วินทร์เล่าคล้ายอึดอัดว่า “วรรณกรรมในความหมายของคนไทยคือ งานเขียนที่ลุ่มลึก หนักอึ้ง อ่านยาก ต่างจากคำว่า Literature ของฝรั่งที่เขานับเหมารวมงานเขียนเกือบทุกประเภท ซึ่งถ้าเปรียบคำว่าวรรณกรรมของไทย น่าจะเป็นแขนงหนึ่งของฝรั่งที่เรียกว่า Literary Merit ซึ่งแม้แต่ในต่างประเทศก็เป็นวรรณกรรมที่ขายยาก
ขออธิบายหน่อยว่า literary merit แปลตามตัวว่าคุณค่าของงานประพันธ์ งานประพันธ์ทุกชนิดไม่ใช่ว่าผลิตออกมาแล้วจะมีคุณค่าขึ้นมาทันทีโดยอัตโนมัติ แต่จะต้องมีคุณสมบัติหลายอย่างประกอบอยู่ในนั้นจนได้รับการยอมรับนับถือว่า มีคุณค่า เท่าที่นักวิชาการวรรณกรรมเขาวัดกันก็คือ งานนั้นต้องอ่านได้ยืนยาวข้ามยุคสมัยโดยไม่ล้าสมัย มีตัวละครที่สมจริงเหมือนมีเลือดเนื้อมีชีวิตให้รู้จักได้ มีความซับซ้อนทางอารมณ์ มีความเป็นตัวของตัวเองไม่ลอกแบบใคร และแสดงถึงสัจธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งของชีวิต
วรรณกรรมไทยประเภทที่คุณวินทร์เอ่ยถึง น่าจะตรงกับอีกคำหนึ่ง คือ serious fiction หมายถึงนวนิยายและเรื่องสั้นที่เขียนขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเน้นเนื้อหาสาระที่เชื่อว่าประเทืองปัญญา เช่นสะท้อนสังคมในวงกว้าง แสดงอุดมการณ์ทางการเมือง หรือศาสนา หรือปรัชญา งานประพันธ์ประเภทนี้มีประปรายนับแต่หลังปี 2475 เป็นต้นมา แล้วมาเฟื่องฟูในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน 2516 แล้วก็ยังเบ่งบานมาเรื่อยๆโดยมีรางวัลซีไรต์เป็นเกียรติคุณรองรับ
แต่ปัจจุบัน เวลาผ่านมาครึ่งทศวรรษ ความรู้สึกนึกคิดของหนุ่มสาวแต่ละยุคเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากมาย ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์หรือมือถือ แต่หมายถึง การสื่อสารไร้พรมแดน ที่มีเกมส์ออนไลน์ และแอ๊พสารพัดแบบ งานประพันธ์แบบเก่าก็เหมือนกับถูกเบียดให้ถอยห่างจากกลางเวที เปิดเนื้อที่ให้ของใหม่ๆเข้ามาเป็นศูนย์กลางความสนใจ
นักเขียนคนไหนปรับตัวได้ก็อยู่รอดต่อไป มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่ คนไหนปรับตัวไม่ได้ก็อาจจะหายไปจากกระแสหลัก
หนังสือที่เป็นกระดาษกำลังลดจำนวนลง ถ้านักเขียนเขียนอีบุ๊คไม่เป็น ก็ยากที่จะอยู่ได้ในยุคสื่อสารผ่านหน้าจอ