ที่มาของพระนามพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี มีดังนี้
รัชกาลที่ ๑ และ รัชกาลที่ ๒ในรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงหล่อพระพุทธรูปสูง ๖ ศอกสองพระองค์หุ้มด้วยทองคำเนื้อ ๘ องค์หนึ่งหนัก ๖๓ ชั่ง ๑๔ ตำลึง ทรงเครื่องต้นอย่างบรมกษัตริย์ ลงยาราชาวดีประดับด้วยนวรัตน์มีราคาเป็นอันมาก พระพุทธรูปสองพระองค์นี้ให้ตั้งไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม องค์ข้างเหนือถวายพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ องค์ข้างใต้ถวายว่า พระพุทธเลิศหล้าสุราลัย มาเปลี่ยนเป็นพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อรัชกาลที่ ๔ (เดิมเรียกรัชกาลที่ ๑ และที่ ๒ ว่า แผ่นดินต้น แผ่นดินกลาง มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ใช้บัตรหมายในราชการทั้งปวงอ้างนามแผ่นดินตามพระพุทธรูปทั้งสองพระองค์ ไม่ให้ใช้ว่าแผ่นดินต้น แผ่นดินกลาง เพราะทรงเห็นเป็นอวมงคล)
รัชกาลที่ ๓ - รัชกาลที่ ๗เมื่อรัชกาลที่ ๓ เสด็จสวรรคต เกิดปัญหาการเรียกขานนามแผ่นดินก่อนขึ้นมาอีก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เรียกขานแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ ว่า แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนแผ่นดินของพระองค์เอง ก็เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลต่อมาทรงพระนามตามพระราชนิยมในรัชกาลที่ ๔ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ใน
รัชกาลที่ ๘ และ รัชกาลที่ ๙ อาจเป็นด้วยความนิยมเปลี่ยนไป หรืออาจเป็นเพราะอยู่ในยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง สร้อยพระนาม "เกล้าเจ้าอยู่หัว" จึงหายไป
จนถึง
รัชกาลที่ ๑๐ จึงมีพระราชนิยมเช่นในรัชกาลที่ ๔ - รัชกาลที่ ๗ อีกครั้งหนึ่ง ดังปรากฏพระนามในพระบรมราชโองการ ประกาศ เรื่อง สถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ว่า
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/B/014/T_0002.PDF