เรือนไทย

     คบค้าสมาคมกับลุงกู๊ก ดีอยู่อย่างหนึ่งคือแกสามารถบอกข่าวคราวเก่าและใหม่ให้รู้ได้   โดยเฉพาะรายละเอียดยิบย่อยที่ไม่รู้จะไปหาจากหนังสือไหนมาอ่าน
     เช่นเกิดนึกขึ้นมาได้ว่า หนังทีวีเก่าๆที่เคยจ้องไม่กระพริบอยู่หน้าจอ  มีดารานำเป็นขวัญใจสมัยเด็กๆ บัดนี้ หนังจบชุดเลิกถ่ายทำไปนานแล้ว   เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าดาราเก่าแก่พวกนั้นไปทำอะไรอยู่ที่ไหน  เป็นตายร้ายดียังไงบ้าง

    เรื่องพรรค์นี้ลุงกู๊กถนัดนัก    ถามปุ๊บตอบได้ปั๊บ     ทำให้เหมือนได้คืนสู่เหย้าอีกครั้งค่ะ
    ก็เลยจะมาเล่าสู่กันฟัง
    จำกัดขอบเขตไว้ที่ 50 ปี  คือย้อนไปปี 1968   คิดว่าหลายท่านในเรือนไทยเกิดแล้ว  บางท่านก็โตพอจะจำความได้แล้วด้วย  ถ้าดูหนังไม่ทันก็น่าจะจำดาราได้บ้าง เพราะหลายคนก็มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน
    เริ่มด้วย  Star Trek  หรือชื่อภาษาไทยว่า ตะลุยจักรวาล 

https://www.youtube.com/watch?v=vcRX0Gw1aaw

บางฉากจากตอนแรกของ Star Trek ชื่อ The Man Trap

https://www.youtube.com/watch?v=_Q-h6m0uKko

ฉากในสมัยที่ยังไม่มี CG  เป็นแบบนี้เอง   ดาราต้องเล่นกันอย่างมือถึงมาก ถึงจะทำให้คนดูคล้อยตามเรื่องไปได้

ตะลุยจักรวาล เป็นหนังชุดที่ผลิตโดยบริษัท Desilu  ก่อตั้งโดยอดีตดาราตลกหญิงยอดนิยม ลูซิล บอลล์  และมีอดีตสามี เดซี อาเนซเป็นหุ้นส่วน   บริษัทนี้ผลิตหนังชุดดังๆทางทีวีในยุค 1960s อยู่หลายชุด
ตอนเริ่มแรก   เรื่องนี้ไม่ได้เป็นโปรเจคใหญ่ของบริษัท   เรื่องราวเกี่ยวกับอวกาศก็ยังเป็นของใหม่สำหรับคนดูในยุคนั้น    ผู้สร้างเลือกดารานำล้วนดาวดวงเล็ก  เล่นรับเชิญในหนังจอใหญ่จอเล็กมาก่อน 
ดารานำเป็นหนุ่มรูปหล่อสำอางชาวแคเนเดียนชื่อ William Shatner  ซึ่งถูกเทรนด์มาทางด้านละครเวทีคลาสสิคของเชกสเปียร์      และมีตัวรองลงไปเป็นคนอเมริกันเชื้อสายยูเครนชื่อ Leonard Nimoy   ทั้งสองคนล้มลุกคลุกคลานในวงการฮอลลีวู้ดมาหลายปี 
นอกนั้นก็เป็นดารารองๆลงไปอีก  ซึ่งเกือบจะโนเนมกันทั้งชุด

เรื่องนี้ได้รับความนิยมพอสมควร  อยู่ได้ถึง 3 ปี ก่อนเรตติ้งจะเริ่มหล่นลงเรื่อยๆจนถูกถอดออกจากโปรแกรมในที่สุด
แต่ชะตากรรมของ Star Trek แปลกประหลาดมาก    คือมันเกิดไปฮิทขึ้นมาตอนรีรันตามสถานีโทรทัศน์ต่างๆทั่วประเทศ ในยุค 1970s    กลายเป็นว่าได้รับความนิยมมากกว่าหนังชุดใหม่ๆเสียอีก  โดยเฉพาะกับเด็กๆ   
กระแส Star Trek เปรี้ยงปร้างขึ้นมาอีกครั้งทำให้ดาราชุดนี้ถูกเรียกตัวมาเล่นในตอนพิเศษอีกครั้ง   เมื่ออายุล่วงพ้นวัยหนุ่มไปจนเลยกลางคนแล้ว  แต่ด้วยฝีมือ บวกเมคอัพ พวกเขาก็เลยเป็นขวัญใจขึ้นมาอีก   

วิลเลียม แชทเนอร์ในวัยหนุ่มก่อนมาแสดงใน Star Trek

คาวบอย ครับ maverick

จบเรื่อง Star Trek แล้วจะพาไปพบ Maverick นะคะ

ในหนังชุดเรื่องนี้  ตัวละครประจำที่มีบทรองลงไปจากพระเอก คือตัวรองผู้การของยานอวกาศ  ในเรื่องกำหนดให้เป็นลูกครึ่งมนุษย์กับชาววัลแคน ซึ่งเป็นดาวอีกดวงหนึ่ง ที่มีอารยธรรมสูงกว่าดาวโลก     ลูกครึ่งที่ว่านี้ชื่อ Mr.Spock
 หน้าตาคุณสป๊อคก็เหมือนชาวโลกเราๆนี่เอง เว้นแต่มีใบหูแหลม และคิ้วเฉียงขึ้นเหมือนนักแสดงงิ้ว   เป็นคนหน้าตายไร้ความรู้สึกหรืออารมณ์ใดๆ   พูดจาก็ล้วนแล้วแต่มีหลักการ   ไม่มีอารมณ์อย่างพระเอกที่เป็นมนุษย์ปุถุชน

เลียวนาร์ด นีมอยรับบทนี้ได้เฉียบเกินกว่าใครจะคิด แม้แต่ตัวเขาเอง  เขาสร้างสป๊อคขึ้นมาให้โด่งดังจนเบียดพระเอกของเรื่องให้ชิดซ้ายไป      สป๊อคกลายเป็น typecast ของเขา คือผู้คนขึ้นใจกับภาพลักษณ์นี้จนเจ้าตัวแทบจะหาหนังอื่นมาเล่นให้หลุดพ้นไปจากภาพนี้ไม่ได้    
ด้วยเหตุนี้เมื่อหนัง Star Trek จบลง  นิมอยได้รับบทในหนังดังเรื่องอื่นๆ เช่น Mission Impossible โดยมาแทนมาร์ติน แลนเดาที่ลาออกไป     ก็ยังไม่สามารถสร้างชื่อขึ้นมาได้ ทั้งๆเป็นนักแสดงฝีมือดี

ภาพนี้ นิมอยคิดท่า แสดงความเคารพของชาววัลแคน  ใช้ในการทักทาย และอำลา ตลอดจนให้ความเคารพในโอกาสอื่นๆ   ท่านี้ก็ฮิทจนปรากฏในหนังตะลุยจักรวาลอีกหลายตอนที่สร้างใหม่
แรงบันดาลใจจากท่านี้ได้มาจากการให้พรของพระนักบวชในนิกายฮีบรู(หรือยิว) ค่ะ

ผู้การเคิร์กและคุณสป๊อค ในวัยปลายของชีวิต

ผ่านไปเกือบ 50 ปีลูกเรือก็ร่วงโรยไปตามอายุขัย จากไปก็หลายคนแล้ว
เช่นหมอแม็คคอย จากไปเมื่อปี 1999  สก๊อตตี้หัวหน้าฝ่ายช่างประจำยาน จากไปเมื่อ 2005   จากนั้นก็คือคุณสป๊อค ตามไปสมทบเมื่อ 2015 นี้เองค่ะ

ในภาพนี้ มีแต่ผู้การเคิร์ก เท่านั้นที่ยังอยู่

Star Trek นำมาทำหนังจอใหญ่อีกครั้ง   นำแสดงโดย Chris Pine เป็นผู้การเคิร์กและ Zachary Quinto เป็นคุณสป๊อค

ในยุค 1950s มาถึง 1960s  เป็นยุคหนังคาวบอยยิงกันสนั่นจอในทีวีอเมริกัน     ผู้คนชื่นชอบกันมาก   พระเอกคาวบอยจึงเดินขวักไขว่กันนับไม่ถ้วนในจอแก้ว    บริษัทหนังใหญ่อย่างวอเนอร์บราเธอส์ก็ผลิตหนังคาวบอยเอาไว้หลายเรื่อง
หนึ่งในนั้นที่ประสบผลสำเร็จมาก คือ Maverick
เรื่องนี้ถ้าแปลเป็นไทยเห็นจะต้องแปลว่า ตระกูลมาเวอริค   เพราะดาราแสดงนำในเรื่อง เล่นเป็นพี่น้องเครือญาติในตระกูลมาเวอริค 4 คนด้วยกัน
สองคนแรกคือเบร็ท มาเวอริค   แสดงโดย James Garner   และบาร์ท มาเวอริค แสดงโดย Jack Kelly

ต่อมาเมื่อเจมส์ การ์เนอร์ถอนตัวออกไปจากหนังทีวีชุดนี้    ผู้ผลิตก็ไปเอาดาราชายรูปหล่อจากอังกฤษมาเล่นแทน   คือโรเจอร์ มัวร์  ผูกเรื่องว่าเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องเชื้อสายอังกฤษ ชื่อ โบ มาเวอริค

โรเจอร์ มัวร์ เป็นดาราดังของอังกฤษจากหนังทีวีชุด Ivanhoe   รับบทเป็นอัศวินหนุ่มในยุคกลาง    ต่อมาเรื่องที่ทำให้ดังระเบิดคือ The Saint   หรือในชื่อไทยว่า "สิงห์สำอาง"   เป็นเรื่องของผู้ร้ายผู้ดีชื่อไซมอน เทมปลาร์   แต่ในหนังชุดเบลอบทบาทผู้ร้าย  เน้นไปทางผู้ดี
   โรเจอร์ มัวร์รับบทนี้ได้เนียนมาก   ในบทหนุ่มไฮโซรูปหล่อที่เป็นนักสืบสมัครเล่น และนักบุญช่วยเหลือผู้เดือดร้อน

   แต่พอมารับบทคาวบอยในอเมริกา  กลับไม่รุ่ง    เล่นได้ไม่นานเขาก็ถอนตัวจากหนัง Maverick ไป

   เรตติ้งของหนังชุดเริ่มตกต่ำลง  โรเจอร์ มัวร์ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น   วอเนอร์จึงส่งมาเวอริคคนใหม่เข้ามาพยุงหนังชุดเรื่องนี้  โดยเลือกดาราหนุ่มรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงเจมส์ การ์เนอร์ ชื่อ Robert Colbert มาเล่นเป็นหนุ่มตระกูลนี้ ชื่อ Brent Maverick   นอกจากหน้าตาคล้ายแล้วยังให้แต่งตัวเหมือนเจมส์ การ์เนอร์เป๊ะๆ อีกด้วย
   การได้เป็นตัว"ก๊อป" ดาราดัง    นักแสดงรู้กันว่ามันหมายถึงความอับจนในอนาคต   ไม่มีทางแหวกขึ้นไปเป็นดาราดังได้   เพราะตัวเองก็ไม่ผิดอะไรกับสินค้าก๊อปของแบรนด์เนม จะขายให้แพงเท่าของจริงเป็นไม่มีทาง     โรเบิร์ต คอลเบิร์ตกระอักกระอ่วนกับบทนี้มาตั้งแต่แรก  แต่ไม่มีทางเลือกเมื่อถูกสัญญาบังคับให้แสดง     เขาแสดงอย่างฝืนใจ   คนดูเองก็ไม่ชอบ  ดังนั้นพอหมดปี (season) นั้นทางผู้สร้างก็เลยไม่เรียกเขามาแสดงในปีต่อไปอีก
  เหลือแจ๊ค เคลลี่ยืนโรงอยู่ตั้งแต่ต้นจนหนังชุดลาจอไปในปีต่อมา

  ความสำเร็จของหนังทีวีชุดนี้ อาจมาจากเจมส์ การ์เนอร์ที่แสดงถึงบทถึงบาท   เป็นหนุ่มหล่อเหลาสูงใหญ่มาดแมน  แต่งกายดี   หน้าตาขี้เล่น  เล่นบทรักได้เก่งพอๆกับบทบู๊    ส่วนแจ๊ค เคลลี่นั้นเป็นตัวรองลงไป 
  สิ่งที่ฉีกแนวออกจากหนังคาวบอยร่วมสมัยอื่นๆก็คือ มาเวอริคไม่ใช่คาวบอยประเภทดวลปืนกันเป็นไฟแลบ อย่างหนังอื่นๆ    แต่เป็นหนุ่มนักพนันอาชีพจากรัฐเทกซัส ที่ใช้ชีวิตอยู่กับโต๊ะโป๊กเกอร์  ตระเวณไปทั่วรัฐตะวันตกของอเมริกาสมัยปลายศตวรรษที่ ๑๙   หรือไม่ก็ขึ้นล่องตามแม่น้ำในเรือโดยสารชั้นดีที่มีห้องให้เล่นการพนันกัน
   ชีวิตของพี่น้องมาเวอริคจึงเจอแต่นักต้มตุ๋น  สาวนักแสวงโชค  เศรษฐีขี้โกง ฯลฯ  ล้วนแต่เป็นสีสันในแต่ละตอน ให้ตื่นตาตื่นใจมากกว่าจะวนเวียนกันอยู่แต่บทดวลปืนอย่างหนังคาวบอยอื่นๆ 

มาเวอริคฉายตั้งแต่ 1957-1962   นับว่าเป็นหนังชุดที่ประสบความสำเร็จดีชุดหนึ่ง  ดาราก็แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน     
เจมส์ การ์เนอร์ไปเล่นหนังใหญ่ ประกบดาราดังๆในหลายเรื่อง ประสบผลสำเร็จด้วยดี ก่อนจะวกกลับมาเล่นหนังชุดทีวีอีก ในช่วง 1970s ในหนังนักสืบชื่อ The Rockford Files  ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จมากอีกนั่นแหละ   การ์เนอร์ได้รางวัลเอมมี่จากหนังชุดนี้
หนังชุดนี้ยืนยาวถึง 6 ปีจนกระทั่งจบไปเมื่อปี 1980

ดวงของเจมส์ การ์เนอร์ยังคงพุ่งแรงแม้ล่วงพ้นวัยหนุ่มมาแล้ว   เล่นทั้งหนังจอใหญ่และจอเล็ก  ประกบดาราดังมานับไม่ถ้วน  เป็นดาราชายคนเดียวที่ได้แสดงคู่กับจูลี่ แอนดรูถึง 3 เรื่องด้วยกัน
เขากลับมาเล่นหนัง Maverick   ที่เมล กิ๊บสันเป็นดารานำในปี 1994  อีกครั้ง
ก่อนจะลาโลกไปในปี 2014  ในวัย 86 ปี  ด้วยโรค  acute myocardial infarction(กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน)

     แจ๊ค เคลลี่  ผู้รับบทบาร์ท มาเวอริค เป็นดาราคนเดียวที่อยู่ยืนโรงตลอด 5 ปีของหนังทีวีชุดนี้  เมื่อหนังชุ Maverick จบลง  เขาก็ยังเวียนว่ายอยู่ในวงมายานานต่อมาอีกสิบกว่าปี  แต่ก็ไม่ได้รับบทใดโดดเด่นเท่ากับเรื่องนี้
    จนกระทั่งปลายทศวรรษ 1970s   เขาถึงจุดอิ่มตัว   ก็ถอนตัวจากอาชีพนักแสดง  ไปทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์     และเล่นการเมืองท้องถิ่น จนได้เป็นนายกเทศมนตรีของฮันทิงตันบีช  คาลิฟอร์เนีย

    เคลลี่ถึงแก่กรรมในค.ศ. 1992  ด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ อายุ 65 ปี

มาเวอริคคนที่สาม  โรเจอร์ มัวร์  กลับไปฉายประกายอยู่ในอังกฤษเช่นเดิมเมื่ออำลาหนังทีวีอเมริกันเรื่องนี้แล้ว 

เขายังเป็นดาราในดวงใจของชาวอังกฤษอยู่เสมอ  นอกจากหนังทีวีชุด The Saint หรือ"สิงห์สำอาง"  ที่ยาวนานตั้งแต่ 1962 ถึง 1969  ก็ยังมีอีกชุด ชื่อ The Persuaders! เล่นคู่กับโทนี่ เคอร์ติส  ในปี 1971-1972

ส้มทองคำหล่นลงมาทั้งเข่งเมื่อมัวร์ได้รับบทสายลับ 007 เจมส์ บอนด์  แทนฌอน คอนเนอรี่ที่อำลาบทนี้ไปเมื่ออายุมากขึ้น  จากเรื่องแรกที่เล่น คือ in Live and Let Die (1973) ชื่อเสียงของมัวร์ก็ดังทะลุฟ้า  เขาได้เช่นเป็นเจมส์ บอนด์อีกถึง 6 ตอนด้วยกัน จนสังขารเริ่มไม่ให้ จึงลาบทนี้ไปในปี 1985

6 เรื่องมีอะไรบ้าง

หลังจากอำลาบทเจมส์ บอนด์  มัวร์ก็พักจากวงการไป 5 ปี ก่อนจะกลับมาเล่นอีกบางครั้งบางคราว   คราวนี้ในบทของชายชราเต็มตัว
ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากควีนเอลิซาเบธ มีคำนำหน้าว่า เซอร์
ถึงแก่กรรมในวัย 89 ปี หลังจากสู้กับมะเร็งอยู่ยาวนาน

มาถึงดาราคนสุดท้ายในหนังชุด Maverick   คือ Robert Colbert   รายนี้ไปเรื่อยๆในวงการตั้งแต่แรกจนบั้นปลาย
เป็นดาวดวงเล็กกว่าดาราคนอื่นๆในหนังชุดนี้   แต่อายุยืนยาวที่สุด  และเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่   
 
เมื่อเจมส์ การ์เนอร์อำลาหนังชุดมาเวอริคไปเป็นดาราหนังใหญ่ พร้อมกับมีปัญหาเรื่องค่าตัวกับบริษัทผู้ผลิตที่ตกลงกันไม่ได้     บริษัทก็เรียกดาราหนุ่มในสังกัดคือคอลเบิร์ตมาเล่นเรื่องนี้แทน   คอลเบิร์ตไม่เต็มใจจะเล่นแทนการ์เนอร์อยู่แล้ว   พอถ่ายทำได้สองตอนเขาก็ไม่ถูกเรียกตัวมาอีก    แต่ก็ได้ไปเล่นบทเป็นดารารับเชิญในหนังทีวีเรื่องอื่นๆไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งปี 1966-67 ได้แสดงนำในหนังทีวีชุด The Time Tunnel  หรือชื่อไทยว่า "อุโมงค์มหัศจรรย์"  ประกบคู่กับเจมส์ ดาร์เรน อดีตนักร้องขวัญใจวัยรุ่น ที่หันมาเอาดีทางการแสดง
เรื่องนี้เป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์หนุ่ม 2 คนที่พลัดเข้าไปในอุโมงค์เวลา ในโปรเจคสำคัญของทางการสหรัฐที่กำลังทดลองการเดินทางผ่านกาลเวลาอยู่      ทั้งสองก็จะหล่นปุ๊บลงไปในยุคสมัยต่างๆ ไปร่วมผจญภัยอยู่ในเหตุการณ์สำคัญๆทางประวัติศาสตร์  

 เมื่ออายุมากขึ้น คอลเบิร์ตได้งานแสดงประจำใน soap opera  เรื่อง The Young and the Restless, ตั้งแต่ปี  1973 ถึง 1983,
  ปัจจุบัน  เกษียณตัวเองจากงานแสดงแล้ว
  ภาพข้างล่างนี้ถ่ายกับดาราที่เคยแสดงร่วมกัน ใน The Time Tunnel

 หนังทีวียอดนิยมเมื่อปี 1968  เรื่องต่อไป คือ Batman  หรือ มนุษย์ค้างคาว

มนุษย์ค้างคาว Batman มีกำเนิดมาจากการ์ตูนย้อนหลังไปถึงทศวรรษ 1930s   สมัยนั้น หนังสือพิมพ์เขาลงการ์ตูนวาดเป็นช่องๆ ต่อกันเป็นเรื่องยาว  เรียกว่า comic stripe  ลงติดต่อกันทุกวันให้ตามอ่านวันละนิด
ต่อมาเมื่อฮิท ก็รวมเป็นเล่มปกอ่อน ขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 นิดหน่อย

ก่อนหน้านี้  การ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากคือหนุ่มนุ่งกางเกงในสีแดง มีผ้าคลุมรุ่มร่าม ชื่อ Superman   มีหน้าที่ปราบคนพาล อภิบาลคนดี    ผู้สร้างก็เลยคิดจะสร้างตัวละครแบบเดียวกันขึ้นมาอีก แต่ไม่ต้องเหาะได้อย่างคนแรก   ในที่สุดหลังจากร่างภาพกันไปมา ก็ได้ภาพนักปราบอธรรมคนใหม่ที่สวมหน้ากากค้างคาว  พรางตัวลึกลับไม่ให้ใครรู้จัก ว่าตัวจริงคือเศรษฐีหนุ่มไฮโซของเมือง
นี่คือที่มาของ Batman ค่ะ
ผู้สร้างแถมผู้ช่วยมาให้อีกคน เป็นเด็กหนุ่ม เรียกตัวเองว่า Robin  หรือเจ้านกโรบิน    ตัวจริงเป็นเด็กในอุปการะของเศรษฐี

Batman เคยทำเป็นหนังมาก่อนแล้ว เมื่อปี 1943  หรือ 75 ปีก่อน   โคลัมเบียร์พิกเจอร์สร้างเป็นหนังขาวดำ ต่อเนื่องกันหลายตอน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

https://www.youtube.com/watch?v=G6Zo_BaxTsk

  ในช่วงทศวรรษที่ 1960   กระแสโทรทัศน์มาแรงในรูปแบบของความบันเทิงที่เดินเข้ามาถึงในบ้าน   ผู้คนไม่ต้องแต่งตัวพาลูกๆออกไปดูหนังโรงอย่างเมื่อก่อน     บริษัทหนังประสบความสำเร็จกับหนังบันเทิงสำหรับครอบครัว  จึงมีการปัดฝุ่นนำ Batman มาเป็นหนังชุดทางทีวี   นำร่องในปี 1965  ก่อนจะเริ่มเป็นหนังชุดเต็มตัวในปี 1966
  ดาราที่เล่นเป็นแบทแมนเป็นหนุ่มร่างใหญ่หล่อล่ำเหมาะกับมาดมนุษย์ค้างคาวเหมือนในการ์ตูน   ชื่อ Adam West  เขาเติบโตจากหนังคาวบอยมาก่อนจะรับบทนี้    ส่วนเจ้านกโรบินผู้ช่วยของเขา ผู้สร้างคัดเลือกจากเด็กหนุ่มหน้าใหม่ที่ชนะคัดเลือกนักแสดง ชื่อ Burt Ward

 หนุ่มน้อยโรบิน ผู้มีฉายาว่า Boy Wonder  เป็นที่คลั่งไคล้ของแฟนวัยรุ่นสาวๆมาก   เบิร์ท วอร์ดได้รับจดหมายจากแฟนทั่วประเทศล้นหลาม    ส่วนอาดัม เวสต์ ก็แจ้งเกิดในบทมนุษย์ค้างคาวเช่นกัน   
  หนังชุดนี้ยืนยงอยู่ได้ 3 ปี ก่อนจะแผ่วปลายแล้วถูกถอดออกจากโปรแกรม      ชะตากรรมของสองดารานำ ก็แบบเดียวกับดาราอีกมากที่โด่งดังในบทไหนแล้วไปเล่นบทอื่นได้ยาก  เพราะคนดูติดตากับบทเดิมที่จบไปแล้ว     ทั้งคู่เลยตกงานอยู่นานเป็นปีๆ   
   อาดัม เวสต์ว่างงานไป 2 ปี  ได้แต่ออกโชว์เป็นมนุษย์ค้างคาวในงานอีเว้นท์ต่างๆ   แต่ก็มาฟื้นตัวหาบทเล่นได้ในระยะหลัง     ส่วนเบิร์ท วอร์ดนั้นเคราะห์ร้ายกว่า  ช่วงเวลาวัยรุ่นที่เขาเป็นหนุ่มน้อยหน้าใส มีระยะสั้นนิดเดียว   พอเติบโตเป็นหนุ่มเต็มตัว  ก็ไม่หล่อใสเหมือนเดิมอีกแล้ว     ก็เลยหางานแสดงได้ยาก  แต่อาศัยเป็นนักพากย์เสียงของโรบินในการ์ตูนแอนนิเมชั่นอีกหลายเรื่องที่ผลิตออกมาทางทีวี สำหรับเด็ก ก็เลยยังพอหาอาชีพได้

  ทั้งสองผ่านวัยกลางคนเข้าสู่วัยชรา โดยไม่ได้รับบทเด่นเท่ากับ Batman อีกเลย 
  อาดัม เวสต์จากไปเมื่อปีก่อนนี้เอง  คือ 2017  ในวัย 89 ปี  ด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว 

ดาราทั้งสอง ในบั้นปลายชีวิต

ให้ตายสิโรบิ้น  :o

เห็นหน้ากันชัดๆ    หนุ่มน้อยคนนี้ละที่ชนะใจแฟนสาวๆทั่วอเมริกา

ในบรรดาวายร้ายที่ดาหน้าเข้ามาปะทะกับพระเอกทั้งสอง    ไม่มีคนไหนสวยและเซกซี่เท่า Catwoman    รับบทโดย Julie  Newmar  ดาราสาวจากจอใหญ่
ชุดประจำตัวของเธอ แม้ว่าคอตื้น แขนยาว และกางเกงขายาวปิดร่างกายมิดชิด  เพราะถือว่า Batman เป็นหนังสำหรับเด็ก แต่เป็นชุดหนังรัดรูป   ที่โชว์หุ่นได้ไม่น้อยกว่าชุดว่ายน้ำ
จูลี่ นิวมาร์ดังจากบทนี้ไปเลย

ล่วงเลยมา 50+ ปี  คุณย่าก็ยังรักษาร่องรอยของคุณนายพริ้งอยู่   ไม่ปล่อยตัวไปตามวัย

อดีตกับปัจจุบัน

ในปีที่ 3  เมื่อเรตติ้งของ Batman ชักจะแผ่วลง    ผู้สร้างก็เพิ่มนางเอกเข้าไปในเรื่อง สร้างบทให้เธอเป็นลูกสาวผู้กำกับตำรวจกอร์ดอน ในเมืองที่พระเอกอยู่   ชื่อบาร์บารา กอร์ดอน    เธอปลอมแปลงตัวเองเป็น  Batgirl  ค้างคาวสาวสวมหน้ากาก ช่วยพระเอกปราบอธรรม   
ดาราที่ถูกเลือกมาเล่นเป็นดาวดวงเล็กในจอเงิน รูปร่างหน้าตาสวยสะดุดตา  มีบทในหนังเพลงและหนังเล็กๆมาหลายเรื่อง ชื่อ Yvonne Craig    เธอเป็นนักบัลเล่ต์และนักเต้นมาก่อนจะมาเป็นนักแสดง   จึงมีรูปร่างดีมาก  และรู้วิธีเคลื่อนไหว สร้างลีลาต่อสู้กับเหล่าร้ายได้คล่องแคล่วสวยงาม   

 :D

ตอนสาวๆคุณย่าสวยเซกซี่ไม่ใช่เล่น    ถึงตอนแก่ก็ยังสวยไม่ทิ้งแววดารา

น่าเสียดาย จากไปด้วยโรคมะเร็งทรวงอก เมื่อปี 2015 นี้เอง   อายุ  78 ปี

ยุค 1960s เมื่อหนังสายลับเจมส์ บอนด์ ถูกโยนจากอังกฤษมาหล่นตูมลงในอเมริกา   เกิดระลอกคลื่นซึนามิ กระเพื่อมมาถล่มถึงหนังชุดทางทีวี
ก่อนหน้านี้ หนังชุดยอดฮิทคือคาวบอยยิงกันสนั่นจอ  กับหนังครอบครัวที่มีดาราเด็กแสดงนำ  แต่เจมส์บอนด์ทำให้ใครๆก็หายใจเป็นสายลับไปหมด     หนังชุดจึงต้องขยับขยายมาเน้นที่หนังสืบสวนสอบสวน ที่บวกผู้ร้ายข้ามชาติเข้าไปด้วย ให้ได้กลิ่นอายของสายลับ
หนังตำรวจบวกสายลับที่กำเนิดขึ้นในปี 1968  ได้ผลดีเยี่ยม    ฮิทไปทั่วประเทศ จนต้องมีปีที่สอง สาม สี่ ไปเรื่อยๆจนถึง 12 ปี
ใช้ฉากแตกต่างไปจากหนังอื่นๆ   ไม่เอาคาลิฟอร์เนีย  ไม่เอานิวยอร์ค ที่คนดูชินตา  แต่ข้ามแปซิฟิคไปถึงเกาะสวรรค์กลางสมุทร  คือรัฐที่ 50 ของอเมริกา
ชื่อหนัง  Hawaii Five-O

๋ชื่อ  Hawaii Five-0  ตั้งขึ้นเพื่อหมายถึงรัฐฮาไวอิ  ในฐานะรัฐที่ ๕๐ ของสหรัฐอเมริกา   ตัวเอกของหนังชุดนี้คือสตีฟ
 แม็กกาเร็ตต์  สารวัตรตำรวจหนุ่มหัวหน้ากองบังคับการตำรวจแห่งรัฐฮาไวอิ   มีผู้ช่วยอีกสองสามคน เป็นนายตำรวจหนุ่มหน้าอ่อนชื่อแดนนี่ วิลเลียมส์  หรือหัวหน้าเรียกว่า "แดนโน" นอกนั้นเป็นตำรวจชาวท้องถิ่น
หน้าที่ของพระเอกและผู้ช่วยในหนังชุดนี้ คือปราบปรามอาชญากรรมทุกชนิด   มีตั้งแต่สืบหาตัวฆาตกรเมื่อเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นแล้ว    ไปจนกระทั่งกวาดล้างวายร้ายข้ามชาติ
ไม่ถึงกับยิงกันสนั่นจอก็จริง แต่ก็เป็นหนังดราม่าที่เข้มข้น ดุเดือดถึงลูกถึงคน  ได้รับความนิยมล้นหลาม  จนยืนยาวตั้งแต่ 1968  ถึง 1980

  แจ๊ค ลอร์ด พระเอกของหนังเรื่องนี้ มีพื้นเพการศึกษาสูงมาก่อน  เรียนจบพาณิชย์นาวี ก่อนจะได้ทุนนักกีฬาไปเรียนที่ New York University   จนจบสาขาจิตรกรรม เป็นศิลปินฝีมือดีขนาดผลงาน 2 ชิ้น ได้แขวนอยู่ใน  New York's Metropolitan Museum of Art และ the British Museum of Modern Art  ตั้งแต่เจ้าตัวอายุได้ 20
  แทนที่จะเอาดีทางศิลปะ    แจ๊คหันเหอาชีพมาเอาดีทางการแสดง   แล้วก็พิสูจน์ฝีมือทางนี้ได้เสียด้วย  ด้วยการเริ่มต้นการแสดงละครเวทีที่บรอดเวย์จนได้ Theatre World Award 
  แจ๊ค ลอร์ดได้รับทาบทามให้รับบทเด่นๆในหนังหลายเรื่อง เช่นเล่นประกบกับฌอน คอนเนอรี่  ทางทีวี เขาถูกวางตัวเป็นผู้การเจมส์ ที เคิร์ก ใน Star Trek มาก่อน     แต่พลาดไปทั้งหนังใหญ่หนังทีวี เพราะตั้งค่าตัวสูงเกินไป    ผู้สร้างก็เลยหันไปเลือกดาราอื่นมาแทน  อย่าง Star Trek  ส้มไปเล่นที่วิลเลียม แชทเนอร์
  ดวงของแจ๊ค ลอร์ด มาถูกโฉลกเข้ากับหนัง Hawaii Five 0   ยิ่งเล่นก็ยิ่งดัง เขาก็เลยอยู่ยงคงกระพันคู่กับบทนี้ต่อมาอีก 12 ปี  ไม่ได้ไปไหนอีก

ยังจำได้ว่า Jack Lord เคยร่วมแสดงกับ Sean Connery ใน James Bond
ตอน Dr. No(1962)

ขอโทษค่ะ ผิดพลาด
แจ๊คเล่นบท Felix  Leiter  สหายคู่หูเจมส์ บอนด์ใน Dr.No  ได้รับทาบทามให้เล่นบทนี้อีกในตอน  Goldfinger, แต่ไปขอขึ้นค่าตัว และบทประกบพระเอก แทนที่จะเป็นตัวประกอบ  ก็เลยถูกปฏิเสธไป

ขอแยกซอย พูดถึงบทบาทของดาราหนังจอเงิน(หนังโรง) กับจอแก้ว(หนังโทรทัศน์)สักเล็กน้อย

สำหรับนักแสดง   จอเงินเป็นเวทีฝันระดับสูงสุด  เพราะหมายถึงความสำเร็จทั้งเงินและกล่อง    ส่วนจอแก้ว เป็นเวทีเล็ก   ดาราก็มักจะเป็นระดับกลางๆ หรือดาราหน้าใหม่   หริอไม่ก็ดาราที่อยู่ในจอเงินมาสักพักใหญ่ รู้ว่าตัวเองจะเอาดีกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว   ดีไม่ดีจะร่วงหล่นดับวูบลงไปในอีกไม่ช้า  ก็หันไปหาเวทีเล็กแทน
พวกหลังนี้   ถ้ายังหนุ่มยังสาว และมีฝีมือพอตัว   ก็อาจประสบโชคทางจอแก้ว กลายเป็นดารานำในหนังชุดยาว กินเวลานานหลายปี   หมายความว่ามีชื่อเสียงและรายได้พออยู่ได้อย่างสบายไปจนถึงเวลาเกษียณตัวเองจากงาน

แจ๊ค ลอร์ดก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบโชคในจอแก้ว มากกว่าจอเงิน  เมื่ออายุ 48  เขาได้รับบทดารานำใน Hawaii Five 0   หนังทีวีชุดนี้ประสบความสำเร็จล้นหลาม  ปีแล้วปีเล่าเรตติ้งก็ไม่ตกสักที    ทำให้เขาตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่ฮาไวอิเป็นการถาวร    ระหว่าง 12 ปีที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำอยู่ที่นั่น  
จนกระทั่งจบหนังชุดเรื่องนี้ในปี 1980     แจ๊ค ลอร์ดอายุ 60 ปี  เขาก็ยังถือฮาไวอิเป็นถิ่นพำนักถาวร  แต่ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ  กับภรรยา ไม่มีบุตรด้วยกัน   เขาปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในจอเงิน ในหนังนำร่องของหนังชุดเรื่อง  M Station: Hawaii ซึ่งเขารับหน้าที่ผู้กำกับเองด้วย  แต่หนังเรื่องนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงไม่ได้ขยายออกเป็นเรื่องยาวอย่างที่วางแผนไว้ทีแรก
เมื่อเข้าสู่วัยชรา  แจ๊ค ลอร์ด ป่วยเป็นอัลไซเมอร์   จากไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเมื่อปี  1998 อายุได้ 77 ปี  ทิ้งไว้แต่ทรัพย์สินที่ดินมูลค่า  $40 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งภรรยาเขาครอบครองต่อมา  หลังจากเธอถึงแก่กรรมในปี 2005    แจ๊ค ลอร์ด ทำพินัยกรรมยกมรดกทั้งหมดให้เป็นสาธารณกุศล

ดาราที่เล่นคู่กับแจ๊ค ลอร์ดหนังชุดนี้ เป็นตำรวจหนุ่มหน้าอ่อนชื่อ "แดนโน"  เล่นยาวกันมาถึง 12 ปี   เจมส์ แม็คอาเธอร์ผู้รับบทนี้เข้าวงการตั้งแต่อายุแค่ 12 ปี  เป็นดาราเด็กในหนังหลายเรื่อง ยุค 1950s   
พอพ้นจากวัยเด็กเข้าสู่วัยหนุ่ม  ระหว่างยังเรียนที่ฮาร์วาร์ด  วอลท์ ดิสนีย์ก็เรียกไปเซ็นสัญญาเป็นดาราประจำในหนังครอบครัวคลาสสิค คือ The Light in the Forest  , Swiss Family Robinson,  Kidnapped และ Third Man on the Mountain

เจมส์ มีงานเต็มมือทั้งหนังใหญ่ ละครเวทีและหนังทีวี  เมื่ออายุค่อยมากขึ้น เล่นบทวัยรุ่นและหนังครอบครัวไม่ได้แล้ว
 เขาก็เริ่มหันเหมาทางหนังทีวี   จนกระทั่งได้มาเล่น  Hawaii Five 0   ช่วงนั้นชื่อเสียงของเจมส์ แม็คอาเธอร์ก็เป็นที่ติดปากชาวบ้านแล้ว  เพียงแต่เปลี่ยนจากหนุ่มน้อยเป็นหนุ่มใหญ่ วัย 31 เมื่อรับบทแดนโน

เจมส์ แมคอาเธอร์รับบทผู้ช่วยแจ๊ค ลอร์ดอยู่ถึง 11 ปี  จนปี 12 เขาก็อำลาหนัง Hawaii Five 0  ด้วยเหตุผลว่าเบื่อระอาเต็มทีกับความจำเจตลอด 11 ปี     หลังจากนั้น ก็ยังโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง  เป็นดารารับเชิญในหนังทีวีบ้าง ละครเวทีบ้าง   แต่ไม่ได้มีงานประจำอย่างเมื่อก่อนอีก
เขาอยู่มาจนถึงปี 2010 ก็จากไปด้วยโรคมะเร็ง  เมื่ออายุ 72 ปี

    หนังทีวีเรื่องต่อไป ที่ฉายในปี 1968  ก็คือ It Takes a Thief  เป็นเรื่องแนวสายลับรุ่นท้ายๆของทศวรรษ    หลังจากหนังเจมส์ บอนด์มาตีตลาดหลายปีก่อนหน้านี้    หนังแนวสายลับก็พุ่งแรงขึ้นในอเมริกาทั้งในจอเงินและจอแก้ว  พระเอกเลิกขี่ม้ายิงปืนมาเป็นเจมส์ บอนด์ไปตามๆกัน
    หนังชุดนี้ ปูพื้นเรื่องไว้ว่าพระเอกเป็นโจรหนุ่มเชี่ยวชาญทางตัดช่องย่องเบา   ชื่ออเลกซานเดอร์ มันดี   ตอนเปิดเรื่องเขากำลังใช้กรรมอยู่ในเรือนจำ  แต่ด้วยฝีมือเลิศหนึ่งไม่มีสอง   ทางการก็เลยตั้งเงื่อนไขว่าให้อภัยโทษเขา ให้ออกจากคุกก่อนกำหนด แลกกับการเป็นสายลับทำงานให้รัฐบาล   โดยมีหัวหน้าเป็นมือปราบซีไอเอคอยควบคุมอยู่อีกทีหนึ่ง
    ผู้สร้างได้ดาราหนุ่มจากจอเงิน  ซึ่งเคยโด่งดังมาในทศวรรษ 1950s ก่อนจะหายเงียบไปพักใหญ่ แล้วมาเริ่มต้นใหม่ในจอแก้ว  ชื่อ Robert Wagner
    โรเบิร์ตเป็นดาราที่ดังขึ้นมาตั้งแต่อายุ 20   เป็นหนุ่มน้อยรูปหล่อขวัญใจวัยรุ่น  ก่อนจะค่อยๆอ่อนแสงลงเมื่ออายุมากขึ้น  เมื่อหวนกลับมาอีกครั้ง เขาอายุ 38  แต่ยังรักษาหุ่นและหน้าตาเอาไว้เหมือนอายุยังไม่ถึง 30   มาดของโรเบิร์ต ยังคงสำอาง แต่งตัวโก้ราวกับนายแบบแฟชั่น    เล่นบทโจรผู้ดีได้แนบเนียน   หนังเรื่องนี้ก็เลยไปได้ด้วยดี

     
 

 :D

มีให้ดูทางยูทูปด้วยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=7Da8PKQE6xI&list=PLAPGcD5LGrp7iCE90EsySBw4JxTVR-QOm&index=1

คำว่า  It takes a thief  มาจากคำพังเพยเต็มๆว่า It takes a thief to catch a thief.  หมายความว่าจะจับขโมยให้ได้ก็ต้องใช้ขโมยด้วยกันนั่นแหละ ถึงจะไดผล     แปลอีกทีก็คือโจรย่อมรู้ทางโจรด้วยกัน   คล้ายๆกับสำนวนไทยว่า ไก่เห็นตีนงู   งูเห็นนมไก่
(ความจริง สำนวนนี้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม  ต้องรีบบอกเสียก่อนคุณเพ็ญชมพูจะพาท่านรอยอินมาทักท้วง  ของเดิมบอกว่า งูเห็นตีนงู  ไก่เห็นนมไก่ ค่ะ  คือพวกเดียวกันย่อมเห็นอะไรของกันอย่างที่คนนอกไม่เห็น)

It Takes a Thief   เป็นหนังทีวีแนวสายลับ มีผจญภัยตื่นเต้นระทึกใจ  แต่ผู้สร้างไม่เน้นความโหดหรือดุเดือดเลือดพล่าน      เพราะดารานำอย่างโรเบิร์ต แวกเนอร์ ไม่มีมาดเข้มไปในทางนั้น   แต่ออกทางหล่อสำรวย    หนังชุดนี้ก็เลยออกแนวเบาๆ   ใส่ดาราสาวๆเซกซี่เข้าไปเป็นตัวประกอบในทุกตอน   
อีกอย่าง ที่เป็นจุดขาย  ก็คือยกกองกันไปถ่ายต่างประเทศ เพื่อให้เห็นวิวสวยๆ แปลกๆตากว่าในประเทศ  ในยุค 1968 ยังไม่มีการจัดทัวร์อย่างยุคนี้    คนอเมริกันส่วนใหญ่มีโอกาสไปยุโรปหรือแม้แต่ใกล้ๆอย่างอเมริกาใต้น้อยมาก  ถ้าไม่มีหน้าที่หรือการงานมาทำให้ได้ไป    ดังนั้นหนังที่ใช้ฉากต่างแดนจึงเป็นที่ชื่นชอบอย่างสูง

เรื่องนี้ยืนยาวอยู่ 3 ปี คือ 1968-70  ก็ถือว่าเป็นเรตติ้งที่ดีใช้ได้ทีเดียว  ทำให้โรเบิร์ต แวกเนอร์แจ้งเกิดอีกครั้งในวงการจอแก้ว     เขายืนยงคงกระพันเป็นดารานำในหนังชุดต่อมาอีก 2 ชุด คือ   Switch (1975),

กับอีกเรื่องที่ดังกว่า 2 เรื่องแรกเพราะยืนยาวถึง 5 ปี  คือ Hart to Hart   ออกอากาศตั้งแต่ค.ศ. 1979-1984
โรเบิร์ต แวกเนอร์จับคู่กับดาราสาวสวย สเตฟานี เพาเวอร์ส     เล่นบทสามีภรรยาผู้เป็นเศรษฐีไฮโซ แต่มีงานอดิเรกเป็นนักสืบสมัครเล่น  ต้องเข้าไปเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมหรือเงื่อนปมต้องสะสางหลายอย่าง
โรเบิร์ตก็ยังมาในมาดเดิมที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทุกชุด คือหนุ่มมาดสำอาง    ขี้เล่น  อารมณ์ดี  คนดูไม่เคยเบื่อบทนี้เลย

เอา  It Takes a Thief  มาให้ดูอีกตอนค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=VBzNqHY0SIQ

โรเบิร์ตในปี 2018  อายุ 88 ปี

ยุค  1960s  เป็นยุคของหนังทีวีเบาสมอง ที่เอาเหตุการณ์ประหลาดพิสดารเหนือธรรมชาติมาเป็นจุดขาย      หนึ่งในจำนวนนั้นถือกำเนิดเมื่อปี 1964  แพร่ภาพทางสถานี ABC  ชื่อว่า Bewitched   เมื่อนำมาฉายทางช่อง 4   ใช้ชื่อว่า แม่มดเจ้าเสน่ห์

โครงเรื่องผูกเอาไว้สั้นๆ ว่า  แม่มดสาวคนหนึ่งเกิดมาพบรักและแต่งงานกับชายหนุ่มที่เป็นมนุษย์ธรรมดา     เธอพยายามเริ่มชีวิตคู่ในฐานะแม่บ้านธรรมดาตามสามี   แต่บรรดาเครือญาติและเพื่อนฝูงที่ล้วนแต่เป็นพ่อมดแม่มด โดยเฉพาะแม่ยายตัวแสบ ไม่ยอมให้แม่มดสาวได้ดำเนินชีวิตธรรมดาสามัญได้
ความสนุกแสบสันต์ของบรรดาพ่อมดแม่มดเหล่านี้  ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังยอดนิยม  ฉายถึง 254 ตอน  จาก 1964-1972 

ดารานำในเรื่องคือเอลิซาเบธ มอนตโกเมอรี่ รับบทซาแมนธา แม่มดสาว    ดิ๊ค ยอร์คเป็นแดริน  สามี  และแอกเนส มัวร์เฮด ดาราอาวุโสจากจอใหญ่มารับบทแม่ยายตัวแสบชื่อเอนดอร่า

ต้องสั่นจมูกด้วยค่ะ

ดุ๊กดิ๊กบันลือโลก

วิธีร่ายมนต์ของแม่มดสาวซาแมนธา   คือทำจมูกดุ๊กดิ๊ก

https://www.youtube.com/watch?v=XKU48tVNLuc

เอลิซาเบธ เป็นลูกไม้หล่นใต้ต้นของพ่อแม่ซึ่งเป็นดารานักแสดงทั้งคู่     เข้าสู่วงการตั้งแต่วัยเยาว์  ได้เล่นในหนังชุดทีวีที่พ่อเธอแสดงนำ  พอเรียนจาก the American Academy of Dramatic Arts ได้ 3 ปีก็มาโลดแล่นอยู่ในละครเวทีและจอแก้วเป็นส่วนใหญ่
เอลิซาเบธเป็นดาราสาวสวยที่เล่นได้ทั้งบทชีวิต บทเซกซี่ บทหนักๆ บทโหด สารพัดแบบ   แต่มาโด่งดังเอาถึงที่สุดในบทตลก แม่มดเจ้าเสน่ห์นี่เอง

พระเอกของเรื่องนี้ ถูกคัดเลือกจากนักแสดงฝีมือดี เสียงดี หน้าตาค่อนข้างดีที่สามารถเล่นบทตลกได้ไม่ขัดตา ชื่อ Dick York    เขาเป็นดาราวิทยุมาก่อนจะก้าวมาสู่จอเงินและจอแก้วตามลำดับ     ความจริงดิ๊กเป็นมือวางอันดับสองของผู้สร้าง     ผู้กำกับต้องการดาราชายอีกคนชื่อดิ๊ก ซาเจ้นท์มารับบทนี้มากกว่า  แต่ซาเจ้นท์ติดสัญญาแสดงในหนังทีวีเรื่องอื่น    บทก็เลยมาถึงมือดิ๊ค ยอร์ค
ยอร์คตีบทของแดรินแตกกระจาย   คนดูพากันรักและสงสารแดริน สตีีเฟนส์   มนุษย์เงินเดือนหนุ่มนิสัยดีที่ต้องผจญเวรผจญกรรมกับญาติประหลาดๆ ฝ่ายภรรยา  จนเขาชนะใจคนดูล้นหลาม  กลายเป็นดาราดัง ที่รับส่งบทกับนางเอกได้ดีเยี่ยม      หนังทีวีเรื่องนี้ฮิทติดจรวดป็นอันดับ 2 รองจาก Bananza     ยอร์คก็เลยดังเป็นพลุแตกไปด้วย   
   

ยอร์คเป็นดาราที่บุญมีแต่กรรมบัง    9 ปีก่อนจะมาเล่นหนังทีวีชุดนี้ เขาประสบอุบัติเหตุระหว่างถ่ายทำหนัง  ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่หลัง จนกลายเป็นโรคปวดหลังเรื้อรังรักษาไม่หาย   แต่เขาก็ยังพอจะเล่นหนังต่อมาได้อีกหลายปี   อาศัยยาระงับปวดบ้าง รักษาแบบอื่นบ้าง ประทังเอาไว้จนได้มาแจ้งเกิดใน Bewitched 
ยอร์คเล่นหนังชุดนี้มาจนถึงปีที่ 5   อาการเจ็บปวดเป็นมากขึ้นจนไม่สามารถเดินเหินยืนนั่งตามบทได้อีกต่อไป    ทางผู้กำกับก็พยายามหาทางออก ด้วยการเขียนตอนใหม่ๆให้แดรินไม่อยู่บ้านบ้าง   เอาดารารับเชิญอื่นๆมาเล่น ดึงความสนใจคนดูไปบ้าง   แต่ในที่สุดพอขึ้นปีที่ 6  ก็ต้องยอมรับความจริงว่า พระเอกเจ็บป่วยจนเล่นไม่ได้อีกแล้ว 
ยอร์คจึงต้องอำลาจอไปรักษาตัว   รักษาทั้งอาการปวดหลัง และอาการติดยาแก้ปวดที่เขาต้องกินเป็นประจำมาหลายปีเต็มที    ในที่สุดก็หายขาดจากอาการติดยา   และกลับมาเล่นหนังทีวีอีกนิดหน่อย 
แต่ไม่ได้กลับมาเล่นเรื่องนี้อีก

ทั้งๆทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสกับอาการเจ็บป่วย และต่อสู้ที่จะพ้นจากยาแก้ปวดที่เขาเสพจนติด   ยอร์คก็ไม่ได้งอมืองอเท้านอนแซ่วอยู่เฉยๆ   เขาก่อตั้งกองทุน Acting for Life สำหรับคนไร้บ้านและคนยากจน    โดยใช้โทรศัพท์ติดต่อกับบุคคลที่เขารู้จัก ทั้งนักการเมือง นักธุรกิจและประชาชนทั่วไป เพื่อขอรับบริจาค
ยอร์คอยู่มาจนอายุ 63  ก็จากไปด้วยภาวะแทรกซ้อนจากถุงลงโป่งพอง   เพราะเป็นนักสูบบุหรี่จัดมาตั้งแต่ยังหนุ่ม  เขาถึงแก่กรรมเมื่อค.ศ. 1992

รูปข้างล่างนี้ ยอร์คถ่ายกับภรรยา โจแอน ยอร์คผู้เป็นนางแก้วของเขาอย่างแท้จริง     เธออยู่เคียงข้างเขาตลอดมาทั้งในยามรุ่งโรจน์และป่วยไข้   เป็นกำลังใจสนับสนุนเขาจนกระทั่งหายติดยาได้เด็ดขาด    ยอร์คเขียนถึงเธอเอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ The Seesaw Girl and Me
โจแอนอยู่มาอีก 20 ปีหลังสามีถึงแก่กรรม   จากไปเมื่อค.ศ. 2012 นี้เองค่ะ

  เหตุยุ่งยากเบื้องหลังกองถ่ายหนังทีวีขนาดยาว มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน  เพราะงานที่ต้องดำเนินต่อเนื่องนานเป็นปีๆ บางทีถึง 10 ปี  ย่อมจะเกิดเรื่องขลุกขลักได้มากกว่าหนังที่ถ่ายรวดเดียวจบในเวลานานไม่ถึงหนึ่งปี      หนึ่งในจำนวนหลักๆของความยุ่งยากนี้ก็คือ  ดาราประจำเกิดเล่นไม่ได้ขึ้นมาเสียเฉยๆ     สาเหตุอย่างแรกคือตาย   อย่างที่สองคือตกลงค่าตัวไม่ได้ ก็เลยลาออก    อย่างที่สามที่สี่ก็ประเภทติดยาเลยถูกถอดออกจากบท   หรือเล่นๆไปเรตติ้งตกมากนักก็ถูกปลดออกได้เช่นกัน
  กองถ่ายแม่มดเจ้าเสน่ห์ปั่นป่วนอยู่พักใหญ่ เมื่อดิ๊ค ยอร์ค เจ็บป่วยหนักจนเล่นไม่ไหวอีกต่อไป    ถ้าเขาเป็นตัวรองๆก็ยังพอหาคนอื่นมาแทนได้ไม่ยาก    แต่นี่เขาเป็นพระเอก  จะให้นางเอกเล่นอยู่คนเดียวโดยไม่มีพระเอกประกบ ก็ทำไม่ได้  จะยกเลิกไปทั้งชุด เรตต้ิ้งก็ดีเกินกว่าจะสละทิ้ง
  ผู้กำกับเรื่องนี้ คือ วิลเลียม หรือบิล แอชเชอร์   สามีตัวจริงของนางเอก เอลิซาเบธ มอนต์โกเมอรี่  ก็ตัดสินใจหาทางออกด้วยการเดินหน้าต่อไป    หันไปคว้าดิ๊ก ซาเจ้นท์ ดาราคนเดิมที่เคยทาบทามให้เล่นบทแดริน พระเอกของเรื่อง มาเล่น   ตอนนี้ซาเจ้นท์ว่างพอดี ก็ตกลงรับบท
  ปัญหาก็คือ  แม่มดเจ้าเสน่ห์ออกอากาศมา 5 ปี  ขึ้นปีที่ 6   พระเอกเดิมเป็นที่คุ้นตาคุ้นใจกันดีกับคนดู   อยู่ๆเปลี่ยนเอาชายอื่นมาเป็นสามีนางเอก จะหาเหตุผลการเปลี่ยนแปลงนี้ยังไงดี   
  จะให้ซาแมนธาหย่ากับแดริน ไปแต่งงานใหม่ ก็ไม่เข้าท่า  แล้วในเรื่องก็ยังมีลูกน้อยด้วยกันแล้ว  เด็กจะมีพ่อเลี้ยงได้ยังไง  คนดูไม่สนุกด้วยแน่
   หรือจะให้เหตุผลว่าแดรินประสบอุบัติเหตุต้องเข้ารพ. ผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้า  ก็ยิ่งไม่เข้าท่าหนักเข้าไปอีก 
   ในที่สุด ผู้สร้างก็ประชุมตกลงกันว่า ไม่ต้องอธิบายอะไรน่าจะดีที่สุด   พอขึ้นตอนใหม่ก็ให้ดิ๊ค ซาเจ้นท์รับบทแดริน หน้าตาเฉย เหมือนเป็นคนเดิมมาแต่แรก 
   ปีที่ 6 ของแม่มดเจ้าเสน่ห์    แดริน สตีเฟนส์ จึงกลายเป็นคนใหม่  ในบทเดิม  ตัวละครอื่นๆก็ทำทีเหมือนกับไม่มีความเปลี่ยนแปลงในตัวแดรินแต่อย่างใด

  ดิ๊ค ซาเจนท์เป็นนักแสดงฝีมือดี มีประสบการณ์ทั้งหนังจอใหญ่จอเล็กมาก่อน   แต่ก็ไม่อาจจะแทนที่ดิ๊ค ยอร์คได้ โดยเฉพาะเมื่อเข้าคู่กับเอลิซาเบธ มอนต์โกเมอรี่ได้ไม่ดีเท่าพระเอกคนแรก    แม่มดเจ้าเสน่ห์ก็เริ่มกร่อยลงมานิดหน่อย แต่เรตติ้งก็ยังดีอยู่   จนครบปีที่ 8   ก็เกิดเรื่องใหญ่  ทำให้หนังทีวีเรื่องนี้ไม่อาจก้าวไปถึงปีที่ 9 ได้
  เอลิซาเบธ มอนต์โกเมอรี่เป็นดาราสาวเจ้าเสน่ห์ไม่แพ้แม่มดสาวในเรื่อง    เธอแต่งงานมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งที่ 3 คือแต่งกับผู้อำนวยการสร้างหนังทีวีชุดนี้  มีลูกด้วยกัน 3 คน     แต่พอปีที่ 8  เธอก็เกิดไปหลงรักผู้กำกับหนุ่มคนหนึ่ง(เรื่องนี้มีผู้กำกับหลายคนด้วยกัน) ชื่อ ริชาร์ด ไมเคิลส์   จนมีความสัมพันธ์ด้วยกัน  ต่างคนต่างก็ทิ้งคู่สมรสไปอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย
  ผลก็คือ สามีของเอลิซาเบธและภรรยาของไมเคิลส์ต่างก็ฟ้องหย่า    วิลเลียม แอชเชอร์สามีของเอลิซาเบธเป็นเจ้าของบริษัทผลิตหนังชุดนี้ด้วย  โดยมีเธอเป็นหุ้นส่วน     เมื่อหย่าขาดกัน  หนังทีวีชุดนี้ก็จบไปโดยปริยาย
  แต่เอลิซาเบธก็ไม่ได้แต่งงานกับไมเคิลส์   ทั้งสองเลิกรากันไปหลังคบกันได้สองปีครึ่ง

ครอบครัวของแม่มดเจ้าเสน่ห์

ดารานำ และดาราประกอบ ที่แสดงประจำบ้าง  มาแสดงเฉพาะบางตอนบ้าง
ยกเว้นดาราเด็กในเรื่อง   คนอื่นๆไปสวรรค์กันหมดแล้ว

ไม่เคยทราบมาก่อนเลยค่ะว่ามีการเปลี่ยนตัวพระเอกด้วย

ตอนเด็กๆ ดูแม่มดเจ้าเสน่ห์คู่กับเรื่องทรามวัยกายสิทธิ์ที่นางเอกเป็นจินนี่อยู่ในคนโฑ

กำลังคิดว่าจะเล่าเรื่องอะไรต่อไปดี    ตกลงเอา I Dream of Jeannie  นี่ละค่ะ

เมื่อ Bewiched กำลังดังระเบิดอยู่ทางสถานี ABC   คู่แข่งอย่าง NBC  ก็อดรนทนไม่ไหวที่จะเห็นอีกฝ่ายดังเอาๆ อยู่ฝ่ายเดียว    จึงตัดสินใจจะผลิตหนังชุดทีวีเบาสมองมีเวทมนตร์คาถาแทรก ขึ้นมาเป็นคู่แข่งบ้าง
ซิดนีย์ เชลดอน ผู้บริหาร  หาพล็อตอยู่พักหนึ่งก็ไปถูกใจเอาหนังเล็กๆเรื่องหนึ่งที่ออกฉายในปี 1964  หนึ่งปีก่อนหน้า  ชื่อ The Brass Bottle   เป็นเรื่องของอาลาดินยุคใหม่   ที่พระเอกไปเจอคนโททองเหลืองเก่าแก่  ข้างในขังภูตที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Djin ซึ่งสามารถจะดลบันดาลอะไรให้นายผู้เป็นเจ้าของคนโทได้
เขาพอใจพล็อตเรื่องนี้  จึงเอามาดัดแปลงเป็นพล็อตใหม่   แทนที่จะเป็นเจ้าภูตแก่ตัวอ้วนอย่างในหนัง ก็เปลี่ยนเป็นภูตสาวแสนสวยเซกซี่    ส่วนพระเอกในหนังซึ่งเดิมคือโทนี่ แรนแดล ดาราตลกของอังกฤษ ก็หาดาราหนุ่มหน้าใหม่ รูปหล่อ ชื่อ แลรี่ แฮกแมน  มาแทน

      ส่วนดาราสาวตัวนำ   ซิดนีย์ เชลดอนหาอยู่นานก็ไม่เจอใครที่ถูกใจ  ในที่สุดก็ไปเอาตัวดาราสาวที่เล่นใน The Brass Bottle มารับบทนี้    เธอชื่อบาร์บารา อีเดน เป็นสาวสวยผมบลอนด์ซึ่งเคยเล่นหนังจอเงินมาแล้วหลายเรื่อง  ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังรักเบาสมองอย่างที่นิยมกันในต้นทศวรรษ 1960s

  ตามธรรมเนียม ก่อนจะมีหนังชุดทางทีวี  ผู้สร้างจะลองทำ 1 ตอนออกมาให้ดูกันก่อน   ทำนองหยั่งเสียง     ถ้าหากว่าดูแล้วไปได้ดีก็ทำเป็นตอนๆต่อไป  แต่ถ้าออกมาไม่ดีก็ระงับโครงการไปเลย    หนังนำร่องแบบนี้เรียกว่า pilot
  หนังทีวีนำร่องของ I Dream of Jeannie  ชื่อ  "The Lady In The Bottle"  ปูพื้นเรื่องให้ทันสมัยว่า นักบินอวกาศหนุ่มชื่อเรืออากาศเอกโทนี่ เนลสันเกิดประสบเหตุขัดข้อง  จรวดที่เขาปฏิบัติการอยู่ เกิดตกลงบนเกาะร้างแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทรแปซิฟิค   ระหว่างพยายามส่งสัญญาณ SOS ให้เครื่องบินเห็น  เขาก็พบขวดโบราณหน้าตาประหลาดใบหนึ่ง
   โทนี่เปิดจุกขวดโดยไม่ตั้งใจ  มีควันพลุ่งขึ้นมาจากขวด แล้วกลายเป็นภูตสาวสวยแต่งกายแบบนางในฮาเร็ม  นางชื่อจีนนี่  ซึ่งเป็นคำพ้องเสียงกับคำว่า genie ซึ่งหมายถึงภูต     จินนี่ถือว่าใครที่เปิดขวดปล่อยให้นางผู้ถูกขังเป็นอิสระจะกลายเป็นนาย   และนางก็จะเนรมิตทุกอย่างให้เขาได้ด้วยอำนาจเวทมนตร์ของนางเอง

จินนี่เนรมิต ฮ.ให้โทนี่ออกจากเกาะมาได้   เขาปลดปล่อยเธอเป็นอิสระ แต่จีนนี่หลงรักนายทหารหนุ่มเข้าเสียแล้ว จึงแอบติดตามมาถึงบ้านพักของเขาที่ฟลอริดา
จากนั้น ชีวิตของโทนี่ก็วุ่นวายด้วยฤทธิ์ของภูตสาว ที่ใช้วิธีกอดอกแล้วกระพริบตาเวลาร่ายมนตร์    
มีตัวแสดงประจำอีก 2 คนมาเพิ่มรสชาติ ให้เนื้อเรื่อง    คือผู้การ.ดร.อัลเฟรด เบลโลส์  จิตแพทย์ประจำนาซ่าซึ่งพยายามจับผิดโทนี่ถึงเหตุประหลาดๆที่เกิดขึ้น   รับบทโดยเฮย์เดน รอร์ก  อีกคนคือผู้พันโรเจอร์ ฮีลลี่ นายทหารบกสังกัดนาซ่าเช่นกัน เพื่อนสนิทของโทนี่ รับบทโดยบิล เดลี่   เป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่จ้องจะชิงจีนนี่ไปเป็นภูตรับใช้ประจำตัวโดยตลอด

เมื่อหนังนำร่องออกอากาศ พร้อมจะถ่ายทำหนังชุดเป็นลำดับต่อไป  บาร์บาร่า อีเดนก็พบว่าเธอตั้งครรภ์ขึ้นมาพอดี
เธอพร้อมจะสละงานเพราะร่างกายไม่พร้อมจะเล่นบทนี้อีก   แต่ผู้สร้างไม่ยอม  เพราะเธอรับบทนี้ได้เหมาะที่สุดแล้ว   บาร์บาราก็เลยได้เล่นต่อ ทั้งๆท้องก็เริ่มโตขึ้นทุกที       
วิธีแก้ของผู้กำกับคือเอาผ้าคลุมของจีนนี่นั่นแหละลงมาคลุมส่วนใต้อกลงมาถึงสะโพก   และให้ช่างกล้องจับแต่ร่างกายท่อนบนของบาร์บาราเท่าที่ทำได้    13 ตอนแรกของหนังชุดเรื่องนี้ เราจึงได้เห็นนางเอกคลุมผ้ารุ่มร่าม ดูเกะกะตา

พอคลอด  ฟิตหุ่นเสียเป๊ะ   จินนี่ก็กลับมาสวยเซ็กซี่อย่างนางเอกเรื่องนี้พึงเป็น  เรตติ้งหนังก็พุ่งกระฉูดขึ้นมาทันที

เรื่องนี้บาร์บาร่าเล่น 2 บท เป็นจีนนี่และพี่สาวฝาแฝดตัวร้าย (โผล่มาเฉพาะบางตอน)  ซึ่งคอยจ้องจะฉกพระเอกไปเป็นของตัว

ไตเติ้ลหนัง
https://www.youtube.com/watch?v=98Kx6WJfkKI

บางฉากจากตอนนำร่อง

https://www.youtube.com/watch?v=P9L4NVc4HJo

I Dream of Jeannie หรือพากย์ไทยว่า "ทรามวัยกายสิทธิ์"  เป็นหนังทีวีฮิทเรื่องหนึ่ง  จึงอยู่มาได้ถึง 5 ปี  ตั้งแต่ 1965-1970    แล้วกลับมาฮิทติดอันดับยิ่งกว่าเดิมในรอบรีรันในช่วง 1970s   จนทุกวันนี้ก็ยังมีแฟนานุแฟนจดจำกันได้อยู่มาก
ดารารับเชิญที่มาเล่นเป็นครั้งคราว  มีอยู่คนหนึ่งเล่นเป็นเจ้าภูตร้ายที่จับจีนนี่ขังไว้ในขวด  เพราะอยากแต่งงานกับนางแต่สาวเจ้าไม่เล่นด้วย    ผู้รับบทภูตร้ายคือ Michael Ansara  สามีตัวจริงของบาร์บาร่า อีเดน ซึ่งเป็นดาราดังอีกคนทางทีวี  แสดงนำในหนังชุด Broken Arrow

บาร์บาร่ากับไมเคิล แอนซารา  สามีคนแรก

    ทีวีอเมริกันในยุค 1960s มีกองเซนเซอร์ที่เข้มงวดมาก   ใครจะนึกว่าประเทศเสรีอย่างอเมริกาควบคุมเข้าไปในเรื่องจุกจิกหลายเรื่อง ไม่ให้ผ่านจอแก้วออกมากระทบสายตาคน   บางเรื่องฟังแล้ว หนุ่มสาวยุค 2018  คงหัวเราะกันงอหาย 
    อย่างใน I Dream of Jeannie   บาร์บาราสวมเสื้อคอลึกได้  แต่ว่ากลางลำตัวของเธอจะเปิดเผยหมดไม่ได้   จำต้องปกปิดสะดือไว้มิดชิด     ดังนั้นจีนนี่ผู้เซกซี่จึงต้องสวมกางเกงปิดขึ้นมาถึงเอว  จะต่ำว่าขอบเอวไม่ได้เป็นอันขาด

  นอกจากนี้   ความสัมพันธ์ระหว่างโทนี่กับจีนนี่เป็นเรื่องล่อแหลม(ในสายตากองเซนเซอร์)  เพราะคลุมเครือไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นอะไรกันแน่ 
  จีนนี่อยู่บ้านเดียวกับโทนี่    เธอหลงรักโทนี่   โทนี่เองก็ยังโสด  แต่ทั้งสองก็ยังไม่ได้แต่งงานหรือแม้แต่หมั้นหมายกัน      ดังนั้นผู้สร้างจึงต้องระมัดระวังไม่สื่อให้เห็นว่า ทั้งสองอยู่กินกันเรียบร้อยแล้ว      เช่นจีนนี่จะต้องนอนอยู่แต่ในคนโทเท่านั้น
   ถ้าทั้งสองอยู่ในห้องเดียวกัน   ฉากนั้นต้องมีประตูเปิดอยู่  ไม่ใช่ปิดมิดชิด    ถ้าคนหนึ่งออกจากห้องไป ก็ออกไปได้คนเดียว  ไม่ใช่พากันลับหายเข้าไปอีกห้องหนึ่งพร้อมกันสองคน
  หลังจากอยู่กันมา 5 ปีแบบไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร    โทนี่กับจีนนี่ก็แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายและประเพณี  พร้อมกับเป็นตอนอวสานของหนังชุดนี้พอดี

   หนังทีวีเรื่องนี้ ดูจากหน้าจอเป็นเรื่องเบาสมองสนุกสนาน  พระเอกหล่อ นางเอกสวย    แต่ก็เช่นเดียวกับวงการทั้งหลายที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง     เบื้องหลังการถ่ายทำไม่ได้สนุกเฮฮาอย่างหน้าจอ     เพราะแลรี่ แฮกแมน พระเอกรูปหล่อมาดสะอาดในเรื่องนี้   ตัวจริงติดเหล้าขนาดหนักและติดกัญชางอมแงม   เป็นคนอารมณ์ร้าย ทำอะไรอุตริพิเรนทร์อยู่บ่อยๆ  
  แลรี่ไม่มีความสุขกับบทผู้้พันโทนี่ เนลสันที่ได้รับ   ไม่ชอบสคริปต์แต่ละตอนที่ถูกส่งถึงมือ  ไอ้โน่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ถูก   เขาก็เลยอาละวาดกับกองถ่าย แล้วแต่จะคิดวิตถารอะไรขึ้นมาได้   เช่นไม่ถูกใจสคริปต์ก็ยืนฉี่ลงสคริปต์เสียเฉยๆ   หนักกว่านี้คือวันร้ายคืนร้ายก็แต่งเป็นแม่ชี  ถือขวานเดินเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาในกองถ่าย   ทำเอาทีมงานขวัญกระเจิงไปตามๆกัน
  อย่างไรก็ตาม  การถ่ายทำก็ผ่านพ้นไปตลอด 5 ปีโดยไม่มีใครบาดเจ็บหรือล้มตายลงไป  จนตอนสุดท้าย  ถ่ายทำเสร็จแล้ว แลรี่ก็บินไปพักผ่อนที่อเมริกาใต้  โดยไม่มีใครในกองถ่ายบอกเขาเลยว่า หนังชุดนี้ถูกถอดออกจากโปรแกรมแล้ว       เขากลับมาก็ตรงเข้าโรงถ่าย ตั้งท่าจะเข้าไปในห้องแต่งตัว  แต่รปภ.ออกมาสะกัดพร้อมกับบอกว่าคุณไม่มีสิทธิ์เข้าไป เพราะหนังชุดนี้จบไปแล้ว
  แลรี่เป็นดาราที่โชคดีอย่างหาตัวจับยาก  ทั้งๆมีปัญหาส่วนตัว เขาก็ยังหางานทำได้ในหนังเรื่องอื่นๆ จน 7 ปีต่อมา   เขาประสบความสำเร็จล้นหลาม ในหนังทีวีชุดยาวเรื่อง Dallas   รับบทเป็นเจ้าพ่อ J.R.Ewing  ตัวนำของเรื่อง  

หลังจาก I Dream of Jeannie จบลงในปี 1970   บาร์บารากับแลรี่ก็พบกันอีกครั้งในหนังที่ผลิตเพื่อฉายทางทีวี  เรื่อง A Howling in the Woods
เป็นหนัง thriller ฆาตกรรมลึกลับ ซึ่งไม่น่าจะเอาคู่ขวัญกุ๊กกิ๊กในหนังทีวีมาเล่น  แต่ผู้กำกับก็เอามาทั้งสองคน เพื่อโชว์ฝีมือว่า เป็นดาราที่เล่นได้หลายบทบาท

https://www.youtube.com/watch?v=TuN7qhBhSIM

บาร์บารายังคงเวียนว่ายอยู่ในหนังที่ผลิตเพื่อฉายทางทีวีต่อมาอีกสองทศวรรษ    ส่วนแลรี่ก็ไปดังระเบิดเถิดเทิงในบทเจ้าพ่อ ในหนังชุดเรื่องยาว Dallas   คู่ขวัญทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้งในปี 1990   เมื่อบาร์บาร่ารับเชิญมาเล่นเป็น ลี แอน เดอ ลา วีก้า   ถ่านไฟเก่าของเจ้าพ่อดัลลัส  เธอเล่นอยู่ 5 ตอนด้วยกัน

  ความสำเร็จของ  I Dream of Jeannie  เมื่อกลับมารีรัน  ทำให้ผู้สร้างผลิตหนังสำหรับฉายทางทีวี  เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องในชีวิตโทนี่และจีนนี่ขึ้นมาอีก 2 เรื่อง   แต่ช่วงเวลานั้น แลรี่ แฮกแมนเป็นดาราใหญ่ไปแล้ว จึงไม่กลับมาเล่นบทเดิมอีก     ผู้สร้างต้องหาดาราชายคนอื่นมารับบทโทนี่แทน
  เรื่องแรกผลิตในปี  1985  ชื่อเรื่อง I Dream of Jeannie... Fifteen Years Later   มีWayne Rogers รับบทผู้พันโทนี่ซึ่งบัดนี้เป็นผู้การไปแล้ว กำลังจะเกษียณจากงาน    และลูกชายของทั้งสองกำลังเป็นวัยรุ่น  ดาราประกอบอีก 2 คนกลับมารับบทเดิม
 
 

หนังเรื่องที่สองออกฉายในปี 1991,  ชื่อ  I Still Dream of Jeannie แลรี่ แฮกแมนก็ยังไม่กลับมาเล่นอยู่ดี    ผู้สร้างต้องนำKen Kercheval   ดาราชายที่เล่นเป็นดารารองใน Dallas มาเล่นเป็น "เจ้านาย" คนใหม่ของจีนนี่ 
ส่วนเรื่องที่สาม เคยวางแผนกันไว้  แต่ก็ไม่ได้สร้างจนแล้วจนรอด

กาลเวลาล่วงเลยมาถึง 2018   ดาราประจำในเรื่องนี้ 2 ใน 4  ขึ้นไปเล่นบทต่อบนสวรรค์กันแล้ว   
เฮเดน รอร์ค ผู้รับบทคุณหมอเบลโลส์    จิตแพทย์ขี้สงสัยในเรื่อง  ไปก่อนเพื่อนในวัย 77 ปี ด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เมื่อค.ศ. 1987 
ต่อมา  แลรี่ แฮกเมน  เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่ลำคอ ในปี 2012  อายุ 81 ปี
เหลือแต่บิล เดลี่ ผู้รับบทผู้พันฮีลลี่เพื่อนรักของผู้พันเนลสัน ปีนี้ อายุ 80 ย่าง 81   เกษียณจากงานประจำแล้ว

ส่วนบาร์บาร่า ก็ยังเป็นคุณย่าพริ้ง ในวัย 87 ปี  ยังออกงานการกุศลอยู่ค่ะ

หนังชุดทางทีวีอีกเรื่องที่อยู่ยงคงกระพันถึง 6 ปี ตั้งแต่ 1965-1971  คือ Green Acres 
เรื่องนี้เอามาฉายทางบ้านเรา  ดูเหมือนจะชื่อ "สวรรค์บ้านไร่" ถ้าผิด คุณเพ็ญชมพูคงแก้ให้เอง  เข้าใจว่าตอนนั้นคุณเพ็ญคงโตพอจะจำได้แล้ว
เป็นหนังตลกเบาสมอง ของสามีภรรยาวัยกลางคน ใช้ชีวิตไฮโซอยู่ในนิวยอร์ค   แต่วันหนึ่งสามีผู้ใฝ่ฝันแต่เด็กว่าอยากเป็นชาวไร่   ก็ตัดสินใจทิ้งงานนักกฎหมายรายได้งาม มาซื้อไร่นาผืนหนึ่งในเมืองบ้านนอก  แล้วพาภรรยาคุณนายไฮโซมาเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกันอย่างทุลักทุเล 

  https://www.youtube.com/watch?v=umS3XM3xAPk

ดารานำคือ เอ็ดดี้ อัลเบิร์ต และลิซ่า กาบอร์

จำไม่ได้เลย คิดว่าไม่เคยดูหนังทีวีชุดนี้  :(

ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้เช่นกัน

แต่คุ้นๆ กับรูปต้นแบบสำหรับรูปนักแสดงนำคู่ในคห.ข้างต้นเป็นรูปฮิท - American Gothic ผลงานปี 1930 ของ Grant Wood

ใช่เลยค่ะ   ไตเติ้ลเรื่องทำล้อภาพนี้

ตลกซิทคอมเรื่องนี้  เป็นการแสดงความเฉิ่มของไฮโซเมืองหลวงที่ใฝ่ฝันอยากจะมีสวรรค์บ้านไร่     เอาเข้าจริง ก็ต้องเผชิญกับความวุ่นวายสารพัด ในเมืองเล็กที่ชื่อ Hooterville  บรรยากาศเหมือนถอยหลังไปสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
เรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องกลับตาลปัตรล้อเลียนวรรณกรรมเพื่อชีวิต    แทนที่จะมีเศรษฐีหน้าเลือด  เอาเปรียบคนจนผู้ล้วนแล้วแต่ดีงามมีอุดมการณ์   กลับเป็นตรงกันข้าม  เศรษฐีนั่นแหละไม่ประสีประสา ตกมาอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ ถ้าไม่บ้าๆบวมๆ ก็เจ้าเล่ห์เพทุบาย    หลอกต้มเศรษฐีซื่อๆคู่นี้อยู่เรื่อย

มุกหรือแก๊กต่างๆในเรื่องนี้  ฝรั่งชอบ  เรื่องนี้ถึงยืนยงอยู่ได้ถึง 6 ปี  แต่มาฉายในไทยแล้ว คนไทยคงไม่เก๊ทเท่าไหร่  เรื่องนี้ก็เลยเงียบสนิท

เรื่องนี้มีตัวละครแหวกแนวอยู่ตัวหนึ่ง ชื่อ อาโนลด์  เป็นหมูที่เจ้าของเลี้ยงมาอย่างคน   
เจ้าอาโนลด์ก็เลยนึกว่าตัวเองเป็นคน   ชาวบ้านก็ถือว่ามันเป็นคน  สามารถฟังออกภาษาอังกฤษ(สำเนียงหมู) ที่มันพูด

อาโนลด์เป็นดาราประจำ

หลังจากเรื่องนี้จบไปเมื่อปี 1971   จนถึง 1990  คือ 19 ปีต่อมา  CBS ก็เอาเรื่องนี้มาทำ "รียูเนียน" คือทำเป็นหนังสั้นฉายทางทีวี  2 ชม.จบ เล่าถึงเหตุการณ์ที่ล่วงเลยมาจนปัจจุบัน    เพื่อบอกกล่าวให้แฟนๆรุ่นเก่าที่เคยติดตามให้รู้ว่า เวลาผ่านไป ป่านนี้พระเอกนางเอกและตัวประกอบที่พวกเขาเคยชื่นชอบนั้น ยังอยู่ดีมีสุขอย่างไรกันบ้าง  เติบโตหรือแก่เฒ่ากันลงไปแค่ไหนแล้ว
การเอาดาราในหนังชุดเก่ามาเล่าใหม่  เพื่อให้รู้สารทุกข์สุขดิบกันในสายตาคนดู  เรียกว่า reunion ค่ะ

หนังเรื่องนี้ชื่อ Return to Green Acres   มีดาราชุดเดิมกลับมาเล่นกันเกือบครบ ยกเว้นบางคนไปสวรรค์แล้วก็จนใจ ไม่สามารถตามมาได้    เรื่องก็เปิดฉากขึ้นที่เมืองเดิม  พระเอกนางเอกซึ่งแก่กว่าเก่า 19 ปีก็ยังทำฟาร์มอย่างทุลักทุเลอยู่เช่นเดิม จนเกิดความท้อใจ  ขายฟาร์มกลับไปนิวยอร์ค
แต่ก็มีเหตุ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากว้านซื้อที่ดินเพื่อจะเปลี่ยนเมืองเล็กๆหลังเขาแห่งนี้เป็นนิคมอุตสาหกรรม    พระเอกนางเอกก็เลยต้องกลับมาช่วยชาวบ้านอีกครั้ง

ตัวอย่าง Green Acres
https://www.youtube.com/watch?v=qhL0JvLsviw&list=PL1wUdpvOZzIiIXIa85BJ2yN4JSK1Hg5yO&index=1

Return to Green Acres  (1990)

https://www.youtube.com/watch?v=lZEByIVXnpE

ดารานำใน Green Acres ทั้งพระเอกนางเอก ถึงแก่กรรมไปแล้วทั้งสองคน    ส่วนคนอื่นๆเป็นยังไง ดูได้จากคลิปนี้ค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=txjsOEUFXW4

หนังทีวีเรื่องนี้เป็นของอังกฤษ  ผลิตเมื่อปี 1968  เข้ามาฉายทางช่อง 4 วังบางขุนพรหม   ชื่อภาษาอังกฤษว่า The Champions  ชื่อไทยว่าอะไรจำไม่ได้แล้วค่ะ  มีความยาวเพียงแค่ 30 ตอน
มีดารานำแสดง 3  คน  ชื่อเสียงล้วนไม่คุ้นหูแฟนคลับไทย คือ   Stuart Damon  Alexandra Bastedo และ
William Gaunt
เนื้อเรื่องเป็นแนวสายลับ ซึ่งได้อิทธิพลจากหนังเจมส์ บอนด์ในช่วงต้นทศวรรษ 1960s แต่เพิ่มรสชาติเข้าไปด้วยการให้สายลับ 3 คนนี้ได้รับพลังจิตพิเศษ จากชนเผ่าลึกลับในทิเบต เมื่อเครื่องบินของพวกเขาตกแถวเชิงเขาหิมาลัย
พลังจิตที่ว่าก็ประกอบด้วย โทรจิต (telepathy) เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า (precognition),ตลอดจนมีสัมผัสทั้งห้า เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป

https://www.youtube.com/watch?v=SgVueR3ybYk

ตอนที่ 1

https://www.youtube.com/watch?v=CUMW63ozrDg

  ถึงแม้ว่าออกอากาศแค่ 30 ตอน  หนังชุดเรื่องนี้ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จ เพราะยังรีรันซ้ำอยู่หลายครั้งในอังกฤษจนถึงค.ศ.  1976,  ต่อมาก็รีรันซ้ำอีกในปี 1984. แล้วก็ยังออกอากาศทางช่องดิจิทัลจนถึง  2011

   พระเอกหน้าหวานของเรื่องนีิ้ ชื่อ Stuart Damon   ความจริงเป็นคนอเมริกันเกิดที่นิวยอร์ค   เคยเล่นละครเพลงของบรอดเวย์มาก่อนรวมทั้งเล่นเป็นเจ้าชายของซินเดอเรลลา ในละครเพลงเรื่องนี้ด้วย  ก่อนจะย้ายไปอยู่อังกฤษช่วง 1960s  ได้เล่นหนังทีวีอังกฤษเรื่องนี้   

ดามอนประสบความสำเร็จดีในอังกฤษ นอกจาก The Champions เขายังได้เล่นคู่กับโรเจอร์ มัวร์ในหนังชุด The Saint   ความจริงควรจะได้เล่นต่อในหนังชุด The Persuaders แต่พลาดเสียบทนี้ไปให้โทนี่ เคอร์ติส ดาราดังจากฮอลลีวู้ด
จนปี 1977   ดามอนจึงตัดสินใจย้ายกลับมาอเมริกา  ตอนนั้นย่างเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่ฝีมือยังไม่ตก  เขาได้รับบทสำคัญในหนังชุดเรื่องยาว  General Hospital  เล่นเป็นดร.อลัน ควอเตอร์เมน    บทนี้ส่งให้ได้รับรางวัลเอมมี่ในฐานะดาราประกอบชายดีเด่น ในปี 1999
เขาเล่น soap opera เรื่องนี้จนถึงค.ศ. 2003
 

เล่นกัน Roger Moore ใน The Saint

ปัจจุบันอายุ 81 ปี ยังแข็งแรงดี  มีความสุขกับครอบครัวและลูกๆหลานๆ

     นางเอกของหนังชุดนี้ อเลกซานดรา บาสทีโด  เป็นสาวอังกฤษ เชื้อสายฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาเลียนทางแม่ และพ่อชาวแคเนเดียนมีเลือดสเปนผสมอยู่ด้วย   ได้ชื่อว่าเป็น sex symbol ในยุค 1960s และ 1970s  เล่นหนังและทีวีมาแล้วหลายเรื่อง  นอกจากสวย  ยังเป็นคนเก่งพูดได้หลายภาษา
     อเลกซานดรายังคงเล่นหนัง เป็นพิธีกรต่อมาจนเข้าสู่วัยปลาย   นอกจากนี้เธอเขียนหนังสือเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง  บทในเรื่องนี้เป็นบทดังที่สุดของเธอ
     เธอถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งเมื่อปี 2014 อายุ  67  ปี

ดาราคนที่สามในเรื่อง คือ William Gaunt   เป็นชาวอังกฤษ แต่ว่ามาศึกษาอยู่ในอเมริกาจนจบปริญญาตรีทางดราม่าจากมหาวิทยาลัยในรัฐเทกซัส  แล้วกลับไปเป็นนักแสดงในอังกฤษ  ได้รับบทเล็กๆน้อยๆมาเรื่อยจนได้มาเล่น The Champions   เมื่อหนังเรื่องนีี้จบลง เขาก็ได้แสดงในหนังชุดเรื่องยาวอื่นๆต่อมาอีก   รวมทั้งเป็นผู้จัดการฝ่ายศิลป์ของโรงละครลิเวอร์พูลด้วย
อาชีพของวิลเลียมยืนยาวมาจนถึงวัยชรา  ปัจจุบันอายุ 81 ปี

กระทู้เงียบกริบ   สงสัยไม่มีใครเกิดทันเรื่องนี้  หรือถึงเกิดทันก็คงไม่ได้ดูทางช่อง 4 มั้งคะ

ผมเกิดเมื่อสงครามเลิกโตทันได้ดูรายการของช่อง 4บางขุนพรหมมาตลอดหนังที่อาจารย์กล่าวมาทุกเรื่องได้ดูหมดยกเว้นเรื่อง The Champions นี่นึกไม่ออกจริงๆครับ

คำตอบคุณชูทำเอาดิฉันเกือบหงายหลัง   ต้องรีบทบทวนความจำ
แน่ใจว่าเคยมีหนังชุดนี้ฉายทางทีวีแน่ๆค่ะ  ในยุคทีวียังขาวดำ และมีแค่ 2 ช่องคือช่อง 4 บางขุนพรหม และช่อง 7 กองทัพบก
แต่มันอาจจะสั้นมาก แค่ 30 ตอน  คนก็เลยจำไม่ได้

หามาให้ดูอีกตอนค่ะ  เผื่อใครจะนึกออกบ้าง

https://www.youtube.com/watch?v=Xz694O_1TU4

ดิฉันคิดว่าตอนเด็กๆ น่าจะได้เคยดูนะคะ  เหมือนกับคุ้นหน้าดาราทั้ง 3 ท่านและท่ายืนเรียงกัน  แต่จำรายละเอียดอย่างอื่นไม่ได้เลย

เข้ามาเพิ่มเติมว่า ซีรี่ส์นี้เคยออกอากาศทางช่องสี่ บางขุนพรหม โดยมีชื่อไทยว่า "ผู้พิชิต" ครับ

และจากกระทู้เก่า,คห.ด้านล่าง  http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2376.15

ลืมกระทู้เก่าเสียสนิท 
ขอบคุณคุณหมอ SILA ค่ะ

เรื่องนี้  ใครจำได้บ้างเอ่ย?
ฉายในอเมริกาตั้งแต่ 1964-1968 ค่ะ   เรื่องนี้เอามาทำใหม่เป็นหนังจอใหญ่ เมื่อ 2015 นี้เอง  แต่ดาราคนละชุด  ชุดเก่าไม่เหลือแล้ว

 The Champions  น่าดูมากครับ ชอบหนังมีเสียงประกอบประมาณนี้ เปิดมาเจอเรือดำน้ำนิวเคลียร์เลย ทำให้อยากเห็นช่อง 4 กับเขาบ้างจัง  :'(

จำได้ประโยคเดียว ตอนที่เขาโปรโมตหนัง

โรเบิร์ต วอห์น รับบท นโปเลียน โซโล

คุณ Jalito ยังจำได้ เอาไป 10 เต็มค่ะ
โรเบิร์ต วอห์นเป็นดาราหนึ่งในน้อยคนของฮอลลีวู้ด ที่เรียนจบปริญญาเอก     ดาราส่วนใหญ่ในยุคนั้นเรียนมหาวิทยาลัยอย่างมากก็ปีสองปี แล้วดร็อปออกมาเมื่อมีโอกาสเล่นหนัง   หรือไม่บางคนก็ไม่เรียนอีกเลยเมื่อจบไฮสกูลแล้ว
เขาเป็นดาราที่มีฝีมือคนหนึ่งในจอเงิน   อย่างในหนังคาวบอยดังระเบิดเรื่อง The Magnificent Seven  หรือเจ็ดสิงห์แดนเสือ ที่ดัดแปลงมาจากหนังญี่ปุ่น  เจ็ดเซียนซามูไร    เขาก็ได้รับบทเป็นหนึ่งในเจ็ด    แต่บทนำนั่นยูล บรินเนอร์และสตีฟ แม็คควีน เอาชิ้นปลามันไปกินหมดแล้ว

เจ็ดสิงห์แดนเสือ  โรเบิร์ต วอห์น คนที่สามจากขวา

อีกเรื่องที่ทำให้วอห์นดังขึ้นมาคือ The Young Philadelphians (1959)  ฝีมือเล่นเขาดีถึงขั้นได้รับเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลออสคาร์ด้านดาราชายประกอบยอดเยี่ยม
แต่ก็นั่นแหละ  วอห์นก็ได้รับบทรอง   ดารานำคือพอล นิวแมน

ฉากหนึ่งใน เจ็ดสิงห์แดนเสือ

https://www.youtube.com/watch?v=nyMtN_aHC_8

ฉากยิงสนั่นสะท้านจอในเจ็ดสิงห์แดนเสือ   
สังเกตว่ายิงกันหูดับตับไหม้   ต้องวิ่งกันป่าราบ  แต่ฝ่ายพระเอกแต่ละคนหมวกยังไม่หลุดจากหัว   เสื้อผ้าไม่ยับ หน้าไม่เยิน  ยังหล่อเท่ากับตอนต้นเรื่อง

https://www.youtube.com/watch?v=yulmgTcGLZw

     ย้อนกลับมาที่โรเบิร์ต วอห์น  หลังจากแสดงฝีมืออยู่ในจอเงินมาเกือบ 10 ปีโดยไม่ได้เป็นพระเอกเต็มขั้นกับเขาสักที    วอห์นก็ได้รับข้อเสนอให้เล่นหนังชุดทางทีวี เป็นพระเอกเต็มตัว    เป็นหนังสายลับที่ในช่วงกลางทศวรรษ 1960s  เข้ามาแทนที่หนังคาวบอยที่เคยฮิทในตอนต้นทศวรรษ ต่อจากทศวรรษก่อน   เขาก็ตกลงรับบทพระเอกที่ชื่อ นโปเลียน โซโล
     หนังเรื่องนั้นชื่อ The Man from U.N.C.L.E   พูดกันง่ายๆเป็นเจมส์บอนด์เวอร์ชั่นทีวี    พระเอกเป็นสายลับรูปหล่อ มาดเท่ แต่งตัวโก้  เก่งกาจไปเสียทุกอย่าง     เมื่อเล่นบทนี้ได้ถูกฟอร์มถูกจังหวะ    โรเบิร์ต วอห์นก็พุ่งพรวดขึ้นเป็นดารายอดนิยมของจอแก้ว  แจ้งเกิดเต็มตัวในบทนี้

ตัวอย่าง

https://www.youtube.com/watch?v=22MXmzSRHcE

ปีแรกเป็นหนังขาวดำ  ต่อมาเป็นสีค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=KIzy17dAL0U

เทียบกับเจ็ดประจัญบานของเราแล้วฝั่งไหนมันส์กว่ากันครับ

(http://www.weloveshopping.com/shop/dvdseries-shop/TH-172.jpg)


ยังมี 7 ซามูไรอีกหนึ่งเรื่อง ว่าแต่ทำไมต้องเลข 7 ด้วยล่ะครับ

เลข 7 ถือเป็นเลขสำคัญที่สุดของชาวตะวันตกค่ะ  อ่านเหตุผลได้ที่นี่

https://www.express.co.uk/news/uk/469565/The-magnificient-7-The-meaning-and-history-behind-the-world-s-favourite-number
The magnificient 7: The meaning and history behind the world's favourite number

     นอกจากนโปเลียน โซโล  หนังชุดเรื่องนี้มีสายลับชาวรัสเซียอีกคนหนึ่ง ชื่อ  Illya Kuryakin เล่นเป็นพระรองของเรื่อง    ผู้รับบทนี้เป็นหนุ่มนักแสดงชาวอังกฤษเชื้อสายสก๊อต ชื่อเดวิด แมคคัลลัม
     เดวิดเกิดที่สก๊อตแลนด์   เล่นหนังอังกฤษในบทเล็กบทน้อยมาก่อน แต่มีแววพอที่ผู้สร้างหนังในอเมริกาจะดึงตัวมาเล่นหนังให้ฮอลลีวู้ด  โดยรับบทรองๆในหนังใหญ่     ตอนแรกที่เดวิดถูกดึงมาเล่นหนังชุดนี้  ผู้กำกับก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นตัวเอก  เป็นเพียงตัวประกอบในหนังชุดบางตอนเท่านั้น   แต่เดวิดเล่นฝีมือดีมาก เข้ากับโรเบิร์ต วอห์น ได้สนิท 
    แม้อายุ 31 เข้าไปแล้ว เขาก็ยังหน้าใสเหมือนเพิ่งพ้นวัยรุ่นมาปีสองปี    บวกกับผมทรงบีตเติ้ลที่กำลังฮิอฮากันอยู่กลุ่มวัยรุ่นอเมริกัน   ก็เลยกลายเป็นขวัญใจคนดูไปแบบสายฟ้าแลบ   เดวิดจึงได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นดาราประจำอีกคนหนึ่งของ The Man from  U.N.C.L.E  เล่นประกบกับโรเบิร์ต วอห์น ทุกตอน
   
     ความสำเร็จของเดวิด แม็คคัลลัม เห็นได้จากจดหมายแฟนๆทั่วประเทศส่งมาที่บริษัทหนังกันล้นหลาม   มากกว่าดาราทำเงินในยุคนั้นอย่างคล้าก เกเบิลและเอลวิส เพรสลีย์เสียอีก  ขนาดเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเพลง , Love Ya, Illya, ขับร้องโดย Alma Cogan ใช้ชื่อว่า  Angela and the Fans,  กลายเป็นเพลงฮิทในอังกฤษ
ในปี 1966   
     กระแสนิยมสายลับรัสเซียคนนี้ยังไม่คลาย แม้หนังจะเลิกถ่ายทำไปร่วมยี่สิบปีแล้ว  ในทศวรรษ 1990s นักร้องกลุ่มร็อคจากอาร์เจนตินาตั้งชื่อกลุ่มว่า  Illya Kuryaki and the Valderramas  เพื่อเป็นเกียรติแก่ดาราในหนังเรื่องนี้
     จากดาวดวงเล็ก   เดวิด แม็คคัลลัมก็กลายเป็นดาวจอแก้วดวงใหญ่  ได้รับเสนอชื่อชิงรางวัลเอมมี่ถึง 2 ครั้งจากบทนี้

https://www.youtube.com/watch?v=CjmOkqU6Roo

ใช่ครับ ผมลืมเดวิดแมคคัลลัม สนิทเลย อิลลียา คูรียากิน(ไม่ทราบรัสเซียออกเสียงยังไง)

ออกเสียงว่า อิล-หยา   คูรยากิน  ค่ะ

ขอบคุณครับ

ความสำเร็จล้นหลามจาก The Man from U.N.C.l.E.  ทำให้ผู้สร้างเกิดไอเดีย สร้างสายลับขององค์การอังเคิลขึ้นมาใหม่อีกคน  มีบทอยู่ในตอนหนึ่งหรือหลายตอนของหนังชุดนี้ แล้วแยกออกไปเป็นหนังชุดต่างหาก
ชื่อ The Girl from U.N.C.l.E.  ออกอากาศในปี 1966
ผู้สร้างเลือกดาราสาวสวยที่มีชื่อเสียงพอประมาณ ชื่อ Stephanie Power มาเล่น  แล้วเลือกดาราชายชาวอังกฤษชื่อ Noel Harrison มารับบทประกบ เป็นเพื่อนร่วมงานและผู้ช่วยเหลือนางเอก

 สายลับสาวสวยคนนี้  เอียน เฟลมมิ่ง ผู้สร้างเจมส์ บอนด์ เป็นคนตั้งชื่อให้ว่า April Dancer  หรือแปลเป็นไทยว่า นางสาวเมษายน  นักเต้นรำ (สมัยนี้คงเรียกว่าหางเครื่อง)   อ่านแล้วไม่สมกับเป็นสายลับองค์การนานาชาติเล้ย   
  นอกจากนี้ผู้เขียนบทวางบทบาทนางเอกผิด  แทนที่จะเป็นสายลับหญิงนักสู้  ก็กลายเป็นสาวสวย หน่อมแน้มแทบจะเอาตัวไม่รอดถ้าไม่มีสายลับชายคอยช่วยเหลือ      คนดูไม่ชอบ  เรื่องนี้ก็เลยเจ๊งไปในปีเดียว

       7 สิงห์แดนเสือ สร้างจากต้นแบบ คือ 7 เซียนซามูไร(Seven Samurai) ผลงานของครูเอก Akira Kurosawa

ข้อมูลว่าตอนแรกเขียนบทให้มีซามูไร 6 คน(Six Samurai) โดยอิงบุคคลจริงในอดีต ต่อมาได้เพิ่มเติม
อีกหนึ่งแคแรคเตอร์ที่แตกต่างแต่เข้าถึงง่ายเพราะไม่ได้มีความเป็นซามูไรเต็มเปี่ยมตามแบบฉบับ(รับบท
โดย Toshirô Mifune) จึงรวมทั้งสิ้นเป็น 7

ของไทยที่มี ๗ นึกได้ตอนนี้ คือ

        มาจะกล่าวบทไป         ถึงท้าวสามลเรืองศรี
เสวยราชสมบัติสวัสดี            ในบุรีสามลพระนคร
อันองค์เอกอรรคชายา           ชื่อมณฑาเทวีศรีสมร
มีธิดานารีร่วมอุทร                ทั้งเจ็ดนามกรต่างกัน

อีกเรื่องหนึ่ง คือบทพากษ์เอราวัณ ค่ะ
 ช้างนิมิตฤทธิแรงแข็งขัน________เผือกผ่องผิวพรรณ
สีสังข์สะอาดโอฬาร์
๏ สามสิบสามเศียรโสภา_________เศียรหนึ่งเจ็ดงา
ดั่งเพชรรัตน์รูจี
๏ งาหนึ่งเจ็ดโบกขรณี ___________สระหนึ่งย่อมมี
เจ็ดกออุบลบันดาล
๏ กอหนึ่งเจ็ดดอกดวงมาลย์_______ดอกหนึ่งแบ่งบาน
มีกลีบได้เจ็ดกลีบผกา
๏ กลีบหนึ่งมีเทพธิดา____________เจ็ดองค์โสภา
แน่งน้อยลำเพานงพาล
๏ นางหนึ่งย่อมมีบริวาร__________อีกเจ็ดเยาวมาลย์
ล้วนรูปนิรมิตมายา

เลขเจ็ด มีอยู่ให้เห็นอีกในสำนวนไทย ค่ะ
- ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ
- เจ็ดคาบสมุทร
- ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน
- สาบานเจ็ดวัดเจ็ดวา
ไม่เคยลดลงมาเป็น 6  และไม่เขยิบเป็น 8

https://www.youtube.com/watch?v=p62nHyhdeHQ

อีกรูปหนึ่ง

หลังจาก The Manฯ จบไปเมื่อปี 1968   ผู้สร้างเรียกดารากลับมาอีกในตอนใหม่   สร้างพิเศษเฉพาะตอน ชื่อ   
The Return of the Man from U.N.C.L.E.: The Fifteen Years Later Affair
สร้างในปี 1983 

https://www.youtube.com/watch?v=lKZpftvGkeU

https://www.youtube.com/watch?v=wVFFz5hgVCU

       วอห์นยังคงรับบทในหนังทีวีเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่อยมา จนเข้าสู่วัยชรา เขาข้ามไปเล่นหนังทีวีให้อังกฤษด้วยในปี 2004   เรื่อง HustleIn   ในปี  2011,ไปเล่นหนังเรื่องยาวประเภทsoap opera เรื่อง Coronation Street ของอังกฤษเช่นกัน
     วอห์นป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว อยู่ 1 ปี  ก่อนถึงแก่กรรมในปี 2016 นี้เอง  อายุ 84 ปี   

      ส่วนเดวิด แม็คคัลลัม เมื่อจบบทบาทใน The Man from U.N.C.L.E. แล้ว ก็ดำเนินอาชีพดาราต่อมา
ไปเล่นหนังชุดให้อังกฤษเสียหลายเรื่อง  แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนทำชื่อเสียงให้ได้เท่าเดิม    ความสามารถอีกอย่างคือร้องเพลงได้ไพเราะ  เขาอัดแผ่นไว้หลายเพลง
      ปัจจุบันเดวิดอายุย่างเข้า 88 ปี มีหลานปู่ 6 คน    ล่าสุดหันมาเขียนนวนิยายสืบสวนสอบสวน  เรื่องOnce a Crooked Man

หนังชุดทางทีวีอีกเรื่องที่ถือกำเนิดในปี 1968   ชื่อ Adam -12   ชื่อภาษาไทยว่าอะไรจำไม่ได้แล้ว
เป็นหนังตำรวจ  Police Drama ค่ะ
คิดว่าเมืองไทยไม่ค่อยดังนะคะ   แต่ที่อเมริกาดังมาก  ฮิทขนาดได้ทำต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า จาก 1968  ถึง 1975 
มีดารานำ 2 คน ชื่อ Martin Milner (คนขวา) และ  ‎Kent McCord (คนซ้าย)
เป็นเรื่องราวของสายตรวจ 2 คน  ประจำอยู่ที่กองตำรวจลอสแองเจลิส

หนังทีวีเรื่องนี้ไม่ได้มุ่งหมายให้เป็นเรื่องตำรวจไล่จับผู้ร้าย ยิงกันสนั่นจอ  ไล่ล่ากันไปตามถนนรถชนกับวินาส  อย่างที่หนังแอ๊คชั่นของฮอลลีวู้ดชอบทำกัน
แต่เป็นหนังในแนวเรียลลิสติค  เล่าถึงชีวิตทำงานรายวันของตำรวจสายตรวจหนุ่ม 2 คนในรถที่มีรหัสเรียกว่า อาดัม 12  สะท้อนภาพชีวิตจริงว่า ตำรวจสายตรวจวันๆเขาอยู่กันอย่างไร    ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง   
จุดเด่นของเรื่องนี้คือ คนเขียนบทเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในเมืองใหญ่อย่างแอลเอ มาเป็นเหตุการณ์ในแต่ละตอน
แจ้งไว้ชัดเจนในตอนต้นเรื่อง ว่าเหตุการณ์นี้มาจากเรื่องจริง เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามผู้เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์มิให้เสียหาย

ตัวเองในเรื่อง เป็นตำรวจหนุ่มสองคน ชื่อพีท มัลลอย  เนื้อเรื่องปูพื้นว่าเป็นตำรวจที่เพ่ิ่งจะสูญเสียเพื่อนคู่หูร่วมออกตรวจไป จากกระสุนของคนร้าย    จนมัลลอยตัดสินใจจะลาออกจากหน้าที่นี้  ก็พอดีทางกองตำรวจส่งตำรวจหน้าใหม่ชื่อจิม รี้ด เพ่ิ่งจบหมาดๆจากร.ร.ตำรวจมาให้แทนเพื่อนคนเก่า   
มัลลอยต้องทำหน้าที่กึ่งเพื่อนกึ่งพี่เลี้ยงให้ตำรวจคนใหม่    เรื่องราวก็ดำเนินต่อไป  จนล่วงเข้า 7 ปีแบบไม่รู้ตัว

     มาร์ติน มิลเนอร์เป็นดาราเด็กมาก่อนเมื่อเข้าวงการช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2   เติบโตขึ้นมาในจอเงิน  เล่นหนังได้หลายบท จากเด็กก็กลายเป็นวัยรุ่น จากวัยรุ่นเป็นหนุ่มเต็มตัว จนได้เล่นหนังชุดทางทีวีชื่อ Route 66  ประกบกับดารารูปหล่ออีกคนชื่อ George Maharis    ประสบผลสำเร็จอย่างดีจากเรื่องนี้  ส่งให้เขากลายเป็นดาราเต็มตัว
     มาร์ติน เป็นหนุ่มหน้าตาใสๆ สะอาดสะอ้าน   เหมาะกับยุคเบบี้ บูมเมอร์ซึ่งคนดูทั้งหลายยังติดอยู่กับพระเอกรูปหล่อมาดดี   พระเอกแนวซกมกยังไม่เกิดในสมัยนั้น      มาร์ตินจึงได้รับความนิยมจากคนดูทีวีต่อเนื่องกันมาหลายปี  จบจาก Route 66 เขาก็ได้รับคัดเลือกมาเล่น Adam-12    เป็นตำรวจหนุ่มหล่อหน้าตาน่าไว้ใจ  ดูเป็นมิตรกับประชาชน  สมความมุ่งหมายของผู้สร้าง

ส่วนดาราที่ประกบคู่กับมาร์ติน มิลเนอร์ ชื่อ Kent McCord  เป็นนักแสดงที่เลื่อนชั้นขึ้นมาจากดาราประกอบวัยรุ่น ในหนังครอบครัวที่มีริคกี้ เนลสัน ขวัญใจวัยรุ่นยุค 50s และ 60s เป็นดารานำ      จากนั้นก็รับบทรองในหนังทีวีเรื่องอื่นๆเรื่อยมา จนอายุ 26 เป็นหนุ่มเต็มตัว   มาดพระเอกเฮ้วๆ หล่อล่ำแบบเค้นท์ ก็ไปเข้าตาผู้สร้าง  จึงได้มาเล่นประกบคู่กับมิลเนอร์  ในบทตำรวจหนุ่มชื่อจิม รี้ดเพิ่งพ้นจากร.ร.ตำรวจมาเผชิญชีวิตทำงานของจริง
บทนี้เป็นบทเด่นที่สุดในชีวิตงานแสดงของเค้นท์ แมคคอร์ด

https://www.youtube.com/watch?v=VOlc438GnLk&t=19s

ตอนแรกๆ

https://www.youtube.com/watch?v=_FtVPWxy_bM

หลังจาก Adam-12 จบลง   ดาราทั้งสองต่างก็แยกกันไป   แต่ก็ยังรักษามิตรภาพกันไว้จนตลอดชีวิต   
มาร์ตินโชคดี มีงานทีวีเข้ามาไม่ขาดสาย   เป็นทั้งดารารับเชิญ และดาราประจำ อย่างในหนังชุด  MacGyver ที่ตอนมาออกอากาศในไทย ชื่อว่า "ยอดคนสมองเพชร" เขารับบทพ่อของพระเอก

https://www.youtube.com/watch?v=n8V3I96LlMs

มาร์ตินจากไปในปี 2015  อายุ 83 ปี
https://www.youtube.com/watch?v=m2RUidRNqs4

 ส่วนเค้นท์ แมคคอร์ด  นอกจากเป็นดาราแล้ว ยังหันไปเอาดีทางบริหารงานสมาคม  ในปี  1972, เขาได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหาร ของรางวัลแซคอวอร์ด  ( Screen Actors Guild) ซึ่งเป็นรางวัลชองสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์  ทำหน้าที่อยู่ถึง 11 ปี     แต่ก็ยังรับบทแสดงทางทีวีอยู่เรื่อยๆ  
เขากลับมารับบทคู่กับมาร์ติน มิลเนอร์ อีกครั้งในหนังที่ผลิตเพื่อฉายทางเคเบิลทีวี  เรื่อง Nashville Beat ในปี 1989
เรื่องนี้ใครเป็นแฟน Adam-12 จะชอบใจมาก  เพราะเป็นเรื่องที่เหมือนกับตอนต่อไปของ Adam-12 อีก 14 ปีต่อมา เมื่อพระเอกทั้งสองเข้าสู่วัยกลางคน    แล้วได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง 
เค้นท์เป็นหนึ่งในทีมเขียนบทหนังเรื่องนี้ เขาเขียนให้ตำรวจ 2 คนที่บุคลิกเหมือนพระเอก Adam-12 เป๊ะ กลับมาเจอกันหลังแยกห่างกันไปตามหน้าที่การงาน    ได้กลับปราบผู้ร้ายร่วมกันอีกครั้ง


https://www.youtube.com/watch?v=Lyl3Q7_I1QE

ภาพท้ายๆ ก่อนมาร์ตินถึงแก่กรรม

เรื่องต่อไป  ออกอากาศตั้งแต่ปี 1967-1975

https://www.youtube.com/watch?v=2KE-Ze-VPeE

     Ironside  มาจากชื่อของตัวเอกในเรื่อง   Robert T. Ironside อดีตหัวหน้าใหญ่ของตำรวจซานฟรานซิสโก   (ของไทยไม่รู้จะเทียบกับอะไรดี เพราะยศตำรวจของไทยเราเป็นแบบทหาร  ของอเมริกาไม่ใช่)  
    เขาถูกยิงจนร่างกายท่อนล่างเป็นอัมพาตต้ององนั่งวีลแชร์  แต่กองตำรวจซานฟรานซิสโกก็จ้างเขาเป็นที่ปรึกษา เพราะถึงแม้พิการ แต่ใจและสมองยังแข็งแกร่ง เป็นเลิศในการสืบสวนคดีอาชญากรรม    ตำรวจตั้งทีมทำงานให้เขาอีก 3 คน เป็นตำรวจหนุ่มคนหนึ่ง ตำรวจสาวอีกคน และอดีตอาชญากรผิวดำที่กลับใจมาทำงานให้ตำรวจ ทำหน้าที่เลขาฯส่วนตัวให้เขา
      

    เรมอนด์ เบอร์ ผู้มารับบทตัวเอกในเรื่องนี้เป็นดาราทีวีที่ประสบผลสำเร็จล้นหลามจากหนังชุด Perry Mason มาก่อน
     เพอรี่ เมสันเป็นชื่อของทนายจำเลยฝีมือเยี่ยม ที่ทำหน้าที่ทั้งสืบสวนและว่าความให้ลูกความ ในคดีสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนทุกตอนก็ว่าได้  ก่อนหน้าเป็นหนังชุดทางทีวี  เรื่องนี้เป็นนวนิยายสืบสวนชื่อดังมาก่อน  ของนักเขียนยอดนิยมของอเมริกาชื่อ เอิร์ล สแตนลีย์ การ์ดเนอร์      เขาเขียนถึงคดีต่างๆของเพอรี่ เมสันเอาไว้เป็นนวนิยายมากกว่า 80 ตอน และเป็นตอนสั้นๆอีกจำนวนหนึ่ง   เมื่อเอามาทำหนังทีวีก็ฮิทติดอันดับอยู่ยาวนาน ตั้งแต่ 1957-1966 ส่งชื่อเสียงของเรมอนด์ เบอร์ดารานำ ให้โด่งดังขึ้นมาเป็นดาราทีวีแถวหน้า
   เรมอนด์  เบอร์ เล่นหนังใหญ่มาก่อน แต่เป็นผู้ร้ายเสียมากกว่าพระเอก      ดวงเขาคงจะสมพงศ์กับทีวี  พอได้เล่นเป็นทนายความใจเพชรเข้าก็ดังเปรี้ยงขึ้นมา  ได้รางวัลเอมมี่ถึง 2 ครั้ง  ก่อนจะมาเล่น Ironside  ซึ่งเขาเป็นเจ้าของบริษัทผลิตเรื่องนี้เอง

   มีข่าวเม้าท์กันว่า เรมอนด์ปล่อยน้ำหนักตัวให้ขึ้นมาก จนลดไม่ลง  เมื่อมาเล่นหนังของเขาเอง  ก็เลยให้คนเขียนบทแต่งให้พระเอกต้องนั่งรถเข็นคนพิการเสียรู้แล้วรู้รอดไป     ซ่อนหุ่นได้ดีกว่ามาเดินอุ้ยอ้ายให้เสียภาพลักษณ์ไปเปล่าๆ  และยังเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใครด้วย
   เรมอนด์คิดถูก    เรื่องนี้คนดูชื่นชอบมาก   ตัวเขาเองก็ได้แสดงฝีมือคมกริบทั้งๆจำกัดตัวอยู่บนวีลแชร์  จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชองรางวัลเอมมี่ถึง 6 ครั้ง และลูกโลกทองอีก 2 ครั้ง  ตลอดเวลา 7 ปีครึ่งของหนังทีวีเรื่องนี้

ตัวอย่าง

https://www.youtube.com/watch?v=C1zFJ5H_MF4&t=41s

หลังจากหนังชุดเรื่องนี้จบลงในปี 1975    ก็มีการทำตอนพิเศษขึ้นมาอีกครั้งในปี 1993   เรียกดาราประจำทุกคนกลับมาเล่นกันอีก  สนองความคิดถึงของแฟนคลับ

https://www.youtube.com/watch?v=j7tfw7KjOT8

/ นักเรียนขออนุญาตคุยคั่นเวลาก่อนหนังเรื่องใหม่มานะคะ /

สองเรื่องหลัง adam-12 กับ ironside จำไม่ได้เลยค่ะ

แต่พล็อตแบบ adam-12  ที่ว่านายตำรวจอาวุโสที่ต้องเสียเพื่อนคู่หูไปด้วยฝีมือคนร้าย  แล้วต้องมารับหน้าที่พี่เลี้ยงให้ตำรวจจบใหม่  จนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมกันในที่สุดนี้  เป็นพล็อตฮิตค่ะ  จนยุคหลังๆ ก็ยังเอามาสร้าง

ในช่วงปี 1982  ก็มีหนังทีวีพล็อตแบบเดียวกันนี้อีกเรื่อง  william shatner เล่นเป็นจ่า T.J.Hooker  ในหนังชื่อเดียวกัน  เป็นจ่าอาวุโสที่เสียเพื่อนร่วมทีมไป  ก่อนจะมาเป็นครูฝึกตำรวจจบใหม่จนได้มาร่วมทีมกัน  ฉายอยู่สัก 4-5 ปีได้

ฉากนั่งคุยกันในรถตำรวจนี่เหมือนกันเป๊ะกับรูปข้างบน

ก่อนหน้านั้นสัก 10 ปี  (1972) ก็มีหนังทีวีฮิต street of sanfrancisco  ที่ carl malden เล่นเป็นนายตำรวจอาวุโส  ร่วมทีมกับตำรวจหนุ่มที่แสดงโดย michael douglas  ฉายอยู่สัก 5 ปี  พอ michael douglas เลิกเล่น  ผู้มาแสดงแทนไม่ได้รับความนิยมจนต้องเลิกไปในที่สุด
 

ดีใจที่คุณ tita เข้ามาร่วมวงในกระทู้นี้ค่ะ

ทั้งๆ Ironside ประสบความสำเร็จเป็นหนังทีวีดังอยู่ถึง 7 ปีครึ่ง  แต่แปลกที่ดาราในเรื่อง นอกจากเรมอนด์ เบอร์ซึ่งดังมาก่อนหน้าแล้ว   คนอื่นๆที่ร่วมเล่นกับเขากลับไปไม่ถึงดวงดาวกันสักคน   
ดอน แกลโลเวย์ ดาราหนุ่มรูปหล่อที่เล่นประกบเรมอนด์  เมื่อจบหนังชุดนี้ก็ไปเป็นพิธีกรรายการทีวีบ้าง เกมโชว์บ้าง  และลงเอยด้วยการไปแสดงในอุปรากรสบู่ เรื่อง General Hospital   จนถึงค.ศ. 1987 
จากนั้นเขาอำลาวงการ ไปทำงานเป็นผู้ช่วยนายอำเภอ อยู่ที่ San Bernardino County ในคาลิฟอร์เนีย     ใช้เวลาหลังเกษียณเขียนคอลัมน์แสดงความเห็นทางการเมือง จนถึงแก่กรรมด้วยโรคหลอดเลือดสมองเมื่อปี 2009  อายุ 71 ปี
 

บาร์บารา แอนเดอร์สันผู้รับบทตำรวจหญิงทีมงานของ Ironside   ทำท่าจะไปรุ่งเมื่อคว้ารางวัลเอมมี่ประเภทนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่องนี้   ก็พอดีเธอเจอเนื้อคู่ชื่อ Don Burnett 
เมื่อแต่งงาน บาร์บาราตัดสินใจอำลาวงการแสดงไปอุทิศตนให้ครอบครัวเต็มตัว     เป็นดารารับเชิญให้หนังทางทีวีนิดๆหน่อยๆอีก 2-3 เรื่อง แล้วก็เงียบหายไป   
เธอกลับมาเล่นครั้งสุดท้ายในปี 1993  ใน The Return of Ironside

ดอน มิทเชล ดาราผิวดำอีกคนในเรื่องก็เช่นกัน    หลังจากรับบทผู้ช่วยประจำตัวพระเอกแล้ว ก็ไม่รุ่งอีกเลยเมื่อหนังชุดนี้จบลง   เขาได้บทนักแสดงประกอบเล็กๆน้อยๆในหนังทีวี และหนังเกรด B
ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2013  อายุ 70 ปี

      ส่วนดารานำของเรื่องนี้ เรมอนด์ เบอร์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เมื่อปี 1993  อายุ 76 ปี    เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นดาราที่มีจิตสาธารณะสูงมาก    ได้บริจาคทรัพย์สินส่วนตัวจำนวนมากมายและสม่ำเสมอ ให้เป็นสาธารณกุศลมาตลอดชีวิต  แม้มรดกส่วนหนึ่งเขาก็บริจาคให้เป็นสาธารณกุศล
      พูดถึงนิสัยใจคอก็เป็นคนมีเมตตากรุณา มีน้ำใจ  เป็นที่ประทับใจของเพื่อนร่วมงานและนักแสดงเล็กๆที่ร่วมงานกับเขา     ความประพฤติส่วนตัว ก็เป็นคนเรียบร้อย ไม่เคยเสียหายว่าติดเหล้าติดยา หรือเกะกะเกเรก่อเรื่องให้สังคม   ตลอดเวลาที่ทำงานในฐานะดาราใหญ่ ติดอันดับ 1 ใน 50  ของดารายิ่งใหญ่ตลอดกาลทางทีวี ของนิตยสาร  TV Guide เมื่อปี 1996
     แต่เรมอนด์ เบอร์เป็นคนอาภัพอยู่เรื่องหนึ่ง คือถ้าเกิดช้ากว่านี้สัก 20 ปี    เขาจะไม่ต้องลำบากใจที่จะปิดบังชีวิตส่วนตัวอย่างที่จำต้องทำ      ในยุคของเขา  พวกรักร่วมเพศถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสของฮอลลีวู้ด  ดาราคนไหนถูกจับได้ว่าชอบเพศเดียวกัน  อนาคตการงานเป็นต้องดับวูบ      บริษัทจึงต้องสร้างเรื่องสมรสให้เรมอนด์ เบอร์ แต่งงานแล้วเป็นพ่อม่าย  เพื่อแฟนคลับจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมผู้ชายหล่อ รวย การงานดีอย่างเขาถึงอยู่เป็นโสดมาได้จนแก่
    คู่ตัวจริงของเรมอนด์ เบอร์ เป็นนักแสดงหนุ่มอายุอ่อนกว่า 13 ปี ชื่อRobert Benevides เคยแสดงหนังทีวีร่วมกัน แล้วเกิดรักกันขึ้นมา  ก็ครองคู่กันมาตลอดชีวิตจนเรมอนด์ตายจากไป             

เรื่องต่อไป   Get Smart

   Get Smart หรือสายลับจอมเปิ่น  เป็นหนังชุดทางทีวีที่ทำล้อหนังสายลับที่ฮิทอยู่ในช่วง 1960s   เรื่องนี้ออกอากาศทาง NBC  อยู่ 5  ปี   เป็นเรื่องขององค์การลับของรัฐบาลสหรัฐชื่อ CONTROL  ที่ปฏิบัติงานในช่วงสงครามเย็น   มีคู่ปรับคือองค์การ KAOS (อ่านว่าเคออส)  ที่อยู่ทางยุโรปตะวันออก   
   สายลับทั้งหลายของ CONTROL  มีชื่อเป็นรหัสลับตัวเลข แบบเดียวกับเจมส์บอนด์ 007    แมกซเวล สมาร์ท พระเอกของเรื่อง(แสดงโดย Don Adams) มีรหัสเลข 86    ส่วนสายลับสาวคู่หูของเขา(barbara Feldon) ใช้รหัสลับหมายเลข 99
   ส่วนหัวหน้าชื่อ แทดเดียส   รับบทโดยนักแสดงอาวุโส Edward Platt

 https://www.youtube.com/watch?v=rEGA7eyWeAA

ดารานำทั้ง ๓ คน

อาวุธลับล้ำยุคที่เจมส์ บอนด์เองก็ยังไม่มี   โทรศัพท์'เท้า' ถือ   รองเท้าที่ถอดออกมาใช้โทรไร้สายได้

โทรศัพท์สาธารณะ 'ลับ'

ที่อยู่ตรงกลางไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของพระเอกนางเอกนะคะ  เป็นสายลับหมายเลข K-13  ของ CONTROL

เครื่องมือล้ำยุคอีกอย่างขององค์การลับ CONTROL  คือ cone of silence   แปลตามตัวคงไม่ได้เรื่องเท่าไหร่   ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่าเป็นอุปการณ์เก็บความลับสุดยอด  ทำเป็นรูปกรวยกลมๆสองอันเชื่อมต่อกัน สามารถเก็บเสียงได้สนิท   ใช้ครอบลงไปบนบุคคลที่ต้องการพูดกันเรื่องลับสุดยอด  ไม่ให้คนอื่นได้ยิน
อุปกรณ์นี้ทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุด  เก็บเสียงได้ ๑๐๐%  จนกระทั่งแต่ละฝ่ายไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร

https://www.youtube.com/watch?v=tu5piMRY1fU

ประสิทธิภาพอีกอย่างหนึ่งของ cone of silence  คือมิดชิดจนคนในไม่ได้ยิน  แต่....

https://www.youtube.com/watch?v=HWtPPWi6OMQ

บางครั้ง ระบบ cone of silence ก็ทำงานด้วยยากหน่อย

https://www.youtube.com/watch?v=vsNR9FnxOdY

ไปหามาให้ดู 1 ตอนเต็มๆค่ะ
แต่คลิปในเว็บนี้มีโฆษณานำหน้า ต้องรอจนถึงช่วง skip ก่อนนะคะ
และมีโฆษณาคั่นเป็นช่วงๆด้วยค่ะ

https://www.dailymotion.com/video/x30iysy

ทีนี้ มารู้จักกับดาราในชุดนี้กันบ้างค่ะ

     ดอน อดัมส์ พระเอกของเรื่องนี้เป็นนักแสดงตลกที่ไต่เต้าขึ้นมาจากตลกไนท์คลับ  แสดงทอล์คโชว์มาก่อนจะเข้าสู่วงการทีวี     ได้เล่นบทตลกประกอบในรายการโชว์บ้าง ในหนังชุดบ้าง  เป็นตัวรองๆมาเรื่อย  ฝีมือเล่นไปเข้าตาบริษัทยักษ์หนึ่งในสามของทีวี คือ NBC เข้า  ก็เลยได้เซ็นสัญญาอยู่ในสังกัด
    ในยุค 1960s  หนังยอดฮิทคือเรื่องสายลับและนักสืบ     ดาราตลกเก่าชื่อ Mel Brooks เลื่อนฐานะขึ้นเป็นผู้ผลิตหนังชุด  คิดสร้างหนังสายลับตลกขึ้นมาล้อเลียน  ในที่สุดก็เลือกดอน อดัมส์มาเล่นเป็นตัวนำ     เมลเป็นดาราตลกอาวุโสที่มีมุกมีแก๊กให้นักเขียนบทและผู้กำกับได้นำมาใส่ไว้ในเรื่องมากมาย    ดอน อดัมส์รับมุกรับแก๊กพวกนี้ได้หมด  เอามาพัฒนาเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของแมกซเวล สมาร์ท สายลับจอมเปิ่น    
    พอออกอากาศ   Get Smart ก็ดังเป็นพลุแตกชั่วข้ามคืน     ส่งผลให้ดอน อดัมส์กลายเป็นดาราตลกแถวหน้า  คว้ารางวัลเอมมี่จากเรื่องนี้ไปถึง 3 ปีติดต่อกัน

     เช่นเดียวกับดาราที่ประสบความสำเร็จมากๆ จากบทใดบทหนึ่ง   ก็เลยไปเล่นบทอื่นไม่รุ่ง  เพราะคนดูติดกับภาพลักษณ์เดิมของเขา     ดอน อดัมส์ถูกยึดติดกับบทตลกของสายลับจอมเปิ่น   เรื่องจะไปเล่นบทชีวิตหรือบทโหด หรือแม้แต่บทรักเบาๆ เป็นอันว่าจบกันไปไม่ต้องคิด     เมื่อหนังชุดนี้จบลง  เขาก็เลยไปเป็นพิธีกรเกมโชว์บ้าง   ไปเล่นรายการตลกอื่นๆบ้าง  ทุกบทไม่ค่อยจะดังเท่าบทแมกซเวล สมา์ท
     อย่างไรก็ตาม   ดอน อดัมส์ฉลาดพอจะเซ็นสัญญาในเงื่อนไขว่า เขายอมรับค่าตัวค่อนข้างต่ำ แต่บวกกับสิทธิ์ครอบครอง 1 ใน 3 ของหนังชุดเรื่องนี้  ผิดกับดาราโดยมากที่เซ็นสัญญารับค่าตัวสูงไว้ก่อน แล้วไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับสิทธิ์ในหนังที่ตัวเองแสดง      ผลคือ เมื่อ Get Smart  นำออกรีรันทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่คนดูที่ชื่นชอบผลงาน ฉายซ้ำกันหลายครั้งต่อมาอีกยาวนานหลายทศวรรษ   เงินจากค่ารีรันก็ไหลเข้ากระเป๋าดอน อดัมส์ ไม่ขาดสาย  ทำให้เขาสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสบาย  ไม่ตกอับ  แม้ว่าติดนิสัยเล่นการพนันจนโงหัวไม่ขึ้นก็ตาม
    เมื่อไม่รุ่งทางการแสดง   ดอน อดัมส์หันไปพากย์หนังการ์ตูน เป็นนักสืบจอมเปิ่นชื่อ Inspector Gadget  เสียงกับตัวการ์ตูนเข้ากันดี    เขาก็เลยประสบความสำเร็จจากงานด้านนี้อีกด้านหนึ่งด้วย
    ดอนอยู่มาจนปี 2005   ก็ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง  เสียชีวิตด้วยอาการปอดติดเชื้อ  เมื่ออายุ 82 ปี

    บาร์บารา เฟลดอนนางเอกของ Get Smart  เป็นนางแบบ และพรีเซนเตอร์โฆษณาครีมใส่ผมยี่ห้อ Top Brass ของเครื่องสำอางเรฟลอนมาก่อน    เธอดังมาจากโฆษณานี้ ก่อนจะเข้าสู่วงการทีวี รับบทในหนังทีวีหลายเรื่องด้วยกัน     จนในที่สุดได้รับคัดเลือกเป็นดาราหญิงคู่กับดอน อดัมส์
    ผู้สร้างต้องการดาราสาวที่ไม่ต้องมาแข่งบทตลกกับพระเอก   แต่ต้องดูสวย  เก่ง เซกซี่ ประทับใจคนดู  ฉีกแนวไปจากบทบ๊องๆบวมๆของดอน อดัมส์  ถึงกระนั้นก็ต้องเข้าคู่กันได้กลมกลืน  
    บาร์บาราเป็นนางแบบมาก่อน จึงไม่มีปัญหาเรื่องสวยและเก๋  นอกจากนี้เธอยังเล่นรับส่งมุกกับพระเอกได้โดยไม่หลุดบุคลิกสายลับคนสวย    จึงได้เป็นนางเอกตลอด 5 ปีของหนังชุดนี้   ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่ถึง 2 ครั้ง    กลายเป็นบทเด่นที่สุดในชีวิตการแสดงของเธอ
    ข้างล่างนี้คือหนังโฆษณาที่ส่งให้บาร์บาราดังมาก่อนจะเล่น Get Smart

https://www.youtube.com/watch?v=fy33kNEIwgw

ตัวอย่างบทบาทของสายลับ 99 นางเอกของ  Get Smart  (เธอเป็นสายลับผู้ไม่มีการเปิดเผยชื่อจริง แม้แต่พระเอกก็ไม่รู้   )

https://www.youtube.com/watch?v=b3kquDu1gXQ

  เมื่อ Get Smart  จบลง    บาร์บารา เฟลดอนก็เป็นดารารับเชิญ  ไปเล่นหนังทีวีเรื่องอื่นๆบ้าง   ไปเล่นหนังที่ผลิตขึ้นเพื่อฉายทางทีวีบ้าง  แต่ก็ไม่รุ่งเท่ากับบทสายลับหมายเลข 99
  อายุมากขึ้น  บาร์บาราก็อำลาวงการบันเทิง   ไปสู่อาชีพใหม่คือเป็นนักเขียน  ประสบความสำเร็จด้านนี้ด้วยดี   ในปี  2003  เธอเขียนหนังสือออกมา ชื่อ Living Alone and Loving It

    บาร์บาราเคยแต่งงานมาหนหนึ่ง แล้วหย่า   ไม่มีบุตรกับสามีเก่า     เมื่อมาเล่น Get Smart  ความสวยของเธอเข้าตาผู้อำนวยการสร้างเรื่องนี้    จึงผูกสัมพันธ์กันอยู่ยาวนานถึง 12 ปี  โดยไม่ได้สมรสกัน
    เมื่อเลิกร้างกันไป  บาร์บาราไม่ได้คบใครอีก    เธอย้ายจากฮอลลีวู้ดไปอยู่นิวยอร์คจนถึงทุกวันนี้
    ปัจจุบัน บาร์บาราอายุ 85 ปี  เป็นดาราหนึ่งเดียวในสามที่ยังเหลืออยู่      สมัยดอน อดัมส์ยังมีชีวิต  เขากับเธอยังคงเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาตลอดจนกระทั่งฝ่ายชายจากไป

    ส่วนดาราคนที่สามของเรื่องคือ Edward Platt ผู้รับบทหัวหน้าของสมาร์ท  มีชีวิตที่อาภัพกว่าเพื่อนร่วมงาน    หลังจากจบหนังทีวีชุดนี้   เขาไปเอาดีทางผลิตหนัง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ    ความล้มเหลวส่งผลให้เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า  ซึ่งสมัยนั้นคนยังไม่ตระหนักว่ามันคืออะไร   จึงไม่มีการบำบัดอย่างจริงจัง
   เอ็ดเวิร์ด  ฆ่าตัวตายหลังจากหนังชุดนี้จบลงเพียง 4 ปี    คือในปี 1974   อายุ 58 ปี 

ตัวอย่างเรื่องต่อไป
ใครจำได้บ้างคะ

นึกไม่ออกค่ะ  ท่าทางจะเป็นคอมเมดี้หรือคะ

จำได้ว่าสมัยนั้นมีหนังชุดสงครามหลายเรื่อง  แต่จะไปดูสายแอคชั่นเป็นส่วนใหญ่

คนข้างหลังนั่น Larry Hagman หรือเปล่าคะ

็Hogan's Heroes เคยออกอากาศทางทีวีไทย แต่จำไม่ได้ว่าช่อง 4 หรือช่อง 7   เป็นหนังชุดตลกล้อเลียนทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ
ออกอากาศทาง CBS  ตั้งแต่ปี 1965-1971  เป็นหนังชุดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเรื่องหนึ่งในทศวรรษ 1960s

ปูพื้นเรื่องว่า  ในค่ายเชลยศึกแห่งหนึ่งของเยอรมนี ที่ทหารเยอรมันใช้ควบคุมทหารฝ่ายพันธมิตร  ชื่อ ค่ายหมายเลข 13  หัวหน้าฝ่ายเชลยศึกชื่อพันเอกโรเบิร์ต อี.โฮแกน   ส่วนผู้บัญชาการค่ายฝ่ายเยอรมันชื่อพันเอกวิลเฮล์ม  คลิ้งค์  มีหัวหน้าทหารยามชื่อจ่าโช้ลซ์
ค่ายเชลยที่ 13 เป็นที่ภูมิใจและเชิดหน้าชูตาผู้การคลิ้งค์มาก  ตรงที่เป็นค่ายเดียวที่ไม่เคยมีเชลยศึกหนีได้เลย    จับมาได้ 100 คนก็อยู่ครบทั้ง 100  ข้อนี้ผู้การคลิ้งค์เอาไว้อวดนายทหารยศสูงๆที่มาตรวจราชการอยู่บ่อยๆ
แต่ในความเป็นจริงก็คือ   ค่ายนี้คือศูนย์บัญชาการลับของฝ่ายพันธมิตรที่มีพันเอกโฮแกนเป็นหัวหน้า   ใช้ประสานงานช่วยเหลือเชลยศึกในค่ายอื่นๆให้หนีบ้าง  สืบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของฝ่ายเยอรมันบ้าง   เป็นที่พักกลางทางของเชลยศึกระหว่างหนี หรือไม่ก็ของนายทหารฝายพันธมิตรที่ปฏิบัติการลับ เข้าออกกันอยู่ทุกตอน
ภายใต้ที่พักของเชลยศึก  พรุนไปด้วยอุโมงค์ลับ จนแทบจะหาที่ไหนเป็นพื้นดินทึบๆไม่ได้เลย   ทางเข้าออกมีอยู่ทั่วไปในค่าย  โฮแกนและลูกน้องอีกหลายคนปฏิบัติการเสี่ยงตายอยู่ใต้จมูกของผู้การสติเฟื่องอย่างคลิ้งค์ และหัวหน้ายามจอมเอ๋ออย่างโช้ลซ์    
ถ้าถามว่า ทั้งหมดนี้รอดอยู่ได้ยังไง คำตอบก็คือเป็นเพราะคลิ้งค์เป็นคนถูกหลอกต้มง่ายที่สุด  ส่วนจ่าโช้ลซ์นั้นก็กลัวที่สุดว่าหน้าที่การงานจะสะดุด ถ้าเจอปัญหาไม่ชอบมาพากลในค่าย    เพราะฉะนั้นตราบใดโฮแกนยังทำอะไรโดยทั้งสองคนนี้ไม่ต้องมารู้มาเห็นด้วย   สองคนก็ถือว่าทุกอย่างในค่ายเรียบร้อยดี

https://www.youtube.com/watch?v=ypE2oT-8Zag

ยกมาให้ดูทั้งตอน

https://www.youtube.com/watch?v=qRNYpBqv2HA

อีกตอนหนึ่งค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=EYWtOfAEoQY

  พูดถึงดารา  บ๊อบ เครน ตัวนำในหนังชุดนี้ไม่ใช่ดาวตลกอย่างดอน อดัมส์   เขาเติบโตมาจากพิํธีกรรายการวิทยุช่วงเช้า เป็นรายการสัมภาษณ์คนดัง  รายการของเขาถือเป็นยอดนิยมในยุค 1950s สมัยวิทยุยังมีอยู่ทุกบ้านช่องของชาวอเมริกัน เหมือนทรานซิสเตอร์มีในทุกครัวเรือนตจว.ของไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน
   ต่อมาบ๊อบ เครน ก็หันมาเอาดีทางการแสดง   ในที่สุดก็ได้เล่นบทนำใน Hogan's Heroes  แม้ว่าไม่มีมุกตลกอย่างดาวตลกอื่นๆ  แต่เขาก็ได้รับความสำเร็จอย่างมาก จนได้รับเสนอชื่อชิงรางวัลเอมมี่ถึง 2  ครั้ง
   ชื่อเสียงและเงินทองไหลมาเทมาระหว่างปี 1965-1971  ขณะหนังชุดนี้ออกอากาศ  จนกระทั่งจบชุดลงไป  ความสำเร็จของบ๊อบก็เริ่มเสื่อมถอย     ในปี  1975 เขาไปเล่นเป็นตัวนำใน The Bob Crane Show  แต่ล้มเหลว  เรตติ้งต่ำมาก  ออกอากาศได้ 13 ตอนก็ถูกถอดออกจากโปรแกรม
   จากนั้น บ๊อบ  เครนหันไปจัดรายการโชว์ประกอบดินเนอร์ในภัตตาคารดังๆ บ้าง  ออกทัวร์การแสดงทั่วประเทศบ้าง  จนถึงปี 1978   ชีวิตเขาก็ประสบชะตากรรมน่าสยดสยองกว่าดาราอื่นๆที่เล่ามาในกระทู้นี้  คือถูกฆ่าตายระหว่างพักในโรงแรม       ทางการจับตัวผู้ต้องสงสัยได้ แต่ศาลตัดสินให้พ้นข้อหาไป   ฆาตกรรมเรื่องนี้เป็นเรื่องลึกลับสางไม่ออกจนบัดนี้

  พฤติกรรมส่วนตัวของบ๊อบ เครนที่ถูกเปิดเผยในภายหลัง คือเขาเป็นโรคหมกมุ่นทางเพศอย่างรุนแรง (sex-addict) เป็นมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการเป็นดารา  แม้ว่ามีครอบครัวที่ดี มีภรรยาและลูกๆในวัยน่ารัก   ตัวเขาเองก็เป็นพ่อที่รักลูก และเอาใจใส่ลูกๆอย่างดี   แต่บ๊อบไม่สามารถจะหยุดยั้งพฤติกรรมคบสาวๆไม่ซ้ำหน้าได้   
  ภรรยาของบ๊อบทนพฤติกรรมของสามีอยู่นานหลายปีจนลูกๆเริ่มโต   เธอก็ขอหย่าขาดจากเขา   บ๊อบแต่งงานใหม่กับดาราสาวที่เคยเล่นเป็นตัวประกอบในหนังชุด Hogan's Hero  ชื่อ Sigrid Valdis
   
 

 แต่งงานกับ Sigrid Valdis  ผู้รับบท Helga ในหนังชุด

ดารานำคนที่สองของหนังชุดนี้คือ Werner Klemperer  รับบทพันเอกคลิ้งค์ ผู้บัญชาการค่ายเชลยที่ 13   เป็นนายทหารจอมซ่าส์ ที่โชว์ความงี่เง่าตลอด 6 ปีของหนังทีวีชุดนี้
เส้นทางดาราของเวอเนอร์ เคลมเปอเรอร์ผู้รับบทนี้ค่อนข้างแปลกกว่าดาราคนอื่น     เขาเกิดในเยอรมนี เป็นชาวยิวที่พ่อแม่พาอพยพมาอยู่ในอเมริกาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   จึงได้รับการศึกษาอย่างเด็กอเมริกัน   เมื่อปลดประจำการจากทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  เขาก็มุ่งเข้าสู่วงการบันเทิง   เนื่องจากมีเสียงบาริโทนที่ไพเราะมาก  ก็เลยเป็นนักร้องให้กับละครเวทีบรอดเวย์  จนหันเหมาสู่วงการทีวีในที่สุด

   เวอเนอร์รับบทเป็นดารารับเชิญในหนังทีวีหลายเรื่อง  หลากหลายรสชาติ ทั้งหนังสืบสวนสอบสวน  หนังลึกลับตื่นเต้น  หนังชีวิต    จนกระทั่งมารับบทนายทหารเยอรมันตัวตลกของเรื่อง
    บทนี้เป็นบทท้าทายฝีมืออย่างมาก เพราะทหารเยอรมันมักถูกนำเสนอในบทเหี้ยม และโหด     เวอเนอร์ตัดสินใจบอกคนเขียนบทให้เขียนตลกแบบสุดโต่งไปเลย   ไม่ให้ใกล้เคียงกับชีวิตจริง    ผลก็คือเขาประสบความสำเร็จอย่างล้มหลาม   ได้รับเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลเอมมี่ตลอด 6 ปีของหนังเรื่องนี้     คว้ารางวัลดาราชายยอดเยี่ยมทางทีวีไปได้ 2 ปีซ้อนคือ 1968-1969 
     

https://www.youtube.com/watch?v=C4XFyQPxjRY

    เมื่อ Hogan's Heroes จบชุดไปแล้ว    เวอเนอร์ก็เช่นกับดาราอื่นๆ ที่แยกย้ายกันไปคนละทาง   เขาไปเป็นดารารับเชิญในหนังทีวีเรื่องอื่นๆบ้างนิดหน่อย   
    เมื่ออายุมากขึ้น บทแสดงก็หายากขึ้น  เขาใช้พรสวรรค์ที่ติดตัวมาคือเสียงบาริโทน กลับไปเอาดีทางละครเพลงบรอดเวย์อีกครั้ง จนได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนี่ในปี 1987 เมื่ออายุ 57 เข้าไปแล้ว
    บั้นปลายชีวิตการแสดง เวอเนอร์ใช้เสียงเป็นหลัก มากกว่าเอาหน้าตาออกมาให้เห็น  ไปเป็นผู้บรรยายในหนังสำหรับเพลงออเคสตราบ้าง พากย์เสียงการ์ตูนบ้าง   เขาทำงานกิจกรรมให้สังคมด้วย จนได้รับเลือกเป็นหนึ่งในกรรมการของสหภาพนักแสดง Actors' Equity Association  และเลื่อนขึ้นเป็นรองประธานในบั้นปลายชีวิต
    เวอเนอร์พำนักอยู่ในนิวยอร์ค   เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อปี 2000  อายุ 80 ปี 

  ดาราคนที่สาม ผู้ซึ่งเป็นตัวชูรสของหนังชุดนี้ ไม่น้อยกว่าเวอเนอร์ คือ John Banner ผู้รับบทจ่าโช้ลซ์  หัวหน้ายามผู้ทำหน้าที่ควบคุมเชลยศึกในค่ายเชลยที่ 13
  จอห์น แบนเนอร์ตีบทแตก   ดึงบุคลิกภาพและนิสัยใจคอของจ่าออกมาได้แจ่มชัด   ไม่แพ้บทของผู้การคลิ้งค์     จ่าโช้ลซ์เป็นคนขี้ขลาดตาขาว    มีจุดอ่อนคือกลัวบกพร่องในหน้าที่การงาน     เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเชลยศึกทำอะไรลับๆล่อๆ หรือแม้แต่หลุดออกมาให้เห็น ว่าทำอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ในค่ายเชลย    จ่าแกก็จะทำไม่รู้ไม่เห็นท่าเดียว  ด้วยความกลัวว่าถ้าเรื่องแดงออกไป  ตัวเองจะโดนสอบสวน ถูกตำหนิได้ว่าควบคุมเชลยบกพร่อง จากนั้นก็จะถูกลงโทษ  ถูกสั่งย้ายหรืออย่างซวยก็ถูกส่งไปไซบีเรีย   ข้อหลังนี้ก็เป็นความกลัวของผู้การคลิ้งค์พอกัน
  คำพูดติดปากของจ่า ที่กลายมาเป็นคำขวัญประจำตัวในเรื่อง คือ "พ้มไม่เห็น   พ้มไม่ได้ยิน   พ้มไม่รู้อะไรทั้งนั้น" หรือบ่อยกว่านี้ คือ "ไม่รู้ๆๆๆ" แล้วเดินหนีไปเลย
  ด้วยหลักการ "ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน"   ค่ายเชลยจึงได้ชื่อว่าอยู่สงบเรียบร้อยไม่มีปัญหาใดๆ โผล่ออกมาให้เห็น    นึกแล้วก็ช่างเหมือนสังคมใหญ่ๆในประเทศสารขัณฑ์เสียจริง  

บทที่จอห์น แบนเนอร์ ตีแตกกระจุย
https://www.youtube.com/watch?v=OsXrpxo4uC0

    ชีวิตจริงของจอห์น แบนเนอร์ ตรงกันข้ามกับบทตลกในทีวี    เขาเกิดในครอบครัวยิวที่อาศัยอยู่ในกรุงเวียนนา ยุคนั้นคืออาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี     พอโตเป็นหนุ่มก็เข้าเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยเวียนนา แต่แทนที่จะยึดอาชีพนักกฎหมาย กลับเปลี่ยนใจอยากเป็นนักแสดง
     ในปี 1938  ขณะกำลังเดินทางไปกับกลุ่มนักแสดง เพื่อไปเปิดแสดงที่สวิตเซอร์แลนด์  กองทัพฮิตเลอร์บุกออสเตรีย   กวาดต้อนชาวยิวที่นั่นเข้าค่ายกันหมด   รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องของเขา    แบนเนอร์ลี้ภัยไปอเมริกาได้สำเร็จ  เขาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น  สมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพอากาศสหรัฐ    อยู่ประจำการจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2  ส่วนพ่อแม่พี่น้องถูกกวาดล้างสาบสูญไปในค่ายกักกันของนาซี
     เมื่อปลดจากประจำการ แบนเนอร์มุ่งหน้าเข้าสู่เวทีละครบรอดเวย์   ได้รับบทเล็กๆน้อยๆมาเรื่อยจนเข้าวงการหนังฮอลลีวู้ด    บทที่ได้รับเป็นประจำคือบททหารเยอรมัน หรือชาวเยอรมัน เพราะเขาพูดสำเนียงชัดเจนอย่างคนเยอรมัน   แบนเนอร์เกลียดบทนี้ แต่ไม่มีทางเลือก เพราะหมายถึงการเลี้ยงชีพ

สมัยหนุ่ม จอห์น แบนเนอร์ก็หล่อไม่เบาเหมือนกัน

   เส้นทางของแบนเนอร์ ไม่ได้มาทางตลก  เขาเล่นหนังดราม่า และบทหนักๆมาตลอด  ทั้งจอใหญ่จอเล็ก   ได้เป็นตัวประกอบรองๆมาเรื่อย     จนกระทั่งโชคชะตาเปลี่ยนหุ่นเขาจากหนุ่มหน้าคมคาย สูง 185 ซม. หนัก 81 กก.  มาเป็นความสูงเท่าเดิมแต่น้ำหนักเพิ่ม 40 กิโล เป็น 120 กิโล เมื่อเขาแต่งงานกับสาวฝรั่งเศสทำอาหารเก่ง  ผู้กลายมาเป็นภรรยาคนที่สอง   
   หุ่นตุ้ยนุ้ยนี่แหละนำเขาไปรับบทจ่าทหารนาซีจอมตลกที่ผู้สร้าง Hogan's Heroes คัดเลือกกันอยู่    พอได้รับบทก็ตีแตก จนดังเปรี้ยงขึ้นมา      ในที่สุดอดีตเด็กหนุ่มชาวยิวซึ่งเคยถูกกวาดล้างหมดทั้งครอบครัวด้วยอำนาจนาซีเยอรมัน  ก็กลายมาเป็นดาราดังในบทของทหารที่เคยสังหารครอบครัวเขาในชีวิตจริง
   หนังชุดนี้จบลงในปี 1971      จอห์น แบนเนอร์กลับไปตั้งรกรากในบ้านเดิมของเขาที่เวียนนา พร้อมกับภรรยาคนที่สาม     แต่อยู่ได้เพียง 2 ปี ก็ป่วยด้วยโรคเลือดออกในกระเพาะอาหาร  จนเสียชีวิตเมื่ออายุได้เพียง 63 ปี

เอาตัวอย่างเรื่องต่อไปมาให้ดูก่อนค่ะ

หนังตลกนาซีเรื่องก่อนเคยผ่านตาอยู่ จำหน้าตาตัวแสดงได้ แต่นึกชื่อไทยไม่ออก มาถึงเรื่องนี้ของคุณลุงโรเจอร์ มัวร์ เห็นหน้าก็นึกถึงชื่อ "สิงห์สำอาง" ลอยเด่นขึ้นมาเชียว

ชื่อ "ยอดเชลยศึก" หรือเปล่าคะ?  จำไม่แม่น
ส่วนคุณลุงเซอร์โรเจอร์ มัวร์ นั้น  ชื่อพากย์ไทยเหมาะกับตัวแกมาก  คือ สิงห์สำอาง   ชื่อหนังชุดในภาษาอังกฤษคือ The Saint  ค่ะ
ตอนเริ่มต้นเรื่อง จะต้องมีการเอ่ยชื่อพระเอก คือ Simon Templar  และมีวงรัศมีแบบนักบุญ หรือเทวดาของคริสต์ ลอยขึ้นมาเหนือหัว เป็นสัญลักษณ์

https://www.youtube.com/watch?v=lRlbmV39Zhw

   หนังทีวีเรื่อง  The Saint  ทำมาจากนิยายชื่อเดียวกันของนักเขียนลูกครึ่งจีน-อังกฤษ ชื่อ Leslie Charteris   มีอยู่หลายสิบเล่มด้วยกัน     เล่มแรกย้อนหลังไปถึงปี 1928  สมัยรัชกาลที่ 7 ของไทย    ชื่อ Meet the Tiger  ซึ่งมีตัวเอกคือ Simon Templar  หรือมีสมญาว่า  The Saint   เล่มที่สองชื่อ Enter the Saint (1930)  เขาปล่อยการผจญภัยของพระเอกเรื่อยมาจนถึงปี 1983 
   ไซมอน เทมปลาร์ พระเอกของนวนิยายชุดนี้ เป็นผู้ร้ายผู้ดี  ประเภทเดียวกับโรบิน ฮู้ด  คือปล้นคนรวยมาให้คนจน  แต่ขยายความไปมากกว่านั้น คือทำงานราชการลับให้รัฐบาลด้วย    ชื่อ ไซมอน เป็นภาษาฮีบรู มาจากพระคัมภีร์เก่า แบบเดียวกับชื่อ ปีเตอร์  แมรี่ เอลิซาเบธ หรือโจเซฟ  ที่เรามักจะเข้าใจผิดว่าเป็นชื่ออังกฤษ
  คำว่า ไซมอน แปลว่าผู้ฟัง หรือผู้ได้ยิน  ส่วนเทมปลาร์ มาจาก Knight Templar(s)  ซึ่งเป็นกลุ่มอัศวินสมัยยุคกลางของยุโรป  มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองชาวยุโรปที่เดินทางจาริกแสวงบุญไปยังเมืองเยรูซาเล็ม หรือสมัยนั้นเรียกว่านครศักดิ์สิทธิ์    เพราะตามเส้นทางมีผู้ร้ายชุกชุม  คอยปล้นฆ่านักเดินทาง   
   รวมความแล้ว  ไซมอน เทมปลาร์ ก็คือตัวแทนของอัศวินโบราณที่กำจัดคนพาล อภิบาลคนดี ตามแบบโรบินฮู้ด
   อักษรย่อชื่อและนามสกุล  ST  รวมกันก็คืออักษรย่อของคำว่า Saint ในภาษาอังกฤษ 
   

     หนังชุดเรื่องนี้ผลิตในอังกฤษ  ออกฉายทางITV ตั้งแต่ปี 1962 ถึง 1969  โรเจอร์ มัวร์ดารานำแสดงของเรื่อง ชอบบทประพันธ์เรื่องนี้มาแต่แรกแล้ว   ถึงขั้นคิดจะซื้อมาทำหนังเพื่อแสดงเอง     เมื่อพบว่่าทางผู้สร้างชาวอังกฤษซื้อไปก่อน แล้วกำหนดเขาแสดงเป็น "เดอะ เซนท์"   โรเจอร์ก็ดีใจมาก   ตกลงทันที   จากนั้นก็ทุ่มเทฝีมือเล่นบทนี้ ให้ไซมอน เทมปลาร์ มีชีวิตชีวาขึ้นมา   
     เขาทำได้สำเร็จ    The Saint ออกอากาศยาวนานถึง 7 ปี เรียกว่ายาวที่สุดในบรรดาหนังทีวีอังกฤษ  เพิ่งจะมาถูกแซงหน้าไปโดยหนังชุด The Avengers (ขวัญใจสายลับ)   ส่งชื่อเสียงโรเจอร์ มัวร์ดังเป็นพลุแตกในอังกฤษ แล้วข้ามมาดังในอเมริกา หลังจากเคยลองมาเล่นหนังในอเมริกาบ้างแล้วแต่ไม่ดังก่อนหน้านี้

  https://www.youtube.com/watch?v=3S65u5qK6dc

สิงห์สำอาง ยุคขาวดำ

https://www.youtube.com/watch?v=Ksu_MUvwicI

สิงห์สำอาง  ยุคทีวีสี

https://www.youtube.com/watch?v=HQhB8Jtu4PA

      พระเอกของหนังอังกฤษ ไม่ว่าหนังโรงหรือหนังทีวี มักจะมีแพทเทิร์นแบบสิงห์สำอาง   คือหล่อ มาดโก้ แต่งตัวเรียบร้อยสวมเสื้อนอกอยู่เสมอ    นอกจากนี้ไม่ว่าจะชกต่อยกับผู้ร้าย หรือห้อยโหนผจญภัยไล่ล่ากับเหล่าร้ายยังไงก็ตาม  เสื้อผ้าไม่เคยยับ  ผมไม่เคยยุ่ง  ยังหล่อเอี่ยมอ่องอยู่ยังไงก็ยังงั้น
     เจมส์ บอนด์ก็มาในมาดแบบนี้เหมือนกัน   จึงไ่ม่แปลกที่เมื่อหนังชุดสิงห์สำอางจบแล้ว    โรเจอร์ มัวร์ก็รับบทเจมส์ บอนด์ในจอเงินอยู่ถึง 6 เรื่อง

     https://www.youtube.com/watch?v=70T1lbjnb3I
 

     หนังชุดทางทีวีโดยมาก มีดาราประจำสองหรือสามคน เช่นพระเอก นางเอก และหัวหน้าพระเอก  หรือไม่ก็พระเอกและพระรอง    แต่ The Saint  มีโรเจอร์ มัวร์เป็นดารานำโดดๆอยู่คนเดียว    คนอื่นๆล้วนเปลี่ยนหน้ากันมาในแต่ละตอน  อาจจะซ้ำหน้าบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับประจำ       เรียกว่าโรเจอร์ มัวร์มีฝีมือพอจะ "เอาอยู่"    หนังชุดนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วยุโรป   และข้ามมาถึงอเมริกาด้วย
  
    ความจริง โรเจอร์ไม่ใช่คนหน้าใหม่สำหรับฮอลลีวู้ด   เขาเคยข้ามทะเลมาเล่นหนังใหญ่หลายเรื่อง  และหนังทีวีชุด Maverick ที่ฮิทนักหนาในหมู่คนดูทีวีทั่วอเมริกา     แต่ก็แปลกที่โรเจอร์ไม่เป็นที่เข้าตาคนอเมริกันมากเท่าไหร่   จนกระทั่งมาดังในหนังชุด สิงห์สำอาง  กลายเป็นดาราแถวหน้าของอังกฤษที่ยากจะหาใครทาบได้ในยุค 1960s-1970s
    ก่อนหน้า สิงห์สำอาง    โรเจอร์ มัวร์ซึ่งตอนนั้นเป็นหนุ่มหน้าใสวัย 21-22    ประสบความสำเร็จมาแล้วจากหนังชุดทางทีวีของอังกฤษ เรื่อง Ivanhoe     เรื่องนี้เข้ามาฉายในไทยเช่นกัน

https://www.youtube.com/watch?v=2oYPl3fC4Ao

    ไซมอน เทมปลาร์ในนิยายของเลสลี ชาร์เตอริส  มีบทบาทเป็นผู้ร้ายผู้ดี สไตล์โรบินฮู้ด  แต่พอมาทำเป็นหนังชุด   โรเจอร์ มัวร์เสนอภาพไซมอน เทมปลาร์เป็นหนุ่มเซเล็บ  ไม่ปรากฏว่าทำมาหากินอะไร แต่ว่ามีรถสปอร์ตหรู   พำนักในแฟลตชั้นดีของเศรษฐี     และป้วนเปี้ยนอยู่ในหมู่เศรษฐีและชาวไฮโซ ในฐานะคนดังที่คนเหล่านั้นอ้าแขนต้อนรับ    สิ่งที่คงไว้เหมือนในหนังสือคือ มีกิจกรรมให้ต้องเข้าไปพิชิตคนพาล อภิบาลคนดี อยู่ทุกตอน  เพราะฉะนั้นชื่อพากย์ไทยว่า "สิงห์สำอาง" น่าจะตรงเป๊ะ
   The Saint จบลงในปี 1969  โรเจอร์ มัวร์อำลาบทนี้ไปเล่นหนังใหญ่เป็นเจมส์ บอนด์แทนฌอน คอนเนอรี่ที่เกษียณตัวเองจากบทสายลับ 007     แต่ความฮิทของหนังชุด The Saint ทำให้มีการผลิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ชื่อ Return of the Saint  ดาราคนใหม่ที่มารับบทนำคือดาราชาวอังกฤษ ชื่อ Ian Ogilvy
แต่หนังเรื่องนี้ไม่ดังเท่าชุดแรก   ออกอากาศได้ปีเดียว คือ 1978-1979  รวม 24 ตอน ก็จบไป

https://www.youtube.com/watch?v=Fj3Ogsn5Vr4&index=4&list=PLMucQ800qBlqpIFUSzglBEzWjkRytpoTZ

https://www.youtube.com/watch?v=cSskjHoocFc&index=9&list=PLMucQ800qBlqpIFUSzglBEzWjkRytpoTZ

ในทศวรรษต่อมา   ปี 1987   The Saint ก็คืนชีพมาอีกครั้งในหนังสำหรับฉายทางทีวี  ชื่อ The Saint in Manhattan   คราวนี้สิงห์สำอางมาผจญภัยในนิวยอร์ค
ดารานำไม่ใช่สองคนก่อนหน้า   แต่เป็นดาราหนุ่มชาวออสเตรเลียชื่อ Andrew Clarke   หนังเรื่องนี้นำออกฉายทาง CBS เพื่อจะหยั่งดูว่าคนจะชอบมากจนควรจะทำเป็นเรื่องยาวหรือไม่  แต่คะแนนโหวตจากผู้ชมไม่เป็นที่น่าพอใจของผู้บริหารสถานี    เรื่องนี้ก็เลยมีแต่ตอนเดียวจบ

https://www.youtube.com/watch?v=d36U3LrmlBc

สองปีต่อมา   The Saint  กลับมาอีกครั้งในรูปของหนังสองชั่วโมง ฉายทางทีวี  มีอยู่ทั้งหมด 6 ตอนด้วยกัน
ดารานำเป็นสิงห์สำอางคนใหม่ ชื่อ Simon Dutton
ดูหน้าตาแล้วไม่ค่อยจะสำอางเท่าไหร่   น่าจะเล่นเป็นผู้ร้ายมากกว่าค่ะ
 

https://www.youtube.com/watch?v=xD0IG81nyP0

 ผ่านมาถึงปี 1997   The Saint ก็ถูกปัดฝุ่นเป็นหนังใหญ่อีกครั้ง   ไซมอน เทมปลาร์คราวนี้คือ Val Kilmer

ตัวอย่าง
https://www.youtube.com/watch?v=tFHfHsh38Xk&index=1&list=PL9095QLgg5ze1VlE62pXOaSzW7KnpXGBC

  สิงห์สำอางยังคงฮิทติดอันดับในศตวรรษที่ 21   ปีก่อนนี้เอง   เขายังเป็นพระเอกในหนังที่ผลิตขึ้นสำหรับฉายทางโทรทัศน์    คราวนี้พระเอกคือ Adam Rayner   
  ดาราเก่าที่รับบทไซมอน เทมปลาร์ทั้งโรเจอร์ มัวร์ และเอียน โอกิลวี่  มาปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ด้วยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=KLGne1kX6ms

  ในบรรดาสิงห์สำอางทั้งหมดนี้     สิงห์โรเจอร์ มัวร์เป็นคนที่ดังสุด   กลายเป็นตำนานของ The Saint จนทุกวันนี้   ดาราอื่นๆจะว่าไปก็หล่อ เล่นกันเต็มที่ แต่แฟนานุแฟนทั้งหลายต่างก็ยกโรเจอร์ มัวร์ขึ้นหิ้งเหนือกว่าใครเพื่อน
 
   มาเล่าถึงดาราของเราดีกว่าค่ะ
  เมื่อจบชุดจากสิงห์สำอางแล้ว    โรเจอร์ มัวร์ข้ามไปเล่นหนังชุดทางทีวีให้อเมริกา  ประกบคู่กับดาราดังของฮอลลีวู้ด ชื่อ โทนี่ เคอร์ติส     รายนี้เป็นหนุ่มอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนที่ดังในหนังใหญ่มาก่อน ตั้งแต่ยุค 60s ต้นๆ โดยเฉพาะหนังรักเบาสมอง 
   เรื่องนี้ชื่อ The Persuaders  เป็นเรื่องของเศรษฐีหนุ่มสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ดีเก่าอังกฤษ  อีกคนเป็นเศรษฐีอเมริกันที่สร้างตัวเองขึ้นมาจากเด็กสลัม    คบหาสมาคมเป็นคู่หูกัน และเดินทางไปโน่นมานี่ เพื่อปราบคนพาล อภิบาลคนดี (ตามฟอร์ม)
   เรื่องนี้ประสบความสำเร็จมากมายในอังกฤษและยุโรป  แต่ในอเมริกาไม่ค่อยเท่าไหร่ ค่ะ  ทำเพียง 24 ตอนก็จบ

https://www.youtube.com/watch?v=rhBKmc48exA

สามสิงห์สำอาง(สร้างในปี 2013 คือหนังเรื่องสุดท้ายในชีวิตของท่านเซอร์ Roger Moore)

    ขอบคุณค่ะคุณหมอ SILA   หนังเรื่องนี้น่าดูสำหรับแฟนสิงห์สำอาง เพราะรวม 3 สิงห์เข้าด้วยกัน  แต่ 2 ใน 3  พ้นวัยสำอางมาเยอะแล้ว

   ชีวิตของโรเจอร์ มัวร์ ก้าวมาถึงบันไดขั้นใหญ่สุด เมื่อปี 1973   เขาได้รับทาบทามให้รับบทพยัคฆ์ร้าย 007 เจมส์ บอนด์ที่ลือลั่นจากอังกฤษไปทั่วโลกรวมทั้งอเมริกาด้วย   
   ก่อนหน้านี้โรเจอร์ไม่ได้หวังว่าจะได้ เพราะฌอน คอนเนอรี่ผูกขาดบทนี้อยู่    เมื่อเขาประกาศถอนตัวจากบท  ผู้สร้างก็ไปคว้าดาราโนเนมชื่อจอร์จ ลาเซนบี มารับบทบอนด์แทน ในปี 1969   ผลคือคว่ำไม่เป็นท่า   ฌอน คอนเนอรี่กลับมารับบทบอนด์อีกครั้งในป 1971   โรเจอร์ก็ยิ่งแน่ใจว่าบทนี้สุดเอื้อมสำหรับเขา
  แต่ฌอน คอนเนอรี่กลับมารับบท 007 อีกครั้งเดียวก็ประกาศลาเด็ดขาด  คราวนี้ไปแล้วไปลับ ไม่กลับมาอย่างคราวก่อน     ส้มทองคำจึงมาหล่นที่โรเจอร์ มัวร์  ทั้งๆตอนนั้นเขาอายุ 46  เข้าไปแล้ว
  โรเจอร์ มัวร์จึงกลายมาเป็นเจมส์ บอนด์คนใหม่   ได้เล่นถึง 6 ตอนด้วยกัน   จนอายุ 58 จึงโบกมือลาบทนี้  เพราะกระดากว่าตัวเองอายุมากเกินกว่าจะเล่นเป็นพระเอกกับนางเอกสาวคราวลูกได้อีกแล้ว

     หลังจากจบชุดเจมส์ บอนด์  โรเจอร์ มัวร์ก็ห่างหายจากวงการไปประมาณ 5 ปี    ก่อนจะกลับมารับบทในหนังเรื่องอื่นๆอีกบ้าง แต่ไม่มากนัก   ในวัยเลย 60 ไปแล้ว   พระเอกของวงการแสดงมักจะอำลาจอไปตามๆกัน เพราะสังขารไม่ให้    โรเจอร์ยังโชคดีที่มีหนังให้เล่นอีกหลายเรื่อง   แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนดัง ยกเว้น The Cannonball Run (1981) ที่ประกบคู่กับพระเอกรูปหล่อในอดีตอย่าง Burt Reynolds และนางฟ้าคนสวย Farah Fawcette   
    เรื่องนี้ทำให้เขาประสบความสำเร็จในกลุ่มคนดูอเมริกันนอกเหนือจากในยุโรป

    https://www.youtube.com/watch?v=j2hGFN8NlLQ

  โรเจอร์ประสบปัญหาเรื่องเสียภาษีแพงมหาศาลในอังกฤษ จึงอพยพครอบครัวไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์  ในช่วงปลายชีวิต   เขาหันไปทำงานสาธารณกุศล เป็นทูตสันถวไมตรีให้ UNICEF  ตามรอยออเดรย์ เฮบเบิร์น
  โรเจอร์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธแห่งสหราชอาณาจักร   ในปี 1998 และต่อมาในปี  2003  สามารถใช้คำนำหน้าว่า Sir   
  เขาจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อปี 2017  อายุย่างเข้า 90 ปี 

บรรดาสิงห์สำอางเมื่อวันวาน

สิงห์(ที่ไม่ค่อย)สำอาง(อีกแล้ว) ในวันนี้

หนังชุดทางทีวี เรื่องต่อไป

The Avengers เป็นหนังชุดทางทีวีของอังกฤษ  แต่เป็นการร่วมมือสร้างระหว่าง ABC ของอเมริกาและ ITV ของอังกฤษ  มีชื่อพากย์ไทยว่า "ขวัญใจสายลับ"  
ช่วงที่เอามาฉายในไทย เป็นซีรี่ส์หลังๆที่ดังที่สุดของหนังชุดนี้     ที่จริงแล้ว ความเป็นมาของหนังเรื่องนี้ย้อนหลังกลับไปได้ถึงปี 1961  ยาวต่อเนื่องมาถึง 1969 จึงอำลาจอไป  แต่ก็ไปแล้วไม่ไปลับ ยังกลับมาอีกในทศวรรษถัดมา ช่วง 1976-1977

คำว่า avengers  ถ้าดูตามรูปศัพท์ มาจากคำว่า avenge   ซึ่งมีความหมายทำนองเดียวกับ revenge (แก้แค้น)
 vengeance (การแก้แค้น)  แต่ avenger ใช้ในความหมายของบุคคลที่ทำการตอบโต้เอาคืนให้กับความอยุติธรรมในสังคม    คือไม่ได้แก้แค้นใครคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ   แต่ว่าเอาคืนเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์หรือเหยื่อที่ถูกรังแก ถูกเอาเปรียบจากฝ่ายร้าย

The Avengers ในปีแรก   เป็นเรื่องสืบสวนสอบสวนของนักสืบสมัครเล่น  ไม่ใช่ตำรวจ   พระเอกของเรื่องเป็นนายแพทย์ชื่อเดวิด คีล  แสดงโดยดาราชาวอังกฤษชื่อ Ian Hendry   และมีดาราประกบตัวรองคือ Patrick McNee  รับบทจอห์น สตีด ซึ่งในเรื่องไม่ได้บอกว่ามีอาชีพอะไรกันแน่ แต่ว่ามาช่วยสืบสวนด้วย  
ดาราสองคนเล่นคล้ายๆเชอร์ล็อคโฮล์มส์กับหมอวัตสัน

  https://www.youtube.com/watch?v=_sREy-__qJc

ในตอนแรก  ผู้สร้างตั้งใจให้เฮนดรีเป็นดารานำ และแพทริค แม็คนีเป็นดารารอง  แต่เล่นไปๆ บทบาทของแพทริคก็กลับโดดเด่นขึ้นทุกที   ด้วยฝีมือของเขาด้วย    เมื่อจบปีแรก  เอียน เฮนดรีลาออกจากงานนี้เพื่อไปเล่นหนังจอเงิน   ผู้สร้างเห็นว่าเรตติ้งยังดี ไม่ควรจะจบเพราะดารานำลาออก   ก็เลยจับเอาพระรองขึ้นมาเป็นพระเอก   แพทริค แม็คนี้ในบทจอห์น สตีด ก็เลยแจ้งเกิดนับแต่นั้น
   ผู้สร้างหาดาราชายมาเล่นแทนเอียน เฮนดรี คราวนี้เป็นตัวรองจากจอห์น สตีด   แต่ไปได้ไม่ไกล ก็ต้องเปลี่ยนดารากันใหม่   จนกระทั่งไปได้ดาราสาวใหญ่สะสวยคนหนึ่งมาเล่นเป็นนางเอก ประกบคู่กับจอห์น สตีด   เธอชื่อ Honor Blackman

https://www.youtube.com/watch?v=3u-k1JYyzpc

  ออนเนอร์ แบล็คแมนในบทนักมานุษยวิทยาสาวชื่อ Cathy Gale  มาในมาดแปลกกว่านางเอกหนังชุดเรื่องอื่นๆ ทั้งก่อนหน้าและร่วมสมัย   ปกติดารานำฝ่ายหญิงมักถูกนำเสนอเป็นคนสวย  หวานหรือเซกซี่   มักตกอยู่ในอันตรายให้พระเอกบุกน้ำลุยไฟไปช่วยให้ทันเวลา      อาชีพก็มักจะเป็นผู้ยิ้งผู้หญิง เช่นเลขานุการ  นางแบบ นักร้อง ลูกสาวเศรษฐีไฮโซ
  แต่แคธี เกล เป็นแม่ม่ายซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในแอฟริกากับสามี  ต้องผจญภัยร้อยแปดทั้งกับสัตว์ป่าและมนุษย์ จนแข็งแกร่ง   ต่อมาสามีตายเธอก็กลับมาอยู่อังกฤษ  ร่ำเรียนต่อจนจบปริญญาเอกทางมานุษยวิทยา ก่อนจะมาทำงานเป็นเพื่อนร่วมงานกับจอห์น สตีด     แคธีถูกนำเสนอเป็นสาวนักสู้ เก่งทางศิลปะป้องกันตัว   ห้ำหั่นกับเหล่าร้ายได้ไม่เพลี่ยงพล้ำ  แต่ยังดูเซกซี่ในชุดหนังฟิตเปรี๊ยะทั้งตัว
  ลักษณะเหล่านี้ไม่มีมาก่อนในหมู่นางเอกหนังทีวี    ทำให้ตอนแรก  คนในวงการก็พากันคิดว่าจะไปไม่รอด  เพราะุถ้าผู้หญิงเก่งเสียแล้ว พระเอกจะเหลือจ๊อบอะไรให้ทำ  แต่เอาเข้าจริง   ออนเนอร์ แบล็คแมนซึ่งเคยเล่นหนังทีวีมาแล้วหลายเรื่อง ก็แสดงบทผู้หญิงเท่ มีสง่าและเก่งรอบตัว   ทำให้คนดูประทับใจกับเธอได้มากมาย   กลายเป็นต้นแบบของสาวเก่ง   ที่ไม่ซ้ำแบบใคร
 ผลคือ  The Avengers  เดินตามรอย สร้างนางเอกเก่งไปจนกระทั่งจบชุด  มีดาราสาวคนใหม่มาแทนแม้ว่าคนแรกอำลาจอไปแล้วก็ตาม

https://www.youtube.com/watch?v=diL0xi477e0&t=220s

   ออนเนอร์เข้ามารับบทเคธี เกล ใน "ขวัญใจสายลับ" ปีที่ 2  จนถึงปีที่ 3  คนดูตอบรับกันล้นหลาม  เป็นเหตุให้ชื่อเสียงเธอพุ่งดังเป็นพลุ    ผู้สร้างหนังเจมส์บอนด์ตอนใหม่จึงทาบทามเธอไปเล่นหนังคู่กับฌอน คอนเนอรี่     ออนเนอร์ก็เลยอำลาหนังชุดนี้ไปเมื่อจบปีที่ 3   เพื่อไปรับบทที่ดังกว่าในจอเงิน
   ในเมื่อบทสาวนักสู้เป็นที่นิยมของคนดูอย่างมาก      ผู้สร้างหนังชุดขวัญใจสายลับจึงต้องแสวงหาขวัญใจคนใหม่มารับบทคู่หูของจอห์น สตีด     ไม่ให้ขาดตอนได้
   ขวัญใจคนนี้ถูกตั้งชื่อว่า เอมม่า พีล  ปูพื้นเรื่องว่าเธอเป็นลูกสาวเศรษฐีเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ชื่อเซอร์จอห์น ไนท์   เธอแต่งงานกับนักบินหนุ่มชื่อปีเตอร์ พีล  วันหนึ่งเขาขับเครื่องบินส่วนตัวไปแถวป่าอเมซอน แล้วเครื่องบินตก หายสาบสูญไป    เอมม่าเป็นสาวสวย เก่ง ฉลาด  เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้แบบเดียวกับเคธี เกล  ทั้งๆไม่ใช่สายลับอาชีพ  เธอก็อาสาเข้ามาทำงานเป็นคู่หูของจอห์น สตีด
   ดาราสาวชาวอังกฤษคนแรกที่ผู้สร้างเลือกมารับบทเอมม่า พีล ชื่อ เอลิซาเบธ เชพเพิร์ด  สวยเฉียบขาดเอาการอยู่เหมือนกัน

  ปัญหาเกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด  คือเมื่อถ่ายทำตอนแรกเสร็จเรียบร้อย  เอามาฉายกันดูในหมู่ผู้บริหารและทีมงาน  ก็พบว่า เอลิซาเบธ เชพเพิร์ด ไม่เหมาะกับบทเอมม่า พีล       ขืนเอาออกอากาศ สงสัยหนังจะไปไม่รอด     
  ผู้กำกับจึงต้องวิ่งพล่าน  หาตัวดาราใหม่มารับบทเอมม่า พีล   ส่วนหนังตอนที่เอลิซาเบธเล่นก็ม้วนเสื่อ โยนทิ้งไป 

    ผู้สร้างได้ดาราสาวหน้าใหม่ ชื่อไดอาน่า ริกก์  เธอเติบโตมาจากอาชีพนักแสดงละครเวทีในสังกัดของ  the Royal Shakespeare Company มาก่อน ที่จะสมัครเข้ามารับบทในหนังชุดนี้
    ตอนนั้นไดอาน่ายังใหม่อยู่มากสำหรับวงการจอแก้ว     แต่พอเล่นบทเอมม่า พีล  ด้วยความสาว สวย หุ่นนางแบบ และมีลีลาลูกเล่นเฉพาะตัว  เธอก็ดังเปรี้ยงยิ่งกว่าดาราสาวคนเก่าเสียอีก
    ทั้งๆตอนแรกๆของหนังชุด เธอยังไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าออกแบบพิเศษให้ตัวเอง  ยังต้องแต่งชุดหนังรัดรูปเลียนแบบแคธี เกล    ไดอาน่าก็สร้างเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาจนได้  จนกลายเป็นไอคอนของคนดูทีวีอังกฤษและประเทศอื่นๆในยุโรป ในช่วง 1960s

ตอนแรกของคุณนายพีล

https://www.youtube.com/watch?v=v4g3zvz8fgo

   ตัวแสดงเอกในเรื่อง แพทริค แม็กนี เปลี่ยนลุคจากนักสืบแต่งตัวธรรมดาสามัญในตอนปีแรก  มาเป็นตัวแทนสุภาพบุรุษผู้ดีอังกฤษ ด้วยชุดสูทสีดำแบบคลาสสิค สวมหมวกโบว์เลอร์  ถือร่ม(ซึ่งตอนหลังเพ่ิ่มเป็นอาวุธดาบของสายลับ)  ทั้งที่ในความเป็นจริง ในยุค 1960 กลางๆ ก็ไม่มีคนอังกฤษที่ไหนแต่งแบบนี้กันแล้ว    แต่มันก็เพิ่มสีสัน เป็นเอกลักษณ์ของจอห์น สตีด ได้มาก
   ฝีมือของแพทริค แม็กนี พิสูจน์ได้ว่าเขาเล่นได้เด่นพอจะไม่ถูกข่มโดยตัวนางเอกที่ดังมากๆอย่างเคธี เกล และเอมม่า พีล    ยังสามารถเล่นเข้าคู่กันได้เหมาะเจาะ    ชุดผู้ดีอังกฤษของเขาก็ตัดกันฉับเป็นตรงกันข้ามกับแฟชั่นของไดอาน่า ริกก์ ที่ผู้สร้างไปหาปิแอร์ การ์แดงมาช่วยออกแบบให้ในปีต่อๆมาที่เธอโด่งดัง   แทนที่จะเป็นชุดหนังสีดำรัดรูปตามแบบของเคธี เกล (อย่างที่ไดอาน่าเกลียดมาก) ก็กลายเป็นแฟชั่นสวยเปรี้ยวเฉี่ยวเท่ ในสไตล์ของเอมม่า พีล โดยเฉพาะ
  แฟชั่นของนางเอกเรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญให้เอมม่า พีลดังระเบิด   ดังชนิดที่ หนังชุดนี้ข้ามไปฉายในช่วงเวลาเรียกเรตติ้งของโทรทัศน์ในอเมริกา

     ส่วนไดอาน่า ริกก์นั้น กลายเป็นไอดอลของยุค 1960s  ไม่เฉพาะแต่ในอังกฤษ  ในอเมริกาเธอก็ดังระเบิดจากบทสายลับสาวสวยไฮโซอังกฤษ แต่นำแฟชั่นเหมือนนางแบบฝรั่งเศส   เล่นบทบู๊และมีลูกเล่นขี้เล่นอย่างสาวเจ้าเสน่ห์ได้ไม่มีใครเท่า   

แฟชั่นยุค 1965s  ที่ปิแอร์ การ์แดงออกแบบให้ไดอาน่า ริกก์

ดูมาดนางเอกในเรื่องนี้บ้าง   บทนี้ละค่ะที่ส่งไดอาน่า ริกก์ให้ดังไปสองฟากฝั่งแอตแลนติค

https://www.youtube.com/watch?v=2wN3McOihHs

จอห์น สตีด กับเอมม่า พีล

https://www.youtube.com/watch?v=o-GmH8eFJFU&t=31s

  ในช่วงที่ The Avengers โด่งดังถึงที่สุด ในปี 1968   ไดอาน่า ริกก์ ก็ลาออกจากบทดารานำ  ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่ผู้สร้างไม่อาจรั้งเธอเอาไว้ได้    เช่น เธอไม่มีความสุขกับการแสดง   เข้ากับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆยกเว้นแพทริค แม็กนีพระเอกของเรื่องก็ไม่ได้  และที่สำคัญคือค่าตัวของเธอถูกกดต่ำกว่าช่างกล้องเสียอีก    ข้อหลังนี่น่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย   แม้ว่าผู้สร้างยอมขึ้นค่าตัวให้ 3 เท่า แต่ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว
   ไดอาน่าเจอล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 รออยู่เมื่อมีการทาบทามจากผู้สร้างหนังเจมส์ บอนด์ตอนใหม่ คือ  On Her Majesty's Secret Service  ให้ไปเล่นเป็นนางเอกของบอนด์    ไดอาน่าก็ตกลงอำลาจากจอแก้วไปดังทางจอเงิน แบบเดียวกับดาราสาวรุ่นพี่ ออนเนอร์ แบล็คแมน เดินไปก่อนแล้ว

  ข้างล่างนี้คือฉากสุดท้ายของ "ขวัญใจสายลับ" ตอน Forget-Me-Knot   เอมม่า พีล ลาจาก
  (ในเรื่องปูพื้นเรื่องว่า  ปีเตอร์ พีล สามีของเธอ ที่มีข่าวว่าเครื่องบินตกในป่าอเมซอน  กลับรอดชีวิตอยู่ในป่าถึง 3 ปี กว่าจะมีผู้พบและพากลับมาอังกฤษได้    เอมม่า พีลก็เลยต้องอำลางานสายลับกลับไปทำหน้าที่ภรรยา)
   พร้อมกันนั้น   ผู้สร้างก็หาดาราสาวคนใหม่ ชื่อ Linda Thorson มารับบท Tara King  สายลับสาวคู่หูคนใหม่ของจอห์น สตีด  ฉากที่สายลับสาวทั้งสองสวนกันที่บันไดแฟลตของสตีด เป็นฉากโดดเด่นฉากหนึ่งของหนังชุดนี้)
    https://www.youtube.com/watch?v=lt_BCLtLZfw
  

  ไดอาน่ากับจอร์จ ลาเซนบี  เจมส์ บอนด์คนใหม่ที่ผู้สร้างหามาแทนฌอน คอนเนอรี่    ในหนัง On Her Majesty's Secret Service   เธอเล่นเป็นเทรซี่  หญิงสาวคนเดียวที่บอนด์หลงรักจนได้เข้าสู่ประตูวิวาห์กัน   แต่เทรซี่ได้เป็นมิสซิสเจมส์ บอนด์อยู่ไม่กี่นาที  เธอก็ถูกยิงตายด้วยฝีมือวายร้ายคู่ปรับของบอนด์ เมื่อออกจากโบสถ์หลังพิธีวิวาห์
  จอร์จ ลาเซนบีได้เล่นอยู่ตอนเดียวแล้วเงียบหายไปเลย   เพราะแฟนบอนด์ทั่วโลกไม่นิยม

ร่วมด้วยช่วยแสดง

Forget-Me-Knot

ขอบคุณค่ะคุณเพ็ญชมพู
เวลาเข้าไปแก้ไขกระทู้   มันจะทำให้คลิปหายไป เหลือแต่ลิ้งค์    ขอบคุณที่มาช่วยเติมให้ค่ะ
ขอบคุณคุณหมอ SILA เช่นกันค่ะ
ขอเล่าเกร็ดเพ่ิ่มเติมว่า ในการถ่ายทำ  บทบาทของเอมม่า พีลหายไปเฉยๆ   มีทารา คิงสวมเข้ามาแทนที่  แต่ภายหลังไดอาน่าตกลงกลับมาแสดงฉากสั้นๆเล่าถึงการอำลาของเธอ   ฉากนี้ก็เลยแทรกเข้าไปในตอน Forget-Me-Knot  ชื่อเรื่องอาจมองได้ว่า มีนัยยะกล่าวถึงคำลาของเอมม่า พีล ก็เป็นได้
ฉากที่เอมม่า พีลก้าวขึ้นรถที่สามีมารอรับอยู่  จอห์น สตีดแหวกม่านมอง มีสีหน้าบอกความประหลาดใจ เมื่อเห็นสามีของเอมม่า    ฉากนี้ ผู้เขียนบทต้องการเล่นมุกว่า ปีเตอร์ พีล สามีของเอมม่ามีรูปร่างหน้าตาเหมือนสตีดเป๊ะ  สวมชุดผู้ดีอังกฤษแบบเดียวกัน  ขับรถเปิดประทุนเหมือนกัน   
เบื้องหลัง  ผู้กำกับกำหนดให้บทปีเตอร์ พีลที่เห็นแต่ด้านหลังและด้านข้าง แสดงโดยสตั๊นท์แมนของแพทริค แม็คนี  เพื่อเพิ่มความแนบเนียนสมบท

    ขวัญใจสายลับคนใหม่ ทารา  คิง แสดงโดยดาราสาววัย 20 ชื่อ Linda Thorson  ที่ได้รับคัดเลือกเพราะเป็นแฟนสาวของผู้กำกับคนใหม่ที่เข้ามารับงานในช่วงนี้    
    ถึงแม้ทาราเป็นสาวสวยวัยกำลังเบ่งบานเต็มที่  คนเขียนบทก็พยายามจะส่งบทให้เด่นในแบบไม่ซ้ำกับเอมม่า พีล  ให้แต่งตัวเริ่ดในแบบต่างๆ    เพิ่มบทรักกุ๊กกิ๊กระหว่างจอห์น สตีดกับทารา คิงออกมาชัดๆ  ไม่ใช่เป็นแค่เพื่อนกันอย่างสตีดกับทารา คิง     แต่ฝีมือของลินดา ธอร์สันไม่อาจเทียบไดอาน่าได้อยู่ดี  
    นอกจากนี้  บทบาทแฟนระหว่างลินดากับแพทริค แมคนีก็ดูขัดๆ  เพราะแพทริคอายุปาเข้าไป 47 แล้ว ส่วนลินดาเพิ่งจะ 20  เป็นพ่อลูกกันได้สบาย

เทียบกัน  ไดอาน่า ริกก์ดูมีสไตล์ และเข้ากับแพทริคได้ดีกว่าลินดา

https://www.youtube.com/watch?v=kteSc4d2M7k

  เรตติ้งของ ขวัญใจสายลับ ในอังกฤษและประเทศอื่นๆในยุโรปยังนำลิ่วอยู่  แต่ในอเมริกา แป้กไม่เป็นท่า    ทาร่า คิงเล่นได้ปีเดียว 33 ตอน หนังชุดนี้ก็ม้วนเสื่อไปหลังจากยืนยงมาได้ 8 ปีเต็ม

   ดาราแยกกันไปทางใครทางมัน แต่ยังอยู่ในวงการมายาทั้ง 3 คน    แพทริค แม็คนีได้รับสัญชาติพลเมืองอเมริกันตั้งแต่ปี 1959  เขาพาครอบครัวย้ายไปตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่ในคาลิฟอร์เนีย   ได้เล่นหนังดังอื่นๆอีกหลายเรื่อง แต่ในบทรองๆ    รวมทั้งหนังเจมส์ บอนด์ที่โรเจอร์ มัวร์นำแสดง ใน A View to a Kill ปี 1985   
   เขาเล่นทั้งหนังอังกฤษและอเมริกา  รวมทั้งเล่นบทเชอร์ล็อค โฮล์มส์ และหมอวัตสันคู่หูของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ด้วย    นอกจากนี้ยังรับเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาหลายตัวด้วยกัน    เรียกว่ามีงานไม่ขาดมือ  จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี 2015  อายุยืนยาวถึง 93 ปี
 

 ส่วนไดอาน่า ริกก์ ยังดังไม่เลิกจากบทเอมม่า พีล   นอกจากได้เล่นหนังใหญ่ๆหลายเรื่องของอักกฤษแล้ว ในปี 1973  เธอยังข้ามไปดังในอเมริกา  ได้รับบทนำในหนังชุดทางทีวี เป็นซิทคอม หรือหนังชุดเบาสมองชื่อ Diana   
 ในเรื่องนี้เธอรับบทเป็นแม่ม่ายสาวสวย ดีไซเนอร์ชาวอังกฤษผู้ข้ามจากบ้านเกิดไปแสวงหาชีวิตใหม่ในนิวยอร์ค  มีนักแสดงร่วมมาเสริมบทตลกอีกหลายคน    NBC ต้องการสร้างหนังชุดที่มีผู้หญิงเป็นตัวนำเดี่ยวๆ ไม่ต้องอาศัยพระเอก แข่งกับ The Mary Tyler Moore ที่กำลังดังทะลุจออยู่ในปีเดียวกัน

  มาดูไตเติ้ลกันนะคะ

    https://www.youtube.com/watch?v=XDoOwJqJwe8

  ยกมาให้ดูทั้งตอน
https://www.youtube.com/watch?v=OM5ZInmw2wQ&t=161s
   

  น่าเสียดายที่หนังชุดนี้ถูกจัดเวลาให้ชนกับหนังชุดดังคลาสสิคอย่าง Gunsmoke และหนังดาวรุ่งที่พุ่งแรงอย่าง The Rookies    จึงออกอากาศได้ปีเดียว ก็ถูกถอดจากโปรแกรมในปี 1974   
  ไดอาน่ากลับไปเล่นละครเวทีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งในบรอดเวย์และในอังกฤษ   ได้รางวัลโทนี่ในฐานะผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากละครคลาสสิคเรื่อง Medea  ที่ดัดแปลงจากวรรณคดีกรีก    เธอสร้างชื่อเสียงมาเรื่อยๆในยุค 1980s จนถึงขึ้นศตวรรษใหม่   ผลงานที่คนไทยอาจรู้จักดีก็คือบทของ Lady Olenna Tyrell ในหนังชุดอิงประวัติศาสตร์เรื่องดังของอังกฤษ  Game of Thrones

   ไดอาน่า ริกก์ได้รับเกียรติยศสูงสุดคนหนึ่งในแวดวงดาราหญิงของอังกฤษจากฝีมือการแสดงของเธอ คือได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Commander of the Order of the British Empire ในปี 1988 และ a Dame Commander of the Order of the British Empire ในปี  1994   สามารถใช้คำนำหน้าว่า Dame  เทียบเท่ากับคุณหญิงของไทย
   ปีนี้อายุ 80 แล้วค่ะ

ไดอาน่า วันวานและวันนี้

นอกจากเจมส์ บอนด์รุ่นตอนเดียวจบแล้ว, ไดอะน่า ยังเคยมาเยือนบ้านเราบนจอเงินให้หายคิดถึง
ด้วยหนังจากนิยายสืบสวนของ Agatha Christie เรื่อง  Evil Under the Sun(1982)

เป็นแฟนของซีรี่ส์ Game of Thrones ค่ะ เลยรู้จักไดอาน่า ริกก์ที่เล่นเป็นท่านย่าโอเลนน่า บทนี้อยู่ในซีรี่ส์ 5 ซีซั่น เป็นบทที่เด่นมากบทหนึ่ง

โดยเฉพาะฉากสุดท้ายของโอเลนน่า ทำให้เกิดบทพูดยอดฮิตอีกที่แฟนๆ จำได้เป็นอย่างดี Tell Cersei, I want her to know it was me.

   https://www.youtube.com/watch?v=90Yk9K3XKTA

   อยากให้สมาชิกเรือนไทยได้ดูหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ไดอาน่าเล่นในวัยสาว เมื่อค.ศ. 1969  หลังจากออกไปจาก "ขวัญใจสายลับ" ใหม่ๆ
    เรื่องนี้เคยมาฉายในไทย  ชื่อThe Assassination Bureau  ทำจากนิยายของแจ๊ค ลอนดอน   เป็นหนังตลกร้าย (black comedy) สไตล์อังกฤษที่เข้าท่าน่าดูทีเดียว
      ดาราที่เล่นนำ คือ โอลิเวอร์ รี้ด ดาราดังคนหนึ่งของอังกฤษ เขามักจะเล่นเป็นตัวร้าย แต่เรื่องนี้มาในมาดพระเอก  หล่อจนจำแทบไม่ได้ว่าเคยเป็นผู้ร้ายในหนังเรื่องอื่นมาก่อน   เทลลี่ ซาวาลาส (ต่อมาดังในบทนักสืบโคแจ๊ค)มาในบทผู้ร้าย   ส่วนไดอาน่าเล่นเป็นนักข่าวสาวมั่นในยุคช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เธอเล่นไว้ฝีมือไม่แพ้บทเอมม่า พีล

    https://www.youtube.com/watch?v=8zEBIs9tSOY

ส่งท้ายด้วยบทของเอมม่า พีล อีกครั้ง สำหรับคนที่เกิดไม่ทันเห็นความสวยและฝีมือแสดงของคุณย่าไดอาน่า

https://www.youtube.com/watch?v=Qv3wW8i5Mgs

   ขอเล่าถึงทารา คิง สาวคนใหม่ของสตีดบ้าง
   ลินดา ธอร์สันดาราหน้าใหม่ในวงการ เป็นชาวแคเนเดียนโดยกำเนิด แต่ว่ามาศึกษาด้านศิลปการละครที่อังกฤษ  เมื่ออายุ 20  เธอก้าวกระโดดเข้ามาวัดรอยเท้าเอมม่า พีล  แต่ผลคือวัดไม่สำเร็จ  ทั้งคนดูและนักวิจารณ์ลงความเห็นว่าเธอยังอ่อนหัดเกินกว่าจะทาบไดอาน่า ริกก์ติด    เมื่อ"ขวัญใจสายลับ" จบลงในปีต่อมา  ลินดาก็ต้องถอยกลับไปในวงการละครเวที ตามที่เธอร่ำเรียนมาแต่แรก
  โชคไม่เข้าข้างลินดาเท่าไหร่ในวัยสาว  ทั้งๆสวยสะดุดตาไม่น้อยหน้าใคร  เธอก็ได้แต่รับบทตัวประกอบหรือตัวรองๆในหนังใหญ่และหนังทีวีของอังกฤษมาเรื่อย    จนอายุล่วงเข้า 30 กว่า  ลินดาตัดสินใจย้ายจากอังกฤษไปเล่นละครบรอดเวย์ที่อเมริกา  คราวนี้ประสบความสำเร็จ ได้รางวัล  Theatre World Award for her fine performance in "Steaming" in 1982  จากนั้นอาชีพก็ค่อยกระเตื้องขึ้น  ได้เล่นหนังจอเงินแต่เป็นหนังเกรด บี ของฮอลลีวู้ดหลายเรื่องด้วยกัน
  พอเข้าสู่วัยกลางคน ที่ต้องอาศัยฝีมือมากกว่าความสวย   ลินดาได้เล่นเป็นดาราประจำในหนังชุดทางทีวี และอุปรากรสบู่    ได้รางวัล Drama Logue Award จากเรื่อง "Money and Friends" ในวัย 45 ปี
   ปีนี้ลินดาอายุ 71 ก็ยังอยู่ในวงการ  เมื่อปี 2014  ยังเล่นหนังรักเบาๆของ Hallmark อยู่มีเว็บไซต์ให้เข้าไปดูได้ค่ะ ถ้าใครติดใจอยากรู้ข่าวคราวเธอ

http://www.lindathorson.com/
   
    ภาพข้างล่างนี้ถ่ายคู่กับแพทริค แม็คนี  หลังจากขวัญใจสายลับจบไปหลายสิบปีแล้ว
 

ลินดา ธอร์สัน วันวานและวันนี้

เรื่องต่อไป  Land of the Giants    เมืองคนยักษ์

https://www.youtube.com/watch?v=aDuNvZw8Gr4

  หนังทีวีชุดนี้เคยมาฉายในไทย น่าจะทางช่อง 4  บางขุนพรหม      แต่ไม่ค่อยจะดังนัก    สู้อีกเรื่องที่มีแนวคล้ายคลึงกันไม่ได้ คือ Lost in Space   เรื่องนี้ก็เลยออกฉายแค่ 2 ปีจาก 1968  ถึง  1970 มีทั้งหมด 51 ตอน
   เนื้อหาของเรื่อง อยู่ในอนาคตไกลจากปี 1968 ไป 15 ปี คือ 1983   ยุคนี้มียานอวกาศบินกันให้ขวักไขว่ในอเมริกา ราวกับเครื่องบินพาณิชย์     ยานอวกาศลำหนึ่งบินออกจากลอสแองเจลิสไปลอนดอน  แต่ระหว่างทางเผชิญกับพายุแม่เหล็กในอวกาศ ทำให้ถูกดูดผ่านมิติไปหล่นลงบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ซึ่งในเรื่องไม่ได้ระบุชื่อ
  ดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้มีผู้คนอาศัยอยู่เหมือนโลก    การแต่งกายรูปร่างหน้าตาก็เหมือนชาวโลกทุกอย่าง  แม้แต่ถนนหนทางและเครื่องใช้ก็เหมือนในอเมริกาดีๆนี่เอง   แตกต่างกันอย่างเดียวคือขนาดของชาวบ้านบนดาวเคราะห์นี้ มีขนาด 12 เท่าของมนุษย์
  ตลอด 51 ตอน   กลุ่มชาวโลกที่มีอยู่ด้วยกัน 7 คนพยายามจะซ่อมยานอวกาศและหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ เพื่อกลับบ้านตัวเอง  แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จ  มีอุปสรรคขวางกั้น ทำให้พวกเขาต้องผจญภัยไม่รู้จบ
   

ให้ดูทั้งตอนค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=Ehdq76-8WME

เรื่องนี้เป็นหนังสำหรับเด็ก มากกว่าผู้ใหญ่   ในยุคที่ยังไม่มี CG  การตัดต่อภาพยนตร์ให้ของเล็กเป็นของใหญ่ ใช้มุมกล้องให้คนตัวธรรมดากลายเป็นตัวใหญ่ เป็นเทคนิคพิเศษที่ลงทุนมากกว่าหนังอื่นๆ 
 รวมทั้งอุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่ต้องสร้างเป็นพิเศษเข้าฉากให้ผู้แสดงกลายเป็นตัวเล็ก  เช่นกล้องถ่ายรูปขนาดยักษ์  กล่องพัสดุขนาดยักษ์ ของกินของใช้ขนาดยักษ์ ล้วนแต่เปลืองงบประมาณมหาศาล
 เนื้อเรื่องซ้ำๆกันคือเน้นการผจญภัยของตัวแสดงทั้งเจ็ด ที่ต้องเอาตัวรอดจากคนยักษ์ที่ตามจับพวกเขาให้ได้     แต่พวกเขาก็หนีออกจากเมืองคนยักษ์ไม่สำเร็จสักที    กี่ตอนๆก็ซ้ำกันอยู่อย่างนั้น
ในที่สุดเมื่อออกอากาศได้ 2 ปีก็จบเรื่อง โดยไม่มีตอนจบ  ว่าพระเอกนางเอกเหล่านี้หาทางกลับบ้านได้ยังไงแบบไหน  กลายเป็นว่ายังติดค้างอยู่ในเมืองคนยักษ์จนแล้วจนรอด

https://www.youtube.com/watch?v=AGcWc9b-TWE

  หนังชุดเรื่องนี้มีดาราประจำถึง 7 คน  ประกอบด้วยกัปตันผู้ควบคุมยาวอวกาศ นักบินผู้ช่วยและแอร์โฮสเตสสาว  รวมแล้ว 3 คน    ผู้โดยสารอีก 3 คน คือสาวสวย  เด็กชาย และนักธุรกิจหนุ่ม     คนสุดท้ายคือโจรปล้นธนาคารที่แอบขึ้นมาซ่อนในยาวอวกาศ  สร้างความยุ่งยากให้การผจญภัยในแต่ละตอนหนักเข้าไปอีก

   Gary Conway  พระเอกของเรื่องเป็นนักแสดงหน้าคมมาดเข้มที่หน้าไม่ใหม่นัก   ก่อนหน้านี้เขารับบทนักสืบหนุ่มผู้ช่วยพระเอกใน Burke's Law จนพอจะคุ้นหน้าตาผู้ชมทางบ้านอยู่มาก     มาถึงเรื่องนี้จึงได้รับบทนำเต็มตัวเป็นครั้งแรก
   เมื่อหนังชุดนี้จบลง   แกรี่ก็เช่นเดียวกับดาราอื่นๆในเรื่อง คือไปรับบทเป็นดารารับเชิญในหนังทีวีเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง แต่ไม่ได้เป็นดารานำในเรื่องไหนอีก     สิ่งพิเศษที่เขามีแต่คนอื่นๆในวงการไม่ค่อยมีกัน คือฝีมือทางด้านสถาปัตยกรรมและก่อสร้าง     แกรี่รับงานเป็นสถาปนิกนอกเหนือจากอาชีพการแสดงที่หาความมั่นคงใดๆไม่ได้     
   เมื่ออายุมากขึ้น เขาก็ถอยไปทำงานอยู่หลังฉาก เป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ เรื่องดังๆหลายเรื่อง อย่าง American Ninja    นอกจากนี้ยังไปทำธุรกิจการเกษตรเป็นเจ้าของไร่องุ่นในคาลิฟอร์เนีย   เรียกว่าประสบผลสำเร็จหลายอาชีพเชียวละค่ะ
   ปีนี้แกรี่อายุ 82 ยังแข็งแรงดี
   

ดาราประจำ 3 คน  กัปตัน นักบินผู้ช่วยและแอร์

เสิชไปเจอบ้านของแกรี่ ประกาศขาย  ใครสนใจจะซื้อบ้างคะ
คิดเป็นเงินไทย 98 ล้าน  ใครมีเหลือกินเหลือใช้จะซื้อไว้อยู่ตอนวีคเอนด์ก็ได้

ดาราประจำคนต่อมาคือ Don Marshall  เป็นหนุ่มผิวสีที่หล่อไม่แพ้เดนเซิล วอชิงตันในยุค 2000

  ในยุค 1960s  กลิ่นอายของการเหยียดผิวยังมีควันกรุ่นๆอยู่ในสังคมอเมริกัน  รวมทั้งวงการมายา   ถึงขั้นที่ว่าจะไม่มีรายการไหนมีดารานำเป็นคนผิวสี   ก่อนหน้านี้เข้มงวดถึงขั้นดารานักร้องผิวสีทั้งหลายจะโชว์ตัวเดี่ยวไม่ได้เป็นอันขาด   เป็นได้แต่ตัวประกอบดาราผิวขาวเท่านั้น
   ดังนั้น  ดาราผิวสีที่แสดงประจำในหนังชุดทางทีวี จึงมีน้อยมาก   ใครลอดตะแกรงไปได้ถือว่าต้องยกนิ้วให้  ในยุคเดียวกันดอน มาร์แชล มีเพียงอีก 2 เรื่องคือ Star Trek  และ Mission Impossible ที่มีดาราประจำเป็นคนผิวสี   แต่ทั้งสองเรื่อง  ดาราก็ต้องเป็นตัวรองอยู่ดี  ไม่ใช่พระเอกนางเอก
    หลังจากเรื่องนี้จบไปแล้ว   ดอน มาร์แชลไปเล่นหนังทางทีวีเป็นดารารับเชิญไปเรื่อยๆ จนถึงวัยเกษียณ  เขาตั้งบริษัทรับทำโฆษณาและสารคดี   ชื่อ DJM Productions  และรับเป็นที่ปรึกษาให้ผู้ที่เจอปัญหาการแบ่งแยกผิว จนได้รางวัล Outstanding Achievement in his field as a Black Achiever in the United States

   ดอน ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2016 นี้เอง   อายุ 80 ปี

บทหนึ่งที่ดอน มาร์แชลเล่นไว้ดีมากๆ คือในหนังชุดเรื่องคลาสสิค  Little House on the Prairie  เป็นนายแพทย์หนุ่มที่ถูกส่งมาประจำในเมือง  และถูกรังเกียจเพราะเป็นคนผิวดำ  จนเขาสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเป็นบุคลากรมีคุณค่า

ดาราคนต่อไป นางเอกของเรื่องนี้

สาวผมแดง หุ่นเซกซี่คนนี้ชื่อ Deanna Lund  เป็นดาวดวงเล็กที่ผู้สร้างและผู้กำกับของหนังชุดนี้ดันขึ้นมาเป็นนางเอกเป็นครั้งแรก   เพราะเธอสวยสะดุดตาตามแบบสาวทรงเสน่ห์ในยุค 1960s 
ก่อนหน้านี้  ดีนนาเคยเล่นเป็นตัวประกอบหนังวัยรุ่นประเภท beach party  คือฉากวนเวียนอยู่กับกิจกรรมบันเทิงชายหาดของวัยรุ่นยุค baby boomers
คำนี้หมายถึงยุคสมัยของเด็กอเมริกันที่เกิดในยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2    พอมาถึงทศวรรษ 1960  กลางๆ เด็กพวกนี้ก็โตเป็นหนุ่มสาววัยรุ่น   กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่ของวงการบันเทิงทั้งหนังโรงและทีวี
หนังบีช ปาร์ตี้คือระดมสาวๆมานุ่งบิกินี เดิน วิ่ง เต้นรำ กันอยู่ริมทะเล      ดีนนามีหุ่นเหมาะจะนุ่งบิกินีมาก ก็เลยได้เล่น ผู้กำกับก็เลยดึงเธอมาเป็นสีสันของหนังชุดเมืองคนยักษ์

ดีนนาเล่นเป็นผู้โดยสาร ลูกสาวเศรษฐีแสนเปรี้ยวที่เอาแต่ใจ  และเป็นตัวก่อความยุ่งยากหลายๆอย่างให้ผู้ร่วมชะตากรรม เมื่อตกไปสู่เมืองคนยักษ์    บทนี้เปิดโอกาสให้เธอได้แต่งชุดเซกซี่ ดึงดูดสายตาได้หลายชุด   ถูกใจแฟนทีวีหนุ่มๆเป็นอันมาก
เธอก็เลยดังจากบทนางเอกเรื่องนี้    ในตอนต่อๆมาเธอก็กลายมาเป็นหวานใจของกัปตันหนุ่มพระเอกของเรื่อง   แต่ในชีวิตจริง เธอแต่งงานกับพระรองของเรื่อง

  ดีนนาก็เช่นกับดาวดวงเล็กดวงอื่นๆ  เมื่อจบหนังชุดนี้แล้ว ก็ไปเป็นดารารับเชิญในหนังทางทีวีเสียส่วนใหญ่  เล่นหนังโรงก็เป็นหนังเกรด B   จนในที่สุดได้เล่นประจำเป็นตัวรองๆ ในอุปรากรสบู่ เรื่อง  General Hospital   
  ฝีมือพิเศษของเธอคือเขียนหนังสือ   เธอเขียนนิยายขนาดสั้นขึ้นมาเล่มหนึ่ง ชื่อ Valerie in Giantland มีตัวเอกคือวาเลอรี่ บทที่เธอเล่นในหนังเมืองคนยักษ์  แต่เป็นเหตุการณ์หลังจากนั้นอีก 10 ปี ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

   ดีนนาอยู่มาจนอายุ 81  เพิ่งจากไปในปี 2018 นี้เองด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน

 ในเรื่องเมืองคนยักษ์มีผู้โดยสารเด็กอยู่คนหนึ่ง    ผู้เขียนบทใส่เข้ามา  เพื่อทำให้เรื่องนี้มีตัวละครหลากหลาย   สมเป็นหนังครอบครัว
เด็กคนที่ว่านี้ เป็นชาวแคเนเดียน ที่ข้ามมาเป็นนักแสดงรุ่นจิ๋วในวงการทีวี  เล่นเป็นดารารับเชิญหรือตัวประกอบในหนังทีวีหลายเรื่อง  ก่อนมารับบทประจำที่ Land of the Giants
  หนุ่มน้อยวัย 13 คนนี้ชื่อ Stefan Arngrim

  ชะตาของดาราเด็กในฮอลลีวู้ดส่วนใหญ่คล้ายๆกัน คือถ้าดังตั้งแต่เล็ก พอพ้นวัยน่ารักน่าเอ็นดูแล้วก็จะหายไปจากวงการ    เนื่องจากโตขึ้นมาแล้วไม่น่ารักเท่าตอนเด็กๆ
  บางคนฉลาดพอจะเก็บค่าตัวไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดีๆ ออกจากวงการไป  บางคนก็เสียผู้เสียคนติดยาเมื่อเข้าวัยรุ่น    บางคนก็ผันตัวเองไปอยู่หลังฉาก     บางคนก็เปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น
  สเตฟานเป็นหนึ่งในจำนวนหลังสุด   คือเล่นหนังบ้างเป็นตัวประกอบ แต่เปลี่ยนอาชีพหลักไปเป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลง     มีครอบครัว อพยพกลับไปตั้งถิ่นฐานที่แคนาดา
  ตอนนี้อายุ 62  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแก่โทรมได้ขนาดนี้  ราวกับคนติดยา

 ส่วนนักแสดงอีก 3 คนในเรื่อง   คนหนึ่งอำลาวงการเมื่อแต่งงาน  ไปใช้ชีวิตแม่บ้านดูแลครอบครัว   อีกสองคนถึงแก่กรรมไปแล้ว    จึงไม่ขอเล่ารายละเอียดค่ะ
 ดาราในชุดนี้กลับมารวมตัวในโอกาสพิเศษ เป็นระยะๆ

เมื่อเข้าวัยชรากันทุกคนแล้ว

เรื่องต่อไป  เคยเล่าไว้แล้วในกระทู้เก่า แต่จะมาเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยในกระทู้นี้ค่ะ

Beverly Hills Billies  ชื่อไทยคือ กลอยใจจอมเปิ่น  ค่ะ   
คำว่ากลอย น่าจะเป็นคำไทยที่สาบสูญไปนานแล้ว  รอยอินให้ความหมายว่า  คล้อย, ร่วม, เช่น กลอยใจ กลอยสวาท.
หนังทีวีชุดนี้เป็นชุดยอดฮิทอีกชุดของทศวรรษ 1960s  ยาวถึง 9 ปี  ตั้งแต่ 1962 ถึง 1971  ดาราที่เล่นไม่ใช่ดาราดังมาแต่แรก ล้วนเคยเล่นเป็นตัวรองๆหรือตัวประกอบในหนังใหญ่บ้าง หนังทีวีบ้าง มาก่อน  บางคนก็หน้าใหม่  แต่พอมาจับกลุ่มกันเข้า มีมุกตลกถูกใจคนดู   ก็เลยดังระเบิดยาวนาน

ผู้สร้างปูพื้นเรื่องว่ามีครอบครัวบ้านนอกจนๆอยู่ครอบครัวหนึ่ง อาศัยอยู่รัฐไหนไม่ระบุชัดเจนนัก แต่เอาเป็นว่าบ้านนอกสุดๆ มีศัพท์เรียกพวกหลังเขานี้ว่า hillbillies   ประกอบด้วยพ่อม่ายวัยกลางคน มีลูกสาวสวยแต่ออกห้าวๆ แบบดาวเรืองคนหนึ่ง    ถูกเลี้ยงดูโดยยาย แทนแม่ซึ่งตายไปตั้งแต่ก่อนเปิดเรื่อง    กับหลานชายไอ้หนุ่มบ้านนอกปัญญาอ่อนหน่อยๆอีกคนหนึ่ง
ทุกคนอยู่กันมาลำบากยากจน จนกระทั่งบริษัทน้ำมันค้นพบว่าที่ดินหลังเขาแห่งนี้มีบ่อน้ำมันมหาศาล    เมื่อทำสัญญา ครอบครัวนี้ก็กลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาในพริบตา    จึงย้ายจากถิ่นเดิมมาอยู่ที่บีเวอร์ลี ฮิลล์ ซึ่งดาราฮอลลีวู้ดและเซเลบเขาอยู่กัน   แต่ก็ยังแต่งกายแบบเดิม ทำอะไรเชยๆอย่างเดิม ตรงข้ามกับเพื่อนบ้านที่ล้วนแต่ไฮโซ
ความเด๋อด๋าไร้เดียงสาแต่ไม่โง่ของครอบครัวนี้ ผูกใจคนดูอยู่ได้ถึง 9 ปี

ชอบเพลงตอนต้นเรื่อง ฟังดูเด๋อด๋าดี  ;D

https://www.youtube.com/watch?v=OvE9zJgm8OY

เสียงเครื่องดนตรีที่ได้ยิน คือแบนโจ ค่ะ 
แบนโจใช้ดีดคล้ายๆกีตาร์ แต่เล็กกว่า และตัวเครื่องเป็นทรงกลม    แบนโจนิยมใช้ประกอบเพลงคันทรีของอเมริกา
ขึ้นเสียงมาละก็รู้ ว่าลูกทุ่งเมกันมาแล้ว

มาฟังเพลงจากแบนโจกัน

https://www.youtube.com/watch?v=GXcRI0BdioE

เอามาให้ดูสักตอนค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=TqgOTLfBxDE

  ดารานำที่เป็นตัวแม่เหล็กของหนังชุดนี้ ทำให้หนังยืนยงอยู่ได้ถึง 9 ปี และตัวเธอเองก็คว้ารางวัลเอมมี่ไปจากเรื่องนี้ คือ Irene Ryan  ผู้รับบท Granny  หรือ "ยาย" ในเรื่อง
  ย่าบ้านนอกจอมเฮ้ว และจอมกวน ชนะใจคนดูมาตั้งแต่เริ่มแรก     แม้ว่านักวิจารณ์ประณามเรื่องนี้ไม่มีชิ้นดีว่าปัญญาอ่อนกันทั้งเรื่อง  แต่ก็หาทำให้คุณย่าสะทกสะท้านไม่   เธอก็เล่นตามแบบของเธอจนชนะใจชาวบ้านอย่างขาวสะอาด
  ไอรีน ไรอันเติบโตมาจากบทตลกเล็กๆ ในละคร  ตอนสาวๆเธอก็เป็นสาวหน้าตาไม่เลวนัก แต่จะให้เป็นนางเอกก็ยังไม่ถึงขั้น   เธอมีฝีมือหลายอย่างทั้งร้องเพลงเต้นรำและพูดได้หลายสำเนียง ก็เลยได้รับบทตลกหญิงเล็กๆ ในการแสดงสลับฉากบนเวทีละคร  (ของไทยเราเรียกว่าตลกหน้าม่าน)  ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง  ต่อมาเมื่อตลกหน้าม่านเสื่อมความนิยมลง  เธอก็หันไปทางเล่นละครวิทยุจนโด่งดัง
  เมื่อทีวีจอแก้วเข้าสู่ประชาชนได้ทุกบ้านทุกช่อง แม้ว่าศักดิ์ศรียังน้อยกว่าหนังโรงใหญ่     ไอรีนในวัย 60  ได้รับคัดเลือกมาเล่นบท "ยาย"  เธอประสบความสำเร็จสูงสุดในเรื่องนี้    เธอเล่นเป็นยายแก่ได้สมบทบาททั้งๆในชีวิตจริง เธอแก่กว่าบัดดี้ เอบเสนผู้เล่นเป็นลูกเขยเพียง 6 ปี เท่านั้นเอง
  ไอรีนกลายเป็นเศรษฐีนี จากการลงทุนและเก็บออมเงินจากการแสดงมาตลอดชีวิต   เมื่อหนังชุดนี้จบลงเธอกลับไปสู่วงการละครอีกครั้ง   น่าเสียดาย ยังไม่ทันไร  หนังจบไปเพียง 2 ปี  เธอก็ถึงแก่กรรมกะทันหันด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองตีบ  อายุเพียง 70 ปี

มาถึงดารานำของหนังชุดนี้  Buddy Ebsen
นักแสดงคนนี้ก้าวขึ้นทำเนียบดาราดัง เพราะฝีมือล้วนๆ   ไม่เหมือนดาราชายดังๆที่หน้าตานำมาก่อนอื่น    คนดูมักนึกไม่ถึงว่าผู้ชายหน้าตาเชยๆคนนี้ เข้ามาสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นแด๊นเซอร์   เพราะพ่อเขาเป็นเจ้าของสตูดิโอเต้นรำ  ลูกๆจึงได้ฝึกฝีเท้าตั้งแต่เล็ก
ที่จริงบัดดี้ตั้งใจจะเป็นแพทย์ แต่หันเหมาเป็นนักแสดงแทน  หลังจากปลดประจำการจากทหารเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจบลง      ในตอนแรกก็ได้รับบทรองๆในหนังใหญ่ เป็นเพื่อนพระเอกบ้าง เป็นสามีเก่านางเอกบ้าง   ฝีมือเล่นเขาไปเข้าตานายห้างใหญ่ของค่่ายเมโทรเจ้าของโลโก้สิงโตคำราม ซึ่งถือว่าใหญ่สุดในยุคนั้น   ขอเซ็นสัญญาถึง 7 ปีโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องอยู่ในความควบคุมทุกอย่างของค่าย   เช่นจะให้เล่นหนังอะไร  บทไหน  จะให้ยืมหรือไม่ให้ยืมตัวไปค่ายอื่น  ทุกอย่างแล้วแต่นายจ้างหมด  แลกกับการเป็นดารามีสังกัด
บัดดี้ปฏิเสธ    นายห้างโกรธมาก    เขาก็เลยถูกลอยแพอยู่ถึง 20 ปี  จนกระทั่งผู้กำกับในสังกัดวอลท์ ดิสนีย์ตัดสินใจเลือกเขามารับบทจอมพราน แดเนียล บูนในหนังทีวี    ถ้าได้เล่นก็ถือว่าแจ้งเกิด เพราะหนังวอลท์ ดิสนีย์ดังสุดในคนดูกลุ่มครอบครัว
แต่วอล์ท ดิสนีย์เกิดไม่ถูกใจหน้าตาของบัดนี้ ว่าหล่อไม่พอ    เขาจึงเลือกเฟส ปาร์คเกอร์ ดาราหนุ่มร่างใหญ่หน้าตาหล่อเหลามารับบทแดเนียล บูน แทน    แต่ดวงของบัดดี้ยังไม่ตกถึงศูนย์  ดิสนีย์ให้เขารับบทเพื่อนคู่หูของเฟส ปาร์คเกอร์  มีงานทำตลอดที่หนังทีวีชุดนี้ฉายอยู่
หนังชุดแดเนียล บูนสร้างชีวิตใหม่ให้บัดดี้ เอบเสน   เพราะผู้กำกับหนังชุดเรื่องใหม่ เห็นแววเขาว่ามารับบทตาแก่เด๋อๆ เซ๋อๆ ในหนัง Beverly Hillbillies ที่กำลังเลือกดาราอยู่    จึงยื่นข้อเสนอไป   บัดดี้ก็รับบทนี้
จากนั้นเขาก็กลายเป็นดาราใหญ่ทางจอแก้ว  ตลอด 9 ปีของหนังตลกอมตะเรื่องนี้

เล่นเป็นคู่หูพระเอกในหนัง แดเนียล บูน

เฟส ปาร์คเกอร์หล่อกว่าเยอะ

ย้อนความหลัง ฉากบัดดี้เต้นรำกับยอดดาราเด็ก เชอร์ลี่ เทมเปิ้ล

https://www.youtube.com/watch?v=At45Av5RcyQ

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2  ฮอลลีวู้ดมักจะมีหนังประเภท "เพลงไพเราะ ระบำงามตา" ถูกรสนิยมคนดู  ในหนังพวกนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีฉากเพลงและเต้นรำแทรกอยู่

บัดดี้ เอบเสนเล่นหนังแบบนี้มาหลายเรื่อง

https://www.youtube.com/watch?v=AU6iD191yEE

เมื่อมาเล่นหนังทีวี กลอยใจจอมเปิ่น    บัดดี้ก็เอาฝีมือ(หรือฝีเท้า) มาโชว์ด้วยในเรื่อง
ตอนรับบทนำในเรื่อง  เขาอายุ 54 เข้าไปแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=6iN4tPC6p80

มาโชว์ลีลาอีกหนเมื่ออายุ 70

https://www.youtube.com/watch?v=G2cc9g8DMFU

มาดูบทบาทของบัดดี้ในเรื่องกลอยใจจอมเปิ่น

https://www.youtube.com/watch?v=WPfQ-RtIkTk

      ฝีมือของบัดดี้ ในกลอยใจจอมเปิ่นส่งให้เขาได้เป็นดารานำในหนังทีวีเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่งเมื่อเรื่องแรกจบลง  คือ หนังุชุดเรื่อง Barnaby  Jones    นับว่าเป็นดาราน้อยคนนักที่ได้แสดงในหนังชุดเรื่องที่สอง   ส่วนใหญ่เล่นหนังชุดเดียวก็ไปเป็นดารารับเชิญเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่อยไป   หรือไม่บางคนก็เปลี่ยนอาชีพ หรืออำลาวงการไปเลย  เพราะคนดูติดกับภาพลักษณ์เดิม  จนเจ้าตัวเองหาบทใหม่ไม่ได้
      ฝีมืออย่างบัดดี้เจนจัดพอจะได้รับบทใหม่เป็นนักสืบชรา อดีตนักสืบเอกชนที่เกษียณแล้ว แต่หวนกลับมาสู่เวที เพื่อสืบสวนฆาตกรรมที่ลูกชายเขาตกเป็นเหยื่อ   แล้วจากนั้นก็ต้องดำเนินกิจการบริษัทนักสืบของลูกชายต่อไป
      เรื่องนี้ประสบผลสำเร็จ ออกอากาศยาวนานถึง 7  ปีครึ่ง จาก 1973 ถึง 1980    ตอนเริ่มเล่นเรื่องนี้  บัดดี้อายุ 65 เข้าไปแล้ว  เป็นดาราในจำนวนน้อยเข้าไปอีกที่ได้แสดงนำในหนังชุด ในวัยที่คนอื่นเขาเกษียณกันหมดแล้ว

    บั้นปลายชีวิต บัดดี้หันมาเขียนนิยายอีกหลายเล่ม   หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นเบสต์เซลเลอร์ ชื่อ Kelly's Quest   เขามีอายุยืนยาวถึง 95 ปีจึงถึงแก่กรรมด้วยโรคระบบการหายใจล้มเหลว เมื่อปี 2003

คนต่อไป

เธอผู้นี้ชื่อ  Donna Douglas  เป็นน้องนางบ้านนามาจากรัฐหลุยเซียนา   แต่ไม่ใช่สาวนาสั่งแฟนธรรมดา  มีดีกรีนางงามสองเวทีติดตัวมาด้วย  ก่อนจะมาแสวงหาชื่อเสียงในฐานะนางแบบโฆษณาที่มหานครนิวยอร์ค
เธอได้งานโฆษณาเป็นนางแบบยาสีฟัน และโฆษณาอื่นๆอีกนิดหน่อย  แมวมองเห็นเข้าจึงชวนมาเข้าวงการมายา
ดอนน่าได้เล่นบทเป็นตัวประกอบนิดๆหน่อยๆในหนัง   และต่อมาก็ในวงการทีวี   เป็นบทประเภทต้องใช้ความสวยเป็นพื้นฐาน     
เรื่องหนึ่งที่เธอได้เล่น คือ The Twilight Zone  หนังชุดยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งในยุค 1960s  ชื่อตอน Eye of the Beholder  เป็นหนึ่งในสิบของตอนดังที่สุดของหนังชุดนี้
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับคนไข้สาวคนหนึ่ง ซึ่งหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ น่าเกลียดจนหมอต้องศัลยกรรมใหม่ท้ังหน้า    แต่พยายามเท่าไร ก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น   ผ่าตัดแล้วหมอก็ยอมรับอย่างท้อใจว่า เธอยังคงเหมือนเดิม  จำจะต้องส่งไปอยู่ในนิคมของพวกหน้าตาน่าเกลียดแบบเดียวกัน
แต่พอเปิดหน้าขึ้นมา  คนดูก็ได้รู้ว่า ไอ้ที่เรียกว่าสวย หรือน่าเกลียด นั้น  แล้วแต่ตาคนมองแท้ๆ 

  https://www.youtube.com/watch?v=Puo82y6MsBQ

  ดอนน่าวงเวียนอยู่ในวงการมายามาจนอายุ 30  ก็ผ่านการคัดเลือกจากคู่แข่งถึง 500 คน เข้ามารับบท เอลลี่ เมย์ สาวนามาดห้าวของเรื่อง Beverly Hillbillies
  แม้ว่าอายุถึง 30 แล้ว   ดอนน่าก็ยังสวยใสเหมือนอายุสัก 18    เธออยู่กับบทนำเรื่องนี้มา 9 ปี  ประสบความสำเร็จอย่างสูง    ผู้กำกับมักจะแทรกบทให้เธอได้แต่งชุดว่ายน้ำ หรือชุดอะไรสวยๆรัดรูป  โชว์คนดูอยู่ประจำ   ทำให้เธอกลายเป็นขวัญใจหนุ่มๆทั้งอเมริกา

https://www.youtube.com/watch?v=nhFqeBdjF7M

ฉากสวมชุดว่ายน้ำของเอลลี่ เมย์ โชว์ในเรื่องบ่อย

https://www.youtube.com/watch?v=nvTKwuAhzh4

ในช่วงพีคของอาชีพการแสดง  ช่วง Beverly Hillbillies ยังออกอากาศอยู่   ดอนน่าก้าวสูงขึ้นไปอีกระดับ   ได้เล่นคู่กับเอลวิส เพรสลีย์ ในเรื่อง Frankie and Johnny  ปี 1966

https://www.youtube.com/watch?v=MVqm4n4ibdc

  เมื่อ Beverly Hillbillies จบลงในปี 1971   ดอนน่าอายุ 39  ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปในอีกทิศทาง    ก่อนหน้านี้เธอเป็นแฟนกับผู้กำกับหนังชุดนี้  แต่งงานกันในปี 1971   ในเมื่อมีครอบครัว    เธอก็อำลาวงการ  สอบได้ใบอนุญาตเป็นเซลของอสังหาริมทรัพย์   พาลูกค้าตระเวนดูบ้านงามๆแถวบีเวอร์ลี่ฮิลล์ที่ต้องการซื้อ   แต่อาชีพนี้เธอไม่ชอบนัก ก็เลยทำอยู่ได้ไม่กี่ปี 
  หลังจากหย่ากับสามีในปี 1980     ดอนน่าในวัย 48 หันไปหางานใหม่คือเป็นนักร้องเพลงสวดในโบสถ์   เธอเป็นคนมีศรัทธาแรงกล้าในศาสนาอยู่แล้ว จึงอยู่กับงานนี้มาได้อีกหลายสิบปี   ส่วนงานแสดงเป็นอันจบกัน  เหลือเพียงเล็กๆน้อยๆ  รับเชิญไปออกรายการบ้าง รับแสดงในตอนพิเศษของหนังชุดนี้บ้าง  ไปแจกลายเซ็นให้แฟนๆในงานพบปะแฟนคลับบ้าง
  เมื่อเข้าสู่วัย 60+ ดอนน่ามีอาชีพใหม่คือเขียนหนังสือสำหรับเด็ก บนพื้นฐานคำสอนในคริสตศาสนา และตำราทำอาหาร    เธอกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด  ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2015  ด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน  อายุ 82 ปี

คนต่อไป  Max Baer

  หนุ่มในภาพข้างบนชื่อ Max Baer  เป็นดารานำคนที่สี่และคนสุดท้ายใน Beverly Hillbillies
  เส้นทางดาราของแมกซ์ ไม่ต่างจากคนอื่นๆที่เล่นหนังชุดทางทีวี  คือเป็นนักแสดงประกอบในหนังใหญ่บ้าง หนังจอแก้วบ้างมาก่อน    เขาเป็นหนุ่มหล่อล่ำแบบบ้านๆ เหมาะจะเล่นหนังคาวบอยหรือหนังนักสืบ  ก็เลยได้เป็นตัวแสดงในหนังชุดประเภทนี้มาหลายเรื่องก่อนจะมาสมัครรับคัดเลือก  แล้วสอบผ่าน
  บทที่เขาได้คือบทพี่น้องฝาแฝดชายหญิง  เจโทรและเจทรีน โบดีน หลานชายของเจด แคลมเป็ทท์ที่รับบทโดยบัดดี้ เอบเสน     ก่อนหน้านี้ แมกซ์เล่นบทเรียบๆมาก่อน เป็นผู้ช่วยพระเอกบ้างเป็นตัวร้ายบ้าง  เพิ่งมีหนังเรื่องนี้ที่เขาต้องรับบทหนุ่มปัญญานิ่มชื่อเจโทร  เท่านั้นยังไม่พอ ต้องรับบทน้องสาวฝาแฝดร่างยักษ์ที่หาคู่ไม่ได้ของเจโทรด้วย

มาดูตัวอย่างนะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=LHhvPm2pbek&t=66s

แมกซ์ ในมาดดารา (เรื่องอื่น)

ตัวอย่างบทเจโทร ที่ส่งให้แมกซ์ แบร์ ดังขึ้นมา

https://www.youtube.com/watch?v=-M1C4BaW2DQ

   การได้แสดงประจำในหนังทีวี ถือเป็นโชคของดารา  เพราะหมายถึงงานประจำ มีรายได้สม่ำเสมอ ไม่ต้องวิ่งหางานเป็นตัวแสดงในเรื่องโน้นเรื่องนี้   ซึ่งอาจจะนานๆเข้ามาที     ยิ่งถ้าหนังทีวีที่แสดงเกิดดัง ถ่ายทำยาวนานเป็นปีๆ ก็ยิ่งทำให้ได้ทั้งเงินและกล่องเป็นกอบเป็นกำ    
    แต่มองอีกนัยหนึ่งมันเป็น " ทุกขลาภ" เพราะยิ่งประสบความสำเร็จคนดูจำได้ติดตา   พอหนังทีวีจบชุดลงไป    ดาราคนนั้นจะหางานทำได้ยาก  เพราะไปรับบทอื่นไม่สำเร็จ  ผู้กำกับและคนดูไม่ยอมรับ   เท่ากับอนาคตดับวูบ  อย่างดีก็ได้เล่นเป็นตัวประกอบนิดๆหน่อย แต่หนทางจะก้าวไปสู่ดาราใหญ่นั้นไม่มีทาง
   กรรมข้อนี้ของดาราเรียกว่า typecast  คือ "ติดภาพลักษณ์เดิม"
   แมกซ์เล่นเป็นหนุ่มเซ่อซ่าปัญญานิ่มชื่อเจโทรได้ประสบผลสำเร็จดีมาตลอด 9 ปี    พอหนัง Beverly Hillbillies จบ   เขาพบว่าจะไปรับบทดีๆ เล่นเป็นคนมีสติปัญญาปกติไม่ได้เลย    ทั้งผู้กำกับและคนดูเห็นหน้าแมกซ์ทีไรเป็นต้องนึกออกแต่ภาพหน้าเจโทรเด๋อด๋าขึ้นมาแทน  เขาก็เลยพลาดบทดีๆไปหมด
    หลังจากพบว่าได้แต่บทตัวประกอบในหนังทีวีไม่กี่เรื่อง  ไม่ดัง และไปไม่สวย    แมกซฺตัดสินใจผันตัวมาอยู่หลังกล้อง  ตั้งบริษัทหนังเล็กๆ ทำหนังราคาถูกออกมาฉาย   บวกกับทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปด้วย   ปรากฏว่างานไปได้ดีทั้งสองทาง   แมกซ์ก็เลยหันมาเขียนบทหนังเพิ่มขึ้นอีก  
  

   ถึงกระนั้นแมกซ์ก็พบว่าเขาสลัดภาพลักษณ์จากหนังชุดไม่หลุดจนแล้วจนรอด    จึงเกิดไอเดียใหม่   เปลี่ยนใจเป็นเซ็นสัญญาขอลิขสิทธิ์ในภาพตัวแสดงของหนัง Beverly Hillbillies  มาทำเป็นภาพประกอบตู้สล็อตแมชชีนที่เขาออกแบบเป็นสินค้าของตัวเอง
   จากนั้นเขาก็ผันไปตัวเองไปทำธุรกิจคาสิโนในลาสเวกัส    วางแผนจะสร้างคฤหาสน์เลียนแบบในหนัง และหาองค์ประกอบแบบในหนังมาทำเป็นโรงแรมและบ่อนการพนันให้ลูกค้าเข้ามาพัก    แต่มีปัญหากับ CBS ก็เลยยังไม่รู้ว่าเลิกโครงการไปหรือยัง   
   รู้แต่ว่าปัจจุบัน แมกซ์อายุ 81    อำลาอาชีพการแสดงไปตลอดกาล 
   เขาเป็นดาราใน Beverly Hillbillies คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่   ดารานำอีก 3 คนและดาราประกอบอีก 2 คน จากไปกันหมดแล้ว

  ภาพข้างล่างนี้แมกซ์ถ่ายกับดอนน่า ซึ่งยังรักษามิตรภาพกันมาด้วยดีตลอดชีวิต   เช่นเดียวกับมิตรภาพที่ทั้งสองมีต่อบัดดี้ เอบเสน 

เรื่องต่อไป  ฉายทางทีวีอยู่ 4  ปี ระหว่าง 1964-1968

Voyage at the Bottom of the Sea!
อิอิ  จำได้ค่ะ

 ใช่ค่ะ   "ผจญภัยใต้ทะเลลึก"
ทบทวนภาพแห่งความหลังกันหน่อย

https://www.youtube.com/watch?v=QXJM0eVrGbY

  ก่อนจะมาเป็นหนังชุดทางทีวีในปี 1964   "ผจญภัยได้ทะเลลึก" เคยเป็นหนังโรงมาก่อน ในปี 1961  ในชื่อเดียวกัน และผู้สร้างคนเดียวกัน คือ Irwin Allen   ต่อมาเมื่อมาจับงานสร้างหนังชุดทางทีวี  แอลเลนก็เอาเรื่องนี้มาปัดฝุ่น หาดาราชุดใหม่ ไม่ซ้ำกับดาราหนังโรงชุดเดิม
  แอลเลนได้ดาราชายตัวนำ คนแรกชื่อ Richard Baseheart   เขาเป็นดาราฝีมือดีมีรางวัลติดตัวมาถึง 3 รางวัล เล่นละครบรอดเวย์และหนังใหญ่ๆหลายเรื่องมาก่อนในวัยหนุ่ม    ก่อนจะแต่งงานกับดาราสาวอิตาเลียน  ก็เลยย้ายบ้านไปอยู่กับภรรยาในยุโรป  ไปเล่นหนังอิตาเลียนอยู่เกือบ 10 ปี  จนหย่าขาดจากกันถึงกลับมาเล่นหนังฮอลลีวู้ดอีกครั้ง  แต่พบว่า พออายุเข้า 50  มันล่วงเลยวัยจะเล่นเป็นพระเอกพระรองหรือนำในหนังใหญ่อีกแล้ว   ริชาร์ด เบสฮาร์ทก็เลยยอมรับข้อเสนอที่จะมาเล่นเป็นดาราประจำในหนังทีวีแทน  
   ดารานำคนที่สองชื่อ David Hedison  เป็นหนุ่มหล่อชาวโร้ดไอส์แลนด์ ที่ประสบความสำเร็จในหนังวิทยาศาสตร์สยองขวัญเรื่อง The Fly  เป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่การทดลองผิดพลาด กลายเป็นมนุษย์แมลงวัน    แอลเลนดึงเขามาเล่นเรื่อง The Lost World จากบทประพันธ์ของเซอร์อาเธอร์ โคแนนดอยล์ผู้แต่งนิยายเชอร์ล็อค โฮล์มส์   เป็นเรื่องผจญภัยในดินแดนดึกดำบรรพ์ที่หลงเหลืออยู่บนโลก มีทั้งมนุษย์กินคน ไดโนเสาร์  แมงมุมยักษ์และพืชกินคนสารพัดชนิด
   แอลเลนเห็นแววของดาราหนุ่มคนนี้ ก็เลยชวนเขามาเล่นหนังชุดทางทีวี    ตอนแรกเดวิดไม่ยอมเล่นท่าเดียว พอรู้ว่าต้องเล่นหนังผจญภัยเจอสัตว์ประหลาดอีก    เพราะเอือมหนังแบบนี้เต็มที     อีกอย่างบทแบบนี้ก็คงจะพาอนาคตเขาไปได้ไม่ถึงไหนด้วย    แต่พอรู้ว่าดาราฝีมือดีอย่างริชาร์ด เบสฮาร์ทตกลงเล่นเรื่องนี้  เขาก็เปลี่ยนใจ  ยอมเซ็นสัญญาเล่นเป็นดารานำอีกคน

   Voyage to the Bottom of the Sea  ปูพื้นเรื่องว่า เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในอนาคต คือยุค 1970s   เป็นปฏิบัติการของเรือดำนำ Seaview ซึ่งเป็นเรือดำน้ำปรมาณูทันสมัยที่สุดในโลก    ไม่ได้เป็นเพียงเรือดำน้ำธรรมดา แต่เป็นอาวุธลับของรัฐบาลสหรัฐในยุคสงครามเย็น  ซึ่งใช้ในการป้องกันภัยระดับโลกประเภทต่างๆที่มาคุกคามความสงบของโลกเสรี
    นายทหารประจำเรือซีวิว นอกจากลูกเรือและต้นหน  ก็คือผู้การเรือชื่อลี เครน (เดวิด เฮดิสัน)  และคนสำคัญที่สุดแม้ว่าไม่ใช่กัปตันเรือ คือผู้บัญชาการเรือ นายพลแฮริแมน เนลสัน ผู้ออกแบบสร้างเรือซีวัว   จึงประจำอยู่ในเรือนี้มาตลอด
   
    ข้างล่างนี้คือภาพเรือดำน้ำซีวิว และยานลูกของมันที่เป็นจุดพีคของเรื่อง คือยานดำน้ำบิน ที่ทำได้ทั้งมุดน้ำและบินเหนือทะเล   อู่ของมันอยู่ใต้เรือลำแม่
    ฉากเด็ดของเรื่องคือเวลายานดำน้ำบินโผขึ้นจากคลื่น หรือเสร็จภารกิจแล้วดำลงในพื้นทะเลจนคลื่นกระจาย   ฉากต่อมาคือมันค่อยๆเลื่อนเข้าสู่ที่เก็บใต้เรือใหญ่
  เวลามีเรื่องคับขัน กัปตันกับผู้บัญชาการมักจะนั่งยานดำน้ำบินออกจากเรือซีวิวไปยิงอาวุธเลเซอร์สู้กับฝ่ายปรปักษ์

    ศัตรูที่เรือดำน้ำซีวิวต้องผจญ มีหลากหลาย นับแต่นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่จ้องจะถล่มอเมริกาด้วยอาวุธมหาประลัย  มนุษย์ต่างดาวบุกโลก   อสุรกายใต้ทะเล  ฯลฯ   
    ในปี 1964  ที่เอฟเฟ็คหนังยังล้าสมัยเทียบทุกวันนี้ไม่ติด   คอมพิวเตอร์เป็นอะไรยังไม่รู้จักกัน  CG ยิ่งไม่มีใครเคยได้ยิน   อุปกรณ์ต่างๆในหนังทีวีเรื่องนี้ต้องเก็บที่เหลือมาจากหนังใหญ่  บวกกับการตัดต่อภาพเรือดำน้ำใต้น้ำให้ดูสมจริง  ก็นับว่าแอลเลนมีฝีมือน่าทึ่งทีเดียว สามารถจูงคนดูให้ติดตามเรื่องนี้ได้ถึง 4 ปี  เป็นหนังที่อายุยาวที่สุดใน 4 เรื่องที่เขาสร้าง หนังแนววิทยาศาสตร์ผจญภัยนอกนั้นอยู่ได้ 3 ปีก็เก่งแล้ว

     ดำลงไปใต้ทะเลลึกแล้ว  ไม่เจอนางเงือกสักตัวก็ถือว่าแปลก     หนังชุดจึงมีนางเงือกโผล่มาตัวหนึ่งให้เรือซีวิวจับได้  แต่ในที่สุดก็ต้องพาเธอกลับไปส่งท้องทะเลดังเดิม
     ในยุค 1960s  เซนเซอร์หนังทีวีเข้มงวดกว่ายุคนี้มาก    ฉากห้องนอน   ถึงเป็นสามีภรรยา  ก็ยังต้องนอนแยกเตียงกัน   ชุดว่ายน้ำในยุคนั้นก็มิดชิดกว่ายุคนี้จนเทียบกันไม่ได้    ดังนั้นนางเงือกจึงต้องสวมบรา(ที่ไม่รู้ว่าผลิตจากใต้น้ำได้ยังไง) เพื่อไม่ให้เปิดเผยท่อนบนมากเกินไป

เชิญดูนางเงือกได้ค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=R2DBfpNChgU

ข้างบนนี้ภาพขาดไม่เต็มจอ ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง
ลองดูตอนนี้นะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=tpkHkb-R6JM&t=4s

ตอนนี้ ผู้บัญชาการเนลสันถูกล้างสมอง ให้มาทำลายเรือซีวิว

https://www.youtube.com/watch?v=mXYb8cyOSVE

     คนดูหนังชุดนี้มีทั้งผู้ใหญ่และเด็ก  ปีแรก  หนังชุดเน้นไปทางเนื้อหาเข้มข้น ผจญภัยเรื่องใหญ่ๆเช่นความพยายามจะโค่นล้มรัฐบาล หรือแผนมหาประลัยก่อสงครามนิวเคลียร์     แต่พอปีที่สามที่สี่   ผู้สร้างกลับเอนเอียงไปในทางสร้างหนังชุดนี้ป้อนเยาวชนเสียมากกว่าผู้ใหญ่   
    ดาราใหญ่อย่างริชาร์ด เบสฮาร์ทจึงต้องมาผจญกับอะไรที่เหมาะกับเด็กดูมากกว่า เช่นตุ๊กตาหุ่นผีสิงในเรือเป็นต้น

มาดูตอนเต็มๆกันค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=m9c8FW2fxbE

เบื้องหลังงานนี้  น่าสงสารดารา  เพราะผู้กำกับสั่งให้เล่นบทเครียดเอาจริงเอาจัง  ไม่มียิ้มหรือหัวเราะเลย
แล้วต้องมาเครียดกับหุ่นกระบอกพวกนี้   
ริชาร์ด เบสฮาร์ททำได้อย่างมืออาชีพ  คือเล่นกลมกลืนกันไปได้กับหุ่นบวมๆบ๊องๆพวกนี้  ไม่หลุด

ดาราประกอบในเรื่องนี้เป็นชายล้วน   เห็นหน้ากันอยู่ 5-6 คน ซ้ำซากกันอยู่ในห้องควบคุมตรงหัวเรือ    ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มหน้าตาดี  เพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายของคนดู  ที่นักแสดงพวกนี้ไม่ค่อยมีบททำอะไร นอกจากง่วนอยู่กับหน้าที่ เช่นพนักงานวิทยุก็นั่งอยู่ประจำ   ต้นหนเดินไปเดินมา  กัปตันมีหน้าที่หยิบไมค์มาออกคำสั่ง ฯลฯ    

   หนังชุดนี้อำลาจอเมื่อจบปีที่ 4   ดาราต่างก็แยกย้ายกันไป     ริชาร์ด เบสฮาร์ทไปเป็นดารารับเชิญในหนังเรื่องต่างๆ  ทางทีวีเสียเป็นส่วนใหญ่     บวกกับเขาเป็นคนมีเสียงน่าฟังมาก  จึงได้เป็นผู้บรรยายในสารคดีสำคัญๆทางทีวีหลายเรื่องด้วยกัน
   ริชาร์ดป่วยด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองตีบ  ถึงแก่กรรมเมื่อปี 1984  อายุ 70 ปี

   เดวิด เฮดิสัน มีอนาคตยาวไกลกว่าดาราทุกคนในเรื่อง       
   เมื่อหนังชุดนี้จบลง   เดวิดย้ายไปอยู่ลอนดอนเสีย 2 ปีเพราะเขารักอังกฤษมาก    โชคดีที่กลับมาก็ยังมีหนังให้เล่นไม่ขาด  แม้ว่าได้เล่นเป็นบทรองก็ตาม    โชคอีกชั้นหนึ่งก็คือได้เล่นหนังเจมส์ บอนด์ถึง 2 เรื่องด้วยกัน เป็นเฟลิกซ์ เพื่อนสนิทของบอนด์  แต่เดวิดก็บ่นนิดหน่อยว่า งานนี้ไม่ได้ทำให้เขาได้รับงานมากขึ้นทั้งๆมีแฟนคลับชื่นชมกันมาก
   งานในยุคหลังๆของเดวิดหนักไปทางด้านทีวีเสียมากกว่าหนังใหญ่   ก็ยังดีที่มีงานเข้ามาไม่ขาดสาย    เขามีงานทางด้านผลิตหนังสือเสียงด้วย ถึง 4 เล่ม
   ทุกวันนี้ เดวิดเป็นดาราคนเดียวของ Voyage to the Bottom of the Sea ที่ยังมีชีวิตอยู่  นอกนั้นไปชุมนุมกันอยู่บนสวรรค์หมดแล้วค่ะ

ปีนี้ เดวิดอายุ 91

ส่วนดาราประกอบคนอื่นๆ ล่วงหน้ากันไปหมดแล้ว
ภาพนี้  โรเบิร์ต ดาวเดลล์  รับบทต้นหนชิป มอร์ตัน  จากไปเมื่ออายุ 85 ปี

เทอรี่ เบเกอร์ในบท ชีฟ  ถึงแก่กรรมปี 2014  อายุ93 ปี

เดล มอนโรในบทโควาลสกี้ ลูกเรือซีวัว  ถึงแก่กรรมปี 2009 อายุ 78 ปี
เขาเป็นนักแสดงคนเดียวที่ได้เล่นทั้งหนังโรง Voyage to the Bottom of the Sea และเมื่อมาเป็นหนังชุดทางทีวี ผู้กำกับก็เรียกตัวมาเล่นอีก 

ลูกเรือซีวิวอีกคนที่เล่นคู่กับเดล มอนโร คือพอล ทริงก้า ในบทแพตเตอร์สัน  รายนี้จากไปตั้งแต่อายุแค่ 41 ปี
ด้วยโรคมะเร็งสมอง

คนสุดท้าย สปาร์คส์ พนักงานวิทยุ   คือนักแสดงตัวประกอบชื่ออาช ไวติ้ง   
คนนี้รูปหล่อมาก แต่ไม่รุ่งทางอาชีพนักแสดง  ได้เป็นแต่ตัวประกอบเล็กๆน้อยๆอยู่เรื่อยๆ  ในที่สุดเขาก็อำลาอาชีพนักแสดงไปอยู่ที่นอร์ธคาโรไลน่า  จนถึงแก่กรรมในปี 2007  อายุ 71 ปี

เรื่องต่อไปค่ะ  ใครจำได้บ้าง

ดูตัวอย่างสัก 1 ตอนนะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=a7VRCVv5LL4

มีเรื่องนี้ในคิวมั้ยครับ

Land of the Giants

เล่าไปแล้วค่ะ
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6891.255
คคห.ตั้งแต่ 267 เป็นต้นไปค่ะ

ขอบคุณครับ

The  Wild Wild West เป็นหนังชุดที่เน้นบรรยากาศฉูดฉาดโลดโผน  เรียกง่ายๆว่า เว่อเกินจริง   ผู้สร้างตั้งใจจะให้เป็นยังงั้น เพื่อไม่ให้ซ้ำแบบหนังอื่นๆในยุคเดียวกัน จะได้แหวกเรตติ้งเจ้าอื่นขึ้นมาได้
หนังชุดนี้เริ่มออกอากาศในช่วงกลางของทศวรรษ 1960    ในช่วงนี้ หนังสายลับตีตลาดหนังคาวบอยยอดฮิทในยุค 1950s แตกพ่ายไปหมดแล้ว    แต่ก็คงมีผู้ชมอเมริกันที่ยังอาลัยบรรยากาศโคบาลขี่ม้ายิงปืนอยู่       ผู้สร้างจึงผสมผสานรสชาติของคาวบอยเข้ากับสายลับ      แล้วเติมผงชูรสด้วยสีสันอลังการงานสร้างในแนวแฟนตาซีหน่อยๆเข้าไปด้วย
ผลก็คือ The Wild Wild West  ยืนยงอยู่ได้ 4 ปี จาก 1965-1969  ทำให้ดารานำในเรื่องนี้คือ Robert Conrad กลายเป็นดาวดวงใหญ่ไปอีกวงในแวดวงจอแก้ว

มาดูกันว่าเรื่องนี้เว่อวังอลังการยังไงนะคะ จากตัวอย่างข้างล่างนี้

https://www.youtube.com/watch?v=U3rKZgNPuLg

  จากคลิปวิดีโอข้างบนนี้ คงเห็นหน้าตาพระเอกเรื่องนี้แล้วว่าหล่อขนาดไหน   โรเบิร์ต คอนราดเป็นนักร้องเพลงป๊อปสังกัดวอเนอร์ บราเธอร์มาก่อนจะเป็นพระเอกเรื่องนี้
คลิปข้างล่างนี้  เสียงร้องเป็นของเขาค่ะ  แต่คลิปที่ประกอบน่าจะมาจากหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง   ดาราสาวที่เต้นรำในคลิป คือซิด ชาริสส์ ดาราขางาม ตำนานดาวเต้นของฮอลลีวู้ด

https://www.youtube.com/watch?v=E_78PNDNpB8&list=RDEM_JW2PGCI9U5ieuj9STq8dA&start_radio=1

ฟังเสียงกำมะหยี่ให้ชัดๆอีกครั้ง

https://www.youtube.com/watch?v=UORlrmx7nUA&list=RDEM_JW2PGCI9U5ieuj9STq8dA&index=4

  เมื่อพ้นวัยรุ่น  ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัว    โรเบิร์ต คอนราดก้าวไปอีกขั้นคือเป็นดารา   เขาได้เป็นหนึ่งในดาราประจำของหนังชุดทางทีวี  เป็นหนังนักสืบ ชื่อ Hawaiian Eye  ซึ่งได้รับความนิยมมาก  ออกอากาศยาวนานถึง 4 ปี ตั้งแต่ 1959-1963
  ยุค 1950s ปลายๆ และต้น 1960s  หนุ่มสาวอเมริกันคลั่งไคล้ไปพักร้อนกันตามชายหาด  เล่นกีฬายอดนิยมคือกระดานโต้คลื่น   ฮาไวอิเป็นดินแดนในฝันของหนุ่มสาวรุ่นเบบี้บูมเมอร์      หนังชุดนี้ก็เลยใช้ฉากว่าเป็นโฮโนลูลู ตลอดเรื่อง  แต่ความจริงแล้วถ่ายทำกันในโรงถ่ายวอเนอร์บราเธอร์ในฮอลลีวู้ดนั่นเอง   ตัดต่อฉากหาดทรายชายทะเลในคาลิฟอร์เนีย

https://www.youtube.com/watch?v=m8SSvcJ6VKw

อีกตอนค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=t4_18UG_tBE

รบกวนถามอีกเรื่องนึงครับ
เงาพยาบาท  (Dark shadows)  ตัวเอกชื่อ Barnabas Collins จำได้ว่าน่ากลัวมาก มาฉายตอนดึกด้วย

ไม่เคยดูเรื่อง Barnabas Collins ค่ะ  มาฉายในไทยด้วยหรือ

เคยครับ  เหมือนจะฉายที่ช่อง 4 สมัยยังเป็นขาวดำ มาฉายตอนค่ำๆด้วยครับ
จำชื่อ ผีดูดเลือดตัวนี้ได้ขึ้นใจเลย

นึกไม่ออกเลยค่ะ  ไปถามครูกู๊ก  ได้เรื่องมาก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี  แน่ใจว่าไม่เคยผ่านสายตา
แต่ถึงเปิดเจอก็คงไม่ดูต่อจนจบตอน     ไม่ชอบแวมไพร์ ค่ะ

แล้วพวกสัตว์แสนรู้นี้ รีวิวไปหรือยังครับ เช่น Lassie และ Flipper

  เลือกหนังทีวีที่ฉายอยู่ในปี 1968 ค่ะ   บางเรื่องถ้าจบไปก่อนปีนี้ ก็ไม่เลือกมา  หรือถ้าไปเริ่มภายหลัง ตั้งแต่ปี 1969 ก็ไม่อยู่ในข่ายเช่นกัน
  ขอไปเช็คดูก่อน ว่า Lassie กับ Flipper อยู่ปีไหนนะคะ

Flipper (TV Series 1964–1967)
Lassie (TV Series 1954–1974)

Lassie

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6352.msg147857#msg147857



Flipper

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6352.msg148292#msg148292

    ยุคที่ชาวเรือนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เกิด   ส่วนน้อยเกิดแล้วแต่อาจยังจำความไม่ได้   ฮอลลีวู้ดมีดาราสี่ขาอยู่หลายตัวด้วยกัน   เดี๋ยวนี้หายไปกันหมดแล้ว    คงเป็นเพราะไม่เป็นที่นิยมอีก
   ที่จำได้คือทาร์ซานต้องมีลิงชิมแผนซี วิ่งตามหลังบ้าง ให้อุ้มบ้างอยู่ตัวหนึ่งชื่อชีต้า      หน้ากากดำหรือ The  Lone Ranger มีม้าขาวล้วนเป็นพาหนะประจำตัวชื่อซิลเวอร์    จากนั้นก็คือหมา มี 2 ตัวที่ดังมาก เพราะแสนรู้ทำอะไรได้สารพัดเกือบจะเท่าคน  คือหมาพันธุ์เยอรมันเชปเพิร์ดที่คนไทยเรียกว่าอัลเซเชียน ชื่อ รินตินติน    กับหมาพันธุ์คอลลี่ชื่อ แลสซี่
    ดูแลสซี่ที่ฉายทางทีวีนานมาก กว่าจะรู้ว่ามันเป็นตัวเมีย  
    ชื่อ lassie เป็นภาษาสก๊อต แปลว่า " สาว" แปลเป็นไทยอีกทีก็คล้ายๆ "นังหนู"
  

  กลับมาที่ The Wild Wild West
  โรเบิร์ต คอนราด เป็นดาราที่โชคดีมาก คือนอกจากดังจากหนังชุดเรื่องนี้แล้ว  ก็ไม่ได้หรี่แสงลงไปอย่างดารานำในชุดอื่นๆ   เขายังอยู่ในวงการ เล่นบทนั้นบทนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาปักหลัก ได้เป็นดารานำในหนังชุดใหม่ เมื่อปี 1976 คืออีก 7 ปีต่อมา  คือเรื่อง  Black Sheep Squadron
  คอนราดพลิกบทจากคาวบอยสายลับมาเป็นนักบินหนุ่มใหญ่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2   เมื่อเล่นเรื่องนี้เขาอายุ 41 แล้ว  พ้นวัยที่จะเอาสภาพหนุ่มหล่อมาเรียกแฟนได้อีก   ถ้าจะชนะใจคนดูก็ต้องใช้ฝีมือล้วนๆ        เขามีฝีมือพอจะทำได้  ประสบความสำเร็จอีกครั้งจนได้รางวัล  People’s Choice Award for Favorite Male Actor เพิ่มจากได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทอง  Golden Globe เรียกได้ว่า ประสบทั้งเงินและกล่อง

ขอบคุณ คุณเทาชมพู สำหรับ link นะครับ
ขอบคุณ คุณเพ็ญชมพู สำหรับการรีวิวด้วยครับ

เชิญดูตัวอย่าง Black Sheep Squadron

https://www.youtube.com/watch?v=wKYcKwjBb7o

รายการโทรทัศน์ช่อง ๔ วันอาทิตย์ เมื่อ ๕๐ปีที่แล้ว "สายลับนักสืบ" เป็นรายการสุดท้าย

 ;D

เวทีชีวิต ฉายก่อนสายลับลูกทุ่ง    แสดงว่าทางสถานีไม่ได้จัดหนังเรื่องนี้ไว้สำหรับเด็กและเยาวชน

  หลังจากหนังชุด Black Sheep Squadron จบลงในปี 1977    คอนราดก็ยังอยู่ในวงการโทรทัศน์   เป็นนายแบบโฆษณาให้แบตเตอรี่เอเวอเรดี้ บ้าง   ร่วมเล่นในหนังที่ผลิตขึ้นเพื่อฉายทางโทรทัศน์บ้าง
   เขากลับไปเล่นหนังจอใหญ่อีกครั้ง  เป็นดาราประกอบในหนังเรื่อง Jingle All the  Way  หนังบันเทิงครอบครัว ที่อาโนลด์ ชวาซเนกเกอร์หันมาเล่นอยู่หลายเรื่องด้วยกันในระยะหลังๆ   ในเรื่องนี้  คอนราดอายุ 61 เข้าไปแล้ว แต่ยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงดีอยู่

https://www.youtube.com/watch?v=J9y8jGfrOX4

   คอนราดเกษียณตัวเองจากวงการเด็ดขาดเมื่อปี 2002  อายุ 67     ปีต่อมา เขาประสบอุบัติเหตุ ขับรถประสานงาเข้ากับรถอีกคันขณะมึนเมา   นอกจากบาดเจ็บแล้วร่างกายยังเป็นอัมพาตไปซีกหนึ่ง  แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อายุ 83 ปี 
   เขาแต่งงาน 2 ครั้ง ครั้งแรกมีลูก 5 คน หย่าขาดจากภรรยา ไปแต่งงานกับสาวอายุน้อยกว่า 25 ปี  มีลูกสาวกัน 3 คน   อยู่กันมา 27 ปีถึงได้หย่าขาดกันเมื่อปี 2010 

  ส่วนรอส มาร์ตินที่เล่น The Wild Wild West เป็นคู่หูของคอนราด   เป็นดาราฝีมือดีที่อาภัพ  แม้ว่าพูดได้หลายภาษา  ฝีมือเล่นก็ไม่เบา สามารถสวมบทบาทได้หลายแบบหลายบุคลิก   แต่บังเอิญมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ   ทำให้เขาอดได้รับบทดีๆ เป็นดารานำในหนังเรื่องยาว  เพราะผู้สร้างไม่แน่ใจว่าโรคประจำตัวจะเป็นอุปสรรคในระยะยาวหรือไม่     
   แต่รอสเป็นคนรักอาชีพการแสดง  ก็รับแสดงเรื่อยไปไม่ว่าจะได้รับบทไหน     แม้ว่าไม่มีบทไหนเด่นเป็นพิเศษ ควรแก่การจดจำ
   เขาอยู่มาจนอายุ 61  โรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันก็คร่าชีวิตไปในปี 1981

    Flipper เรื่องของโลมาแสนรู้ ฉายและจบไปก่อนปี 1968  จึงไม่อยู่ในข่ายจะนำเสนอในกระทู้นี้   
    ส่วนแลสซี่ สุนัขแสนรู้   ผลิตหลายครั้งค่ะ  ในปี 1943   เป็นหนังใหญ่ให้หนูน้อยเอลิซาเบธ เทเลอร์ เล่นก่อนเธอจะเติบโตเป็นสาวงามผู้โด่งดังระดับโลก    หนังเรื่องนี้ ชื่อ Lassie Come Home   
    ต่อมาจึงกลายเป็นหนังเรื่องยาวทางทีวี  เริ่มตั้งแต่ปี 1954 แล้วออกอากาศเรื่อยมาจนถึงต้นปี 1973 รวมแล้ว 17 ปี    การผลิตและเบื้องหลังเนื้อหาออกจะซับซ้อนหน่อย ต้องค่อยๆแกะรอยกันไปค่ะ
    ขอเริ่มด้วยแลสซี่ชุดแรกที่ผลิตระหว่าง 1954-1957

    ตัวนำในเรื่องนี้คือเด็กชายวัย 11 ปีชื่อเจฟฟ์ มิลเลอร์   เขากำพร้าพ่อผู้เสียชีวิตในสนามรบยุคสงครามโลกครั้งที่สอง   ทิ้งภรรยาและลูกชายให้อาศัยอยู่ในบ้านนาเก่าแก่ ในรัฐทางตะวันตกกลางของอเมริกา   ตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวจึงตกเป็นของปู่วัยชรา จอร์ช มิลเลอร์    มีหมาตัวหนึ่งเป็นเพื่อนรักของหนูน้อย คือแลสซี่
   ชีวิตของครอบครัวมิลเลอร์สะท้อนสังคมชาวบ้านของอเมริกายุคหลังสงครามโลกสิ้นสุดลงไม่นาน     ขาดชายฉกรรจ์หัวหน้าครอบครัว  เหลือแต่ผู้หญิง เด็กและคนชรา   แต่พวกเขาก็อยู่กันไปตามประสาชาวบ้านที่ไม่ท้อถอยในการดำเนินชีวิต มีความน่ารักใสๆ ไร้เดียงสาของหนูน้อยและหมาเป็นสิ่งจรรโลงใจ

https://www.youtube.com/watch?v=CuDl_bifwoM

  หนังทีวีอเมริกันในยุค 60 กว่าปีก่อนออกจะเน้นศีลธรรมจรรยามากกว่าสมัยนี้มาก     หนังครอบครัวและหนังเยาวชนอย่าง Lassie จึงไม่ได้มีแต่ความสนุกสนานของเด็กกับหมาเท่านั้น แต่สอดแทรกข้อสอนใจ จริยธรรม ความประพฤติที่ถูกที่ควรลงไปทุกตอนด้วย   
  ในตัวอย่างนี้ คงเห็นว่าเจฟฟ์เล่นซุกซน ปิดตาเดินบนรั้ว เพื่อพนันกับเพื่อนว่าทำได้   แต่โอกาสพลาดมาเยอะมาก หล่นลงไปเมื่อไรก็เจ็บตัว  สมัยนั้นการแพทย์ยังไม่เจริญนัก ยิ่งในชนบทอย่างฉากเรื่องนี้ แม้แต่แขนเดาะหรือข้อเท้าแพลงก็เป็นเรื่องใหญ่ กินเวลานานกว่าจะหาย     แม่จึงเข้ามาเทศน์ซะกัณฑ์ใหญ่เมื่อเห็นเข้า
  เป็นการสอนคนดูเด็กๆหน้าจอด้วยว่า อย่าเล่นอะไรแบบนี้

  ในเรื่อง เจฟฟ์ มิลเลอร์อายุ 11  ในชีวิตจริง Tommy Rettig  ดาราเด็กผู้รับบทนี้อายุ 12  เขาเป็นดาราเด็กมีชื่อเสียงมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ   เคยเล่นหนังใหญ่กับมาริลีน มอนโร ใน River of No Return   ความดังจึงทำให้ผู้กำกับเอาตัวมาเล่นหนังทีวีเรื่องยาว  ซึ่งก็ดังไปทั่วทุกบ้านทุกช่องในอเมริกา
  เล่นเรื่องนี้อยู่ 3 ปี   หนูน้อยเติบโตเป็นวัยรุ่นอายุ 15  เกินกว่าจะรับบทเด็กน้อยน่ารักได้อีกแล้ว    ประกอบกับทอมมี่เบื่อเต็มทีที่ต้องจำเจอยู่กับกองถ่ายเกือบทุกวัน      ไม่มีโอกาสจะใช้ชีวิตสนุกสนานตามประสาวัยรุ่นอย่างเพื่อนๆ  เขาจึงอำลาเรื่องนี้ไป
  ชีวิตของทอมมี่เป็นตัวอย่างที่เห็นกันต่อมาไม่ขาดสายของดาราที่ล้มเหลวเมื่อพ้นวัยเด็ก      เมื่อพ้นบทเด็กน้อย  เขาไม่มีบทเด่นมารองรับอีกในวัยหนุ่ม เพราะร่างกายหยุดสูงเพียง 5 ฟุต 4 นิ้ว  ได้แต่เล่นบทประกอบในหนังทีวีไปเรื่อยๆ    อายุ 19 ก็กลายเป็นพ่อคน มีภรรยาอายุ 16   จากนั้นทอมมี่ก็ติดยา ทั้งโคเคนและกัญชา
      เขามากลับตัวตั้งต้นชีวิตใหม่ได้หลังจากอำลาวงการแสดง   ไปเป็นโปรแกรมเมอร์ของคอมพิวเตอร์ จนได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ   แต่มีชีวิตใหม่เป็นสุขอยู่ได้ 15 ปีก็จากไปด้วยโรคหัวใจวาย  เมื่ออายุเพียง 54 ปี ในปี 1996     

อยากจะทราบว่า หนังที่มาฉายในบ้านเรานั้น จะมาช้าหลังจากที่ออกอากาศที่เมืองนอก
ประมาณกี่ปีครับ และจะฉายครบถ้วนทุกตอนหรือไม่ครับ เพราะเห็นบางเรื่อง ฉายนานหลายปีติดต่อกัน

 ส่งคำถามต่อให้คุณหมอ SILA  ดิฉันไม่ทราบระบบการทำงานของทางช่องทีวีไทย ในอดีตและปัจจุบัน ค่ะ
 เท่าที่จำได้ ช่อง 4 วิกบางขุนพรหม มีแผนกติดต่อต่างประเทศที่เลือกหนังมาฉาย  ก็คงไม่นานหลังจากฉายทางโน้น อาจจะปีเดียวกัน ห่างกันไม่กี่เดือนก็ได้ 
 ส่วนฉายนานแค่ไหน แล้วแต่จะตกลงกันมั้งคะ  จำได้ว่าบางเรื่องอย่าง Gunsmoke ในอเมริกาผลิตหลายร้อยตอน ยาวนานสัก 20 ปีได้  ของไทยฉายไม่นานขนาดนั้น  ไม่กี่ปีก็หายไปจากจอ

   หนังชุด Lassie ทำเรตติ้งสูงมาก จนแม้ว่าดาราไม่อยากเล่นอีกแล้ว  ผู้สร้างก็ยังไม่อยากจบเรื่อง     ในปี 1957 หลังจากฉายมา 3 ปี เริ่มขึ้นปีที่ 4   จอร์ช คลีฟแลนด์ผู้รับบทปู่ในเรื่องก็เสียชีวิตกะทันหันด้วยโรคหัวใจวาย   ผู้สร้างจึงรีบเปลี่ยนพล็อตใหม่  โยกดาราชุดเก่าที่เหลือ 2 คนและตัวประกอบอีกหลายคนออกไป     ด้วยการบอกคนเขียนบทให้เขียนสอดคล้องกับความจริง ว่าปู่ของเจฟฟ์ถึงแก่กรรม  แม่ก็เลยตัดสินใจขายฟาร์มและพาลูกชายไปอยู่ในเมืองหลวง
  ชีวิตในเมืองใหญ่ไม่เหมาะสมที่จะเอาหมาไปด้วย   แลสซี่จึงตกค้างอยู่ในฟาร์ม พร้อมด้วยเจ้าของใหม่ เป็นสามีภรรยาที่มาซื้อกิจการฟาร์มไปทำต่อ    สองคนนี้รับอุปการะเด็กชายคนใหม่ในเรื่องที่เป็นเด็กเร่ร่อนหนีออกจากบ้านมา  เรื่องก็กลับเข้ารอยเดิม คือเป็นชีวิตซื่อใสของเด็กชายไร้เดียงสากับหมาตัวโปรด
  เด็กที่มาแทนเจฟฟ์ เป็นดาราเด็กชื่อดังอีกคนหนึ่งในวงการมายา ชื่อจอน โพรโวสต์

  ตอนที่ได้รับคัดเลือกให้รับบททิมมี่ มาร์ติน เจ้าของคนใหม่ของแลสซี่    หนูน้อยจอนอายุแค่ 7 ขวบ แต่ฝีมือเล่นไม่เบาเลย    ชนะใจคนดูอยู่ได้ถึง 7 ปี จนเขาอายุ 14   สปอนเซอร์อยากจะให้ต่อสัญญาอีก 3 ปี  แต่จอนซึ่งพ้นวัยเด็กมาสู่วัยรุ่น เอียนงานหน้ากล้องถ่ายเรื่องเดิมๆ ตลอด 7 ปีเต็มทีก็เลยขอลาออกจากบทนี้ 
   เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น   จอนก็ยังมีงานเทมาไม่ขาดสาย รวมทั้งหนังของวอลท์ ดิสนีย์ด้วย จนได้รางวัล GeeGee Award ซึ่งมอบให้ดาราวัยรุ่นแห่งปี 
  จอนโชคดีว่าทอมมี่ เรททิคตรงที่ไม่ตกเป็นเหยื่อด้านมืดของฮอลลีวู้ด      เพราะพ่อเขาฉลาดพอจะผลักดันลูกให้ไปเรียนหนังสือต่อ แทนที่จะยึดอาชีพนักแสดงซึ่งเสี่ยงกับเสียผู้เสียคนไปกับผู้หญิงและยาเสพติด        ทิมมี่อำลาวงการเมื่ออายุ 20  ไปเรียนต่อที่ Sonoma State University ในคาลิฟอร์เนียเหนือจนกระทั่งจบ  จากนั้นก็หันไปหาอาชีพเซล ขายอสังหาริมทรัพย์  มีครอบครัวมีลูกจนเข้าวัยผู้ใหญ่   จึงหวนกลับมารับบทเล็กๆน่อยๆในหนังแลสซี่ที่สร้างใหม่  ควบคู่ไปกับทำงานสาธารณกุศล
   ปัจจุบันอายุ 68 ปีค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=grqow49mYXw

ตอนนี้ หนูน้อยจอนเริ่มโตขึ้นกว่าตอนแรกแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=PCv-CzbOeMw

 เมื่อจอนเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น ไม่อยากจะต่อสัญญาเล่นหนังชุดนี้อีก    ผู้สร้างก็ต้องงัดไม้เดิมขึ้นมาคือเขียนบทให้ตัวละครเดิมออกจากเรื่องไปทั้งชุด  ด้วยการผูกเรื่องว่าสามีภรรยาเจ้าของฟาร์มได้งานใหม่ที่ออสเตรเลีย ต้องอพยพออกไปจากบ้านเดิม   แลสซี่ไม่สามารถติดตามไปได้  จึงได้ที่อยู่ใหม่ เริ่มการผจญภัยชุดใหม่แทน
 เวลาผ่านมาข้ามทศวรรษ   10  ปีแล้วนับแต่เริ่มมีแลสซี่ตอนแรก     ผู้สร้างเห็นว่าเรื่องราวเด็กน้อยกับสุนัขคู่ใจตกยุคไปตามเวลา    ต่อให้ได้ดาราเด็กคนใหม่มาเล่นก็คงขายไม่ออก   จึงเปลี่ยนเนื้อเรื่องให้แลสซี่มีเจ้าของใหม่เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานป่าไม้   บทบาทของแลสซี่คือการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ซึ่งเป็นหัวข้อใหม่ของสังคมในยุคนั้น

https://www.youtube.com/watch?v=7NfhEzp7L90&list=PLeagipoZmyfl7iBlu7M8sBbYqclHTgvPu
 

หนังเปลี่ยนจากขาวดำเป็นสีแล้วค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=vhI_syZvqZk&index=2&list=PLeagipoZmyfl7iBlu7M8sBbYqclHTgvPu

             จำความแน่นอนไม่ได้ครับ คิดว่าซีรี่ส์ตะวันตกที่นำมาออกอากาศในไทยไม่น่าจะช้ากว่าที่บ้านเขา
มากมายหลายปี สมัยนั้นทีวีไทยไม่ได้มีละครก่อน,หลังข่าว หรือช่วงเวลาอื่นๆ แบบตอนนี้ ละครจะเป็นรายการ
สุดท้ายของช่องในคืนนั้น ถ้าเป็นละครยาว ก็ติดตามกันเดือนละตอนจนข้ามปี ดังนั้นจึงมีเวลาว่างให้ซีรี่ส์นอก
เข้ามาฉายหลายเรื่อง

             "เงาพยาบาท" เป็นซีรี่ส์ตอนละครึ่งช.ม. ที่เนื้อเรื่องต่อเนื่องลากยาวเหมือนยุคนี้แบบเกมชิงบัลลังก์
คือ เมื่อเรทติ้งดีก็แต่งเรื่องบานปลาย,เพิ่มตัวละครร้ายๆ แรงๆ เข้ามา ลากยาวหลายปีจนตัวแสดงบางคนถอนตัว
ไปแล้ว ต่อเมื่อในที่สุด, เรทติ้งเริ่มตกจึงจะบอกคนเขียนบทให้เขียนให้จบ

รูปเรทติ้ง(ไม่ระบุที่มา) สมัยปี 1966

จาก wideshot @ พันทิป

ขอบคุณ คุณSILA ครับสำหรับ รายชื่อ
บางเรื่องคุ้นๆว่าเคยดูมั้ย เช่น พยัคฆ์ร้ายใต้ดิน

ทหารเรือมาแล้ว นี่ก็สนุกครับ

เรื่อง อ้วนผอมจอมยุ่ง นี่เก่ากว่านี้มากมั้ยครับ

ขอบคุณค่ะคุณหมอ SILA  ดูจากรายชื่อที่ให้มา   หนังพวกนี้ฉายในปี 2509  ตรงกับ 1966

จะบอกว่าเป็นระยะเวลาหลังจากที่ฉายในอเมริกามากน้อยแค่ไหน  ตอบยาก เพราะหนังชุดเหล่านี้ฉายติดต่อกันยาวนานหลายปี
เช่น The Man from U.N.C.L.E หรือพยัคฆ์ร้าย 707 เริ่มฉายในอเมริกาตั้งแต่ 1964-1968 
ไม่รู้ว่าในปี 2509(1966) เรื่องนี้เพิ่งฉายปีแรก หรือว่าปีที่สองที่สามแล้ว
ถ้าเพิ่งมีเป็นปีแรก ของไทยก็ช้ากว่าเขา 2 ปี

ลองแกะรอย เช็คอีกเรื่อง  หนูน้อยบีเวอร์ ฉายในอเมริการะหว่าง 1957-63   ในเมื่องไทยยังฉายอยู่ 3 ปีหลังจากเรื่องนี้จบลงแล้ว 
Batman หรือมนุษย์ค้างคาว เริ่มฉายในอเมริกาปี 1966   ถึง  1968    ก็เท่ากับทางเมืองไทยฉายพร้อมอเมริกา ปีเดียวกันคือ 1966

แสดงว่าบางเรื่องของไทย อย่างมนุษย์ค้างคาว ก็ไม่ช้าไปกว่าอเมริกา  อาจจะช้าเป็นเดือน แต่ไม่ถึงปี

แต่พอแกะรอยต่อไป  บางเรื่องก็ช้ากว่าอเมริกาหลายปีค่ะ

Adventures in Paradise ผจญภัยทะเลใต้  ออกอากาศในอเมริกาตั้งแต่ปี 1959  จบในปี 1962  แต่ในไทย ล่วงมาถึงปี 1966 ยังฉายเรื่องนี้อยู่เลย

ตั้งสมมุติฐานใหม่ว่า การสำรวจเรตติ้งหนังชุดที่ฉายในไทย ที่ทำในปี 1966  อาจจะย้อนหลังไปถึง 2-3 ปีก่อนหน้า คือรวมถึงหนังที่จบชุดไปแล้ว
แต่หนังที่ขึ้นอันดับยอดนิยม 5 อันดับ น่าจะเป็นหนังใหม่ที่ยังฉายอยู่ในปี 1966
ก็เลยย้อนไปตรวจสอบว่าหนังพวกนี้ ใหม่หรือเก่าในอเมริกา  พบว่า
The Man from U.N.C.L.E หรือพยัคฆ์ร้าย 707     ฉายในอเมริกา   1964-1968  
Lost in Space   หรือ โลกพิศวง                        ฉายในอเมริกา   1965-1968  
The Legend of Jesse James  หรือ เจสสี เจมส์    ฉายในอเมริกา   1965–1966
The Big Valley  หรือ เจ้าถื่น                             ฉายในอเมริกา  1965 -1969

ได้คำตอบว่า เมื่อฉายในไทย ปี 1966   หนังพวกนี้ยังฉายอยู่ในอเมริกาทั้งสิ้น    แต่อาจจะตอนใหม่ๆกว่าที่ฉายในไทย
ยุคที่ยังไม่มีวิดีโอเทป  การขนส่งหนังข้ามประเทศ  น่าจะทำสำเนาฟิล์มไว้หลายสิบชุดสำหรับขายไปทั่วโลก
 การขนส่งก็ต้องขนกันทางเครื่องบิน  ขนส่งทางเรือ 3 เดือนไม่น่าจะทำ  เพราะจะช้าเกินไปและเสี่ยงกับฟิล์มเสียหายด้วย

คุณหมอ SILA ว่าไงคะ

           ขอสรุปโดยการคาดคะเนว่า  ซีรี่ส์บ้านเราสมัยนั้นส่วนใหญ่ออกอากาศไล่หลังบ้านเขาไม่นานนัก
โดยเฉพาะเรื่องดังๆ ในบ้านเขา ที่มาช้าไปอาจเป็นเรื่องที่ไม่ดังเท่า,ราคาถูกกว่า บ้านเราซื้อหลังจากซื้อ
เรื่องใหม่ๆ ดังๆ แพงๆ ไปแล้ว
           อีกกรณีหนึ่งคือ เรื่อง ผจญภัยทะเลใต้ มโนเล่นๆ ว่า อาจเป็นเพราะความดังของ ผจญภัยใต้ทะเลลึก
ของช่อง 4, ทางช่อง 7 จึงมองหาซีรี่ส์ผจญภัยทางทะเลมาฉายบ้าง

 “Adventures in Paradise” based loosely on the writings of James Michener
(ผู้ได้รับรางวัล Pulitzer Prize จากงานเขียนเรื่อง Tales of the South Pacific)

รายการโทรทัศน์เดือนตุลาคม ๒๕๐๓ จากนิตยสารแดนดารา

ภาพโดย อิสิ@พันทิป

และ

หนังในรายการวันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม  ๒๕๐๓ (1960)  มีเรื่อง พิชิตทรชน   น่าจะตรงกับเรื่อง Tightrope!  ที่ดารานำคือ Michael Connor  หรือต่อมาใช้ชื่อว่า Mike Connor  เล่นหนังนักสืบเรื่อง Mannix

Tightrope! ฉายที่อเมริกาปีเดียว คือ 1959 - 1960   แสดงว่าเรื่องนี้ ไทยฉายทีหลัง ไม่เกิน 1 ปี

  ส่วนรายการวันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม  มีหนังเรื่องชายชาตรี  เรื่องนี้จำได้ว่า ตรงกับหนังคาวบอยเรื่อง Bat Masterson
ฉายในอเมริกา 1958-61

  แต่บางเรื่องก็เก่ากว่านี้ค่ะ
   ในรายการวันอาทิตย์มีหนังเรื่อง "ยอดตำรวจหญิง"   เรื่องนี้คือ Decoy  ฉายทางอเมริกาสั้นมาก เพียง 39 ตอน คือปีเดียว ตั้งแต่ 1957-58  แต่ในไทยมาฉายในปี 1960

ขอกลับมาจบเรื่อง Lassie เสียทีค่ะ
แลสซี่อยู่กับเจ้าหน้าที่วนอุทยานมาจนถึงปี 1971 ก็ถึงเวลาสิ้นสุดชุดนี้เสียที    แต่ผู้สร้างก็ยังไม่ยอมให้แลสซี่จบลงเพียงแค่นั้น
แลสซี่ลาจากชีวิตในวนอุทยานแห่งชาติ ร่อนเร่ไปจนพบฟาร์มเลี้ยงสัตว์เจ้าแห่งหนึ่งชื่อ Holden Ranch  เป็นสถานที่พักพิงของเด็กชายกำพร้า หรือเด็กร่อนเร่ไร้ขาดญาติมิตร ที่ทางการส่งมาอยู่ที่นี่จนกว่าจะหาพ่อแม่บุญธรรมได้   ทำให้แนวเรื่องกลับไปสู่การผจญภัยของเด็กชายและหมาคู่ใจอีกครั้ง
แต่เรื่องแนวนี้ไม่สร้างเรตติ้งได้ดีเท่าเมื่อสองทศวรรษก่อน  ในที่สุดแลสซี่ก็จบชุดลงในปี 1973   เป็นอันจบยุคของดาราสี่ขาไปอีกเรื่อง

แลสซี่อยู่ในหนังชุดนี้มายาวถึง 20 ปี    ถ้าใครสงสัยว่าแลสซี่ไม่แก่ไม่ตายบ้างหรือ    ก็ขอตอบว่าดาราหมาที่เล่นบทนี้่้ไม่ได้มีอยู่แค่ตัวเดียวค่ะ     หมาที่รับบทแลสซี่มีถึง 6 ตัวด้วยกัน

เรื่องต่อไป  Lost in Space (1965-68)

Lost in Space  หรือโลกพิศวงในพากย์ไทย    เป็นผลงานของ Irwin Allen ผู้สร้าง Voyage to the Bottom of the Sea,Land of the Giants   และ Time Tunnel (อุโมงค์มหัศจรรย์) ในทศวรรษ 1960s-1970s

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ยุคอนาคต 32 ปีจากปัจจุบัน ปี 1965  คือค.ศ. 1997  องค์การนาซ่าคัดเลือกครอบครัวนักบุกเบิกจากผุ้สมัครสองแสนกว่าครอบครัวให้เดินทางไปตั้งถิ่นฐานใหม่บนดวงดาวอัลฟา เซนทอรี่ ซึ่งเป็นอาณานิคมใหม่ของโลก  
ครอบครัวที่ว่านี้ ชื่อโรบินสัน  ประกอบด้วยพ่อ ศาสตราจารย์จอห์น โรบินสัน (รับบทโดยกาย วิลเลียม) ภรรยาชื่อมัวรีน( แสดงโดยจูน ล็อคฮาร์ท) ลูกสามคนคือลูกสาวคนโต จูดี้ (รับบทโดยดาราใหม่มาร์ธา คริสเตน) เพนนี่(แอนเจลา คาร์ทไรท์) และลูกชายคนเล็ก วิล( รับบทโดยบิลลี่ มูมี่)  อีกคนคือพันตรีดอน เวสต์ กัปตันของยานอวกาศจูปิเตอร์ -2 ที่เป็นพาหนะให้โดยสารไปในอวกาศจนกว่าจะถึงที่หมาย
ในยานอวกาศยังมีหุ่นยนต์ตัวกลมๆอีกตัวหนึ่งที่รู้เรื่องเท่าๆกับมนุษย์     และผู้ร้ายประจำเรื่องชื่อนายแพทย์แซคคารี่ สมิธ  ผู้เป็นสายลับของประเทศมหาอำนาจคู่แข่ง  ลอบขึ้นยานอวกาศไปเพื่อจะตั้งเวลาทำลายยานอวกาศหลังเดินทางออกไป 8 ชั่วโมง
แต่ด้วยความผิดพลาด  หมอสมิธติดไปในยานอวกาศลำนี้ เมื่อออกเดินทาง   ยานไม่ได้ระเบิด แต่ไปผจญกับพายุดาวตกทำให้พลัดออกนอกเส้นทาง  ร่อนเร่ไปลงที่ดาวดวงอื่นๆ ไม่สามารถจะเดินทางไปถึงจุดหมายได้
  

https://www.youtube.com/watch?v=tQzk09j2lZ8

https://www.youtube.com/watch?v=0xCI_maIaRc&list=PLorVqpRad3Yt3wfEBKTdw8b-ojNbLG-VP

คงหมายถึงดาวเคราะห์ในระบบดาวฤกษ์อัลฟา เซนทอรี่  ;D

 ;D

     หนังทีวีเรื่องนี้ตอนเริ่มต้น ก็ทำท่าจะเป็นหนัง Sci-fi  ที่มีน้ำหนักพอๆกับ Star Trek  คือเป็นเรื่องผจญภัยในอวกาศ  มีเทคโนโลยีใหม่ๆมาให้เห็น เช่น สนามพลัง   และเจอมนุษย์ต่างดาวบ้าง สัตว์ประหลาดบ้าง
     แต่เมื่อออกอากาศไปใกล้ๆ 1 ปี   ปรากฏว่านานไป  โจนาธาน แฮริส  ผู้เล่นบทผู้ร้ายในเรื่องคือหมอสมิธก็ยิ่งเล่นได้กินขาด  เข้าคู่กับเด็กน้อยบิลลี่ มูมี่ที่รับบทวิล โรบินสัน  ได้เหมาะเจาะ  จนสองคนนี้เป็นที่นิยมของคนดูมากกว่านักแสดงคนอื่นๆ   
     บทบาทของหมอสมิธก็ถูกปรับจากผู้ร้ายให้เป็นกึ่งผู้ร้ายกึ่งตัวตลก   วิลกลายเป็นดาราเด็กขวัญใจคนดู   จนก้าวขึ้นเป็นพระเอกของเรื่องโดยปริยาย    และหุ่นยนต์ก็กลายเป็นผู้ช่วยพระเอกที่ดังกว่าคนจริงๆในเรื่องเสียอีก

  ทั้งหมดนี้ ทำให้ดาราร่วมแสดงในเรื่อง Lost in Space เดือดร้อนไปตามๆกัน      ไม่ใช่ว่าโจนาธาน  แฮริสไปหยาบคายหรือรังแกอะไรพวกเขา  แต่เป็นเพราะแฮริสตีบทแตก คนดูชอบ ก็เลยได้อภิสิทธิ์ปรับบทผู้ร้ายอย่างหมอสมิธขึ้นมาเป็นตัวเอกได้   
    ดาราที่ถูกวางตัวให้เล่นบทนำตั้งแต่แรก อย่างกาย วิลเลียมส์ และจูน ล็อคฮาร์ท กลับกลายเป็นตัวประกอบ    แทบไม่มีบทแสดงอะไรนอกจากพูดนิดๆหน่อยๆฉากสองฉาก  เพราะเวลาส่วนใหญ่ในเรื่องเน้นไปที่หมอสมิธกับหนูน้อยวิล โรบินสันเสียหมด   
   ความจริงสองคนนี้เป็นดาราใหญ่ในวงการทีวีมาก่อน  กาย เคยรับบท Zorro วีรบุรุษหน้ากากดำค่ายดิสนีย์ และจูนก็เป็นดารานำมาจาก Lassie   ผิดกับโจนาธานซึ่งรับบทผู้ร้ายเป็นตัวรองในทีวีมาตลอด      แต่พระเอกนางเอกก็ต้องยอมกลืนเลือด   รับบทแสดงที่น้อยนิดในแต่ละตอน   เพราะยุค 1960s  ผู้กำกับมีอำนาจสูงสุด   ดาราคนไหนฉีกสัญญาทิ้งก่อนจบเรื่องเป็นอันว่าไม่ได้ผุดได้เกิดในวงการอีกต่อไป 
   บรรยากาศในกองถ่ายตึงเครียดขึ้นเป็นลำดับ   มีผลกระทบต่อการแสดงของดาราคนอื่นๆ  จนกระทั่งจบปีที่ 3  หนังทีวีเรื่องนี้ก็จบชุดลงไปง่ายๆ  ไม่มีตอนจบให้เห็นว่าครอบครัวโรบินสันเดินทางไปถึงจุดหมายในที่สุด     พวกเขาก็ยังลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ

https://www.youtube.com/watch?v=u_AR6Go9U6A

เทคโนโลยีเมื่อ 50 ปีก่อน สร้างหุ่นแอนดรอยด์กับสัตว์ประหลาดต่างดาวออกมาได้แบบนี้

ดาราใน Lost in Space กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของหนังทีวีชุดนี้

  https://www.youtube.com/watch?v=0vYOpXqnNsk&t=22s

โลกพิศวงเวอร์ชั่นจอเงินมีนักแสดงนำจากเวอร์ชั่นจอแก้วรับเชิญมาปรากฏตัวด้วยดังนี้

 Cameo Appearances in Lost in Space(1998)

 ดาราเก่าข้างบนนี้ 4 ใน 6 คน  ตอบรับคำเชิญมาปรากฎตัวในหนังที่ทำใหม่ในปี 1998   แม้มีบทออกมาเพียงแวบสองแวบก็ถือว่าให้เกียรติดาราเก่า 
  ส่วนกาย วิลเลียมส์ถึงแก่กรรมไปเมื่อค.ศ. 1989 
  ที่เหลืออีก 2 คน ไม่อยู่ในหนังเรื่องนี้  ทั้งที่เป็นดารานำในเรื่องมาก่อน  คือบิล มูมี่ที่รับบทวิล หนูน้อยขวัญใจเมื่อ 50 ปีก่อนหน้า  ที่จริงบิลอยากจะเล่นบทวิล โรบินสันที่เติบโตเป็นหนุ่มแล้ว   แต่ผู้กำกับเห็นว่าเอาเขามารับบทวิลเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่เข้ากับเรื่องที่ถ่ายทำใหม่มีดาราชุดใหม่ทั้งหมด     ส่วนโจนาธาน แฮริส เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้รับบทหมอสมิธ แต่เป็นบทรับเชิญเดินไปเดินมาไม่กี่นาที ก็ปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ว่าคนอย่างเขาไม่เคยเล่นเป็นตัวประกอบ

 โจนาธาน แฮริส มาร์ธา คริสเตน และบิล มูมี่

กำลังมาแรงเลยครับ Mission Impossible  พอจะได้มีโอกาสรำลึกถึงวันวานหรือไม่ครับ

เคยเล่าไว้ในกระทู้เก่า   เอามาอีกทีก็ได้ค่ะ

ก่อนจะข้ามไปเรื่อง "ขบวนการพยัคฆ์ร้าย" ขอส่งท้ายด้วย "โลกพิศวง วันวานและวันนี้"  ;D

https://youtu.be/dFaLcqtJHaY

ขอบคุณค่ะคุณเพ็ญชมพู   สงสัยคุณเพ็ญชมพูชอบ Lost in Space มาก
แถมคลิปให้อีก 1 ชุด เพื่อให้เห็นเทคโนโลยีและโปรดักชั่นเมื่อ 50 ปีก่อน

https://www.youtube.com/watch?v=u_AR6Go9U6A

เริ่มรำลึก ขบวนการพยัคฆ์ร้าย Mission Impossible
ในยุคสงครามเย็น  ช่วงทศวรรษ 1960s   รัฐบางอเมริกันติดต่องานกับขบวนการลับ ชื่อ Mission Impossible Force ให้ทำงานลับและยากเย็นแสนเข็ญที่  CIA หรือ  FBI ทำไม่ได้     ไม่มีการติดต่อกันโดยตรงระหว่างบุคคลกับบุคคล   แต่จะมีคำสั่งลับเป็นเทปที่ทำลายตัวเองใน 5 นาทีหลังจากถูกกดสวิตช์เปิด   พร้อมหลักฐานเอกสารที่จำเป็น แนบมาด้วย ส่วนใหญ่เป็นรูปถ่ายบุคคลเป้าหมาย
งานลับพวกนี้ยากเย็นเพราะบางทีมันก็ผิดกฎหมาย  หรือละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ   หรือทำลายองค์กรหรือหัวหน้าองค์กร ที่ไม่ใช่ประเภทสั่งให้ขบวนการนี้บุกเข้าไปยิง หรือวางระเบิดเอาดื้อๆ   แต่จะต้องทำยังไงไม่ให้ทางการบ้านเมืองเอาผิดได้
เพราะฉะนั้นงานว่ายากเย็นแล้ว   ขั้นตอนการวางแผนและลงมือปฏิบัติงานยิ่งยากเย็นหนักขึ้นไปอีก     ส่วนใหญ่ขบวนการ IMF จะต้องวางแผนสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อล่อให้เหยื่อติดกับ แล้วนำไปสู่จุดจบตามที่รัฐบาลต้องการ

มีคำถามว่า ขบวนการ IMF นี้เป็นหน่วยงานของรัฐบาลหรือเอกชน    คือ..มันก็ลึกและลับซะจนไม่มีคำตอบในหนังทีวี ตั้งแต่ปี 1966-1973  ที่หนังชุดแรกออกอากาศ      เพิ่งมามีคำตอบเมื่อมาเริ่มชุดใหม่ในยุค 1980s ว่า IMF เป็นองค์การอิสระ

https://www.youtube.com/watch?v=AvBVGsd4Lzc

Mission Impossible  ตอนนำร่อง (pilot)  
หัวหน้าขบวนการคนแรกแสดงโดย Stepen Hill  เล่นตลอดปีแรก  แต่พอขึ้นปีที่ 2 ก็เปลี่ยนเป็น Peter Graves คงที่มาจนจบชุดใน 7 ปีต่อมา

 https://www.youtube.com/watch?v=QhPwhv2aRZc

 ;D

รูปข้างบนนี้นำมาจาก "ขบวนการพยัคฆ์ร้าย" ในปีแรก  คือปี 1966  เพราะปีเตอร์ เกรฟส์ ยังไม่เข้ามาเป็นหัวหน้ากลุ่ม  มีแต่สตีเวน ฮิล รับบท แดน บริกก์ หัวหน้าขบวนการในปีแรก
สตีเวนแสดงได้ปีเดียวก็ถูกตัดออกจากบทนี้ เพราะมีข้อจำกัดจากความเชื่อทางศาสนายิวออโธด็อกซ์ที่เขานับถืออยู่   เขาไม่ทำงานตั้งแต่หกโมงเย็นวันศุกร์จนถึงค่ำวันเสาร์  บางทีถ่ายทำยังไม่ทันเสร็จ หมดเวลาตามที่เขากำหนดเสียก่อน  สตีเวนก็เดินออกจากฉากเสียเฉยๆ
ข้อจำกัดนี้ทำให้บทของหัวหน้าขบวนการถูกจำกัดลงทุกที ในตอนหลังๆ  บทเด่นกลับไปตกอยู่กับมาร์ติน แลนเดา ซึ่งไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นดาราประจำ  ตกอยู่ในฐานะดารารับเชิญแม้ว่าออกทุกตอน    ในที่สุดสตีเวนก็ถูกตัดบทหัวหน้าออกไปเมื่อจบปีที่ 1   ปีเตอร์ เกรฟส์ ในบทจิม เฟลปส์มารับตำแหน่งหัวหน้าขบวนการแทน   โดยไม่มีคำอธิบายว่าหัวหน้าคนเก่าหายไปไหน

ขบวนการพยัคฆ์ร้าย ผลิตตั้งแต่ 1966-1973  จากนั้นมาผลิตใหม่ในยุค 1980s   ดาราเปลี่ยนกันไปหลายคน  
ชุดที่ดิฉันชอบมากคือดาราชุดแรก ตั้งแต่ปี 1967-73    ผู้สร้างเก่งทั้งการวางตัวละคร และเลือกดารา
ขอแนะนำคนแรก  สายลับสาวชื่อ Cinnamon Carter  รับบทโดย Barbara Bain

หนังเรื่องนี้ท้าทายฝีมือนักแสดง  เพราะสายลับในเรื่องต้องเล่นหลายบุคลิก  แต่ละตอนปลอมเป็นคนโน้นคนนี้ไม่ซ้ำกันเลย   จึงต้องเอาดารามากฝีมือมาเล่นนำ  ส่วนดาราประกอบมี 2 คน  คนหนึ่งเล่นเป็นผู้เชี่ยวชาญทางอีเล็คโทรนิคส์ ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือแปลกๆมาใช้ในงานไม่ซ้ำแบบ    อีกคนเล่นเป็นผู้ช่วย มีหน้าที่แบกหามเครื่องไม้เครื่องมือ และทำงานใช้แรงงานทั้งหลาย   สองคนนี้ไม่ต้องใช้ฝีมือแสดงเท่าไหร่  แต่ก็เล่นเก่งเลยดังทั้งคู่

ดาราชุดแรกมี 5 คนยืนโรง  ในจำนวนนี้มีพยัคฆ์สาวอยู่คนเดียว จึงขอเอ่ยถึงก่อนคนอื่นๆค่ะ
ชื่อในเรื่องของสายลับสาวคือซินนามอน คาร์เตอร์     ชื่อนางถ้าแปลเป็นไทยแล้ว ต่อให้เอานางงามจักรวาลมาเล่นก็คงไม่งามขึ้นมาจนได้  เพราะแปลว่า "อบเชย"   แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษแล้วจะฟังเท่ เก๋ ไม่ซ้ำแบบใคร
อาชีพของซินนามอนคือเป็นนางแบบแฟชั่น    แต่อาชีพที่ไม่เปิดเผยคืออยู่ในขบวนการสายลับ     ซินนามอนต้องทำงานหลากหลายไม่ซ้ำกัน  เช่นเป็นนางนกต่อล่อเหยื่อ     ปลอมเป็นผู้หญิงคนดังในประเทศต่างๆ   เช่นลูกสาวอดีตนายพลนาซี มือขวาของฮิตเลอร์    เป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย    เป็นอะไรสารพัดอย่างที่ไม่มีใครจับความจริงได้เลย
ข้อนี้มันก็แปลก ที่คนเขียนบทกำหนดให้ซินนามอนเป็นนางแบบแฟชั่นระดับลงหน้าปกนิตยสารชั้นนำของโลก    แต่ต้องไปปลอมตัวทำงาน โดยฝ่ายตรงข้ามไม่มีใครจำได้สักคนว่าเธอเป็นนางแบบดัง     ก็ไม่รู้ว่าคนเขียนบทคิดยังไง
ดิฉันเดาว่า คงเป็นการเปิดโอกาสให้บาร์บารา เบนได้แต่งตัวสวยๆ ทำท่าเก๋ๆ ประกอบในเรื่อง สมกับเคยเป็นนางแบบแฟชั่นมาก่อนจะหันมาเอาดีทางการแสดง

บาร์บาราเล่นบทหลากหลายไม่ซ้ำกันในแต่ละตอน   แต่งหน้าทำผม วางกิริยาท่าทางผิดแผกกันทุกตอน  ทำได้เก่งเสียด้วย
จนคว้ารางวัลเอมมี่ติดกัน 3 ปีรวดจากหนังชุดเรื่องนี้ ในฐานะดารานำหญิงยอดเยี่ยม

ปัจจุบัน บาร์บารา เบนอายุ 87 ปี   เกษียณจากงานแสดง แต่ยังทำงานกุศลต่างๆอยู่บ้าง

ยังคงงาม ตามวัยเลยนะครับ

อีกท่านที่ผมชอบมากแก่แต่ยังสวย

ลอเรน เบคอลล์ เสียดายที่ไม่อยู่แล้ว

ตอนที่เล่นเรื่อง The mirror has two faces สวยจริงๆถึงแม้จะอายุมากแล้ว

ออกนอกซอย  เอาลอเรน เบคอลมารำลึกความหลังให้คุณ Azante ค่ะ

บทบาทแตกต่างหลากหลายของซินนามอน คาร์เตอร์ เมื่อรับงานเป็นสายลับในขบวนการพยัคฆ์ร้าย

       พยัคฆ์ร้ายคนต่อมาคือ Martin Landau  เล่นเป็นสายลับ  Rollin Hand  คนนี้เป็นดาวดวงเล็กแต่ฝีมือเฉียบขาดมาก่อนจะเข้าวงการทีวี   เขาเคยรับบทรองๆในหนังใหญ่มาหลายเรื่อง  ก่อนจะมารับบทในหนังทีวี ขบวนการพยัคฆ์ร้าย 
      ตอนแรกมาร์ตินไม่ค่อยอยากจะเล่นหนังชุดนัก เพราะมันกินเวลาทุกสัปดาห์ติดต่อกันเกือบ 10 เดือนในแต่ละปี     ทำให้เขาหมดโอกาสจะเล่นหนังใหญ่ไปด้วย เพราะปลีกตัวไปไม่ได้   เขาก็เลยไม่เซ็นสัญญาระยะยาวกับผู้สร้าง   ไม่นับตัวเองเป็นดารานำแสดง แต่ให้ใช้คำว่า ดารารับเชิญพิศษ
     หนังชุดเรื่องนี้เกิดฮิท   บทบาทของมาร์ตินก็โดดเด่นเป็นที่นิยมของคนดูเอามากๆ   เขาก็เลยเล่นประจำอยู่ถึง 3 ปีก่อนจะลาออกไป เพราะมีปัญหาขึ้นค่าตัวไม่ได้     ผู้สร้างหาเลียวนาร์ด นีมอยหรือคุณสป๊อคจาก Star Trek มาเล่นแทน  คนดูไม่นิยม   นิมอยก็ต้องอำลาจอไป  แต่มาร์ตินก็ไม่ได้กลับคืนมาเล่นหนังชุดนี้อีก 
    ตามบทบาทในเรื่อง รอลลิน แฮนด์กับซินนามอน คาร์เตอร์เป็นเพื่อนร่วมงาน  แต่ในชีวิตจริง ทั้งสองแต่งงานกันตั้งแต่ปี 1957  อยู่กันมาจนปี 1993  รวม 36 ปี ถึงได้หย่าขาดจากกัน   

       รอลลิน แฮนด์ พยัคฆ์ร้ายในเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีสีสันมากกว่าตัวละครอื่นๆทั้งหมด   ในเรื่องบอกว่าเขาผ่านมาสารพัดอาชีพ  เป็นนักแสดง  นักมายากล  เปลี่ยนเสียงพูดได้หลายแบบ   เล่นบทเลียนแบบบุคคลจริงๆได้หลากหลาย  แต่งหน้าปลอมตัวได้อย่างมืออาชีพ  
       เพราะฉะนั้นในแต่ละตอน   รอลลินจะเล่นบทไม่ซ้ำกัน  หลากหลายย่ิ่งกว่าซินนามอน คาร์เตอร์    เป็นได้ทุกระดับตั้งแต่คนยากจนไปจนเศรษฐีไฮโซ     บางครั้งก็สวมบทปลอมตัวเป็นเหยื่อเขาได้แนบเนียน (ผู้กำกับให้มาร์ตินเล่นเองทั้งสองบท)
      บทหลากหลายนี้เองทำให้มาร์ติน แลนเดาโดดเด่นในหนังชุด    แม้แต่ปีเตอร์ เกรฟส์เองก็ไม่มีบทหลากหลายเท่า   มักจะได้รับบทนิ่งๆ เป็นพระเอกแต่งสูทตลอดกาล    เมื่อมาร์ตินอำลาเรื่องนี้  หนังชุดก็เป๋ไปพักใหญ่  หาดารามาเทียบเขาไม่ได้

เพิ่งทราบว่าตอนหลัง มาร์ติน แลนเดากับบาร์บาร่า เบน หย่ากัน  ชอบคู่นี้มากค่ะ  ดูหน้าตาดีเหมาะสมกัน  
เคยดูแสดงคู่กันหลังๆ ก็ เรื่อง space 1999

ค่ะ  ทั้งสองคนลาออกจากหนังขบวนการพยัคฆ์ร้ายไปเล่นเรื่อง Space 1999 ซึ่งออกอากาศตั้งแต่ปี 1975-1977 เป็นหนังของอังกฤษร่วมมือกับอิตาลี  แต่เอาดาราอเมริกันมาเล่นเพื่อจะขายในอเมริกาได้ค่ะ

หลังจากคุณปู่มาร์ตินแกหย่าภรรยาเมื่ออายุ 65 แล้ว แกก็ไม่ได้แต่งงานใหม่  แต่ว่ามีสาวคู่ใจคบหากันอยู่จนแกจากไปเมื่อปี 2017 นี้เอง อายุ 89 ปี
รูปนี้  สาวคนซ้ายคือลูกสาวเกิดจากบาร์บาร่า เบน  และคนขวาคือ "เพื่อนใจ" ค่ะ

ขอแถมท้ายว่า อาชีพดาราของบาร์บาร่ารุ่งโรจน์มาตลอดจนอายุเข้า 50  ก็ไม่มีงานให้ทำอีกต่อไป  เช่นเดียวกับดาราสาวๆทั้งหลายที่พอพ้นวัยสาวก็ตกงานกันเป็นแถว    เธอก็อำลาฮอลลีวู้ดไปอยู่ในนิวยอร์ค
ส่วนมาร์ตินโชคดีกว่าดาราอีกมาก คือสามารถกลับคืนสู่จอเงินได้สำเร็จ   กลับมาดังอีกครั้งเมื่อล่วงวัยกลางคนไปแล้วในยุค 1980s  มีหนังดีๆมาให้เล่นหลายเรื่อง จนสามารถคว้าตุ๊กตาทองดาราสมทบชายยอดเยี่ยม มาครอบครองได้ในปี 1995  จากหนังเรื่อง Ed Wood

https://www.youtube.com/watch?v=pc5uF1I1eNk

พึ่งได้ไปดู Mission Impossible Fall Out แล้วครับ สนุกมาก ลุ้นทุกตอน
หายใจหายคอแทบไม่ทัน ดูไปเกร็งไป ผู้ชมข้างๆก็ออกอาการตื่นเต้นไปด้วย

พระเอก แทบจะเป็น one man show เลย คงไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่ดู
จะร้ายกันทั้งขบวน

ตัวอย่างค่ะ Mission Impossible Fall Out

https://www.youtube.com/watch?v=wb49-oV0F78

Peter Lupus   ดาราประกอบในชุด Mission Impossible เมื่อ 50 ปีก่อน 

บรรดาดาราในเรื่องนี้ คอหนังไทยประเภท "ระเบิดภูเขา เผากระท่อม" คงจำได้อยู่คนเดียวคือ  เกร็ก มอร์ริส ในภาพยนตร์เรื่อง "ทอง" ของอาหลอง ภักดีวิจิตร  ;D

https://youtu.be/msi1TV5k-48

 Greg Morris  เล่นใน Mission Impossible มาตั้งแต่ปีแรก  และอยู่ยงคงกระพันมาจนจบปีที่ 7   เช่นเดียวกับ Peter Lupus 
  บทบาทของเกร็ก มอริสไม่ค่อยโดดเด่นในด้านแสดงฝีไม้ลายมืออย่างมาร์ติน แลนเดา   แต่ก็เป็นตัวที่ขาดเสียมิได้ในขบวนการพยัคฆ์ร้าย    เพราะเขารับบทบาร์นี คอลลิเยร์ ผู้เชี่ยวชาญทางอีเล็กโทรนิคส์  และสิ่งประดิษฐ์ต่างๆที่ช่วยในการทำงานของสายลับ     ในเรื่องเราถึงเห็นเกร็กทำงานติดตั้งอุปกรณ์ดักฟัง   ดัดแปลงฉากห้องให้กลายเป็นคุก  หรืออะไรที่มันพิสดารกว่านั้น     โดยมีผู้ช่วยที่คอยยก แบก หาม  ปีน ฯลฯ คือปีเตอร์ ลูปัส ที่ในเรื่องชื่อวิลลี่ อาร์มิเตจ
 เกร็กเล่นอยู่ 7 ปีจนขบวนการพยัคฆ์ร้ายจบลงไป  จากนั้นเมื่อเรื่องนี้ถูกเอากลับมาปัดฝุ่นใหม่ในช่วงทศวรรษ 1880s  เกร็กซึ่งยังอยู่ในวงการก็กลับมาเล่นบทเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นดารารับเชิญอยู่ไม่กี่ตอน    ดาราประจำที่เล่นบทผู้เชี่ยวชาญทางอีเล็คโทรนิคส์แทนเขาคือฟิล มอริส ลูกชายเขาเอง  ในเรื่องฟิลเล่นเป็นลูกชายของบาร์นี   มารับงานต่อจากพ่อผู้เกษียณแล้ว

     เมื่อมาร์ติน แลนเดาและบาร์บาร่า เบนลาออกไปในปีที่ 3   ขบวนการพยัคฆ์ร้ายได้เลียวนาร์ด นิมอย "คุณสป๊อค" จาก Star Trek กับเลสลี่ แอน วอร์เรนมาแทน    เกร็คกับปีเตอร์ยังคงยืนพื้นอยู่ในเรื่อง เช่นเดียวกับปีเตอร์ เกรฟส์ ที่รับบทจิม เฟลปส์ หัวหน้าขบวนการ
      เกร็กน่าจะรักเรื่องนี้มาก   เมื่อขบวนการพยัคฆ์ร้ายถูกทำเป็นหนังใหญ่ในปี 1996  ทอม ครูซเล่นเป็นพระเอก   เรื่องกลายเป็นว่าผู้ร้ายในเรื่องคืออดีตหัวหน้าสายลับจิม เฟลปส์   เกร็กถึงกับเดินออกจากโรงกลางคัน ด้วยความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง  เขาให้สัมภาษณ์ว่า " เรื่องนี้มันน่ารังเกียจที่สุด"
     เกร็กเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 62 ปีในค.ศ. 1996   ด้วยโรคเนื้องอกในสมอง

  ย้อนกลับมาที่ปีเตอร์ ลูปัส  เขาเป็นลูกครึ่งเลบานอนกับอเมริกัน แต่เกิดที่อเมริกา   โตขึ้นปีเตอร์เอาดีทางเป็นนักเพาะกาย   ผ่านเวทีประกวดชายงามมาหลากหลาย    ได้รางวัลมาหลายรางวัล  จนเข้ามาสู่แวดวงการแสดง รับบทตัวประกอบในหนังบ้างทีวีบ้างมาหลายเรื่อง  โดยเฉพาะหนังเกรดบี ในแนวพระเอกนักกล้ามโบราณสไตล์เฮอร์คิวลิส ซึ่งเป็นบทที่ตกความนิยมไปแล้ว
  ปีเตอร์ได้รับคัดเลือกมาเล่นเป็นวิลลี่ อาร์มิเตจ ในขบวนการพยัคฆ์ร้าย  เพราะผู้กำกับต้องการบทนักแสดงที่กำยำ ช่วยงานด้านที่ต้องใช้แรง  มากกว่าฝีมือการแสดง  ก็เลยเลือกเขามาเล่น   
 บทที่ว่านี้หนักไปทางเป็นจับกังเสียมากกว่าบทพูด   มีอยู่หลายตอนที่วิลลี่ อาร์มิเตจแบกโน่นยกนี่อย่างเดียว ไม่มีบทพูดกับใคร   แต่ปีเตอร์ก็แสนจะดี ก้มหน้าก้มตาเล่น  ไม่ต่อรอง ไม่ขึ้นค่าตัว ไม่ทำอะไรทั้งนั้นนอกเหนือจากบทที่ได้รับ
  เล่นมาจนปีที่ 5    ผู้กำกับเกิดรำคาญขึ้นมาว่าบทวิลลี่ อาร์มิเตจ ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้  ก็เลยถอดเขาออกจากเนื้อเรื่อง   ตั้งใจจะหาดาราใหม่มาแทน   ปรากฏว่าจดหมายแฟนคลับหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ  เรียกร้องให้นำดารารูปหล่อกล้ามใหญ่คนนี้กลับมาอีกครั้ง      ก็เลยเพิ่งเป็นที่รู้กันว่าบทเงียบๆของวิลลี่ ชนะใจคนดูได้ไม่เบาเลย     เขาก็เลยได้กลับมาเล่นอีกครั้ง  คราวนี้โชคดีได้เพิ่มบทพูด บทบู๊ต่อสู้ สมศักดิ์ศรีขึ้นมาหน่อย จนขบวนการพยัคฆ์ร้ายอำลาจอ

  เมื่อขบวนการพยัคฆ์ร้ายจบ  ปีเตอร์ไปเล่นเป็นดารารับเชิญในหนังทีวีเรื่องอื่นๆ เช่นเดียวกับเส้นทางเพื่อนร่วมงาน  ที่โดดเด่นกว่าคนอื่นคือไปเป็นนายแบบให้นิตยสาร  Playgirl ในปี 1974  ด้วย  จากนั้นก็ไปเล่นโฆษณาเป็นซูเปอร์แมนให้กองทัพอากาศ

   เมื่ออายุ 75 ปีเตอร์ทำสถิติโลกยกน้ำหนัก 77,560 pounds ได้ยาวนานถึง 24 นาที 50 วินาที
   ปัจจุบันอายุ 86 ปี ค่ะ ยังแข็งแรงดี

ตัวอย่างในขบวนการพยัคฆ์ร้าย

https://www.youtube.com/watch?v=tz4M9iWocOw

กาลครั้งหนึ่งก่อนสมาชิกเรือนไทยเกิด( ราวทั้งคุณหมอเพ็ญและคุณหมอศิลา แฟนประจำกระทู้นี้ด้วย)   ฮอลลีวู้ดทำหนังพระเอกจอมพลัง ฮิทกันอยู่พักหนึ่ง   ก่อนจะตลาดวายในช่วงต้น 1960
ปีเตอร์ ลูปัสก็ได้เล่นกับเขาด้วยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=a64z3CCkSgU

https://www.youtube.com/watch?v=vUpbFKYsPSk

ลืมดาราสำคัญของเรื่องนี้ไปเลย  ปีเตอร์ เกรฟส์ ผู้รับบทจิม เฟลปส์ หัวหน้าขบวนการพยัคฆ์ร้าย

ปีเตอร์เป็นดาราดวงค่อนข้างใหญ่ในวงการทีวีมาก่อน    เพราะเคยแสดงนำในหนังทีวีมาหลายชุดด้วยกัน ตั้งแต่ปี 1955 เล่นเป็นดารานำในหนังชุดสำหรับครอบครัว  เรื่อง Fury  ตัวเอกคือเจ้าฟิวรี่เป็นม้าดำแสนรู้   ต่อมาในปี 1960-61 ก็ข้ามไปเล่นหนังชุดที่ถ่ายทำในออสเตรเลียเรื่อง   Whiplash จากนั้นก็ไปเล่นหนังชุดให้อังกฤษ เรื่อง Court Martial ในปี 1966
จบจากหนังเรื่องนี้หมาดๆ  เขาได้รับทาบทามให้มาเล่นเป็นหัวหน้าขบวนการพยัคฆ์ร้าย แทนคนเดิมที่มีปัญหาส่วนตัว   เขาอยู่ในหนังเรื่องนี้ต่อมาอีก 6 ปีจนหนังจบชุดไป     แต่ความสัมพันธ์ก็คืนกลับมาอีกในปี 1988 เมื่อมีการปัดฝุ่นนำเรื่องนี้มาสร้างใหม่    ดาราประจำล้วนเป็นคนหน้าใหม่   แต่ผู้สร้างเอาตัวปีเตอร์กลับมาเล่นบทเดิมเป็นจิม เฟลปส์ อีกครั้ง
เมื่อขบวนการพยัคฆ์ร้ายทำเป็นหนังใหญ่     ปีเตอร์ ปฏิเสธจะเล่นบทจิม เฟลปส์ที่เป็นบทดังสุดของเขา เพราะเนื้อเรื่องสร้างให้จิมกลายเป็นฆาตกรตัวจริง สังหารพยัคฆ์ร้ายไปถึง 3 คนและตอนจบตายในเฮลิคอปเตอร์ระเบิดเสียอีก     บรรดาดาราเก่าที่เคยเล่น ไม่แฮปปี้กับเรื่องนี้ไปตามๆกัน  แต่หนังใหญ่ที่ทอม ครูซเล่นก็ประสบผลสำเร็จดี จนทำกันออกมาอีก

บทดังอีกบทหนึ่งของปีเตอร์คือในหนังเรื่อง Airplane! ในปี 1980  ตามมาด้วยภาค 2   Airplane II: The Sequel ในปี 1982
ปีเตอร์ เกรฟส์อยู่มาจนปี 2010  จึงจากไปด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน   อายุ 84 ปี

รูปในวัยต่างๆ

ในยุค 1960s มีหนังชุดทางทีวีดังๆหลายเรื่องที่มาฉายทางช่อง 4 บางขุนพรหม   แต่บางเรื่องก็จบไปก่อน 1968  เช่น Gilligan's Island   บางเรื่องก็เริ่ม 1969   เลยไม่ได้นำมารวมไว้ในกระทู้นี้
คงจะจบกระทู้เพียงแค่นี้ละค่ะ

Mission(: Impossible - The) Complete (Series)

ขอบคุณมากค่ะ  กระทู้นี้ได้เจอเพื่อนเก่าในวัยเด็กหลายคนเลย  แต่ละคนร่วงโรยและลาลับไป  เทคโนโลยีการถ่ายทำมาดูตอนนี้ก็ดูล้าสมัย  แต่ก็ชวนให้นึกถึงความสุขสนุกสนานในครั้งอดีต

ตอนเด็กๆดูอะไรก็สนุกไปหมด     ฉากที่แสนจะเห็นว่าเป็นฉากวาด ก็ยังดูเหมือนของจริงในสายตาเด็กๆ   เนื้อเรื่องก็สนุกสนานน่าตื่นเต้น เดาไม่ถูก
กลับไปดูหนังเก่าใน youtube  ไม่ยักสนุกเท่าในอดีตอีกแล้วค่ะ   :'( :'( :'(

Star Trek มีภาคต่อทางโทรทัศน์ออกมาเมื่อปีที่แล้วนี่เองครับ เป็น Star Trek: Discovery

ส่วน Lost in space ก็ถูกนำมาทำใหม่เช่นกัน ออกฉายปีนี้เองครับ

ทั้งสองเรื่องหาดูได้ทาง streaming ค่าย netflix ซึ่งการ streaming ผ่าน "อินทรเนตร" คงเป็นวิธีการรับชมที่ได้รับความนิยมสำหรับคนรุ่นใหม่ละครับ.

ขอบคุณค่ะ ต้องไปหาดูเสียแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=oWnYtyNKPsA

https://www.youtube.com/watch?v=fzmM0AB60QQ

สนุกแน่นอนครับ :)

Star Trek: Discovery จับความเอาตอนประมาณ 10 ปี ก่อนที่กัปตันเคิร์ก คุณต้นหน spock และบรรดาตัวละครที่โด่งดังจากยุคคลาสสิคของ Star Trek จะเข้าร่วมกับ Star Fleet

โดยตัวละครหลัก ๆ ของซีรีส์ชุดนี้ เป็นผู้หญิง และ LGBTQ เป็นส่วนใหญ่ มิเชล โหย่ว มารับบทกัปตันยานที่มีบทบาทในช่วงต้นเรื่อง และตัวเอก ไมเคิล เบอร์แนม ก็แสดงโดยนักแสดงหญิงผิวสี Sonequa Martin-Green แม้แต่ตัวละครคลิงออนที่มีบทเด่นในช่วงท้ายเรื่องก็เป็นเพศหญิง

แต่การดำเนินเรื่องเต็มไปด้วยฉากแอคชั่น ต่างจากเวอร์ชั่นคลาสสิคที่ไม่ได้เน้นด้านนี้มากนัก



ปกติแล้วนิยายวิทยาศาสตร์ หรือซีรีส์ไซไฟ ก็มักจะเอาความไซไฟของตนมาวิจารณ์ หรือบอกเล่าเรื่องราวในยุคที่เขียนเรื่องขึ้นมาเสมอ ๆ เช่น สถาบันสถาปนา ของ ไอแซค อาซิมอฟ ก็สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสังคม (แม้แต่เผด็จการ/เสรีภาพ/ความมั่นคงยั่งยืนของมนุษยชาติ) ความคิดเห็นส่วนตัวหลังจากชมจบไป 1 ฤดูกาลแล้ว นอกจากการเชิดชูเพื่อนหญิงพลังหญิง ยังเห็นเรื่องความอันตรายของ Fundamentalism อีกด้วยครับ.

1  งั้น Star Trek ชุดนี้ก็คือหนังวายน่ะซีคะ

2  เป็นยังไงคะ สนใจคำตอบ กรุณาขยายความ

1 ค่อนไปทางสิทธิสตรีมากกว่าหนังวายครับ :)

2 ซีรีส์จับเนื้อหาก่อนเกิดสงครามระหว่างคลิงออนกับพวก United Federation of Planets (ฝั่งพระเอกตามท้องเรื่อง) สถานการณ์ตอนนั้นเหล่าคลิงออนมีความคิดแตกแยกกัน แถมยังแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างตระกูล เมื่อได้เริ่มพบกับพวก UFP ที่โปรโมทเรื่องสิทธิเท่าเทียมกันระหว่างเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ และการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตร ก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนทางความคิดของกลุ่มต่าง ๆ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเห็น UFP เป็นอริ แต่ก็มีบางส่วนที่สนใจแนวคิด

แต่แล้วก็เกิด ทคุฟม่า คลิงออนหนุ่มผู้เชื่อมั่นในคำสอนดั้งเดิมของ คาห์เลส และอ้างคำสอนโบราณของคลิงออนสุดโต่งรวมเหล่าคลิงออนเข้าด้วยกันเพื่อเริ่มสงครามต่อต้านสิทธิเท่าเทียมกัน และสันติภาพ กับ UFP


ศาสนาเมื่อผ่านกาลเวลา มักผสมกลมกลืนกับความเชื่อพื้นเมือง หรือแนวคิดใหม่ ๆ ศาสนาพุทธเมื่อเข้าสู่สุวรรณภูมิก็กลืนเอาศาสนาผีของคนไท และชาวอุษาคเนย์อื่น ศาสนาอื่น ๆ เมื่อผ่านกาลเวลาก็มักเห็นแก่มนุษยธรรมมากกว่าจารึก คุณค่าใหม่ ๆ ที่สังคมให้ค่าเพราะเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ก็นำพาสังคมไปในทางที่มีความอดทนอดกลั้นมากขึ้น

อาจเพราะประสบการณ์ของผม จึงตีความ Star Trek: Discovery ไปในทางนี้ครับ.

เวลาผ่านมากว่าครึ่งทศวรรษ    ดาราของหนังชุด ตะลุยจักรวาล Star Trek  ต่างก็ไปตะลุยจักรวาลอื่นกันเกือบหมดแล้วค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=z2eqnpT4lu4

เชิญต่อที่กระทู้นี้

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=7216.new#new
 หนังทีวีเมื่อหลายสิบปีก่อน : วันวานและวันนี้