นายแพทย์มัลคอล์ม สมิธ ชาวอังกฤษ ได้รับการชักนำจากสมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงศภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ถวายการดูแลพระพลานามัยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง พระราชมารดา ณ พระราชวังพญาไท และปฏิบัติหน้าที่ในราชสำนักสยามอยู่หลายปี จึงมีความใกล้ชิดกับเจ้านายชั้นสูงของไทยหลายพระองค์
เขาได้เขียนไว้ในหนังสือ “A Physician at the Court of Siam” ซึ่งกรมศิลปากรนำมาแปลในชื่อ “ราชสำนักสยามในทรรศนะของหมอสมิธ” เล่าเรื่องไปเฝ้า พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์ร์ พระเจ้าน้องนางร่วมพระมารดาของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ซึ่งยังประทับอยู่ในวังหน้าหลังกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสิ้นพระชนม์ชีพแล้ว มีความตอนหนึ่งว่า
“...เจ้านายผู้ทรงมีพระอารมณ์ดีและช่างตรัส พระชนมายุอยู่ราว ๖๕ พรรษา พระองค์ประทับอยู่ตามลำพังภายในห้องซึ่งมีขนาดใหญ่โตและกว้างขวาง ตามบริเวณผนังห้องมีตู้ทุกขนาดทุกแบบตั้งเรียงรายอยู่ บางตู้ก็ใช้เก็บถ้วยชาม และบางตู้ก็ตกแต่งเล็กๆน้อยๆสำหรับตั้งโชว์เครื่องปั้นดินเผาของจีนประเภทชามและแจกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน-ขาว และล้วนแต่เป็นของมีค่า โดยปกติแล้วเจ้านายพระชันษาสูงๆเหล่านี้มักจะเรียกใช้ข้าพเจ้าโดยมิได้ประทานสิ่งของใดๆเป็นการตอบแทน แต่สำหรับพระองค์จันทร์ซึ่งมักจะทรงมีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาเฝ้าอยู่บ่อยครั้ง พระองค์จึงได้ประทานเครื่องปั้นดินเผาที่ทรงสะสมไว้มาให้ข้าพเจ้าชิ้นหนึ่ง
พระองค์จันทร์ทรงมีรับสั่งกับข้าพเจ้าว่า “ลองเดินดูไปรอบๆสิ ดูซิว่าท่านชอบชิ้นไหน”
วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินสำรวจไปรอบๆห้อง ข้าพเจ้าได้เปิดลิ้นชักๆหนึ่งออกดู และพบว่ามีกระดาษหนังสือพิมพ์ฉีกเป็นชิ้นๆ ขนาดเท่าๆกันวางอยู่ ข้าพเจ้าจึงทูลถามว่า “มันคืออะไรขอรับ”
พระองค์จันทร์ได้ตรัสตอบพร้อมกับทรงพระสรวลเสียงดังว่า “มันคือกระดาษชำระ”
ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าที่พระองค์ทรงเรียกเช่นนั้นไม่ใช่เพราะไม่ทรงรู้จัก แต่การพูดอธิบายความเช่นนี้น่าจะเป็นการง่ายต่อความเข้าใจมากกว่า ในสถานการณ์เดียวกันนี้หากเป็นหญิงสาวชาวยุโรปก็คงจะรู้สึกกระดากอาย แต่ความรู้สึกดังกล่าวกลับมิได้เกิดขึ้นกับเจ้านายพระองค์นี้ และการที่พระองค์มิได้ทรงใส่พระทัยในกฎเกณฑ์ และทรงเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องน่าอาย สามารถทำให้พระองค์ตรัสได้อย่างไม่ขัดเขิน และเหมือนว่าจะพอพระทัยเช่นนั้นด้วย
หลังจากที่ข้าพเจ้าอธิบายให้ฟังว่ากระดาษชำระมีลักษณะเช่นไรแล้ว พระองค์จันทร์ทรงให้ความสนพระทัยและตรัสว่า “นำมาให้ฉันสิ แล้วฉันจะให้เครื่องปั้นดินเผาท่านอีกชิ้นหนึ่ง”
ในการเข้าเฝ้าครั้งต่อมา ข้าพเจ้าจึงได้นำกระดาษชำระ ๖ ม้วนใหญ่มาถวาย พระองค์จันทร์ได้ประทานแจกันดินเผาสมัย K’ang Hsu ประมาณปี ค.ศ.๑๗๐๐ อายุไม่ต่ำกว่า ๕๐ รัชกาลมาแล้ว ให้แก่ข้าพเจ้าอีกใบหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าไม่ถือว่าเป็นการขโมย แต่ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันมากกว่า เพราะพระองค์จันทร์เองก็ทรงพอพระทัยในกระดาษชำระที่ข้าพเจ้านำมาถวาย และข้าพเจ้าเองก็พอใจในแจกันที่พระองค์ประทานเช่นกัน”
สถานที่ที่หมอสมิธกล่าวถึงนี้ ก็คือพระตำหนักหนึ่งในวังหน้า ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนครในปัจจุบัน เมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสวรรคตในปี ๒๔๒๘ แล้ว รัชกาลที่ ๕ โปรดให้จัดพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ และพระที่นั่งศิวโมกพิมาน เป็นพิพิธภัณฑ์ ส่วนชั้นในยังมีเจ้านายทั้งราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯและพระราชธิดากรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเสด็จมาประทับ รวมทั้งพระองค์เจ้าวงจันทร์ซึ่งเป็นเจ้านายที่พระชนมายุยืนยาวมาถึงรัชกาลที่ ๖ และสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.๒๔๕๙ ขณะทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฝ่ายในวังหน้า
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9610000013171