SILA
|
ความคิดเห็นที่ 75 เมื่อ 13 ธ.ค. 10, 10:35
|
|
เทวีและทารกน้อยได้ร่วมสร้างตำนานทางช้างเผือก เมื่อจอมเทพซูสหลอกเทวี ให้กษีรธาราแก่ทารกเฮอร์คิวลิส(คงหวังจะสร้างความสมานฉันท์) บางตำนานว่ามารดาเฮอร์คิวลิสหวาดภัยเฮรา จึงนำบุตรชายไปทิ้งไว้ในป่าแล้วเทวีอธีนามาช่วยไว้ แต่เมื่อเทวีรู้องค์(บ้างว่าเฮอร์คิวลิสน้อยกัดอุระพระนาง) จึงดึงเฮอร์คิวลิสออกจากอุระ กษีรธารพุ่งพาดฟากฟ้าก่อกำเนิดเป็นนภสินธุ์
(นภสินธุ์ - น. แม่นํ้าคงคา, แม่นํ้าในฟ้า คือ ทางช้างเผือกในตําราดาว)
The Origin of the Milky Way โดย Jacopo Tintoretto
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 76 เมื่อ 13 ธ.ค. 10, 10:38
|
|
เมื่อทารกเติบโตเจริญวัยเยาว์ได้นามว่า Herakles - ฮีระวร (วร - น. พร; ของขวัญ) ซึ่งแปลว่า "glorious gift of Hera" - ของขวัญ-พรไพโรจน์จากฮีระ
The Origin of the Milky Way โดย Rubens
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 77 เมื่อ 13 ธ.ค. 10, 10:41
|
|
ครั้นเติบใหญ่ เฮอร์คิวลิสได้รับการสอนสั่งทั้งศิลปะการต่อสู้และคีตศิลป์ แต่อย่างหลังคงจะไม่ถูกจริต เมื่อศิษย์ไม่ได้ดังใจจึงถูกอาจารย์ทำโทษ ด้วยความโกรธเฮอร์คิวลิส ใช้เครื่องดนตรีฟาดศีรษะอาจารย์จนถึงแก่ชีวิต จึงจำต้องหลีกลี้ไปไกลถึงชายเขา ที่นั่นเฮอรืคิวลิสทรงพลังได้สังหารสิงห์ที่มาทำร้ายสัตว์เลี้ยงด้วยมือเปล่า ภาพวาดและรูปสลัก บางชิ้นจึงนิยมให้เฮอร์คิวลิสมีหนังสิงห์เป็นอาภรณ์ ต่อมาเฮอร์คิวลิสได้นำนักรบธีบส์ออกเผด็จศึกกับศัตรูได้รับชัยชนะ ราชาจึงประทานธิดา ให้เป็นบำเหน็จวีรกรรม เฮอร์คิวลิสแต่งงานกับ Megara และมีบุตรด้วยกันสามคน แต่แล้วครอบครัว กลับต้องแตกสลายในไม่ช้า เมื่อ เทวีฮีระผู้ผูกใจจองเวรได้สาปส่งอาการโกรธคลุ้มคลั่งสิงเฮอร์คิวลิส ทำให้เสียจริตจน กระทำการสังหารภรรยาและบุตร เมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนเฮอร์คิวลิสเศร้าโศกระทมด้วยรู้สึก ผิดมหันต์จากกรรมที่ก่อ
Asteas Painter, 4th century BC Madrid Museum
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 78 เมื่อ 13 ธ.ค. 10, 10:46
|
|
อพอลโล - เทพพยากรณ์ แนะนำให้เฮอร์คิวลิสประกอบวีรกรรมเหนือมนุษย์ 12 อย่าง เพื่อเป็นการล้างมือที่เปื้อนเลือด ชำระบาปที่ได้ก่อไว้ให้กลับกลายเป็นบริสุทธิ์
หลังผ่านพ้นวิบากวีรกรรมทั้งสิบสองแล้ว เฮอร์คิวลิสยังผจญภัยต่อไปอีก ทั้งปรากฏบทสมทบ ในตำนานมีชื่อเรื่อง Jason and the Argonauts - อภินิหารขนแกะทองคำ, ถูกกล่าวถึงใน Trojan War - สงครามกรุงทรอย และ พบกับ Odysseus ในใต้หล้ายมโลก ซึ่งขัดกับตำนานของเฮอร์คิวลิส เนื่องจาก เมื่อวาระสุดท้ายบนโลกมนุษย์มาถึง จอมเทพซูสได้รับเขาขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เป็นอมตะ และประทานเทพธิดาฮีบีให้เป็นชายา
The Apotheosis of Hercules - Louis Cheron
พิธีเทวสถาปนาและเทวาเสกสมรสของเฮอร์คิวลิส โดยมีจอมเทพซูสเป็นประธาน ขวามือจอมเทพคือธิดาฮีบี เคียงซ้ายด้วยเทวีเฮรา พร้อมเชษฐาซูส - โพไซดอนและเฮดีส อีกทั้งทวยเทพใหญ่น้อยมากมาย เช่น อโฟไดรที แอรีส เฮอร์มีส อพอลโล เฮอร์คิวลิสนั่งอยู่บนรถม้าเบื้องล่าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 79 เมื่อ 13 ธ.ค. 10, 10:53
|
|
ศัพท์หยิบจากนามนี้มาใช้ ได้แก่
Herculean - of extraordinary power, extent, intensity, or difficulty <Herculean tasks> <Herculean proportions>
Herculean disease - Hercules morbus (morbus - latin = sickness) – ศัพท์โบราณ ปัจจุบันคือ epilepsy - โรคลมชัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 80 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 09:58
|
|
สามตำนานต่อไปนี้ เล่าเรื่องราวดรามาเข้มข้น ตัวละครซึ่งมิใช่สามัญชน ได้ก่อกรรมกระทำเหตุการณ์รุนแรงโหดร้ายเกินปกติวิสัย ชาวการละครเวทีนิยมหยิบยก ไปตีความนำเสนอเป็นโศกนาฏกรรมสั่นสะเทือนอารมณ์ผู้ชมทั้งหลาย
Oedipus
ราชาเลอัส - Laius ผู้ครองนครธีบส์ - Thebes บัญชาให้บริวารจับโอรสองค์น้อย มัดข้อเท้า(บ้างว่าใช้เข็มกลัดหรือหมุดเสียบตรึงข้อเท้า) แล้วนำไปทิ้งไว้บนภูเขาเพื่อให้สิ้นชีวิต เนื่องจากมีคำทำนายว่าโอรสจะกระทำปิตุฆาตเมื่อเจริญวัย
ชะตากรรมตามคำทำนายนี้เป็นวิบากรรมจากเมื่อครั้งเลอัสยังเป็นเจ้าชายถูกเนรเทศ ออกจากนัครา เลอัสได้ข่มขืนยุวโอรสของราชาที่ให้การอุปถัมภ์ตน เป็นเหตุให้เทวีฮีระ(เฮระ) พิโรธจึงลงโทษบัญชาไม่ให้เลอัสมีโอรส ต่อมาเมื่อเลอัสเสกสมรสแล้วได้ฝ่าฝืนคำห้ามเพราะ ความเมามาย นอกจากบัญชานี้แล้วเทวียังส่งนางสฟิงซ์มาคุกคามเมืองธีบส์อีกด้วย
แต่บริวารกลับนำไปมอบให้กับเมษบาล(คนเลี้ยงแกะ) ผู้ซึ่งได้นำไปถวายราชา แห่งเมืองคอรินท์ - Corinth (บ้างว่าบริวารของราชามาพบ) แล้วทรงรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม และให้ชื่อว่า อีดิพัส (เอดิพัส) - Oedipus ตามรอยบวมปรากฏที่ข้อเท้า(จากการถูกมัด) มาจากคำกรีกว่า oedema
ประติมากรรม เมษบาลอภิบาล ทารกอีดิพัสรอดตาย ผลงานของ Antoine Denis Chaudet
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 81 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 10:10
|
|
อังกฤษรับคำนี้มาใช้
oedema - (British English) (North American English - edema) คงความหมายว่า บวม - a condition in which liquid collects in the spaces inside the body and makes it swell
- Oxford Advanced Learner's Dictionary
ส่วน Merriam-Webster ก็นิยามว่า chiefly British variant of edema
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 82 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 10:11
|
|
นามเมืองนี้เป็นที่มาของ Corinthian order หนึ่งในสามรูปแบบสถาปัตยกรรม คลาสสิคของกรีกและโรมัน (Doric, Ionic และ Corinthian) ที่วิวัฒน์ ณ กรุงเอเธนส์ ในช่วงศตวรรษที่ 5 BC
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 83 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 10:14
|
|
ตำนานเล่าว่า ประติมากรได้ภาพรูปแบบมาจากหลุมฝังศพเด็กหญิงที่มีตะกร้าบรรจุ ของเล่นพร้อมแผ่นหินปิดด้านบนวางไว้เหนือหลุมศพ เมื่อเวลาผ่านไปต้น acanthus ได้งอกงาม แตกกิ่งใบโอบตะกร้าและตีโค้งตรงมุมของแผ่นหินเกิดเป็นภาพอ่อนช้อยงดงาม เป็นที่มา ของหัวเสาที่คุ้นตา corinthian column พบในสิ่งก่อสร้างของโรมันมากกว่ากรีก
ภาพ The origin of the Corinthian Order, illustrated in Claude Perrault's Vitruvius, 1684
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 84 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 10:21
|
|
ครั้นเติบใหญ่ อีดิพัสได้ยินคำคนอื่นกล่าวเกิดความสงสัยว่าตนอาจมิใช่ลูกที่แท้จริง ของราชาแห่งคอรินท์ เมื่อไปทูลถามพระบิดา(หรือพระมารดา)ก็ได้รับคำปฏิเสธ เขาจึงออกเดินทาง ไปปรึกษานักพยากรณ์ แต่กลับได้รับคำตอบแต่เรื่องคำทำนาย(ปิตุฆาต) อีดิพัสจึงเดินทางออก จากคอรินท์เพื่อที่จะหนีคำทำนายนี้
เมื่อมาถึงจุดบรรจบของทางสามแพร่งมุ่งสู่ทางสายเดียว อีดิพัสได้พบกับพระบิดา (องค์จริง - เลอัส) ทรงราชรถม้ามุ่งไปทางเอกเช่นกัน บ้างว่า เมื่อออกมาจากสำนักพยากรณ์บนถนนสายแคบ อีดิพัสสวนกับราชรถของราชาเลอัส ที่เดินทางมาถามเรื่องคำทำนายปิตุฆาตซึ่งผู้หยั่งรู้ทักว่าใกล้จะถึงเวลานั้นแล้ว ทั้งสองโต้แย้งกันอย่างรุนแรงเรื่องผู้ใดจะได้ใช้เส้นทางต่อไปก่อน จนเกิดการต่อสู้กัน และอีดิพัสได้สังหารราชาเลอัสโดยเป็นการป้องกันตัว - เป็นปิตุฆาตตรงตามคำทำนาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 85 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 10:30
|
|
อีดิพัสเดินทางมาถึงธีบส์และได้เผชิญกับนางสฟิงซ์ (Sphinx) ที่กำลังคุกคามขวางทาง เข้านคร (เป็นโทษทัณฑ์จากเทวีฮีระดังได้กล่าวไปแล้ว) ผู้ที่จะผ่านเข้าไปต้องตอบปริศนา ให้ได้ก่อน หากตอบผิดจะถูกนางรัดจนสิ้นใจ อนุชาราชินีผู้ครองเมืองธีบส์แทนราชาเลอัสได้ตั้งรางวัลให้กับผู้ที่สามารถไขปริศนานี้ได้ โดยจะยกบ้านเมืองและตำแหน่งราชาให้แก่ผู้นั้น (บางตำนานกล่าวว่าอีดิพัสทราบข่าวรางวัลนี้จึงเดินทางมาธีบส์) สฟิงซ์ เป็นลูกสาวของ Echidna - ครึ่งอสรพิษ ครึ่งอิสตรี เป็นมารดาของอสุรกาย ในตำนานกรีก นางสฟิงซ์มีศีรษะมนุษย์หญิง ร่างสิงห์ ปีกอินทรี และหางสิงห์หรืออสรพิษ ชื่อมาจากคำกิริยาภาษากรีก sphingo แปลว่า "to strangle"
Oedipus and the Sphinx - Jean Auguste Dominique Ingres
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 86 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 10:36
|
|
ปุจฉาสฟิงซ์
"What walks on four feet in the morning, two in the afternoon and three at night?".
หรือ "What is that which has one voice and yet becomes four-footed and two-footed and three-footed?"
อีดิพัสวิสัชนา "Man; as an infant, he crawls on all fours, as an adult, he walks on two legs and, in old age, he relies on a walking stick".
อีดิพัสแก้ปริศนานี้ได้สำเร็จ (อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์เท้าที่บาดเจ็บและ การเดินด้วยไม้เท้าในวัยเด็กของตน) นางสฟิงซ์จำทิ้งนคราโจนจากผาลงมาถึงแก่กาลดับ บ้างว่าโจนลงหุบเหวลึกลับหายไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 87 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 10:41
|
|
อนุชาราชินีผู้ครองเมืองแทนราชาเลอัสตอบแทนอีดิพัสตามสัญญา ยกตำแหน่งราชา ครองนคราและครองราชินีม่าย Jocasta (พระมารดาที่แท้จริงของอิดีพัส) ทั้งสองมีโอรสธิดาด้วยกัน 4 องค์
ต่อมาเกิดอาเพศในนครา พืชพันธุ์ไม่ออกผล สตรีไม่มีบุตร ทั้งยังเกิดโรคห่า(กาฬโรค)ระบาด นักพยากรณ์ให้คำแนะนำว่าจงสืบหาผู้ที่ปลงพระชนม์ราชาเลอัสแล้วจับประหารหรือเนรเทศออกไป
ในที่สุด ความจริงทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยเมื่อราชาแห่งคอรินธ์สิ้นพระชนม์แล้วราชินียอมรับ ว่าอีดิพัสเป็นโอรสบุญธรรม อีกทั้งเมษบาล(คนเลี้ยงแกะ) ผู้ช่วยชีวิตทารกอีดิพัสตอนที่ถูกทิ้งไว้บนเขา สามารถยืนยันชาติกำเนิดอีดิพัสได้จากตำหนิรอยแผลเป็นที่เท้า
จากโอเปรา ไม่พบภาพถูกใจ เลือกภาพนักแสดงชื่อดัง Ralph Fiennes รับบทอีดิพัส ในละครเวทีปี 2008
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 88 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 10:46
|
|
หลังจากรับรู้เรื่องราวที่แสนโหดร้าย สุดอดสูเจ็บปวดเกินทน อีดิพัสกระชากเข็มกลัด เครื่องประดับของพระมารดา(และชายาในองค์เดียวกัน) แล้วเสียบเข็มนั้นแทงดวงเนตรทั้งสองข้าง ของตน ส่วนพระมารดาได้ทำการปลงพระชนม์องค์เองในเวลาต่อมา
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Oedipus Rex ของผู้กำกับอิตาลีที่เป็นตำนาน - Pasolini
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 89 เมื่อ 14 ธ.ค. 10, 10:50
|
|
อีดิพัสยกบัลลังก์ให้โอรสแล้วเดินทางออกจากธีบส์ไปกับธิดานามว่า Antigone -
อันตราคนีนำบิดาตาบอดดำเนินผ่านชาวพาราที่เจ็บป่วยล้มตายด้วยโรคห่าออกจากธีบส์
Antigone leads Oedipus out of Thebes - Charles Francois Jalabeat
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|