เรือนไทย

General Category => ทันกระแส => ข้อความที่เริ่มโดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 17, 10:13



กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 17, 10:13
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 17, 11:09
ดูเอาเถิดครับ บรรยากาศคล้ายกับวันที่ผมเป็นนักเรียนวชิราวุธ ร่วมเดินอยู่ในกระบวนเสด็จพระราชดำเนิน พยุหยาตราโดยสถลมารค วันซ้อมแดดเปรี้ยง แต่วันจริงมีเมฆมาบดบังพระสุริยะ ริ้วขบวนเคลื่อนไปในร่มเงาตลอดทาง

ในภาพ แม้เงาของบุคคล ก็ไม่ปรากฏให้เห็นเช่นกัน


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 17, 11:10
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 17, 11:10
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 17, 14:39
ปรากฏการณ์ หมอกธุมเกตุปกคลุมปริมณฑลพระราชพิธีถวายพระเพลิงสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเมื่อเช้าวันนี้


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 17, 14:53
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 26 ต.ค. 17, 15:34
ฟ้ายังเป็นใจร่วมส่งเสด็จ


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 26 ต.ค. 17, 16:24
หลังจากพระราชพิธีช่วงแรกจบ ฝนก็ตกลงมาหนักที่สนามหลวง


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 ต.ค. 17, 17:43
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: srinaka ที่ 26 ต.ค. 17, 21:32
ผมไปร่วมพิธีที่วัดพระแท่น จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งแต่16.30 จนได้วางดอกไม้จันทร์หน้าพระเมรุมาศจำลอง ประชาชนเรือนหมื่นเข้าแถวเป็นระเบียบ ไม่มีฝนตก มีแต่จิตอาสาบริการเสริฟน้ำเย็น และรับส่งมายังที่จอดรถ ผมเป็นสุข อิ่มเอิบ ปลื้มปิติ
และสำนึกว่า นี่คือพระบารมีครับ


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 08:09
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 08:09
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 08:10
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 08:11
ควันปืนใหญ่ที่ทหารกองเกียรติยศยิงถวาย กลายเป็นรูปหัวใจ



https://www.facebook.com/gaew.maramarble/videos/10211733765112265/


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 08:12
นกสีขาว ๙ ตัว ไม่ทราบมาจากไหน บินวนเวียนรอบพระเมรุมาศก่อนพิธีเผาจริง แล้วหายไปในความมืด

https://www.facebook.com/sirisak.loveking/videos/10159546382270154/


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 08:13
ห่างไปอีกประมาณ ๒๐ นาที นกฝูงนี้ก็บินวนมาอีกรอบ นอกจากนี้ ประชาชนจำนวนมากต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นเหมือนมีลำเส้นสีดำพุ่งขึ้นต่อจากยอดนพปฎลมหาเศวตฉัตร


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 08:36
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 08:36
.


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 11:11
จากFBของผมเองครับ

ผมไม่ชอบเลยเวลาที่ได้ยินคนกล่าวถึงพระพุทธเจ้าอยู่หัวว่าเป็นคิงออฟคิง

ประการแรก ภาษาอังกฤษมีเอกพจน์และพหูพจน์ คำว่า King of King น่ะผิดเสียตั้งแต่แรก คือจะยกย่องพระองค์ทั้งที ก็ให้เป็นกษัตริย์ของกษัตริย์อีกพระองค์เดียว องค์ไหนก็ไม่รู้ คำนี้จะให้ถูกต้อง ต้องเป็นคำว่า The King of Kings (ซึ่งเป็นชื่อหนังเรื่องหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูพระเยซูคริตส์)

แต่จะดีเหรอที่เราจะไปยกตนข่มท่าน การยกย่องตนเองโดยผู้อื่นไม่ได้เห็นด้วยนั้น รังแต่จะถูกเขาแอบหัวเราะเยาะ ถ้าพวกเขาเป็นผู้กล่าวคำนี้เองสิ จึงควรจะภูมิใจ

เมื่อสักครู่ ได้ยินผู้บรรยายกล่าวถึงพระราชอาคันตุกะที่มาร่วมพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ แล้ววกมาพูดถึงคิงออฟคิงเต็มสองหู ไม่คิดว่าประโยคที่คุณเธอขยายขี้เท่อออกไป ซึ่งออนแอร์ไปทั่วประเทศ และอาจจะได้ยินไปถึงผู้ที่ไม่ใช่คนไทยแต่ฟังภาษาไทยรู้เรื่องนั้นด้วยนั้น จะเกิดขึ้นในท่ามกลางพระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าระดับชาติ

ไม่รู้จะไปบ่นกับใคร ก็ขอบ่นในห้องของตัวเองเช่นนี้แหละครับ


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 27 ต.ค. 17, 13:27
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่านอาจารย์ NAVARAT C. ในความห็นที่ 18 ครับ

หลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นสิ่งที่อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ยาก ถ้าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็ถือว่าบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ เราก็เชื่อว่าเป็นเพราะพระบารมีของในหลวงของเราทั้งรัชกาลที่ 9 และ 10

แต่ในส่วนของลำสีดำเหนือนพปฎลมหาเศวตรฉัตร ผมพยายามจะอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ดังนี้ครับ

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเห็นลำสีดำนี้เพียง 9 นาทีหลังจากที่กลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากพระเมรุมาศขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมสันนิษฐานว่าเมื่อควันไฟพุ่งขึ้นไปตามรูปทรงของยอดพระเมรุมาศที่ลาดชัน ควันไปวิ่งไปรวมกันที่ยอดแล้วพุ่งขึ้นไปตามแนวยอดพระเมรุมาศ แต่เมื่อไปเจอกับนพปฎลมหาเศวตฉัตร จะมีควันกลุ่มกลางที่ถูกบล้อคเอาไว้และทำให้ล้นออกด้านข้างของพระเศวตรฉัตร เรามองไกลๆ คิดว่าพื้นหลังคือสีดำ แต่จริงๆมีควันคลุมอยู่บางๆอยู่แล้ว ส่วนที่ถูกพระเศวตฉัตรกั้นเอาไว้ ก็เลยปรากฏว่ามืดดำกว่าบริเวณข้างๆ นั่นคือลำสีดำที่หลายคนเห็นนั่นเอง แต่หลังจาก 9 นาทีผ่านไป ควันไฟที่เพิ่มมาภายหลังทำให้เกิดการไหลของควันที่ยุ่งเหยิง บริเวณเหนือพระเศวตฉัตรก็ถูกปกคลุมด้วยควันจนเต็มไปหมด ลำสีดำก็หายไป


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 27 ต.ค. 17, 14:47
ผมเคยอ่านข่าวของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในสื่อต่างประเทศ ซึ่งในเนื้อข่าวมีคำว่า King of kings ปรากฎอยู่ในเนื้อข่าวด้วย
ท้ายข่าวนั้น ก็มีชาวต่างชาติแสดงความเห็นว่า ตำแหน่งนี้ (หรือคำเรียกขานนี้) หมายถึงพระเยซูคริสต์ มิใช่หรือ
ผมพยายามกลับไปหาข่าวนี้ แต่หาไม่พบครับ


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 17, 15:01
คำว่า King of kings  เดิมหมายถึงพระเยซูคริสต์ อย่างที่คุณนริศเข้าใจ ถูกต้องแล้วค่ะ
เคยมีหนังชื่อนี้ เป็นชีวประวัติของพระองค์  ดิฉันเคยดูตอนเด็กๆ
ทั้งนี้เพราะพระเยซูนั้น ถือว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า   อยู่เหนือกษัตริย์ทั้งหลายในยุคคริสตกาล   คำนี้มีอยู่ในพระคัมภร์ไบเบิ้ลด้วย
หาอ่านได้ที่นี่
https://www.gotquestions.org/King-of-kings-Lord-of-lords.html

ส่วนเพลง King of Kings  ที่แต่งขึ้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙   เป็นเพลงไทยแต่มีคำฝรั่งปนอยู่   โดย  พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา แต่งทำนอง  สุรักษ์ สุขเสวี แต่งเนื้อร้อง

https://www.youtube.com/watch?v=h46cdkOnKhY


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 17, 15:23
เรื่องต่อไปนี้ดิฉันยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจำถูกหรือเปล่า  ถ้าผิด มีท่านผู้รู้ท่านใดทราบ โปรดแก้ไขให้ด้วย

ย้อนหลังไปในปี 2549 ไทยมีพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี  ประเทศที่มีสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินี ตอบรับคำกราบบังคมทูลเชิญ เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทย ของรัฐบาลไทย เพื่อร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในวโรกาสนี้ มีจำนวน 25 ประเทศ โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดี และสมเด็จพระราชินี ที่จะเสด็จฯ มาด้วยพระองค์เอง เป็นจำนวน 13 ประเทศ นับเป็นการชุมนุมของพระประมุขจากประเทศต่างๆ มากที่สุดในโลก

ในพระราชพิธี มีพระราชดำรัสเฉลิมพระเกียรติ โดยพระราชาธิบดี ผู้แทนพระราชอาคันตุกพทั้งหมด  ซึ่งดิฉันยังค้นไม่เจอว่า จากบรูไนหรือประเทศไหน    ทรงมีพระราชดำรัสถึงคำนี้ คือ king of kings   ค่ะ 
น่าจะเป็นคำนี้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเพลงข้างบนนี้ขึ้น
ตอนนี้ยังหาไม่พบจริงๆ  ต้องพึ่งเพ็ญชมพูกูเกิ้ลเสียแล้วละมั้ง   


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ต.ค. 17, 19:39
เป็นพระดำรัสที่งดงามมาก แต่ไม่มีถ้อยคำใดที่ระบุเช่นนั้นครับ(แม้ภาษาไทยในคลิ๊ปพยายามจะแปลให้เวอร์ๆอยู่หลายตอนก็ตาม)


http://www.tnews.co.th/contents/327257


จากนั้น สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในฐานะทรงเป็นผู้แทนประมุขและพระราชวงศ์ต่างประเทศ ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีใจความว่า...
      
       “พระองค์ องค์พระประมุข และพระราชอาคันตุกะทุกพระองค์ ได้มาพร้อมเพรียงกัน ณ ที่นี้ ก็เพื่อถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ผู้เป็นที่รักของพระองค์ด้วยความเคารพ ชื่นชมในพระบารมีเป็นล้นพ้น ตลอดจนเพื่อความปารถนาดีอย่างจริงใจ ให้แก่ปวงชนชาวไทยทุกคน
      
       60 ปี ที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติ มิได้เป็นเพียง 60 ปี ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย แต่เป็น 60 ปีที่ประวัติศาสตร์ของเราทุกคน เป็นประวัติศาสตร์ที่ประสบทั้งสิ่งดี และสิ่งร้าย ทั้งความปลื้มปีติ และความโศกเศร้า ทั้งเรื่องที่น่าตื่นเต้น ยินดี และเรื่องที่น่าสิ้นหวัง และทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงใช้พระราชปรีชาญาณ พระสติปัญญา พระวิริยะ อุตสาหะ ตลอดจนความองอาจและกล้าหาญที่พระองค์ทรงมีอยู่อย่างท่วมท้น ในการนำประเทศให้พ้นภัย พระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นศูนย์รวมแห่งแรงบันดาลใจแก่ประชาชนของพระองค์ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นในด้านวิชาการ ศิลปะ วิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่การที่ทรงเป็นแบบอย่างที่เรียบง่าย ของการเป็นพ่อผู้มีแต่ความรัก และความเสียสละเพื่อลูก
      
       วันนี้ประชาคมโลกต่างตะหนักถึงความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หม่อมฉันองค์พระประมุข และพระราชอาคันตุกะทุกพระองค์ที่มาพร้อมเพรียงกัน ณ ที่นี้ จึงมีความปราบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่องค์การสหประชาชาติได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลความสำเร็จอันสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ฝ่าพระบาท แต่หม่อมฉันตลอดจนองค์พระประมุข และพระราชอาคันตุกะทุกพระองค์ ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาร่วมงานในวันนี้ ขอถวายพระราชสมัญญาที่เรียบง่าย แต่มีค่า และสะท้อนถึงความรู้สึกของหม่อมฉัน และทุกพระองค์ ณ ที่นี้ คือ ฝ่าพระบาททรงเป็นมิตรที่รัก และพึงเคารพอย่างที่สุดของพวกเรา”


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 ต.ค. 17, 07:34
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ

Your Majesty King Bhumibol Adulyadej,

Your Majesty Queen Sirikit,

Your Majesties,

Your Royal Highnesses,

Ladies and Gentlemen,

Your Majesty,

We have the honour and great pleasure to join Your Majesties today for two reasons.

Firstly we are here, like the people everywhere in this proud and ancient Kingdom, to offer a very simple personal message to Your Majesty and your beloved Queen Sirikit.

We offer our warmest congratulations and our heartfelt best wishes to you both and to the people of Thailand . We do this with the deepest of respect.

This occasion, however, demands much more than our simple goodwill no matter how warmly and sincerely it is expressed.

So, there is another equally important reason for our presence in your beautiful country. If there is a single word to express it, Your Majesty, I believe it would be the word, "honour".

We are here, Your Majesty, to honour you and your people and to honour your life as their leader, their inspiration and their revered Head of State.

Your Majesty's reign is one of the longest in history. That, however, is a matter of academic record and we are not here to celebrate mere records.

We are here to honour the substance of that reign. We are here to express our profound esteem for the personal qualities with which Your Majesty has so enriched it.

Its 60 years are not just 60 years in the history of Thailand . They are, in so many ways, the history of our times, the good and the bad, the joyous and the sad, the exciting and the desperate.

These times have brought the most rapid and far-reaching changes ever seen in man's history. They have challenged every aspect of our existence, above all as sovereign nations. They have presented moments when great decisions and judgement have been called for.

To these moments, Your Majesty has brought the dignity, wisdom, courage that we all seek to offer those we are called upon to lead.

You have never sought to distance yourself from the lives of your people. You have never asked them to be followers or mere subjects. You have shared their joys, fears and disappointments.

You have made them deeply proud of their heritage and their identity. You have made your people feel that the Kingdom of Thailand is indeed their own Kingdom. Above all, I feel, you have given them confidence.

Much of this comes from Your Majesty's own personal achievements. These have rightly been a source of great inspiration to your people whether academic, artistic, and scientific, or in the most human of terms the simple example of a good and loving father.

All these achievements have now been recognised by the international community. And we offer you our warmest congratulations on the Lifetime Achievement Award that has been conferred by the United Nations.

Your Majesty, in recognising all these accomplishments some accounts of your reign have accorded you the title 'The Great". We can all understand why.

But, for us who have come to honour you here, a simpler title expresses our feeling. It is a dear and very special title.

You are Our Friend and Our Most Respected colleague.

You inspire us all and we, Your Majesty's peers and admirers, honour you most deeply for this.

We are also extremely grateful to Your Majesty's Government and to Prime Minister Thaksin Shinawatra for the opportunity we have had to express these feelings of great respect in person.

In arranging this unique gathering, they honour us as well. It has been a privilege to share their celebrations on this wonderful occasion and we wish Your Majesties and the people of the Kingdom of Thailand many more years of great happiness and prosperity.

Thank you.

http://www.soravij.com/royalty/rama9/diamondjubilee/djdiary13062006.html


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 17, 08:30
ขอบคุณทั้งสองท่านค่ะ


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 ต.ค. 17, 16:53
You are Our Friend and Our Most Respected colleague.

ประโยคนี้อาจจะถูกขยายความเป็น "King of Kings"


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 ต.ค. 17, 18:39
จับความในภาษาอังกฤษแล้ว  เป็นถ้อยภาษาที่เรียบเรียงดีมากๆ สั้น กระทัดรัด สื่อความรู้สึก ความหมายและเจตจำนงต่างๆ รวมทั้งสื่อสารในบางเรื่องร่วมไปด้วย   

การแปลเป็นภาษาไทยคงจะมีอยู่มากกว่าหนึ่ง version (แบบตรงเต็มรูป แบบย่อเก็บใจความ แบบสรุปเนื้อหา...)  ก็อยากทราบภาคที่แปลเป็นภาษาไทยอย่างเป็นทางการจริงๆ     


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: heha ที่ 28 ต.ค. 17, 23:34
ดูนักเรียนอนุบาลร้องเพลงพระราชาในนิทาน
จัดทำโดยเสถึยรธรรมสถาน ถ่ายทำได้ดีครับ
แต่เสียอรรถรสมากตรงที่เด็กๆ ออกเสียง ฉ และ ช เฉอะ เฉอะๆ
ยังกับออกเสียงภาษาฝาหรั่ง
คุณครูปล่อยออกมาได้อย่างไรครับ

อย่าว่าแต่เด็กเลยครับ พิธีกรข่าวกีฬาของช่อง 3 ที่ไว้หนวด
ก็ออกเสียง ช ผิด ไม่มีคนเตือนแกหรือไงก็ไม่ทราบ


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 17, 07:23
วันสองวันมานี้ หลายท่านคงจะประหลาดใจที่อยู่ดีๆ สื่ออเมริกันแทบจะทุกสำนักและอื่นๆอีกประปรายก็พร้อมอกพร้อมใจตีข่าวเหมือนๆกันด้วย key word ว่า 90 millions budget cremation for the late king แพร่ออกไปทั้งเน็ท เป็นการบ่งบอกว่านี่เป็นข่าวแจก(ที่อาจมีซองแถม) เพื่อให้ทุกสำนักรายงานข่าวล้างสมองคนทั้งโลกในแนวดังกล่าวด้วยวัตถุประสงค์ลึกลับ ใครเป็นตัวการที่สั่งให้กระทำ และทำไปทำไม
เรื่องนี้มีปฏิกิริยาของคนไทยตอบโต้อยู่บ้าง แต่สำนวนที่ผมชอบก็เป็นข้างล่างนี้ แต่จะขอคัดลอกมาให้อ่านเอาเองโดยขอไม่แปล

Dear Mr Capitalist,

I have recently witnessed your impertinent intention to give out numerical figures of the value of our Royal Cremation Ceremony for HM the late King Bhumipol Adulyadej to somehow total the sum of USD 90 millions or sort of, as well as mockingly assert that this spending is contradictory to the King's Sufficient Economy policy.

In fact, I would say there is obviously an inaccuracy in your information.

First,
this sum is clearly understated, as it seems apparent that you have forgotten to count in the seas of best masters of arts and crafts in our country. These artists alone, I mean alone, have driven the cost up to more than +USD 50m at least. Not to count volunteers, workers, food providers, and people who offer to give help, shelter, transportation, food and even mementos. These are all definitely not cost-free as they have sacrificed their opportunity cost as much as the money in their pockets in order to help arranging for services and materials that are being given out free of charge from around the country, so as just to have such great honor to participate in this event that you called 'extravaganza'.

Second, you have mentioned it as contradictory to our King's teaching.
Well, Mister,
In such a country as the one you dwell, don't they ever teach you that you have to pay for all the goods and services that you have received? I am definitely sure they will in a place where Capitalism rules and where there is never free lunch.

But maybe you'll feel a little perplexed here. Maybe you will find it incomprehensible that in a small and developing country like the one you called, we learn how to pay back wholeheartedly; that is, we are willing to pay back to our loved ones, not with notes and coins like what your culture counts, but with love and gratitude.

We would like you to know that your claimed amount of USD 90m is pretty much a too humble sum to pay back to all the love and happiness we have received from our Beloved King during the 70 years of his reign. You think we are a poor country who is overspending. You are totally wrong. We have much more than we need in the country of our King, where when we give, we give without wanting back.

So I would cut it short by correcting your mistake when you mentioned this sum of whatever millions you think it is. Do not contemptuously underestimate our love to our King -as it is not that cheap.

...

เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้หวนระลึกถึงคำสอนของอาจารย์ประวัติศาสตร์ศิลปสถาปัตยกรรมสมัยผมเข้าไปเรียนยังคณะสถาปัตย์ใหม่ๆ  เมื่อท่านฉายสไสด์ให้ดูภาพอันอลังการของโบสถ์วิหาร ศาสนสถานที่งามตระการตาด้วยแสงประกายของทองคำและสีอัญมณี หรือแบบตะวันตกที่สร้างด้วยหินอัคนี แกะสลักอย่างวิจิตรพิศดารสูงเสียดฟ้า ใหญ่โตมโหฬารเกินกว่าสัดส่วนของมนุษย์ผู้สร้างจะใช้สอยเสียเองได้….
….ท่านจะหยุดหายใจชั่วครู่..ก่อนจะบรรยายต่อว่า สถาปัตยกรรมเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ใช่เพื่อความสุขสบายทางร่างกายของตน หากเป็นเพื่อสนองความต้องการทางจิตวิญญาณที่ต้องการอุทิศให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้น พวกเขาจึงยอมทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างประดามี เพื่อรังสรรค์ผลงานให้ดีที่สุด สวยที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีความคิดว่าอะไรจะยากเกินไป หรือแพงเกินไป  เพียงแต่หวังว่าจะมีโอกาสที่จะได้อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าของเขา ณ ที่แห่งนั้น  ที่ซึ่งมนุษย์หวังว่าพระองค์จะเสด็จจากสรวงสวรรค์ลงมาอยู่กับพวกเขายังพื้นพิภพบ้าง

ทุกชาติ ทุกศาสนาที่มีอารยธรรมทั่วโลก ทุกยุคทุกสมัย ล้วนกระทำเช่นนั้น  

พระเมรุมาศที่คนไทยร่วมแรงร่วมใจกันสร้างถวายต่อองค์พระพุทธเจ้าหลวงก็ด้วย พวกเราได้ช่วยกันสุดกำลัง ใครมีฝีมือก็อุทิศฝีมือ ใครมีแรงกายก็อุทิศแรงกาย ใครที่ทำได้แค่อุทิศปัจจัยก็กระทำเท่าที่ตนจะสามารถ ตั้งใจจะให้ดีที่สุดภายใต้ระยะเวลาอันจำกัด เพื่อสนองความต้องการทางจิตใจของแต่ละคนที่ประสงค์จะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ผู้ที่ไม่รู้จักความรักซึ่งกันและกันระหว่างพระราชากับราษฎรไม่มีทางที่จะเข้าใจได้
เขาจึงเอาคุณค่าอันเป็นนามธรรมไปประเมินค่าออกมาเป็นบาทเป็นดอลลาร์ ซึ่งต่ำทรามเกินไป ไม่มีทางใกล้เคียงได้ครับ


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 17, 09:14
อีกหนึ่งข้อความที่กินใจ

Pat Hemasuk
เราไม่ได้บอกว่านี่เป็นเพียงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ แต่คนไทยทั้งประเทศกำลังบอกให้โลกทั้งใบรู้ว่า "เราคือใคร"
It wasn’t just a funeral. It was Thai people saying to the world, “This is who we are.”

นี่คือคำพูดที่กินใจของ คุณแดน บลาฮาสสกี้ นักเขียนชาวอเมริกันที่รักเมืองไทยออกมาตอบโต้ BBC สื่อของอังกฤษที่ออกมาวิจารณ์คนไทยและประเทศไทยที่ใช้เงินจำนวนมากไปเพื่องานพระราชพิธีนี้ ผมอยากจะย่อความ เรียบเรียงเรื่องราวจากที่คุณแดนเขียนเอาไว้ ที่นี่ครับ

http://newsorg.org/…/a-kings-funeral-and-a-chance-to-show-…/


***********************************************************************************************************************************

คนไทยเคารพพระเจ้าอยู่หัวในฐานะเทพเจ้าหรือ ?

เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดไปบ้างสำหรับสื่อตะวันตกที่เขียนว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลถูกมองเป็นเทพเจ้า เพราะเทพเจ้า(พระเจ้า)ในความหมายคริสเตียนของชาวตะวันตกกับเทพเจ้าของพุทธศาสนิกชนนั้นต่างกัน สำหรับคริสเตียนชาวตะวันตกแล้วอาจจะรู้สึกต่อต้านถ้ามีใครพูดออกมาแบบนั้น เพราะพระเจ้าของตะวันตกนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว และแยกออกมาจากมนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนไหนจะคิดหวังที่จะเป็นพระเจ้าได้ แต่ในพุทธศาสนานั้นมองเทพเจ้า(พระเจ้า)ต่างกันออกไปเล็กน้อย มนุษย์นั้นสามารถสร้างบารมีหลายภาพหลายชาติจนมีความสมบูรณ์แบบใกล้เคียงกับเทพเจ้าได้ แต่ไม่ใช่เทพเจ้า และเรียกสภาวะนั้นว่า พระโพธิสัตว์ นั่นคือสิ่งที่คนไทยมองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลในแบบนั้น เป็นมนุษย์ที่ไม่ใช่เทพเจ้า ทรงเป็นพระโพธิสัตว์จากงานที่พระองค์ได้ทำให้กับประชาชน และไม่ใช่พระเจ้าตามแบบที่สื่อตะวันตกแปลออกมาตามความเข้าใจ


แล้วเรื่องประชาสัมพันธ์ล่ะ?

สื่อตะวันตกมองว่ากรที่พระเจ้าแผ่นดินของไทยนั้นเป็นที่รักของประชาชนได้นั้นมาจากการประชาสัมพันธ์ และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทหาร นั่นคือเรื่องที่เข้าใจผิด ถ้าจะถามว่าทรงเป็นที่รักของประชาชนไหม คำตอบคือ แน่นอนว่าใช่ ทรงมีการประชาสัมพันธ์ไหม คำตอบคือแน่นอน ไม่ต่างกับผู้นำประเทศอื่นๆ ราชวงค์ทุกราชวงค์ ผู้นำทางธุรกิจใหญ่ทุกคน ประธานาธิบดีทุกคน แล้วราชวงค์อังกฤษมีการประชาสัมพันธ์ไหม คำตอบคือมี แล้ว ปธน.ทรัมป์ล่ะมีไหม ก็ต้องตอบว่ามีแน่นอน ทั้งหมดก็เพื่อที่จะเพิ่มคุณค่าของสิ่งที่ทำไปแล้ว


แต่สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลนั้น เป็นที่รู้กันว่าพระองค์รักสัตว์ ทรงเลี้ยงสุนัขจรจัดที่ชื่อคุณทองแดง ทั้งที่ทรงเลือกที่จะเลี้ยงสุนัขพันธุ์ดีเพียงใดก็ได้ตามต้องการ เรื่องนี้เป็นข่าวตามสื่อต่างๆ และทรงเขียนหนังสือเรื่องนี้ที่มีคนอ่านจำนวนมากด้วย นี่คือการประชาสัมพันธ์ไหม แน่นอนว่าใช่ แต่การประชาสัมพันธ์นั้นไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง แต่เพื่อสังคมนั่นก็คือเมืองไทยมีปัญหาเรื่องหมาจรจัดจำนวนมาก โดยเฉพาะที่กรุงเทพ เมื่อประชาชนเห็นพระราชาของพวกเขาเลี้ยงคุณทองแดงหมาจรจัด พวกเขาก็ดูแลหมาจรจัดตามอย่างที่พระองค์ทรงทำ เริ่มบริจาคเงินเพื่อสถานรับเลี้ยงดูหมาจรจัด นั่นคือการยกระดับการรับรู้ของปัญหา และเริ่มต้นที่จะสะสางปัญหาหมาจรจัดในเวลาต่อมา


เรื่องค่าใช้จ่ายงานพระเมรุมาศจะว่าอย่างไร?

สื่อตะวันตกจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง BBC ได้วิจารณ์ว่าใช้เงินไป 90 ล้านเหรียญ หรูหราแบบไร้การศึกษา (คือ BBC จะด่าว่าใช้จ่ายแบบโง่ๆ It may seem lavish to the uninitiated)
แต่คนไทยทั้งหลายกลับไม่คิดเช่นนั้น ที่จะถวายพระเกียรติให้น้อยไปกว่านี้ คนไทยส่วนมากไม่เคยมีชีวิตอยู่กับพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น และสำนึกว่าพระองค์คือพ่อของคนไทยทั้งปวง


แล้วทำไม(BBC)ไม่คิดถึงตอนที่เจ้าชายชาลส์แต่งงานกับเลดี้ไดอาน่าที่หมดเงินไป 110ล้านปอนด์ (มูลในเวลานั้น แต่ค่าเงินตอนนี้คงคูณสอง) แต่ทำไม BBC ไม่แตะเรื่องนี้ เมื่อครั้งที่มีงานพระศพของควีนมัม เฉพาะค่าขบวนรถก็หมดไป 111,00 ปอนด์แล้ว เมื่อครั้งที่จัดงานศพของวินสตัน เชอร์ชิลที่คนมาร่วมงานสามแสนคน รัฐบาลอังกฤษก็ออกเงินให้ เมื่อครั้งที่ควีนอลิซาเบธฉลองครองราชครบ 60 ปี มีขบวนเรือพันลำเข้าร่วมกับขบวนเรือหลวงในแม่น้ำเทมส์ ค่าใช้จ่ายในวันหยุดพิเศษครั้งนั้นเกือบจะชน 1.2 พันล้านปอนด์ (ราคาค่าเงินตอนนั้น) นอกจากงานเจ้าชายชาลส์แต่งงานกับเลดี้ไดอาน่า แล้วยังมีงานเจ้าชายวิลเลี่ยมกับแคธอรีน มิดเดลตัน ที่จัดไม่นานมานี้ หรือแม้ในงานศพของ ปธน.อเมริกัน JFK วอชิงตันต้องจ่ายไป 40 ล้านเหรียญ (ราคาเมื่อ 50กว่าปีก่อน) กลับไม่ใช่สาระที่เอามาตีออกสื่อ

แล้วลองย้อนกลับมาดูค่าใช้จ่าย 90 ล้านเหรียญที่ใช้ในงานนี้ ซึ่งก็ไม่เห็นว่าจะไม่สมเหตุผลแต่อย่างไรเลย


ในงานพระเมรุมาศได้แสดงออกที่วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของไทยที่สั่งสมกันมา ศิลปินนับพันคนได้สร้างรูปจำลอง งานศิลปะ และนาฎศิลป์การแสดงที่งดงาม โดยเฉพาะการแสดงโขน ที่แสดงให้โลกได้เห็นว่าไทยมีศิลปะ-วัฒนธรรมที่มีมาแต่ครั้งเก่าก่อน

เราไม่ได้บอกว่านี่เป็นเพียงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ แต่คนไทยทั้งประเทศกำลังบอกให้โลกทั้งใบรู้ว่า "เราคือใคร"





กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: ninpaat ที่ 29 ต.ค. 17, 09:23
ผมคิดว่า การให้แบบปิดทองหลังพระ นี่แหละครับ ที่พวกเขาไม่อยากให้มีได้จริงๆ

.........แต่บ้านเรามี.............


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 29 ต.ค. 17, 11:17
งานพิธีของผู้นำประเทศต่างๆใช้เงินมากกว่าของเราเยอะ อาจจะเป็นเพราะชาติใหญ่ทำไรก็ไม่ผิดมั้ง

ที่จริงคนที่ควรจะสนใจเรื่องนี้น่าจะเป็นเจ้าของเงิน ก็คือคนไทยที่เสียภาษีทั้งหลายนั่นแหละ แต่เชื่อว่าคนไทยเกือบทั้งหมดไม่เสียดายและคงจะเคืองรัฐบาลมากถ้าจัดงานได้ยิ่งใหญ่น้อยไปกว่านี้

จะว่าไปมูลค่าของการจัดงานน่าจะแพงกว่านีี้มากอาจจะหลายร้อยล้านหรือพันล้านดอลล่าร์เลยด้วยซ้ำหากคิดค่าแรงของจิตอาสาจำนวนรวมแล้วเป็นล้านคน ค่าอาหารที่ร้านค้าเอกชนทั้งหลายเอามาแจกกันฟรีๆตลอดปี ค่าป้ายถวายความอาลัย ค่าเดินทางของประชาชนที่มาร่วมในพระราชพิธี ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้รัฐบาลไม่ต้องจ่าย หรือถ้าจ่ายก็น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณทั้งหมด คำถามคือสิ่งเหล่านี้หาได้หรือไม่ในประเทศอื่นๆ?

สิ่งที่ได้รับกลับมาที่ชัดเจนที่สุดคือความสามัคคีของคนในชาติ การแสดงน้ำใจระหว่างประชาชนด้วยกัน การเสียสละเพื่อส่วนรวม ฯลฯ ช่วงเวลาการไว้อาลัยที่ยาวนาน 1 ปี(ยังมิค่อยจะนานพอ) ทำให้คนไทยทบทวนคำสอน พระราชกรณียกิจ พระราชจริยวัตร ของในหลวง ร.9 อย่างละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคที่พระองค์ท่านทรงไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้เช่นเคยก็จะได้เรียนรู้ สิ่งเหล่านี้จะจ่ายเงินเท่าไหร่ก็ไม่อาจซื้อหามาได้

ประสบการณ์ในช่วงการเดินทางไปกราบพระบรมศพในพระที่นั่งดุสิตฯ ผมได้เห็นความมุ่งมั่นอดทนของคนไทย การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเมื่อสองสามวันก่อนเดินทางไปถวายดอกไม้จันทน์ในจังหวัดที่ผมอยู่ คิวยาวมากจนล้นออกมา คนหนุ่ม สาว คนแก่ มีทุกวัย ฝนตกลงมาหนักมากจนเปียกทั้งตัว ก็ไม่มีใครแตกแถว คนมีร่มก็แบ่งปันกับคนข้างๆ ผมเห็นบางคนเขาก็ให้ร่มแก่ผู้อ่อนแอกว่า ให้ร่มเด็ก คนแก่ ตัวเองยืนเปียก ฯลฯ ทำให้ผมนึกว่านี่แหละคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า "เย็นศิระเพราะพระบริบาล" 


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 31 ต.ค. 17, 19:43
ล่าสุดมีเพจชื่อ "ห่วยตูน"  เขาไปหาข้อมูลการใช้งบประมาณในงานพระราชพิธีฯมาได้แล้วครับ คิดรวมๆก็รัฐใช้ไปสุทธิประมาณ 27 ล้านดอลล่าร์ (หักจากที่ประชาชนบริจาคแล้ว) ไม่ถึง 90 ครับ
ผมจะคัดลอกเฉพาะที่เขาสรุปละกันนะครับ แต่ใน facebook ของเขาจะมีสำเนาของหนังสือราชการมาลงไว้ด้วย ท่านใดสนใจติดตามไปดูกันได้ครับ

*****************************************************************

ห่วยตูน added 5 new photos.
4 hrs ·

เรื่องเกี่ยวกับงบประมาณพระราชพิธีฯ
========================
ขอแก้ไขเพิ่มเติมอีกหน่อยนะครับ
.
27 ตุลาคม ครม อนุมัติกรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท
http://cabinet.soc.go.th/doc_image/2559/993217806.pdf
.
22 ธันวา 59 อนุมัติเพิ่ม 1,000 รวมเป็น 2,000 ล้าน
และอนุมัติให้ กทม อีก 354 ล้าน รวม 2,354 ล้าน
http://cabinet.soc.go.th/doc_image/2559/993224755.pdf
.
29 สิงหาคม 60 อนุมัติเพิ่มอีก 1,000 ล้าน รวมเป็น 3,354 ล้าน
.
10 ตุลาคม 60 ของบเพิ่ม 203 ล้าน
แต่ เช็คแล้วเงินยังเหลืออยู่ 769 ล้าน จึงให้เบิกจากตรงนี้
http://cabinet.soc.go.th/doc_image/2560/9932625212.pdf
.
รวมแล้ว ใช้งบประมาณ ที่ราวๆ 2,788 ล้านบาท
.
ซึ่งก็น้อยมากอยู่ดี เมื่อเทียบกับงานพระราชพิธีที่สำเร็จออกมาทั่วประเทศ
.
และถ้าหักจาก
เงินร่วมถวาย บำเพ็ญพระราชกุศลจากประชาชน
อีก 889,545,100 บาท
.
ก็ = ใช้งบประมาณแผ่นดินไป 1898,454,900 ล้านบาท ครับ
.
ทำได้ขนาดนี้ อึ้งทั้งโลก


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 02 พ.ย. 17, 10:50
ส่วนตัวผมเองเห็นด้วยกับอาจารย์ทุกท่านครับ และมองว่า ข่าวการใช้เงินในพระราชพิธี เป็นเรื่องเหลวไหลครับ ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

แต่ถ้าจะมองกันจริงๆ ผมขอแยกคำว่า "แพง" กับคำว่า "ใช้เงินมาก" ออกจากกันครับ ในความคิดผม แพง หรือไม่แพง เราดูกันที่ความคุ้มค่า ความสมเหตุสมผล ความเหมาะสม ส่วนการใช้เงินมากหรือไม่มาก เราดูกันที่จำนวนเม็ดเงินที่ใช้ ดังนั้น เราอาจพูดได้ว่า งานพระราชพิธีพระบรมศพฯ "ใช้เงินมาก" ก็ได้ เพราะเม็ดเงินใช้ในระดับพันล้าน คงไม่สามารถพูดได้หรอกครับว่า พันล้านนั้น ไม่มาก แต่... แต่ จะเรียกว่า "แพง" ได้หรือไม่นั้น ยังต้องพิจารณาจากเหตุผลอื่นๆประกอบด้วย

ซึ่งถ้าพิจารณาจาก เหตุผลในการจัดงาน เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติให้แก่พระมหากษัตริย์ ผู้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างหนักเพื่อประชาชนไทยมาตลอดพระชนม์ชีพ พระเกียรตินี้ ควรมีราคาเท่าใด ไม่รู้เหมือนกัน นักข่าวสำนักไหนจะตีราคาได้บ้าง ถ้าไม่เอาพระเกียรติ เอาเฉพาะเนื่องานที่พระองค์ได้ทรงทำไว้มากาง เอามูลค่าจากงานเหล่านั้นมาเป็นฐานในการพิจารณา ถ้าจะวัดกันอย่างนี้ ผมว่า ต้องใช้เงินในการจัดงานพระราชพิธีฯ ได้อีกเยอะเลยครับ เพราะ 4000 โครงการนั้น สร้างมูลค่าไว้สูงมาก

ถ้าจะมองในเชิงความคุ้มค่า งานพระราชพิธีฯ นี้ ยังส่งดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ภาพของงานพระราชพิธีที่งดงามวิจิตร แสดงถึงความเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมยาวนาน ย่อมทำให้ชาวโลกอยากเดินทางมาสัมผัสกับประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำรายได้ให้กับคนไทยได้อีกมาก (ผมสามารถพูดได้หรือไม่ครับว่า แม้ในวันที่ทรงจากไปแล้ว พระบารมียังคงปกเกล้าสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างทางทำกิน ให้คนไทยอยู่เลย) เมื่อวานนี้เพึ่งเห็นประมาณการเงินสะพัดในเทศกาลลอยกระทง ก็พบว่า เยอะกว่าค่าใช้จ่ายในงานพระราชพิธีหลายเท่าแล้วครับ


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 02 พ.ย. 17, 11:02
มองในด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรม ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าจะให้รัฐบาลออกเงินทำโครงการอนุรักษ์งานศิลปสาขาต่างๆให้คงอยู่ รัฐบาลจะต้องใช้เงินมากขนาดไหน แต่การที่งานพระราชพิธีฯ มีการระดมช่างฝีมือสาขาต่างๆมาร่วมงาน ทำให้ช่างฝีมือพื้นบ้านก็ดี ช่างหลวงก็ดี เกิดความภาคภูมิใจแบบสุดๆ และเมื่อนายช่างเหล่านั้นได้แสดงฝีมือออกมา ก็พบว่า งานของท่านเหล่านั้น งดงามแบบสุดๆ รวมความแล้ว เป็นช่างฝีมือนี่มันเท่ห์สุดๆ สิ่งเหล่านี้ สามารถดึงดูดใจให้คนรุ่นใหม่หันมาเป็นช่างฝีมือได้ งานนี้มีมูลค่าเท่าไหร่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

มองในมิติความมั่นคง ไม่รู้สิครับ ผมอาจจะคิดไปเองคนเดียวก็ได้ แต่ถ้าผมเป็นใครสักคนที่คิดจะหาทางรุกรานประเทศไหนสักประเทศแถวๆนี้ แล้วผมเห็นภาพว่า คนไทยนี่เขารักกันได้ขนาดนี้ ผมจะคิดใหม่ว่า ผมควรเลือกยึดเมืองในประเทศไทยสักเมืองเป็นฐานหรือควรไปเลือกยึดเมืองในประเทศอื่นจะง่ายกว่า ถ้ามีใครสักคนคิดแบบนี้จริงๆ การที่ประเทศเราไม่ถูกยึด ไม่ต้องตั้งงบประมาณทางการทหาร ไม่ต้องส่งทหารซึ่งก็คือ ลูกๆหลานๆเรานั่นแหละ เข้าไปเสี่ยงชีวิตยึดเมืองคืนมา งานนี้ราคาเท่าไหร่

ด้านความมั่นคงภายใน ความสมานฉันต์ ที่รัฐบาลพยายามสร้างให้เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นให้เห็นมากมายในช่วง 1 ปี และเห็นเด่นชัดในช่วงงานพระราชพิธี ด้วยโครงการจิตอาสา เราได้เห็นคนทุกกลุ่มมาร่วมกันทำงาน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปกติ ผมจะได้มาเก็บขยะร่วมกับทหารยศพันเอก ร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือร่วมกับนายตำรวจยศใหญ่ๆในงานไหนได้อีก และการที่คนเราได้ลงมือทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง เขาย่อมเกิดความรักความหวงแหน แบบอารมณ์ว่า "เนี่ย คลองนี้ กูนี้ลอกมาเองกับมือ เอ็งเป็นใครจะมาทำให้คลองกูน้ำเน่าเสีย" นี่คือความรู้สึกรักและหวงแหนชุมชน ซึ่งผมว่า เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาชาติ ของอย่างนี้ ราคาเท่าไหร่


กระทู้: ความรู้สึกในวันออกพระเมรุ
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 02 พ.ย. 17, 11:05
พูดแล้วก็ยาวครับ คือผมสรุปว่า ไม่ว่ามองด้านไหน สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างงานพระราชพิธี ก็มีแต่มูลค่าที่สูงยิ่ง ทั้งมูลค่าที่คิดเป็นตัวเงินได้ และที่คิดเป็นตัวเงินไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดว่า งานนี้ "ใช้เงินมาก" ก็อาจจะใช่ แต่ถ้าพูดว่า "แพง" ผิดแน่นอนครับ