NAVARAT.C
|
ระหว่างที่ท่านอนุโลมให้ราษฎรเรียกพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลด้วยความเคารพจากใจว่ากระไรก็ได้นั้น ผมขออนุญาตที่จะเอ่ยพระนามพระองค์ตามความจำได้หมายมั่นที่ยังติดอยู่ในจิตสำนึก ในขณะที่มันยังไหลลื่นออกมาอย่างช้าๆนะครับ ขอได้โปรดให้อภัย งดโทษต่อการควรมิควรของผมด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 09:29
|
|
รูปที่เขาส่งต่อๆกันมาในโซเชียลเน๊ตเวอร์คแล้วมาปรากฏในหน้าจอของผมชุดนี้ ทำให้ความจำในช่วงวัยเด็กอนุบาลของผมปรากฏขึ้นทั้นที เลือนลางในตอนแรก แล้วก็เริ่มชัดขึ้นๆ ต้องรีบบันทึกไว้ก่อนที่มันจะเลือนลับไปตามกาลกิริยา ลองเข้าไปอ่านในระโยงนี้ก่อนนะครับ https://www.dogilike.com/board/view.php?id=15669โรงเรียนปิดเทอมใหญ่คราวนั้น ผมน่าจะอายุสักสี่ห้าขวบ เมื่อแม่พาผมร่วมขบวนไปเที่ยวหัวหินพร้อมๆกับพี่ๆน้องๆหลานคุณตาคุณยาย โดยไปเช่าบ้านที่อยู่ไม่ไกลพระราชวังไกลกังวลนัก ตอนนั้นอยู่กันยาวเป็นอาทิตย์เพราะกว่าจะเดินทางไปถึงลำบากลำบน ต้องนั่งรถโขยกกันทั้งวัน ตกเย็นเราก็ลงไปเล่นน้ำกันเป็นหมู่ ในรูปนี้ ผมก็คือเด็กที่กำลังออกอาการสำลักน้ำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 10:36
|
|
ยามเย็นวันหนึ่งเมื่อมองไปทางวัง เห็นกลุ่มคนเล่นน้ำกันอยู่แต่ไกลๆ ผู้ใหญ่บอกว่าคงเป็นในหลวงกับพระราชินี เพราะมีทหารยืนรักษาการณ์อยู่ระยะในห่างๆ กัน ไม่ให้คนล้ำเข้าไปในเขตที่กำหนดไว้ แต่คนก็ไม่ค่อยมากเท่าไหร่นะครับเท่าที่ผมจำได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนกรุงที่ไปตากอากาศ และชาวบ้านแถวนั้นจริงๆ มิได้มืดฟ้ามัวดินเหมือนสมัยต่อๆมา
แล้วผมก็ได้เรียนรู้จากบทเรียนแรกของแม่ ที่สอนว่าในหลวงคือใครก็ในคราวนั้น
ก่อนที่ครอบครัวใหญ่ของเราจะกลับ เย็นหนึ่งผมได้ยินพี่ๆตะโกนเรียกกัน ได้ยินคำว่า “ในหลวงเสด็จ ในหลวงเสด็จ” ไม่รอช้า ผมวิ่งตามเขาออกไปที่ชายหาดทันที
ผมเห็นพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้า ทรงพระราชดำเนินช้าๆ ในพระอิริยาบทสบายๆอยู่หน้าวังของท่าน ท่ามกลางห้อมล้อมหลวมๆของผู้ติดตามจำนวนไม่มากนัก มีสุนัขสองตัววิ่งนำหน้ามาแต่ไกลๆวนไปวนมา เดี๋ยวก็วิ่งกลับไปหาพระเจ้าอยู่หัว เดี๋ยวก็วิ่งมาทางกลุ่มชาวบ้านซึ่งนั่งเฝ้าอยู่เป็นกลุ่มๆ แบบบ้านใครบ้านมัน เจ้าตัวสีน้ำตาลออกแดงๆมันวิ่งมาใกล้จนผมเห็นหน้าค่าตามันชัดว่าดำๆจมูกหัก แปลกกว่าอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นหมาไทยธรรมดาๆสีกระดำกระด่างตั้งแต่หัวจรดหาง ลุงเขยคนหนึ่งของผมเป็นนายสัตวแพทย์บอกว่าตัวสีน้ำตาลแดง หน้าดำจมูกหักเป็นหมาฝรั่งพันธุ์บ๊อกเซอร์ เสียงใครไม่รู้บอกว่ามันชื่อโจโฉ อีกตัวนั้นชื่อโจกา ชื่อโจโฉกับโจกานั้นประทับอยู่ในสมองของผมนานมากกก จนกระทั่งมีวุฒิภาวะแล้วจึงนึกออกว่า อ๋อ ที่จริงชื่อของมันคือ จรกา ผู้ร้ายตัวดำในเรื่องอิเหนานั่นเอง
เข้าใจว่าหมาไทยตัวนั้นจะเป็นหมาของชาวบ้านในละแวก ที่ไปทำเนียนถวายตัวเองเป็นชาววัง กินข้าวพระราชทานจนมีน้ำมีนวล ชื่อจรกาของมันน่าจะเป็นชื่อพระราชทานด้วย เพราะเหมาะสมกับตัวมันที่สุด
ส่วนโจโฉ คุณเข้าไปดูในกูเกิลเถอะครับ คุณวิกี้ผู้แสนรู้จะบรรยายว่า “ คุณโจโฉ เป็นสุนัขพันธ์เกรทเดน ทรงเลี้ยงเมื่อก่อน พ.ศ. 2500” ผมดีใจที่มีหลักฐานยืนยันว่าโจโฉเป็นสุนัขพันธ์ Boxer และไม่ได้เป็นคุณ สุนัขทรงเลี้ยงที่ทรงเรียกเป็นคุณ ก็คือคุณทองแดงนะครับ แต่จรกานั้นไม่มีในทะเบียนสุนัขทรงเลี้ยง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 10:37
|
|
.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 10:38
|
|
.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 10:44
|
|
เมื่อผมแต่งงานแล้วแยกบ้านมาอยู่เป็นเอกเทศกับภรรยา เราเห็นดีเห็นชอบที่จะเลี้ยงหมาสักตัว หมาตัวแรกที่เราเลี้ยงจึงเป็นหมาบ๊อกเซอร์ตามความมุ่งมั่นของผม ที่มีแรงบรรดาลใจมาจากโจโฉ สุนัขทรงเลี้ยงของพระเจ้าอยู่หัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 10:54
|
|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในช่วงนั้น ทรงโปรดที่จะประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวลมากกว่าจะเสด็จอยู่ในกรุงเทพ ผมอ่านหนังสือมากแล้วจึงทราบว่า รัฐบาลไม่มีความประสงค์จะให้ทรงมีบทบาทมากมัก นอกจากงานตามหมายกำหนดการซึ่งมีความจำเป็นในการรักษาสถาบันกษัตริย์เท่านั้น ที่ทรงมีความจำเป็นจะเสด็จกลับกรุงเทพเป็นครั้งคราว
เด็กน้อยอย่างผมไม่มีโอกาสได้เห็นพระองค์อีกเลย จวบจนผมอยู่ชั้นมัธยมหนึ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 13:40
|
|
ขอแทรกเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าในยามที่ผมยังเขียนอะไรต่อไม่ออกสักนิด ขณะนี้ประชาชนคนไทยเต็มสนามหลวงนับจำนวนไม่ถ้วนได้ร่วมแรงร่วมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ซึ่งเช่นเดียวกับทุกครั้ง น้ำตาของผมจะต้องไหลลงมาเป็นสายน้ำ หาสาเหตุไม่ได้เลยว่า ในเมื่อผมไม่ได้กำลังเสียอกเสียใจ ไม่ได้เจ็บปวด ทำไมน้ำตามันจึงไหลล้นเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนั้น น้ำตาอันเกิดจากความปิติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 13:42
|
|
จนได้พบ “เรื่องดี ๆ จากดร.ณัชร” ตรงอกตรงใจผมเผง ขออนุญาตถ่ายทอดลงในกระทู้นี้
“…พอเห็นพระองค์ท่านโบกพระหัตถ์ ผมก็น้ำตาไหลเลยครับ ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ ๆ ก็ไหลออกมา…”
“…พอขบวนรถท่านเสด็จฯ ผ่าน พี่ก็น้ำตาท่วมเลย ได้แต่โบกธง พยายามจะตะโกนคำว่า “ทรงพระเจริญ” แต่มันพูดไม่ออกน่ะค่ะ มันสะอื้นเฮือกออกมาจากข้างในอกเลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรค่ะ…”
ผู้เขียนเชื่อว่า พวกเราชาวไทยที่มีความจงรักภักดีทุกคนคงจะเคยมีประสบการณ์ตื้นตันน้ำตาไหลหรืออย่างน้อยก็น้ำตาคลอกันบ้างเวลาเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ว่าจากการได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จฯ ณ สถานที่จริงหรือเพียงการได้เห็นพระองค์ท่านผ่านสื่อต่าง ๆ
หลายคนพูดเหมือนกันว่า “ไม่รู้ว่าทำไม…”
วันนี้เราจะมาพบกับคำตอบว่า “ทำไม”
เชื่อหรือไม่ว่าทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์มีคำตอบ!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 13:45
|
|
“ปีติ” ในแง่วิทยาศาสตร์
ผู้เขียนได้อ่านนิยามของปีติในแง่วิทยาศาสตร์ครั้งแรกเมื่อได้ลงทะเบียนเรียนออนไลน์วิชา ศาสตร์แห่งสุข (The Science of Happiness) ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งเมืองเบิร์คลีย์เมื่อปีที่แล้ว
ผู้ริเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้คือศาสตราจารย์โจนาธาน ไฮด์ท (Jonathan Haidt) นักจิตวิทยาสังคมแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เขาตั้งคำถามว่า “ทำไมบางครั้งมนุษย์เราจึงรู้สึกตื้นตันถึงขั้นน้ำตาไหลเมื่อได้เห็นหรือรับรู้การทำความดีหรือความเสียสละของผู้อื่น… …ถึงแม้ตัวเราเองจะไม่ได้เป็นผู้ได้รับประโยชน์นั้นโดยตรง?”
หลังจากการค้นคว้าวิจัย ศ.ไฮด์ทค้นพบสิ่งที่เขาเรียกว่า “Elevation” ซึ่งผู้เขียนขอแปลว่า “ปีติ” อันมีนิยามว่า “ความรู้สึกอบอุ่นใจ ซาบซึ้งประทับใจ และการรู้สึกว่าจิตได้รับการยกขึ้น”
ศ.ไฮด์ทกล่าวว่า สภาวะ “ปีติ” นี้ จะเกิดขึ้นเมื่อเรา “ได้เห็นผู้อื่นทำความดี แสดงความเมตตากรุณา หรือความกล้าหาญ”
ทันทีที่เห็นคำนิยาม ผู้เขียนก็นึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นมาทันที “ปีติ” ไม่ได้เพียงแค่ทำให้เราน้ำตาไหลเท่านั้น แต่ศ.ไฮด์ทค้นพบว่ามันส่งผลให้เรา “ลงมือทำ” อะไรบางอย่างต่อไปด้วย!
ลองอ่านดูว่าคุณเองก็เป็นเช่นนี้หรือไม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 13:50
|
|
ผลที่ตามมาของ “ปีติ”
ศาสตราจารย์ไฮด์ทอธิบายว่าเมื่อภาวะ “ปีติ” นี้เกิดขึ้นกับใคร มันจะส่งผลให้ผู้นั้น ๑) อยากช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง ๒) อยากเป็นคนที่ดีขึ้นมีคุณธรรมขึ้น และ ๓) ทำให้เกิดความต้องการที่จะมีส่วนร่วมหรือผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับบุคคลที่ทำให้เราเกิดความ “ปีติ” นั้นด้วย
ฟังแล้วยิ่งขนลุกและรู้สึกขึ้นมาว่า “ใช่เลย!”
เพราะไม่เพียงน้ำตาแห่งความปีติเท่านั้น เมื่อคนไทยเราได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะอยากทำสิ่งต่อไปนี้ด้วย คือ ๑) “ทำดีเพื่อในหลวง” ในรูปแบบการช่วยเหลือผู้อื่น ๒) “ตั้งใจจะเป็นคนดีเพื่อพ่อ” และ ๓) หลายคนจะตั้งสัจจอธิษฐานว่า “ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป” ซึ่งก็คือความประสงค์ที่จะ “ผูกพัน” เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ท่านนั่นเอง
ตรงเป๊ะครบทั้ง ๓ ข้อตามผลการวิจัยของศ.ไฮด์ททุกประการ!
“ปีติ” ที่วิทยาศาสตร์ยังอธิบายไปไม่ถึง
ที่น่าสนใจก็คือ คนไทยเราจะเกิดภาวะ “ปีติ” นี้ไม่เพียงแต่ในขณะที่เราเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจบำบัดทุกข์บำรุงสุข ช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับความลำบากเท่านั้น เพียงแค่ได้เห็นพระองค์ท่านโบกพระหัตถ์ให้ หรือแม้แต่การได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ในขณะแย้มพระสรวลน้อย ๆ ในขณะที่หูได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมี คนไทยเราก็สามารถเกิดภาวะ “ปีติ” นี้ได้เช่นกัน
อย่าว่าแต่การได้เห็นพระองค์ท่านเลย ผู้เขียนเองและเชื่อว่าชาวไทยแทบทุกคนที่ไปรอเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จอยู่ริมถนนก็เคยเกิดสภาวะ “ปีติ” น้ำตาไหลจากการเพียงได้เห็นรถพระที่นั่งประดับธงประจำพระองค์วิ่งช้า ๆ มาแต่ไกลแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 13:53
|
|
ถึงแม้วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแค่ได้เห็นเพียงรถพระที่นั่งพร้อมธงประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังเคลื่อนที่มาช้า ๆ พวกเราคนไทยก็เกิดปีติตื้นตันน้ำตาไหลได้แล้ว แต่พุทธศาสตร์สามารถอธิบายได้
นั่นคือ จิตมนุษย์นั้นเป็น “ธาตุรู้” พูดง่าย ๆ ก็คือ จิตเราสามารถ “รับรู้” ได้ถึง “พระเมตตา” ที่มีต่อพวกเราตลอดมาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่ว่าในวินาทีนั้นสายตาเราจะกำลังเห็นภาพของพระเมตตาอยู่หรือไม่ก็ตาม!
พระเมตตาที่บางท่านอาจยังไม่รู้
พระเมตตานั้นลึกซึ้งกว่าที่เราเห็นด้วยตาจากพระราชกรณียกิจที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงช่วยราษฎรตามถิ่นทุรกันดารมากมายนัก เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง “เจริญเมตตาภาวนา” ให้พสกนิกรและสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่เสมอด้วย
การเจริญเมตตาภาวนา คือการตั้งจิตเป็นสมาธิ ส่งความเมตตาปรารถนาดีอยากเห็นผู้อื่นเป็นสุขที่ส่งออกมาจากหัวใจอย่างไร้เงื่อนไขและไม่ปรารถนาสิ่งใดตอบแทน
จากการศึกษาคำปรารภของเหล่าพระอริยสงฆ์ของไทยทุกองค์ที่พูดถึงพระองค์ท่าน ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญเมตตาภาวนาเพื่อพวกเราทุกวันอย่างแน่นอน นอกจากนี้ในทุกๆวันพระ (อย่างน้อยในช่วงก่อนที่จะมีพระชนมพรรษามากขึ้นและทรงพระประชวร) ก็ยังทรงรักษาอุโบสถศีล หรือศีล ๘ และทรงอธิษฐานบุญกุศลนั้นให้พสกนิกรอย่างพวกเราทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 13:54
|
|
“จิต” รู้ แม้ “สมอง” ยังไม่รู้!
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงยอมสละความสะดวกสบายส่วนพระองค์ งดพระกระยาหารเย็น งดเว้นมหรสพในวันพระ รักษาศีลเจริญภาวนา เพื่อที่จะทรงอธิษฐาน “ยกส่วนบุญกุศลนั้นให้ประชาชนทุกคน” มาเป็นเวลาหลายสิบปีนั้น “จิต” ซึ่งเป็นธาตุรู้ของพวกเราต้องรับรู้ได้แน่นอน
“จิต” ของพวกเราทุกคนได้รับพระเมตตาและพระกุศลที่ทรงอุทิศให้พวกเรามาโดยตลอด ดังนั้นจิตจึง “รู้” และ “จำได้” ถึงแม้ “สมอง” ของพวกเราจะยังไม่เคยทราบเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนก็ตาม!
และนั่นคือคำอธิบายทางพุทธศาสตร์ว่า “ทำไมเราถึงตื้นตันน้ำตาไหลเมื่อเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 22 ต.ค. 16, 13:59
|
|
เจ้าประคุณเอ๋ย อย่างนี้นี่เอง
ผมได้สัมผัสกระแสพระเมตตานี้มาตั้งแต่เด็กจนแก่ ทำไมจิตของผมจึงจะไม่รับรู้และเกิดปฏิกิริยาสนองตอบตามหลักพุทธศาสตร์ดังว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 23 ต.ค. 16, 09:48
|
|
เมื่อจบชั้นประถมแล้ว ผมย้ายไปเรียนชั้นมัธยมหนึ่งที่วชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำที่พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้นแทนการสร้างวัดประจำรัชกาลที่ ๖ นักเรียนโรงเรียนนี้ถูกปลูกฝังจิตสำนึกตามพระบรมราโชวาทที่ล้นเกล้าฯพระราชทานในไว้คราวเสด็จมาที่โรงเรียนครั้งหนึ่ง ความสำคัญที่สุดมีว่า “…เจ้าเหล่านี้ข้าถือเหมือนลูกของข้า ส่วนตัวเจ้า เจ้าก็ต้องรู้สึกว่าข้าเป็นพ่อเจ้า…” ซึ่งผมได้ฟังท่านผู้บังคับการท่านกล่าวอบรมนักเรียนบนหอประชุมตั้งแต่วันแรกๆที่เข้าไปเป็นลูกวชิราวุธ
ในโรงเรียนใหม่ของผมมีพระบรมฉายาลักษณ์ทั้งภาพถ่ายและภาพเขียนของพระผู้พระราชทานกำเนิดหลายภาพ แต่ภาพที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงพระเมตตาตามความหมายในพระราชดำรัสข้างต้น เป็นภาพของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|