บรรพบุรุษคุณบุ้งคงมิใช่พวกเจ๊กเลว ที่คุมพวกออกปล้นฆ่าซ้ำเติมประเทศที่ตัวเองได้หนีภัยเข้ามาอาศัยเป็นที่ค้มภัยดอกครับ
ถ้าหมายถึงช่วงกรุงแตก เห็นทีจะไม่ใช่แน่ๆ เพราะบรรพบุรุษของหนูเพิ่งเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเมื่อไม่ถึงร้อยปีนี่เองค่ะ
กลับเข้ามาที่บทเรียนกันต่อ
กำลังจะเข้ากลดหักทองขวางค่ะ
หนูขออนุญาตนำเสนอข้อเท็จจริงตามพงศาวดารอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อปี พ. ศ ๒๓๓๑ หลังสร้างกรุงฯ ได้ เพียง ๖ ปี
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (ทรงศักดินา ๔๐,๐๐๐)
พระชนมายุครบ ๒๑ พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระราชศรัทธา จะให้ทรงผนวชถวายพระราชกุศล พร้อมกับพระเจ้าหลานเธอ ๒ พระองค์ คือ เจ้าฟ้า กรมหลวงนรินทรนเรศร์ และเจ้าฟ้า กรมหลวงเทพหริรักษ์ (ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐)
ปรากฏว่าแม้ธรรมเนียมโบราณให้ผู้มีศักดินาสูงกว่าเป็นนาคเอก
แต่ครั้งนั้นการกลับกลายเป็นว่าพระเจ้าหลานเธอ ทั้งสองพระองค์ ทรงเป็นนาคเอกและนาครอง
เพราะมีพระชนม์แก่กว่าพระเจ้าลูกยาเธอ
ดังนั้น หลังสร้างกรุงฯ ระเบียบแบบแผนยังไม่ลงตัว
อะไรที่ผิดแผกแหวกธรรมเนียม แต่หาก ธ ประสงค์ใด
ก็ทรงดลบันดาลให้เป็นไปตามพระราชหฤทัยได้
กลับมาถึง “กลดหักทองขวาง”
หนูยังเชื่อว่า “เจ้าเณรน้อย” คือ “พระองค์เจ้าวาสุกรี”
และการที่ “เจ้าเณรน้อย” ได้รับเกียรติสูงส่ง เพราะเป็น “พระองค์เจ้า”
ที่เป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระมหากษัตริย์ขณะนั้น ซึ่งจะได้รับเกียรติสูงกว่า “พระองค์เจ้า”
ที่เป็นพระหน่อของ “วังหน้า” และ “วังหลัง”
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (กรมพระวังหลัง) ก็เป็นที่โปรดปรานของ ร. ๑ มาก
ตอนพระองค์ทรงผนวชในปี พ.ศ. ๒๓๔๕ ที่วัดพระศรีสรรพเพชญดาราม (วัดพระแก้ว)
“พระองค์เจ้าวาสุกรี” ขณะนั้นมีพระชนม์ ๑๒ พรรษา ก็ทรงผนวชเป็นหางนาคของกรมพระวังหลัง
ภายหลังที่กรมพระวังหลังทรงลาสิกขาแล้ว แต่เจ้าเณรยังทรงผนวชต่อ
ยังความปลาบปลื้มแก่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นอันมาก
เพราะเป็นครั้งแรกที่เจ้านาย เสด็จอยู่ในร่มกาสาวพัตร์เป็นเวลานาน
เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงพอพระทัย ก็น่าจะทรงพระราชทาน “กลดหักทองขวาง” ได้