เมื่อวานคุณกรกิจ ดิษฐานก็ได้เขียนแนะนำละครโขลวัดสวายอันเดตของเขมร ที่เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมหนังสือ "ละเขานเขาล วัตตสวายอัณแดต" (ល្ខោនខោល វត្តស្វាយអណ្ដែត) ซื้อมาจากกัมพูชา ว่าด้วยละคอนโขลวัดสวายอัณแดตของเขมรที่ยูเนสโกเพิ่งจะขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม
ตอนนี้ไม่ต้องดราม่าแล้วนะครับ เขมรกับไทยได้ไปทั้งคู่ และส่งชิงกันคนละสาขา ของไทยเป็นสาขาเอกลักษณ์ของชาติ ของเขมรเป็นสาขาใกล้สาบสูญ
ส่วนเรื่องใครเป็นต้นตำรับว่ากันตามหลักฐาน ซึ่งหลักฐานมี จะมาเหมาว่าเป็น "วัฒนธรรมร่วม" หมดไม่ได้หรอก
เคยเขียนไปตั้งแต่วิวาทะโขนไทย -โขลเขมรเมื่อหลายเดือนก่อนว่า คณะวัดสวายอัณแดตเรียนมาจากขนบโขนไทยโบราณในราชสำนักกัมพูชาที่นักองค์ด้วงขอมาจากราชสำนักบางกอก เป็นโขนชายล้วนซึ่งต่อมาของไทยขาดผู้สืบทอดไป ซึ่งคณะนี้เป็นคณะเชลยศักดิ์ ต่อมาสิ้นองค์ด้วงแล้วคณะผู้ชายหมดความนิยมลง ในราชสำนักเขมรจึงเลิกเล่นโขนผู้ชายเหมือนบางกอก พวกมหาดเล็กเก่าเอาของในวังมาเล่นกันต่อนอกวัง จึงเหลือเวอร์ชั่นชายที่วัดสวาย
ต่อมาละคอนโขลเขมรเจอพิษภัยสงคราม ครูละครดี ๆ หายไปเกือบหมด คณะวัดสวายอัณแดตรอดมาได้คณะเดียว แต่เพราะมันเป็นคณะเชลยศักดิ์ เครื่องแต่งกาย หัวโขนเป็นของพื้นบ้านไปหมด (ทั้งยังนิยมเล่นตอนกุมภกรรณทดน้ําเป็นหลัก) เทียบไม่ได้กับโขนหลวง ยิ่งไม่ต้องเทียบกับต้นฉบับคือของไทย
แต่คณะวัดสวายอัณแดตไม่ใช่ของไทย มันมีวิวัฒนาการของตัวเองที่ห่างจากไทยมาพอสมควรแล้วโดยเฉพาะเครื่องแต่งกายที่ออกพื้น ๆ ตอนนี้ยังหาคนสืบทอดได้ยาก ทางกัมพูชาขอให้ยูเนสโกประสานงาน "เพื่อนบ้าน" ให้ไปช่วยอนุรักษ์ ซึ่งผมเข้าใจว่าไทยนั่นเอง (ก็เรียกไทยไปเลยง่ายกว่า) ปัญหาคือ โขนไทยวิจิตรพิสดารกว่า เกรงว่าจะครอบของพื้น ๆ เวอร์ชั่นเขมรจนเสียของเดิมไป
ที่เรียกว่าวัฒนธรรมร่วมมันร่วมแค่บทรามเกียรติ์นะครับ รายละเอียดปลีกย่อยของใครของมัน
https://www.facebook.com/719626953/posts/10155783160861954/