นอกจากจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าอะไรดีหรือไม่ดีในปีที่กำลังจะผ่านไปแล้ว ธรรมเนียมหนึ่งที่ฝรั่งเขาชอบทำกันในช่วงเวลานี้ก็คือการตั้งปณิธานให้แก่ตัวเองสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง (New Year’s resolution)
ในบทความที่ชื่อว่า Rebuild ซึ่งตีพิมพ์ไปเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 ผู้เขียนเคยเล่าให้ฟังว่าในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ร้อยละ 40 ของอเมริกันชนวัยทำงานเขาจะลุกขึ้นมาตั้ง New Year’s resolution ให้แก่ตัวเองกัน แล้วก็ลืมหรือล้มเลิกความตั้งใจที่ว่าในเวลาแค่ไม่กี่เดือนให้หลัง จำไม่ได้เหมือนกันว่าไปขอยืมสถิตินั้นมาจากแหล่งไหน แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ได้อ่านบทความจากเว็บไซท์ของนิตยสาร Forbes ของอเมริกา ซึ่งอ้างถึงการสำรวจอย่างไม่เป็นทางการของเว็บไซท์
www.health.com ที่ว่าร้อยละ 25 ของคนที่ตั้งปณิธานในวันขึ้นปีใหม่มักจะล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองหลังจากหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป และพอหกเดือนให้หลัง จำนวนคนที่ยังปฏิบัติตามปณิธานที่ตั้งไว้แก่ตัวเองในวันขึ้นปีใหม่ก็หายไปกว่าครึ่ง คือลดลงเหลือแค่ร้อยละ 46 เท่านั้น เพราะฉะนั้น ใครที่เคยตั้งปณิธานแล้วยังทำไม่ได้ก็อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะคุณไม่ใช่คนเดียวในโลกแน่ๆ ที่เป็นแบบนี้
การตั้งปณิธานสำหรับปีใหม่คือการมองไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมาย แต่ด้วยเหตุที่ไม่เคยมีใครสามารถบรรลุปณิธานใหม่ ๆ ได้ด้วยการอยู่เฉยๆ หรือทำแต่ในสิ่งเดิมๆ ที่ตัวเองเคยทำอยู่ ฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมของตัวเองจึงเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เราสามารถทำเป้าหมายที่เราให้ไว้แก่ตัวเองในวันปีใหม่ให้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้
นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อเมริกาเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยคนอ้วน เพราะปณิธานที่อเมริกันชนชอบตั้งกันมากที่สุดในวันขึ้นปีใหม่คือปณิธานที่ว่าด้วยการรักษาสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่พอตั้งแล้วก็ยังไม่เลิกนิสัยนั่งแช่หน้าจอทีวีกินพิซซ่าถาดใหญ่ตามด้วยโค้กลิตร หรือไม่ก็อาจจะยังคิดว่าการยกมือกระดกขวดเบียร์บ่อยๆ นั้นคือการออกกำลังกายประเภทหนึ่ง ปณิธานที่ตั้งไว้เลยเป็นได้แค่ความฝันที่ไม่อาจเป็นจริง
. . . . .