ในสายวิทยาศาสตร์ ที่ผมเรียนมาก็เน้นอ่านเขียนให้เยอะๆ และท่องจำให้มากๆด้วย
จึงจะนำไปใช้ได้ทันท่วงที
นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า วิธีการสอนปรัชญาวิทยาศาสตร์ มีสองวิธีคือ
แบบบาบิโลน และ แบบกรีก
แบบบาบิโลน นักเรียนต้องหัด อ่านหนังสือ ท่องจำ เลียนแบบ ทำแบบฝึกหัดแก้ปัญหาที่มีอยู่ให้ครบทุกปัญหา ทุกแนว
ฝึกฝนทุกโจทย์ที่เคยมีมาในโลก จึงจะสามารถจบการศึกษาได้
แบบกรีก มุ่งให้นักเรียนเข้าใจเฉพาะหลักการ และทฤษฎีที่สำคัญให้ถ่องแท้ แล้วนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปภายหน้า
ปรากฏว่าปัจจุบันการสอนทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงในมหาวิทยาลัยชั้นนำใช้แบบบาบิโลนกันหมด
ส่วนสายอื่นผมไม่ทราบว่าสอนกันอย่างไร
เรื่องการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยนี่น่าจะคุยกันได้ยาวค่ะ เพราะจริงๆ แล้วที่ผู้เจียนพูดไปนั่นก็ออกจะเป็นการ generalize จนเกินไป เพราะตัวอย่างที่คุณ Koratian ให้มานั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า การเรียนการสอนที่จำเป็นต้อบงท่องจำมันก็มีอยู่ สมัยเด็กๆ ก็มักจะได้ยินคนพูดว่า วิชานิติศาสตร์คือวิชาที่ต้องท่้องจำเยอะ เพราะต้องแม่นเนืิ้อหาของกฎหมายแต่ละมาตรา แต่เมื่อนำไปใช้ หลักการของนิติศาสตร์อาจจะไม่ใช่อะไรที่เราต้องท่องจำก็ได้ แต่อยู่ที่การตีความ (อันนี้ขอให้ผู้รู้จริงเข้ามาแนะนำหน่อยนะคะ เพราะตัวเองเรียนรัฐศาสตร์กับสื่อสารมวลชนมา ไม่ใช่นิติศาสตร์)
ที่ดิฉันคิดว่าน่าจะสำคัญกว่าการท่องจำ ก็คือการ "เรียนรู้" ซึ่งไม่ได้มาจากการอ่านตำราหรือท่องจำแต่เพียงอย่างเดียว แต่มาจากการฟังครูสอน การคิดเอง การถกเถียงประเด็นต่าง ๆ ในห้องเรียน การทำงานส่งอาจารย์ การค้นคว้าในห้องสมุด และการไปเปิดหูเปิดตารับฟังความคิดเห็นของผู้รู้ในการสัมมนานอกห้องเรียนด้วย วันก่อนไปเจอ transcript สมัยเรียนโทที่ Johns Hopkins โดยบังเอิญ ยังตกใจเลยว่า "เฮ้ย เราลงเรียนวิชาการเมืองเปรียบเทียบ ฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย ด้วยหรือนี่ ทำไมจำเนื้อหาอะไรไม่ค่อยได้เลยฟะ" นั่นยิ่งทำให้เชื่อมั่นใหญ่ว่า การเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยนั้นไม่ควรจะมุ่งแต่การเรียนการสอนในห้องเรียนแต่เพียงอย่างเดียว Because I don't remember what I STUDIED. But I remember what I LEARNED. และสิ่งที่เรียนรู้จากหลักสูตรนั้นทั้งหลักสูตรก็คือ ก่อนที่เราจะโน้มน้าวให้ผู้อื่นมาเห็นดีเห็นงามกับนโยบายต่างๆ ของเราได้นั้น เราต้องรู้ก่อนว่าเขาต้องการอะไร แล้วดูว่าจะมีตรงไหนบ้างที่เราไปพบกับเขาครึ่งทางได้ แปลสั้นๆ ว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นแหละค่ะ นี่คือสิ่งเดียวที่เรียนรู้จากหลักสูตรปริญญาโท และนำมาใช้กับชีวิตประจำวันจนทุกวันนี้