ความขัดแย้งแย่งทศกัณฐ์นี้ ผมมองว่ากระทรวงวัฒนธรรมเป็นฝ่ายแพ้ในแง่ศึกชิงมวลชน และไม่เป็นผลดีต่อโขนรวมทั้งนาฏศิลป์แขนงอื่นด้วย คนรุ่นใหม่ยิ่งหันหลัง-ยิ่งเพิ่มอคติไปกันใหญ่ ข้างฝ่ายอนุรักษ์นิยมน่าจะผ่อนปรนท่าทีได้มากกว่านี้
เท่าที่ฝั่งกระทรวงวัฒนธรรมให้เหตุผลแย้งออกมา ผมว่าเกาไม่ถูกที่คัน เขามีเวลาเป็นวันๆที่จะหาเหตุผลสวยๆมาอธิบาย แต่ดันยกเหตุผลว่าไม่สมศักดิ์ศรีราชาแห่งยักษ์ หรือยกตัวอย่างเรื่องหยอดขนมครก มันก็เลยกระพือเรื่องให้ลุกลามไปกันใหญ่
ผมว่านะ...ยอมรับมาตรงๆเถอะว่า "หวงแหน" ในฐานะผู้สืบทอดสาย hard core และจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อครูบาอาจารย์ด้วย จากนั้นค่อยมารณรงค์แก้ต่างภายหลัง ให้ความรู้แก่ผู้เสพ MV ว่ามีฉากใดบ้างไม่ถูกจารีตแบบแผน (ผมว่าผู้เสพแยกแยะออก ว่าอะไรคืองานประยุกต์ อะไรคือแก่นของเดิม)
บางเหตุผลของฝ่ายอนุรักษ์ก็น่าฟัง เช่น บทความของ จิตกร บุษบา นสพ.แนวหน้า (ในความเห็นที่47) แต่ก็มาช้าไป ไฟไหม้ไปครึ่งเรือน-แตกตื่นไปทั้งบางแล้ว
4) คำว่าทศกัณฐ์ หรือโขน ไม่ได้ถูกยกว่าเป็น “ของสูง” ไปเสียทั้งหมด อยู่ที่ประเภทของ “โขน” ด้วย การแสดงที่เรียกว่า “โขน” จึงมีฐานานุศักดิ์ ในแต่ละชนิดของมันเอง และมีความหลากหลายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น โขนหน้าไฟหรือโขนหน้าศพ โขนกลางแปลง โขนชักรอก โขนหลวง หรือโขนสด
5) เมื่อ “เที่ยวไทยมีเฮ” เลือกใช้ “โขนหลวง”ทั้งดุ้น คือ เอาคนมาสวมหัวโขน ทรงเครื่องโขนเต็ม ครบ ตามขนบทุกกระเบียด แต่กลับไปใช้ท่วงท่า กิริยาแบบ “โขนสด” หรือไม่ใช่แบบโขนใดๆ ทั้งสิ้น ครูทั้งหลายจึงตำหนิว่าผิดรูปแบบ และ “ไม่เหมาะ”
6) แปลว่าผู้กำกับฯ “หยิบผิด” มีให้เลือกเกือบสิบ ดันไปหยิบ “ของสูงที่สุด” ไปใช้ผิด “ฐานานุศักดิ์” คนที่เขาอนุรักษ์จารีตหรือกติกาก็ต้องทักท้วงและให้แก้ไข