Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 10 ธ.ค. 11, 05:59
|
|
ในพระชันษาของท่านหญิงเมื่อพ้นระยะปฐมวัยแล้ว ไม่ค่อยจะมีระยะห่างกับความวิปโยค กล่าวคือ
พอทรงรับหมั้นแล้ว ยังไม่ทันได้อภิเษกสมรส พระบิดาก็สิ้นพระชนม์ อันเป็นทุกข์ใหญ่ครั้งที่ ๑
ต่อมาทรงอภิเษกสมรสแล้วไม่นาน ทูลกระหม่อมสวามีก็สิ้นพระชนม์อันเป็นทุกข์ใหญ่ครั้งที่ ๒ ต่อจากทูลกระหม่อมฟ้าติ๋ว
สิ้นพระชนม์ไม่นานก็ถึงสมเด็จหญิงพระองค์กลางผู้ปกครองอันเป็นที่น่าเสน่หาอาลัยซึ่งกันและกันก็สิ้นพระชนม์ลงอีก
พระองค์หนึ่ง ท่านหญิงทรงชินกับการกระทบกระเทือนขนาดหนัก ๆ จนเป็นที่ชำนิชำนาญกับการลำลองเลี้ยงพระองค์เอง
ได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว ทรงมีไหวพริบรักษาพระเกียรติรักษาทรัพย์ อันตั้งแต่เล็กถึงใหญ่โตกว้างขวางขึ้นตามลำดับการณ์
จนกระทั่งการที่สูงสุดคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หังองค์ปัจจุบันทรงพระพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แบ่ง
พระราชมรดกอันเป็นสังหาริมทรัพย์ของสมเก็จพระพันปีหลวง เฉลี่ยเป็นกอง ๆ พระราชทานพระสุณิสาและพระราชนัดดา
ในสมเด็จพระพันปีหลวงพระองค์นั้นเป็นส่วนเท่า ๆ กันทุกพระองค์
ท่านหญิงมีพระนิสัยโปรดการวาดเขียนมาแต่เยาว์ตาที่กล่าวมาแล้ว และงานชิ้นนี้นั่นเองทำให้ท่านหญิงเชี่ยวชาญในการออกแบบ
และโปรดพลิกแพลงเลือกเฟ้นในเครื่องประดับได้อย่างเก่งพอดู และพอจะพูดได้ว่าโปรดปรานทรงงานจำพวกนี้ยิ่งกว่างานอื่นและวิชาใด ๆ หมด
เมื่อท่านหญิงได้รับพระราชทานมรดกอันเป็นเครื่องประดับ ท่านหญิงจึงแก้ไขดัดแปลงให้เข้าที่ สมกาลเทศะและทันความนิยมโดยมาก
ในเรื่องนี้รุ้สึกว่าทำให้ท่านหญิงทรงเพลิดเพลินเจริญพระทัยไม่น้อย เท่ากับเป็นยาบำรุงชีวิตอย่างหนึ่ง ส่วนอสังห่ริมทรัพย์
ท่านก็ทรงทำธุระกิจต่าง ๆ ของท่านเองเจริญขึ้นตามลำดับกาลเวลาโดยราบรื่นตามสมควร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 10 ธ.ค. 11, 06:12
|
|
ถ้าจะพูดเรื่องน้ำใสใจคอที่แท้จริง ท่านหญิงเป็นผู้ที่ถี่เหนียวมาก ไม่มีคำว่าสุรุ่ยสุร่าย
ใจคอกว้างขวางตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ซึ่งท่านออกโอษฐ์ว่าสุภาษิตข้อที่ว่า ขายผ้าเอาหน้ารอดนั้นท่านไม่ใช้เลย
ท่านทรงใช้เงินอยู่ในขอบเขตแต่ในสิ่งจำเป็นและควรกระทำ
ในเรื่องการตั้งองค์วางองค์ ท่านหญิงตั้งองค์เหมาะสมพอดี เข้าใครเข้าได้ทุกชั้นทุกวัย ไม่ทรงสมาคมอยู่แต่ในกรอบชั้นสูงเป็นพระเกียรติแต่อย่างเดียวแต่ทรงแสดงพระมารยาทได้กว้างขวางในสังคมทั่วไป
ไม่เคยได้ยินคำครหานินทาถึงพระมารยาทท่านหญิงเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 10 ธ.ค. 11, 06:35
|
|
มีเรื่อง ๆ หนึ่งในพระประวัติท่านหญิง ที่ข้าพเจ้าอยากจะเล่าแต่เกรงว่าจะละลาบละล้วงมากไปหรืออย่างไร
และบางคนอาจว่าไม่น่าเชื่อ หรือจะเชื่ออะไรกะฝัน แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าติดใจจะเล่า
ข้าพเจ้าได้กล่าวในตอนต้นแล้วว่า ท่านหญิงเป็นผู้หญิงที่น่าดูน่าชมความอ่อนหวานนิ่มนวลความเรียบร้อย
เป็นที่พึงพอใจของผู้เจาะจงจะดูผู้หญิง ท่านหญิงจึงเข้าประทับในพระหฤทัยเจ้าชายหลายพระองค์
แต่ได้กล่าวแล้วเหมือนกันว่า ท่านหญิงเป็นเด็กโบราณ ท่านหญิงไม่เคยทอดสะพานให้ผู้ใดไต่ตามได้เลย
ท่านหญิงจึงผ่านวัยสาวถึง ๒๕ ปี จึงถึงทรงอภิเษกกับทูลกระหม่อม
ทีนี้จะกล่าวถึงจุดสำคัญที่อยากจะเล่า คือกาละคืนหนึ่ง ท่านหญิงทรงฝันว่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมีพระราชกระแสรับสั่งกับท่านว่า จะให้ของสิ่งหนึ่งในหีบไม้ใหญ่ซึ่งตั้งอยู่เฉพาะพระพักตร์ในขณะนั้น
และมีพระราชกระแสรับสั่งให้ทรงเลือกเอาของในหีบ ท่านหญิงก็ทรงหยิบพระจุฑามณี(ปิ่นซ่นโบราณสำหรับปักผมจุก)
ขึ้นมา แล้วท่านหญิงก็ตื่น ท่านหญิงจะได้ทรงแก้ฝันกับผู้ใดหรือเปล่าไม่ทราบ ข้าพเจ้าเห็นแปลกจึงเก็บมาเล่าอย่างคนแก่
เพราะท่านหญิงทรงเล่ากับข้าพเจ้าเมื่อท่านมีพระชันษาได้ ๗๐ ปีแล้วนี่เอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 10 ธ.ค. 11, 21:19
|
|
ตอนมัชฉิมวัย หลังจากที่ต้องประสบเหตุการณ์วิปโยคทุกข์ต่าง ๆ ล่วงไปแล้ว ไม่ช้าก็ทรงประสบ
แต่พระอนามัยไม่ดี พูดกันอย่างเก่า ๆ ก็เรียกว่าขนอน เลือดจะไปลมจะมา ตอนนั้นท่านหญิงจับบทขี้โรค
เดี๋ยวประชวรโรคนั้น เดี๋ยวประชวรโรคนี้ ล้วนเป็นโรคที่รุนแรงต้องได้รับการรักษาและทนุบำรุงกันอย่างเต็มที่อยู่เป็นเวลานาน
เป็นปี ๆ อันที่จริงในระยะนั้นท่านหญิงกับข้าพเจ้าเหินห่างกันมาก ต่างฝ่ายต่างอยู่ คุณพฤกธ์เป็นผู้ใหญ่ผู้ดีและเป็นผู้ฉลาดเฉลียว
มีความสามารถในการช่างฝีมือดีต่าง ๆ อย่างกุลสตรีผู้ดีเก่านั้น และเป็นบุตรีพระอินทรเดชสังวาลย์ พี่คุณจอมแฉ่ง คุณจอมเชื้อ
พระวิมาดาประทานให้ไปเป็นผู้ใหญ่ไปมาติดต่ออยู่กับท่านหญิงที่วังเพชรบูรณ์ เกิดเป็นโรคมะเร็งที่น่าอกตาย วังเพชรบูรณ์กับ
วังสวนสุนันทาถึงออกจะขาดตอนกันทีเดียว
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าได้ฟังจากท่านหญิงเล่าเองว่า เมื่อขนอนนั้นท่านแสนจะทุกข์เดือดร้อนเพราะความป่วยไข้
โรครุนแรงต้องรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ เงินที่จะใช้ก็ไม่มีพอแก่การณ์ เพราะในเวลานั้นท่านยังไม่มีผลประโยชน์พิเศษอะไร
มีเงินสุทธิเป็นหลักอยู่แต่เงินสะใภ้หลวง ส่วนค่าอาหารเป็นเงินกองกลางของวังเพชรบูรณ์ ในตอนนั้นท่านว่า จะตายก็จะตาย
จนก็จน แสนที่จะทุกข์กังวลเดือดร้อน
บังเอิญความทราบถึงทูลกระหม่อมฟ้าหญิง (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าวลัยอลงกรณ์ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินทร) พอทรงทราบก็เสด็จมาเยี่ยม
แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลสม้ด็จพระพันวสาอัยยิกาเจ้า
เมื่อสมเด็จทรงทราบความก็เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมทันทีทันใด แล้วทรงแสดงพระอิริยาบถพระราชทานพระเมตตากรุณาสงสาร
ถึงกับลงพระหัตถ์ปฏิบัติการพยาบาลด้วยพระองค์เองอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง เช่น ทรงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นลูบเช็ดองค์ท่านหญิงทั่วร่างกายเป็นต้น
แล้วทรงมีพระราชกระแสกำชับหมอที่กำลังเฝ้ารักษาอยู่ แล้วยังทรงเป็นพระธุระเอื้อเฟื้อในสิ่งต่าง ๆ ซ้ำยังมีพระราชกระแสดัง ๆ ว่า
ท่านหญิงเป็นลูกเจ้าพระเดชนายพระคุณของพระองค์ท่าน พระราชกระแสนี้มีความกว้างขวางพิสดารสำหรับผู้ใกล้ชิดอยู่ในขอบข่ายพระมหากรุณา
ของสมเด็จพระองค์นี้
ถ้าจะกล่าวโดยย่อบ้างก็คือ เสด็จในกรมพระบิดาท่านหญิง ท่านทรงจงรักภักดีในสมเด็จพระพันวัสสาฯ มาแต่ต้น นานตลอดพระชนม์ด้วยความหนักแน่นเยือกเย็น
พระธิดาพระองค์ใหญ่ของท่าน หม่อมเจ้าจงใจถวิล ชุมพล ท่านเคยทรงเล่าแก่ผู้เขียนว่า ท่านเคยอยู่กินที่พระตำหนักเป็นเพื่อนเล่นกับทูลกระหม่อมฟ้าหญิงเล็ก
(สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์โสภณ)
แล้วยังทรงมีพระราชกระแสสั่งกับท่านหญิงว่า ถ้าจะต้องการอะไรให้รีบกราบบังคมทูล ไม่ต้องเกรงพระราชหฤทัย จะช่วยทุกอย่าง
ตั้งแต่นั้นมาท่านหญิงก็เห็นน้ำพระราชหฟทัยอันแท้จริง ซึ่งเปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรมปานใด แต่ก่อนท่านไม่เคยรู้ ท่านหญิงเรียกได้ว่าเป็นคนไม่ขี้แย
แต่เมื่อท่านเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันวสา ฯ ตอนนั้นทีไร ท่านก็มีสีพระพักคร์บ่งถึงความตื้นตันจับใจอย่างลึกซึ้ง
ข้าพเจ้าชอบใช้อาการอย่างนี้ว่า "จุกคอ" คือไม่ถึงกับน้ำตาไหล
แต่นั้นมาท่านหญิงก็เคล้าเคลียสนิทสนมด้วย แสดงความระลึกถึงพระเดชพระคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้จนตลอดการสวรรคต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 11 ธ.ค. 11, 10:39
|
|
ขอแนบภาพหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธร จุฑาธุช ไว้ให้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 11 ธ.ค. 11, 10:59
|
|
(ขอบคุณคุณหนุ่มสยามสหายผู้เอื้อเฟื้ออยู่เป็นนิจ)
อนึ่งมีข้อความจะงดเว้นไม่กล่าวเสียไม่ได้อีกข้อหนึ่ง ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ข้างบนนี้ ว่าท่านหญิงเข้าใครเข้าได้
ทุกเพศทุกวัยและทุกชั้น นั่นขอต่อว่าข้าพเจ้านิยมน่าเอ็นดูท่านในเวลาที่ท่านรับแขกคนเฝ้าที่เป็นชาวพื้นเมืองอุบล ฯ
ท่านจะต้องใช้สำนวนสำเนียงของชาวเมืองนั้นอย่างคล่องแคล่วไม่ขัดเขิน แล้วท่านก็แปลเป็นภาษากรุงเทพ ฯ ให้เราฟังอีกที
เมื่อท่านรับสั่งพื้นเมืองฟังเหมือนกับผู้ที่มาเฝ้าไม่ผิดเพี้ยน ไม่แปร่งปร่าเลย ผู้ที่มาเฝ้าก็ดูปลาบปลื้มที่ท่านหญิงสนทนาด้วยภาษาเดียวกัน
ดูถึงอกถึงใจ นี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้านิยม แบบนี้ได้เคยเห็นพระราชชายาเจ้าดารารัศมีก็ทรงปฏิบัติอย่างนี้ แต่พระกระแสเสียง
พระราชชายาท่านแปร่งในภาษากรุงเทพ ฯ ท่านหญิงไม่แปร่งทั้งสองฝ่ายในเวลาที่ใช้เสียงกลับไปกลับมาในทันทีทันใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 11 ธ.ค. 11, 11:30
|
|
หม่อมบุญยืน ชุมพล ณ อยุธยา เป็นหม่อมชั้นผู้ใหญ่ ท่านชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่ชอบออกจากวัง
และรับแขกแม้แต่ในสวนดุสิต ซึ่งมีท่านหญิงอยู่กับสมเด็จหญิงพระองค์กลาง และหม่อมยังได้ถวาย
หลานสาว แด่สมเด็จหญิงพระองค์กลาง คือหม่อมหลวงไถง กุญชร ซึ่งหม่อมหลวงไถงเป็นญาติ
กับหม่อม ๆ ก็ไม่ไปเฝ้าถวายหลานสาว ส่งให้ท่านหญิงนำถวาย ถ้าท่านมีของอะไรแปลก ๆ เช่น
เห็ดโคนสด ๆ ขึ้นที่วัง ท่านก็เก็บส่งเข้าไปถวายสมเด็จหญิงพระองค์กลาง หม่อมก็ไม่เข้าไปถวายเอง
เวลาท่านหญิงประชวรหม่อมก็เกณฑ์ให้หม่อมเจียงคำไปเยี่ยมแทน หม่อมไม่ได้ไปเยี่ยมและเฝ้าสมเด็จหญิงเอง
ท่านเป็นคนชอบเงียบสงบถึงเพียงนี้
ในเวลานั้นหม่อมในกรมพระบิดาท่านหญิงมีหม่อมบุญยืน เป็นผู้สูงอายุกว่าเพื่อน แต่ไม่ชอบเอะอะหรูหรา
เข้าสมาคมอะไรต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาแล้วประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งหม่อมเจียงคำมีพระโอรสเป็นองค์แรก
รองจากท่านหญิง เป็นท่านชายใหญ่อยู่ติดพระองค์เสด็จพ่อคือท่านชายอุปลีสาร ส่วนท่านชายใหญ่แท้ๆ ของในกรม
คือหม่อมเจ้าประสบประสงค์นั้น หม่อมมารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว ดังกล่าวเหตุผลแล้วนี้ หม่อมเจียงคำจึงได้รับพระราชทานตราทุติยจุลจอมเกล้า"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 11 ธ.ค. 11, 11:35
|
|
จบพระประวัติตอนที่ ๑ สัญญาอดีต เรื่องท่านหญิง โดย เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ (ลดาวัลย์) ในรัชกาลที่ ๕
คัดลอกด้วยความระมัดระวัง เพื่อแสดงงานเขียนของเจ้าจอมสดับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 11 ธ.ค. 11, 12:11
|
|
พระประวัติตอนที่ ๒
เรื่องราวความเป็นมาจากหม่อมเจ้าอัปภัศราภา (ดิศกุล) ทรงเล่า
เมื่อหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรจะทรงอภิเสกสมรสกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เข้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรอินทราชัยนั้น
สมเด็จพระพันวัสสาได้ตรัสกับหม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร (เทวกุล) ว่า ทรงยินดีนักที่สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก
ได้ทรงเลือกหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรเป็นพระชายา เพราะว่าหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรทรงเป็นพระธิดาของกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
ซึ่งสมเด็จพระพันวัสสา ฯ ทรงนับถือประดุจพระเชษฐา เนื่องด้วยในคราวที่สมเด็จพระพันวัสสา ฯ แรกจะเสด็จมาประทับที่วังสระปทุมนั้น
กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีที่ปรึกษา ได้เสด็จมาประทับเฝ้าแหนเป็นประจำ ทำให้
รู้สึกอบอุ่นพระทัยคลายพระกังวลในเรื่องความปลอดภัย เพราะพระโอรสยังประทับศึกษาอยู่ ณ ต่างประเทศ
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขันเพขรบูรอินทราชัยสิ้นพระชนม์ลง
พระเจ้าบรมวงค์เธอ พระองค์เจ้าบุษบันบัวผันจึงได้ไปขอเฝ้าสมเด็จพระพันวัสสา ฯ กราบทูลว่าจะเสด็จกลับเข้าไปประทับ
ในพระบรมมหาราชวังดังเดิมกับพระองค์เจ้าสุทธิสิริโสภา และพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช ส่วนหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธร
นั้นจะประทับอยู่วังเพชรบูรต่อไป เนื่องจากทรงมีสุขภาพไม่แข็งแรงจะได้สะดวกในการตามแพทย์มารักษา
โดยจะมีหม่อมบุญยืนหม่อมมารดาเป็นผู้ใหญ่ และพระยาอนุศาสตร์เป็นมหาดเล็กผู้ใหญ่ซึ่งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลกฯ
ทรงแต่งตั้งไว้
พระองค์เจ้าบุษบันฯ ทรงฝากหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรไว้กับสมเด็จพระพันวัสสา ฯ ให้ทรงดูแล เพราะวังอยู่ใกล้กับวังสระปทุม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 11 ธ.ค. 11, 12:24
|
|
หม่อมเจ้าธานีเสิกสงัด ชุมพล เขียน รำลึกในพระกรุณาธืคุณ ว่า
"เมื่อหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธร (ชุมพล) จุฑาธุช ประชวร ณ พระตำหนักวังเพชรบูร พระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าวาปีบุษบากร
ได้ทรงพระกรุณาเสด็จมาประทานเยี่ยมพระอาการด้วยพระองค์เอง แต่เนื่องจากทรงพระชรา และทรงดำเนินไม่สดวก
จึงประทับในรถพระที่นั่ง หม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรได้เสด็จลงไปเฝ้า
เพียงเท่านี้หม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาเป็นอย่างสูง
แม้นเมื่อประชวร ณ โรงพยาบาลแล้ว ต่างองค์ก็ทรงปรารถนาว่าอยากจะได้พบปะรับสั่งถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน
เมื่อหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรได้ถึงชีพิตักษัยก็ได้ประทานพวงมาลาไปวางที่หน้าพระโกศพระศพ และได้ประทานเงินมาช่วย
ในงานนี้ เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|