เรือนไทย

General Category => วิเสทนิยม => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 12, 21:19



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 12, 21:19
กระทู้นี้ต่อมาจากกระทู้แรก เมื่อ 11 ปีก่อน  นานเกินกว่าจะต่อกระทู้ได้แล้ว จึงขอตั้งกระทู้ใหม่แทนค่ะ

อาหารการกินใน"บ้านเล็ก"
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=588.0

นักอ่านจำนวนมากคงรู้จักนิยายเยาวชนชุด "บ้านเล็ก" หรือ Little House Series  ผู้เขียนคือ Laura Ingalls Wilder  เป็นนิยายเยาวชนชั้นนำเรื่องหนึ่งของสหรัฐอเมริกา   มีทั้งหมด 8 เล่มด้วยกัน บวกเล่มสุดท้ายที่เป็นบันทึกของลูกสาวของลอร่าด้วย ก็เป็น 9 เล่ม


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 12, 21:24
เรื่องนี้เขียนขึ้นจากพื้นฐานชีวิตจริงของลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์เอง  เล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ของเธอเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ตั้งแต่เมื่อครั้งครอบครัวตั้งบ้านเรือนอยู่ในป่าใหญ่ของรัฐวิสคอนซิน  จนได้อพยพโยกย้ายไปอยู่แคนซัส แล้วเดินทางย้อนกลับมามินเนสโซต้า   แล้วในที่สุดครอบครัวก็ไปปักหลักอยู่ที่รัฐเซาท์ดาโกต้า

นอกจากบรรยายชีวิตความเป็นอยู่ของนักบุกเบิกเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 อย่างละเอียดลออถูกต้องตามข้อเท็จจริงแล้ว     นิยายชุดนี้ยังได้บันทึกถึงอาหารการกินของชาวบ้านอเมริกันในสมัยนั้นแทรกเอาไว้ในชีวิตประจำวันด้วย
ความเป็นอยู่ของนักบุกเบิกสมัยนั้น  ต้องเก็บ สร้าง และถนอมอาหารเอาไว้กินเอง  ไม่มีซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านขายอาหารให้ซื้ออย่างสะดวกสบายอย่างสมัยนั้น   จะกินหมู ก็ต้องล่าหมูป่า  หรือจับมาขังไว้แล้วลงมือเชือดเอง   จะกินไก่และไข่ก็ต้องเลี้ยงไก่เอง   ผักก็ต้องปลูกสวนครัวเอง   แม้แต่ขนมปัง  เนย หรือแยม ก็ต้องทำเอง

11 ปีภายหลังจากกระทู้แรก  มีกูเกิ้ลให้ค้นได้ง่ายดายยิ่งขึ้น  รวมทั้งหาภาพประกอบก็ง่าย    ดิฉันจึงขอรวบรวมอาหารการกินในนิยายเยาวชนชุดนี้มาเล่ากันอีกครั้ง  ขอเชิญท่านที่สนใจเรื่องอาหารการกินมาร่วมวงด้วยเช่นเคยค่ะ

ส่วนเนื้อเรื่องของนิยายเล่มแรก Little House in the Big Woods  มีให้อ่านฟรีได้ที่เว็บไซต์นี้

http://www.gutenberg.ca/ebooks/wilder-woods/wilder-woods-01-h.html


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 12, 22:17
บทแรก เปิดฉากขึ้นมาก็ใกล้ฤดูหนาวแล้ว    ครอบครัวนี้ต้องสงวนอาหารเอาไว้กินในบ้านตลอดฤดูหนาว เพราะหาจากภายนอกไม่ได้ ไม่ว่าผักหรือเนื้อสัตว์
เนื้อสัตว์ที่หาได้ในป่าใหญ่ของรัฐวิสคอนซินในหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน คือเนื้อกวาง เนื้อหมี  และเนื้อหมูป่า (hog) ไม่ใช่ pig ซึ่งหมายถึงหมูบ้าน
เนื้อกวาง ไม่ได้เรียกว่า deer meat  แต่เรียกว่า venison    เมื่อพ่อยิงกวางมาได้ก็ถลกหนังออกตากแห้งเพื่อจะทำเป็นเสื้อหนังกวางให้ลูกๆ  ส่วนเนื้อต้องแช่น้ำเกลือ และรมควัน เพื่อจะเก็บไว้กินได้นานๆหลายเดือน   ไม้ฟืนที่นำมารมควันคือไม้ฮิคคอรี่  มันจะรมให้เนื้อกวางหอมและเหลืองพอดีๆ

That day Pa and Ma and Laura and Mary had fresh venison for dinner. It was so good that Laura wished they could eat it all. But most of the meat must be salted and smoked and packed away to be eaten in the winter.
เมื่อพ่อยิงกวางมาได้  วันนั้นพ่อแม่ลูกมีเนื้อกวางสดกินกันเป็นอาหารกลางวัน  (dinner ในที่นี้หมายถึงมื้อกลางวันค่ะ  ส่วนมื้อเย็นเรียกว่า supper)  แต่สมัยนั้นไม่มีตู้เย็นจะเก็บเนื้อสดได้หลายๆวัน    ก็เลยกินเนื้อสดได้วันเดียว  เนื้อที่เหลือต้องหมักเกลือและรมควัน เพื่อเอาไว้กินตลอดฤดูหนาว

ไม่เคยกินเนื้อกวาง และไม่มีปัญญาจะไปหากินได้ที่ไหน    คุณตั้งเคยเข้าป่ามาโชกโชนแล้วอาจจะเคยกินเนื้อกวางที่ชาวบ้านล่ามาบ้าง    คงบอกได้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร   ดิฉันได้แต่เดาว่ามันคงคล้ายเนื้อวัว
รูปข้างล่างนี้คือเนื้อกวางสด   และรูปขวาคือสเต๊คเนื้อกวาง




กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: ลุงไก่ ที่ 03 พ.ย. 12, 08:13
ขออนุญาตแทรกเรื่องครับ - เคยอ่านพบว่าในฤดูหนาว เมื่อล่าสัตว์ได้ เขาจะแขวนเนื้อสัตว์ไว้ที่ชายคานอกบ้าน หิมะและความหนาวเย็นของอากาศจะช่วยรักษาเนื้อสัตว์นั้นไว้ได้ตลอดฤดูหนาว

หนังสือเล่มที่อ้างถึงนี้จำได้เพียงว่าเป็นเล่มหนึ่งในหนังสือแปลชุด เสรีภาพ เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 12, 10:48
ดิฉันก็อ่านเจออย่างคุณลุงไก่เจอเหมือนกันค่ะว่า    พบว่ามันแยกได้ดังนี้
1  การถนอมอาหาร ทำกันตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง    เพราะสัตว์ที่ล่าได้ในฤดูนี้ อ้วนพีมีเนื้อมีมันมาก ไม่ผอมโซอย่างในฤดูหนาวซึ่งหาอาหารกินยาก    เมื่ออากาศยังไม่เย็นจัดพอจะทำให้เนื้อสัตว์แข็งไม่เน่า แบบอยู่ในช่องฟรีซ    คนก็ต้องใช้วิธีหมักเกลือ รมควัน ไม่ให้เน่าเอาไว้ก่อน จะได้กินได้นานๆตลอดฤดูหนาว
2  แต่เมื่ออากาศเริ่มเย็นจัด    จนเนื้อสัตว์สดๆถูกรักษาเอาไว้ได้ด้วยการแขวนตากหิมะไว้นอกชายคาบ้าน    สัตว์ที่ล่าหรือถูกเชือดในช่วงนี้ ก็ไม่ต้องหมักเกลือ แต่แขวนให้จับแข็งในหิมะได้เลย  เหมือนอยู่ในตู้ฟรีซ   
   แบบที่สองนี้เห็นได้จากพ่อของลอร่าไปยิงหมีมาได้   ก็เอาเนื้อหมีแขวนไว้นอกประตูบ้าน    หรือไปเจอหมูป่าในฤดูหนาว เอากลับมาบ้าน  ก็แล่เป็นเนื้อสดแขวนไว้กินได้เลย  ไม่ต้องหมักเกลือ

  ในเรื่องบรรยายว่า เด็กๆชอบกินเนื้อหมี  แสดงว่าเนื้อหมีน่าจะมีไขมันแทรกอยู่มาก จึงไม่เหนียวมากจนเด็กเคี้ยวไม่ไหว
  รูปที่นำมาลง  รูปซ้ายคือเนื้อหมี ซึ่งน่าจะรมควันหรือตากแห้งก่อนเก็บไว้ในลักษณะนี้      รูปขวาคือเนื้อหมีสด ส่วนชิ้นที่สุกแล้วคือซี่โครงหมูป่า (hog ribs)


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: mrpzone ที่ 03 พ.ย. 12, 11:21
กระทู้นี้ต่อมาจากกระทู้แรก เมื่อ 11 ปีก่อน  นานเกินกว่าจะต่อกระทู้ได้แล้ว จึงขอตั้งกระทู้ใหม่แทนค่ะ

อาหารการกินใน"บ้านเล็ก"
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=588.0

ตามลิงค์ต้นกระทู้เข้าไปอ่าน (เป็นครั้งแรก) ท้องร้องจ๊อกๆ กลับมาเลยครับ  ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 พ.ย. 12, 17:49
.....ไม่เคยกินเนื้อกวาง และไม่มีปัญญาจะไปหากินได้ที่ไหน    คุณตั้งเคยเข้าป่ามาโชกโชนแล้วอาจจะเคยกินเนื้อกวางที่ชาวบ้านล่ามาบ้าง    คงบอกได้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร   ดิฉันได้แต่เดาว่ามันคงคล้ายเนื้อวัว
รูปข้างล่างนี้คือเนื้อกวางสด   และรูปขวาคือสเต๊คเนื้อกวาง

เนื้อกวางเป็นเนื้อโปรดของผม เมนูอร่อยที่ผมชอบมากที่สุด คือ แล่เป็นชิ้นๆ แช่น้ำปลา แล้วทอด  อีกอย่างหนึ่งที่อร่อยมาก คือ ตัดเนื้อออกเป็นก้อนๆขนาดประมาณกำปั้นมือ แล้วย่างแห้งบนตะแกรงไม้ไผ่ที่ห้อยลงมาบนสามขา (เสาไม้ไผ่) ย่างบนไฟอ่อนๆ เมื่อเนื้อเริ่มจะแห้งสนิทดีแล้ว ก็ตัดตะแกรงให้ตกลงมา เนื้อก็จะคลุกกับขี้เถ้า พลิกไปมาอีกสักระยะ ก็เป็นอันว่าใช้ได้ ผิวนอกจะแห้งสนิท ออกเกรียมนิดๆ คลุกกับขี้เถ้า  เก็บได้เป็นเดือนเลยทีเดียว  เวลาจะกินก็ใช้มือฉีกออกเป็นชิ้นเป็นเส้นๆ จิ้มกับน้ำปลาหรือพริกแห้งตำกับเกลือ ก็อร่อยสุดๆแล้ว  เอาไปผัดไปแกงนั้นเสียรสชาติหมด เพราะว่ารสเครื่องแกงหรือรสผัดนั้นมันกลบรสเนื้อไปหมด เนื้อก็จะไม่ต่างไปจากเนื้อลูกวัวอ่อน

ที่ถามว่ารสชาติของเนื้อเหมือนเนื้อวัวหรือไม่ ตอบได้ว่าไม่เหมือนครับ ตัวเนื้อ (กล้ามเนื้อ) มีความละเอียดกว่าเนื้อวัว และไม่มีกลิ่นสาบแรงเหมือนเนื้อวัว ไปเหมือนกับเนื้อลูกวัวเสียมากกว่าครับ จะต่างกับเนื้อลูกวัวก็เพียงสีที่แดงสดมากกว่าเท่านั้นเองครับ

 

 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 พ.ย. 12, 18:26
ในเรื่องบรรยายว่า เด็กๆชอบกินเนื้อหมี  แสดงว่าเนื้อหมีน่าจะมีไขมันแทรกอยู่มาก จึงไม่เหนียวมากจนเด็กเคี้ยวไม่ไหว
รูปที่นำมาลง  รูปซ้ายคือเนื้อหมี ซึ่งน่าจะรมควันหรือตากแห้งก่อนเก็บไว้ในลักษณะนี้      รูปขวาคือเนื้อหมีสด ส่วนชิ้นที่สุกแล้วคือซี่โครงหมูป่า (hog ribs)

รสชาติของเนื้อหมีเป็นอย่างไรจำไม่ได้แล้วครับ จำได้แต่ความอร่อยของอุ้งตีนหมี  คนไทยและชาวบ้านป่าไม่นิยมยิงหมีมาเป็นอาหาร หากจะยิงกันก็ส่วนมากจะเป็นการยิงเพื่อเอาดีหมีมาทำยาหรือขายให้กับร้านขายยาจีน

ตามภาพแสดงเนื้อหมีที่แขวนห้อยอยู่นั้น แสดงว่า มีดที่ใช้แล่เนื้อนั้นเข้าขั้นทื่อเอามากๆเลยทีเดียว และคงจะเป็นมีดขนาดเล็กๆ อาจจะเป็นมีดในตระกูลมีดโบวี่ที่พรานฝรั่งชอบใช้ห้อยติดเอวกันในระหว่างเดินทางและล่าสัตว์ในป่า  (สุนทรีย์ในการใช้มีดและการตีมีดเพื่อใช้การในงานต่างๆั้ของคนไทยนั้นมีมากมาย มากกว่าฝรั่งเยอะครับ)

ขอไปเรื่องอุ้งตีนหมี   เอามาเผาไฟให้ขนใหม้แล้วขูดเอาขนที่ใหม้เกรียมในน้ำออกให้หมด  สับแยกออกเป็นชิ้นๆตามร่องนิ้ว ต้มในหม้อ ใส่เครื่องหอมง่ายๆ ก็มีพริกไทย ต้นหอม รากผักชี ซีอิ็วดำและซีอิ้วขาว เปลือกอบเชยและโปยกั้กเล็กน้อย เคี่ยวไปจนเปื่อยดี  นึกออกเลยใช่ใหมครับว่าเหมือนต้มขาหมูพะโล้  อุ้งตีนหมีก็เหมือนกับคากิ ต่างกันที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกเป็นส่วนมาก ไม่มีชั้นมันหรือเอ็นมากมายรองอยู่ใต้หนังซึ่งหนังก็ไม่หนามากเหมือนหนังหมู  ความอร่อยก็อยู่ตรงนี้เอง   ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหากิน ไปเบียดเบียนตีนของหมีหรอกครับ  เจอร้านขาหมูที่ทำขาหมูใกล้ลักษณะนี้ หรือจะไปเลือกซื้อขาหมูมาทำกินเองก็เหมือนกันแบบแทบจะแยกไม่ออก ตามร้านอาหารเปิบพิศดารทั้งหลายนั้น ดีไม่ดีก็เป็นขาหมูดังที่ผมว่า ขาของหมูตัวเล็กๆ เลาะเอากระดูกชิ้นใหญ่ออกไปก็ดูจะไม่ต่างกันไปมากนัก      ผมได้มีโอกาสกินก็เพราะชาวบ้านป่าเขายิงหมีแล้วเก็บตีนย่างแห้งเอาไว้ ผมเคยช่วยชิวิตเขาใว้ครั้งหนึ่ง เขาก็เลยตอบแทนทำให้ลองกินครับ

       


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 พ.ย. 12, 18:57
ขออนุญาตแทรกเรื่องครับ - เคยอ่านพบว่าในฤดูหนาว เมื่อล่าสัตว์ได้ เขาจะแขวนเนื้อสัตว์ไว้ที่ชายคานอกบ้าน หิมะและความหนาวเย็นของอากาศจะช่วยรักษาเนื้อสัตว์นั้นไว้ได้ตลอดฤดูหนาว
หนังสือเล่มที่อ้างถึงนี้จำได้เพียงว่าเป็นเล่มหนึ่งในหนังสือแปลชุด เสรีภาพ เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน
ดิฉันก็อ่านเจออย่างคุณลุงไก่เจอเหมือนกันค่ะว่า    พบว่ามันแยกได้ดังนี้
1  การถนอมอาหาร ทำกันตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง    เพราะสัตว์ที่ล่าได้ในฤดูนี้ อ้วนพีมีเนื้อมีมันมาก ไม่ผอมโซอย่างในฤดูหนาวซึ่งหาอาหารกินยาก    เมื่ออากาศยังไม่เย็นจัดพอจะทำให้เนื้อสัตว์แข็งไม่เน่า แบบอยู่ในช่องฟรีซ    คนก็ต้องใช้วิธีหมักเกลือ รมควัน ไม่ให้เน่าเอาไว้ก่อน จะได้กินได้นานๆตลอดฤดูหนาว
2  แต่เมื่ออากาศเริ่มเย็นจัด    จนเนื้อสัตว์สดๆถูกรักษาเอาไว้ได้ด้วยการแขวนตากหิมะไว้นอกชายคาบ้าน    สัตว์ที่ล่าหรือถูกเชือดในช่วงนี้ ก็ไม่ต้องหมักเกลือ แต่แขวนให้จับแข็งในหิมะได้เลย  เหมือนอยู่ในตู้ฟรีซ   
   แบบที่สองนี้เห็นได้จากพ่อของลอร่าไปยิงหมีมาได้   ก็เอาเนื้อหมีแขวนไว้นอกประตูบ้าน    หรือไปเจอหมูป่าในฤดูหนาว เอากลับมาบ้าน  ก็แล่เป็นเนื้อสดแขวนไว้กินได้เลย  ไม่ต้องหมักเกลือ....

เรื่องจริงๆที่ผมประสบพบมาด้วยตนเองเป็นดังนี้ครับ

หมีเป็นสัตว์ที่จำศีลในฤดูหนาว ส่วนหมูป่านั้นผมไม่ทราบว่าหายไปใหนในช่วงฤดูนี้   สัตว์ที่ล่าได้ในฤดูอากาศเริ่มเย็นจัด แรกเริ่มมีหิมะตกประปรายนั้น อาจจะมีหมีและหมูป่า แต่เมื่อหนาวจริงๆแล้วก็มักจะเหลือแต่พวกกวางเป็นหลัก

ครั้งหนึ่ง ผมได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมถลกหนังกวาง (กับเพื่อนชาวอเมริกัน) ในช่วงเริ่มฤดูหนาวจัด  เขายิงมาได้ประมาณ 7 วันแล้ว กวางตัวนี้แขวนอยู่ในโรงนา เมื่อเขายิงได้ใหม่ๆ ก็จะผ่าท้องเอาเครื่องในทิ้งหมด แล้วใช้ไม้กางขึงพืดตัวกวางไว้ในโรงนา

ขออภัยขอตัวไปทำธุระก่อนครับ     



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 12, 20:33
ระหว่างรอคุณตั้งไปหาเมนูกวาง   ดิฉันขอคั่นโปรแกรมด้วยเมนูหมูก่อนนะคะ

As soon as the hog was dead Pa and Uncle Henry lifted it up and down in the boiling water till it was well scalded. Then they laid it on a board and scraped it with their knives, and all the bristles came off. After that they hung the hog in a tree, took out the insides, and left it hanging to cool.

When it was cool they took it down and cut it up. There were hams and shoulders, side meat and spare-ribs and belly. There was the heart and the liver and the tongue, and the head to be made into headcheese, and the dish-pan full of bits to be made into sausage.

หมูในสมัยนั้น เจ้าของต้องเชือดกันเอง    แล้วหย่อนทั้งตัวลงในหม้อน้ำเดือดๆ ต้มจนสุก  จากนั้นก็เอาขึ้นมาวางบนเขียง  ขูดขนออกจากหนังจนเหมด   จากนั้นก็แขวนไว้บนต้นไม้  ควักเครื่องในออก แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น
เมื่อหมูเย็นดีแล้วก็เอาลงมา  ชำแหละเนื้อออกเป็นส่วนๆ มีขาหมู  ไหล่  เนื้อสีข้าง ซี่โครงและพุง    ที่แปลกคือในนี้พูดถึงเครื่องในบางส่วนอย่างหัวใจ ตับ และลิ้น เอาไว้กินด้วย    หัวหมูก็เอามาทำ headcheese  และเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยเอามาทำเป็นไส้กรอก
รูปข้างล่างนี้คือเนื้อส่วนต่างๆของหมูที่ถูกชำแหละ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 12, 20:35
headcheese ทำจากหัวหมูต้มเปื่อยและมีวุ้นออกมาจากกระดูกหมู   พอเย็นก็แข็งเป็นแท่ง   หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 12, 21:15
ส่วนที่อร่อยและสนุกสำหรับเด็กอย่างลอร่าและแมรี่ พี่สาว  ก็คือย่างหางหมู
หางหมูนี้ต้องลอกหนังออกมาก่อนเหลือแต่เนื้อ  แล้วเสียบไม้เหมือนเราย่างบาร์บิคิว  แม่เอาเกลือมาพรมให้ ที่สนุกก็คือตอนแย่งกับย่างหางหมู

But even better fun than a balloon was the pig's tail.
Pa skinned it for them carefully, and into the large end he thrust a sharpened stick. Ma opened the front of the cookstove and raked hot coals out into the iron hearth. Then Laura and Mary took turns holding the pig's tail over the coals.

It sizzled and fried, and drops of fat dripped off it and blazed on the coals. Ma sprinkled it with salt. Their hands and their faces got very hot, and Laura burned her finger, but she was so excited she did not care. Roasting the pig's tail was such fun that it was hard to play fair, taking turns.

At last it was done. It was nicely browned all over, and how good it smelled!

ตอนอ่านก็นึกไม่ออกว่ามันสนุกตรงไหน หรืออร่อยยังไง    เพราะคิดว่าหางหมูน่าจะเป็นหนังยาวๆพอลอกหนังแล้วก็เหลือเนื้อติดกระดูก    จนกระทั่งไปหารูปในลุงกู๊กมาดู ถึงดูออกว่าหางหมูมีเนื้อปนมันอ้วนพีอยู่ไม่น้อย    พอย่างเตาถ่าน มันก็คงอร่อยไม่แพ้ย่างหมูสะเต๊ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 12, 21:19
หางหมูย่างเตาถ่าน ยังกินกันอยู่จนปัจจุบันนี้


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 12, 22:41
หนุ่มๆสาวๆที่โตมากับน้ำมันพืช คงนึกไม่ออกว่าน้ำมันหมูอร่อยขนาดไหน   โดยเฉพาะเวลาใช้กับไข่เจียวฟูๆนุ่มๆ     และผลที่ตามมาจากน้ำมันหมูคือทำให้รู้จักกากหมู   ซึ่งในนิยายชุด "บ้านเล็ก" ลอร่ามีกินทั้งสองอย่าง
หลังจากเชือดหมูแล้ว วันรุ่งขึ้น แม่ก็เคี่ยวน้ำมันหมูจากไขมัน   เคี่ยวอยู่ในหม้อใหญ่ที่ค่อยๆร้อนแบบระอุ ไม่ร้อนจัดจนเดือด เดี๋ยวน้ำมันจะไหม้หมด    ตอนอ่าน นึกภาพน้ำมันหมูในหนังสือเหมือนน้ำมันหมูใสๆหนืดๆ ที่เคยเห็นในหม้ออวยในครัว      แต่พอมาเปิดกูเกิ้ลดู  พบว่าเป็นคนละเรื่องกันเลยค่ะ
น้ำมันหมูที่นี่ ดูเผินๆราวกับไอศกรีมกะทิ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 พ.ย. 12, 07:59
ตอนอ่าน นึกภาพน้ำมันหมูในหนังสือเหมือนน้ำมันหมูใสๆหนืดๆ ที่เคยเห็นในหม้ออวยในครัว      แต่พอมาเปิดกูเกิ้ลดู  พบว่าเป็นคนละเรื่องกันเลยค่ะ
น้ำมันหมูที่นี่ ดูเผินๆราวกับไอศกรีมกะทิ

น้ำมันหมูเป็นไขเมื่อเก็บไว้ที่อุณหภูมิปรกติแม้ในบ้านเรา เพราะมันเป็นพวกไขมันอิ่มตัวมีจุดหลอมเหลวสูงกว่าน้ำมันพวกที่มีไขมันไม่อิ่มตัว

 ;D



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 04 พ.ย. 12, 12:08
หนังสือชุดนี้อ่านสมัยเรียนมัธยมต้น      ในห้องสมุดโรงเรียน
เป็นชุดที่ประทับใจมากๆ กลายเป็นคนรักการอ่านหนังสือสืบมา
 

สมัยก่อนอ่านนิยายด้วย รวมทั้งหนังสือกำลังภายใน (ติดหนึบ)

ทุกวันนี้นิยายเรื่องยาวไม่อ่านแล้ว อ่านแต่สารคดี
เรื่องสั้นบางครั้งก็อ่าน นักเขียนรุ่นใหม่ ชอบ-- กนกพงศ์ สงสมพันธ์---
เสียดาย   เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคแสนธรรมดา ที่น่าจะรักษาได้


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 04 พ.ย. 12, 17:15
เคยทานขาหมูจานนี้ที่เนเธอแลนด์ ขนาดเล็กเท่าอุ้งมือผู้หญิง แต่กระนั้นก็มากสำหรับคนไทย 1 คน ต่อ 1 ขา
ที่เขาเสริฟ ให้ทาน เล่นเอาจุก...รสชาติกลมกล่อม อร่อย นุ่ม เปื่อยแต่ไม่เละ

 ไม่เหมือนขาหมูทอดที่เคยทาน น่องใหญ่ๆ...มันเยอะ ...ที่สังเกตอีกอย่างคือกระดูกมีขนาดเล็ก
 ตกลงมันเป็นส่วนไหนของหมูคะ จะว่าขาหน้า ก็หน้าตาไม่เหมือนเท่าไหร่ หรือไม่ใช่หมู


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 12, 18:58
ดูไม่ออกค่ะ  ว่าเป็นลูกหมูหรืออะไร   อาหารฝรั่งแบบนี้ ต้องขอแรงคุณตั้งมาช่วยตอบดีกว่า
************************
From time to time Ma skimmed out the brown cracklings. She put them in a cloth and squeezed out every bit of the lard, and then she put the cracklings away. She would use them to flavor johnny-cake later.
น้ำมันหมูที่เคี่ยวจากมันหมู มีกากหมูติดอยู่ด้วย    แม่ไม่ได้ทิ้ง แต่เอาใส่ผ้าขาวบาง บีบน้ำมันออกจนหมดเหลือแต่กากหมูกรอบๆ   ในเรื่องบอกว่า เพื่อเอาไปใส่เป็นรสชาติในการทำ "จอห์นนี่ เค้ก"
ว่าแต่จอห์นนี่ เค้ก คืออะไร?
จอห์นนี่ เค้ก ไม่ใช่ขนมเค้กนะคะ  แต่เป็นขนมปังทำจากแป้งข้าวโพด  ไม่มีไส้   วิธีทำคือผสมแป้งข้าวโพด เข้ากับน้ำ และเกลืออีกนิดหน่อย  หลังจากนั้นเอาไปทอด    กากหมูนี่คงเอาไว้ทากระทะสำหรับทอดขนมจอห์นนี่เค้ก   เพราะในตำราทำขนมซึ่งมีหลายอย่างต่างชนิด  บอกว่าใช้น้ำมันที่เหลือจากทอดเบคอนก็ได้

รูปข้างล่างนี้คือกากหมู  ทางซ้ายเหมือนกากหมูไทย  ส่วนทางขวาเหมือนหมูสามชั้นทอด




กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 12, 19:00
ส่วนรูปข้างล่างนี้คือขนมปังจอห์นนี่ เค้ก  ซึ่งดูยังไงก็ไม่ใช่เค้กอยู่ดี


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 12, 20:18
Ma scraped and cleaned the head carefully, and then she boiled it till all the meat fell off the bones. She chopped the meat fine with her chopping knife in the wooden bowl, she seasoned it with pepper and salt and spices. Then she mixed the pot-liquor with it, and set it away in a pan to cool. When it was cool it would cut in slices, and that was headcheese.

นี่คือวิธีทำ headcheese คือตัดเนื้อจากหัวหมูออกมาก่อน แล้วเอาหัวหมูต้มในน้ำเดือดจนเปื่อยให้เนื้อหลุดล่อนออกมาจากกระดูก  สับเนื้อจนละเอียด ปรุงรสด้วยพริกไทย เกลือ และเครื่องเทศ  จากนั้นก็ผสม pot-liquor ลงไป
คำนี้ ในกระทู้ก่อนอภิปรายกันยกใหญ่ว่ามันคืออะไรกันแน่  ฟังจากชื่อแล้วเหมือนเหล้าโรงหรือเหล้าเถื่อนที่ต้มในหม้อกินกันเองในบ้าน     จนคิดว่าถ้าผสมลงไปในเนื้อหมูให้มันหอมก็น่าจะเป็นได้    กระทั่งมาพบในอินทรเนตรเมื่อมีกูเกิ้ลแล้ว  ว่าของกินชนิดนี้ไม่เกี่ยวกับ pot หรือ liquor      เหมือนคำว่าน้ำยาที่กินกับขนมจีน ก็ไม่เกี่ยวกับ  water หรือ medicine แต่อย่างใด

pot-liquor บางทีก็สะกดตรงๆตามเสียงอ่านว่า pot-likker  เป็นน้ำซุปที่ได้จากต้มเนื้อและผัก   เหมือนน้ำซุปที่เราเรียกว่า  broth   ไม่มีเหล้าปน    จะข้นหรือจะใสยังไงก็แล้วแต่เนื้อและผักที่ใช้ต้มค่ะ 
วิธีทำ headcheese ที่ผสม pot-likker ลงไป เพราะส่วนผสมเดิมไม่มีของเหลวเลย  เป็นหมูสับละเอียดผสมเกลือ พริกไทย และเครื่องเทศ  น้ำต้มเนื้อที่ผสมลงไปคงทำให้นิ่มและรสชาติกลมกล่อมขึ้น


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 12, 21:23
อาหารจากหมูอีกอย่างหนึ่งคือไส้กรอกหมู
เนื้อหมูเศษเล็กเศษน้อยที่เหลืออยู่จากหมูชิ้นใหญ่  ไม่ได้ทิ้ง    แม่สับจนละเอียด ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และใบเสจแห้งจากสวนครัว  แล้วปั้นเป็นไส้กรอกก้อนใหญ่ 
ไส้กรอกที่แม่ทำ  คือไส้กรอกแบบอเมริกัน  รูปร่างเหมือนทอดมัน     ไม่ใช่แท่งยาวๆอย่างไส้กรอกเยอรมันที่เรากินกันอยู่  เวลากินก็ดึงออกมาจากก้อนใหญ่ ปั้นเป็นก้อนเล็กๆทอดอีกทีหนึ่ง

The little pieces of meat, lean and fat, that had been cut off the large pieces, Ma chopped and chopped until it was all chopped fine. She seasoned it with salt and pepper and with dried sage leaves from the garden.

เสจเป็นไม้พุ่มเตี้ยๆ   ใบนำมาตากแห้งเพื่อปรุงรสอาหาร แบบเดียวกับโรสแมรี พาสลีย์ และไทมส์  ถือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งด้วยค่ะ



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 12, 21:25
ไส้กรอกแบบอเมริกัน  หน้าตาเหมือนหมูสับปั้นเป็นก้อนทอด


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: mrpzone ที่ 05 พ.ย. 12, 10:59

จอห์นนี่ เค้ก ไม่ใช่ขนมเค้กนะคะ  แต่เป็นขนมปังทำจากแป้งข้าวโพด  ไม่มีไส้   วิธีทำคือผสมแป้งข้าวโพด เข้ากับน้ำ และเกลืออีกนิดหน่อย  หลังจากนั้นเอาไปทอด    กากหมูนี่คงเอาไว้ทากระทะสำหรับทอดขนมจอห์นนี่เค้ก   เพราะในตำราทำขนมซึ่งมีหลายอย่างต่างชนิด  บอกว่าใช้น้ำมันที่เหลือจากทอดเบคอนก็ได้


หน้าตาและวิธีการทำของจอห์นนี่เค้ก ดูคล้ายกับซาลาเปาทอด (Deep Fried Salapao) ในปัจจุบันมากเลยครับ

ส่วนหน้าตาของหมูสับก้อนทอด (ไส้กรอกแบบอเมริกัน) เห็นแล้วนึกถึง "ข้าวจี่"
ถ้าเคยกินมาก่อน ตอนดูรูปแล้วก็คงจะนึกถึงกลิ่นและรสชาติจากความทรงจำ

อิจฉาคุณพวงแก้วจัง ทั้งเคยทานเคยทำ ผมแค่เห็นรูปและอ่านคำบรรยายในแต่ละเมนูเนี่ยก็น้ำลายสอแหล่ว  :'(


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 11:02
ถึงอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง อยู่ถึงกลางป่าใหญ่  ครอบครัวเล็กของลอร่าก็ยังมีการฉลองคริสต์มาสในหมู่ญาติพี่น้องที่มาค้างคืนด้วย
แม่ทำอาหารพิเศษเตรียมเอาไว้เลี้ยงฉลองวันพิเศษวันนี้

Ma was busy all day long, cooking good things for Christmas. She baked salt-rising bread and rye 'n Injun bread, and Swedish crackers, and a huge pan of baked beans, with salt pork and molasses. She baked vinegar pies and dried-apple pies, and filled a big jar with cookies, and she let Laura and Mary lick the cake spoon.

คุณพวงร้อยอธิบายเรื่อง salt-rising bread  ไว้ในกระทู้เก่า

Salt-rising bread นี่เป็นขนมปังที่ใช้ น้ำเกลือเป็นตัวทำให้ฟู(leavening agent) ใช่แล้วค่ะ  สมัยก่อนใช่ว่าจะหาซื้อยีสต์กันได้ง่ายๆ  จะทำเอาเร็วๆง่ายๆ หรือเป็นจำนวนมากๆ  ก็ใช้เกลือตีกับน้ำแล้วมันจะเกิดเป็นฟองฟ่อดขึ้นมา  ก็อาศัยฟองที่เกลือมันจับน่ะค่ะ  ให้ไปทำให้แป้งขึ้นตัว  แต่ก็ไม่ขึ้นมากเหมือนอย่างใช้ผงฟู หรือ ยีสต์  เนื้อแป้งมันจะหนักมาก   ที่เค็มก็คงไม่เค็มกว่ากันมากมายอะไรหรอกค่ะ  เพราะเวลาทำขนมปังเค้าก็ต้องใส่เกลือกันอยู่แล้วค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 11:07
หน้าตาและวิธีการทำของจอห์นนี่เค้ก ดูคล้ายกับซาลาเปาทอด (Deep Fried Salapao) ในปัจจุบันมากเลยครับ

ส่วนหน้าตาของหมูสับก้อนทอด (ไส้กรอกแบบอเมริกัน) เห็นแล้วนึกถึง "ข้าวจี่"
ถ้าเคยกินมาก่อน ตอนดูรูปแล้วก็คงจะนึกถึงกลิ่นและรสชาติจากความทรงจำ

อิจฉาคุณพวงแก้วจัง ทั้งเคยทานเคยทำ ผมแค่เห็นรูปและอ่านคำบรรยายในแต่ละเมนูเนี่ยก็น้ำลายสอแหล่ว  :'(

นิยายเรื่องนี้อ่านแล้วหิวง่าย  ทุกเล่มเลยละค่ะ    ไม่ควรอ่านขณะท้องว่าง
ตอนเล่าถึงไส้กรอกแบบอเมริกัน นึกถึงหมูสับทอดที่เคยกินกับข้าวต้ม


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 11:17
She baked salt-rising bread and rye 'n Injun bread,

rye 'n Injun bread   ทำจากแป้งข้าวโพด ผสมแป้งไรย์  ใส่ผงฟู เกลือ ไข่   ผสมน้ำตาลเคี่ยว  และบัตเตอร์มิลค์ (หางนม)


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 11:27
She baked salt-rising bread and rye 'n Injun bread, and Swedish crackers,
ขนมปังกรอบแบบสวีเดน มีส่วนผสมคือแป้งไรย์ บัตเตอร์มิลค์  น้ำตาล  เกลือ เนยเหลว   ผงฟู  และเมล็ดพืช


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 พ.ย. 12, 11:32
อ่าแล้วหิว ... บรรยากาศบ้านเล็ก เห็นขนมปัง เนื้อสัตว์จำพวกแฮม ทำให้นึกถึง "เฮนเซล กับ เกรนเทล"  ;D ถ้าเป็นผมหลงเข้าป่าคงกินขนมปังให้หมดทั้งหลังเลย... :-[


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 11:45
ชอบกระท่อมยายแม่มดในเทพนิยายเรื่องนี้มากค่ะ  ตอนเล็กๆอยากกินกระท่อมให้หมดทั้งหลังเลย
เลยเอากระท่อมขนมปังขิงมาฝาก


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: mrpzone ที่ 05 พ.ย. 12, 13:28
ขออนุญาตนอกเรื่องจาก "บ้านเล็ก" ไปสู่เรื่อง "วัดเล็ก" นิดนึงนะครับ  :-[

เมื่อซักครู่ได้ไปร่วมเลี้ยงพระที่วัด โดยพกพาความหิวจากการอ่านกระทู้นี้ไปเต็มกระเป๋า ที่วัด..มีญาติโยมเตรียมอาหารคาวหวานไปร่วมกันหลายคน (เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระอาจารย์รูปหนึ่งในวัดครับ) พอถวายเพลเรียบร้อย ญาติโยมก็มานั่งร่วมรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ด้วยกัน

มีสิ่งหนึ่งที่ประทับใจ และคิดว่าเป็นเรื่องที่น่ารักมาก ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน ก็คือ.. มีการจัดเตรียมของขวัญหรือของที่ระลึกใส่ซองใส่กล่อง ติดฉลาก แล้วให้ทุกคนจับรางวัลกันด้วย ผมจับได้หมายเลข 65 ได้ซองที่ระลึก ข้างในเป็นพวงกุญแจเล็กๆ อันหนึ่งครับ

อ่อ..อาหารที่ผมรับประทาน ก็เป็นไก่ทอดกระเทียมพริกไทย (สูตรคล้ายๆ ไก่ทอดหาดใหญ่ดังภาพข้างล่าง) ที่เลือกทานเพราะติดตาติดใจเมนูของทอดจากกระทู้นี้น่ะครับ  ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: mrpzone ที่ 05 พ.ย. 12, 13:31
เอ.. เวลาที่แสดงตอนตอบกระทู้ ดูเหมือนจะดีเลย์ไปประมาณ 1 ชม. นะครับ  ???


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: admin ที่ 05 พ.ย. 12, 13:54
แก้ไขแล้วครับ ขออภัยในความไม่สะดวกครับ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 15:45
มาดูกันว่า แม่เตรียมอาหารอะไรบ้างสำหรับคริสต์มาส นะคะ

She baked salt-rising bread and rye 'n Injun bread, and Swedish crackers, and a huge pan of baked beans, with salt pork and molasses.
pan ในเรื่องนี้ไม่ได้แปลว่า กระทะ แต่หมายถึงหม้อขนาดใหญ่  ส่วน baked bean คือ ถั่วอบ  เดี๋ยวนี้มีขายเป็นกระป๋อง
วิธีทำถั่วอบมีหลายแบบด้วยกัน  แต่ในหนังสือชุดนี้ เล่าว่าเมื่อนำถั่วไปอบในเตา ใส่หมูเค็มและน้ำตาลเคี่ยวด้วย  รสก็คงทั้งเค็มและหวานปนกัน
หารูปมาได้แล้วค่ะ ข้างล่างคือถั่วอบใส่น้ำตาลเคี่ยว


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 16:00
ในรัฐที่ดิฉันไปพักอยู่  เนื้อหมูมีขายอยู่เหมือนกันในซูเปอร์ แต่ว่าชาวบ้านเขานิยมกินเนื้อวัวกับเนื้อไก่มากกว่า    ไม่ค่อยนิยมกินหมูกันนัก  ถ้าอยากไปกินตามร้านอาหารต้องไปที่ร้านอาหารจีน   ร้านอาหารอเมริกันโดยมากไม่มีเมนูหมู     แต่ในเรื่องบ้านเล็ก ที่เล่าถึงชีวิตนักบุกเบิกเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน  หมูดูจะเป็นเนื้อสัตว์ที่กินกันมากที่สุด   ในร้านขายของชำก็มีขาย

หมูที่กินกันสมัยนั้นไม่ใช่เนื้อหมูสด  แต่เป็น salt pork หรือหมูเค็ม   เอามันหมูปนเนื้อมาแช่น้ำเกลือ เพื่อรักษาสภาพไว้ไม่ให้เน่า    แล้วชั่งขาย หั่นไปเป็นชิ้นๆเหมือนหมูตามตลาดสดของเรา    มันหมูแช่เกลือนอกจากใช้เป็นน้ำมันทอดอาหารแล้ว ยังเอาไปเป็นส่วนผสมของอาหารจานอื่น เช่นถั่วอบ  และเอามาทอดเป็นอาหารจานอร่อยได้อีกด้วย

หารูปหมูเค็มมาให้ดูกัน  รูปซ้ายบนคือสภาพหมูเค็มที่เป็นเนื้อดิบ    ยังไม่ได้ปรุง   ส่วนรูปอื่นๆเป็นหมูเค็มที่ทำสุกแล้ว   แต่ปรุงเป็นอาหารหลายแบบด้วยกัน    
น่าสังเกตว่าเป็นหมูปนมันแบบหมูสามชั้น   กินเข้าไปแล้วไขมันน่าจะจุกเส้นเลือดตาย   แต่คนสมัยนั้นทำงานออกแรงอยู่ทั้งวัน ร่างกายมีการเผาผลาญมาก  ไม่ได้นั่งโต๊ะอย่างพวกเรา    นอกจากนี้หน้าหนาวก็หนาวมากเพราะมีแค่ถ่านหินและฟืนในเตาไฟ   ร่างกายต้องการความอบอุ่นจากไขมันมากกว่าสมัยนี้


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: mrpzone ที่ 05 พ.ย. 12, 16:09
แก้ไขแล้วครับ ขออภัยในความไม่สะดวกครับ

ขอบคุณแอดมินครับ บังเอิญจำเวลาตอนออกมาจากวัดได้ ทั้งๆ ที่ปกติจะมีความจำเท่าปลาทองแค่นั้นเองครับ  :-[


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: mrpzone ที่ 05 พ.ย. 12, 16:16
อ.เทาชมพู ครับ เค้าเอาเนื้อหมูเค็มมาใส่ในจานที่มี baked beans ดังรูปล่างซ้ายหรือเปล่าครับ? เดาว่ารสชาติคงหวานเค็มปะแล่มๆ น่าจะมีผักดองเปรี้ยวๆ ไว้เคียงแก้เอียนซักจาน ไม่รู้ว่าฝรั่งสมัยนี้เค้าทานผักดองกันหรือเปล่าน้อ?


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 16:26
ถั่วอบอย่างที่บรรยายไว้ในหนังสือ เวลาเอาถั่วเข้าเตาอบ  ก็เอาหมูเค็มหั่นชิ้นเล็กๆผสมลงไปในหม้อถั่วอบเลยค่ะ  ไม่ได้แยกออกเป็นของเคียง   และเอาน้ำตาลเคี่ยวใส่ลงไปด้วย  ใช้ความร้อนจากเตาอบให้ถั่วสุกและน้ำตาลกับมันจากหมูละลายผสมกัน    ถั่วอบก็จะมีรสหวานของน้ำตาลเคี่ยว ผสมรสมันๆเค็มๆของหมูเค็มอีกนิดหน่อย

แต่ในอีกเมนูหนึ่ง หมูเค็มแยกออกมาเป็นคนละส่วนกับถั่วอบ   อย่างในภาพข้างล่างนี้ค่ะ  
ให้มันไปผสมกันเองในกระเพาะ ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 16:30
ส่วนน้ำตาลเคี่ยว หรือ molasses ใช้กันแทนน้ำตาลทราย sugar ซึ่งสมัยนั้นเป็นของราคาแพงสำหรับชาวบ้าน    กูเกิ้ลแปลว่า "กากน้ำตาล" แต่ดิฉันเรียกตามสำนวนแปลของคุณสุคนธรสผู้แปลนิยายชุดนี้เป็นคนแรกว่า น้ำตาลเคี่ยว น่าจะฟังน่ากินกว่า
น้ำตาลเคี่ยวนอกจากกินเป็นขนมแล้ว  ยังเป็นส่วนประกอบของคาวด้วย อย่างถั่วอบที่ว่ามานี่ละค่ะ

น้ำตาลเคี่ยว ทำจากต้นไม้หลายชนิดเช่นอ้อย และเมเปิ้ล


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 พ.ย. 12, 17:55
เห็นภาพ baked beans แล้ว นึกอยากขึ้นมาเลยทันที
 
เมื่อสมัยเรียนหนังสือนั้น ผมมีเพื่อนนักศึกษาอเมริกันี่สนิทสนมอยู่ 3 คน 3 แบบ คนแรกเป็นนายทหารในกองทัพอากาศ เลยได้สัมผัสกับชีวิตแบบคนชั้นกลางผู้มีอันจะกิน คนที่สองเป็นนักศึกษาตามปรกติตามแบบฉบับของนักศึกษาอเมริกันทั่วไป คือ อยู่ในสังคมเมือง ทำให้ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตแบบวัยหนุ่มสาวที่มีข้อจำกัดด้านการเงิน คือต้องทำงานหาเงินเรียน และคนที่สามเป็นคนชอบออกตระเวณเที่ยวตามเมืองเล็กๆและชนบท เลยได้สัมผัสกับชีวิตพื้นบ้านของชาวบ้านแท้ๆแบบมีความรอบรู้จำกัดทางโลกกว้าง แบบชาวนา แบบ KKK และแบบ Red neck หรือ Rough neck   ก็นับว่าโชคดีที่ได้เห็นภาพและวิถีของอเมริกันชนระัดับต่างๆแบบสัมผัสจริง แต่ก็ยังเป็นสัมผัสที่มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน คือ ไม่ได้เห็นและรู้อย่างครบถ้วนไปเสียทั้งหมด

Baked beans นั้น เป็นอาหารหลัก เป็นอาหารพื้นๆของชาวบ้านทั้งในอเมริกันและยุโรป เป็นอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางอาหารมากทีเดียว พอๆกับถั่วเหลือง     ถั่วที่นำมาำนั้นเป็นถั่วขาว รูปทรงและขนาดของเมล็ดก็คล้ายๆกับถั่วเหลือง ปลูกง่าย เก็บง่ายและไม่เสียง่าย  ทำกินง่าย แต่ใช้เวลาน่าดูเลยทีเดียว  ถั่วขาวนี้มีชื่อเรียกอยู่หลายชื่อ เช่น pea, navy beans และ white beans

เอาถั่วขาวแห้งมาแช่น้ำค้างคืน ล้างให้สะอาด  จะต้มก่อนเพื่อให้นิ่ม (เหมือนต้มถั่วเขียว) ก่อนจะนำไปปรุงก็ได้ หรือจะล้างให้สะอาดแล้วเอาทำเลยก็ได้    ใช้กระทะเหล็กหล่อ หรือหม้อเหล็กหล่อ ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย ถ้าจะให้ดีต้องเป็นน้ำมันที่ได้มาจากน้ำมันทอดเบคอนที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ (น้ำมันทอดเบคอนนี้ ฝรั่งที่ทำกับข้าวจะเทรวมแล้วกันเก็บไว้ใช้ทำอาหารอื่นๆ ใช้ทำอาหารได้อร่อยๆอีกหลายเมนูครับ) พอเบคอนเริ่มแห้งดี สับหอมใหญ่ใส่ลงไป ผัดพอเนื้อหอมใส ครานี้จะใส่แฮมหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ (diced) หรือจะใส่เนื้อหมูลงไปก็ได้ เทถั่วใส่ลงไป ใส่เกลือ น้ำตาลทรายแดงหรือโมลาส  ของเก่ามีเท่านี้  แต่ของใหม่ ก็ใส่ใบกระวาน (bay leave) ใส่มะเขือเทศ (ต้มแล้วปอกเปลือก แล้วสับละเอียด) หรือซอสมะเขือเทศ (ketchup) ใส่ซอสเปรี้ยว (Worcestershire source ) จากนั้นก็ใส่น้ำให้ท่วมพอดีๆเหมือนหุงข้าว ตั้งบนเตาไฟ ไฟแรงพอเดือดปุดๆเล็กน้อยเท่านั้น  คราวนี้ก็ถึงกาลเวลาทิ้งไว้อีกหลายชั่วโมง จนทุกอย่างนิ่มหมด ก็ยกลงมากินกับกับของและกับข้าวอื่นๆได้ อร่อยเพราะรสชาติและความหอมครับ    ในปัจจุบันนั้นเขาเริ่มต้นโดยใช้ baked beans จากกระป๋องเลย ร่นเวลาไปได้อยู่มากโขทีเดียว

เหตุที่เรียกว่า baked beans นั้น  สมัยก่อนๆนั้น คือการ bake จริงๆ    ต้องเห็นภาพเสียก่อนว่า ฝรั่งนั้นอยู่นเมืองหนาว จึงต้องมีเตาไฟเพื่อให้ความอบอุนในบ้าน  เตาในยุโรปของคนมีเงินก็จะเป็นแบบมีกระเบื้องเซอรามิกส์ปะแต่งอย่างสวยงาม ส่วนเตาของชาวบ้านนั้น ก็จะเป็นเตาเหล็กซึ่งมีส่วนบนทำเป็นช่องเตาสำหรับการปรุงอาหารไปด้วย พอมีเงินหน่อยก็จะมีหัวเตาสองสามรูและมีส่วนที่เป็นเตาอบด้วย  เรียกว่าเสียฟืนหรือถ่านหินครั้งเดียวใช้ได้หลายอย่าง  เตาพวกนี้ต้องติดไฟทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว ก็ไฉนเล่าไม่เอาเมนูจานถั่วนี้ไปวางหรืออบทั้งคืนหรือทั้งวันเล่า ไฟก็อ่อนพอดีๆอยู่แล้ว  ครับจึงได้ชื่อมาว่า baked beans    อาหารฝรั่งที่อร่อยๆทั้งหลายจึงมักจะเป็นลักษณะผ่านกระบวนการอบ   ของอร่อยเช่นไข่เจียวของฝรั่งเศส ตีหยาบๆ เจียวพอสุก แล้วก็ใส่เตาอบ    french toast ก็เหมือนกัน            


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 พ.ย. 12, 18:12
baked beans นี้ หกาใส่หมุหรือเนื้อ แล้วใส่พริกให้ออกรสเข้มข้นขึ้น ก็เอามาราดบนอ๊อทดอก อร่อยไปอีกอย่างนึงเหมือนกัน สมัยที่ผมเรียนอยู่นั้น เพื่อนๆนิยมเรียกกันว่า submarine hot dog    ว่าไปแล้วเลยทำให้นึกถึง frank ของนิวยอร์คนะครับ ใส่แตงกวาดองแบบสับ (pickle cucumber) สุดยอดจริงๆ

ทำ pickle กินเองก็ได้นะครับ ง่ายๆ หาแตงกวา หรือแตงร้านก็ได้ มาแบ่งสี่หรือแปดส่วนตามยาว เลาะเอาใส้ออกไปให้เกือบหมด หั่นซอยขนาดตามใจชอบ เอาเกลือทะเลเม็ด (เกลือที่ไม่ผสมไอโอดีน) บดหรือตำให้หยาบๆคลุกเคล้า แล้วบรรจุในขวดใสน้ำพอท่วม ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้สักหนึ่งถึงสองอาทิตย์ ก็เป็น pickle แล้วครับ ทำให้ลูกหลานใส่ฮ๊อทดอกกินกันอยู่ ก็อร่อยกันไป 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 พ.ย. 12, 18:43
ขอตัดตอนย้อนกลับไปต่อเรื่องกวาง

กวางที่ยิงมาได้นั้น เมื่อแผ่ท้องเอาเครื่องในออกหมดแล้ว ก็จะขึงพืดแขวนไว้ภายในโรงนาประมาณ 7 วัน  จากนั้นก็จะเอามาถลกหนัง วิธีการก็คือ ขวั้นรอบข้อเท้า กรีดหนังตามร่องแขน ขวั้นรอบคอ ค่อยๆเลาะหนังออกจากเนื้อส่วนรอบคอนี้   เอาเชือกผูกคอแล้วผูกไว้กับเสา ส่วนหนังนั้น เอาหนังที่เลาะออกมาหุ้มก้อนอิฐ เอาเชือกผูกแล้วไปผูกกับท้ายรถ ใช้รถช่วยถลกหนังออกมาเป็นผืนเดียวกันทั้งตัว     จากนั้นก็ำการเลาะแบ่งครึ่งตัวกวางตามความยาวของตัว  แล้วก็เลาะตัดชิ้นเนื้อออกเป็นสัดส่วนต่างๆ เช่น ส่วนนี่ทำเป็นสเต๊ก ส่วนนี้ทำ roast ส่วนนี้ทำสตูว์ ฯลฯ  ฝรั่งเขาค่อนข้างจะพิถีพิัถันมากในกระบวนการชำแหละเนื้อสัตว์ ว่าส่วนใดเหมาะสำหรับทำอาหารอะไร  ดังภาพการชำแหละหมูตามที่คุณเทาชมพูได้นำมาให้ดู  เนื้อกวางก็มีแบบเฉพาะของเขา  พอแล่เสร็จเขาก็จะตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ ห่อพลาสติกแล้วแช่แข็งเก็บไว้กินในโอกาสสำคัญต่างๆวันหลังๆตลอดฤดูหนาว

ที่เขาแขวนไว้ประมาณ 7  วันในโรงนานั้น  เหตุผลจริงๆก็คือการหมักเนื้อให้นิ่มและเปื่อย (marinate) ด้วยเอนไซม์ในเนื้อของมันเอง   หลักการนี้ถูกต้องนะครับ 
จะบอกวิธีการบางอย่างให้ครับ หากจะกินเนื้อหรือซี่โครงหมูย่าง ให้หมักกับส่วนผสมที่เราต้องการ ใส่ถาดแช่ตู้เย็นไว้ (ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง) ประมาณ 4 คืน แล้วจึงนำออกมาย่างกิน รับรองนิ่มและเปื่อยครับ     



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 20:22
เคยกิน baked beans เป็นอาหารเช้า  เป็นถั่วนิ่มๆในซอสมะเขือเทศ    จำได้ว่าอร่อยค่ะ    แต่ก็ไปเจอถั่วอบในอินทรเนตร  ดูเป็นถั่วอบในน้ำข้นๆเหมือนเกรวี่    อาจจะเป็นโมลาส หรือเป็นสูตรอีกแบบ เลยเอามาให้ดูกัน
เผื่อจะมีท่านใดเคยทานมาแล้ว  ได้มาเล่าให้ฟังบ้างว่ารสชาติเป็นยังไง


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 20:27
อ่านเรื่องอาหารทำจากเนื้อกวางที่คุณตั้งเล่า  ชวนน้ำลายไหล    ก็เลยไปค้นรูปในเน็ตต่อจากนั้น เพราะอยากกินทั้งสเต๊คและสตูว์ แม้ว่ายังหาทางไม่ได้ก็ตาม
ไปเจอสตูว์เนื้อกวาง  หน้าตาน่าอร่อยค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 20:36
ในนิยายชุดบ้านเล็ก เอ่ยถึงผักดองไว้หลายตอนด้วยกัน   แม่ของลอร่าชอบแตงกวาดอง  พ่อจึงซื้อชนิดเป็นขวด มาฝากจากร้านค้าในเมือง เมื่อไปตั้งถิ่นฐานในทุ่งกว้างของแคนซัส  ที่นั่นไม่มีสวนครัว   จึงไม่มีผักกินที่บ้าน  
แต่ในป่าใหญ่ของรัฐวิสคอนซิน  พ่อแม่ปลูกสวนครัวไว้ติดกับตัวบ้าน จึงมีผักให้ดองกินกันเองในฤดูหนาวได้

อาหารเนื้อสัตว์ของเขามีมันเยอะ  แล้วยังทอดด้วยน้ำมันหมูอีก ถึงอร่อยแค่ไหนก็คงเลี่ยนอยู่บ้าง
มีผักดองกินแกล้มด้วยก็คงจะบรรเทาความเลี่ยนลงได้มากนะคะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: Ladycamelia ที่ 05 พ.ย. 12, 21:01
อาจารย์ขุดกระทู้มาทำให้นึกถึงตอนเด็กๆเลยค่ะ หนังสือชุดบ้านเล็กเป็นเล่มโปรดจนถึงปัจจุบันนี้เลย
และตอนอ่านจะจินตนาการเรื่องอาหารตามไปด้วย ยังคิดถึงแพนเค้กของแอลแมนโซที่ราดน้ำเมเปิลไซรัปอยู่เลยค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 21:26
ขอต้อนรับเข้าร่วมโต๊ะอาหารบ้านเล็ก ด้วยแพนเค้กแบบที่แอลแมนโซกินค่ะ    
สมัยนั้นเขากินกันคนละหลายๆตั้ง  ตั้งละ 10 แผ่น ก็ไม่ยักมันจุกอก    สมัยนี้กินแผ่นเดียวราดเมเปิ้ลซีรับก็ไม่ไหวแล้ว  ขอดูรูปแทนดีกว่า


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: mrpzone ที่ 05 พ.ย. 12, 21:57
ขอตัดตอนย้อนกลับไปต่อเรื่องกวาง

กวางที่ยิงมาได้นั้น เมื่อแผ่ท้องเอาเครื่องในออกหมดแล้ว ก็จะขึงพืดแขวนไว้ภายในโรงนาประมาณ 7 วัน  จากนั้นก็จะเอามาถลกหนัง วิธีการก็คือ ขวั้นรอบข้อเท้า กรีดหนังตามร่องแขน ขวั้นรอบคอ ค่อยๆเลาะหนังออกจากเนื้อส่วนรอบคอนี้   เอาเชือกผูกคอแล้วผูกไว้กับเสา ส่วนหนังนั้น เอาหนังที่เลาะออกมาหุ้มก้อนอิฐ เอาเชือกผูกแล้วไปผูกกับท้ายรถ ใช้รถช่วยถลกหนังออกมาเป็นผืนเดียวกันทั้งตัว     


แบบนี้หรือเปล่าครับ?

nneTTeoPDYU

ดูเหมือนสมัยนี้ พอล่ากวางได้เค้าก็..ขวั้นเท้า..ขวั้นคอ..เลาะหนังส่วนรอบคอ..กรีดกลางลำตัว แล้วใช้รถลาก
เหมือนถอดเสื้อกวางออกแบบง่ายๆ เลยนะครับ  ::)


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 22:23
She baked vinegar pies and dried-apple pies, and filled a big jar with cookies

ขนมพายมีหลายชนิด ทั้งกินเป็นของหวาน และของคาว   ถ้าหากว่าเป็นพายเนื้อ หรือพายไก่  ก็รู้ว่าเป็นของคาว     แต่ถ้าเป็นพายผลไม้ อย่างพายสตรอเบอรี่  อย่างนี้ก็รู้ว่าเป็นของหวาน  ไม่ใช่อาหารจานหลักบนโต๊ะ
แต่บางทีอ่านๆแล้วก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไหนกันแน่     พายแอปเปิ้ลนั้นเคยกิน ก็พอนึกออก  แต่พายน้ำส้ม(สายชู) ไม่เคยรู้จักค่ะ
ไปหารูปมาดู  เข้าใจว่าเป็นแบบเดียวกับพายผลไม้    น้ำส้มที่ว่านั้นหมักจากน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์
ส่วนผสมของพายน้ำส้ม นอกจากแป้ง น้ำตาล ไข่ และน้ำส้มหมักจากแอปเปิ้ลไซเดอร์แล้ว ยังมีน้ำมะนาวด้วย    รสชาติพายคงอมเปรี้ยวอมหวานอ่อนๆ

ภาพข้างล่างคือพายน้ำส้มแบบต่างๆ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 12, 22:30
dried-apple pies  พายแอปเปิ้ลแห้ง  หามากินได้ไม่ยากในกรุงเทพฯ จึงขอเว้นไม่บรรยายมาก   เอารูปมาให้ดูค่ะ
แอปเปิ้ลก็เช่นเดียวกับผักอย่างอื่นที่ต้องเก็บในฤดูใบไม้ร่วง  ตากแห้ง โดยไม่ให้เสียรส ยังคงเก็บความหวานในเนื้อไว้ได้    พอจะทำพายก็แช่น้ำไว้ให้นิ่มก่อนจะมาทำไส้ขนมพาย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 พ.ย. 12, 07:11
พายแอปเปิ้ลที่เคยทานมาอย่างหนึ่งจะออกหวานมาก อย่างหนึ่งจะอมเปรี้ยวอมหวาน คงเนื่องมาจากการใช้ผลแอปเปิ้ลเปลือกสีต่าง ๆ มาทำ มีทั้งเปลือกสีเขียว สีแดง สีเหลือง บางครั้งจะเพิ่มความหอมให้กับตัวพายก็จะใส่ผงอบเชย (cinimon) เพิ่มเข้าไปด้วยเพื่อขับรสและกลิ่นให้หอมยิ่งขึ้นไปอีก แต่บางครั้งก็สามารถทานคู่กับไอศกรีมได้เช่นกัน

แต่ผมชอบหวานอมเปรี้ยมไม่ใส่อบเชย มีเนื้อแอปเปิ้ลฝานบาง ๆ ไม่หนามากก็อร่อยแล้ว


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 12, 10:47
เมื่อพ่อแม่พาลอร่ากับพี่น้องไปงานเต้นรำที่บ้านคุณปู่    คุณย่าทำ hasty pudding เลี้ยงเป็นอาหารมื้อเย็น    เป็นพุดดิ้งที่ทำจากแป้งข้าวโพดป่น   ร่อนแป้งลงในหม้อน้ำเกลือเดือดๆ  จนเต็มหม้อที่ตั้งอยู่บนไฟ  แล้วค่อยๆให้มันสุกไปทีละน้อย   
พอสุกมันก็เป็นแป้งสีเหลืองข้นๆเต็มหม้อ   ทิ้งไว้ในอากาศเย็นจัดมันก็จะแข็งเป็นแท่ง หั่นได้

Grandma made hasty pudding.

She stood by the stove, sifting the yellow corn meal from her fingers into a kettle of boiling, salted water. She stirred the water all the time with a big wooden spoon, and sifted in the meal until the kettle was full of a thick, yellow, bubbling mass. Then she set it on the back of the stove where it would cook slowly.
 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 12, 10:54
hasty pudding หรือพุดดิ้งแป้งข้าวโพด  ไม่ได้กินเปล่าๆ  ในเรื่องราดน้ำตาลเคี่ยวกินเป็นอาหารมื้อเย็น  แสดงว่าเป็นของคาว ที่มีรสหวาน
หน้าตาคงคล้ายๆกับภาพนี้


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 12, 11:16
มีขนมอย่างหนึ่งเรียกว่า maple candy   ทำจากน้ำตาลเมเปิ้ล    วิธีทำก็ง่ายๆคือเคี่ยวน้ำตาลที่ได้จากต้นเมเปิ้ลจนเหลวข้น   จากนั้นก็ตักหิมะใส่ภาชนะ  ตักน้ำตาลเคี่ยว ราดลงไปบนเกล็ดหิมะ    ความเย็นจากหิมะจะทำให้มันแข็งตัวเป็นขนมหวาน  
กินเท่าไรก็ได้เพราะน้ำตาลเมเปิ้ลไม่เสาะท้อง

Grandma stood by the brass kettle and with the big wooden spoon she poured hot syrup on each plate of snow. It cooled into soft candy, and as fast as it cooled they ate it.

They could eat all they wanted, for maple sugar never hurt anybody. There was plenty of syrup in the kettle, and plenty of snow outdoors. As soon as they ate one plateful, they filled their plates with snow again, and Grandma poured more syrup on it.


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 12, 11:26
Then Grandma said:
"Now bring the patty-pans for the children."
There was a patty-pan, or at least a broken cup or a saucer, for every little girl and boy. They all watched anxiously while Grandma ladled out the syrup. Perhaps there would not be enough. Then somebody would have to be unselfish and polite.
There was just enough syrup to go round. The last scrapings of the brass kettle exactly filled the very last patty-pan. Nobody was left out.
เมื่อเคี่ยวต่อไปจนน้ำตาลเริ่มจับเป็นเกล็ดแข็ง     ก็จะเทใส่ภาชนะต่างๆ เก็บไว้ใช้เหมือนน้ำตาลปึก   ส่วนเด็กๆก็จะได้รับแจกน้ำตาลปึกพวกนี้ เทใส่ถ้วยหรือจานเล็กๆ เป็นก้อนๆกินอย่างขนมหวาน 

ข้างล่างนี้ เป็นน้ำตาลปึกทำจากเมเปิ้ล (maple candy) ที่อัดพิมพ์เป็นรูปต่างๆ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 12, 11:31
When they had eaten the soft maple candy until they could eat no more of it, then they helped themselves from the long table loaded with pumpkin pies and dried berry pies and cookies and cakes. There was salt-rising bread, too, and cold boiled pork, and pickles.

พายฟักทอง หน้าตาเป็นอย่างนี้ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 12, 11:43
dried berry pies  พายเบอรี่ มีหลายอย่าง แล้วแต่ว่าจะเป็นลูกเบอรี่ชนิดไหน สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ แบล็คเบอรี่  ฯลฯ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 12, 16:54
มีพายชนิดหนึ่งที่ดิฉันเคยได้ยินแต่ชื่อ   แต่ไม่เคยกิน  ในนิยายบ้านเล็กก็ไม่มีพายชนิดนี้  แสดงว่าคนอเมริกันยุคบุกเบิกน่าจะไม่นิยมกิน  เรียกว่า steak and  kidney pie     เพื่อนที่เคยไปเรียนที่อังกฤษรู้จัก  คุณประกอบก็น่าจะรู้จัก แต่จะเคยรับประทานหรือเปล่าไม่ทราบ
ฟังจากชื่อ น่าจะเป็นพายที่กินแบบของคาว มีไส้เป็นเนื้อและไต (เครื่องในวัว?)


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 06 พ.ย. 12, 18:48
ไปถึงขนมหวานกันแล้ว เร็วจัง

ขอย้อนกลับอีกเหมือนเดิมครับ นี๊ดเดียวจริงๆ

กวางนั้นสมัยนี้ต้องมีใบอนูญาตถึงจะยิงได้ และจำกัดจำนวนด้วย จำได้ว่าคนหนึ่งยิงได้สองตัวเท่านั้น  เนื้อกวางจึงเป็นของอร่อยและหายาก    stake  เนื้อกวางจึงมีชิ้นเล็กนิดเดียว ขนาดตามแบบอเมริกันชนก็หนาประมาณหนึ่งนิ้วถึงหนึ่งนิ้วครึ่ง เป็นก้อนเล็กๆประมาณซาละเปาลูกเล็ก   สำหรับเนื้อกวางในสตูว์ก็หั่นเล็กเหมือนกัน แต่ละชิ้นขนาดไม่เกินหัวแม่มือครับ
 
ปัจจุบันมีฟาร์มเลี้ยงกวางกันแล้ว แต่ stake เนื้อกวางก็ยังหายาก  มีแต่สตูว์ที่ทำขายกันทั่วไป หาทานได้ไม่ยากนัก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ในยุโรปจะมีขายกันค่อนข้างมาก เขาจะเสิร์ฟมากับแยมพวกผล currant  ในสหรัฐฯไม่ทราบว่าหายากง่ายเพียงใด ไม่ได้ไปมานานแล้วครับ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 06 พ.ย. 12, 19:08
จำไม่ได้ว่า Kidney pie ของอังกฤษ มีรสชาติอย่างไร แต่คงจะต้องอร่อย เพราะจำได้แต่ว่าเคยกินของออสเตรเลียในเมืองเล็กๆ (เมือง Coolgardie) ได้คำสองคำเท่านั้นเองครับ ขิ่วกลิ่นฉี่ขนาดหนักเลย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 06 พ.ย. 12, 19:35
เห็นรูปพายแบบต่างๆแล้ว นึกอยากอีกเช่นเคย

พายเป็นของหวานและของคาวที่ทำได้ทั้งแบบง่ายและแบบยาก     

ทำพายของหวานแบบห่ามๆแบบผม ก็หาขนมปังบุหรี่หรือแครกเกอร์ เอามาป่น ละลายเนย เอาทั้งลองมาคลุกเคล้ากัน ใส่น้ำตาลเล็กน้อย พยายามปรับปริมาณส่วนผสมให้ออกมาพอดีเป็นคล้ายแ้ป้งนวด (dough) จัดลงถาดพาย กดลงให้เป็นไปตามทรงของถาด หนาบางตามใจ แล้วเอาเข้าเตาอบ คะเนว่าจับตัวแข็งกันดีแล้ว (เริ่มเห็นว่าจะเกรียม) ก็เอาออกมาทิ้งให้เย็น เอาครีมชีสโปะลงไปเป็นชั้นฐาน แล้วเปิดบลูเบอรี่กระป๋องเททับลงไป เอาเข้าตู้เย็นให้แข็งตัว    เอาออกมาตัดกินได้แล้วครับ
 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 12, 19:47
กลับมาที่ของคาว  ก็สลับกันไปตามบทต่างๆค่ะ คุณตั้ง

There was salt-rising bread, too, and cold boiled pork, and pickles.

ขนมปังที่ใช้เกลือแทนผงฟู คุณพวงร้อยอธิบายไว้แล้ว   ผักดองก็เล่าให้ฟังแล้ว   เหลือแต่ cold boiled pork
ดิฉันไม่เคยกินอาหารชนิดนี้      แต่อ่านจากกูเกิ้ล พอสรุปได้ว่าเป็นหมูที่ต้มสุกแล้วเก็บเอาไว้ในที่เย็น เช่นในตู้เย็น   หรือสมัยโน้น ก็แขวนเอาไว้ในห้องใต้หลังคาหรือในเพิง ซึ่งเย็นเฉียบพอกับตู้เย็น   
เวลาจะกินก็เอาออกมาตั้งโต๊ะกินเลย  ไม่ต้องไปทอด หรืออบให้สุกอีกครั้ง   เพราะถือว่าต้มสุกแล้วตั้งแต่ครั้งแรก  กินได้ ไม่ใช่ของดิบ

ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า   ถ้าผิดคุณตั้งคงแก้ไขให้ได้นะคะ
 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 12, 13:21
แม่ของลอร่าทำเนยแข็งไว้กินเอง ไม่ได้ซื้อจากร้าน     เนยที่ยังดิบอยู่ คืออยู่ในขั้นตอนที่เป็นเนยแข็งเสร็จใหม่ๆ  แต่ยังไม่ได้เก็บให้ได้ที่  อาจจะเรียกว่ายังดิบอยู่ก็ได้     เรียกว่า green cheese  หรือเนยเขียว  หรือเนยดิบ    แต่ความจริงมันเป็นสีเหลือง ไม่ใชสีเขียว

Ma laughed at them for eating green cheese.
"The moon is made of green cheese, some people say," she told them.
The new cheese did look like the round moon when it came up behind the trees. But it was not green; it was yellow, like the moon.


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 12, 13:42
ในขั้นตอนของการทำเนยแข็ง   เมื่อปั่นนม แยกครีมออกไปแล้ว  จะเหลือน้ำใสๆอีกส่วนหนึ่ง  เรียกว่า whey   (อ่านว่าเวย์)
ในหนังสือแปลเรียกว่า "หางนม"   ดิฉันก็จำว่าหางนมเรื่อยมา  ไม่มีใครบอกว่าเป็นอย่างอื่น มาเจอในอินทรเนตรว่า หางนม=skim milk  คนละอย่างกับ whey  เสียแล้ว
สมัยไปเรียน     skim milk คือนมพร่องมันเนย เรียกว่าไม่มีไขมันเอาเลย  ส่วน   low fat milk คือ นมไขมันต่ำ   คือมีอยู่บ้าง  ถ้าใครกลัวอ้วนแต่ต้องกินนมเพราะไปอยู่ในเมืองหนาว ก็เลือกกิน skim milk

The first day Ma made cheese, Laura tasted the whey. She tasted it without saying anything to Ma, and when Ma turned around and saw her face, Ma laughed. That night while she was washing the supper dishes and Mary and Laura were wiping them, Ma told Pa that Laura had tasted the whey and didn't like it.

"You wouldn't starve to death on Ma's whey, like old Grimes did on his wife's," Pa said.

ในรูปนี้ ส่วนที่ข้นๆจับเป็นก้อนคือครีม  ส่วนที่เป็นน้ำใสๆคือ whey


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 พ.ย. 12, 17:15
กลับมาที่ของคาว  ก็สลับกันไปตามบทต่างๆค่ะ คุณตั้ง
There was salt-rising bread, too, and cold boiled pork, and pickles.
ขนมปังที่ใช้เกลือแทนผงฟู คุณพวงร้อยอธิบายไว้แล้ว   ผักดองก็เล่าให้ฟังแล้ว   เหลือแต่ cold boiled pork
ดิฉันไม่เคยกินอาหารชนิดนี้      แต่อ่านจากกูเกิ้ล พอสรุปได้ว่าเป็นหมูที่ต้มสุกแล้วเก็บเอาไว้ในที่เย็น เช่นในตู้เย็น   หรือสมัยโน้น ก็แขวนเอาไว้ในห้องใต้หลังคาหรือในเพิง ซึ่งเย็นเฉียบพอกับตู้เย็น   
เวลาจะกินก็เอาออกมาตั้งโต๊ะกินเลย  ไม่ต้องไปทอด หรืออบให้สุกอีกครั้ง   เพราะถือว่าต้มสุกแล้วตั้งแต่ครั้งแรก  กินได้ ไม่ใช่ของดิบ
ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า   ถ้าผิดคุณตั้งคงแก้ไขให้ได้นะคะ
 

เข้าใจถูกครับ

cold boiled pork ก็เป็นเนื้อสัตว์ชนิดหนึ่งที่ใช้ในอาหารจานเย็น (cold plate)     อาหารจานเย็นนี้ ที่จริงเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อไปทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ตามโรงแรมหรือตามงานเลี้ยงรับรองที่จัดแบบฝรั่ง เพียงแต่เขาจัดแบบมีหลากหลายเนื้อให้เลือก ใส้กรอกท่อนใหญ่ทั้งแบบเนื้อหยาบและเนื้อละเอียด เนื้อวัวย่างรมควันหรือต้ม ปลาแซลมอนรมควัน อกเป็ดรมควัน อกไก่งวงรมควัน ชีส ลูกมะกอกดอง ผักต่างๆ ที่หั่นบางๆเหล่านี้ รวมทั้งผักต้มหรือมักะโรนีคลุกมายองเนส และของที่ออกรสเปรี้ยวหวาน เช่นผักดอง แล้วก็จัดเป็นกลุ่มแยกออกมา   ที่ดูจะแปลกแตกต่างไปจากของคนชาวบ้านก็คือ ทั้งในบ้านเราและในต่างประเทศจะไม่เห็นเนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อหมูเลย 

cold plate ในโรงแรมและงานเลี้ยงใหญ่เป็นดังที่กล่าวมา    ในชีวิตจริงของคนชาวบ้านปรกติที่เคยพบมาทั้งในอเมริกา แคนาดา และทั่วไปในยุโรป  อาหารมื้อเย็นแบบง่ายๆมักจะเป็น cold plate ที่ใช้ cold meat (ทั้งแบบย่างรมควันหรือต้มกับน้ำเกลือแล้วแช่เย็น) ของพวกเนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งหั่นบางๆตามที่เล่ามา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่เหลือจากอาหารมื้อเย็นของวันก่อนที่เก็บไว้ และอาจจะมีแฮมหรือเบคอนรมควันหั่นบางๆรวมมาด้วยก็ได้  ในอาหารมือนี้จะมีไขกระดูกหมูหรือวัวใส่ถ้วยหรือตัดกระดูกเป็นท่อนๆ (ท่อนละประมาณ 1 นิ้ว) ให้ใช้มีดแคะควักไขเอามาทาขนมปังก็มี หรืออาจจะเป็นไขน้ำมันที่ได้มาจากการทอดเบคอนให้ใช้ทาขนมปังก็ได้เช่นกัน  อาหารมื้อเย็นนี้ดูจะไม่ใช้เนยที่ใช้ทาขนมปังเหมือนกับในอาหารมื้อเช้า แต่จะใช้ไขมันที่ได้มาจากสัตว์แทน  และขนมปังก็ดูจะเป็นพวก rye bread เป็นหลัก (ฝืดคอดีครับ)    ในภาพง่ายๆก็คือ เป็นอาหารเบาๆ และให้ทำเป็น open sandwich กินกันนั่นเอง   

         


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 พ.ย. 12, 17:52
^

หากจะขยับชั้นขึ้นไปอีก คืออาจจะมีลูกหลานมาเยี่ยม แต่จะยังไม่จัดเป็นงานเลี้ยง ก็อาจจะใช้ cold plate เป็นอาหารกับแกล้มกินกับไวน์หรือเครื่องดื่มพวกพันช์ในระหว่างการสังสรรกันในหมู่ญาติ  (โดยนัยก็คือ เป็นของว่างที่กินกันในระหว่างคุยกัน และรองท้อง)   แล้วต่อด้วยอาหารบางอย่างเพิ่มเติมบนโต๊ะอาหาร เช่น ซุป สตูว์ หรือ casserole ต่างๆ    ที่เคยประสบมาบางอย่าง คือ เอาเนื้อมาต้ม ใส่เกลือให้ออกรสปะแหล้มๆ  เอาน้ำต้มเนื้อนั้นมาทำเป็นซุป ตักใส่ถ้วย โรยด้วยแพนเค็กซอย หรือ crouton   แล้วเอาเนื้อนั้นมาหั่นเป็นแผ่นๆหนาประมาณครึ่งเซนติเมตร กินแนมกับผักต้ม กินกับขนมปังหรือ knodel (แบบง่ายๆก็คือ เศษขนมปังเก่าผสมไข่ ผสมแป้ง ผสมนม ปั้นเป็นก้อนๆ หรือผสมอื่นๆ ต้มในน้ำเดือด  แล้วแต่สูตรนะครับ)   

ยกระดับขึ้นไปเป็นงานในวาระสำคัญ  cold plate จะกลายเป็นอาหารจานแรกบนโต๊ะอาหาร เพื่อการรองท้องก่อนที่จะนำอาหารหลัก (hot plate) ที่ต้องใช้เวลาในการทำค่อนข้างนาน (เช่น ไก่งวงอบ หมูย่างหนังกรอบ ฯลฯ)  อาหารจานร้อนนี้ มิใช่เพียงอาหารจะร้อนเท่านั้นนะครับ จานก็ต้องร้อนด้วย  ดังนั้น ตามร้านอาหารหรือตามโรงแรมที่จัดบุฟเฟต์ที่ดีจริงๆ จะมีจานที่อุ่นๆอยู่ในเครื่องอุ่นจาน แยกไปจากจานของอาหารจานเย็น 

ตามประสพการณ์จริงและความรู้เท่าที่มีก็เป็นดังที่เล่ามานี้ครับ  เรื่องที่เล่ามานี้อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้นะครับ อย่างหนึ่งก็เพราะว่าในที่ต่างกันก็มีธรรมเนียมประเพณีที่ต่างกัน  ผิดถูกอย่างไรก็ช่วยติงและช่วยแก้ไขและช่วยให้ข้อมูลที่ถูกต้องด้วยนะครับ 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 12, 17:56
พวกนี้หรือเปล่าคะ cold plate   คงจะอย่างเดียวกับ cold dishes   ดิฉันคุ้นกับคำหลังมากกว่าค่ะ  plate มันก็จาน เหมือน dish น่ะละ
คุณตั้งบรรยายเสียน้ำลายหยด


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 12, 18:03
For dinner they ate the stewed pumpkin with their bread.
ฟักทองกวน ทำจากเนื้อฟักทองหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในหม้อ  เติมน้ำลงไปนิดหน่อย แล้วตั้งไฟอ่อนๆ   กวนไปจนสุก กลายเป็นของเหลวข้นๆ สีเหลืองอมน้ำตาล  เวลากินก็ทาบนขนมปังเหมือนแยม


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 12, 18:07
แต่ถ้าแช่เย็น  มันก็แข็งเหมือนเยลลี่ อย่างในรูปนี้


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 12, 18:13
อ้างถึง
เอาเนื้อมาต้ม ใส่เกลือให้ออกรสปะแหล้มๆ  เอาน้ำต้มเนื้อนั้นมาทำเป็นซุป ตักใส่ถ้วย โรยด้วยแพนเค็กซอย หรือ crouton


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 12, 18:17
 
อ้างถึง
แล้วเอาเนื้อนั้นมาหั่นเป็นแผ่นๆหนาประมาณครึ่งเซนติเมตร กินแนมกับผักต้ม กินกับขนมปังหรือ knodel (แบบง่ายๆก็คือ เศษขนมปังเก่าผสมไข่ ผสมแป้ง ผสมนม ปั้นเป็นก้อนๆ หรือผสมอื่นๆ ต้มในน้ำเดือด  แล้วแต่สูตรนะครับ)   

ทั้งสองรูปนี้บอกว่าเป็น knodel  ไม่รู้ว่ารูปไหนถูกกันแน่


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 พ.ย. 12, 19:20
พวกนี้หรือเปล่าคะ cold plate   คงจะอย่างเดียวกับ cold dishes   ดิฉันคุ้นกับคำหลังมากกว่าค่ะ  plate มันก็จาน เหมือน dish น่ะละ
คุณตั้งบรรยายเสียน้ำลายหยด

cold plate, cold dish และ cold meat  เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด

คำทั้งสามนี้นั้น เป็นเรื่องของอาหารประเภทเดียวกัน  สำหรับความเห็นส่วนตัวนั้น เห็นว่า คำว่า cold plate ดูจะใช้ในลักษณะเป็นคำบรรยายแบบเรื่องเล่า (passive)  ต่างกับ cold dish ที่ดูจะใช้ในลักษณะการกล่าวถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น  ส่วนคำว่า cold meat (cold meat meal) นั้น ดูจะใช้ในเชิงของคำ slang    หรือใช้ในร้านอาหารแบบรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี  (cold meat จึงไปอยู่ในเมนูของเรียกน้ำย่อย_aperitif ที่จะสั่งกินชิ้นหรือสองชิ้นร่วมกับกับเหล้าก่อนอาหารดีกรีแรงๆ) .....หากไปเที่ยวเช็ค ฮังการี สโลวาเกีย หรือสโลวีเนีย ซึ่งยังคงมีร้านอาหารหลายแห่งคงถือปฎิบัติอยู่ น่าจะลองกินดูนะครับ มื้อกลางวันก็มี ของเขาอร่อยมาก ทำได้ดีจริงๆ  
 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 พ.ย. 12, 19:33
...ทั้งสองรูปนี้บอกว่าเป็น knodel  ไม่รู้ว่ารูปไหนถูกกันแน่

ใช่ knodel ทั้งหมดแหละครับ     

knodel มีทั้งก้อนใหญ่ (ขนาดลูกเทนนิส) ก้อนเล็ก (ขนาดลูกกอล์ฟ) หรือขนาดเท่าหัวแม่มือก็มี  แล้วก็มีหลากหลายส่วนผสมจริงๆ  รสจืด ผมไม่เคยกินได้หมดเลย เหมือนกับกินแป้งก้อนกลมๆที่มีเนื้อแน่นๆ  ในยุโรปด้านที่ติดกับเขตยุโรปตะวันออก จะมี knodel ให้ในแทบจะทุกจานอาหาร แม้กระทั่งลอยมาในถ้วยซุปครับ   



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 12, 20:21
At other times they had baked Hubbard squash for dinner. The rind was so hard that Ma had to take Pa's ax to cut the squash into pieces. When the pieces were baked in the oven, Laura loved to spread the soft insides with butter and then scoop the yellow flesh from the rind and eat it.

นอกจากนำฟักทองมาทำอาหารกินอย่างของคาว    ยังมีฮับบาร์ดสควอช  คำนี้ไม่รู้ว่าภาษาไทยเรียกว่าลูกอะไร   จะเรียกว่าน้ำเต้า รูปร่างมันก็ไม่เหมือนน้ำเต้า    สควอชมีหลายพันธุ์ด้วยกัน บางอย่างก็เรียกว่าน้ำเต้าได้เต็มปาก   
ฮับบาร์ดสควอชมีเปลือกหนาจนลอร่าเล่าแม่ต้องใช้ขวานผ่าเปลือกออก แล้วนำไปอบเนื้อให้สุก   เนื้อในของมันสีเหลืองสด  นุ่ม ทาเนยกินได้อร่อย หรือไม่ก็กินเปล่าๆ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 12, 20:47
For supper, now, they often had hulled corn and milk. That was good, too. It was so good that Laura could hardly wait for the corn to be ready, after Ma started to hull it. It took two or three days to make hulled corn.
hulled corn คือข้าวโพดที่ขัดสีเปลือกสีเหลืองที่หุ้มเม็ดข้าวโพดออก  เหลือแต่เม็ดข้าวโพดสีขาวนุ่มๆ     เอามากินกับนม น้ำตาลเคี่ยว หรือทอดกับน้ำมันหมู


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: ปรุงใจ ที่ 07 พ.ย. 12, 23:40
hulled corn นี่ จำได้ว่า "สุคนธรส" เรียกว่า ข้าวโพดลอกคราบ แม่จะไปที่ลำธาร แล้วกอบข้าวโพดขึ้นมาสีกันจนเปลือกหลุดออก เหลือแต่เนื้อนุ่ม ๆ ตอนอ่านรู้สึกว่าอยากทานมากเลยค่ะเลยต้องไปทานคอนเฟลคใส่นม แช่จนมันนุ่ม ๆ แล้วทำเป็นว่ากำลังอร่อยกับข้าวโพดลอกคราบของจริง


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 พ.ย. 12, 17:30
ฟักทองนั้นมีหลากหลายพันธุ์มาก  บางพันธุ์ก็ปลูกเอาแต่เมล็ด บางพันธุ์ก็ปลูกเพื่อเก็บไว้ตุนกินนานๆ บางพันธุ์ก็ต้องกินผลผลิตใหม่ๆ

หากคนไทยกับฝรั่งไปซื้อฟักทองด้วยกัน สงสัยว่าจะต้องตีกัน  คนไทยจะเลือกฟักทองที่เนื้อหนาและเหนีียว (คงจะคิดอยู่บนฐานของการเอามานึ่ง หรือผัดกิน) ในขณะที่ฝรั่งจะจะเลือกแบบเนื้อนิ่มและค่อนข้างยุ่ย (คงจะนึกถึงการเอาไปทำซุป หรือพาย)

ฟักทองของฝรั่งนั้น ในรูปของอาหารคาว เห็นแต่จะนิยมเอามาทำซุปฟักทองเป็นหลัก ในรูปของของหวานก็พายฟักทอง   เห็นฝรั่งปลูกกันมากในช่วงฤดูของปี ก็ไม่ทราบว่านำไปทำอะไรกันบ้าง ที่นึกออกและเคยเห็นเคยกินก็คือ เมล็ดฟักทองอบ (แบบที่เอามาโรยในจานสลัด หรือกินเป็นของขบเคี้ยวเล่น)  น้ำมันจากเมล็ดฟักทอง ซึ่งออกสีดำ มีราคาค่อนข้างสูง (ใช้เป็นน้ำมันสลัดก็ได้ หรือกดินเป็นยาก็ได้)   ฟักทองมีคุณค่าทางอาหารมาก แต่กินมากๆก็ตัวเหลืองได้เหมือนกัน การวิจัยพบว่าสารสีเหลืองที่อยู่ในเนื้อและในเมล็ดฟักทองนั้น เป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ  และเชื่อกันว่าน้ำมันจากเทล็ดฟักทองนั้นช่วยป้องกันการเป็นโรคต่อมลูกหมากโตของผู้ชายได้เป็นอย่างดี

ผมไม่เคยกินแบบเอาเนื้อในที่สุกแล้วมาทาขนมปังกิน ก็น่าจะอร่อยมากนะครับ เพราะมีกลิ่นหอมและออกรสหวาน แถมยัง creamy อีกด้วย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 พ.ย. 12, 20:52
hulled corn นี่ จำได้ว่า "สุคนธรส" เรียกว่า ข้าวโพดลอกคราบ แม่จะไปที่ลำธาร แล้วกอบข้าวโพดขึ้นมาสีกันจนเปลือกหลุดออก เหลือแต่เนื้อนุ่ม ๆ ตอนอ่านรู้สึกว่าอยากทานมากเลยค่ะเลยต้องไปทานคอนเฟลคใส่นม แช่จนมันนุ่ม ๆ แล้วทำเป็นว่ากำลังอร่อยกับข้าวโพดลอกคราบของจริง
ใช่ค่ะ     กว่าจะได้กินก็ต้องผ่านกระบวนการถึง 2-3 วัน  ยากเย็นอะไรยังงั้นก็ไม่รู้   
วันแรก ต้องเผาไม้จนเป็นเถ้า  เอาขี้เถ้าใส่ถุงมาต้มกับข้าวโพด นานมากจนเม็ดข้าวโพดบาน เปลือกล่อนออกมา    วันต่อมาก็ต้องเอาข้าวโพดที่ต้มแล้วไปสีกันจนเปลือกหลุดอย่างคุณจริงใจเล่า    ถึงจะเหลือแต่เม็ดสีขาวนุ่มมากินได้
สมัยนี้รู้สึกว่าจะหาอย่างกระป๋อง ง่ายกว่ามาก  แต่ก็ไม่เคยกินนะคะ  ไม่ทราบว่ารสชาติข้าวโพดกินกับนมจะหวานๆจืดๆ เหมือนกิน porridge ที่เป็นข้าวโอ๊ตต้มกับนมหรือไม่     ข้าวโพดลอกคราบกับนม กินกันเป็นอาหารเย็น แสดงว่าเป็นของคาว

คุณตั้งพูดถึงซุปฟักทอง เลยไปหารูปมาให้ดูค่ะ 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 พ.ย. 12, 18:11
ข้าวโพดลอกคราบไม่เคยทานเลยครับ    แต่ทำให้นึกถึงภาพข้าวโพดแขวนอยู่เป็นราวในพื้นที่ส่วนที่เป็นครัวของชาวบ้านป่าและชาวเขาทั้งหลายทุกชาติพันธุ์ ข้าวโพดเหล่านี้เอาไว้ทำพันธุ์ เขาปลูกข้าวโพดไว้เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์เป็นหลัก เอามาต้ม มาเผากินก็เฉพาะเมื่อตอนเก็บมาใหม่ๆ และเป็นเพียงของกินเล่นเท่านั้น ผมเรียกว่าข้าวโพดม้า เพราะเมล็ดแ็ข็งมาก 

จะเป็นข้าวโพดเหล่านี้หรือเปล่า (หรือที่ได้พัฒนาพันธุ์มาบ้างแล้ว) ที่นำมาทำข้าวโพดลอกคราบ   

คิดไปก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันว่า แล้วข้าวโพดมันแพร่กระจายเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของชาวบ้านป่าและชาวเขาในบ้านเรามาตั้งแต่เมื่อใด   ก็คงหนีไม่พ้นว่า ก็เพราะมีการเอาเมล็ดพันธุ์ติดตัวมาด้วยจากดินแดนจีนเมื่อเดินทางอพยพลงมาทางใต้

เลยพาลไปนึกว่า แล้วอาหารไทยโบราณที่ใช้ข้าวโพดนั้นมีอะไรบ้าง

ขออภัยครับ ที่แว็บเข้าซอย นอกเรื่องไปนิดนึง     


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 15:21
คำถามของคุณตั้งที่ว่า อาหารไทยโบราณที่ใช้ข้าวโพดนั้นมีอะไรบ้าง ทำให้ต้องคิดอยู่พักใหญ่เพราะนึกไม่ออกว่า ของคาวที่ใช้ข้าวโพดเป็นหลักนั้นมีอะไรบ้าง
จำได้ที่เคยกินตอนเด็กๆ ก็กินข้าวโพดโดยตรงไม่ได้ปรุงเป็นกับข้าว   จำได้ 2 อย่างคือข้าวโพดปิ้ง ที่คนขายหาบผ่านหน้าบ้าน แล้วปิ้งกันให้กินสดๆร้อนๆ   ต้องแทะเพราะมันค่อนข้างแข็ง    อย่างที่สองคือข้าวโพดต้ม ซึ่งนุ่มกว่าอย่างแรก  เลยชอบมากกว่าค่ะ
ต่อมาจำได้อีกอย่างคือข้าวโพดคั่วใส่ถุงกระดาษ    กินเวลาเข้าไปดูหนัง


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 15:36
ข้าวโพดมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโก อเมริกากลาง และอเมริกาใต้   แต่เดินทางเข้ามาถึงสยามยังไงยังไม่ได้ไปสืบหาดู  จะติดเรือฝรั่งเข้ามาหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ    แต่น่าจะมีเป็น 100 ปีแล้ว   เพราะมีเพลงกล่อมเด็กเก่าแก่ที่บอกว่า
วัดเอ๋ยวัดโบสถ์        ปลูกข้าวโพดสาลี
ลูกเขยตกยาก         แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี
โอ้ข้าวโพดสาลี       ป่านฉะนี้จะโรยรา

ทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเรียกว่าข้าวโพดสาลีควบกันไป   ต่อมาจึงพบว่าข้าวโพดเป็นชื่อที่เรียกในภาคกลาง  ทางเหนือเรียกว่าสาลี
**************
กลับมาที่อาหารในบ้านเล็ก   เมื่อพ่อจ้างคนงานมาเกี่ยวข้าวและนวดข้าวด้วยเครื่องจักร    แม่ทำกับข้าวเลี้ยงคนงาน 

Then Ma put on the boiled potatoes and cabbage and meat ,the baked beans, the hot johnny-cake and the baked Hubbard squash, and she poured the tea.
มันฝรั่งต้ม เป็นอาหารจานหนึ่ง     เนื้อต้มกับกระหล่ำปลีก็เป็นอาหารอีกจานหนึ่ง     ไม่เคยกินอย่างหลังนี้เหมือนกันค่ะ  แต่เดาว่าเป็นต้มเนื้อกับผัก  คล้ายๆซุป หรือแกงจืดของไทย   
คุณตั้งและท่านอื่นๆ อาจจะเคยรับประทานมาบ้าง  มีรูปมาให้ดูค่ะ  ข้างบนคือมันฝรั่งต้ม  ข้างล่างคือเนื้อต้มกระหล่ำปลี


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 16:07
จาก Little House in the Big Woods   ขอข้ามไปถึง By The Shore of Silver Lake  เมื่อครอบครัวของลอร่าย้ายไปอยู่ที่รัฐเซาท์ดาโกต้า   ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กเล็กๆอย่างเมื่ออยู่ในป่าใหญ่ของรัฐวิสคอนซิน แต่เป็นเด็กรุ่นสาว อายุ 13 แล้ว    
ในฤดูหนาว   ครอบครัวพักอยู่ที่บ้านของช่างสำรวจริมทะเลสาบสีเงิน  ด้วยเสบียงอาหารที่พวกช่างซื้อไว้ให้  ครอบครัวนี้ก็สามารถเตรียมอาหารพิเศษสำหรับฉลองคริสต์มาสกัน    
คืนก่อนคริสต์มาส   สามีภรรยาชื่อมิสเตอร์และมิสซิสโบ๊สต์เดินทางจากตะวันออกมายังที่ดินจับจองของตน แต่หลงทางกลางหิมะ มาพบบ้านของครอบครัวลอร่า    ก็เลยได้ฉลองคริสต์มาสด้วยกัน
แม่ต้อนรับแขกทั้งสองด้วยอาหารมื้อค่ำแบบง่ายๆ เพราะต้องทำอย่างรีบด่วนสำหรับแขกที่หิวโหยมา   คือขนมปังบิสกิ้ต หมูเค็ม และน้ำเกรวี่ทำจากน้ำนมวัว

Ma was stirring up biscuits. “How do you do, Mr. Boast,” she said. “You and Mrs. Boast must be starved. Supper will be ready in a jiffy.”
ขนมปังบิสกิ้ตในยุคนั้นต้องทำเอง จากแป้ง แล้วเอาเข้าอบในเตาอบ   ไม่มีขนมปังสำเร็จรูปอย่างสมัยนี้   บิสกิ้ตในเรื่องนี้ไม่เหมือนกับขนมปังบิสกิ้ตแข็งกรอบ รูปร่างกลมแบน ประกบไส้ครีมหรือช็อกโกแลตที่ใส่มาในกล่องหรือห่ออย่างที่เรารู้จักกันในซูเปอร์  
แต่หมายถึงขนมปังก้อนเล็กๆ เนื้อในนุ่ม แต่ด้านนอกกรอบร่วนหน่อยๆ   ทำจากแป้งสาลี ผสมเนย  ผงฟู นมสดหรือหางนม และไข่นวดเข้าด้วยกัน ใส่น้ำตาลลงไปด้วยนิดหน่อยให้ออกหวานอ่อนๆ  อบสุกแล้ว กินกับเนย หรือน้ำเกรวี่ก็ได้ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 16:27
Laura put slices of salt pork in the frying pan to parboil, and Ma set the biscuits in the oven. Then Ma drained the pork, dipped the slices in flour and set them to fry, while Laura peeled and sliced potatoes.
“I’ll raw-fry them,” Ma said to her low, in the pantry, “and make milk gravy and a fresh pot of tea"

หมูเค็มที่แม่ทำเลี้ยงแขก  ไม่ได้เอาหมูแช่น้ำเกลือไปทอดเฉยๆ  อย่างแรกต้องเอาหมูปนมันจากถังมาต้มพอดิบๆสุกๆเสียก่อน   จากนั้นแม่ก็รินน้ำออกจากหมูให้แห้ง  เอาหมูเกลือกลงในแป้งแล้วทอดให้สุกพอดีอีกที     พูดอีกทีก็คือเป็นหมูชุบแป้งทอดนั่นเอง
ลอร่าปอกมันฝรั่งแล้วฝานเป็นชิ้นบางๆ  แต่ไม่ได้ต้ม  หากแต่นำไปทอดอีกทีหนึ่ง    หน้าตาคงเป็นมันฝรั่งทอดชิ้นบางๆ   ในเมื่อแม่บอกว่า ทำแบบ   "raw-fry" คือทอดแบบดิบๆสุกๆ  ไม่ใช่ทอดสุกให้กรอบทั้งแผ่นอย่างมันฝรั่งเลย์   
ดิฉันเคยกินมันฝรั่งทอดแบบนี้ค่ะ  คือตรงกลางยังนิ่มอยู่ แต่ขอบๆกรอบดีแล้ว   ถ้ากินเปล่าๆมันก็จืดๆเลี่ยนๆ กินไม่กี่คำก็กินไม่ลง     ต้องมีซอสเค็มๆถึงจะเข้ากัน   ในเรื่องนี้ มีน้ำเกรวี่ประกอบ ก็คงกินกับมันฝรั่ง

ภาพประกอบข้างล่างนี้ ซ้ายคือหมูเค็มชุบแป้งทอดจนกรอบ  คล้ายๆไก่ชุบแป้งทอดที่บ้านเราหากินง่ายไม่ว่าที่ไหน    ส่วนรูปขวาคือมันฝรั่งทอดแบบที่ว่าค่ะ



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 16:33
ส่วน milk gravy  หรือน้ำเกรวี่ทำจากน้ำนม    วิธีคือทำจากน้ำมันที่ไหลออกจากหมูเค็มทอด เหลือติดก้นกระทะ   ใส่น้ำนมลงไป กวนไม่หยุดจนกว่าจะเข้ากันดี  ก็จะออกมาเป็นน้ำเกรวี่สีขาวข้นๆเป็นครีม คล้ายน้ำสลัด   ไม่ใช่น้ำเกรวี่สีน้ำตาลอย่างที่เรารู้จักกันมากกว่า
เวลากินก็ราดลงบนมันฝรั่ง หรือหมูไก่ชุบแป้งทอด อย่างในภาพ   


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 16:45
ข้าวโพดมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโก อเมริกากลาง และอเมริกาใต้   แต่เดินทางเข้ามาถึงสยามยังไงยังไม่ได้ไปสืบหาดู  จะติดเรือฝรั่งเข้ามาหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ    แต่น่าจะมีเป็น 100 ปีแล้ว   เพราะมีเพลงกล่อมเด็กเก่าแก่ที่บอกว่า
วัดเอ๋ยวัดโบสถ์        ปลูกข้าวโพดสาลี
ลูกเขยตกยาก         แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี
โอ้ข้าวโพดสาลี       ป่านฉะนี้จะโรยรา

ทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเรียกว่าข้าวโพดสาลีควบกันไป   ต่อมาจึงพบว่าข้าวโพดเป็นชื่อที่เรียกในภาคกลาง  ทางเหนือเรียกว่าสาลี

ลาลูแบร์ว่า ข้าวโพดสาลีนี้คือข้าวสาลี

ข้าวสาลีนั้นมีขึ้นในประเทศสยามตามที่ดอนอันน้ำท่วมไม่ถึง เขาใช้วิธีรดน้ำให้ด้วยกระป๋องน้ำรดต้นไม้เช่นที่ทำกันในสวนของพวกเรา (ชาวยุโรป) หรือไม่ก็ไขน้ำฝนที่กักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำอันตั้งอยู่ในที่สูงกว่าไร่ข้าวให้ไหลมาเอิบอาบซาบไปตามไร่นั้น ๆ แต่จะเป็นด้วยต้องเอาใจใส่มาก หรือสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย หรือว่าข้าว (สาร) นั้นมีมากพอสำหรับราษฎรสามัญจะใช้บริโภคกันอย่างเหลือเฟือแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ในประเทศสยามนั้นจึงยังมีแต่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีไร่ข้าวสาลีอยู่ และลางทีก็อาจเป็นเพราะทรงเห็นว่าเป็นของแปลกมากกว่าจะทรงนิยมในรสชาติของมันก็เป็นได้. ชาวสยามเรียกข้าวชนิดนี้ว่า ข้าวโพดสาลี (Kaou possali) และคำว่า ข้าว หมายความถึง ข้าวเจ้า (Du ris) อย่างเดียว. โดยที่คำว่าข้าวโพดสาลีนี้มิใช่คำในภาษาอาหรับ, ตุรกีหรือเปอร์เซีย ข้าพเจ้าจึงออกสงสัยในคำบอกเล่าที่ว่าชาวมัวร์เป็นผู้นำพันธุ์ข้าวสาลีไปสู่ประเทศสยาม. ชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในประเทศสยามสั่งแป้งสาลีมาจากเมืองสุรัต ทั้ง ๆ ที่ใกล้ ๆ กรุงสยาม (ศรีอยุธยา) ก็มีโรงสีลมสำหรับบดข้าวสาลีอยู่แห่งหนึ่งและที่ใกล้เมืองละโว้ ก็มีอีกแห่งหนึ่ง.

จาก จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม เขียนโดย มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร

 ;D



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 17:18
ทียังงี้ คุณเพ็ญชมพูไม่สงสัยว่าลาลูแบร์เล่าผิด แบบเดียวกับมะละกอบ้างหรือ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 17:24
คุณเทาชมพูลองอ่านที่คุณลาลูแบร์เขียนต่อไป

ในเมื่อฤดน้ำไม่ท่วมนองนานจนเกินไปนั้น ชาวสยามก็มี ข้าวสาลีตุรกี (bled de Turquie) แต่ชั่วปลูกกันในสวนเท่านั้นเอง ชาวสยามใช้ต้มหรือนึ่งข้าวสาลีตุรกีทั้งรวง โดยไม่แยกนวดออกมาเป็นเมล็ด ๆ เสียก่อน แล้วก็กัดกินแต่เมล็ดข้างในเท่านั้น.

คุณเทาชมพูว่า ข้าวสาลีตุรกีคือข้าวอะไร

 ;)


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 12 พ.ย. 12, 18:01
ผมเป็นงงกับข้าวโพดและข้าวสาลีมานาน จนกระทั่งโต  เพราะว่าเมื่อเด็กๆนั้น จำได้ว่าคนในภาคเหนือนั้นเรียกข้าวโพดว่าสาลี (ไร่สาลี) หรือข้าวสาลี (ปลูกข้าวสาลี)  ปัจจุบันนี้คนเฒ่าคนแก่ก็ยังเรียกดังนั้น

ต้นข้าวโพดกับต้นข้าวสาลี (และวิธีการปลูก ??) แตกต่างกันมาก  แล้วคำว่าสาลีนี้ คนภาคเหนือเอามาจากใหนกัน  อาหารทางภาคเหนือไม่มีการใช้ข้าวสาลี ยกเว้นเฉพาะขนมที่จะใช้แป้ง หรือว่าเป็นเพราะว่าขนมดั้งเดิมนั้นใช้แป้งที่เรียกว่าแป้งสาลี แต่ไม่เคยเห็นว่าแป้งนี้ทำมาจากต้นอะไร   เมื่อเอาเมล็ดข้าวโพดแห้งมาโม่มาบดก็ได้แป้งเหมือนกัน ก็เลยเรียกว่าแป้งสาลี (คือได้มาจากข้าวโพด) ก็เลยเรียกข้าวโพดว่าข้าวสาลี ???

ก็เลยนำไปสู่เรื่องที่คิดอย่างเลยเถิดไปไกลว่า ขนมและของหวานในภาคเหนือนั้น จากของดั้งเดิมต้นตำหรับที่เขาใช้แป้งสาลี ก็จะมิถูกแทนที่ไปด้วยการใช้แป้งข้าวโพดแทนกระนั้นหรือ

ไม่รู้จริงๆครับ  ???


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 12 พ.ย. 12, 18:04
คุณเทาชมพูลองอ่านที่คุณลาลูแบร์เขียนต่อไป
ในเมื่อฤดน้ำไม่ท่วมนองนานจนเกินไปนั้น ชาวสยามก็มี ข้าวสาลีตุรกี (bled de Turquie) แต่ชั่วปลูกกันในสวนเท่านั้นเอง ชาวสยามใช้ต้มหรือนึ่งข้าวสาลีตุรกีทั้งรวง โดยไม่แยกนวดออกมาเป็นเมล็ด ๆ เสียก่อน แล้วก็กัดกินแต่เมล็ดข้างในเท่านั้น.
คุณเทาชมพูว่า ข้าวสาลีตุรกีคือข้าวอะไร
 ;)

ฤา อำเภอไพสาลี จ.นครสวรรค์ จะำเป็นแหล่งปลูกและได้ชื่อมาจากการปลูกข้าวสาลีมาตั้งแต่โบราณโน่น   ???


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 18:34
VII. Of the Grain of Siam.

At Siam, in the Lands high enough to avoid the Inundation, there grows Wheat: they water them either with watering Pots like those in our Gardens, or by overflowing it with the Rain-water, which they keep in Cisterns much higher than these Lands. But either by reason of the Care or Expense, or that the Rice suffices for common use, the King of Siam only has Wheat; and perhaps more out of Curiosity than a real Gusto. They call it Kaou Possali, and the word Kaou simply signifieth Rice. Now these terms being neither Arabian, or Turkish, or Persian, I doubt of what was told me, that Wheat was brought to Siam by the Moors. The French which are settled there, do import Meal from Surrat; altho' near Siam there is a Windmill to grind Corn, and another near Louvo.

In a word, the Bread which the King of Siam gave us, was so dry that the Rice boil'd in pure water, how insipid soever, was more agreeable to me. I less wonder therefore at what the Relations of China report, that the Sovereign of this great Kingdom, altho' he has Bread, does rather prefer Rice: yet some Europeans assur'd me, that the wheaten Bread of Siam is good, and that the driness of ours must proceed from a little Rice-flower, which is doubtless mixt with the Wheat, for fear perhaps the Bread should fail.

At Siam I have seen Pease different from ours. The Siameses, like us, do make more than one Crop, but they make only one in a year upon the same Land: not that the Soil was not good enough, in my opinion, to yield two Crops in a year, as some have related concerning some other Cantons of India, if the Inundation did not last so long. They have Turky-Wheat only in their Gardens. They do boil or patch the whole Ear thereof, without unhusking or breaking off the Grains, and they eat the inside.  

จาก A NEW HISTORICAL RELATION OF THE KINGDOM OF SIAM  (http://thaishortstories.blogspot.com/2009/10/168.html) โดย Simone de La Loubère

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 19:11
ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส (http://books.google.co.th/books?id=PNUMAAAAYAAJ&printsec=frontcover&hl=th&source=gbs_ge_summary_r&cad=0#v=onepage&q&f=false) หน้า ๔๙-๕๐

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 21:17
ข้าวสาลีตุรกี คือภาพข้างล่างนี้   ภาษาอังกฤษน่าจะเป็น Turkey wheat หรือ Turkish wheat  ???


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 21:32
อาหารเช้าวันคริสต์มาส
Then Laura gathered up all the paper wrappings, and she helped Ma set on the table the big platter of golden, fried mush, a plate of hot biscuits, a dish of fried potatoes, a bowl of codfish gravy and a glass dish full of dried-apple sauce.
“I’m sorry we have no butter,” said Ma. “Our cow gives so little milk that we can’t make butter anymore.”
But the codfish gravy was good on the mush and the potatoes, and nothing could taste better than hot biscuits and applesauce. Such a breakfast as that, like Christmas, came only once a year.

มัช หรือ mush ทำจากข้าวโพดป่น ที่เรียกว่า cornmeal  เอามาผสมกับนม หรือน้ำ ใส่เกลือนิดหน่อย กวนจนข้นคล้ายแป้งเปียก ต้มบนไฟให้สุก  รับประทานเป็นอาหารเช้า   ลักษณะคล้ายพอริดจ์ของอังกฤษ 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 21:35
แต่ในเรื่องนี้ แม่นำข้าวโพดเปียกที่ว่ามาปั้นเป็นก้อน แล้วทอดด้วยน้ำมันหมู   
ออกมาเป็นรูปแบบนี้ค่ะ   รับประทานกับน้ำเกรวี่ทำจากปลาค้อด  เป็นอาหารเช้าเช่นกัน


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 21:39
รูปนี้คือปลาค้อด ที่มีน้ำเกรวี่หล่ออยู่รอบๆชิ้นปลา     แต่ในนิยายบ้านเล็ก ไม่มีปลาสดอย่างในรูป  มีแต่ปลาค้อดแช่เค็ม เวลาประกอบอาหาร จึงมีแต่น้ำเกรวี่เฉยๆ ไม่มีปลาอยู่ในชาม


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 21:42
ข้าวสาลีตุรกี คือภาพข้างล่างนี้   ภาษาอังกฤษน่าจะเป็น Turkey wheat หรือ Turkish wheat  ???

คุณสันต์ ท. โกมลบุตร กล่าวถึงข้าวสาลีตุรกี (bled de Tuequie) ว่า

ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าเป็นข้าวอะไร ต่อเมื่อเปิดพจนานุกรมดูจึงทราบคือว่า maïs หรือ ข้าวโพด นั่นเอง

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 21:46
nothing could taste better than hot biscuits and applesauce.
แอปเปิ้ลซอส ทำจากเนื้อแอปเปิ้ล ผสมเครื่องปรุงอย่างน้ำตาลเคี่ยวและเครื่องเทศอย่างอบเชย  กินกับขนมปังบิสกิ้ต แบบเดียวกับกินขนมปังแผ่นกับแยม เป็นอาหารมื้อเช้า


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 21:48
ข้าวสาลีตุรกี คือภาพข้างล่างนี้   ภาษาอังกฤษน่าจะเป็น Turkey wheat หรือ Turkish wheat  ???

คุณสันต์ ท. โกมลบุตร กล่าวถึงข้าวสาลีตุรกี (bled de Tuequie) ว่า

ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าเป็นข้าวอะไร ต่อเมื่อเปิดพจนานุกรมดูจึงทราบคือว่า maïs หรือ ข้าวโพด นั่นเอง

 ;D
ก็เข้าเค้าว่าเป็นข้าวโพดหากแปลว่าเป็นพืชประเภทข้าวที่กินทั้งฝัก ไม่ใช่ทั้งรวง   ถ้ากินทั้งรวงยังสงสัยว่ากินข้าวเปลือกเข้าไปหรือยังไง
แต่ในกูเกิ้ลแปล Turkey wheat  คนละอย่าง ไม่มีอะไรเหมือนข้าวโพดเลย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 22:03
The dictionary of merchandize : and nomenclature in all European languages for the use of counting-houses, &c., containing the history, places of growth, culture, use and marks of excellency, of such natural productions as form articles of commerce (1815) (http://books.google.co.th/books?id=8NkvAAAAYAAJ&pg=PA177&lpg=PA177&dq=indian+corn+bled+de+Turquie&source=bl&ots=kanICxHR8m&sig=3rtWl3-QF8sv8X33qhrSNEoSsWY&hl=th&sa=X&ei=3Q-hUI6ZKs_qrQeb-IGYCg&ved=0CCMQ6AEwAQ#v=onepage&q&f=false)  หน้า ๑๗๗-๑๗๘

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 22:15
เมื่อแม่ทำขนมปังบิสกิ้ตกินเองในบ้าน    แม่วัวให้นมน้อยจนไม่พอจะทำนมเปรี้ยวอันเป็นส่วนประกอบของขนมปัง    จึงต้องใช้แป้งหมัก (sour dough) แทน  
ในหนังสือตอนนี้ บอกวิธีทำแป้งหมัก คือหมักแป้งกับน้ำอุ่น แล้วทิ้งไว้จนมันเปรี้ยว  แล้วค่อยนำมาทำขนมปัง
“When you haven’t milk enough to have sour milk, however do you make such delicious biscuits,Laura?” she asked.
“Why, you just use sour dough,” Laura said.
Mrs. Boast had never made sour-dough biscuits! It was fun to show her. Laura measured out the cups of sour dough, put in the soda and salt and flour, and rolled out the biscuits on the board.
“But how do you make the sour dough?” Mrs. Boast asked.
“You start it,” said Ma, “by putting some flour and warm water in a jar and letting it stand till it sours.”
“Then when you use it, always leave a little,” said Laura. “And put in the scraps of biscuit dough, like this, and more warm water,” Laura put in the warm water, “and cover it,” she put the clean cloth and the plate on the jar, “and just set it in a warm place,” she set it in its place on the shelf by the stove. “And it’s always ready to use, whenever you want it.”
“I never tasted better biscuits,” said Mrs. Boast.

รูปบน คือแป้งหมัก  
รูปล่าง ขนมปังบิสกิ้ตทำจากแป้งหมัก


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 14:19
อาหารมื้อกลางวันในวันคริสต์มาส เป็นอาหารพิเศษยิ่งกว่ามื้อเช้า     ถ้าหากว่าเป็นยุคปัจจุบันที่หาซื้อเนื้อสัตว์ตามซูเปอร์ได้ง่าย   เขาก็จะทำไก่งวงอบเป็นอาหารจานหลัก     แต่ครอบครัวของลอร่าอาศัยอยู่กลางทุ่งกว้างริมทะเลสาบ  จะไปหาหมูหาไก่ที่ไหนมา  พ่อก็ต้องไปล่าสัตว์ในทุ่งคือพวกกระต่ายป่า (Jack rabbit) มาเป็นอาหารฉลองวันคริสต์มาส
ไม่เคยกินกระต่าย  แต่ได้ยินมาว่าเนื้อมันนิ่มและหวาน  คงต้องฝากท่านที่เคยเนื้อกระต่ายมาเล่าให้ฟังอีกที ว่าอร่อยมากน้อยแค่ไหน   ส่วนไก่งวงนั้นเคยกิน รู้สึกว่าเนื้อหยาบกว่าเนื้อไก่ แต่รสชาติก็คล้ายๆกัน

ผู้เขียน By the Shore of Silver Lake บรรยายว่า
Before Pa, on the big platter, lay the huge roasted rabbit with piles of bread-and-onion stuffing steaming around it. From a dish on one side stood up a mound of mashed potatoes, and on the other side stood a bowl of rich, brown gravy.
แม่ทำกระต่ายย่าง  เห็นทีจะไม่ได้ย่างด้วยฟืน  เพราะอากาศหนาวเกินกว่าจะออกไปตั้งเตาย่างอยู่กลางแจ้ง    แต่เป็นการย่างในเตาอบ   และไม่ได้ย่างเฉยๆอย่างไก่ย่างห้าดาว แต่มีการยัดไส้ด้วยขนมปังกับหัวหอม    ซึ่งเอามากองไว้รอบๆตัวกระต่ายให้กินแยกต่างหากด้วย
ไปหารูปกระต่ายมาจากอินทรเนตรได้หลายรูป    มีทั้งแยกเป็นชิ้นๆและย่างทั้งตัว  ขอสารภาพว่ารูปเนื้อกระต่ายแยกเป็นชิ้นๆนั้นดูแล้วเฉยๆเพราะคล้ายเนื้อไก่    แต่กระต่ายทั้งตัวนี่ดูแล้วขนลุกขนพอง อาจเป็นเพราะไม่เคยชินเท่าไก่ย่างทั้งตัวก็ได้ค่ะ

รูปที่นำมาลงคือกระต่ายย่างทั้งตัว  และรูปขวาคือขนมปังกับหัวหอม  ยัดไส้กระต่าย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 14:20
From a dish on one side stood up a mound of mashed potatoes, and on the other side stood a bowl of rich, brown gravy.
อาหารพิเศษอีกจานคือมันบด ทำจากมันฝรั่ง  กินกับน้ำเกรวี่


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 14:22
เนื้อกระต่ายย่าง หั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ  ดูคล้ายเนื้อไก่


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 15:56
พ่อแม่ของลอร่าเลี้ยงอาหารคริสต์มาสให้สามีภรรยาโบ๊สต์     ในวันปีใหม่ ทั้งสองก็เลี้ยงอาหารกลางวันตอบแทน
หนึ่งในนั้นคือ ซุปหอยนางรม oyster soup
First, there was oyster soup. In all her life Laura had never tasted anything so good as that savory, fragrant, sea-tasting hot milk, with golden dots of melted cream and black specks of pepper on its top, and the little dark canned oysters at its bottom.
ซุปหอยนางรมทำจากหอยนางรมกระป๋อง  ใส่ลงในน้ำซุปทำจากนม  และโรยพริกไทยเพิ่มรสชาติ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 16:00
And with this soup, there were little round oyster crackers. The little oyster crackers were like doll-crackers, and they tasted better because they were so light and small.

นอกจากนี้ยังมีขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆกลมๆ ให้กินควบกันไปกับซุป เรียกว่าขนมปังหอยนางรม   
ดูจากรูปแล้วนึกถึงขนมหน้าตาคล้ายๆแบบนี้ที่เคยเห็นตอนเด็กๆ  เขาไม่ได้ใส่กล่อง แต่ใส่ปิ๊บขายตามร้านของชำ    บางอย่างก็เป็นขนมแบบนี้  บางอย่างก็มีจุกเป็นรูปดอกไม้ทำด้วยน้ำตาลสีต่างๆติดอยู่ตรงกลาง
ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังมีขายอยู่หรือเปล่า   ใครจำได้บ้างคะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 16:23
When the last drop of soup was gone, and the last crackers divided and crunched, there were hot biscuits with honey, and dried-raspberry sauce.

ขนมปังบิสกิ้ตกินกับน้ำผึ้ง


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 16:28
เรื่องขนมปังกินกับน้ำผึ้ง พอนึกภาพออก  เพราะตอนเด็กๆก็เคยกินขนมปังแผ่นจิ้มกับนมข้นมาแล้ว   ส่วนซอสราสเบอรี่ที่กินกับขนมปังบิสกิ้ต  ก็คงคล้ายๆกับเรากินขนมปังทาแยม 



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 16:30
แต่แปลกใจนิดหน่อย ว่าซอสราสเบอรี่ (หรืออาจเป็นซอสผลไม้อย่างอื่น) ฝรั่งเขาใช้กินกับของคาว พอๆกับของหวาน     
ในอินทรเนตรพบว่าเอาซอสนี้ มาราดไอศกรีมก็มี  ราดเค้กก็มี    แล้วก็ยังเอาไปราดเป็ด(อบหรือย่าง)  ราดหมูย่าง เนื้อย่างหรืออบ    แสดงว่าเป็นของหวานที่ผสมกับของคาวได้สนิทปาก


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 พ.ย. 12, 17:11
คุณเทาชมพูมีข้อแปลกใจว่า ซอสราสเบอรี่ใช้กินกับของคาวพอๆกับของหวาน

อ่านแล้วทำให้นึกเห็นภาพจากประสบการณ์ว่า ข้อสังเกตนี้เป็นความจริงครับ  ก็ไม่ทราบคำตอบเหมือนกัน แต่พอจะเดาๆเอาจากรสชาติสดๆของผลไม้พวกเบอรีที่เกิดในธรรมชาติที่เคยลิ้มลองรสว่า ราสเบอรี่และแบล็คเบอรี่สดจะมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ คล้ายๆกับลูกหม่อน (มอนเบอรี่) ส่วนเบอรี่อื่นๆนั้นจะออกรสไปทางหวานล้่วนๆผสมฝาดเล็กน้อย     ราสเบอรี่จึงมีรสที่อาจจะเหมาะกับอาหารต่างๆมากกว่าพวกเบอรี่ที่ออกรสหวานแต่เพียงอย่างเดียว สมัยก่อนนั้นยังไม่มีการทำสวนเบอรี่ต่างๆอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อาจจะเป็นด้วยสูตรอาหารที่ตกทอดกันมาว่าอะไรควรจะแนมด้วยอะไร ก็เลยกลายเป็นสูตรมาตรฐานที่คงอยู่ถึงปัจจุบัน



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 พ.ย. 12, 17:27
พูดถึงเป็ดอบของฝรั่งที่ชอบกินกับซอสรสหวานนั้น อยู่ต่างประเทศมาก็นานก็ยังไม่คุ้นปากและรสชาติว่ามันไปด้วยกันและอร่อยอย่างไรเอาเลย อาจจะเป็นเฉพาะสไตล์ของการทำแบบฝรั่งเศสก็ได้  ในยุโรปที่ติดไปทางตะวันออก นิยมทำเป็ดอบแบบออกรสเค็มแล้วแนมด้วยผักดอง หนังแห้งกระเดียดไปทางกรอบ เนื้อค่อนข้างแห้งและเปื่อยยุ่ย ผมว่าอร่อยกว่ามากๆ เทียบระดับชั้นความอร่อยได้กับเป็ดย่างร้านอร่อยๆของไทยเลยทีเดียว  ผมเคยกินร้านที่ทำได้อร่อยสุดๆ เรียกน้ำย่อยด้วยตับห่าน pan fried ที่อร่อยสุดๆเช่นกัน เป็นร้านอยู่ในเมืองเล็กๆริมแม่น้ำดานูป ในชนบทของออสเตรีย พาใครไปกินก็ไม่เคยผิดหวังเลย

 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 พ.ย. 12, 18:05
สำหรับกระต่ายย่างหรืออบนั้น
ภาพใน ค.ห.ที่ 101 ของคุณเทาชมพูที่ได้กรุณาไปค้นมา ที่ต้นตอของภาพเขาว่าเป็นเนื้อกระต่ายนั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่เนื้อกระต่ายครับ ดูจะเป็นเนื้ออกไก่เสียมากกว่า  มีข้อกังขาในภาพนี้อยู่สองเรื่อง คือ ความหยาบและสีของเนื้อ และปริมาณเนื้อที่สามารถจะเลาะออกมาได้เป็นก้อนใหญ่ขนาดนั้น
   
เนื้อกระต่ายที่เคยกินในอาหารแบบฝรั่งนั้น ดูจะนิยมทำกันในสองรูปแบบ คือ อบหรือย่าง กับทำเป็นสตูว์     เนื้อกระต่ายดูจะเป็นเนื้อหยาบๆ เป็นเส้นๆ คล้ายเนื้อหนูนาของบ้านเรา มีสีคล้ำ มีกลิ่นสาบหญ้า ปริมาณเนื้อไม่มาก ชิ้นที่ใส่มาในจานอาหารจึงมีกระดูกติดมาเสมอ แถมยังมีกรณีถามด้วยว่านิยมส่วนใหน  สำหรับผมนั้น ผมว่าเนื้อกระต่ายทำแบบฝรั่งไม่อร่อยเลย  ทำแบบไทยใส่กระเทียมพริกไทยอร่อยกว่ามากเลยครับ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 18:55
ภาพที่ 101  ย้อนกลับไปดู เขาบรรยายว่า Oven-Roasted Rabbit with Mustard Sauce ค่ะ  
เป็นไปได้ว่าเป็นภาพขยายใหญ่ ก็เลยดูว่าเนื้อขากระต่ายอ้วนใหญ่ราวกับขาไก่     ดิฉันก็เลยลดขนาดภาพลง เพื่อให้คุณตั้งมองเห็นขนาดความกว้างของขอบจานที่ใส่ขากระต่าย   จะได้เปรียบเทียบขนาดได้ง่ายขึ้น   มันอาจจะดูเล็กลงมากก็ได้ในภาพขนาดเล็กค่ะ

ส่วนข้างล่างนี้เป็นกระต่ายแล่เนื้อเป็นชิ้นๆแล้วย่างค่ะ กินกับมันฝรั่งต้ม


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 12, 19:06
ซอสของหวานที่เอามากินแกล้มกับของคาว อีกอย่างหนึ่งที่นึกออกคือเยลลี่(หรือซอส)แครนเบอรี่ ที่เอามากินกับไก่งวงในวันคริสต์มาส    ซอสชนิดนี้ไม่เคยเห็นกินกันในอาหารมื้อธรรมดา  เห็นแต่ตอนคริสต์มาส   
ที่จริงมันน่าจะเอามากินกับขนมปัง เหมือนทาแยม    แต่เขาเอามากินกับเนื้อไก่ซึ่งเป็นของคาว  มันก็ผสมกันไม่ค่อยจะลง  ต้องกินกันคนละที  ให้ลงไปผสมกันเองในกระเพาะค่ะ

อ่านที่คุณตั้งบรรยายถึงเนื้อกระต่ายแล้ว   หมดความสนใจไปเลย   
ในนิยายเรื่องนี้เขาบอกว่า กระต่ายที่เอามาอบหรือย่างกินนั้นเป็น Jack rabbit   คงเป็นกระต่ายป่าตัวโต  ไม่ใช่กระต่ายตัวเล็กๆที่เราเลี้ยงอยู่ในกรง    น่าจะมีเนื้อพอสมควร    เพราะในเรื่อง พ่อไปล่ากระต่ายตัวโตมาตัวเดียวสำหรับกินกับ 6 คน พ่อแม่และลูกอีกสี่  มีเพื่อนฝูงมาร่วมวงด้วยอีก 2 ก็เป็น  8 คน
ข้างล่างนี้คือไก่งวงกับซอสแครนเบอรี่



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ย. 12, 16:23
ในเรื่อง "ริมทะเลสาบสีเงิน"   ครอบครัวของลอร่าไม่มีโอกาสกินผักกันเลย     เสบียงอาหารที่ตุนไว้ในบ้านตลอดฤดูหนาว ก็มีแต่พวกเนื้อแช่เกลือ  แป้ง  เครื่องกระป๋อง เช่นแตงกวาดองและลูกพีชเชื่อม   ผักเองก็ไม่ได้มีขายกันง่ายๆ  ต้องไปหาเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกกันเอง
เพิ่งมาได้กินผักก็ต่อเมื่อย้ายไปอยู่ในที่ดินจับจอง และปลูกผักสวนครัวกินกันเอง ในตอนที่ชื่อว่า Little Town on the Prairie หรือ เมืองเล็กในทุ่งกว้าง

มาดูกันว่าผักที่ปลูกกินกันเองมีอะไรบ้างนะคะ
They were allenjoying good bread and butter, fried potatoes, cottage cheese and lettuce leaves sprinkled with vinegarand sugar.
ในนี้บอกว่ากินขนมปังกับเนย ยืนพื้นเหมือนเรากินข้าว   มันฝรั่งทอด  คอตเตจชีส หรือเนยขาว แล้วก็ผักกาดหอมพรมด้วยน้ำส้มสายชูและน้ำตาล
คำว่ามันฝรั่งทอดในที่นี้ทำให้คิดอยู่หลายตลบว่าเป็นแบบไหน    เพราะมันฝรั่งทอดของอเมริกันมีหลายแบบ    อย่างในรูปข้างล่างที่เอามาให้ดู  รูปบนซ้ายจะคล้ายๆที่เราเรียกว่าเฟรนช์ฟรายด์   คือหั่นเป็นชิ้นเรียวๆ ลงทอดน้ำมัน   อย่างขวาคือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มให้สุกนุ่มดีก่อนแล้วจึงลงทอดน้ำมันอีกที   
ส่วนรูปล่าง ฝานเป็นชิ้นบางๆทอด  เหมือนมันฝรั่งเลย์ในบ้านเรา เพียงแต่สดกว่า เพราะขึ้นจากกระทะก็กินเลย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 พ.ย. 12, 17:57
ขอย้อนกลับไปนิดหน่อย เป็นเรื่องของผักเช่นกัน 
คุณเทาชมพูได้พาดพิงถึงผมว่า คงจะเคยทานเนื้อต้มกล่ำปลี (ค.ห.ที่ 79)

เนื้อต้มกล่ำปลีนี้ น่าจะเป็นอาหารพื้นฐานแต่ดั้งเดิมของชาวบ้านฝรั่งทั่วไป เป็นประเภทซุปมีเนื้อ กินกับขนมปัง ไม่กินกับบิสกิต ซุปประเภทนี้ปรกติจะเห็นกินกันเฉพาะมื้อกลางวันกับมื้อเย็น หรือหลังจากกลับจากทำงานในอากาศเย็นนอกบ้านมาทั้งวัน

ครับ ผมเคยกิน แต่มิใช่ต้มกับเนื้อวัวโดยตรง  เคยกินในยุโรป ซึ่งนำเอาเนื้อหมูและเนื้อวัวมาสับปนกัน ทำเป็นก้อนๆต้มคล้ายหมูบะช่อ แล้วก็เคยกินประเภทที่ทำให้ดูดีสวยงาม คือเอาเนื้อหมู (เนื้อแดง) กับเนื้อวัวไร้มันที่สับปนกันนี้ มาห่อเป็นท่อนๆ โดยใช้ใบกล่ำปลีลวกน้ำแล้วถากเอาแกนกลาง (ก้านใบ) ออกให้บาง ห่อด้วยเชือกซึ่งมัดคล้ายๆข้าวต้มมัด เวลาจะกิน ก็แยกเอาเนื้ออกมาใส่จาน กินแบบแนมด้วยมันฝรั่งต้ม หรือ knodel  ส่วนน้ำซุปก็ใส่ถ้วยกินแยกออกไป โดยอาจจะโรยด้วยครูตอง หรือแพนเค็กบางๆซอยเป็นเส้นๆ หรือลอย knodel ลงไป แล้วเปลี่ยน knodel ในจานเป็นอย่างอื่น เช่น เป็น Sauerkrout ต้ม โรยด้วยเกล็ดเบคอนทอดกรอบก็ได้ จะเรียกว่าเป็นอาหารประเภทเนื้อไปทางน้ำไปทางก็คงจะได้

รสชาติของน้ำซุปและท่อนใบกล่ำห่อเนื้อหมูปนเนื้อวัวนี้ เหรอครับ  ผมว่า กลิ่นมันตีกันน่าดูเลย บอกไม่ถูก ไม่ชวนกินเท่าใดนัก ลองนึกถึงกลิ่นคาวของเนื้อที่แรงกว่าหมู ผนวกกับกลิ่นใบกล่ำปลี  แถมบะช่อเนื้อหมูปนเนื้อวัวนั้น นอกจากจะมีกลิ่นดังกล่าวแล้วและยังมีลักษณะหยาบๆ แห้งๆ สวกๆ ไม่นิ่มนวลเหมือนหมูบะช่อที่มีมันหมูปนอยู่ด้วย    อาจจะเป็นเพราะเราไม่คุ้นกับต้มจืดที่ใส่เนื้อวัวแทนเนื้อหมูก็ได้ ว่าไปแล้วมีท่านผู้ใดเคยทานต้มจืดที่ใส่เนื้อวัวบ้างครับ
 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ย. 12, 18:42
กระหล่ำปลียัดไส้ที่คุณตั้งเล่า คงเป็นอาหารทางยุโรปตะวันออก มากกว่าตะวันตก  อ่านพบว่ามีตำรับของฮังกาเรียน    แต่ดิฉันเป็นคนไม่กินเนื้อวัว ก็เลยไม่มีโอกาสได้ชิมรสชาติอันไปกันคนละทางสองทางระหว่างผัก เนื้อ กับหมู
เอารูปมาลงประกอบค่ะ เป็นกระหล่ำปลีห่อไส้เนื้อวัวปนเนื้อหมูอย่างที่คุณตั้งบอก    ส่วนน้ำที่ราดเป็นซอสหรือเกรวี่ยังดูไม่ออก
แต่อาหารชนิดนี้ไม่ปรากฏในนิยายชุด "บ้านเล็ก"    แม่ของลอร่าสืบเชื้อสายมาจากชาวสก๊อต   คงไม่ทำอาหารประเภทนี้


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ย. 12, 18:50
อ้างถึง
ว่าไปแล้วมีท่านผู้ใดเคยทานต้มจืดที่ใส่เนื้อวัวบ้างครับ
ตอนเด็กๆเมื่อยังกินเนื้อวัวอยู่  เคยกินแต่เกาเหลาเนื้อวัวค่ะ  พอจะคล้ายต้มจืดบ้างไหม

ขอย้อนไปถึงผักที่คล้ายกระหล่ำปลี คือผักกาด   ในเรื่อง ครอบครัวนี้กินผักกาด พรมด้วยน้ำส้มสายชูและน้ำตาล
They were all enjoying good bread and butter, fried potatoes, cottage cheese and lettuce leaves sprinkled with vinegar and sugar.
ผักกาดที่ว่านี้น่าจะเป็นผักกาดสด เหมือนเรากินสลัดผัก  ไม่ได้เอาไปทอดไปผัด    การพรมน้ำส้มและน้ำตาลก็คล้ายๆเรากินผักสลัดใส่น้ำสลัดชนิดใส   แต่น้ำตาลทราบเป็นของแพงหายากในยุคนั้น  จึงใส่อาหารแค่นิดๆหน่อยๆ พอให้มีรสเปรี้ยวระคนหวาน เสริมรสจืดของผักกาด


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ย. 12, 18:53
ส่วนซุปกระหล่ำปลีใส่เนื้อวัว   ในอินทรเนตรมีทั้งอย่างน้ำซุปค่อนข้างใส และน้ำซุปค่อนข้างข้น  คุณตั้งอาจจะเคยรับประทานมาทั้ง 2 แบบ  คงเป็นเมนูใครเมนูมัน


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ย. 12, 21:00
They were all enjoying good bread and butter, fried potatoes, cottage cheese and lettuce leaves sprinkled with vinegar and sugar.
เหลือของกินอย่างสุดท้ายบนโต๊ะ  คือ cottage cheese   แม้มีคำว่า cheese  แต่มันก็ไม่ใช่เนยแข็ง  คุณสุคนธรสผู้แปลนิยายชุดนี้เรียกว่า "เนยขาว" แล้วทับศัพท์ว่าคอตเตจชีส    ลักษณะมันคล้ายๆโยเกิร์ต  ทำจากหางนม  เติมมะนาวและเกลือเล็กน้อย ใส่เครื่องเทศลงไปตามใจชอบเพื่อเอากลิ่น เช่นผักชีฝรั่ง หรือจะไม่ใส่ก็ได้   
คอตเตจชีสเป็นของกินอีกอย่างที่เรียกได้ว่าสารพัดแกล้ม    โดยตัวของมันเองเอามากินเฉยๆไม่ได้   ต้องกินกับอะไรอีกสักอย่าง   ในที่นี้พี่หรั่งเอามากิน ทั้งกับแป้ง ผลไม้ ของหวาน ของคาว  จนอ่านแล้วมึนงงไปหมดว่ามันเป็นเครื่องประกอบของหวานหรือของคาวกันแน่

รูปที่นำมาให้ดูข้างล่างนี้ รวบรวมมาจากของกินที่มีคอตเตจชีสประกอบ  จะเห็นว่ากินกับผลไม้อย่างแอปเปิ้ลก็ได้ เหมือนเรากินสตรอเบอรี่กับวิปครีม   เอาไปทำเป็นไส้ขนมพายก็ได้ เป็นของหวานเรียกว่า"คอตเตจชีสพาย"  รูปขวาบนเป็นคอตเตจชีสราดบนซีเรียลเป็นอาหารเช้า
ภาพซ้ายกลาง เป็นคอตเตจชีสที่เอาไปผัดกับขนมปังทอด   กลายเป็นขนมปังหน้าเนยขาว ใส่ผักลงไปเล็กน้อย  กินเป็นของคาว
ภาพซ้ายล่างคือคอตเตจชีส หยอดบนหน้าแครกเกอร์ กินเป็นของว่าง


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ย. 12, 20:06
เมื่อปลูกผักกินกันเองได้แล้ว    นิยายบ้านเล็ก จึงมีบทบรรยายถึงผักที่นำมาตั้งบนโต๊ะอาหารของครอบครัวลอร่าอีกตอนหนึ่ง ว่า
There were little new potatoes for dinner, creamed with green peas, and there were string beans and green onions. And by every plate was a saucer full of sliced tomatoes, to be eaten with sugar and cream.
"Well, we've got good things to eat, and plenty of them," said Pa, taking a second helping of potatoes and peas.
new potatoes  หมายถึงหัวมันฝรั่งที่ยังอ่อนอยู่  ลูกเล็กๆ ยังไม่โตเต็มที่   สามารถเอามาทำอาหารได้โดยไม่ต้องรอให้โตเต็มที่เสียก่อน    เนื้อยังแข็งพอที่จะไม่เละเมื่อเอามาต้ม แต่ก็นิ่มพอจะกินได้อร่อยและมีรสหวานในเนื้อมากกว่ามันฝรั่งลูกโตๆ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ย. 12, 20:06
ตอนนี้ บรรยายว่าอาหารที่แม่ทำคือมันฝรั่งหัวเล็กๆใส่ครีมกับถั่วลันเตา    หน้าตาเป็นอย่างในรูปข้างล่างนี้ค่ะ



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ย. 12, 20:09
There were little new potatoes for dinner, creamed with green peas, and there were string beans and green onions.
ไม่แน่ใจว่ากินถั่วฝักยาวสดๆ  ต้นหอมสดๆ หรือว่าเอาทั้งสองอย่างนี้มาทำให้สุก แล้วคลุกเข้าด้วยกัน   กินแบบสลัดผัก
รูปที่หาเจอ ไม่มีถั่วฝักยาวผัดกับต้นหอมค่ะ  มีแต่ผัดกับหัวหอม


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 พ.ย. 12, 21:24
^
ดูจากเมนูอาหารแล้ว  string beans and green onions  อาจะเป็นอีกรูปแบบวิธีการทำก็ได้เหมือนกันครับ

เมนูถั่วฝักยาวของอเมริกันนี้ เคยเห็นนิยมทำกินกันอีกแบบ คือเอามาต้มกับน้ำมันที่เก็บมาจากการทอดเบคอน ที่จริงก็ไมใช่การต้มแบบน้ำมันท่วม ใช้น้ำมันพอประมาณ (ออกไปทางปริมาณมาก) ใส่หม้อใส่ถั่วตั้งบนไฟอ่อนๆจนถั่วนิ่มจัดๆ     แม่ของเพื่อนผมยังผันต่อไปอีก พอถั่วฝักยาวนิ่มดี ก็เทน้ำมันออก เปิดกระป๋องเอาครีมออฟมัชรูมซุปใส่ลงไปกวนให้เข้ากัน เอามาเป็นซอสกินกับเนื้อสเต๊กย่าง อร่อยดีจังเลยครับ 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 พ.ย. 12, 21:38
อ่านถึงเรื่อง เอาน้ำส้มสายชูพรมบนผักสลัดแล้วโรยน้ำตาลเล็กน้อย  ทำให้สะดุดคิดไปในอีกเรื่องหนึ่งว่า  สลัดของคนยุโรปในแผ่นดินใหญ่นั้น ตามปรกติจะมีเพียงขวดน้ำมันมะกอกกับขวดน้ำส้ม ให้เทผสมกันตามชอบ ในการทำอาหารทั้งหลายก็แทบจะไม่กล่าวถึงการใช้น้ำมันจากสัตว์เลย  ซึ่งดูจะต่างไปจากคนอังกฤษ ที่จะมีการใช้น้ำมันจากสัตว์เป็นปรกติ อเมริกันชนเชื้อสายทางอังกฤษดังในหนังสือนี้นั้น จึงมีการทำอาหารในลักษณะนี้  ยังไม่มีการกล่าวถึงการใช้น้ำมันมะกอกเลย   

อีกประการหนึ่ง ดูจะเห็นเฉพาะคนอังกฤษและอเมริกันเท่านั้น ที่เหยาะน้ำส้มบนมันฝรั่งทอด ใไม่เคยสังเกตเห็นคนในแผ่นดินใหญ่ยุโรปกระทำกัน

ข้อสังเกตเหล่านี้จะผิดถูกอย่างไรมิทราบครับ 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ย. 12, 22:08
ในเรื่อง "บ้านเล็ก" ไม่มีการเอ่ยถึงน้ำมันมะกอกมาปรุงอาหารเลยค่ะ      มีแต่น้ำมันจากสัตว์ ในที่นี้คือน้ำมันหมู จากหมูเค็มที่มีทั้งเนื้อและไขมัน   เขากินกันเอาจริงเอาจังจนนึกสงสัยว่าสมัยนั้นไขมันไม่จุกเส้นเลือดตายกันบ้างหรือ   เป็นได้ว่าคนสมัยนั้นใช้แรงงานกันมาก   ไม่ได้นั่งโต๊ะทั้งวันอย่างคนยุคเรา    ไขมันจึงถูกเผาผลาญไปโดยง่าย
คุณตั้งพูดถึงครีมออฟมัชรูมซุปที่เอามาใส่ถั่วฝักยาว กินกับเนื้อย่าง        ในนิยายเรื่องนี้ก็ไม่เอ่ยถึงอาหารทำจากเห็ดเลย    อาจไม่มีการเพาะเห็ด  หรือไม่ในรัฐเซาท์ดาโกต้า อากาศอาจไม่เหมาะกับเห็ดขึ้นอยู่ก็ได้

รูปข้างล่างนี้  cream of mushroom soup


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ย. 12, 22:26
And by every plate was a saucer full of sliced tomatoes, to be eaten with sugar and cream.

เพิ่งนึกได้ว่ามีของกินอีกอย่างบนโต๊ะที่ยังไม่ได้เอ่ยถึง    นอกจากผักที่บรรยายมาข้างบนแล้ว  ครอบครัวนี้ยังกินมะเขือเทศสุกฝานเป็นชิ้นบางๆ   กินกับน้ำตาลและครีม 
ในเมื่อมะเขือเทศที่ว่านี้ใส่อยู่ในจานรองถ้วย วางไว้ข้างจานอาหารของแต่ละคน   ก็น่าจะกินเป็นของหวาน หรือของแกล้มอาหารจานหลัก    ไม่ใช่เป็นของคาวอีกจานหนึ่ง
ปกติเรากินมะเขือเทศเป็นส่วนหนึ่งของสลัด หรือไม่ก็ใส่มาในข้าวผัด     ถ้ากินอย่างฝรั่งก็กินซุปมะเขือเทศ  ทั้งหมดนี้ถือเป็นของคาว  ยังนึกไม่ออกว่าคนไทยกินมะเขือเทศเป็นของหวานแบบไหนนะคะ

มะเขือเทศราดครีมใส่น้ำตาลด้วยนี้เห็นทีจะกินคล้ายๆเรากินสตรอเบอรี่กับวิปครีมละมัง     แต่ครีมที่บอกในหนังสือ อาจไม่มีรสหวาน เป็นครีมจืดๆ เลยต้องใส่น้ำตาลด้วย     



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 18:45
ครอบครัวของลอร่าปลูกข้าวโอ๊ตและข้าวโพด  เพื่อนำไปขายและกินกันเองในบ้าน   แต่ก็ต้องผจญกับศัตรูพืชขนาดใหญ่คือ "นกดำ" ที่แห่กันมานับร้อยๆพันๆ    ลงกินพืชผลในทุ่งนาจนเสียหายหมด

นกดำที่ว่านี้มีหลายชนิดด้วยกัน   ทีแรกก็นกดำธรรมดา  ต่อมาก็คือนกดำตัวใหญ่หัวสีเหลือง และนกดำหัวแดงที่มีจุดสีแดงบนปีก

At first there were only common blackbirds. Then came larger, yellow-headed blackbirds, and blackbirds with red heads and a spot of red on each wing. Hundreds of them came.

ตอนอ่านเรื่องนี้สมัยเป็นเด็ก  ไม่รู้ว่านกดำคืออะไร  ทีแรกเข้าใจว่าเป็นอีกา    แต่อ่านๆไปก็คิดว่าไม่ใช่   เพราะนกพวกนี้เนื้ออร่อย   ไม่เคยกินเนื้ออีกาก็จริง  แต่ไม่คิดว่ามันอร่อย  ไม่งั้นคนไทยคงกินกันหมดแล้ว 

After breakfast Pa came to the house, bringing both hands full of birds he had shot.
"I never heard of anyone's eating blackbirds," he said, "but these must be good meat, and they're as fat as butter".
พ่อบอกว่า เนื้อมันน่าจะอร่อย  เพราะดูมันย่องเหมือนเนย

Laura dressed the birds, and at noon Ma heated the frying-pan and laid them in it. They fried in their own fat, and at dinner everyone agreed that they were the tenderest, most delicious meat that had ever been on that table.

เนื้อนกดำที่ว่านี้ทั้งนุ่ม ทั้งอร่อย เป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดที่เคยนำมารับประทานกัน

ข้างล่างนี้คือรูปนกดำที่หาได้จากกูเกิ้ล    แต่ไม่รู้ว่าเป็นนกดำชนิดเดียวกับที่กินกันในเรื่องนี้หรือเปล่า   คุณเพ็ญชมพูคงอธิบายได้ว่ามันคือนกอะไรกันแน่


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 19:02
นกดำ นอกจากเอามาทอดกินได้อย่างอร่อยแล้ว  ยังเอามาทำพายแบบเดียวกับพายไก่อีกด้วย     แม่ทำพายขนาดใหญ่ ชนิดต้องใส่ในหม้อนม  ไม่ได้ใส่ในชามอย่างพายทั่วไป     เพราะต้องใช้นกถึง 12 ตัวสำหรับครอบครัวขนาด 6 คน
เฉลี่ยแล้วทุกคนได้กินนกคนละ 2 ตัว   แต่เกรซน้องสาวคนเล็กยังเด็กมาก กินตัวเดียวก็อิ่ม อีกหนึ่งตัวจึงกลายเป็นส่วนแบ่งให้พ่อได้เพิ่ม  กิน 3 ตัว
ถ้ากินกันคนละ 2 ตัวก็แปลว่านกดำต้องขนาดเล็กกว่าไก่มาก 

หารูปนกดำทอดในกูเกิ้ลไม่ได้  แต่พายนกดำพอจะหาได้ค่ะ   หน้าตาในรูปก็ดูคล้ายๆพายไก่   แต่เนื้ออาจจะชิ้นเล็กกว่า   รูปทางขวาน่าจะคล้ายพายที่อบมาในหม้อนมอย่างที่แม่ทำ
ลอร่าบรรยายพายนกดำว่าอร่อยกว่าพายไก่    กลิ่นแป้งอบใหม่ๆเมื่อเปิดหน้าพายขึ้นมา ควันขึ้นฉุย  หอมชวนน้ำลายไหล   ในพายมีน้ำเกรวี่ใสๆซึ่งก็คงเป็นน้ำที่ไหลออกจากเนื้อของมัน      คิดว่าเนื้อนกดำคงสะอาดเพราะมันกินแต่พืช  แต่สงสัยว่ามันไม่มีกลิ่นสาบบ้างหรือ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 19:16
common blackbird ภาษาไทยเรียกว่า นกเดินดงสีดำ มีหลายสปีชีส์ย่อย ตัวที่กล่าวถึงในเรื่องน่าจะเป็น Turdus merula merula

ภาพที่คุณเทาชมพูนำมาแสดงเป็นตัวผู้ มีสีดำมันขลับ ส่วนตัวเมียสีออกเทาน้ำตาล

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 19:23
yellow-headed blackbird (http://en.wikipedia.org/wiki/Yellow-headed_Blackbird)

ซ้าย-ตัวผู้     ขวา-ตัวเมีย

 ;D



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 19:31
blackbirds with red heads and a spot of red on each wing  ไม่แน่ใจใช่ตัวนี้หรือเปล่า

Red-winged Blackbird (http://en.wikipedia.org/wiki/Red-winged_Blackbird)

ซ้าย-ตัวผู้   ขวา-ตัวเมีย

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 พ.ย. 12, 19:32
เรื่องมะเขือเทศนี้ก็น่าสนใจเหมือนกัน

มะเขือเทศดูจะเป็นผักมาตรฐานของคนผิวขาวที่เราเรียกว่าฝรั่ง เป็นพืชที่แทบจะทุกบ้านจะต้องปลูกในสวนผักหลังบ้านเลยทีเดียว แถมยังเอามาแจก มาแบ่งปันกัน ในละแวกบ้านใกล้เคียงที่พอจะสนิทสนมกัน   ผมเองไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมมะเขือเทศจึงดูเหมือนจะเป็นพืชผลที่ใช้สำหรับการแสดงไมตรีต่อกัน

ทราบมาจากคนที่ทำงานในสายที่มีหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบการดำเนินการด้าน Peaceful use of nuclear reactor ว่า ในหมู่ประเทศทางยุโรปตะวันออกนั้น อาหารเช้าปรกติที่กินกันประจำในประเทศเหล่านี้ คือ ขนมปัง กับมะเขือเทศ    


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 พ.ย. 12, 19:42
ขอแจมด้วยครับ

นกดำผมไ่ม่เคยได้เห็นตัวตนของมันอย่างใกล้ๆ  เคยแต่เห็นในข่าวว่า ในบางครั้งมันมากันเป็นฝูงเหมือนห่า เหมือนตั๊กแตนเหมือนกัน  ในแคนนาดาช่วงหนึ่งที่ผมไปทำงาน มันมีมากมายขนาดนั้น จนเขาต้องใช้เครื่องบินโปรยยาฆ่าทิ้งกันเลยทีเดียว  จะเป็นสายพันธุ์ใหนก็ไม่ทราบเหมือนกัน เรียกกันแต่ว่า black bird 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 19:53
คุณเพ็ญชมพูตอบเร็วทันใจ   ;D
ในเรื่อง"บ้านเล็ก" เรียกนกที่ลงกินข้าวโอ๊ตข้าวโพดว่า นกดำ รวมกันไปหมดในหลายสายพันธุ์   มันลงทำลายพืชผลในนาราวกับตั๊กแตนลงอย่างที่คุณตั้งบอก     สมัยนั้นไม่มียาปราบศัตรูพืช   พ่อต้องใช้ปืนยิงเอาทีละตัว ซึ่งก็ปราบมันไม่ไหว    มันกินข้าวหมดเหลือแต่ฟาง แล้วก็อพยพไปที่อื่น
ลอร่าบอกไว้ชัดเจนว่านกดำพวกนี้กินได้เหมือนเนื้อไก่    ไม่รู้ว่าในประเทศไทย   เด็กผู้ชายที่ชอบยิงนก จะยิงนกเดินดงสีดำมากินบ้างหรือเปล่า     พูดถึงตรงนี้ก็เลยนึกได้ อยากถามคนที่เคยยิงนกตกปลาตอนเด็กๆว่ายิงนกอะไรมาย่างกินกันคะ    เพราะเด็กยุคนี้อยู่คอนโดมิเนียมอย่าว่าแต่จะยิงนกต่างๆเลย   แม้แต่นกกระจิบกระจาบ มีโอกาสเห็นบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

ไปค้นในกูเกิ้ล  ปรากฏว่ามีพายนกดำเหมือนกัน  แต่เห็นแค่รูปสองรูป  คงจะจับมากินกันได้   แต่เห็นจะไม่เป็นที่นิยมกันนัก  ฝรั่งไม่ค่อยกินอะไรแปลกๆอย่างพี่ไทย
ส่วนเรื่องมะเขือเทศ โปรดรอความเห็นถัดไปค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 19:58
นกดำผมไ่ม่เคยได้เห็นตัวตนของมันอย่างใกล้ๆ  เคยแต่เห็นในข่าวว่า ในบางครั้งมันมากันเป็นฝูงเหมือนห่า เหมือนตั๊กแตนเหมือนกัน  ในแคนนาดาช่วงหนึ่งที่ผมไปทำงาน มันมีมากมายขนาดนั้น จนเขาต้องใช้เครื่องบินโปรยยาฆ่าทิ้งกันเลยทีเดียว  จะเป็นสายพันธุ์ใหนก็ไม่ทราบเหมือนกัน เรียกกันแต่ว่า black bird  

http://www.youtube.com/watch?v=vumxdBq5GhA

ส่วนมากจะเป็น พวกปีกแดง (http://www.google.co.th/search?hl=th&pq=blackbird+movie&cp=10&gs_id=3&xhr=t&q=blackbird+of+chernobyl&bav=on.2,or.r_gc.r_pw.r_qf.&bpcl=38625945&biw=1600&bih=754&wrapid=tljp135306997649320&um=1&ie=UTF-8&tbm=isch&source=og&sa=N&tab=wi&ei=ozWmUIXACsrirAePtIGgBA#um=1&hl=th&tbo=d&tbm=isch&sa=1&q=blackbird+flock&oq=blackbird+flock&gs_l=img.12...1944.5607.3.7448.7.5.1.1.1.0.82.383.5.5.0...0.0...1c.1.spGBnSRc0xs&bav=on.2,or.r_gc.r_pw.r_qf.&fp=ac706b6016192c66&bpcl=38625945&biw=1600&bih=754)

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 20:40
ของกินที่ทำจากมะเขือเทศในเรื่องนี้   นับได้ 3 แบบ คือ
1  กินมะเขือเทศสุก แบบสดๆ  ใส่น้ำตาลกับครีม 
2  กินมะเขือเทศสุกที่ทำเป็นมะเขือเทศกวน  แบบเดียวกับแยม
3  กินมะเขือเทศดิบ เป็นมะเขือเทศดองเปรี้ยว แบบเดียวกับแตงกวาดอง
เรียกว่า ปลูกมะเขือเทศแล้วต้องกิน  ไม่ทิ้งผลไปเปล่าๆ ไม่ว่าดิบหรือสุกก็ต้องเอามาประกอบอาหารให้ได้ค่ะ

ในตอน "ฤดูหนาวอันยาวนาน "The Long Winter   แม่ต้องเก็บมะเขือเทศตั้งแต่ยังไม่สุก เพราะฤดูหนาวมาถึงเร็ว  เถามะเขือเทศเฉาเพราะน้ำค้างแข็ง  ลูกไม่ทันสุก
แต่ถ้ามะเขือเทศรอดอยู่ได้จนสุก   แม่ก็จะนำไปทำมะเขือเทศกวน หรือ preserves แบบเดียวกับแยม

รูปนี้คือมะเขือเทศกวน  กินกับขนมปังแบบเดียวกับแยม


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 20:42
ลอร่าเล่าถึงวิธีทำมะเขือเทศดิบดองเปรี้ยวว่า   แม่ล้างมะเขือเทศลูกเขียวๆ ทั้งเปลือกจนสะอาด    ฝานเป็นชิ้น  ต้มกับเกลือ พริกไทย น้ำส้มสายชู และเครื่องเทศ(ซึ่งไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร)

She washed them carefully without peeling them.She sliced them and cooked them with salt, pepper,vinegar, and spices.
"That's almost two quarts of green tomato pickle.Even if it's only our first garden on the sod and  nothing could grow well, these pickles will be a treat withbaked beans this winter," Ma gloated.


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ย. 12, 20:57
มะเขือเทศที่ปลูกไว้กินกันอย่างอร่อยในเรื่องนี้ ถ้าย้อนกลับไปสักสองสามร้อยปี   ทวดของลอร่าจะไม่ทำเช่นนี้เลย  เพราะสมัยโน้นเชื่อกันว่ามะเขือเทศเป็นผลไม้มีพิษ กินเข้าไปถึงตาย     แต่ความที่ลูกมันสีแดงสวย  (เป็นมะเขือเทศพันธุ์เล็กๆอย่างมะเขือเทศสีดา   ไม่ใช่ลูกใหญ่อย่างที่พวกเราชินกัน) ก็เลยนิยมปลูกกันเป็นซุ้มไว้ประดับสวน
ที่เชื่อกันว่ามะเขือเทศเป็นผลไม้มีพิษ  เพราะหน้าตามันเหมือนกับผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า nightshade  ซึ่งเป็นผลไม้มีพิษ
ฝรั่งยุโรปเชื่อเช่นนี้ ตรงกันข้ามกับคนพื้นเมืองแถวอเมริกากลางและใต้ที่กินมะเขือเทศกันมาแต่ไหนแต่ไร

nightshade  เป็นแบบนี้ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 พ.ย. 12, 18:14
^
^
เห็นภาพลูก nightshade แล้วทำให้นึกถึงเหล้ากลั่นเองของชาวบ้านในยุโรปที่เรียกว่า Schnaps (หรือ Eau de Vie) ที่กลั่นมาจากการหมักผลไม้  ซึ่งชนิดหนึ่งนั้นเรียกว่า Vogelbeer Brand ทำมาจากผลไม้สีแดงๆคล้ายดังในภาพนี้  เขาบอกว่า ผลไม้ (beere) ชนิดนี้คนกินไม่ได้ แต่นก (vogel) ชอบกิน  ซึ่งเราสามารถเอามาหมักทำเหล้าได้ 

ที่จริงแล้วผลไม้ลูกเล็กพอๆกับลูกมะเขือพวงทั้งหลายนั้น มักจะมีสีสรรสดใส หรือไม่ก็ใปทางสีเข้มใกล้ดำ มีทั้งที่คนกินได้ ก่อนจะคนกินจะต้องมีกรรมวิธี และที่คนกินไม่ได้เลย (เพราะเป็นพิษ)   ผลไม้เหล่านี้ นกชอบมากินกัน แล้วก็มีทั้งที่เอามาปลูกเพื่อให้เฉพาะนกกินก็มี เอาแบบที่คนกินได้มาปลูกกันเป็นสวนเพื่อขายก็มี  ต้นของมันก็มีทั้งแบบเป็นทรงพุ่มไม่สูง หรือเป็นต้นไม้เลยก็มี

เหล้า schnaps นี้ นิยมกินเป็นเหล้าหลังอาหารเย็นมื้อหนักๆ    สำหรับผมนั้น ผมเห็นว่า Vogelbeer Brand แช่เย็นจัดนั้น รสชาติและความหอมดีที่สุด  เป็น schnaps ที่มีราคาสูงกว่าชนิดอื่นๆและค่อนข้างจะหายาก   

ขอต่ออีกนิดนึงถึง Grappa เหล้าหลังอาหาร  ชนิดนี้เป็นของอิตาลี ทำมาจากองุ่น มีดีกรีค่อนข้างจะสูงมาก มีกลิ่นหอมเช่นกัน และก็มีราคาสูงเช่นกัน

ฝรั่งกินเหล้าเหล่านี้จอกเดียวก็พอ ต่างกับพี่ไทยมักจะขอกินไปจนถึงระดับมึนหรือเมากันเลย   


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 พ.ย. 12, 19:07
ขอย้อนกลับไปเรื่องข้าวโพดสาลีครับ

เมื่อสองสามวันมานี้ไปงานที่วัดมา ได้มีโอกาสคุยซักถามกับผู้สูงอายุคนหนึ่ง ได้ข้อมูลมาซึ่งอาจจะพอได้คำตอบเป็นเลาๆ ดังนี้ครับ

สาลี หมายถึง ธัญพืชประเภทที่เป็นพวก Carbohydrate ซึ่งก็คือ อาหารประเภทแป้งทั้งหลาย  ดังปรากฎคำว่า สาลี ในบทสวดมนต์ของพระ

เมื่อธัญพืชเหล่านี้มีการนำมาปลูกในบ้านเราหลากหลายชนิดมากขึ้น คำว่าสาลีที่เดิมอาจจะหมายถึงเฉพาะข้าว ก็เลยต้องมีการขยายความว่าเป็นอาหารประเภทแป้งจากธัญพืชชนิดใด เช่น ข้าวโพดสาลี เป็นต้น 

อ่านจากบันทึก (จดหมายเหตุ) ของออกพระวิสุทสุนทร (โกษาปาน) ซึ่งมีการเขียนถึงอาหารที่ฝรั่งเศสจัดต้อนรับเมื่อครั้งเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรี ถวายสาสน์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชต่อพระเจ้าหลุยที่ 14   ก็มีการระบุและมีการเขียนว่าในสำรับอาหารมีข้าวโพดสาลี     ผมก็เลยใช้วิทยาการเดาว่า ในยุคสมัยนั้น ในไทยก็น่าจะมีการปลูกข้าวโพด และก็น่าจะมีการใช้ข้าวโพด (ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง) มาทำเป็นอาหารประเภท Carbohydrate ในสำรับอาหารของไทยเหมือนกัน ซึ่งอาจจะเริ่มต้นมาจากฝรั่งที่เข้ามาอาศัยอยู่ในสมัยนั้น  ซึ่งก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าข้าวโพดนั้นอาจจะนำมาปลูกตามหลังข้าวสาลี (wheat) ก็ได้ ก็เลยต้องเรียกชื่อว่าข้าวโพดสาลี เพื่อให้แยกออกไป    ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่่า หากข้าวสาลีซึ่งเพิ่งจะมีการนำเข้ามาปลูกเมื่อไม่นานมานี้ แล้วทำไมเราจึงตั้งชื่อ wheat ว่าข้าวสาลี  ทำไมไม่เรียกชื่อเช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์  (ข้าวฟ่าง ก็เป็นอีกหนึ่งที่ไม่รู้ที่มาของชื่อ)

ข้าวประเภทที่มีรวงข้าวลักษณะแบบข้าวที่เรากินกันอยู่นี้ เราเรียกชื้อแยกออกไปตามลักษณะทางกายภาพ เช่น ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวก่ำ ข้าวแดง ข้าวเหนียวดำ ข้าวสังข์หยด ข้าวไร่ ฯลฯ แล้วเราก็เรียกชื่อตามสายพันธุ์ เช่น ข้าวเหลืองอ่อน ข้าว กข. ข้าวหอมมะลิ ข้าวปทุมฯ ข้าวเจ็กเชย ข้าวเสาให้ ฯลฯ    แล้วก็มีชื่อผ่าเหล่าเข้ามาว่าข้าวสาลี ซึ่งไปเรียกตามสกุลเหมือนกับ ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ฯลฯ

เขียนไปก็งงไปเองเสียแล้วว่ากำลังจะสื่อสารอะไร

ขอยุติความมีสติเฟื่องไปเพียงเท่านี้ครับ 

         



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 10:04
ย้อนเรื่อง "ข้าวโพดสาลี" ตามคุณตั้ง

รอยอินท่านว่า คำว่า "สาลี" ในสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์นั้นหมายถึง "ข้าว"  และคำว่า "ข้าวโพดสาลี" ในเพลงกล่อมเด็กก็หมายถึง "ข้าว" อีกนั่นแหละ

คำว่า สาลี มาจากคำบาลีว่า สาลิ หมายถึง ข้าว. คำว่า สาลี ความหมายนี้ปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วงที่ว่า "ข้าวสาลีนั้นหากเป็นต้นเป็นรวงเอง เป็นข้าวสารแต่รวงนั้นมาเองแล" และในลิลิตโองการแช่งน้ำมีว่า

"แลมีค่ำมีวัน                       กินสาลีเปลือกปล้อน
บมีผู้ต้อนแต่งบรรณา              เลือกผู้ยิ่งยศเป็นราชาอะคร้าว
เรียกนามสมมติราชเจ้า            จึ่งตั้งท้าวเจ้าแผ่นดิน"

ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ คำว่า สาลี หมายถึง ข้าวเจ้า ดังที่อักขราภิธานศรับท์ให้ความหมายของสาลีไว้ว่า "สาลี, แปลว่าเข้าสาลี, คือเข้าเจ้า, บันดาเข้าเจ้าทุกอย่างนั้น, เขาเรียกเข้าสาลี"

คำว่า สาลี ที่ปรากฏในเพลงกล่อมเด็กว่า "วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ ปลูกข้าวโพดสาลี ลูกเขยตกยาก แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี โอ้ข้าวโพดสาลี ป่านฉะนี้จะโรยรา" ก็น่าจะยังแปลว่า ข้าว

ปัจจุบัน เมื่อใช้คำว่า สาลี เราจะนึกถึงข้าวสาลีและแป้งสาลี. ข้าวสาลีเป็นพรรณไม้ต่างประเทศ เมล็ดบดเป็นแป้ง ส่วนแป้งสาลีคือแป้งที่ได้จากข้าวสาลี บางคนเรียกว่าแป้งมี่ ใช้ทำขนมปังเป็นต้น

ที่มา :  บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" (http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=4156)  ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 14:30
พ่อของลอร่าดูเหมือนจะปลูกข้าวโอ๊ตและข้าวโพด   ไม่มีตอนไหนบอกว่าปลูกข้าวสาลีด้วย     ข้าวสาลีในเรื่องนี้แปรรูปเป็นแป้งเรียบร้อยแล้ว  ขายอยู่ในร้านของชำ ให้ซื้อมาทำขนมปังกินกันเอง
เอารูปนาข้าวสาลีมาประกอบกระทู้ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 14:50
Laura and Carrie picked up potatoes while Pa dug them. They cut the tops from turnips and helped Pa pile them in the wagon. They pulled and topped the carrots, too, and the beets and onions. They gathered the tomatoes and the ground-cherries.

บ้านนาของลอร่ามีสวนครัว ปลูกผักและผลไม้ไว้กินสดๆตลอดฤดูร้อน    แต่พอถึงฤดูใบไม้ร่วง  ก็ต้องรีบเก็บผลไม้ไว้ทำเป็นผลไม้กวนเอาไว้กินในฤดูหนาว   ส่วนผักถ้าไม่ดองเอาไว้ ก็เก็บไว้ในห้องใต้ดินที่เย็นจัด เพื่อไม่ให้เน่า   ไม่ปล่อยให้เสียไปเปล่าๆ แม้แต่อย่างเดียว
ผักผลไม้ที่ปลูกก็มีมันฝรั่ง  เทอร์นิป(หัวผักกาดขาว) แคร์รอท (หัวผักกาดแดง) บีท และหัวหอม นอกจากนี้ก็มีมะเขือเทศ และ เชอรี่เลื้อย
รูปข้างล่างนี้คือหัวผักกาดขาว(หรือม่วง)


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 19:12
ส่วนรูปนี้คือ beets   รูปบนเป็นบีทสดๆ ส่วนรูปล่างคือบีทที่อบสุกแล้ว


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 21:48
They gathered the tomatoes and the ground-cherries.
รู้จักเชอรี่อยู่ 2 ชนิดคือชนิดสีแดงคล้ำ ขายราคาแพงอยู่ในซูเปอร์ กับต้นเชอรี่ใหญ่ที่ออกลูกเล็กๆ สีเหลืองส้ม แต่พอสุกก็เป็นสีแดงใสออกลูกพราวไปทั้งต้น
แต่ไม่รู้จัก ground cherries ที่แม่ของลอร่าปลูกไว้ในสวนครัว  แล้วเก็บลูกมาทำเชอรี่กวน     ลอร่าบรรยายว่าออกลูกเป็นสีทอง
ต้องหันไปพึ่งอินทรเนตร จึงได้คำตอบว่าเป็นเชอรี่เลื้อย   ปลูกบนดินให้มันเลื้อยไปเหมือนมะเขือเทศก็ได้  หรือจะปลูกใส่กระถางก็ได้
ลูกเหมือนเชอรี่ชนิดต้นที่รู้จัก
เชอรี่แบบนี้ดูเหมือนจะไม่กินสดๆ เหมือนเชอรี่ลูกโตตามซูเปอร์   แต่เอามากวนเป็นแยม กินในฤดูหนาว


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 พ.ย. 12, 17:35
รู้จักเชอรี่อยู่ 2 ชนิดเหมือนกัน คือที่ ชนิดที่เป็นไม้ยืนต้น อายุยืน เคยเห็นและเก็บลูกมันกินจากต้นขนาดสองคนโอบ ลูกของมันสีแดงก่ำเหมือนกับที่วางขายอยู่ในซุปเปอร์ 

กับอีกชนิดหนึ่งที่เขาเรียกว่าเชอรี่ไทยครับ ก็ยังไม่ทราบจนเดี๋ยวนี้ว่า เชอรี่ไทยนี้เป็นไม้สกุลเดียวกับเชอรี่ฝรั่งหรือไม่ หรือว่าเป็นไม้ที่มีชื่ออื่น แต่เราไปตั้งชื่อเรียกให้มันดูดี

ยังรออ่านอยู่ว่า น่าจะมีการกล่าวถึงสตรอเบอรี่ที่ขึ้นเองตามท้องทุ่ง



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ย. 12, 18:42
แปลกจริง ลอร่าไม่ยักพูดถึงสตรอเบอรี่ป่า ที่ขึ้นเองตามท้องทุ่ง  แต่พูดถึงกุหลาบป่า (wild rose)ที่บานอยู่กลางทุ่งในฤดูร้อน   เลยได้แค่รูปในกูเกิ้ลมาฝากให้ดูกันค่ะ
สตรอเบอรี่ป่า มีลักษณะเป็นไม้เลื้อยติดดิน  ลูกเล็กๆ ไม่เหมือนสตรอเบอรี่ที่เรารู้จักกัน     

แคนาดาคงมีสตรอเบอรี่ป่าขึ้นอยู่ตามทุ่ง  ในโคโลราโดไม่มีค่ะ    ทุ่งนาที่นี่เป็น prairie อย่างที่เคยเล่าไว้  ส่วนใหญ่มีพืชเป็นกระจุกๆขึ้นคลุมดิน  ไม่เห็นจะมีต้นไม้ต้นไร่อะไรพอจะเก็บกินเองได้เลย   


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ย. 12, 18:59
แต่ในทุ่งหญ้าในรัฐเซาท์ดาโกต้า มีผลไม้ป่าอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า โช้คเชอรี่ หรือออกเสียงแบบอเมริกันว่าโช้คแชรี่      เป็นไม้พุ่มขึ้นเอง ออกลูกเหมือนเชอรี่ที่ขายอยู่ในซูเปอร์
โช้คเชอรี่ที่ว่านี้เอาไปทำผลไม้กวน  เรียกว่าเยลลี่ ซึ่งไม่ได้ใช้กินกับไอศกรีมอย่างที่เรากินกัน แต่เป็นแยมเนื้อใสไม่มีเนื้อผลไม้ปนอย่างแยมธรรมดา   ใช้ทาขนมปังกินเป็นอาหารเช้า
คุณตั้งอาจเคยเห็นโช้คเชอรี่แบบนี้ละมังคะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 พ.ย. 12, 19:23
คงจะถูกต้องครับ สตรอเบอรี่ป่า จะพบอยู่ตามพื้นทุ่งที่ค่อนข้างจะชื้นแฉะ   ผลมีขนาดเล็กประมาณหนึ่งองคุลีนิ้วก้อย  มีกลิ่นหอมแรงและมีรสหวานฉ่ำมากกว่าสตรอเบอรีปลูก

ทราบจากเพื่อนผู้หญิงในสมัยเรียนหนังสือว่า ชายชาวยุโรปจะบอกรักสาวด้วยการเก็บสตรอเบอรี่ป่าหนึ่งผลพร้อมก้านมามอบให้แก่สาวเจ้า ปรากฎว่ามีสาวเจ้าที่ไม่รู้เรื่องหลายรายกินผลสตรอเบอรี่นั้นเลย หนุ่มก็เลยหงอยไป เหมือนถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง


จะบอกวิธีกินสตรอเบอรี่อร่อยๆิให้ครับ     เมื่อหาซื้อสรอเบอรี่มาได้แล้ว ล้างทำความสะอาดแล้ว    วิธีหนึ่งเป็นการกินของคนญี่ปุ่น คือ จิ้มกับนมข้นหวานกระป๋อง
 
สำหรับวิธีของผมนั้น เสียเงินมากนิดนึง  ผ่าสตรอเบอรี่ออกเป็นสองส่วน ใส่ถาดหรือใส่ถ้วยแยกพร้อมเสิร์ฟ  เอาเหล้า (Liquor) Cointreau เหยาะลงไป (เหมือนเทน้ำปลาใส่ยำ) เคล้าให้ทั่ว แล้วใส่ตู้เย็นไว้ให้เย็นพอประมาณ  ที่เหลือก็เพียงยกออกมาเสิร์ฟ  ผลสตรอเบอรี่ที่ออกรสจืดๆ ที่ออกรสไม่หวานฉ่ำ ที่กลิ่นไม่ค่อยหอม จะถูกขจัดออกไปหมด ให้มีแต่กลิ่นที่หอม รสที่หวาน เท่านั้น  รับประกันความอร่อยครับ

หากจะให้วิลิสมาลาเพิ่มขึ้น ก็ผันไปเป็นเครื่องดื่มชูความสดชื่น ก็เอาสตรอเบอรี่นั้นใส่แก้วไวน์ไประมาณหนึ่งในสามของแก้ว เอาไวน์ขาวประเภทออกรสหวานหน่อยที่แช่ได้เย็นค่อนข้างมาก ใส่ลงไปให้ท่วม ประมาณสามในสี่ของแก้ว  ลองดูครับ  

    


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 พ.ย. 12, 19:35
โช๊คเชอรี่ จำไม่ได้แล้วครับ    แต่คิดว่าน่าจะเคยเห็นครับ  จำได้แต่ว่าไปเก็บบลูเบอรี่ข้างทางตาม trail ใน back forest   เพื่อนเคยบอกว่า ก็ต้องระวังนะ มีเบอรี่อยู่หลากหลายชนิดทั้งที่กินได้และไม่ได้


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 23 พ.ย. 12, 03:48
ขออนุญาตเข้ามา spoil ครับ

ตอนเดินป่าที่ฝรั่งเศส-สวิสผมเจอพวกเบอรี่นี่แหละเห็นว่ากินได้เลยเก็บมา ฝรั่งเจ้าถิ่นบอกว่ากินไม่ได้ ก็เถียงไปว่ากินได้สิเคยกินมาแล้ว ฝรั่งจึงเฉลยว่าที่กินไม่ได้เพราะเคยเกิดเหตุหมูป่หรือกวางมาฉี่ไว้ กินเข้าไปติดเชื้อพวก Spirochaete ได้ เขาห้ามกันมานานนม ชาวบ้านรู้กันดี ถึงวันนี้ผมยังไม่เข้าใจว่าแทนที่จะกินเบอรี่จนหมด มันฉี่ไว้ทำไม หรือเป็นอุบายหลอกเด็กเพราะผู้ใหญ่อยากเก็บเอาไว้กินเอง ไม่ทราบว่าที่อื่นเป็นอย่างนี้หรือไม่ ตั้งแต่นั้นผมก็เลิกสนใจพวกเบอรี่นี้อีก เจอบนยอดดอยอินทนนท์ที่เมืองไทยชาวบ้านเรียก มะไข่ปู ต้นมีหนามเหมือนกันครับ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ย. 12, 08:51
ชาวบ้านคงหมายถึงว่า ห้ามเก็บเบอรี่ป่ามากินกันสดๆ เพราะมันอาจปนเปื้อนสารพิษจากสัตว์      แต่ถ้าล้างให้สะอาดก่อนกินก็ไม่เป็นไร
เบอรี่ที่เป็นไม้เลื้อยติดดินอาจติดฉี่จากสัตว์ได้  แต่ถ้ามันอยู่ในที่สูง เป็นไม้ยืนต้น หรือเลื้อยขึ้นไปสูงๆ  คงจะปลอดภัยจากเชื้อโรค Spirochaete    มั้งคะ
นักเดินป่าอย่างคุณตั้งคงอธิบายได้เรื่องผลไม้มีพิษไม่มีพิษพวกนี้

สนใจมะไข่ปูที่คุณ hobo เอ่ยถึง เลยไปหารูปมาดู  แต่ยังดูไม่ออกว่าเป็นสตรอเบอรี่ป่าหรือเปล่าค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 พ.ย. 12, 09:23
สนใจมะไข่ปูที่คุณ hobo เอ่ยถึง เลยไปหารูปมาดู  แต่ยังดูไม่ออกว่าเป็นสตรอเบอรี่ป่าหรือเปล่าค่ะ

มะไข่ปู  Rubus alceifolius อยู่ในสกุลเดียวกับ ราสเบอร์รีของยุโรป Rubus idaeus (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5)

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 23 พ.ย. 12, 10:34
หยิบเอาสตอเบอรี่ขาว ๆ ให้ชิมกันครับ  :D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 พ.ย. 12, 11:08
ตอนเดินป่าที่ฝรั่งเศส-สวิสผมเจอพวกเบอรี่นี่แหละเห็นว่ากินได้เลยเก็บมา ฝรั่งเจ้าถิ่นบอกว่ากินไม่ได้ ก็เถียงไปว่ากินได้สิเคยกินมาแล้ว ฝรั่งจึงเฉลยว่าที่กินไม่ได้เพราะเคยเกิดเหตุหมูป่หรือกวางมาฉี่ไว้ กินเข้าไปติดเชื้อพวก Spirochaete ได้ เขาห้ามกันมานานนม ชาวบ้านรู้กันดี

แถวนั้นอาจเคยมีการระบาดของโรค leptospirosis (http://en.wikipedia.org/wiki/Leptospirosis) หรือที่คนไทยรู้จักในนาม โรคฉี่หนู

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 23 พ.ย. 12, 12:59
ขอบคุณมากครับ ตอนนั้นไม่ได้นึกถึง Leptospirochete เลย ไม่น่าเชื่อว่า host ของมันจะมีมากมายขนาดนี้
มัวแต่ติดใจว่าทำไมหมูป่าหรือกวางป่ามันไม่กินแทน
 
ต้นมะไข่ปูที่ผมเจอนั้นอยู่แถวใกล้ยอดดอยอินทนนท์ เลยสถานีของโทรศัพท์ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นหอดูดาวไปแล้ว
เดินอีกนิดเดียวก็ถึงอ่างกาแล้วครับ ที่จำได้เพราะต้องฝ่าดงมันเข้าไปเก็บตัวอย่าง ได้เลือดมาไม่น้อย
ต้นมันสูงท่วมหัวครับ รสชาติก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ตื่นเต้นที่ได้กินมากกว่า เหมือนเด็กๆ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 24 พ.ย. 12, 16:46
เอารูปมาเพิ่มครับ สวยดี สีแดงสด ลบได้นะครับถ้าเข้าซอยลึกไปหน่อย
จากทุ่งหญ้าเพอรี่ของเอมริกามาโผล่ที่ยอดดอยอินทนนท์คงไม่เรียกว่าเข้าซอยแล้วละครับ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 พ.ย. 12, 18:11
ไม่ละค่ะ    แยกซอยจากทุ่งแพร์รี่มาดอยอินทนนน์ได้ตามสบาย    หรือจะแยกไปธิเบต อินเดียว อลาสกา ก็ไม่ว่า  จะได้ไม่จำเจอยู่กับอาหารในหนังสือเรื่องเดียว     
ดูรูปข้างล่างที่คุณ hobo เอามา เหมือนรัสเบอรี่จริงด้วย

พูดเรื่องผลไม้ในบ้านเล็กทำให้นึกได้ว่ามีอีกอย่าง ที่ฝรั่งสมัยปลายศตวรรษที่ 19 เชื่อว่าไม่ควรกิน จะทำให้เป็นไข้    นั่นคือ...
แตงโม
ประหลาดไหมล่ะคะ     แม่ของลอร่าไม่ยอมให้ลูกกินแตงโม เพราะคนเพิ่งหายไข้กินแล้วไข้จะกลับมาอีก     เกิดจากความเชื่อว่าแตงโมเกิดจากอากาศเย็นชื้นในเวลากลางคืน   เมื่อกินเข้าไป จะเป็นไข้ได้ง่าย
ลอร่าเล่าถึงแตงโมเอาไว้ในหนังสือตอน Little House on the Prairie  เมื่อพ่อแม่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐแคนซัส   วันหนึ่งพ่อเอาแตงโมเข้ามาในบ้าน     ในเรื่องไม่มีตอนไหนที่บอกว่าปลูกผักสวนครัว ก็แสดงว่าเป็นแตงโมป่า ขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างในรูปข้างล่างนี้ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 พ.ย. 12, 18:23
หยิบเอาสตอเบอรี่ขาว ๆ ให้ชิมกันครับ  :D
อยากรู้จริงๆว่ารสมันเหมือนชนิดสีแดงไหมคะ

จะบอกวิธีกินสตรอเบอรี่อร่อยๆิให้ครับ     เมื่อหาซื้อสรอเบอรี่มาได้แล้ว ล้างทำความสะอาดแล้ว    วิธีหนึ่งเป็นการกินของคนญี่ปุ่น คือ จิ้มกับนมข้นหวานกระป๋อง
 
สำหรับวิธีของผมนั้น เสียเงินมากนิดนึง  ผ่าสตรอเบอรี่ออกเป็นสองส่วน ใส่ถาดหรือใส่ถ้วยแยกพร้อมเสิร์ฟ  เอาเหล้า (Liquor) Cointreau เหยาะลงไป (เหมือนเทน้ำปลาใส่ยำ) เคล้าให้ทั่ว แล้วใส่ตู้เย็นไว้ให้เย็นพอประมาณ  ที่เหลือก็เพียงยกออกมาเสิร์ฟ  ผลสตรอเบอรี่ที่ออกรสจืดๆ ที่ออกรสไม่หวานฉ่ำ ที่กลิ่นไม่ค่อยหอม จะถูกขจัดออกไปหมด ให้มีแต่กลิ่นที่หอม รสที่หวาน เท่านั้น  รับประกันความอร่อยครับ

หากจะให้วิลิสมาลาเพิ่มขึ้น ก็ผันไปเป็นเครื่องดื่มชูความสดชื่น ก็เอาสตรอเบอรี่นั้นใส่แก้วไวน์ไประมาณหนึ่งในสามของแก้ว เอาไวน์ขาวประเภทออกรสหวานหน่อยที่แช่ได้เย็นค่อนข้างมาก ใส่ลงไปให้ท่วม ประมาณสามในสี่ของแก้ว  ลองดูครับ     

วิธีทำสตรอเบอรี่ของคุณตั้ง อร่อยแบบผู้ใหญ่กิน     แต่ถ้าทำให้ลูกหลานอายุไม่กี่ขวบกิน มีวิธีง่ายๆ คือผ่าสตรอเบอรี่ออกมาเป็น 2 ส่วนหรือ 4 ส่วนก็ได้  ใส่ชาม เอาน้ำตาลทรายขาวผสมเกลือนิดหน่อยให้รสแหลมจัดขึ้น แล้วโรยลงในชามสตรอเบอรี่   คลุกให้ทั่ว  เสร็จแล้วเอาใส่ตู้เย็นไว้  ถ้าอยากให้เย็นเร็วก็ใส่ช่องฟรีซไว้จนเย็นจัด      น้ำในผลไม้จะซึมออกมาจากผล  ละลายเข้ากับน้ำตาลเป็นน้ำเชื่อมอ่อนๆรสสตรอเบอรี่หวานฉ่ำ    กินทั้งเย็นจัดๆยังงั้นละค่ะ ชื่นใจดี 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 พ.ย. 12, 18:30
ถ้าพ่อแม่ของลอร่ามาเห็นแตงโมเหลี่ยม น่าจะชอบ ว่ามนุษย์ช่างหาหนทางพัฒนาได้เก่ง  ง่ายดายสะดวกต่อการขนส่งกว่าเก่ามาก  


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 พ.ย. 12, 19:17
ตอนนี้ขอกลับไปหาของกินในนิยาย คั่นเวลาไปพลางๆก่อนค่ะ     เผื่อท่านทั้งหลายนึกถึงของกินอะไรทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ จะได้เข้ามาแจมแบบแยกซอยกันออกไป

เมื่อลอร่าเริ่มโตเป็นสาว  เพื่อนผู้ชายในโรงเรียนเดียวกันจัดงานปาร์ตี้วันเกิด    เชิญเพื่อนชายหญิงไปร่วมงานเพื่อกระชับมิตร   ผู้เขียนบรรยายอาหารที่จัดเลี้ยงไว้ว่ามีอะไรบ้าง
The oyster soup alone was treat enough to make a party, and to go with it Mrs. Woodworth passed a bowl of tiny, round oyster crackers. When the last drop of that delicious soup had been spooned up and swallowed, she took away the soup plates, and she set onthe table a platter heaped with potato patties. The small, flat cakes of mashed potatoes were fried a golden brown. She brought then a platter full of hot,creamy, brown codfish balls, and then a plate of tiny,hot biscuits. She passed butter in a round glass butter dish.
สรุปว่า อย่างแรกมีซุปหอยนางรม ซึ่งคงเป็นซุปที่โก้เก๋ทันสมัยของชาวบ้านในยุคนั้น กินกับขนมปังแครกเกอร์รูปหอยชิ้นเล็กๆ   
อย่างที่สอง คือ potato patties    อาหารชนิดนี้ต้องอธิบายกันยาวหน่อยค่ะ เพราะบ้านเราไม่มี   
หน้าตาคล้ายๆทอดมัน แต่ส่วนประกอบไม่เหมือน   กล่าวคือมันทำจากมันฝรั่งบดละเอียด แล้วปั้นเป็นก้อนแบนๆ ทอดจนเหลืองอร่าม     บางคนอาจจะใส่ผักหั่นละเอียดลงไปด้วย    แต่ในเรื่องนี้เห็นทีจะเป็นมันฝรั่งบดปั้นเป็นก้อนทอดเฉยๆ ไม่ใส่อะไรลงไปในนั้น
ของกินที่ปั้นเป็นก้อนเรียกว่า cake  แต่ว่ากินเป็นของคาว ไม่ใช่ขนมเค้กที่กินเป็นของหวาน


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 พ.ย. 12, 19:28
She brought then a platter full of hot,creamy, brown codfish balls, and then a plate of tiny,hot biscuits. She passed butter in a round glass butter dish.

ค้อดฟิชบอลล์ ทำจากเนื้อปลาค้อดผสมกับมันฝรั่งบดละเอียด  ปรุงรสด้วยเนย เกลือและพริกไทย   แล้วปั้นเป็นก้อน
ก่อนทอดก็ชุบลงในไข่ผสมนมเสียก่อน  แล้วทอดในกระทะโดยใช้เนยแทนไขมันหมู


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 พ.ย. 12, 22:24
and then a plate of tiny,hot biscuits. She passed butter in a round glass butter dish.

ของกินในงานปาร์ตี้อีกอย่างหนึ่งคือขนมปังบิสกิ้ต  แทนที่จะเป็นขนมปังแผ่นเปล่าๆ   แสดงว่าเทียบกันแล้วบิสกิ้ตน่าจะเป็นอาหารมีหน้ามีตากว่าขนมปังแผ่น   กินกับน้ำผึ้ง หรือแยม หรือเนย  ในที่นี้กินกับเนย เหมือนขนมปังทาเนยทั่วไป


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 พ.ย. 12, 18:51
ผลไม้ที่ได้ชื่อว่าหากินได้ยากในท้องถิ่นชนบทของอเมริกาในสมัยโน้น จนกลายเป็นของมีราคา คือส้ม     
ส้มจึงถูกนำไปเป็นอาหารพิเศษในงานวันเกิด   และทำรูปแบบเอาไว้สวยงามพิสดาร ด้วยการกรีดเปลือกออกมาให้เหมือนดอกไม้   วางประดับไว้ข้างจานอาหาร
ส้มที่ว่านี้ เปลือกสีแดงปนทอง ไม่เขียวอย่างส้มเขียวหวาน   แต่กลีบข้างในก็เหมือนส้มเขียวหวานนี่เอง    ลอร่าไม่ได้อธิบายว่าเป็นส้มพันธุ์อะไร   


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 พ.ย. 12, 18:53
ส้มเป็นผลไม้พิเศษ ใช้กินกับเค้กวันเกิด   ในเรื่องอธิบายสั้นๆว่า a white-frosted birthday cake  คือเป็นเค้กที่ฉาบหน้าด้วยครีมหรือน้ำตาลไอซิ่งสีขาว   ในเมื่อเป็นเมืองชนบทก็คงทำแค่นั้น ไม่ได้ตกแต่งหน้าเค้กให้หรูหรามากไปกว่านี้


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ย. 12, 19:36
ในนิยายตอนนี้เล่าถึงงานเลี้ยงอาหารครั้งใหญ่ ที่เรียกว่า New England Supper ที่จัดกันในวัน Thanksgiving Day  หรือวันขอบคุณพระเจ้า    
วันสำคัญวันนี้มีกันแต่เฉพาะในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา      แม้ว่าแต่เดิมมาเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา  แต่ในเมื่อมันไปเกี่ยวกับประวัติการอพยพมาตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ ของพวกพิลกริมที่เดินทางมากับเรือเมย์ฟลาวเออร์   ก็เลยไม่มีการฉลองวันนี้ในยุโรป
วันนี้เรียกว่าเป็นวันกระชับมิตรของฝรั่งกับชาวอินเดียนแดงเจ้าถิ่นก็ว่าได้    
วันขอบคุณพระเจ้า ตรงกับวันพฤหัสบดีที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน     ส่วนประเทศแคนาดา ตรงกับวันจันทร์ที่สองของเดือนตุลาคม ค่ะ

อาหารที่นิยมกินกันในวันนี้คือไก่งวงอบยัดไส้ (Roast turkey with stuffing)  รองลงมาคือ สควอช ขนมปังข้าวโพด(Corn bread) และซอสแครนเบอร์รี่ (Cranberry sauce) และพายฟักทอง (Pumpkin pie)


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ย. 12, 19:37
ในงานเลี้ยงอาหารแบบนิวอิงแลนด์ แม่ของลอร่าทำพายฟักทองไปร่วมงาน  และถั่วอบทำจากถั่วเนวีสีขาว  อาหารทั้งสองอย่างนี้เคยเล่ามาแล้วในกระทู้ จึงไม่ขอเล่าซ้ำ 
แต่ก็น่าแปลก อาจเป็นเพราะไม่มีการเลี้ยงไก่งวงในยุคบุกเบิกมาตั้งถิ่นฐานในเซาธ์ดาโกต้า   จึงไม่ปรากฏว่ามีไก่งวงยัดไส้ในงานเลี้ยงนี้   อาหารจานเด็ดของงานกลับเป็นหมูย่างทั้งตัวแทน

In the very center of one table a pig was standing,roasted brown, and holding in its mouth a beautiful red apple.Above all the delicious scents that came from thosetables rose the delicious smell of roast pork.
หมูย่างทั้งตัวนี้นิยมให้คาบลูกแอปเปิ้ลสดๆไว้ในปากด้วย     ฝรั่งอาจจะชิน แต่ดิฉันเห็นหมูทั้งตัวย่างแบบนี้แล้วรู้สึกว่าน่ากลัวมากกว่าน่ากิน


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 27 พ.ย. 12, 20:17
^
เห็นแล้วนึกถึงหมูหัน แบบจีนนะครับ  ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 27 พ.ย. 12, 20:22

อาหารที่นิยมกินกันในวันนี้คือไก่งวงอบยัดไส้ (Roast turkey with stuffing)  รองลงมาคือ สควอช ขนมปังข้าวโพด(Corn bread) และซอสแครนเบอร์รี่ (Cranberry sauce) และพายฟักทอง (Pumpkin pie)

อันนี้ขอถามนอกเรื่องนอกราวหน่อยนะครับ ทำไมต้องใช้อาหารจำพวกนี้หรือครับ เป็นธรรมเนียมอาหารฉลองกันในยุโรปอยู่แล้ว หรือว่าเป็นอาหารที่ได้มาจากพวกอินเดียแดง แล้วนำมาปรุง เลยพัฒนาเป็นเช่นนี้

คือความรู้ด้านฝรั่งเป็นศูนย์ ต้องขออภัยด้วยนะครับ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 27 พ.ย. 12, 20:36
สงสัยเหมือนกันว่า หมูที่นำมาทำอาหารเป็นหมูบ้านหรือหมูป่า

หากเป็นหมูบ้าน เลี้ยงโดยวิธีใด  ขังคอก หรือ ปล่อยให้เป็นอิสระ

 ???


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ย. 12, 20:53
เห็นหมูย่างของฝรั่งก็นึกถึงหมูหันของจีนเช่นกันค่ะ  คุณหนุ่มสยาม  
ลอร่าอธิบายว่า เป็นเนื้อหมูสีขาวปนมัน    หนังกรอบ  หอมฉุย  ระคนกลิ่นมันๆ ไหม้ๆ   อ่านแล้วนึกถึงหมูกรอบในบ้านเราขึ้นมาทันที

ตอบคุณhan_bing
เมื่อพวกพิลกริม (ซึ่งคือพวกนับถือคริสตศาสนานิกายพิวริตันในอังกฤษ)มาขึ้นฝั่งที่อเมริกา  แล้วมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองพลีมัธ  พวกนี้ได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ช่วยสอนให้ล่าสัตว์ จับปลาและปลูกพืชที่ขึ้นได้ดีในดินแดนแถบนั้น     เพราะพื้นดินแถวนั้นไม่ใช่ว่าอยากปลูกอะไรก็ปลูกได้อย่างในภาคกลางบ้านเรา  ต้องเลือกปลูก  ไม่งั้นก็ตายหมด  

พืชที่ปลูกได้ผลดีคือข้าวโพด ฟักทองและถั่ว  ข้าวโพดนั้นพวกพิลกริมไม่รู้จัก   โดยเฉพาะข้าวโพดคั่ว ไม่เคยกินกันมาก่อนเลย   เพิ่งจะได้ลิ้มรสกันก็จากอินเดียนแดงคั่วมาให้กิน    ดังนั้นในวันขอบคุณพระเจ้าที่พวกพิลกริมเชิญอินเดียนแดงมาร่วมงาน   พวกพิลกริมก็ออกไปล่าสัตว์ ได้ไก่งวงป่า(สมัยนั้นยังไม่มีการเลี้ยงไก่งวงเป็นฟาร์มอย่างเดี๋ยวนี้) พวกผู้หญิงก็ปรุงอาหารจากพืชผลที่ปลูกได้   จึงมีขนมปังข้าวโพดจากในไร่   ผลเเครนเบอรี่  ผลสควอช (น้ำเต้า) และฟักทองเป็นอาหารหลัก     กลายเป็นธรรมเนียมว่าอาหารฉลองวันขอบคุณพระเจ้าจะมีอาหารดั้งเดิมพวกนี้รวมอยู่ด้วยค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ย. 12, 21:03
ตอบคุณเพ็ญชมพู

ในเรื่องใช้คำว่า pig  (หมูบ้าน) ไม่ใช่ hog(หมูป่า)  แสดงว่าคนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานนำสัตว์เลี้ยงเช่นหมูและไก่เข้ามาด้วยค่ะ    มีเล่าเอาไว้ในตอนต้นเรื่องว่า  ครอบครัวของลอร่าวางแผนจะซื้อลูกหมูมาเลี้ยงจนโต เพื่อเอาไว้กินเอง  
เลี้ยงแบบนี้แม้ว่าเป็นบ้านกลางทุ่งนา   ก็ต้องเลี้ยงแบบขังคอก เหมือนในชนบทของเราละค่ะ  นำรูปคอกหมูที่สร้างง่ายๆมาให้ดูข้างล่างนี้

ขนาดของหมูย่างตัวนี้  มีบรรยายไว้ว่า
  "How much pork have you got there?" Laura heard a man ask as he passed back his plate for more, and the man who was carving answered, while he cut a thick slice, "Can't say exactly, but it weighed a good forty pounds, dressed."
หมายความว่าเมื่อควักไส้ขูดขนออกเตรียมย่าง หมูตัวนี้ยังมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 40 ปอนด์    ดิฉันกะไม่ถูกว่าขนาดใหญ่หรือเล็กแค่ไหน  ต้องขอให้คุณเพ็ญชมพูคำนวณให้เอง


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ย. 12, 21:51
เอารูปหมูที่เลี้ยงกันสมัยนั้นมาให้ดูค่ะ  คุณเพ็ญชมพูอาจจะบอกได้ว่าเป็นพันธุ์อะไร


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 27 พ.ย. 12, 22:42
A Boy Looking into a Pig Sty 1794 - George Morland

เดาว่าเป็นหมูพันธุ์ Gloucestershire Old Spots (http://en.wikipedia.org/wiki/Gloucestershire_Old_Spots)

 ;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 พ.ย. 12, 09:09
ลอร่าอธิบายว่า เป็นเนื้อหมูสีขาวปนมัน

ปรกติเนื้อหมูจะเป็นสีแดง เลยงงว่าทำไมจึงเป็น "เนื้อหมูสีขาวปนมัน"

น่าจะเป็น "เนื้อหมูปนมันสีขาว"

 ???


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ย. 12, 09:32
ผู้เขียนบรรยายเนื้อหมูย่างที่สุกแล้วไงล่ะ คุณเพ็ญ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 พ.ย. 12, 09:54
อ้อ

(http://www.morrisonmeat.com/images/logoPORK.png)

;D


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 พ.ย. 12, 20:30
หายไปป่วยเสียพักหนึ่ง เลยไม่ได้เข้ามาแจมด้วย   

เป็นใข้หวัดใหญ่ทันสมัยครับ  Type A ครับ  ท่านผู้สูงวัยน่าจะไปฉีดวัคซีนกันไว้บ้างนะครับ 

ขอย้อนกลับไปนิดเดียวครับ เรื่องแตงโมสี่เหลี่ยม

ครั้งแรกที่เห็นในญี่ปุ่น ก็สงสัยว่าเป็นของจริงหรือไม่จริง   ทุกท่านคงทราบแล้วว่ามันป็นพันธุ์พืชหรือเป็นการสร้างให้ผลของมันเป็นรูปทรงนั้น  สมัยเด็กๆ คุณพ่อปลูกแตงโม ลูกใหนเห็นว่าสวยดี จับพลิกดูไปดูมาบ่อยๆ ลูกนั้นก็จะไม่โตสวยงาม เหมือนกับมันเฉามือ ลูกใหนที่ไม่ไปแตะต้องมัน มันก็จะโตเอาๆ  หากขุดหลุมให้มันอยู่ มันก็จะกลมสวยดี   จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้  แตงทั้งหลายนั้น หากถูกพวกต่อหรือแตนต่อยมันจะขมครับ 

ขอแฉลบไปลงไปข้างถนนหน่อย ไปอีกแตงหนึ่ง
แตงแคนตาลูบ  ผลไม้ที่เป็นของแพงจริงๆของญี่ปุ่น  หากลูกสวย มีขั้วและก้านที่สวยงาม ในร้านสรรพสินค้าดีๆ ก็จะแพงมากในระดับราคาลูกละประมาณ 12,000 - 14,000 เยน เช่นเดียวกับบริเวณสถานีรถไฟต่างๆ  แต่หากเดินไกลออกมาจากสถานี ก็พอจะหาซื้อได้ในราคาลูกละประมาณ 3,000 -4,000 เยน    เคยต้องพาคนไปซื้อเพื่อเอากลับมาฝากญาตในไทย  พอกลับมาอยู่เมืองไทย อ้าว มันก็ปลูกในเมืองไทยนี่เอง คัดอย่างดี แล้วส่งไปญี่ปุ่น       

 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 29 พ.ย. 12, 07:17
ขอบพระคุณอาจารย์เทาชมพูครับ สำหรับคำตอบเรื่องอาหาร


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 29 พ.ย. 12, 14:57
เข้ามารายงานตัวค่ะ ชอบบ้านเล็กมากโดยเฉพาะมีเรื่องอาหารการกินเยอะไปหมด

ถ้าจบบ้านลอร่าแล้วอยากไปดูโต๊ะอาหารที่บ้านแอลแมนโซด้วยค่ะ บ้านคนมีเงินอาหารอุดมสมบูรณ์ทุกมื้อเลย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ย. 12, 15:51
ได้เลยค่ะ คุณสิริณาวดี
จบเรื่องของลอร่าแล้วจะต่อด้วยของกินในบ้านของแอลแมนโซ สามีของลอร่า ใน Farmer Boy ซึ่งเป็นชีวิตวัยเยาว์ของเขา
พ่อของลอร่าเป็นชาวนานักบุุกเบิกจนๆ ทางตะวันตกของอเมริกา   ส่วนพ่อของแอลแมนโซเป็นเจ้าของฟาร์ม ฐานะร่ำรวยในเมืองมาโลน ในรัฐนิวยอร์ค    แม้ว่าแม่และลูกสาวต้องทำอาหารทุกอย่างจากพืชผลการเกษตร รวมทั้งเลี้ยงวัว หมูและไก่ไว้เป็นอาหาร    แต่ก็กินอยู่อุดมสมบูรณ์กว่าครอบครัวลอร่ามาก
อ่านแล้ว ชวนหิวทุกบทเชียวละค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ย. 12, 18:21
หายไปป่วยเสียพักหนึ่ง เลยไม่ได้เข้ามาแจมด้วย   

เป็นใข้หวัดใหญ่ทันสมัยครับ  Type A ครับ  ท่านผู้สูงวัยน่าจะไปฉีดวัคซีนกันไว้บ้างนะครับ 

ขอย้อนกลับไปนิดเดียวครับ เรื่องแตงโมสี่เหลี่ยม

ครั้งแรกที่เห็นในญี่ปุ่น ก็สงสัยว่าเป็นของจริงหรือไม่จริง   ทุกท่านคงทราบแล้วว่ามันป็นพันธุ์พืชหรือเป็นการสร้างให้ผลของมันเป็นรูปทรงนั้น  สมัยเด็กๆ คุณพ่อปลูกแตงโม ลูกใหนเห็นว่าสวยดี จับพลิกดูไปดูมาบ่อยๆ ลูกนั้นก็จะไม่โตสวยงาม เหมือนกับมันเฉามือ ลูกใหนที่ไม่ไปแตะต้องมัน มันก็จะโตเอาๆ  หากขุดหลุมให้มันอยู่ มันก็จะกลมสวยดี   จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้  แตงทั้งหลายนั้น หากถูกพวกต่อหรือแตนต่อยมันจะขมครับ      
ดิฉันไปฉีดวัคซีนกันไข้หวัดใหญ่เรียบร้อยแล้วค่ะ  ผลคือ หวัดใหญ่ทำอะไรไม่ได้ แต่ส่งหวัดเล็กมาโจมตีแทน  ก็ทรุดไปสามสี่วัน
เรื่องปลูกแตงโมในยุคปลายศตวรรษที่  19 เล่าไว้ในนิยายบ้านเล็กเหมือนกัน   รอบรรยายทีหลังในตอน "เด็กชายชาวนา"   
เขาปลูกอย่างธรรมดานี่ละค่ะ  แต่ว่าแปลกตรงที่เลี้ยงด้วยน้ำนม     ไม่รู้ว่าในบ้านเราทำกันบ้างหรือเปล่า 
คุณพ่อคุณตั้งปลูกแตงโม เลี้ยงด้วยอะไรคะ   น้ำกับปุ๋ย?


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ย. 12, 18:29
ขอแฉลบไปลงไปข้างถนนหน่อย ไปอีกแตงหนึ่ง
แตงแคนตาลูบ  ผลไม้ที่เป็นของแพงจริงๆของญี่ปุ่น  หากลูกสวย มีขั้วและก้านที่สวยงาม ในร้านสรรพสินค้าดีๆ ก็จะแพงมากในระดับราคาลูกละประมาณ 12,000 - 14,000 เยน เช่นเดียวกับบริเวณสถานีรถไฟต่างๆ  แต่หากเดินไกลออกมาจากสถานี ก็พอจะหาซื้อได้ในราคาลูกละประมาณ 3,000 -4,000 เยน    เคยต้องพาคนไปซื้อเพื่อเอากลับมาฝากญาตในไทย  พอกลับมาอยู่เมืองไทย อ้าว มันก็ปลูกในเมืองไทยนี่เอง คัดอย่างดี แล้วส่งไปญี่ปุ่น       
พูดถึงแตง  ขอถามคุณตั้งหรือท่านอื่นที่ทราบ ว่าแตงไทย แคนตาลูป และฮันนี่ดิว (honey dew) มันต่างกันยังไงคะ
ฮันนี่ดิวคือแตงไทยใช่ไหมคะ   ส่วนแคนตาลูปคือแตงฝรั่ง?


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ย. 12, 19:06
ระหว่างรอคำตอบ   ขอกลับมาที่บ้านเล็ก
ลอร่าบรรยายอาหารที่ตั้งอยู่เต็มโต๊ะยาวสองตัวในโบสถ์ที่จัดงาน New England supper  ว่ามีมากมายอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน  นอกจากหมูย่างทั้งตัวแล้ว ยังมีอาหารอื่นๆ ตามที่บรรยายไว้ข้างล่างนี้
In all their lives, Laura and Carrie had never seen so much food. Those tables were loaded. There were heaped dishes of mashed potatoes and of mashed turnips, and of mashed yellow squash, all dribbling melted butter down their sides from little hollows in their peaks. There were large bowls of dried corn,soaked soft again and cooked with cream. There were plates piled high with golden squares of corn breadand slices of white bread and of brown, nutty-tasting graham bread. There were cucumber pickles and beet pickles and green tomato pickles, and glass bowls on tall glass stems were full of red tomato preserves and wild-chokecherry jelly. On each table was a long,wide, deep pan of chicken pie, with steam rising through the slits in its flaky crust.

ค่อยๆอธิบายไปทีละอย่างนะคะ
There were heaped dishes of mashed potatoes and of mashed turnips, and of mashed yellow squash, all dribbling melted butter down their sides from little hollows in their peaks
มีชามใส่มันฝรั่งบด  หัวผักกาด(ขาว)บด  และสควอชบด  (คำว่า squash คือพืชในตระกูลน้ำเต้า และฟักทอง ซึ่งมีหลายชนิดด้วยกัน) ในที่นี้เรียกทับศัพท์ไปก่อนดีกว่าค่ะ
เมื่อนำมาเป็นของกิน เขาไม่ได้บดใส่ชามให้กินเปล่าๆ  แต่ว่ากินกับเนย    บางครั้งก็แยกเนยเหลวใส่ถ้วยมาต่างหาก   บางครั้งก็หั่นเนยเป็นแผ่นหรือก้อนวางลงบนมันบด   แต่ในเรื่องนี้ไม่แยกเนย  อาจเพราะเปลืองถ้วยต้องเสียเวลาล้าง และกินที่บนโต๊ะที่จัดแบบบุฟเฟ่ต์    ใช้วิธีละลายเนยให้เหลวแล้วราดลงบนมันบด  หัวผักกาดและสควอชบดพวกนั้นทีเดียวเลย

รูปข้างล่างนี้คือมันฝรั่งบดใส่เนย  หัวผักกาดขาวบดใส่เนย  และสควอชบด ใส่เนยเช่นกันค่ะ
ตักพูนขึ้นบนชาม แล้วกดข้างบนลงให้เป็นหลุม เอาเนยเหลวหยอดเอาไว้ให้ไหลอาบลงมา    เป็นผักที่กินผสมกับเนย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ย. 12, 20:38
ทีนี้ ก็มาถึงข้าวโพด
คนไทยเรามักจะชินกับข้าวโพดสด  จะต้มหรือปิ้งก็ตาม ก็กินสดๆจากฝัก  ถ้าไม่กินข้าวโพดสดก็กินข้าวโพดกระป๋อง     แต่ฝรั่งนักบุกเบิกสะดวกสบายน้อยกว่าเรามาก   เขาปลูกข้าวโพดในฤดูร้อน กินข้าวโพดสดๆกันได้เฉพาะช่วงนั้น   จากนั้นเมื่อเก็บไว้กินในฤดูหนาวด้วย ก็ต้องทำเป็นข้าวโพดแห้ง 
วิธีทำคือแกะเม็ดจากฝักมาวางเกลี่ยกันบนผ้า  เอาผ้าอีกผืนคลุมไว้เพื่อกันนกกาโฉบลงจิกกิน   ตากแดดจัดๆจนกลายเป็นข้าวโพดแห้ง  จากนั้นก็เก็บใส่กระสอบไว้
พอถึงฤดูหนาว ก็เอามาแช่น้ำให้อ่อนตัว ต้มจนสุก เพื่อประกอบเป็นอาหารได้หลายชนิดด้วยกัน

There were large bowls of dried corn,soaked soft again and cooked with cream

ข้าวโพดแห้งแช่น้ำให้นุ่ม แล้วต้มกับครีม   สมัยนี้มีขายสำเร็จรูปในซูเปอร์ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 พ.ย. 12, 20:58
พูดถึงแตง  ขอถามคุณตั้งหรือท่านอื่นที่ทราบ ว่าแตงไทย แคนตาลูป และฮันนี่ดิว (honey dew) มันต่างกันยังไงคะ
ฮันนี่ดิวคือแตงไทยใช่ไหมคะ   ส่วนแคนตาลูปคือแตงฝรั่ง?

อืม์  ในเชิงของชื่อและสายพันธุ์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ทราบครับ

ผมรู้จักความต่างเพราะเพียงเคยกินครับ  :D

ขอเสนอคำตอบตามความรู้ที่คิดว่ามีครับ

แตงไทยแต่เดิมนั้น ผลเป็นรูปทรงเหมือนฟักหม่น ผิวเรียบ สีออกเหลือง มีลายแถบขาว เนื้อมีกลิ่นหอม รสเนื้อจืด  หลังๆนี้เห็นผลป้อมสั้นใกล้เป็นทรงกลม และกลิ่นหอมเฉพาะตัวลดลง จางลงไป  มีปลูกกันมากแถบพิจิตร พิษณุโลก    แตงไทย น่าจะตรงกับแตงที่ฝรั่งจัดอยู่ในกลุ่ม squash  ซึ่งไม่จัดเป็นอาหารประเภทพวกผลไม้ แตงในกลุ่ม squash นี้ ฝรั่งใช้ทำอาหารในกลุ่มอาหารคาว   คงจะยกเว้นเฉพาะ แตงไทย ของไทย ที่คนไทยเราเอามาใช้ทำอาหารเป็นของหวาน

แคนตาลูป (cantaloupe) เป็นแตงประเภทที่ฝรั่งจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า melon  จัดเป็นพวกผลไม้   ผลเป็นทรงกลม ผิวสีเขียวขี้ม้า มีเส้นเป็นสันนูนคล้ายร่างแหคลุมอยู่ทั้งผล  เนื้อในมีสีออกฟ้าอมเขียว ออกไปทางฟ่าม แต่ไม่สวกเหมือนแตงโม ฉ่ำไปด้วยน้ำที่หวาน มีกลิ่นหอมมาก  ปรกติจะกินเป็นผลไม้ในช่วงอาหารกลางวันและอาหารเย็น เกือบจะไม่เคยเห็นกินเป็นผลไม้ในช่วงอาหารเช้า หลังๆมานี้เห็นนิยมเอาไปทำเป็น Ice creme และ sorbet ด้วย

แตง honey dew เป็นแตงที่ฝรั่งจัดอยู่ในกลุ่ม melon เช่นกัน ผลทรงกลม ผิวเกลี้ยงนวล สีผิวออกไปทางสีครีม เนื้อในแน่น ออกไปทางสีแสดเรื่อๆ กินทั้งแบบเนื้อแข็งหรือค่อนข้างนิ่มเหมือนเนื้อมะละกอเริ่มสุก รสไม่หวานแหลม    นิยมกินเป็นผลไม้ในช่วงอาหารเช้า กับช่วงอาหารเย็น โดยเฉพาะในช่วงอาหารเย็นนั้น ดูจะนิยมจัดร่วมกับองุ่นและเสิร์ฟพร้อมกับจานเนยแข็ง เช่น พวก Brie, Blue cheese, Camembert และพวก Cheddar หรือเนยประเภทไม่ mature อื่นๆ  



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 12, 18:10
นำรูปมาประกอบค่ะ
จากซ้าย แตงไทย   แคนตาลูป และฮันนี่ดิว


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 12, 18:17
There were plates piled high with golden squares of corn bread
แป้งจากข้าวโพดใช้ทำอาหารได้หลายอย่าง เหมือนแป้งสาลี   หนึ่งในจำนวนนั้นคือขนมปังข้าวโพด  corn bread  หรือขนมปัง Johnny cake



กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 12, 18:24
 brown, nutty-tasting graham bread.
-ขนมปังเกรแฮม (หรือออกเสียงว่า แกรม )  คือขนมปังสีน้ำตาล  ทำจากแป้งข้าวไรย์ หรือไม่ก็ข้าวสาลีที่ไม่ได้ขัดสี


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 12, 21:33
There were cucumber pickles and beet pickles and green tomato pickles, and glass bowls on tall glass stems were full of red tomato preserves and wild-chokecherry jelly.
พวกผักดอง อย่างแตงกวาดอง  บีตดอง มะเขือเทศดิบดอง เล่าให้ฟังแล้วนะคะ    ส่วน tomato preserves มี 2 แบบคือมะเขือเทศกวน แบบเดียวกับแยม   ทำจากมะเขือเทศสุก     กับมะเขือเทศแช่อิ่ม ซึ่งยังรักษาสภาพเป็นลูกมะเขือเทศอยู่ 
สองอย่างนี้กินเป็นของคาว  ไม่ใช่ของหวาน


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 12, 22:06
wild-chokecherry jelly.
เยลลี่ลูกโช้คเชอรี่ป่า    เคยอธิบายไว้แล้วก็จะอธิบายซ้ำว่า เยลลี่ในที่นี้เป็นแยมทำจากน้ำผลไม้ ไม่มีเนื้อผลไม้ปนอยู่ จึงเนื้อใส  แต่เขากินแบบแยม คือทาขนมปัง  ไม่ใช่ใส่พิมพ์เป็นก้อนแช่เย็น กินกับไอศกรีมอย่างในบ้านเรา


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 12, 09:15
On each table was a long,wide, deep pan of chicken pie, with steam rising through the slits in its flaky crust.

อย่างที่เคยอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ ว่า pie ของฝรั่งนั้นเป็นได้ทั้งของคาวและของหวาน  จะแปลว่าขนมพายก็คงไม่ครอบคลุมได้หมด  เพราะเมื่อใส่ผลไม้เข้าไปเป็นไส้ อย่างพายแอปเปิ้ล ก็เป็นของหวาน  แต่ถ้าใส่เนื้อสัตว์เข้าไปแทน ก็กลายเป็นของคาว อย่างพายไก่ หรือพายเนื้อ
พายไก่ถือเป็นอาหารชั้นหรูในนิยายเรื่องนี้   เพราะชาวบ้านนักบุกเบิกหาไก่กินได้ยาก  ไม่มีขายตามร้าน   ต้องเลี้ยงไก่เอาไว้กินไข่และเนื้อเอง   ลอร่าเล่าว่าเพื่อนบ้านใจดีให้ลูกไก่มาฝูงหนึ่ง   ก็เลี้ยงกันไปจนไก่โต จากนั้นจึงเริ่มมีไข่กิน   เมื่อขยายฝูงออกไปได้ก็ค่อยเลือกไก่ตัวผู้มากินเนื้อ   ส่วนตัวเมียเอาไว้ขยายพันธุ์และออกไข่    จนแม่ไก่แก่เกินกว่าจะออกไข่ได้แล้ว   แม่จึงเอามาทำพายไก่   แสดงว่ากว่าจะได้กินพายไก่ก็ต้องรอนานเป็นปี     
ชาวบ้านอย่างพวกเราที่มีไก่ย่างห้าดาว  ไก่ย่างโคราช  ไก่วิเชียรบุรี ตลอดจนไก่ทอดข้างถนน ให้กินได้สารพัดทุกมุมถนน ถือว่าเป็นเศรษฐี กินอยู่หรูหราจนน่าอิจฉาสำหรับชาวอเมริกันเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนทีเดียวค่ะ

ขนมพายนิยมทำกันในพิมพ์ที่เป็นชามหรือถาดสังกะสีตื้นๆรูปทรงกลม   แผ่แป้งกรุลงในชาม  ใส่ไส้  แผ่แป้งอีกผืนหนึ่งปิดข้างบน แล้วกดตรงขอบให้เป็นลายหยักๆ โดยรอบ   
ผิวบนหน้าพาย ถ้าเป็นชาวบ้านทำก็เป็นหน้าเรียบๆไม่ตกแต่งอะไร  แต่ถ้าแม่บ้านคนไหนมีหัวศิลป์หน่อยก็เจาะรูตรงหน้าพายเป็นรูปสวยๆ ให้ควันจากข้างในเมื่ออบสุกแล้วลอยขึ้นมาตามรูที่เจาะไว้  ส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำลาย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 12, 09:17
ไส้ข้างในพายไก่


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 ธ.ค. 12, 18:51
เล่นเอาได้กลิ่นโชยออกมา ท้องร้องเลยครับ  ;D

พออบสุก ระอุได้ที่แล้ว ก็เพียงเอาซ่อมสักให้เป็นรูพรุนก่อนเสิร์ฟเท่านั้นเอง กลิ่นที่โชยมาก็เรียกน้ำได้ย่อยแล้วครับ

อาหารคาวในกลุ่มที่ทำแบบสตูว์และพายแบบนี้  จะมีการใช้เครื่องเทศอยู่เพียงสามชนิดเท่านั้นที่เป็นหลักในการช่วยให้เกิดกลิ่นหอมชวนกิน ได้แก่ ใบกระวาน (bay leave) กานพลู (clove) และพริกไทย  ใบกระวานนั้นใส่ได้ตั้งแต่ใบเดียงจนถึงสองหรือสามใบ ส่วนกานพลูนั้น หากเป็นเนื้อสัตว์เช่นไก่ ก็อาจจะใส่เพียงดอกเดียวหรือไม่ใส่เลยก็ได้ แต่หากเป็นเนื้อวัวอาจจะต้องใส่สองถึงสามดอก จึงจะได้กลิ่นที่ผสมผสานกันออกมาดี บางคนก็เพิ่มผงลูกจันทร์ (ไม่ทราบว่าเขียนอย่างไร) ..nutmeg...  ลงไปอีกนี๊ดหน่อย


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 12, 19:30
nutmeg  ลูกจันทร์เทศ ค่ะ  ยุคบุกเบิกไม่ได้กล่าวถึงเลย  เครื่องเทศที่เอ่ยถึงในเรื่องก็มีแต่เกลือกับพริกไทย   เครื่องปรุงรส มีน้ำส้มสายชู  ซอส(น่าจะเป็นมะเขือเทศ)
ในสมัยนั้นจันทร์เทศน่าจะราคาแพงมาก  เกินกว่าชาวนาจนๆอย่างครอบครัวลอร่าจะซื้อมาใช้ได้


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ธ.ค. 12, 09:44
Mother Brown always sees to that. She's keeping back a couple of the best pies and a layer cake.

ลอร่าไปช่วยเพื่อนล้างชามในงานนี้  ไอดา เพื่อนของลอร่ากระซิบบอกว่า ไม่ต้องกลัวว่าแขกในงานจะกินอาหารกันจนหมด ไม่เหลืออะไรให้เธอกิน เพราะคุณแม่บราวน์ ภรรยาท่านสาธุคุณบราวน์แอบเก็บพายอย่างดีไว้ ๒ อัน กับ เลเยอร์เค้ก ซ่อนเอาไว้แล้ว
เลเยอร์เค้กคืออะไร  เลเยอร์เค้กคือขนมเค้กที่ข้างในเป็นเค้กต่างชนิดเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ   เช่นอาจเป็นวานิลลาสลับกับช็อคโกแลต  เพื่อให้มีรสชาติหลากหลาย  ไม่ใช่เค้กวานิลลาอย่างเดียว หรือช็อคโกแลตอย่างเดียว
ใครทำเค้กเก่ง อาจจะเล่นชนิด เล่นสี ของเลเยอร์เค้กเข้าไปหลากหลายเหมือนสายรุ้งเลยก็ได้    ดังรูปที่นำมาให้ดูข้างล่างนี้ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 ธ.ค. 12, 20:52
nutmeg  ลูกจันทร์เทศ ค่ะ  ยุคบุกเบิกไม่ได้กล่าวถึงเลย  เครื่องเทศที่เอ่ยถึงในเรื่องก็มีแต่เกลือกับพริกไทย   เครื่องปรุงรส มีน้ำส้มสายชู  ซอส(น่าจะเป็นมะเขือเทศ)
ในสมัยนั้นจันทร์เทศน่าจะราคาแพงมาก  เกินกว่าชาวนาจนๆอย่างครอบครัวลอร่าจะซื้อมาใช้ได้

ทำให้นึกถึงความต่างอีกเรื่องหนึ่ง คือ ฝรั่งใช้น้ำส้มหมัก สำหรับการตัดรสหรือดึงรสของอาหารให้แหลมขึ้น ใช้แม้กระทั่งในการทำขนมเค็ก   ของเราใช้น้ำตาล   ช่างต่างกันมากมายเสียจริงๆ   แต่ที่น่าสนใจก็คือ ต่างก็ทำให้อาหารมีรสชาติอร่อยทั้งนั้น  นัยว่าในอาหารฝรั่งนั้นเป็นการเพิ่มความเป็นกรดให้กับอาหาร เนื่ิองจากองค์ประกอบของเครื่องปรุงในอาหารฝรั่งส่วนมากจะให้รสออกไปทางหวาน   ในขณะที่อาหารของเราส่วนมาก เครื่องแกงจะให้รสออกไปทางความเป็นกรด (เปรี้ยว, ปร่า) จึงต้องใช้น้ำตาลช่วยดึงรส


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ธ.ค. 12, 21:15
กำลังจะจบกระทู้นี้  เพื่อไปขึ้นกระทู้ (3)  เล่าถึงอาหารการกินในตอน Farmer Boy  ตามคำขอของคุณ Sirinawadee  ค่ะ ก็พอดีได้อ่านคุณตั้งพูดถึงการใช้น้ำส้มสายชูหมักดึงรสอาหาร     เลยนึกได้ถึงอาหารจานพิเศษของแม่ของลอร่า ในตอน The Long Winter   เมื่อครอบครัวนี้ต้องผจญฤดูหนาวยาวนานถึง 7 เดือน
ในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเก็บพืชผลที่ปลูกได้ในฤดูใบไม้ร่วง     ปีแรกปลูกอะไรไม่งาม   ต้องรีบเก็บพืชผลต่างๆในสวนเสียก่อนอากาศหนาวจัด   จึงมีฟักทองดิบๆยังไม่ทันสุกให้ต้องเก็บเข้ามาไว้ในห้องเก็บอาหาร
แม่ก็เลยลองทำพายฟักทองดิบ  หรือ green pumpkin pie   คำว่า green ในที่นี้แปลว่าดิบ ไม่ได้แปลว่าสีเขียวนะคะ

ปกติ พายฟักทองทำจากฟักทองสุกแล้วทั้งนั้น  ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แม่ลองเอาฟักทองดิบมาทำ
You may cut the pumpkin in slices and peel them while I make the pie crust," said Ma. "Then we'll see what we'll see."
Ma put the crust in the pie pan and covered the bottom with brown sugar and spices. Then she filled the crust with thin slices of the green pumpkin. Shepoured half a cup of vinegar over them, put a small piece of butter on top, and laid the top crust over all.


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ธ.ค. 12, 21:26
วิธีทำของแม่คือหั่นฟักทองดิบเป็นชิ้นบางๆ  จากนั้นก็แผ่แป้งที่ใช้ทำขนมพายกรุลงในชาม  โรยน้ำตาลทรายแดงและเครื่องเทศลงไปบนก้นชาม
เครื่องเทศนี้ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร   เลยไม่รู้ว่าเป็นจันทร์เทศหรือเปล่า หรือจะเป็นพวกกานพลู?
จากนั้นแม่ก็เรียงฟักทองดิบชิ้นๆลงไปจนเต็ม   เอาน้ำส้มสายชูราดลงไปราวครึ่งถ้วย   หั่นเนยชิ้นเล็กวางปิดข้างบน  ก่อนจะแผ่แป้งอีกชิ้นหนึ่งคลุมด้านบนของชามจนเต็ม แล้วกดรอบๆให้หยักๆแบบขนมพาย
จากนั้นก็เอาเข้าเตาอบ    อบให้สุก   

พายของแม่ออกมาได้ผลดีมาก  เมื่อให้พ่อชิม  พ่อดูไม่ออกว่าเป็นพายฟักทองดิบ   ลิ้มรสแล้วนึกว่าเป็นพายแอปเปิ้ล  แสดงว่าน้ำส้มสายชูคงจะเปลี่ยนรสชาติฟักทองดิบให้ออกมาหวานเหมือนแอปเปิ้ล

ไปหารูปพายฟักทองดิบในกูเกิ้ล ได้มารูปหนึ่ง ดูเผินๆน่าจะคล้ายแอปเปิ้ลมากพอใช้ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ธ.ค. 12, 09:27
รูปซ้าย   พายฟักทองดิบ  รูปขวา พายแอปเปิ้ล


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 03 ธ.ค. 12, 10:05
เรื่องราวตอนที่แม่เอาฟักทองดิบมาทำพาย เอาฟักทองดิบวางๆ ใส่โน่นนี่นิดหน่อย พ่อกินแล้วถึงกับร้องว่าเอาแอปเปิ้ลมาจากไหน

ฟังดูง่ายจนร่ำๆจะลุกขึ้นมาทำตามเลยค่ะ แสดงว่าแม่เป็นแม่ครัวที่เก่งมากๆ ทำอะไรก็อร่อยไปหมด


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ธ.ค. 12, 10:35
ในชีวิตจริงของลอร่า  สมัยเธอยังเล็ก พ่อกับแม่อพยพจากที่โน่นไปที่นี่อยู่หลายแห่ง    ทั้งสองเคยไปทำงานโฮเต็ลของเพื่อนมาก่อนค่ะ   แต่เธอเว้นตอนนี้ไว้ไม่ได้นำมารวมในนิยายค่ะ
พ่อทำงานเป็นผู้จัดการโฮเต็ล  แม่เป็นแม่ครัว  ก็แสดงว่าแม่มีประสบการณ์ จนเชี่ยวชาญเรื่องอาหาร เนื่องจากต้องทำอาหารให้แขกกินได้วันละ ๓ มื้อ   อาจจะต้องพลิกแพลงใช้โน่นมาแทนนี่อยู่เป็นประจำ 


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ธ.ค. 12, 11:52
ตั้งกระทู้ใหม่แล้วค่ะ 
อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (3) ตอน เด็กชายชาวนา
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5466.msg116370#msg116370

แต่ถ้าจะสนทนากันด้วยเรื่องอาหารต่างๆข้างบนนี้ก็เชิญคุยกันต่อในกระทู้นี้ได้ค่ะ


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 04 ธ.ค. 12, 09:47
พ่อของลอร่าเคยทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมนี่เอง พ่อจึงมีความรู้ดี เขียนหนังสือราชการได้ ทำบัญชีเป็น แถมยังสะกดคำเก่งเสียอีก

แอบตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องราวตอนลอร่าเด็กๆ มีรายละเอียดของอาหารการกินมากมาย แต่เล่มหลังๆ ที่เธอมีความรักและแต่งงานออกเรือนไป เนื้อเรื่องลงรายละเอียดต่างๆ น้อยลงไปมากทีเดียว สงสัยว่าโตขึ้นจะรับประทานไม่เก่ง เอวจะได้เล็กๆ  :-[


กระทู้: อาหารการกินใน "บ้านเล็ก" (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ธ.ค. 12, 10:16
จริงอย่างคุณสิริณาวดีว่าค่ะ    ในเล่มท้าย  Happy Golden Years เกือบไม่มีอาหารเลย     มีแต่บรรยายชีวิตการทำงานเป็นครู และเสื้อผ้าสวยๆของหญิงสาว   คงเป็นเพราะลอร่าโตขึ้นมากแล้ว ความสุขอย่างเด็กๆก็ลดน้อยลงไป   มีชีวิตผู้ใหญ่เข้ามาแทน
มีชีวิตของลอร่าช่วงที่อพยพไปอยู่มิสซูรี่กับแอลแมนโซและโรส    แต่เน้นที่ชีวิตโรสมากกว่า   คนเขียนคือผู้จัดการและบุตรบุญธรรมของโรส    ซื้อมาแล้วแต่รู้สึกว่าไม่สนุกเท่าชุดบ้านเล็ก  ก็เลยไม่ได้นำมาเล่าให้ฟังค่ะ