครงพัดสำหรับเป็นสายชัก เชือกสายชักนี้ยิ่งยาวยิ่งดี เขามักหุ้มเชือกสายชักด้วยผ้า กันผงเชือกร่วงและกันเจ็บมือคนชักโดยมากเขานิยมซ่อนคนชัก จึงล่ามสายชักออกไปให้ห่างไกลบางแห่งก็เจาะฝาออกไปชักอีกห้องหนึ่ง บางแห่งก็เจาะพื้นให้คนชักลงไปชักอยู่ใต้ถุนบ้าน ในสมัยก่อนในห้องรับแขก ห้องอาหาร และห้องนอน ตามบ้านขุนนางผู้ใหญ่ ๆ หรือตามวังเจ้านาย ติดพัดชักทั้งนั้น"


โปรดติดตามตอนต่อไป


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 22 ก.ย. 05, 00:29
 ผมติดใจเรื่องคนังนี้มาหลายปีแล้ว  และไม่ทราบว่าจะไปถามท่านผู้ใด  ขอถือโอกาสนี้สอบถามไว้ ณ ที่นี้เลยนะครับ  คือว่า เมื่อครั้งที่รวบรวมนามสกุลพระราชทานในรัชกาลที่ ๖ นั้น  ผมไปสะดุดที่นามสกุลลำดับที่ ๒๑๐๙ ซึ่งทรงพระราชบันทึกไว้ว่า  ได้พระราชทานนามสกุล "กิราตกะ" แก่ พลเสือป่าคะนัง  กรมเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์ และประจำกรมพิณพาทย์หลวง  เป้นชาติเงาะป่า  เมื่อวันที่  ๒๓  มีนาคม  ๒๔๕๗  
ขอเรียนถามท่านผู้รู้ว่า คนัง มหาดเล็กในรัชกาลที่ ๕ นั้น  เธอเสียชีวิตเมื่อไร  และจะเป็นคนเดียวกับพลเสือป่าคะนัง ที่ได้รับพระราชทานนามสกุล "กิราตกะ" หรือไม่?


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.ย. 05, 08:59
ไม่ทราบเหมือนกันว่าคนังถึงแก่กรรมเมื่อไรค่ะ  จากกระทู้ ก็อสสิปนอกกำแพงวัง  หลวงอาจสงครามบอกน.อ. สวัสดิ์ว่า ตายตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปี
เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า พระราชทานนามสกุลให้คะนังด้วย    จากรายละเอียดที่คุณ V_Mee บอกไว้  คงเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากคนัง
ไม่ปรากฏว่ามีลูกหลานสืบเชื้อสายมา


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 22 ก.ย. 05, 22:19
 ต่อเนื่องจากตอนที่แล้วครับ
อ้างถึง
วันแรกที่ “คนัง” เข้าวังหลวง เอะอะเกรียวกราวกันมากพอถึงห้องรับแขกที่ตำหนักพระวิมาดาเธอฯ ผู้คนก็เข้านั่งล้อมดูกันแน่น ฝ่ายนายคนังนั่งมองหน้าคนที่ห้อมล้อมเฉยอยู่สักครู่หนึ่งก็ล้มตัวนอนหงายลงกับพื้น ทำตีนงุ้มกำมือแน่น ต่างคนต่างตกใจคิดว่าเป็นลม พระวิมาดาเธอฯ ท่านจะทรงทราบเล่ห์เหลี่ยมของนายคนังอย่างใดก็ไม่ทราบ รับสั่งให้เอาของกินที่เตรียมไว้มาตั้งให้ พอแกเห็นกล้วยเป็นหวีก็ลุกขึ้นกินทันที เป็นอันรู้ได้ว่าที่นอนทำตีนงุ้มกำมือแน่นแกล้งทำ นับว่าเป็นเด็กที่มีมารยาพอดู ขณะที่เข้าอยู่ในวังตอนแรกนั้นจะอายุเท่าใดไม่มีใครทราบ เพราะพวกเงาะไม่รู้จักนับเดือน นับปี แต่ถ้าจะดูตามรูปร่างก็ขนาดเด็ก ๗ ขวบเรานี่เอง กิริยาที่เปิบข้าวเข้าปากเหมือนพวกแขกยามที่เห็นกันอยู่ในกรุงเทพฯ คือกำใส่ฝ่ามือแล้วแบมือส่งอาหารเข้าปาก ไม่ใช้ปลายนิ้วส่งอาหารเข้าปากอย่างไทยเรา
อ้างถึง

ป.ล. ช่วงนี้ขอตัวก่อนครับ เพราะอีกสองสัปดาห์มีภารกิจสำคัญมาก(ไม่ขอระบุในที่นี้) และถ้าใครมีรูปเกี่ยวกับนายคนังหรือรูปอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำมาลงได้ไม่ผิดกติกาครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 22 ก.ย. 05, 22:22
 
"วันแรกที่ “คนัง” เข้าวังหลวง เอะอะเกรียวกราวกันมากพอถึงห้องรับแขกที่ตำหนักพระวิมาดาเธอฯ ผู้คนก็เข้านั่งล้อมดูกันแน่น ฝ่ายนายคนังนั่งมองหน้าคนที่ห้อมล้อมเฉยอยู่สักครู่หนึ่งก็ล้มตัวนอนหงายลงกับพื้น ทำตีนงุ้มกำมือแน่น ต่างคนต่างตกใจคิดว่าเป็นลม พระวิมาดาเธอฯ ท่านจะทรงทราบเล่ห์เหลี่ยมของนายคนังอย่างใดก็ไม่ทราบ รับสั่งให้เอาของกินที่เตรียมไว้มาตั้งให้ พอแกเห็นกล้วยเป็นหวีก็ลุกขึ้นกินทันที เป็นอันรู้ได้ว่าที่นอนทำตีนงุ้มกำมือแน่นแกล้งทำ นับว่าเป็นเด็กที่มีมารยาพอดู ขณะที่เข้าอยู่ในวังตอนแรกนั้นจะอายุเท่าใดไม่มีใครทราบ เพราะพวกเงาะไม่รู้จักนับเดือน นับปี แต่ถ้าจะดูตามรูปร่างก็ขนาดเด็ก ๗ ขวบเรานี่เอง กิริยาที่เปิบข้าวเข้าปากเหมือนพวกแขกยามที่เห็นกันอยู่ในกรุงเทพฯ คือกำใส่ฝ่ามือแล้วแบมือส่งอาหารเข้าปาก ไม่ใช้ปลายนิ้วส่งอาหารเข้าปากอย่างไทยเรา"

ป.ล. ลืมกด[/quote]ครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 23 ก.ย. 05, 22:26
 วันนี้ไปพบเอกสารเรื่องคนังที่หอจดหมายเหตุเข้าโดยบังเอิญครับ  ในเอกสารนั้นระบุว่า พระยาสุขุมนัยสินิต (เจ้าพระยายามราช - ปั้น  สุขุม) สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช เป็นผู้นำคนังเข้ามาถวายตามพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ ๕  เมื่อ ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘)  เวลานั้นคนังมีอายุ ๙ ปี  ฉะนั้น จึงเชื่อได้ว่า พลเสือป่าคะนังที่ได้รับพระราชทานนามสกุลว่า "กิราตกะ" นั้นเป็นคนเดียวกับ คนัง เงาะป่า ในรัชกาลที่ ๕ แน่นอนครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 08 ต.ค. 05, 22:57

ขอขอบพระคุณทุกความคิดเห็นครับ
มาต่อเลยดีกว่าครับ
"ในระยะแรกที่เข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวังดูออกจะหงอยเหงาเพราะความแปลกหน้าแปลกถิ่น เลี้ยงดูปลอบโยนกันอยู่ที่ตำหนักพระวิมาดาเธอฯ อีกหลายวัน จึงค่อยคุ้นกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมแล้วก็ค่อย ๆคลายความหงอยเหงาลงไปตามลำดับ เมื่อเห็นว่าหายเหงาดีแล้ว พระวิมาดาเธอฯ จึงนำขึ้นเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แม้จะเป็นเด็กชาวป่าชาวดอย รูปชั่วตัวดำผมหยิก แต่ก็เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดช่างประจบ จึงเป็นที่โปรดปรานมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทอยู่เนือง ๆ พระวิมาดาเธอฯ ก็รักและเอ็นดูเด็กคนังคนนี้มาก ได้ทางเอาพระทัยใส่ฟูมฟักเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด หาได้ปล่อยให้พี่เลี้ยงดูแต่ลำพังไม่ ทรงจัดให้นอนในห้องข้างห้องบรรทมทีเดียว เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียรพระที่นั่งอัมพรสถานในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ แล้ว คนังก็ได้มาอยู่ที่พระที่นั่งอัมพรกับพระวิมาดาเธอฯ ที่มุมขวาง*ทรงจัดห้องให้อยู่โดยเฉพาะเป็นห้องข้างห้องบรรทมพระวิมาดาเธอฯ เช่นเคย เครื่องตกแต่งห้องหรูกว่าที่เคยอยู่วังหลวงและพระที่นั่งวิมานเมฆมาก มีเตียงนอนเด็กชนิดมีลูกกรงกันตก มุ้งผ้าโปร่งเม็ดพริกไทยเหมือนกับพระวิสูตรเจ้านายอย่างไรอย่างนั้น ที่นอน ผ้าปูที่นอน หมอนปลอกหมอนเย็บเป็นพิเศษด้วยผ้าแดงล้วน ผ้าห่มที่นอนมีทั้งแพรเพลาะแดง ผ้าดอกแดงและผ้าบลังเก็ทแดง นอกจากนี้ก็มีโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะล้างหน้า เสื้อผ้าชนิดมีกระจกเงา มีแม้แต่กระทั่งหม้อถ่ายปัสสาวะชนิดกระเบื้องอย่างหรูเช่นเดียวกับที่เจ้านายทรงใช้ ตั้งไว้ให้ในตู้ข้างเตียงนอน รวมความว่าเครื่องใช้สอยไม้บริบูรณ์เกือบจะได้ว่าแทบไม่มีอะไรผิดกว่าของเจ้านายในสมัยนั้น
ชีวิตและความเป็นอยู่ของคนังเมื่อจากป่ามาสู่พระบรมโพธิสมภาร ภายใต้การอุปการะเลี้ยงดูของพระวิมาดาเธอฯ นั้น นับได้ว่าแสนบรมสุข เมื่อเข้านอนพี่เลี้ยงจะเฝ้าดูแลอยู่ เมื่อหลับแล้วพี่เลี้ยงจึงจะลงไปยังที่อยู่ของตัวได้ ส่วนบนพระที่นั่งมีข้าหลวงเวรกลางคืนสำหรับปฏิบัติการส่วนพระองค์พระวิมาดาเธอฯ ๔ คน คนหนึ่งอ่านหนังสือถวาย คนหนึ่งถวายอยู่งานนวด คนหนึ่งเป็นหัวหน้ารับผิดชอบเวรกลางคืน เมื่อทรงเลี้ยงนายคนัง ข้าหลวงเวรกลางคืนนี้คนใดคนหนึ่งจะต้องคอยดูแลนายคนังด้วย ใครมีหน้าที่ดูแลนายคนังตอนกลางคืน ก็ต้องเที่ยวเข้าออกห้องนายคนังอยู่เป็นระยะ ๆ ตลอดคืน"

* ที่มุมขวางต่อมาเรียกกันว่าพระที่นั่งปรางค์จีนภาค เป็นส่วนหนึ่งของพระที่นั่งอัมพรสถานทางด้านตะวันตก
ติดตามตอนต่อไปครับ มีรูป คนังนุ่งชุดเลาะเตี๊ย มาฝากครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 12 ต.ค. 05, 22:01

จากคำบอกเล่าของ คุณครูเลื่อน ผลาสินธุ์ (สกุลเดิม สุนทรวาทิน) ปัจจุบันอายุ 97 (พ.ศ.2548) ธิดาคนกลางของ พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) เจ้ากรมมหรสพ เล่าไว้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดปรานเด็กคนังมาก ถึงขนาดโปรดให้เรียกพระองค์ว่า"พ่อ" เรียกพระวิมาดาฯ(ไม่แน่ใจ?) ว่า"แม่" ซึ่งเรื่องราวของนายคนังก็มีคนเล่าไว้มากแล้วก็ขอข้ามไปเสีย  แต่จะพูดถึงเรื่องชีวิตหลังจากสิ้นรัชกาลที่ ๕ ซึ่งข้าพเจ้าก็เคยถามคุณครูเลื่อนในเรื่องนี้ เพราะโดยส่วนตัวนั้นชอบขับร้องบรรเลงเพลงในบทพระราชนิพนธ์เงาะป่าอยู่พอสมควร ซึ่งคุณครูเลื่อน ท่านเล่าว่า"เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๕ วาสนาของนายคนังก็สิ้นตามไปด้วย ด้วยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวมิทรงโปรด นายคนังก็มีชีวิตเสเพล ไม่มีลูกและทายาท สุดท้ายก็ตายด้วยโรคสตรี"  (ข้อมูลนี้ได้จากคำบอกเล่า มิได้อ้างอิงหลักฐานทางวิชาการใดๆ ถ้าคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็กราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้)  


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 17 ต.ค. 05, 10:20
 ขอบพระคุณคุณลำดวนฯ เป็นอย่างสูงครับ หลังจากหายไปนาน
มาต่อกันเลยครับ (รูปต่าง ๆ จะส่งให้ทีหลังครับ)
"นายคนังตื่นนอนเวลาราว ๆ ๐๘.๐๐ น. เมื่อตื่นแล้วจะต้องลงไปเล่นน้ำในคลองหลังพระที่นั่งอัมพร เลิกเล่นน้ำแล้วอาบน้ำสะอาด แต่งตัวรับประทานอาหารเช้า เสร็จแล้วเข้าเฝ้าฯ สมเด็จหญิงพระองค์เล็ก (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าเยาวมาลย์นฤมลพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงที่ประสูติแต่พระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค กรมขุนอัครวรราชกัลยา พระเชษฐภคินีของพระวิมาดาเธอฯ)
สมเด็จหญิงพระองค์เล็กท่านประทับที่มุขขวางพระที่นั่งอัมพรสถานชั้นล่าง เหตุที่ลงมาประทับชั้นล่างนี้ก็เพราะพระอนามัยไม่ค่อยแข็งแรง ท่านไม่อยากจะขึ้นลงอัฒจันทร์ ขอพระราชทานประทับชั้นล่าง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็ต้องพระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่ท่านขอแต่ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดที่ประทับพระราชทานอย่างที่จะให้ประทับอยู่อย่างทรงพระสำราญที่สุด มีพร้อมทั้งห้องรับแขก ห้องทรงพระอักษร ห้องบรรทม ห้องสรง ห้องเก็บของ และห้องพักข้าหลวงแต่ละห้องกว้างขวาง เป็นที่ประทับที่น่าสบายกว่าที่ประทับของพระพี่นางน้องนางของท่านทุกพระองค์ ความที่สมเด็จหญิงพระองค์เล็กไม่ค่อยจะแข็งแรงจึงทำให้พระสิริรูปผอมบาง จนกระทั่งนายคนังเรียกท่านว่า “คุณพี่ผอม”
พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดทรงงานในเวลากลางคืนเกินกว่าจะได้เข้าที่พระบรรทมก็จวนรุ่ง บางวันก็เข้าที่พระบรรทมในเวลาราวบ่ายโมง พอได้เวลาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตื่นพระบรรทม นายคนังก็ต้องขึ้นไปที่ห้องของตนบนพระที่นั่ง เพื่อแต่งตัวเข้าเฝ้าฯ ในเวลาเสวยพระกระยาหาร ตอนเสวยกลางวันนี้โดยปรกติประทับเสวยกับพื้น เจ้านายชั้นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าลูกเธอร่วมโต๊ะเสวยด้วย พระราชวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าที่ทรงชุบเลี้ยงใกล้ชิดเฝ้าปฏิบัติรับใช้ นายคนังมหาดเล็กก็เฝ้าปฏิบัติรับใช้ ใกล้ชิดขนาดพระราชวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าเหมือนกัน โดยปรกติจะรับสั่งให้เข้าไปนั่งชิดพระยี่ภูที่ประทับ ทรงซักถามถึงเรื่องต่าง ๆ เช่นเรื่องความเป็นอยู่ของพวกเงาะป่าที่พัทลุงเป็นต้น และที่จะต้องมีพระราชดำริดำรัสถามอยู่เป็นประจำก็คือถามว่า “เมื่อเช้านี้กินข้าวกับอะไรบ้าง”

ในตอนที่เข้าไปอยู่ใหม่ ๆ อาหารคือข้าวสุกกับกล้วยน้ำว้า  ต่อมาพระวิมาดาเธอฯ ท่านก็ให้หัดกินอาหารอย่างอื่น ๆ ด้วยก็รู้สึกว่ากินได้ทุกอย่าง แต่ของหวานที่ต้องมีเป็นประจำเพราะชอบเหลือเกินก็คือข้าวเม่าคลุกกับกล้วยน้ำว้าหรือกล้วยไข่ วันไหนมีอาหารอะไรแปลก ๆ กินแล้วก็ถามชื่อไว้ ตอนแรก ๆ ไม่มีใครทราบว่าแกถามทำไม ภายหลังจึงทราบว่าต้องการรู้จักจะได้กราบบังคมทูลตอบได้ ยิ่งอยู่นานเข้าก็เป็นที่ประจักษ์ว่าคนังเป็นเด็กฉลาดมากที่สุด มีไหวพริบทันคน และรู้จักประจบประแจงเก่งที่สุด ทำตัวให้เป็นที่ตลกขบขันได้ต่าง ๆ โวหารปฏิภาณดีโต้ตอบใครไม่มีจนแต้ม ความจำแม่นยำ สังเกตจิปาถะ แม้กิริยาท่าทางของคนคนังก็สังเกตจดจำทำท่าได้เหมือนหมด การเรียกใครว่าอย่างไรก็ไม่มีใครสอนคิดเรียกเองทั้งนั้น จากคำที่แกเรียกใครต่อใคร ทำให้เห็นว่าเข้าใจประจบ เข้าใจเรียก และเรียกอย่างมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย แกเรียกพระบามสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า “คุณพ่อหลวง เรียกพระวิมาดาเธอฯ ว่า “คุณแม่” เรียกเจ้าพระยายมราชและท่านผู้หญิงว่า “คุณพ่อ-คุณแม่ที่บ้าน” เรียกสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ว่า “คุณพี่เผือก” เรียกสมเด็จเจ้าฟ้ามาลินีนพดารากรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญาว่า “คุณพี่ขาว” เรียกสมเด็จเจ้าฟ้านิภานพดลกรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารีว่า “คุณพี่ดำ” เพราะพระฉวีท่านคล้ำกว่าพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีที่กล่าวพระนามมาแล้ว เป็นที่น่าประหลาดใจเหลือเกินที่เฉพาะเจาะจงเรียกคุณพี่แต่พระโอรสพระธิดาในพระวิมาดาเธอฯ  ซึ่งเขาเรียกว่าคุณแม่ กับพระธิดาในพระอัครชายาเธอซึ่งเป็นพระเชษฐภคินีของพระวิมาดาเธอฯ เท่านั้น เจ้านายพระองค์อื่นไม่เรียกคุณพี่สักพระองค์เดียว แล้วยังซ้ำเรียกว่าอ้ายไม่ว่าใครเสียด้วยเช่นเรียก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธว่า“ อ้ายตาขยิบ” เรียกสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า “อ้ายนอนนะนิล” เรียกกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยว่า “อ้ายนิลนะหับ” เรียก กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินว่า “อ้ายกำแพงหัก” เรียก เจ้ากรมเอี่ยมว่า “อ้ายหมอนวด”เพราะท่านมีหน้าที่ถวายงานนวด เรียกหม่อมศิริวงศ์วรวัฒน์  (ม.ร.ว. ฉายฉาน ศิริวงศ์) ว่า “อ้ายอา”
หม่อมศิริวงศ์ฯ ผู้นี้ พระราชโอรสพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทุกพระองค์ ตลอดจนพระโอรสพระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้าร่วมพระราชชนนีเดียวกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเรียกว่า “อา” ทั้ง ๆ ที่พระชันษามากกว่าหม่อมศิริวงศ์ฯ มูลเหตุที่ท่านจะเรียกกันอย่างนั้นคือ วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมีกระแสพระราชดำรัสเป็นเชิงสัพยอกหม่อมศิริวงศ์ฯ เมื่อยังเด็กอยู่ว่า “ตาฉาย เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าเป็นอะไรกับข้า” หม่อมศิริวงศ์ฯ กราบบังคมทูลว่า “เป็นน้อง” ที่กราบบังคมทูลดังนั้นก็เพราะเธอลำดับสายสัมพันธ์ของเธอว่า พระบิดาของเธอคือพระองค์เจ้าฉายเฉิด กรมหมื่นนฤบาลมุขมาตย์ทรงเป็นพระอนุชาในสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ดังนั้นเธอก็ต้องเป็นน้องพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงด้วย แม้ในความจริงสายสัมพันธ์จะเป็นดังนั้น แต่ธรรมเนียมไทยแต่ไหนแต่ไรมายกย่องเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ถ้ามิใช่พระราชวงศ์ที่สูงศักดิ์แล้วก็ไม่มีใครที่อาจเอื้อมไปลำดับญาติกับท่าน ต้องถือว่าตัวเป็นเพียงข้าแผ่นดินของท่าน เมื่อหม่อมศิริวงศ์ฯ กราบบังคมทูลด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ลำดับญาติกับท่านเข้า ก็ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนที่ได้ยินตกอกตกใจกันมาก เกรงว่าจะทรงพระพิโรธในความบังอาจไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของหม่อมศิริวงศ์ฯ แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไม่กริ้วกลับพอพระราชหฤทัยเป็นนักหนา ตรัสชมว่าฉลาด และยิ่งทรงพระเมตตาหม่อมศิริวงศ์ฯ ยิ่งขึ้น ส่วนพระราชโอรสพระราชธิดาของท่านตลอดจนพระโอรสพระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดชก็เลยทรงเรียกหม่อมศิริวงศ์ว่า “อา” กันแทบทุกพระองค์  นายคนังได้ยินเจ้านายท่านเรียก“อา” ก็เลยเดาะ “อ้ายอา” เข้าบ้าง
ผู้ที่คนังไม่เรียกอ้ายเลยก็มีเหมือนกัน เช่น เรียกสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตว่า “ตุ๊กกระหม่อมชาย” เข้าใจว่าคงจะได้ยินคนอื่นเขาเรียกท่านว่าทูนกระหม่อมชายคิดไม่ออกว่าจะตั้งฉายาท่านว่ากระไรก็เลยตามเขา เรียกกรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ พระเจ้าน้องยาเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า “ดุ๊ก” เรียกเจ้าจอมจรวยว่า “นางรวย” เรียกเจ้าจอมมารดาวาดว่า “ปลาไหล” เหตุที่คนังเรียกเจ้าจอมมารดาวาดว่าปลาไหล ก็เพราะท่านมีหน้าที่แต่งพระภูษาประจำวันถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง คือพอจะทรงเครื่องเสด็จออกข้างหน้าท่านก็จะเชิญพระภูษาเข้าไปแต่งถวาย เวลาแต่งพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็จะมีกระแสพระราชดำรัสกับท่าน บางทีท่านก็กราบบังคมทูลเรื่องราวต่าง ๆ วันหนึ่งทรงพระภูษาต่อหน้าคนัง เผอิญวันนั้นท่านเจ้าจอมมารดาท่านกราบบังคมทูลถึงเรื่องแกงปลาไหล กราบบังคมทูลพลางแต่งพระภูษาไปพลาง นายคนังเลยคิดว่าการแต่งพระภูษา (โจงกระเบน) นั้นเรียกว่าปลาไหลก็เลยตั้งชื่อคุณจอมผู้มีหน้าที่แต่งภูษาว่า “ปลาไหล” ส่วนเจ้าจอมสมบูรณ์ คนังเรียกว่า “ท่านบุญอาคุณ” ดูเต็มยศเต็มอย่างกว่าใคร ๆ หมด ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร เป็นความฉลาดช่างประจบประแจงของเขาเอง เจ้าจอมสมบูรณ์ท่านเป็นหลานเจ้าสัวร่ำรวยมากทั้งยังเป็นคนใจใหญ่ใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ท่านจึงเป็นเจ้าบุญนายคุณของคนมาก นายคนังอยากได้อะไร พี่เลี้ยงสอนให้ไปประจบขอเอาจากท่าน นายคนังก็เข้าไปประจบแล้วก็ได้อะไรต่ออะไรที่อยากได้เสมอ และเห็นทีแกจะได้ยินใคร ๆ พูดว่า ท่านเป็นเจ้าบุญนายคุณเป็นแน่ จึงเลยเรียก “ท่านบุญอาคุณ” สำหรับตัวข้าพเจ้าเองคนังเรียกว่า “ดาบ” ไม่มีอ้ายไม่มีท่าน ผู้หญิงก็เรียกว่า อ้าย แต่ถ้าเขาเล่าเรื่องของพวกเขา เขาจึงจะใช้ “อี”เช่นเรียก “ลำหับ” ว่า “อีลำหับ” ที่เป็นเช่นนี้จะมีเหตุผลอย่างไรก็ไม่ทราบ"


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 17 ต.ค. 05, 10:23
 
"ไม่ว่าคนังจะเล่นพูดจาอะไรกับใครว่าอย่างไร ก็ไม่มีใครถือสายกให้เสียว่าเป็นคนป่าไม่รู้จักขนบธรรมเนียม กิริยาท่าทางของแกดูจะเป็นครึ่งลิงครึ่งคน แต่ก็ค่อนมากทางคนมากหน่อยดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรคนก็เอ็นดูขบขันไปหมด ผมของแกก็ไม่เหมือนของคนเราชาวกรุงมันขมวดม้วนไปหมด เวลาพี่เลี้ยงล้างผมจะเห็นยาวสักคืบกว่า ๆ แต่พอเช็ดให้แห้งแล้วก็ไม่ต้องหวีเพียงใช้มือตบ ๆ ก็จะม้วนขมวดกลมเข้ารูปกะโหลกศีรษะได้เองอย่างเรียบร้อยดูลักษณะของผมที่หยิกขมวด ใคร ๆ ก็ลงความเห็นว่าน่าจะเป็นที่เก็บเหาแต่ไม่ปรากฏว่าเป็นเหา แม้แต่ร่องรอยว่าจะเคยเป็นเหาเมื่ออยู่ป่ามาบ้างก็ไม่มี เพราะผมอย่างนี้ถ้าเคยเป็นเหามาแล้ว ใครจะรูดไข่ออกอย่างไรก็ไม่หมดเกลี้ยงได้คงต้องเหลือให้เห็นบ้าง และที่น่าแปลกอย่างมากก็คือกลิ่นตัวกลิ่นหัวไม่มี ไม่เหม็นสาบเหม็นสางเลย เพราะอย่างนี้พระวิมาดาเธอฯ ท่านถึงได้กอดด้วยความเมตตาปรานีอย่างหลานได้

นิสัยที่น่าเกลียดก็ตอนเล่นน้ำนี่แหละ เล่นน้ำทีไรเป็นดำน้ำแล้วถ่ายอุจจาระออกมาในขณะที่ตัวเองดำอยู่ใต้ผิวน้ำ เมื่อถ่ายออกมาอุจจาระก็จะลอยขึ้นบนผิวน้ำตรงหัวแต่ก็ไม่ปรากฏว่าแกโผล่ขึ้นมาให้อุจจาระกองอยู่บนหัวแกสักที แกดำหนีไปเสียไกลจนพ้นแล้วจึงโผล่ พอโผล่ขึ้นมาแล้วก็ไปนั่งเอาก้นไถไปไถมากับเชือกผูกเรือ อาการอย่างนี้ใกล้ทางสัตว์มากกว่าคน เรื่องอุจจาระในน้ำนี่ห้ามกันอย่างไรก็ไม่ฟัง เวลาที่แกอยู่ในพระราชวัง ต้องนั่งถ่ายในหม้อพอถ่ายเสร็จจะให้ล้างน้ำเป็นไม่ยอม เช็ดด้วยกระดาษก็ไม่ยอมอีกเหมือนกันต้องใช้ไม้เช็ด

ข้อที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อเข้ามาเป็นมหาดเล็กนั้นตัวนิดเดียว ไม่มีใครคิดว่าว่ายน้ำเป็น และก็ยังไม่เคยคิดที่จะหัดให้ว่ายน้ำ ทั้งตัวคนังเองก็ไม่เคยบอกเล่าว่าว่ายน้ำได้ แต่พอเห็นแม่น้ำเข้าเท่านั้น แกกระโดดลงไปดำผุดดำว่ายอย่างคนที่ว่ายน้ำแข็งมาก"

วันนี้พอเท่านี้ก่อนครับ ไว้โอกาสน่าจะมาพิมพ์ต่อ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 17 ต.ค. 05, 20:40
 คุณศรีปิงเวียง เวลาโพสต์ช่วยขึ้นย่อหน้าใหม่บ้างสิค่ะ เวลาอ่านจะได้กวาดสายตาได้ง่าย ไม่ต้องเอาไม้บรรทัดมาทาบน่ะคะ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 22 ต.ค. 05, 10:16
 ต้องขออภัยด้วยครับ ผมไม่ทราบวิธีการย่อหน้า พอกด
" แล้วมันก็เป็นดังฉะนี้ คราวหน้าจะพยายามแก้ไขครับ
อ้างถึง
    คนังเป็นเด็กที่ไม่มีความอายความเก้อเขิน แต่มีความเสียใจความเศร้าโศกเหมือนเรา ๆ โลภมาก แต่อารมณ์เย็นมาก ไม่เคยแสดงกิริยาโมโหโทโสเลย ชอบเย้าแหย่หยอกล้อคนมากทีเดียว วาจาที่เย้าแหย่ก็ค่อนข้างคมคายเช่นพูดล้อหม่อมเจ้าชายทองต่อทองแถมว่า “ตาต่อ มึงลูกข้าวเม่า” ทีแรกคนฟังก็ไหวไม่ทันว่าแกหมายความว่าอย่างไร ต่อเมื่อแกพูดต่อของแกว่า “ข้าวเม่า-ข้าวเม้า” เพราะหม่อมมารดาของท่านทองต่อฯ ท่านมีนามว่า หม่อมเม้า คล้ายชื่อ ข้าวเม่า ที่แกชอบกินเป็นที่สุดก็เลยเรียกท่านทองต่อฯ ว่า ลูกข้าวเม่า"

ป.ล. หาพระรูปท่านไม่เจอครับ ถ้ามีโอกาสจะลงให้ทีหลังครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 22 ต.ค. 05, 10:18
 โอ ! ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้ เดี๋ยวจะพิมพ์ใหม่ครับ
ต้องขออภัยด้วยครับ ผมไม่ทราบวิธีการย่อหน้า พอกด(
อ้างถึง
)แล้วมันก็เป็นดังฉะนี้ คราวหน้าจะพยายามแก้ไขครับ
อ้างถึง
    คนังเป็นเด็กที่ไม่มีความอายความเก้อเขิน แต่มีความเสียใจความเศร้าโศกเหมือนเรา ๆ โลภมาก แต่อารมณ์เย็นมาก ไม่เคยแสดงกิริยาโมโหโทโสเลย ชอบเย้าแหย่หยอกล้อคนมากทีเดียว วาจาที่เย้าแหย่ก็ค่อนข้างคมคายเช่นพูดล้อหม่อมเจ้าชายทองต่อทองแถมว่า “ตาต่อ มึงลูกข้าวเม่า” ทีแรกคนฟังก็ไหวไม่ทันว่าแกหมายความว่าอย่างไร ต่อเมื่อแกพูดต่อของแกว่า “ข้าวเม่า-ข้าวเม้า” เพราะหม่อมมารดาของท่านทองต่อฯ ท่านมีนามว่า หม่อมเม้า คล้ายชื่อ ข้าวเม่า ที่แกชอบกินเป็นที่สุดก็เลยเรียกท่านทองต่อฯ ว่า ลูกข้าวเม่า"


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 22 ต.ค. 05, 10:20
 เออเฮอแฮะ ! คุณ Nuchan ครับ คงต้องใช้ไม้บรรทัดทาบแล้วละครับ เพราะยังหาวิธีแก้ไขไม่ได้ครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 25 ต.ค. 05, 22:19

วันนี้ขอส่งเฉพาะพระรูปสมเด็จเจ้าฟ้ามาลีนพดาราและสมเด็จเจ้าฟานิภานพดลก่อนนะครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 14 พ.ย. 05, 20:35
 <html>
<head><title></title>
</head>
<body>
<img src="Resize of Resize of Picture.jpg>
<p align=center>คนังเป็นเด็กที่สังเกตกิริยาอาการของผู้อื่นแล้วจดจำเอามาทำท่าล้อเลียนได้เหมือนเสียจริง ๆ ทำได้เหมือนทุก ๆ คนและทุกอิริยาบทเสียด้วย บุคคลที่คนังชอบจำอิริยาบทมาทำท่าล้อเลียนก็คือพระองค์เจ้าคำรบ พระบิดาของม.ร.ว.เสนีย์และม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชนี่แหละ ทำได้เหมือนเสียจนพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงขัน และทรงรับรองว่าเหมือนจริง ๆ สมัยนั้นพระองค์เจ้าคำรบท่านเป็นผู้บัญชาการทหารอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ แต่มีราชการที่จะต้องเข้าเฝ้าฯ อยู่เนือง ๆ คนังจึงสังเกตกิริยาของท่านอย่างละเอียดลออแล้วเอามาทำท่าล้อท่าน ซ้ำยังเรียกท่านว่า "อ้ายทหารห้องหัก" สันนิษฐานว่าที่เรียกอย่างนั้นเพราะเห็นท่านทรงเครื่องแบบทหารม้าเข้าเฝ้าฯ เสมอนั่นเอง
</body>
</html>  


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 17 พ.ย. 05, 08:05
 เรียน คุณ nuchan และ อ.เทาชมพู ที่เคารพ
ผมหาวิธีแก้ไขไม่ได้จริง ๆ ครับว่า ทำอย่างไรจึงจะย่อหน้าได้ faq ก็ใช้ไม่ได้เลยไม่รู้จะทำประการใดครับ
ในความเห็นที่ 18 ฉายขณะทรงพระยศเป็นหม่อมเจ้าครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 10 ธ.ค. 05, 20:45

เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ ทรงพระสิริโฉมเป็นอันมาก
ในพระชนม์ไม่ถึง 20 พรรษา


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 10 ธ.ค. 05, 21:11

อีกภาพหนึ่ง ทรงฉายปี พ.ศ. 2450


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ธ.ค. 05, 22:09
 เจ้าจอม ไม่ใช่เจ้านายค่ะ คุณ Dominio  บางท่านเป็นสามัญชน บางท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับม.ร.ว. อย่างเจ้าจอมม.ร.ว. สดับ
ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ค่ะ  


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 10 ธ.ค. 05, 22:13
 ขอบคุณค่ะ ถึงว่าสิค่ะ...เอ แล้วทำไมนั่งเก้าอี้กษัตริย์ได้ล่ะค่ะ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 11 ธ.ค. 05, 09:49
 เมื่อสิ้นแผ่นดิน ร.5 การที่เจ้าจอมจะไปแต่งงานใหม่กับชายอื่น ถือว่า ok ไหมค่ะ
อ่านบทความของอาจารย์แล้ว แต่ยังฟันธงไม่ได้ค่ะ ว่า norm เรื่องนี้เป็นอย่างไร


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ธ.ค. 05, 10:53
 เจ้าจอมสดับนั่งพระเก้าอี้ได้ เป็นพระกรุณาโปรดเกล้าฯเป็นกรณีพิเศษเพื่อถ่ายภาพค่ะ

เจ้าจอมตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ สามารถกราบถวายบังคมลาจากราชการฝ่ายใน กลับไปบ้านเพื่อสมรสใหม่ได้ค่ะ  มีพรบรมราชานุญาต
เว้นแต่ว่าเป็นเจ้าจอมมารดามีพระองค์เจ้าแล้วเท่านั้น ที่ทำไม่ได้    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯไม่โปรดฯในเรื่องนี้ ด้วยว่าจะเสื่อมเสียพระเกียรติยศถึงพระเจ้าลูกยาเธอ/พระเจ้าลูกเธอ
ได้ยินมาว่าในรัชกาลที่ ๕ ก็มีเจ้าจอมบางท่านกราบถวายบังคมลากลับไปอยู่กับพ่อแม่  แต่ไม่ทราบว่าสมรสกับใครหรือเปล่า  

เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๕ แล้ว   ถ้าคุณจอมม.ร.ว. สดับจะแต่งงานใหม่จริงๆก็คงได้    ดิฉันนึกไม่ออกว่ามีกฎหมายหรือกฎมณเฑียรบาลห้ามไว้  
แต่แน่นอนว่าก็ต้องมีเสียงติฉินนินทา และเจ้านายผู้ใหญ่ก็คงไม่ทรงเห็นด้วย เพราะทรงได้เครื่องเพชรเป็นของพระราชทานมากมาย  เกรงว่าจะเป็นที่หมายปองของชายที่หวังเรื่องสมบัติ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 13 ธ.ค. 05, 12:10
 จำได้ว่า เคยอ่านเจอว่า หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต เจ้าจอมสดับก็ได้ทูลเกล้าฯถวายเครื่องเพชรเพื่อขาย เอาเงินสบทบทุนสร้างโรงพยาบาลจุฬาฯ แล้วท่านเองก็ถือบวชรักษาอุโบสถศีล อยู่ที่วัดเขาบางทราย เมืองชลฯ แต่ท่านก็ยังคงสวมกำไลทองคำพระราชทานไว้มิได้ถอด ด้วยเพราะเป็นพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ซึ่งพระราชนิพนธ์กลอนจารึกไว้บนกำไล ในคำสุดท้ายว่า "....แม้นรักร่วมสวมไว้ให้ติดกาย เมื่อใดวายสวาทวอดจึงถอดเอย" ซึ่งในงานพระราชทานเพลิงศพท่าน ก็นำกำไลพระราชทาน จากข้อมือท่าน มาวางไว้ที่หน้ารูป นับว่า เจ้าจอมสดับ เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พระเจ้าอยู่หัวมากคนหนึ่ง


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ธ.ค. 05, 13:25
 คุณลำดวนคงเคยอ่านพบเช่นกันว่าครั้งหนึ่งมีพระยา ป. ไปพบคุณจอมสดับด้วยกิจธุระบางอย่าง
ตอนนั้นสิ้นรัชกาลที่ ๕ แล้ว  คุณจอมท่านอยูที่วังสวนสุนันทา  พึ่งบารมีพระวิมาดาฯ
ก็มีข่าวเล่าลือเป็นการใหญ่จนถึงพระกรรณของสมเด็จพระพันปีฯ  ว่าพระยาท่านนั้นมาติดพัน
ทั้งที่คุณจอมท่านไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย  
ท่านก็เลยถวายเครื่องเพชรพระราชทานทั้งหมด  สมทบทุนสร้างตึกโรงพยาบาลจุฬา  เพื่อตัดข่าวครหานินทาให้หมดไป
น่าเสียดายว่าไม่ยักมีชื่อของท่านอยู่ในรายชื่อผู้บริจาค


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 14 ธ.ค. 05, 18:14
 ถึง อ. เทาชมพู ครับ
ผมได้ยินเรื่องราวที่ท่านถวายเครื่องเพชรแก่สมเด็จพระพันปีหลวงเพื่อลบคำครหาดังกล่าวนี้
ค้นดูแล้วพบว่า ตอนแรกเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับทูลเกล้าฯ ถวายแก่ ร .6 แต่พระองค์ไม่ทรงรับเพราะเห็นว่า เมื่อพระราชบิดาพระราชทานให้แก่เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับแล้ว ถือว่าเป็นสิทธิ์ขาด พระองค์รับไว้ไม่ได้ ต่อมาจึงถวายดังที่กล่าวมาครับ (แต่ที่ไม่มีชื่อท่านอาจเป็นเพราะท่านไม่คาดคิดว่าพระพันปีหลวงจะนำไปสมทบทุนสร้างโรงพยาบาล ท่านทราบแต่เพียงว่าพระพันปีหลวงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายพระองค์หนึ่งนำเครื่องเพชรไปขายเมืองนอก ไม่แน่ว่าพระพันปีหลวงอาจจะนำทรัพย์ที่ได้ดังกล่าวมาสมทบทุนในพระนามของพระองค์ก็เป็นได้ครับ ท่านก็เลยไม่มีชื่อในนั้น)
อ้างจากชีวประวัติเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ โดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
พ.ศ. 2527 (อ่านจากวารสาร)

มาถึงเรื่องของนายคนังมหาดเล็กต่อ (ต่อจากความเห็นที่ 18 )
"เด็กคนนี้มีความจำดีอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ใช่แต่เพียงจำท่าคนมาทำท่าล้อ ท่ารำละครไทยซึ่งค่อนข้างยากก็จำได้อย่างดี เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องเงาะป่าขึ้นแล้วทรงกำหนดให้คนังเล่นเป็นตัวของตัวเองในเรื่องนั้นจึงต้องฝึกรำ หม่อมเพื่อน บุนนาค หม่อมในสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นครูผู้สอน ทีแรกครูผู้สอนก็ออกจะวิตกว่าจะหัดยากเหมือนหัดลิงเล่นละคร แต่แล้วก็ผิดคาด ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะได้เคี่ยวเข็ญเอาจริงเอาจังและมีเวลาฝึกน้อยแต่เมื่อเวลาออกโรงแสดงจริง ๆ นายคนังก็รำเข้าจังหวะจะโคนถูกต้องแม่นยำทุกระยะ ไม่ว่าเป็นการรำหน้าพาทย์ หรือรำใช้บท ทำเอาคนที่คุ้นเคยและเอ็นดูแกถึงกับน้ำตาไหลด้วยความสมเพชเวทนาว่า ตัวนิดเดียวซ้ำเป็นคนป่าดงยังอุตส่าห์ทำได้ดีถึงเพียงนั้น"

ป.ล. ไม่มีรูปเพราะคอมพิวเตอร์เกิดอาการผิดสำแดงครับ ไม่รู้จะเซฟไว้ที่ไหนอีกทั้งดึงออกมาไม่ได้อีกครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 14 ธ.ค. 05, 18:16
 
"พวกเงาะเมื่ออยู่ป่าไม่ค่อยได้ใช้เสื้อห่อหุ้มร่างกายตอนบนไม่ว่าจะหนาวหรือร้อน นายคนังเมื่อเข้าไปอยู่ในพระราชฐานใหม่ ๆ แกก็ไม่ค่อยชอบสวมเสื้อ กลางคืนในฤดูหนาวอากาศเย็นจนใคร ๆ หนาวแต่คนังอยู่ได้โดยไม่สวมเสื้อ ต้องค่อย ๆ หัดให้สวม และในที่สุดเมื่อเคยเข้าหน่อยก็สวมได้ เมื่อสวมใส่ได้แล้วก็เลยมีเครื่องแต่งกายมากมาย ทั้งชุดลำลองสำหรับขึ้นเฝ้าฯ ในพระที่นั่งชุดปรกติสำหรับแต่งตามเสด็จเวลาเสด็จออกฝ่ายหน้า ชุดครึ่งยศเต็มยศสำหรับตามเสด็จในงานเครื่องยศเต็มยศมีทั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระราชดำริออกแบบพระราชทานทั้งสิ้น ขอเล่าลักษณะเครื่องแต่งตัวตามโอกาสต่าง ๆ ให้ทราบไว้โดยสังเขป ณ ที่นี้ด้วย

เครื่องแต่งกายลำลอง
เครื่องแต่งกายชุดนี้สำหรับนุ่งอยู่กับที่ หรือนุ่งขึ้นเฝ้าฯ ในพระที่นั่ง นุ่งกางเกงขากว้างเป็นกางเกงผ้าเกลี้ยงบ้าง ผ้าย่นบ้าง ผ้าดอกบ้าง ผ้าริ้วบ้าง แต่ทุกชนิดต้องเป็นสีแดงสด หรือแดงเข้มเสื้อใช้ผ้าสาลูขาวหรือเสื้อยืดแขนยาวแขนสั้นบ้างยาวบ้าง ใช้ผ้าคาดพุงสีเขียวบ้าง ตาสก็อตบ้าง แต่ไม่ใช้เข็มขัดเลย

เครื่องแต่งกายปกติ
เครื่องแต่งกายชุดนี้ สำหรับแต่งตามเสด็จออกข้างหน้าเป็นประจำวัน ใช้กางเกงแดงขาแคบสั้นครึ่งแข้งอย่างแต่งไทยแต่วิธีนุ่ง ๆ อย่างกางเกงจีน สวมเสื้อนอกทำนองเดียวกับเสื้อนอกทรงกระบอกแต่ไม่รัดอย่างเสื้อทรงกระบอก ตัดให้ได้ทั้งตัวและแขนหลวมหน่อย เพื่อให้สวมสบาย ใช้ผ้าสีแดงอย่างเดียวกับกางเกงดุมเสื้อ บางชุดก็ดุมทองเหลือง บางชุดก็ดุมผ้าหุ้ม บางชุดก็ดุมมุก สุดแต่คุณจอมช่วงบุตรีพระอินทรเดช (สังวาลย์) ซึ่งเป็นผู้ตัดเสื้อผ้าให้นายคนังท่านจะทำให้

เครื่องแต่งกายครึ่งยศ
เครื่องแต่งกายชุดนี้ สำหรับแต่งตามเสด็จในงานพิธีที่หมายกำหนดการกำหนดให้แต่งกายครึ่งยศ กางเกงเป็นกางเกงต่วนเกลี้ยงก็มี ต่วนดอกก็มี กำมะหยี่ก็มี แต่ไม่ว่าจะใช้ผ้าอย่างหนึ่งอย่างใดก็ใช้สีแดงทั้งนั้น เป็นกางเกงแบบขาแคบครึ่งน่องอย่างกางเกงไทย นุ่งแบบใช้ผ้าคาดเอวเหน็บชาย สวมเสื้อนอกผ้าชนิดเดียวสีเดียวกับกางเกง ดุมเสื้อใช้ดุมเงิน ถุงเท้ายาวสีขาว รองเท้าหนังสีดำ หมวกทำนองหมวกแขกแต่ทรงเตี้ยกว่า เย็บด้วยผ้าชนิดเดียวสีเดียวกับเสื้อกางเกง เวลาสวมครอบศีรษะลงได้มากกว่าหมวกแขก สวมสายห้อยล็อกเก็ตแก้วใสทรงรูปไข่ขนาดใหญ่ในเนื้อแก้วมีอักษรพระปรมาภิไธยย่อ  “จ.ป.ร.” อยู่ภายใน ข้อมืออีกข้างหนึ่งใส่สายสร้อยฝักแคทองคำเกลี้ยง อีกข้างหนึ่งใส่กำไลปลอกมีดทองคำเกลี้ยง ทั้งสายสร้อยและกำไลล้วนแต่ขนาดใหญ่กว่าที่เด็กผู้ใหญ่ชายหญิงสวมกันอยู่ในสมัยนั้น
เมื่อทรงพระราชดำริที่จะให้คนังสวมรองเท้าหนังนั้น เป็นที่วิตกกันอยู่ว่าแกจะสวมไม่ได้ อยู่ป่าอยู่เขาไม่เคยสวมรองเท้ามาเลยในชีวิต จะมาจับสวมคงได้หกล้มหกคะเมนกันบ้าง แต่แล้วก็ผิดคาด ตั้งแต่ครั้งแรกแกสวมรองเท้าแกเดินได้ฉับ ๆ อย่างองอาจ ไม่มีท่าเก้งก้างเหมือนเด็กใส่เกือกไม่เป็นเลย

เครื่องแต่งกายเต็มยศ
เครื่องแต่งกายชุดนี้ สำหรับแต่งตามเสด็จในงานเต็มยศ กางเกงเป็นต่วนเกลี้ยงหรือเป็นกำมะหยี่สีแดงรัดใต้เข่า ถุงเท้ายาวสีขาว รองเท้าหนังสีดำ เสื้อนอกผ้าเหมือนกางเกงยาวถึงตะโพกเป็นเสื้อผ้าอก แต่ผ่าป้ายค่อนไปทางขวาอย่างเสื้อจีน แต่ใช้ดุมเงินอักษรพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. ภายใต้พระจุลมงกุฎด้วยดิ้นทองคาดรัดประคดแพรขาวและแพรแดงขวั้นเกลียวและสลับสี ปล่อยสองชายของรัดประคดห้อยลงมาทางเอวด้านซ้ายยาวลงไปเกือบถึงเข่า สวมหมวกแพรแดงสลับขาว เย็บในรูปลักษณะของผ้าโพกศีรษะของแขก เครื่องประดับนอกจากล็อกเก็ตแก้วพระปรมาภิไธยย่อดัวที่สวมกับเครื่องครึ่งยศแล้ว ยังสวมสายสร้อยยาวห้อยล็อกเก็ตรูปพรรณต่าง ๆ เป็นพวงอีก ๑ สาย ดังที่ปรากฏในรูปที่ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือนี้แล้ว
สร้อยห้อยล็อกเก็ตต่าง ๆ เป็นพวงนี้มีประวัติว่า ในสมัยนั้นข้าน้ำคนหลวงของเจ้านายที่อยู่ในราชสำนักนิยมใช้สร้อยข้อมือและสายนาฬิกาที่มีล็อกเก็ตรูปร่างลักษณะต่าง ๆ ห้อยอยู่ด้วยหลาย ๆ อัน ตัวล็อกเก็ตมีชนิดต่าง ๆ เช่นฝังเพชรฝังพลอยก็มีเป็นทองรูปพรรณต่าง ๆ ก็มี และเป็นของเก๊ก็มี รูปร่างนั้นมีสารพัดอย่าง ใครมีล็อกเก็ตห้อยมากก็ถือกันว่าเก๊ แต่ก็ไม่นิยมไปซื้อหามาใส่เองให้มาก นิยมใส่ที่เป็นของให้แลกเปลี่ยนกันมีจารึกชื่อ จารึกคำหวาน ๆ แก่กัน และเป็นที่นิยมว่าถ้าใครยิ่งห้อยมากยิ่งเก๋ เพราะเป็นการแสดงว่า คนนั้นเป็นผู้ได้รับความนิยมจากเพื่อนฝูงมากนั่นเอง พอนายคนังมาอยู่เห็นสายสร้อยผูกล็อกเก็ตอีรุงตุงนัง ก็ชอบใจ เลยขอพระราชทานบ้าง แกเรียกสร้อยอย่างที่กล่าวนี้ว่า “ลูกห้อย” ซึ่งก็ออกจะตรงความหมายดีอยู่มาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานสายสร้อยคอมีล็อกเก็ตบ้างสองสามอันเป็นการประเดิม แล้วก็ทรงสอนให้คนังเที่ยวขอใคร ๆ เขาต่อไป ทำนองเดียวกับที่ชาววังเขาใส่มาก ๆ โดยวิธีขอซึ่งกันและกัน นายคนังก็เลยเที่ยวประจบขอคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ไม่กี่วันก็เต็มสาย เรื่อง “ลูกห้อย”  ของนายคนังนี้ ถ้าแกไปขอใคร ๆ ไม่มีให้ หรือว่าแกไม่ขอคนไหนทั้งที่อยู่ในราชสำนักอยู่ด้วยกัน คนนั้นก็ชักจะเป็นคนแหยไปทีเดียว
คนังเป็นเงาะป่าที่มีโชคดี และมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไม่ใช่เล่น เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระเมตตามากโปรดให้เข้าเฝ้าฯ รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคบาทเป็นประจำและโปรดให้ตามเสด็จในโอกาสเสด็จออกฝ่ายหน้าหรือเสด็จในงานต่าง ๆ เนือง ๆ ในเวลาปรกติคนังจะเฝ้าอยู่จนถึงเวลาเสวยพระกระยาหารค่ำ คือราว ๒๒.๐๐ น. จึงจะกราบถวายบังคมลาไปนอน ที่จริงก็นับว่าดึกมากสำหรับเด็กตัวเท่านั้น แต่แกก็อยู่ได้ด้วยความสมัครใจอย่างยิ่งเสียด้วย"


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 15 ธ.ค. 05, 16:34
 
"     ในการที่แกมีโอกาสได้ตามเสด็จออกไปให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายหน้าเฝ้ากราบบังคมทูลข้อราชการนั้น แกได้ยินคำกราบบังคมทูลและพระราชกระแส แต่ใครอย่าไปถามแกให้ยากเลยว่ามีใครกราบบังคมทูลว่ากระไร และพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสว่าอย่างไร แกไม่ยอมบอกทั้งนั้น เว้นแต่พระวิมาดาเธอฯ ซึ่งแกเรียกว่าคุณแม่รับสั่งถามแกจึงจะบอก แล้วจะทำท่าทางของผู้เฝ้าฯ ถวายทอดพระเนตรด้วย นับได้ว่าเป็นผู้รักษามรรยาทของมหาดเล็กได้ดีอย่างเหลือเกิน

    คนังเป็นเด็กซึ่งปกครองง่าย ไม่ดื้อรั้น ไม่ขวางหูขวางตารู้จักทีขึ้นทีลง ผ่อนผันตัวเองได้ไม่ว่าเรื่องใดและในสถานที่อย่างใด ไม่กำเริบโอหังถือตัวว่าเป็นคนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดปราน ประจบเก่งเข้าใกล้ชิดสนิทสนมได้หมดไม่ว่าใคร ๆ นับได้ว่าเป็นนักสังคมที่เก่งมาก
    เมื่อเดือนธันวาคม ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถ่ายรูปคนังพิมพ์ขายที่ร้านถ่ายรูปหลวงในงานวัดเบญจมบพิตรราคาขายถึงแผ่นละ ๓ บาท ซึ่งนับได้ว่าเป็นราคาที่สูงมากในสมัยนั้น เพราะค่าของเงินยังไม่สูงมากไม่ต่ำเหมือนเดี๋ยวนี้ ข้าวสารถังหนึ่งราคายังไม่ถึง ๓ บาท แต่ก็ปรากฏว่าขายดีจนไม่พอขาย แต่เดิมโปรดให้พิมพ์รูปได้เพียง ๒๓๐ รูป แต่ขายดีจนไม่พอขายต้องพิมพ์เพิ่ม ได้เงินค่าขายรูปเกือบ ๑,๒๐๐ บาท ทรงแบ่งเงินเป็น ๓ ส่วน ถวายวัด ๑ ส่วน ใช้จ่ายเป็นค่ากระดาษน้ำยาที่ใช้ถ่ายรูป ๑ ส่วน พระราชทานแก่คนัง ๑ ส่วน ครั้นเมื่อคราวแสดงละครเรื่อง “เงาะป่า” เงินดูละครทั้งสิ้นก็พระราชทานแก่คนัง นับได้ว่ารวยมากทีเดียวเพราะมีแต่ได้ไม่มีเรื่องจะต้องใช้เงินเลย
    แม้ว่าการมาอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารจะมีความผาสุกอย่างไร แต่คนังก็ยังหาได้เคยลืมพี่น้องพวกพ้องและถิ่นเดิมของเขาไม่ เขากราบบังคมทูล ขอให้เขาส่งรูปเขาไปให้พี่น้องพวกพ้องบ้าง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็ทรงส่งรูปนั้นไปให้เจ้าพระยายมราชพร้อมทั้งมีลายพระราชหัตถเลขากำกับไปด้วย"


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 19 ธ.ค. 05, 17:55
 พระที่นั่งบรรณาคมสรณีย์
วันที่ ๒๕ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๔
พระยาสุขุมนัยวินิต
ด้วยอ้ายคนังฝากรูปไปให้พี่น้อง  ได้สั่งออกมาด้วยแล้วถ้ามีช่วงที่ใครจะไปตรวจราชการถึงที่นั่น ขอให้นำไปส่งให้มันด้วย

สยามมินทร์

ป.ล. ต้นฉบับไม่ได้เป็นเช่นนี้นะครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 19 ธ.ค. 05, 17:58
 โพสต์อีกทีครับ
ในความเห็นที่ 31 พยายามจะจัดให้คำว่า
1. พระที่นั่งบรรณาคมสรณีย์อยู่ทางขวาสุด
2. วันที่ 25 อยู่ตรงกลาง
3. สยามมินทร์ อยู่ตรงกับ พระที่นั่งบรรณาคมฯ
ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้ชมอาจจะเกิดปัญหาในการชม คงต้องยื่นคำร้องแก่ทางคุณอ๊อฟแล้วครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 19 ธ.ค. 05, 18:54
 คุณ ศรีปิงเวียง โพสต์มาเป็นปีๆแล้ว คุณน่าจะรู้จัก "ธรรมชาติ" ของบอร์ด
และวิธีที่จะเอาชนะมัน อาจโดยใช้ทริคเล็กๆน้อยๆ ช่วยบ้าง อย่าตรงเป็นไม้บรรทัด
หรือสแควร์เสียจนเกินไป มีของฟรีใช้ ถ้าเราตะโกนขอบ่อยๆ เดี๋ยวคำขอจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ค่ะ

สงสัยว่า
1. ค.ห. 18 ตัวยึกยือการ์เบจนั้นออกมาได้อย่างไร คุณพิมพ์ลงโดยตรงในช่องโพสต์
หรือพิมพ์ลง word/pad ก่อนแล้วยกมาใส่คะ?

2. เวลาพิมพ์เป็นพืด อย่าให้ text มัน overflow ไปบรรทัดใหม่ ให้พยายามทำเป็นคอลัมน์
แคบๆ โดยการกด enter คุณไปดูคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ คอลัมน์จะไม่กว้างเพื่อให้
กวาดสายตาอ่านได้เร็วๆ และไม่หลงบรรทัด

โปรดจำไว้ พิมพ์ได้หน่อย กด enter (แล้วสังเกตนะว่า คอลัมน์ของดิฉันจะแคบกว่าของคุณ)
วันหนึ่งอยู่หน้าจอหลายๆชม. ช่วยทำให้อ่านง่ายหน่อย ขี้เกียจหยอดกระปุกไปยิงเลสิคอีกครั้งหนึ่งนะ


......................................พระที่นั่งบรรณาคมสรณีย์
................วันที่ ๒๕ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๔
พระยาสุขุมนัยวินิต

ด้วยอ้ายคนังฝากรูปไปให้พี่น้อง ได้สั่งออกมาด้วยแล้วถ้ามีช่วง
ที่ใครจะไปตรวจราชการถึงที่นั่น ขอให้นำไปส่งให้มันด้วย

.......................................สยามมินทร์


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 26 ธ.ค. 05, 17:14
 
".....ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องของนายคนังมหาดเล็กนี้ เห็นจะสมบูรณ์ไม่ได้ถ้าจะละเว้นไม่อัญเชิญลายพระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีไปถึงเจ้าพระยายมราช เมื่อครั้งท่านยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต มาพิมพ์ลงไว้ด้วย พระราชหัตถเลขาฉบับนี้ นอกจากจะมีเรื่องที่คนังเล่าถึงตอนที่เขาเอาตัวมาจากป่าแล้ว ยังทรงเล่าถึงคุณสมบัติในตัวคนังไปให้เจ้าพระยายมราชทราบด้วยดังมีข้อความต่อไปนี้

..........................................................................................สวนดุสิต
..................................วันที่ ๑๔ ธ.ค. รัตนโกสินทร์ศก  ๑๒๔
.............ถึง พระยาสุขุมนัยวินิต
...........ได้รับหนังสือลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายนนั้นแล้ว
.....เรื่องนี้ตรงกับที่อ้ายคนังเล่า เดี๋ยวนี้เข้าใจภาษามากขึ้นไล่เลียงค่อยได้ความ ถามถึงเวลาที่จะเอามานั้นอย่างไร ให้การเชือน ๆ ไปบ้าง เมื่อเวลาพูดถึงเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะมาคงได้รูปว่า เมื่อแม่ตายแล้วนั้นตัวอยู่กับพี่ ไปเที่ยวป่ากับอ้ายไม้ไผ่ซึ่งเป็นเพื่อนเพื่อที่จะตัดกระบอก มีเสียงคนเอะอะไล่เข้าไปวิ่งหนีกันหกล้มหกลุก คืออ้ายยางซึ่งมันเรียกว่าอ้ายยัง ชวนให้มาดูโนราที่บ้านอ้ายยาง มันหายตกใจเลยมาดูโนรา อ้ายยางให้กินมะพร้าวแล้วมันหาวนอน ๆ หลับ อ้ายยางไปอุ้มทั้งหลับส่งให้คนคุณพ่อหลวง มันตื่นขึ้นถามว่าอ้ายยางทำพรือ อ้ายยางบอกว่าเขาจะเอาตัวไป เวลานั้นมันกำลังตกใจ ดิ้นรนเท่าไรเขาก็ไม่ปล่อยได้ทำหอบรวนอะไรเต็มที่เหมือนอย่างที่มาทำ เมื่อจะเข้ามาอยู่ในวังแล้วเอาไปใส่คุกไว้หลายคนด้วยกัน ภายหลังคุณพ่อหลวงจึงไปรับ ให้สนับเพลาให้นุ่ง
............ข้อที่มันอยากพบพวกพี่น้องเหล่านั้น อยากจะถามว่า เมื่อเขาจับมันพากันไปอยู่ที่ไหนเท่านั้น พูดถึงอ้ายยาง แสดงกิริยาไม่ชอบมาก ทั้งที่พูดว่าไม่ชอบใครไม่เป็นแต่สังเกตได้ จึงสันนิษฐานว่า ไนยหนึ่งอ้ายยางจะตกลงกับพี่ แต่ไม่บอกอ้ายคนังรู้ แต่สังเกตดูข้อที่ย้ายไป น่ากลัวจะเป็นด้วยเข็ด บางทีจะไม่ได้บอกให้รู้ทีเดียว ก็เอาเป็นถูกตามที่ได้ข่าวนี้ เรื่องที่จะเอารูปไว้แห่งใดนั้น อ้ายคนังได้คิดแล้วเหมือนกัน มันคิดถึงแปลนบ้านเก่า ว่าจะเอาไว้ในทับไม่ได้ เปียกฝน จะต้องเอาไปไว้ที่ซอกหินในถ้ำ ซึ่งเป็นที่เคยหลบฝน การที่แสดงกิริยาเศร้าโศรกเวลาพูดถึงบ้านอย่างแต่ก่อนไม่มี ด้วยว่ารู้จักคนกว้างขวาง ตั้งแต่เจ้านายข้าราชการผู้ใหญ่ลงไปจนถึงผู้น้อย ทั้งข้างหน้าข้างในเขาแสดงความเมตตาปรานีเล่นหัวได้ทั่วไป อยู่ข้างจะเพลิดเพลินมากอดนอนก็ทน แลคุณสมบัติในส่วนตัวซึ่งได้สังเกตเห็นแต่แรกไม่มีเสื่อมทรามลงไป คือตาไวความคิดเร็ว จงรักภักดีฤๅตัญญูมากนับว่าเป็นเฟเวอริตของราชสำนักนี้ได้  ได้ถ่ายรูปแต่งตัวเป็นเจ้าเงาะละคอนสำหรับจะให้มันขายเองในงานวัดแล้วแบ่งเงินออกเป็น ๓ ส่วน ๆ หนึ่งเป็นค่ากระดาษน้ำยา ส่วนหนึ่งให้ทำบุญเข้าในงานวัด อีกส่วนหนึ่งจะเป็นทุนซึ่งคิดจะรวบรวมไว้ให้ เสียแต่อย่างไร ๆ ก็ยังนับเงินไม่ถูกอยู่เช่นนั้นเอง หนังสือเห็นพอจะสอนง่ายกว่าเลข เลขนั้นดูเหมือนไม่มีกิฟสำหรับชาติของมันทีเดียว ได้ลองให้ขายของซ้อมกันอยู่หลายวันก็ยังราง ๆ อยู่เช่นนั้น  สาเหตุนั้นด้วยเรื่องมันไม่มีรู้จักรักเงิน ยังไม่รู้เลยว่าเงินมีราคาอย่างไรจนเดี๋ยวนี้
.............ผู้หญิงอีกคนหนึ่งนั้น ถ้าได้มาก็ดี ถ้าเด็กเสียทีเดียวดูเหมือนจะง่าย แต่นึกกลัวอยู่ว่าอ้ายพวกนี้จะเข็ดเสีย ขอให้คิดการให้ดีถ้าจะไม่ชอกช้ำตกอกตกใจจึงค่อยเอามา แต่การเลี้ยวนั้นเห็นจะไม่เป็นไร อ้ายคนังตั้งแต่มายังไม่ได้เจ็บเลย เจ้าสายนั้นรักหลงเหลือเกินทีเดียว เพราะมันไม่ได้ไปเที่ยวข้างไหนเลย อยู่แต่บนเรือนช่างประจบด้วยความรู้ประมาณตัวมีเองในสันดาน ทั้งที่ถือตัวว่าเป็นลูกข้า ไม่ได้ไว้ตัวเทียบเทียมกับเจ้านายลูกเธอรักแลนับถือไม่เลือกว่าใคร ไว้ตัวของตัวเสมอหม่อมเจ้า ไม่มีใครสั่งสอนเลย

......................................................................................สยามมินทร์
..............จากลายพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่าคนังแม้จะเป็นคนป่ารูปชั่วตัวดำ แต่ก็มีนิสัยใจคอดี มีความเสงี่ยมเจียมตัว และมีความเฉลียวฉลาดมีความกตัญญูรู้คุณอย่างมาก โดยเหตุนี้เองจึงทำให้คุณพ่อหลวง (พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง) ทรงพระเมตตาโปรดปราน และทำให้คุณแม่ในวัง (พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ) ทรงรักและเอ็นดูประดุจพระนัดดาพระองค์หนึ่ง

..............เรื่องของนายคนังมหาดเล็กเท่าที่ข้าพเจ้ารู้เห็นมีเท่านี้"

จบแล้วครับ คราวต่อไป คอยชม ประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 14 มี.ค. 06, 17:21
เรื่องนี้ก็กระทู้เก่า แต่เก่าไม่มากนัก แค่ปลายปีที่แล้วเอง
ผมขอ "ขุด" ขึ้นมา ด้วยการเพิ่มความเห็น เท่าที่ผมพอจะแจมได้ว่า "ผู้ว่าราชการเมืองพัทลุง" ตาม คห. ที่ 1 ซึ่งดำเนินการหาเด็กชายเงาะมาถวายสนองพระราชประสงค์นั้น ที่จริงเป็น "ผู้รั้งเมือง" พัทลุง คือ ผู้รักษาราชการในหน้าที่เจ้าเมือง เรียกว่าเป็น Acting Governor คงจะได้ มิได้เป็นตัวท่านเจ้าเมืองเอง และท่านเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของผมครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 14 มี.ค. 06, 17:29
 ผู้ใหญ่ในวงศ์ญาติผมเล่าว่า การเอาตัวคนังมาตามคำสั่งท่านเจ้าพระยายมราชนั้น ไม่ได้ไปไล่จับเอาตัวมา แต่ทางราชการเมืองพัทลุงใช้วิธีการเล่นมหรสพ จะเป็นโนราหรือหนังตะลุงผมก็ลืมแล้ว น่าจะเป็นหนังตะลุง แต่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เป็นที่รู้กันอยู่ว่า มหรสพชนิดนั้นพวกเงาะชอบใจ ชอบดู มีงานทีไรถ้าใกล้บริเวณที่พวกเขาอยู่ ก็จะมีเงาะลงมาจากป่ามานั่งดูเสมอ

ทางท่านผู้รั้งเมืองจึงให้มีการเล่นที่ว่านี่ ทั้งคืน เล่นกันโต้รุ่ง เงาะป่าก็ลงมานั่งดูกันจริงๆ แต่พอเช้าก็อุ้มลูกจูงหลานเข้าป่าไปหมด เหลือแต่ ดช. คนังคนเดียวนอนหลับอยู่กับพื้นดินหน้าโรง เลยได้ตัวมาถวาย


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 14 มี.ค. 06, 17:35
ทำไมท่านเจ้าเมืองขณะนั้นจึงเป็นผู้รั้งเมือง? ผู้ใหญ่ของผมท่านอธิบายว่า เดิมระบบเจ้าเมืองนั้นมักสืบต่อกันในสกุลที่ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้ไป "กินเมือง" นั้น เช่น จากพ่อสู่ลูก จากพี่สู่น้อง จากลุงสู่หลาน ฯลฯ ท่านผู้รั้งเมืองก็เป็นเชื้อสายตระกูลเจ้าเมืองพัทลุงมาเก่า ถ้ายังเป็นระบบเก่าอยู่ก็คงจะได้กินเมืองเป็นเจ้าเมืองเหมือนกัน

แต่ขณะนั้นในหลวง ร. 5 กำลังจะทรงปรับเปลี่ยนระบบการบริหารราชการแผ่นดิน (โดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค )ใหม่ คือการเริ่มต้นจัดตั้งระบบเทศาภิบาล เริ่มจะมีข้าหลวงออกไปเป็นเจ้าเมือง เริ่มจะตั้งกระทรวงมหาดไทย จัดมณฑลเทศาภิบาล อะไรทำนองนี้น่ะครับ ในระยะนั้นพอดี ในช่วงรอยต่อระหว่างระบบเก่ากับระบบที่กำลังจะเข้ามาใหม่นี้ ท่านเจ้าเมืองพัทลุงจึงเป็นเพียง "ผู้รั้งเมือง" และถือได้ว่าเที่ยบเท่ากับเป็นเจ้าเมือง คนสุดท้ายในระบบเดิมครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 14 มี.ค. 06, 17:41
 ใครมีลิ๊งก์ ที่จะไปเปิดอ่านพระราชนิพนธ์เรื่อง เงาะป่า ได้บ้างครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 15 มี.ค. 06, 17:00
 ตามลิงค์นี้ครับ ท่าน นกข.
 http://fulltext.car.chula.ac.th/toc.asp?dirid=I0033&dirname=เงาะป่า
เงาะป่า ภาพโดย ครูเหม เวชกร
 http://fulltext.car.chula.ac.th/toc.asp?dirid=I0035&dirname=บทลครเรื่องเงาะป่า
บทละครพระราชนิพนธ์เรื่อง เงาะป่า


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 15 มี.ค. 06, 17:18
 ขอบพระคุณครับท่าน นกข. (ทั้งเรื่องกระดังงา และผู้รังเมืองพัทลุง)


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 15 มี.ค. 06, 18:17
 ขอบคุณท่านจมื่นศรีปิงเวียง

ในพระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่า ทรงเรียกท่านปู่ทวดของผมว่า หลวงทิพกำแหง ผู้รั้งราชการเมืองพัทลุง ภายหลังท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นคุณพระ ที่ "พระทิพกำแหงสงคราม" ผู้รั้งเมืองพัทลุง หรือเจ้าเมืองพัทลุงคนสุดท้ายในระบบเก่าครับ


กระทู้: เรื่องของนายคนังมหาดเล็ก และประวัติเพิ่มเติมของเจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 16 มี.ค. 06, 13:31
 สวัสดีครับคุณพระ นกข.
จู่ ๆ ผมก็กลายเป็นจมื่น (ทั้ง ๆ ที่ไม่มีประกาศแต่งตั้ง)
แนะนำลิงค์http://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?Aid=215
บทความเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ โดย อ.เทาชมพู