Wandee
|
ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัตืศิริ ท.จ.ว. ท.ม.
๒๔๖๒ - ๒๕๕๓
หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวง หน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพสิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร วันอาทิตย์ที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ เป็นลูกสาวคนเดียวของพระยาภักดีนรเศรษฐ์ หรือ "นายเลิศ" กับ
คุณหญิงสิน เศรษฐบุตร (เตวิทย์)
เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๒ ในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ยุติ
ชื่อเล่นที่เรียกกันในครอบครัวคือ "คุณเล็ก" "คุณหนูเล็ก" "แม่เล็ก" ชื่อจริงที่บุพการีบรรจงตั้ง คือ "เลอศักดิ์"
ออกจะเป็นชื่อแปลกในสมัยโน้น และแปลกที่ตั้งให้เด็กหญิง
มีผู้ทักว่าเป็นชื่อที่ดูจะแข็งไป ความตั้งใจของบุพการีก็คือ เมื่อพ่อชื่อเลิศ ถ้าจะให้เหนือกว่าเลิศ ก็ต้องเป็นเลอเลิศ
ครั้นจะเรียกว่าเลอเลิศ ก็มีชื่อพ่ออยู่ด้วย จึงตัดเหลือแต่เพียง "เลอ"
ส่วนคำว่าศักดิ์ เป็นอีกคำหนึ่งที่ผู้ตั้งได้ตั้งใจจะให้คู่กับสิน หรือเหนือกว่าสิน คนโบราณถือว่า สินทรัพย์เป็นเรื่องพื้นๆ ธรรมดา
จะให้เท่หรือเหนือกว่านั้น คือเกียรติยศเกียรติศักดิ์
ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้มีคุณค่าและความหมาย ที่สำคัญเป็นตัวแทนความรักจากบุพการี
"คุณพ่อคุณแม่ตั้งใจให้ดิฉันมีสิ่งที่ท่านถือว่าเหนือยิ่งกว่าท่าน นั่นคือทั้งความเลอเลิศและการมีศักดิ์ศรี ดิฉันจึงต้องรักษาไว้จนสุดชีวิต
ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีรัฐนิยมให้ผู้หญิงชื่ิเป็นหญิง ผู้ชายชื่อเป็นชาย และให้สะกดง่าย ๆ เรียบ ๆ ขนาดคุณพ่อยังต้อง
เปลี่ยนจากเลิศ เป็นเลิด จะได้สะกดง่าย ๆสนองรัฐนิยม มีคนมาแนะให้เปลี่ยนเป็นเลอศรี เลอลักษณ์อยู่เหมือนกัน
แต่เราไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่ต้องกลัวรัฐนิยม"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 02 พ.ย. 11, 16:11
|
|
ตระกูลเศรษฐบุตร
คุณพระประเสริฐวานิช มีสายสกุลที่แยกของจากท่าน ๕ สกุล คือ
เศรษฐบุตร ภิรมย์ภักดี โปษยะจินดา ประนิช และ เสถบุตร
คุณพระประเสริฐวานิช(แย้ม) บุตรชายคนหนึ่ง มีลูกชายชื่อ ชื่น
บุตรชายคนหนึ่งของนายชื่นคือ พระยาภักดีนรศรษฐ ผู้คือบิดาของท่านผู้หญิงเลอศักดิ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 02 พ.ย. 11, 16:34
|
|
ท่านผู้หญิงสมรสกับนายพินิจ สมบัติศิริ บุตรชายพระยาศรีเสนา สมบัติศิริ และคุณหญิงถวิลหวัง สมบัตืศิริ (ประทีปะเสน) ในปี ๒๔๙๐
ประวัติการศึกษา โรงเรียนกุลสตรีศาลาแดง โรงเรียนเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเคียวริตสึ ประเทศญี่ปุ่น
ในวัยเด็ก ท่านผู้หญิงเป็นแก้วตาของคุณพ่อคุณแม่ ได้รับการอบรมให้เป็นกุลสตรี
ไม่ให้เดินดัง ท่านสอนว่าหมดสวย คำด่าก็ไม่ให้ใช้ นายเลิศสนิทสนมกับลูกสาวมาก และทำตนเป็น
ตัวอย่างที่ดีทั้งในการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อยเหมาะกับกาลเทศะ และยังปลูกฝังในมารยาทอันดีงาม
ท่านผู้หญิงเล่าว่าคุณแม่เป็นคนเจ้าระเบียบแต่ใจดี ท่านชอบอยู่บ้าน ท่านทำของแจก ทำอาหารแจก เพื่อนฝูง
และคนยากจน ทำส่งไปถวายพระ แต่ทำเงียบ ๆ
"คุณพ่อเป็นคนสมัยใหม่ สมัยใหม่แบบโบราณโดยการอ่านหนังสือ โดยการคบกับฝรั่ง เรียกว่าเรียนด้วยตนเอง เรียนด้วยการกระทำ"
ท่านผู้หญิงซึมซับเอาแบบอย่างที่ดีจาดบิดา ที่เป็นคนทันสมัย ประณีต มีศิลปะอยู่ในตัว มีความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งมีความสนใจที่
จะแสวงหาความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 02 พ.ย. 11, 16:50
|
|
ท่านผู้หญิงได้เห็นอาหารต่างประเทศเช่นแฮม ชีสมาตั้งแต่เด็กๆ และคุ้นเคยกับ
มารยาทบนโต๊ะอาหารตามธรรมเนียมตะวันตก สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับท่านมาก
ที่สุดคือการรักต้นไม้ รักธรรมชาติ
กิจการเดินเรือในคลองแสนแสบจากกรุงเทพ ฯ ไปจังหวัดฉะเชิงเทรา และกิจการรถเมล์ขาว
สายแรกของนายเลิศก็มาสิ้นสุดที่ประตูน้ำ ทำให้นายเลิศสนใจที่ดินท้องนาติดคลองแสนแสบที่ต่อเนื่อง
มาจากวังสระปทุม ซึ่งในยุคนั้นเป็นทุ่งนาผืนใหญ่ และสวนผักของชาวจีน
สมัยเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ที่ดินแถวถนนเพลินจิต - สุขุมวิท ราคาเพียงตารางวาละ ๘ สตางค์เท่านั้น
นายเลิศได้กว้านซื้อที่ดินนี้เป็นบริเวณติดต่อกันเป็นผืนใหญ่ ตั้งแต่ซอยชิดลม ไปจนจรดทางรถไฟ ซึ่งในปัจจุบัน คือบริเวณ
ใต้ทางด่วนเพลินจิต
"พ่อไม่ได้ซื้อมาขายไป แต่ซื้อมาเก็บ แล้วเขาก็รักที่ของเขา"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 03 พ.ย. 11, 16:06
|
|
ท่านผู้หญิงเริ่มการศึกษาที่โรงเรียนกุลสตรีศาลาแดงของคุณหญิงวินิจนัยเทศ ก่อนที่จะเข้าโรงเรียนเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์
ต่อจากนั้นจึงมาเป็นนักเรียนโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยของมิสเอ็ดนา โคลตั้งแต่ปี ๒๔๗๗ จนจบชั้นมัธยม ๖ เมื่อปี ๒๔๘๑
เมื่อแหม่มโคลย้ายมาตั้งโรงเรียนขึ้นที่ที่นาริมคลองแสนแสบโดยย้ายมาจากโรงเรียนสตรีวังหลังเมื่อปี ๒๔๖๓ เรือเมล์ขาวของนายเลิศ
ที่เดินในคลองแสนแสบได้รับส่งไปรษณียภัณฑ์ให้กับมิสโคล ตลอดจนส่งน้ำแข็งให้กับทางโรงเรียนโดยไม่ได้คิดมูลค่า
ลูกสาวของนายเลิศเมื่อเข้าโรงเรียนประจำก็สมกับที่ได้รับการอบรมมาดี มีความรับผิดชอบ รู้จักกาลเทศะ เป็นผู้นำ
นักเรียนในชั้นมีประมาณ ๓๐ คน
ถึงจะเป็นนักเรียนประจำเหมือนกัน แต่ท่านผู้หญิงได้รับสิทธิพิเศษ เรื่องอาหารการกินในวันอาทิตย์
คุณหญิงสินจะส่งรถเฟี้ยตเปิดประทุนให้คนขับรถและคนที่บ้านเอาของกินมาให้เป็นพิเศษอยู่คนเดียว ท่านผู้หญิงก็จะนั่งกินอยู่ในรถ
คนอื่นออกมาไม่ได้ ท่านผู้หญิงแอบเอาของกินไปวางให้เพื่อนที่ริมรั้ว เพราะตัวท่านนำของเข้าไปไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 04 พ.ย. 11, 15:49
|
|
ที่ปาร์คนายเลิศในสมัยแรกที่ยังไม่ได้แบ่งที่ดินขายให้กับสถานทูตอังกฤษ มีสระน้ำขนาดใหญ่ให้ลูกเสือมาเข้าค่ายและหัดว่ายน้ำ
สิ่งที่ท่านผู้หญิงได้รับการปลูกฝังจากพ่อคือการเป็นคนมีระเบียบ รักต้นไม้และธรรมชาติ ชอบการออกกำลังกาย ท่านผู้หญิงเล่นโครเกต์
ที่แม่สั่งจากอังกฤษ การเล่นคือการตีลูกบอลหนัก ๆ ด้วยไม้ตีขนาดยาวที่มีลักษณะคล้ายกับค้อน เพื่อให้ลูกบอลวิ่งลอดเข้าห่วงเหล็ก
บนพื้นหญ้า ต่อมาเมื่อโตขึ้นท่านผู้หญิงก็เล่นแบดมินตัน และพายเรือในสระ
นายเลิศตั้งใจจะส่งลูกสาวคนเดียวไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ แต่เปลี่ยนไปเป็นประเทศญี่ปุ่นแทน
ท่านบอกกับท่านผู้หญิงว่า ท่านมีเงินไม่พอ ไปญี่ปุ่นเสียเงินเดือนละร้อยบาท ไปญี่ปุ่นก่อน แล้วทีหลังไปศึกษาต่อที่อังกฤษ
นายเลิศเป็นคนแรกที่ทำการจัดสรรที่ดิน พอมีข่าวว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายให้คนซื้อต้องเสียภาษีที่ดิน ท่านก็บอกผู้ซื้อว่า
ถ้าจะต้องเสียภาษีให้เอาที่ดินมาคืน จะคืนเงินให้ พอต้องเสียภาษีจริงๆมีคนเอาที่ดินมาคืนจำนวนไม่น้อย นายเลิศต้องไป
กู้ยืมเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จากกรมศาสนา โดยใช้ที่ดินตลาดประตูน้ำเป็นประกัน
"พ่อบอกว่า เล็ก...พ่อมีเงินแค่นี้ เพราะแบงค์ควบคุมค่าใช้จ่าย ให้พ่อใช้เดือนละ ๕๐๐ บาท พ่อแบ่งให้เล็ก
ไปเรียนญี่ปุ่นเดือนละ ๓๐ บาท รวมค่าเทอมด้วยก็ไม่เกิน ๑๐๐ บาท ถ้าจะไปอังกฤษต้องเสียเดือนละ ๕๐๐ บาท
ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปเลย"
นี่คือวิสัยทรรศน์นักธุระกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 04 พ.ย. 11, 16:02
|
|
นายเลิศไม่เคยไปประเทศญี่ปุ่น แต่มีความเข้าใจรอบรู้เรื่องสถานการณ์บ้านเมือง จึงคาดการณ์ว่าญี่ปุ่นเป็นชาติที่เจริญ
และจะต้องเป็นมหาอำนาจในวันหนึ่ง
การเดินทางเร่ิ่มจากการลงเรือที่ท่าเรือวัดพระยาไกร เพื่อไปขึ้นเรือใหญ่ที่ทอดสมอที่เกาะสีชัง
"ก่อนพ่อจะลงเรือกลับ พ่อได้กำชับว่า ต้องเป็นคนดีนะ ต้องประพฤติดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราต้องรักตัวเอง
อย่าให้ใครมาดูถูก ถ้าใครเขาดูถูกเรา เขาดูถูกถึงพ่อด้วย"
ประโยคนี้ก้องอยู่ในหัวใจของลูกสาว
"การที่เรารักพ่อก็เลยไม่อยากให้ใครดูถูกชื่อเสียงของพ่อ"
การเดินทางใช้เวลาสองสัปดาห์มาถึงเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ก.พ.ส่งคนมารับแล้วนั่งรถไฟต่ออีก ๘ ชั่วโมงถึงเมืองโตเกียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 04 พ.ย. 11, 16:36
|
|
ท่านผู้หญิงในวัยสาว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 06 พ.ย. 11, 11:44
|
|
ขอบคุณค่ะคุณเพ็ญชมพูที่เอื้อเฟื้อรูป
(การคัดย่อประวัติของทุกท่านดิฉันระมัดระวังมาก เพราะเคารพในตัวผู้รวบรวมโดยเฉพาะหนังสืออนุสรณ์ของท่านผู้หญิงเลอศักดิ์
ดิฉันไม่สามารถที่จะเปิดเครื่องหมายคำพูดตั้งแต่ต้น แล้วคัดลอกเต็มความมาได้ เนื่องจากความยืดยาว จึงได้เลือกแต่ตอนที่
ตนเองชอบว่าได้เล่าเรื่องน่ารู้ในอดีต มีสาระ แสดงตัวตนของสุภาพสตรีไทยที่น่านิยมอย่างยิ่ง ความคิดอ่านของท่านและของคุณพินิจ
สามีของท่าน การอบรมอย่างใกล้ชิดจากนายเลิศบิดา หนังสืออนุสรณ์นี้เป็นหนังสือใหม่ ยังพอหาได้ในตลาดหนังสือ
หนังสือเล่มนี้ ดิฉันคิดว่าสนุก และมีข้อประทับใจหลายอย่าง)
ท่านผู้หญิงได้เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ท่านว่าไม่ทรมานเพราะท่านชอบเมืองญี่ปุ่น วันเสาร์อาทิตย์ก็ไปเที่ยวกับเพื่อนนักเรียนไทย
ชมไร่สตอเบอรี่ ไร่องุ่น ไร่แพร์ เรื่องบะหมี่ญี่ปุ่นนั้นนักเรียนไทยก็ไปดูราคาไว้ คอยมากินตอนต้นเดือน
การใข้จ่ายถูกคุมโดยผู้ดูแลนักเรียนไทยไม่ให้สิ้นเปลือง ทางเมืองไทยส่งค่าใช้จ่านผ่านก.พ.มาให้เดือนละ ๑๐๐ บาท
แต่ด้วยความเป็นห่วงลูก คุณหญิงสินจึงแอบส่งใบละร้อยเย็นใส่มาในห่อทุเรียนกวนอยู่เสมอ
เอกอัครราชทูตพระยาศรีเสนา สมบัติศิริ และคุณหญิงชวนนักเรียนหญิงให้มาค้างที่สถานทูตวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
อาทิตย์ไหนท่านว่างก็เลี้ยงอาหารไทย สอนมารยาทบนโต๊ะอาหาร อบรมเรื่องต่าง ๆ สอนให้ตั้งใจเรียนและจะได้กลับบ้าน
ท่านยังพาไปดื่มน้ำชาที่โรงแรมอิมพีเรียล ทุกคนต้องแต่งตัวหรูมาก ความประทับใจนี้เป็นเหตุให้ต่อมาท่านผู้หญิง
ทุกครั้งที่ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น จะเลือกพักที่โรงแรมอิมพีเรียลเท่านั้น
"ไม่เพียงเจ้าคุณศรีเสนาจะเป็นเอกอัตรราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นที่ให้ความเมตตากับท่านผู้หญิง
ตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักเรียนที่ญี่ปุ่น จวบจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ท่านเจ้าคุณยังเป็นบิดาของนายพินิจ สมบัติศิริ
รักแรกและรักเดียวของท่านผู้หญิง ทั้งสองได้มีโอกาสพบกันที่นั่น และในอนาคตต่อมาได้ใช้ชีวิตด้วยกันนานร่วม ๕๐ ปี"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 06 พ.ย. 11, 12:07
|
|
เมื่อคุณพินิจอายุได้ ๑๗ ปี เรียนหนังสืออยู่ฮานอย กำลังจะเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส
ไก้แวะเยี่ยมบิดาที่ญี่ปุ่นและใช้เวลาอยู่ที่นั่นหลายเดือนเพื่อเตรียมตัวเดินทางและเฝ้าดูสถานการณ์ในยุโรป
เพราะช่วงนั้นเยอรมันนีบุกโปแลนด์แล้วและกำลังรุกไปเรื่อย ๆ
คุณพินิจเป็นหนุ่มเนื้อหอม ต้องพาสาวๆเป็นกลุ่มไปไหนมาไหน ไปเต้นรำบ้าง "ตอนนั้นเลอศักดิ์เขาก็ไปด้วยบ่อย ๆ
ตอนสาวๆเขาสวยนะ แถมเป็นถึงลูกพระยา มีหนุ่ม ๆ สนใจเยอะ เราเจอกันช่วงหน่ึ่งก่อนผมจะไปเรียนต่อ
ไม่รู้ว่าชอบอะไรเขา เริ่มต้นคงจะชอบแบบเก็ก ๆ อายุ ๑๗ - ๑๘ เราอายุเท่ากัน ก็รู้กันหน่อย ๆ ว่าชอบกัน
แต่จะบอกว่ารักยังไม่ถึงขั้นนั้นในตอนนั้นนะ"
"คือผมไม่ได้จีบอะไรเลย เราก็แค่รู้จักกัน ชอบนิสัยใจคอกัน ถ้าถามว่าตอนนั้นชอบเขาตรงไหน
ก็แน่นอนล่ะที่ความสวย เพราะคนหนุ่มก็ต้องดูความสวยมากกว่า"
คุณพินิจผู้ไม่ชอบเขียนจดหมายเลยก็เขียนจากปารีสไปหาสาวไทยในญี่ปุ่นที่ชื่อ เลอศักดิ์ เศรษฐบุตร ไม่ขาด
ต่อมาเมื่อย้ายไปสวิตเซอร์แลนด์เรียนวิชาสถาปัตยกรรม คุณพินิจก็ยังส่งจดหมายมาถึงหญิงสาวที่ตอนนั้นอยู่เมืองไทยอย่างสม่ำเสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 07 พ.ย. 11, 21:38
|
|
"นานพอควรกว่าจดหมายของคุณพินิจจะกล้าสารภาพมาจากปารีสและเจนีวา ทั้งที่ไม่ชอบเขียนจดหมายเลยและภาษาไทยก็
"ไม่แข็งแรง"
"ที่บ้านในเจนีวามีรูปศักดิ์ติดเต็มฝาไปหมด เชื่อว่าศักดิ์คงไม่ลืม Thanks for Everything และ My Own ผมร้องทุกวัน เห็นจะเป็นเพลงที่ผมจำได้ดีกว่าเพลงไหนๆหมด"
"ศักดิ์คิดถึงผมหรือเปล่า ผมหวังใจว่าคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยจากศักดิ์ ผมเอาจดหมายเก่า ๆ ของศักดิ์ออกมาอ่านเสมอ"
"สองปีแล้วนะครับศักดิ์ที่เราจากกัน และอยู่ห่างกันอย่างสุดโลกทีเดียว ถ้าสงครามทางยุโรปสงบศักดิ์จะมายุโรปไหม"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 07 พ.ย. 11, 22:08
|
|
คุณพินิจติดสงครามอยู่ ๘ ปีจึงได้กลับเมืองไทย แต่ท่านผู้หญิงได้กลับมาก่อนตั้ง ๔ - ๕ ปี จึงมีชายหนุ่มรูปงาม ฐานะดี การศึกษาดี
ตำแหน่งสูงหลายคนแวะมาที่บ้านปาร์กนายเลิศ บ้างก็ให้ผู้ใหญ่มาทาบทามสู่ขอ แต่ท่านผู้หญิงปฎิเสธ คุณพินิจย่อมมีความหวั่นไหว
เมื่อก่อนคุณพินิจเป็นบุตรเอกอัครราชทูต แต่วันนี้ท่านบิดาเกษียณแล้ว คุณพินิจเป็นเพียงผู้ช่วยนายช่างตรี
กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ
ชายหนุ่มและหญิงสาวก็กลับมาคบหากันอีก นัดไปเที่ยวกันบ่อยขึ้น แต่มีบุคคลที่สามไปด้วยทุกครั้ง เพื่อกลับมารายงานคุณหญิงสิน
ทั้งสองไปซื้อหนังสือ ดูละคร ฟังเพลง และไปรับประทานอาหารที่ราชวงศ์
เมื่อเจ้าคุณศรีเสนาไปสู่ขอนางสาวเลอศักดิ์ให้แก่บุตรชาย ฝ่านพระยาภักดีนรเศรษฐและคุณหญิงสินไม่ขัดข้อง
หมั้นกันแล้วทั้งคู่ก็ยังมีหญิงสูงอายุทำหน้าที่ชาปโรนไปด้วยอีก ท่านผู้หญิงเล่าว่า "คุณพินิจรำคาญเต็มประดา"
"จับมือกันหน่อยไม่ได้เลย เดี๋ยวจะถูกรายงาน จะว่ารำคาญก็ไม่ใช่ เพราะถูกฝึกมาอย่างนี้"
หมั้นกันอยู่ ๗ เดือน งานมงคลสมรสก็จัดขึ้น พิธีรดน้ำสังข์จัดที่บ้านปาร์กนายเลิศ พิธีรับรองมีที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ที่โก้ที่สุดในเวลานั้น
คุณพินิจเล่าว่า "แขกเหรื่อมาเยอะพอสมควร ก็มีผู้ใหญ่ในวงการต่างประเทศและแขกที่เคารพพ่อตาผม แต่แขกของผมนี่แทบไม่มีเลย
เพราะตั้งแต่กลับมาแล้ว เพื่อน ๆ ที่อยู่เมืองไทยสมัยเรียนอยู่อัสสัมชัญก็จำผมไม่ได้แล้ว"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 11 พ.ย. 11, 21:11
|
|
หลังแต่งงานแล้ว ท่านผู้หญิงและเจ้าบ่าวของท่านก็ดำเนินอาชีพที่ต่างกัน ท่านผู้หญิงช่วยงานด้านธุรกิจของครอบครัวมีภาระเต็มมือ
คุณพินิจรับราชการต่อมาจนเป็นรองอธิบดีศิลปากรและอธิบดีกรมศาสนา
ทั้งสองเป็นกำลังใจให้กันตลอดมา และต่างก็มีความเป็นตัวของตัวตามสมควร "เมื่อคุณพินิจถูกย้ายจากกรมศิลปากรที่ท่านรักไปกรมศาสนาที่ไม่ถนัด
ท่านผู้หญิงก็แนะนำว่างั้นก็ลาออก ถ้าไม่สบายใจจะทำไปทำไม แต่เพราะคุณพินิจฝังใจตลอดมาว่า เราเป็นนักเรียนทุน ถ้าราชการใช้เรา เราต้องทำ ท่านจึงไม่ลาออก
ท่านผู้หญิงก็แนะนำว่างั้นก็เลือกทำในมุมที่เราถนัดเช่น ซ่อมวัด ซ่อมเจดีย์ บูรณะวัดร้าง โบสถ์เก่า ๆ แนะพระให้รักษาวัดให้สะอาด สิ่งแวดล้อมดี เพราะคุณพินิจเป็นช่าง"
พระเถระผู้ใหญ่บอกท่านผู้หญิงว่า อธิบดีทำถูกแล้วโดยการรักษาพระศาสนาไว้
คุณพินิจเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ อายุได้ ๗๖ ปี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 13 พ.ย. 11, 06:45
|
|
ท่านผู้หญิงชอบต้นไม้และรักสุนัข และจะสนทนาได้นานถ้าใครจะคุยกับท่านในเรื่องสองเรื่องนี้ สุนัขตัวโปรด
ของท่านคิอสิบเอ็ด พันธุ์ไทย สีน้ำตาลอ่อน ที่นอนปลายเท้าท่าน ในบ้านตอนนั้นมีสุนัขอีกหลายตัว
แต่สิบเอ็ดเข้าประจบ คลอเคลีย จนกลายเป็นตัวโปรดที่ท่านเรียกหาอยู่เสมอ สิบเอ็ดไม่เห่า ไม่กัด นิสัยไม่ดุ แต่
ถ้าใครเข้าใกล้เจ้านายสิบเอ็ดจะกัดไว้ก่อน ขนาดคุณพยาบาลที่ดูแลท่านผู้หญิงและอยู่ในบ้านมาก่อน สิบเอ็ดก็ไม่ไว้ใจเมื่อ
คุณพยาบาลจะนำยาหรือเข้าไปดูแลท่านผู้หญิง สิบเอ็ดจะกัดไว้ก่อนเป็นการตักเตือน
สิบเอ็ดได้ติดไปตลาดนัดที่จตุจักรทุกวันพุธเมื่อท่านผู้หญิงไปดูต้นไม้ หน้าที่คือนั่งคอยอยู่ในรถ เมื่อเจ้าของกลับมาก็มีลูกชิ้นปิ้ง
มาฝาก สิบเอ็ดสามารถจัดการกับลูกชิ้นได้อย่างคล่องแคล่วโดยใช้ปากดึงออกมาทีละลูก
เมื่อท่านผู้หญิงเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ทางบ้านก็มีแผนปฎิบัติการลักลอบพาเจ้าสิบเอ็ดเข้าไปเยี่ยมท่านบ่อยๆทั้งๆที่ทราบดีว่าผิดกฎ
แต่ก็เพื่อให้ท่านผู้หญิงมีความสุขและมีกำลังใจรักษาตัว
แผนลักลอบพาสุนัขไปเยี่ยมนายที่รักยิ่งนี้เกิดขึ้นในตอนดึก ปลอดคน ให้คนนั่งรถเข็นอุ้มสิบเอ็ดไว้ มีผ้าคลุม สิบเอ็ดร่วมมือด้วย
โดยไม่ส่งเสียงเลย เวลาหมอมาตรวจ เจ้าสิบเอ็ดก็มุดไปซ่อนอยู่ใต้เตียงหรือในห้องน้ำ
ความเมตตาของท่านผู้หญิงไม่ได้เลือกที่พันธุ์ หรือเพ็ดดีกรี เกิดจากความเมตตาจากใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 13 พ.ย. 11, 07:03
|
|
เรื่องราวของท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ยังมีอีกมากมายเช่นเรื่องรถเมล์ขาวและการบริหารจัดการ การที่ดูแลคนในบริษัท งานการเมืองที่มีรายละเอียดให้เล็มอ่านได้หลายเรื่อง
การสมาคมกับชาวต่างประเทศทูตขรตรีเศียรในประเทศไทยที่พากันมาเยี่ยมทำความรู้จักท่านที่บ้าน เป็นสายสัมพันธ์มาตั้งแต่เจ้าคุณศรีเสนา
บิดาของคุณพินิจโยงใยมา ความสัมพันธ์พิเศษกับประเทศญี่ปุ่น ราชวงศ์ญี่ปุ่น และนักธุระกิจที่ถือว่าท่านผู้หญิงได้ไปเรียนหนังสือในบ้านเขา
หนังสืออนุสรณ์ของท่านปกแข็งและหนาปึก สามารถกล่าวได้ว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่านที่สุดของปี
ใครที่ชอบเรื่องเก่าหรือประวัติบุคคลของไทย ไม่ได้อ่านเล่มนี้อาจถือได้ว่าพลาดเรื่องสำคัญ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|