กระทู้: ระบบการศึกษาและอำนาจในสังคมไทย : ก็อปมาจากมติชน เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 25 พ.ค. 01, 09:53 บังเอิญได้อ่านมิติชนสุดสัปดาห์ แล้วพบบทความของ คุณ ไมเคิล ไรท์
(อีกแล้ว) เลยก็อปเอามาให้อ่านกันครับ จะค่อนข้างยาวเล็กน้อย /> /> --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- /> ระบบการศึกษาและอำนาจในสังคมไทย :ต้นสมัยจักรวรรดินิยม :- ฝรั่งเป็น 'อริ' หรือ 'อริยะ' ? ไมเคิล ไรท์ /> ในรัชกาลที่ 3 ดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สยามยังเป็นสยามเหมือนสมัยอยุธยา พุทธและพราหมณ์ยังเป็นบรรทัดฐานของ "อารยธรรม", กษัตริย์ยังเป็นกษัตริย์, ไพร่ยังเป็นไพร่ และจักรพรรดิเมืองจีนยังเป็นร่มโพธิ์ ร.3 /> จึงไม่มีเหตุต้องสนใจฝรั่งหรือฟังเสียงทูตที่เข้ามาเรียกร้องต่างๆ นานา อย่างไรก็ตาม ในรัชกาลที่ 3, โลกรอบด้านสยามกำลังเปลี่ยนไปมาก และมีการปฏิวัติโลกทรรศน์ของปัญญาชนสยาม ว่าง่ายๆ "ไตรภูมิ" ของชาวสยามถูกพลิกคว่ำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผลก็คือสยามจะเป็นสยามแบบเดิม (อยุธยา, ขอม) อีกต่อไปไม่ได้ /> ความเปลี่ยนแปลงครั้งรัชกาลที่ 3 มีหลายประการ หลายระดับ ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งด้านภววิสัยและอัตวิสัย ทางด้านนอก ในต้นรัชกาลที่ 3 ได้ยึดรามัญญเทศ (เมืองมอญในตอนใต้ของพม่า) ประชิดชายแดนด้านตะวันตกใน ค.ศ.1825 และฝรั่งเศสเริ่มเบียดเบียนรังแกเวียดนาม ประชิดชายแดนด้านตะวันออก มองจากกรุงเทพฯ แล้วคงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เห็นศัตรูเก่า (พม่าและเวียดนาม) ถูกถอนอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันก็น่ากลัว เพราะสยามถูกขนาบระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ที่ต่างมีอาวุธร้ายแรงและการจัดทัพที่มีประสิทธิภาพสูง อย่าให้พูดถึงฝรั่งเศสที่เกลี้ยกล่อมเขมรและลาว และอังกฤษที่เกลี้ยกล่อมล้านนาและรัฐต่างๆ ในแหลมมลายู ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น, ในสงครามฝิ่น (1839-42) อังกฤษและมหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ ได้รุกรานรังแกและบังคับเมืองจีนตามใจชอบ โดยที่จีนสู้หรือโต้ตอบไม่ได้เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ล้าสมัย และการจัดตั้งทั้งทางทัพและทางบ้านเมืองใช้งานไม่ได้เสียแล้ว /> ผลก็คือสยามโดดเดี่ยว, ไม่มีที่พึ่ง บารมีจักรพรรดิเมืองจีนหดหู่, นโยบายอันเก่าแก่ที่สยามเคยพึ่งร่มโพธิ์เมืองจีนจึงล่มสลายไม่มีความหมาย /> ในเรื่องนี้อย่าเชื่อผมเลย ให้ฟังเสียง ร.3 ที่ตรัสในวาระสุดท้ายว่า "การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่งให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียทีแก่เขาได้ /> การงานสิ่งใดของเขาที่ดีควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา /> แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว" (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์, รัชกาลที่ 3, กรมศิลปากร, พ.ศ.2538, หน้า 152) ด้านภายใน ในปลายรัชกาลที่ 3 สยามถูกล้อมรอบ จึงยากที่จะส่งทัพไปรุกรานบ้านอื่นเมืองอื่น (เช่น เขมร, ลาว, มลายู) แล้วลากเชลยศึกกลับมาเป็นไพร่ขุดคลอง, สร้างกำแพงเมือง, ทำนาข้าว (สิ่งที่ขอมเคยทำมาก่อน) /> ในยุคขาดแคลนแรงงานเช่นนี้ ชนชั้นปกครองจึงหันไปจ้างแรงงานราคาถูกของคนจีน ที่หนีความอดอยากในจีนตอนใต้ นี่คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษา ในเมื่อแรงงานจีนเข้ามาแทนที่แรงงานไพร่เดิม (ลาว, มอญ, เขมร, มลายู) /> แรงงานไพร่เดิมนั้นหายไปไหน มีเวลาว่างจากราชการ และมีเสรีภาพที่จะสร้างครอบครัวให้ร่ำรวยมั่งคง? หรือตกนอกคอกเศรษฐกิจสมัยใหม่ ? เรื่องนี้ต้องค่อยว่ากันภายหลัง กึ่งในกึ่งนอก รัชกาลที่ 3 เป็นยุคมหัศจรรย์สำหรับชาวสยามและฝรั่งพอๆ กัน เพราะเป็นยุคที่ความคิดและการทดลองยุคก่อนๆ เริ่มมีผลเป็นรูปธรรมอย่างเห็นได้ด้วยตา ในรัชกาลที่ 3 เรือกลไฟลำแรกเข้ามาจอดในแม่น้ำเจ้าพระยา เราท่านไม่ตื่นเต้นกับเรือกลไฟ, แต่คนรุ่น ร.3 เคยเห็นแต่เรือฝีพายหรือเรือใบ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ท่านเห็น "เรือเดินเอง" ที่ไม่ต้องคอยลมเข้าใบหรือพึ่งแรงพาย /> ซึ่งคงสร้างความตื่นเต้นกับคนทั่วไปและเรียกร้องความสนใจในหมู่เจ้านาย /> (เช่น เจ้าฟ้าจุฑามณี/พระปิ่นเกล้า) ที่โปรดศึกษาวิทยาศาสตร์ /> ในด้านแพทยศาสตร์ตะวันตกยังล้าหลังอยู่มาก แต่มีสิ่งใหม่ที่เป็นจุดเด่นคือการปลูกฝีป้องกันโรคฝีดาษอย่างได้ผลที่การแพทย์แผนโบราณไม่มีมาก่อน หมอสอนศาสนานำเข้ามาครั้งรัชกาลที่ 3 และเป็นที่นิยมทั้งในและนอกรั้ววังในทันที สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือแท่นพิมพ์ของหมอ บรัดเลย์ ที่สามารถพิมพ์ภาษาไทยด้วยอักษรไทยเป็นครั้งแรก (แท่นพิมพ์ภาษาไทยอักษรโรมันมีมาก่อนแล้ว) พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นคนแรกที่จับความได้ว่า แท่นพิมพ์เป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงและความเจริญครั้งยิ่งใหญ่ เช่น กับที่เกิดในยุโรปแต่ก่อนเมื่อ Gutenburg คิดแท่นพิมพ์ที่ทำให้หนังสือ (และความรู้) เป็นของทุกคน /> ไม่ใช่ของชนชั้นเจ้านายฝ่ายเดียวที่มีทรัพย์เลี้ยงเสมียนคัดลอกเอกสารหรือจารใบลาน /> /> พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นชาวสยามคนแรกที่เป็นธุระสั่งซื้อแท่นพิมพ์กับตัวพิมพ์อักษรไทย (จากคณะมิชชันนารีเมืองกัลกัตตา) มาไว้ที่วัดบวรนิเวศ วันบวรฯ นี้น่าจะเคยเป็นศูนย์กลางที่ชาวสยามเริ่มศึกษาตะวันตก (ที่ผมอยากเรียกว่า "ผรังคิวิทยา") เป็นที่น่าเสียดายมากว่าหลัง 2475 ชนชั้นปกครองใหม่รังเกียจเจ้านายรุ่นเก่า, จนบัดนี้จึงไม่มีการศึกษาบทบาทของวัดบวรฯ ครั้งคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตอนกลาง (ผมหมายถึงการศึกษาเชิงวิเคราะห์, ไม่ใช่สรรเสริญหรือติเตียน) /> การเปลี่ยนแปลงทางปัญญา ระหว่างต้นรัชกาลที่ 1 กับปลายรัชกาลที่ 3 สภาพภายนอกและภายในของสยามได้เปลี่ยนไปมาก /> แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการเปลี่ยนทรรศนะของปัญญาชนชั้นเจ้านายครั้งรัชกาลที่ 3 (ปัญญาชนชาวบ้านยังไม่มีเสียง) ในรัชกาลที่ 3 มีเจ้านายหลายคนว่างราชการ จึงมีเวลาว่างติดตามความสนใจของตน อย่าคิดว่ามีพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเพียงองค์เดียว ในกลุ่มปัญญาชนครั้ง ร.3 ยังมีอีกหลายๆ คน เช่น เจ้าฟ้าจุฑามณี (ที่พ่อขนานนามว่า George Washington ตามผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐ) พระองค์เจ้าวงศาธิราชที่ได้ประกาศนียบัตรทางการแพทย์ (ทางไปรษณีย์) จากสหรัฐ และคงมีอีกหลายๆ ท่านที่ประวัติศาสตร์ลืมหรือตั้งใจเขี่ยไม่ให้ใครรู้ไม่ให้ใครจำ เจ้าฟ้าจุฑามณีถนัดภาษาอังกฤษ, ถนัดการฝึกทหารแบบตะวันตก และยังใฝ่ใจกลศาสตร์และเทคโนโลยีถึงได้ต่อเรือกลไฟลำแรกของสยาม /> อย่างไรก็ตาม พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นปัญญาชนรุ่น ร.3 ที่น่าสนใจที่สุด (และติดตามได้ง่ายที่สุดเพราะมีหลักฐานสมบูรณ์ที่สุด) พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นปัญญาชนสมบูรณ์แบบ (RenaissanceMan) ที่รวบรวม "โบราณวิทยา" (ความรู้ที่รับมาจากอดีต เช่น ภาษามคธ และพุทธศาสน์) กับ "ผรังคิวิทยา" (ความรู้ใหม่ที่รับมาจากตะวันตก เช่น ภาษา วิทยาศาสตร์ และทฤษฎีการปกครองสมัยใหม่) ในองค์เดียวกัน อย่าให้ผมรายงานทั้งหมด ซึ่งปรากฏมากมายก่ายกองในที่อื่น ผมขอยกสอง-สามประเด็นที่เห็นว่าสำคัญมากและน่าควรศึกษาอีกต่อไป /> ประการแรก คือ พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ (ที่ถนัดภาษามคธ) เคยศึกษาภาษาละตินกับ "สังฆราช" ปาลเลกัว (พ่อเจ้าวัด Conception สามเสนปัจจุบัน) และนับถือท่านเป็นพระอาจารย์ที่บ้านเขมร ภาษาละตินเป็นภาษาราชการของจักรวรรดิโรมันเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วและเป็นภาษาโบราณหลักๆ ของวัฒนธรรมตะวันตก ประเด็นสำคัญคือ ภาษาละตินและมคธมีลักษณะทางภาษาศาสตร์ (ทั้งไวยากรณ์และศัพท์) ที่แสดงว่าเป็นญาติกันอย่างสนิท ผมไม่มีหลักฐานว่า ท่านเรียนละตินแล้วคิดอย่างไร (เพราะไม่มีบันทึก) แต่ขออนุมานว่าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎคงจับความได้ทันทีว่า ชาติฝรั่งที่ใช้ภาษาละตินเป็นหลักทางวัฒนธรรมนั้น น่าจะเป็นอารยชนที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับ ศากยมุนี ที่พูดมคธเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว นี่คือการปฏิวัติทางทัศนคติว่า พวกฝรั่งไม่ได้เป็น "ยักษ์เป็นมาร" ดั่งที่คิดมาก่อน หากเป็น "นานาอารยประเทศ" คำนี้เป็นคำที่จะได้ยินบ่อยมากในรัชกาลที่ 5 ต่อไป /> ประการที่สอง คือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 สุโขทัย (จารึกพ่อขุนรามคำแหง) ซึ่งผมไม่อาจเชื่อได้ว่าเป็นงานใน คริสต์ศตวรรษที่ 13 ผมเชื่อว่าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎคงได้วานให้คณะบัณฑิตทำขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อหลอกใครแต่เพื่อเชื่อมโยงระหว่างอดีตที่นับถือ (Ideal Past) กับอนาคตที่ฝันหา (Ideal Future) ว่าอีกนัยหนึ่ง, จารึกหลักที่ 1 ไม่ได้เป็นเอกสารโบราณ "ปลอม" (Fake) หากเป็นพิมพ์เขียวสำหรับอนาคตอันอุดมในรูปของวรรณกรรมโบราณ จารึกหลักนี้สนองความต้องการของสังคมไทยกลาง คริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ต้องการการสืบสันตติวงศ์แบบตะวันตก, การค้าเสรี ฯลฯ ที่ชนชั้นปกครองทั่วโลกไม่เคยนึกถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 13 (โปรดดูศิลปวัฒนธรรมปีที่ 21 ฉบับที่ 9) /> นอกจากปัญญาชนในบรมวงศ์แล้ว ผมเชื่อว่ายังคงมีอีกหลายคนที่ช่วยปฏิวัติความคิดครั้งนั้น เช่น เจ้านายในตระกูลบุนนาค นักประวัติศาสตร์มักเสนอว่าพวกบุนนาคนั้นเป็นพวก "อนุรักษนิยม" บ้าง, "หัวโบราณ" บ้าง, แต่จากจดหมายเหตุฝรั่งจะเห็นได้ชัดว่าผู้นำตระกูลบุนนาค (อย่างน้อยดิศและช่วง) ทำการค้าขายกับต่างประเทศ ถนัดภาษาอังกฤษ และติดตามข่าวในยุโรปและอเมริกา (จากหนังสือพิมพ์สิงคโปร์และฮ่องกง ?) ดังนั้น เราไม่ควรมองข้ามบทบาทของตระกูลบุนนาค ในขณะที่ปัญญาชนชาวเมืองหลวงเริ่มแปรพักตร์ไปสู่ทิศตะวันตกและผดุงวัฒนธรรมใหม่นั้น ยังได้เกิดวิวัฒนาการทางปัญญาอีกขนานหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นคู่ (หรือเป็นลูก) ของทัศนคติใหม่ของชนชั้นปกครอง นั่นคือ ในสายตาของคน "เจริญ" ในเมืองหลวง ชาวชนบท (ไม่ว่าเป็น ไทย, ลาว, มอญ, เขมร) กลายเป็นคนล้าหลัง ไม่มีปัญญา ไม่มีวัฒนธรรมที่น่าเคารพหรือควรปรึกษา นี่คือจุดเริ่มต้นของช่องว่างระหว่างนักปกครอง (ข้าราชการ) และผู้ที่ถูกปกครอง (ราษฎร) ที่ยังอยู่กับเราจนทุกวันนี้และแก้ไม่ตก เพราะไม่มีใครยอมรับว่าสาเหตุเป็นเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะกลัวจะต้องโทษท่านหรือชนชั้นของท่าน /> ในเรื่องนี้ผมไม่เห็นทางที่จะโทษใคร หรือโทษชนชั้นใด เรื่องแบบนี้เป็น "กรรม" ที่กลิ้งเหมือนกงล้อตามรอยตีนของวัวลาก คนทุกคนเกิดในกาลสมัยของตนและเผชิญปัญหาเฉพาะของตนด้วยปัญญาเท่าที่มีในยุคนั้นๆ ดังนั้น คนปัจจุบันจะติเตียนคนในอดีตไม่ได้ หรือว่านักประวัติศาสตร์ไทยจะโทษฝรั่งชั่ว ? ก็โทษฝรั่งได้ และคงสร้างความอบอุ่นใจ ความพอใจไม่น้อย แต่ตราบเท่าที่คนไทยโทษชาติอื่นในความเจ็บปวดของตน ก็เท่ากับว่าคนไทยไม่ต้อง (และไม่มีทาง) แก้ปัญหาของตนเอง สรุป /> สุดท้ายนี้ผมขอเสนอว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในรัชกาลที่ 5, รัชกาลที่ 6, รัชกาลที่ 7 และสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้น ล้วนแต่น่าสนใจอย่างยิ่ง /> อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติ และวิวัฒนาการทางปัญญาที่เกิดครั้งรัชกาลที่ 3 นั้น สำคัญกว่ากันมาก /> เพราะเป็นจุดกำเนิดของปัญหาปัจจุบัน กระทู้: ระบบการศึกษาและอำนาจในสังคมไทย : ก็อปมาจากมติชน เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 21 พ.ค. 01, 06:04 อ่านแล้วมีความเห็นกันอย่างไรบ้างครับ
อย่างแรกที่ผมสงสัยคือ นโยบายของไทยก่อนรัชกาลที่ 3 นั้น พึ่งจีนมากจริงหรือ คุณไมเคิลเขียนอย่างกับว่าจีนคอยปกป้องไทยอย่างนั้นแหละ? ในความคิดผมรู้สึกไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่นัก กระทู้: ระบบการศึกษาและอำนาจในสังคมไทย : ก็อปมาจากมติชน เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 01, 08:51 ดิฉันขอแย้งตั้งแต่สมมุติฐานของคุณไมเคิล ไรท์ เลยทีเดียว ว่า
๑) จีนไม่เคยเป็นร่มโพธิ์ของสยาม ถ้าในความหมายว่าเราต้องพึ่งจีนเหมือนเราเป็นเมืองประเทศราช แต่สยามใช้จีนเป็นแหล่งทรัพยากร สร้างการค้าขาย เพิ่มกำลังทางเศรษฐกิจให้เรา มาตั้งแต่อยุธยา จนถึงรัชกาลที่ ๑ และ ๒ ในรัชกาลที่ ๒ นี้เอง พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงมองเห็นการเพิ่มพูนทางแรงงานและวัฒนธรรมนอกเหนือจากเศรษฐกิจ นอกจากทรงค้าสำเภาจนร่ำรวยแล้ว ทรงเปิดโอกาสให้แรงงานจีนหลั่งไหลเข้ามาในไทยอย่างไม่อั้น ไม่ใช่เพื่อเอามาเป็นกุลีแบกหามอย่างคุณไรท์ว่า เพราะแรงงานแบบนั้นเรามีมาตั้งแต่สร้างกรุง คลองทั้งหลายก็อาศัยแรงงานจีน เช่นคลองมหานาค แต่เอาคนจีนมาช่วยเรื่องเศรษฐกิจ มาค้าขาย มาช่วยเสริมสร้างศิลปวัฒนธรรม วัดทั้งหลายที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ จึงมีฝีมือช่างจีนเข้ามา ฉีกแนวไปจากวัดสมัยรัชกาลที่ ๑ และ ๒ ซึ่งสืบทอดศิลปสถาปัตยกรรมแบบไทยจากอยุธยา ตัวอย่างวัดไทยแซมฝีมือจีน ก็วัดราชโอรสซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๓ เอาประเด็นเดียวก่อนนะคะ คุณไรท์จับสิ่งละอันพันละน้อยมาโยงเข้าด้วยกัน อย่างไม่ค่อยจะถูกต้องนัก อ่านแล้วต้องใช้เวลาแยกแยะพอสมควร ข้อมูลเธอมีมาก จริงบ้างไม่จริงบ้าง ข้ามบางอย่างไปบ้าง เรื่องอื่นๆจะเข้ามาตอบทีหลังค่ะ กระทู้: ระบบการศึกษาและอำนาจในสังคมไทย : ก็อปมาจากมติชน เริ่มกระทู้โดย: อ่านบ้างฟังบ้าง ที่ 21 พ.ค. 01, 11:19 อีกอย่างที่ว่า "เจ้าฟ้าจุฑามณี (ที่พ่อขนานนามว่า George Washington ตามผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐ) " ที่จริง เป็นกรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระโอรสในสมเด็จพระปิ่นเกล้า(เจ้าฟ้าจุฑามณี )
กระทู้: ระบบการศึกษาและอำนาจในสังคมไทย : ก็อปมาจากมติชน เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 01, 12:48 พูดถึงแรงงานไทย คิดว่าคุณไมเคิล ไรท์ยังวาดภาพไม่ออก
สังคมไทยสมัยก่อนเป็นสังคมแรงงาน ไม่ใช่สังคมเงิน อย่างเดี๋ยวนี้ ระบบเลก คือการเกณฑ์ชายฉกรรจ์มาใช้แรงงานให้รัฐ เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคม ไม่ว่าจะขุดคลอง สร้างวัด สร้างกำแพงเมือง ระดมพลในยามมีศึก ต้องอาศัยแรงพลเมืองทั้งสิ้น เมื่อศึกสงครามค่อยๆหมดไป ก็ลดเวลาที่ต้องเกณฑ์แรงงานลงไปตามลำดับ ปีหนึ่งแค่สองเดือน ให้ชาวบ้านไปทำมาหากินปลูกข้าวกันตามปกติ แรงงานก็อาศัยการจ้างคนจีนแทน เพราะบ้านเมืองสงบ มีเวลาค้าขาย มีเงินทองเก็บในพระคลังพอใช้จ่ายได้ รัชกาลที่ ๓ ไม่โปรดการทำศึกสงครามแผ่ขยายอาณาเขต เมื่ออังกฤษมาชวนให้ทำศึกกับพม่า ก็ทรงปฏิเสธ แต่ทำศึกกับลาวเพื่อระงับการสร้างอำนาจของเจ้าอนุวงศ์ และขยายไปถึงเขมร ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน เรื่องศิลาจารึก เขาพิสูจน์กันมาตั้งนานด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ถึงความเก่าของรอยกร่อนของการสลัก จนเลิกสัมมนาเรื่องนี้กันมานานแล้ว ในกระทู้เก่าๆของเรือนไทยก็ระบุชื่อนักวิชาการที่พิสูจน์ไว้แล้วด้วย เรื่องของตระกูลบุนนาคก็ไม่มีใครมองข้าม มีถึงขนาดกำลังทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกกันแล้วด้วย ขุนนางตระกูลบุนนาคที่โดดเด่นที่สุดคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ มีท่านอื่นๆด้วยอีกหลายคนมีความสำคัญตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึง ๕ แต่ท่านเหล่านี้มิได้ใช้ความรู้ทางตะวันตกที่ร่ำเรียนมา จนก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อสังคมไทยอย่างพวกนักเรียนนอกที่ไปเรียนสมัยรัชกาลที่ ๖ และ ๗ ซึ่งกลับมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง ขุนนางตระกูลบุนนาคใช้ความรู้และความสามารถเสริมสร้างการงานให้เป็นไปเรียบร้อยและเป็นตัวอย่างที่ดีได้หลายเรื่อง เช่นในกรณีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติที่เห็นด้วยกับการรักษากฎมณเฑียรบาล ให้ประหารบุตรชายของท่าน เพื่อเห็นแก่ระเบียบของสังคม มากกว่าจะปกป้องผู้ละเมิดเพื่อรักษาวงศ์ตระกูลของตน กระทู้: ระบบการศึกษาและอำนาจในสังคมไทย : ก็อปมาจากมติชน เริ่มกระทู้โดย: ne sais que ที่ 25 พ.ค. 01, 21:53 แต่ชอบประโยคของแก ที่ว่า "ผมหมายถึงการศึกษาเชิงวิเคราะห์ มิใช่การสรรเสริญหรือติเตียน"
แต่ รู้สึกว่า แก ไม่ใคร่จะ เคารพในสถาบัน และ ความรู้สึกของคนไทยเลย ไม่ทราบว่าแก ไม่รู้จักจริงๆ หรือ ตั้งใจจะลืมว่า คำราชาศัพท์ มีไว้ใช้กับใคร ??? |