พล่ามเรื่อง Diner ต่อ....
(โฆษณานี้มีอยู่ในหนัง ในช่วงที่เพื่อนคนหนึ่งไปหาแฟนในห้องส่ง ทีวี ผมติดใจที่รถ Renault รุ่นนี้มีแตรให้เลือกใช้ 2 แบบ (1.02) คือแบบ city horn และแบบ country horn ผมเห็นรถรุ่นนี้วิ่งให้ว่อนในกรุงเทพฯ มาตั้งแต่จำความได้ แต่ไม่เคยรู้เรื่องแตรนี้มาก่อน)
ฉากนี้เป็นการเล่าประสบการณ์ของคนที่แต่งงานแล้วให้กับหน้าใหม่ที่กำลังจะแต่งงาน ทำนองกฤษณาสอนน้อง มุมมองของเธอน่าฟังไม่หยอก เป็นอีกหนึ่งบทของการเรียนภาษาอังกฤษกับหนังที่หาไม่ได้ในชั้นเรียน (ใน clip มีคำบรรยายอยู่แล้ว) เริ่มต้นที่ 0.50
[(1.47) – ‘We can “bullshit”]
บทเรียนบทที่ 3 เป็นความรู้รอบตัว
เริ่มที่ 0.10
A spaceship is stranded on the planet Mercury outside of the libration areas.
It is night, and pitch black outside.
For 10 points, how long must the explorers wait until sunrise?
Kevin Bacon พูดแทรก .... The sun doesn't rise on Mercury.
(ชื่อสาวผู้เข้าแข่งขัน ฟังไม่ออก)… They won't get a sunrise because Mercury has one side perpetually turned toward the Sun and the other away from it.
That's right. They would have to wait forever. That's the answer.
ผมล่อ clips ใน youtube มาจน (เกือบ) หมด รวมถึงฉากเดี่ยวเปียโนของเพื่อนคนที่ 6 (นึกว่าจะแค่เอ่ยถึงเฉย ๆ เสียแล้ว) ในเรื่องเธอกำลังศึกษา ป. โทอยู่ และกลับมาเพื่อร่วมงานแต่งเพื่อน (SG) ซึ่งเกือบจะไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลงี่เหง้าคือ สาวรู้เรื่อง American football ได้ไม่สะใจหนุ่มเท่าที่ควร
นักแสดงคนนี้ชื่อ Timothy Daly (ต่อมาเหลือแค่ Tim) เธอเล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกแล้วก็มีหนังให้เล่นมาตลอดรวมถึงหนังชุดทางทีวี แต่ไม่มีเรื่องไหนเด่น เท่าที่เคยดูมาผมว่าบท ศาสตราจารย์สติเฟื่อง ใน Dr. Jekyll and Ms. Hyde (1995) น่าจะคุ้นตาพวกเราที่สุด (น่าเล่าไม่หยอก)
หนังจบที่งานแต่งงานของเพื่อนที่ว่าซึ่งคนดูไม่มีโอกาสเห็นหน้าเจ้าสาว (ทุนเงินค่าจ้างนักแสดงไป) ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของเพื่อนกลุ่มนี้ทำให้หนังมีบรรยากาศอบอุ่นมาก มีอยู่บางฉากที่ส่อให้คิดไปล่วงหน้าได้ว่า 'เดี๋ยวเหอะมึง เลือดสาด' แต่ก็ปรากฏว่าเหตุการณ์พลิกผันกลายเป็นเรื่องที่แก้ไขได้โดยละม่อมหรือไปไม่ถึงจุดนั้น (ด้วยความโล่งอก) น่าเสียดายฉากเหล่านี้และอีกหลาย ๆ ฉากที่ไม่มีใครเอามาปล่อย ครั้นจะทำเองก็กลัวลิขสิทธิ์
(Timothy Daly, Mickey Rourke, Daniel Stern, Kevin Bacon, Steve Guttenberg, Paul Reiser แต่ละคนหน้าตาบ้องแบ๊ว)
และอีกอย่าง (ความจริง 2) ที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้คือเพลงประกอบในยุคนั้นที่คุ้นหูยัดเข้ามาเป็นกระตั๊ก รวมถึงรถสวย ๆ ที่ฉวัดเฉวียนอยู่ในฉาก โดยเฉพาะ Hudson Hornet 1952 คันโปรดคันนี้
(ในท้องเรื่องของหนัง (1959) นี่ มันอายุ 7 ปีแล้ว)
รุ่น Commodore/Hornet (หน้าตาเหมือนกันดิก ต้องสังเกตแผ่นป้ายที่ติดที่ตัวถัง และถ้ามีหงอนสามเหลี่ยมที่หน้าหม้อก็ Hornet รุ่น Hornet เครื่องจะแรงกว่า) เริ่มการผลิตมาตั้งแต่ปี 1941 พอถึงปี 1948 อันเป็นสายการผลิตของรุ่นที่ 3 โครงสร้างตัวถังที่ออกแบบใหม่ทำให้มันเป็นรถที่มีชื่อเสียงในแง่ที่ว่าเป็นรถอเมริกันยี่ห้อแรก ๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เปลี่ยนโฉมในการเข้าไปนั่งภายในห้องโดยสาร ซึ่งปกติรถสมัยนั้นเวลาจะเข้า ต้องก้าวขึ้นบันไดเข้าไปภายใน แต่รถ Hudson ตั้งแต่ปี 1948 ไม่มีบันไดแบบเก่า จึงแค่ ‘ก้าวเข้าไป’ เหมือนรถปัจจุบัน
การออกแบบเช่นนี้ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถต่ำอันเป็นผลให้เกาะถนนได้แน่นหนากว่ารถอื่น ๆ ในยุคเดียวกัน แล้วก็ไม่โคลงเคลงเวลาเข้าโค้ง บวกกับการออกแบบตัวถังเป็นแบบที่เรียกว่า ‘stepdown’ (สังเกตจากด้านหลัง จากหลังคาก้าวลงมาเรื่อย ๆ จนถึงดิน) ทำให้มันวิ่งได้เร็วหายห่วง (รุ่น Hornet จะใช้เป็นรถแข่งประจำ) แล้วยังปลอดภัยด้วย รุ่นที่ 3 นี่สร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทฯ ที่สุด
บ. ผลิต รุ่น Commodore/Hornet มาตั้งแต่ปี 1941 จนถึงปี 1952 จากนั้นเสถียรภาพของบริษัทก็คลอนแคลนจนถึงปี 1954 ก็ต้องรวมกับบริษัทรถยี่ห้ออื่นเพื่อความอยู่รอด