เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 120 เมื่อ 09 พ.ค. 14, 13:20
|
|
พระรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ดิฉันไม่เคยเห็น ก็เลยนำมาลงในกระทู้นี้ ใครเคยเห็นบ้างคะ
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 121 เมื่อ 09 พ.ค. 14, 16:26
|
|
ดูเหมือนเคยเห็นในหนังสือ'เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์'ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 122 เมื่อ 12 พ.ค. 14, 10:32
|
|
ภาพหายากลำดับต่อไป
ขอเชิญคุณวี_มีกรุณาเข้ามาให้ข้อมูลหน่อยครับ ผมหาไม่เจอจริงๆว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประภาสอำเภอลับแล ซึ่งอยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อใด มีบันทึกไว้ที่ไหนบ้าง หาในเวปอย่างไรก็ไม่เจอ แต่ เอ…คุณเพ็ญชมพูผู้ชำนาญในการใช้อินทรเนตรอาจเจอก็ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 123 เมื่อ 12 พ.ค. 14, 10:43
|
|
ข้อมูลที่หากันได้ในเวปจะมาจาก“ลิลิตพายัพ” พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งดำรงพระยศสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือในพ.ศ. ๒๔๔๗ โดยเสด็จด้วยรถไฟไปลงที่ปากน้ำโพแล้วประทับเรือพระที่นั่ง ทวนน้ำขึ้นไปจนถึงเมืองตาก แล้วเสด็จพระราชดำเนินทางบกต่อไป เสียดายภาพชุดนี้มีน้อยมาก เช่นที่บันทึกเป็นหลักฐานระบุว่าเป็นลำปางก็มีภาพเดียวเท่านี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 124 เมื่อ 12 พ.ค. 14, 10:48
|
|
สุดท้ายที่มีในชุดคือภาพนี้ ไม่น่าจะเป็นที่ประทับระหว่างเสด็จอยู่เชียงใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 125 เมื่อ 12 พ.ค. 14, 11:01
|
|
ภาพนี้มิได้อยู่ในอัลบั้มของคุณศรีมนา ผู้ที่นำมาลงในเวปบรรยายว่าเป็นที่ประทับแรมของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ขณะเสด็จประภาสเมืองเชียงใหม่ คุณวี_มีน่าจะทราบว่าเป็นที่ใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 126 เมื่อ 12 พ.ค. 14, 15:18
|
|
ผมหาไม่เจอจริงๆว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประภาสอำเภอลับแล ซึ่งอยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อใด มีบันทึกไว้ที่ไหนบ้าง หาในเวปอย่างไรก็ไม่เจอ แต่ เอ…คุณเพ็ญชมพูผู้ชำนาญในการใช้อินทรเนตรอาจเจอก็ได้ พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชร เมืองสุโขทัย เมือง สวรรคโลก เมืองอุตรดิตถ์ และเมืองพิษณุโลก เพื่อทรงตรวจตราโบราณวัตถุสถาน และสอบสวนเรื่องตำนานของเมืองเหล่านั้นอันปรากฏอยู่ในหนังสือเก่า ขณะที่เสด็จประพาสอุตรดิตถ์ พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์ถึงเมืองลับแลไว้ในหนังสือ "เที่ยวเมืองพระร่วง" ภาคที่ ๔ ระยะทางเสด็จกลับ อุตรดิตถ์ ลับแล ทุ่งยั้ง พิชัย พิษณุโลก สระหลวง ตอนที่ ๑ อุตรดิตถ์-ลับแล-ทุ่งยั้ง ตอนหนึ่งว่า "เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวที่ลับแล ออกจากที่พักที่อุตรดิตถ์ ขี่ม้าไปทางบ้านท่าอิฐ เดินตามถนนอินทใจมีไปเมืองลับแล พระศรีพนมมาศได้จัดแต่งที่พักไว้ที่ตำบลม่อนชิงช้า ที่ริมที่พักนี้พระศรีพนมมาศกับข้าราชการและราษฎรได้เรี่ยไรกันสร้างโรงเรียนขึ้นโรงหนึ่ง ซึ่งขอให้ข้าพเจ้าเปิด ข้าพเจ้าได้เปิดให้ในเวลาบ่ายวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ นั้น และให้นามว่า "โรงเรียนพนมมาศพิทยากร" แล้วได้เลยไปออกที่เขาม่อนจำศีล บนยอดเขานี้แลดูเห็นที่แผ่นดินโดยรอบได้ไกล มีทุ่งนาไปจนสุดสายตา และเห็นเขาเป็นทิวเทือกซ้อนสลับกันเป็นชั้น ๆ รวมกับกำแพงน่าดูหนักหนา"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 127 เมื่อ 12 พ.ค. 14, 16:36
|
|
ดังนั้น น่าจะเป็นขาที่เสด็จพระราชดำเนินกลับ และทำให้ผมจำขึ้นมาได้ว่า นอกจาก“ลิลิตพายัพ”แล้ว ยังมีพระราชนิพนธ์ "เที่ยวเมืองพระร่วง" อีกฉบับหนึ่งด้วย
ขอบคุณมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
V_Mee
|
ความคิดเห็นที่ 128 เมื่อ 12 พ.ค. 14, 19:13
|
|
ยืนยันว่าเสด็จพระราชดำเนินเมืองลับแลคราวเสด็จ "เที่ยวเมืองพระร่วง" ตามที่คุณเพ็ญฯ แถลงไว้ครับ คราวเสด็จประพาสมณฑลพายัพนั้น เสด็จโดยกระบวนเรือจากปากน้ำโพมาขึ้นบกที่ท่าอิฐ คือ เมืองอุตรดิต๔์ เสด็จตรวจสถานที่ราชการในเมืองแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินข้ามเขาพรึงไปเมืองแพร่ ซึ่งระหว่างที่ประทับแรมในระหว่างทางที่เขาพรึงนี้ที่มีอสูรชื่อ หิรันย์ มาเฝ้าฯ และเมื่อเสด็จเสวยราชย์แล้วได้พระราชทานนามให้หิรันย์ว่า "ท้าวหิรัญพนาสูร
ต่อมาในตอนปลาย พ.ศ. ๒๔๕๐ เสด็จเมืองกำแพงเพชร สุโขทัย ศรีสัชนาลัย แล้วจึงเสด็จประพาสเมืองพิชัย พระแท่นศิลาอาสน์ ดังที่คุณเพ็ญฯ บรรยายไว้ข้างบน
ภาพในความเห็นที่ ๑๒๕ ที่มีคำบรรยายว่าเป็นที่ประทับแรมที่เชียงใหม่นั้น ดูจากรูปลักษณะเรือนไทยหลังใหญ่นั้นน่าจะเป็นจวนข้าหลวงใหญ่รักษาราชการมณฑลพายัพ ริมแม่น้ำปิง ที่จัดเป็นที่ประทับแรมในระหว่างเสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่ เมื่อยุบการปกครองแบบเทศาภิบาลใน พ.ศ. ๒๔๗๖ แล้ว จวนนี้ถูกทิ้งร้างจนผุพังและได้รื้อลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วได้มีการก่อสร้างที่ทำการเทศบาลนครเชียงใหม่ขึ้นแทยในบริเวณที่เคยที่เป็นที่ตั้งจวน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 129 เมื่อ 12 พ.ค. 14, 21:18
|
|
ข้าหลวงใหญ่รักษาราชการมณฑลพายัพ กับอุปราชมณฑลพายัพเห็นจะเป็นท่านเดียวกัน
จากภาพที่คุณakkarachaiนำมาเสนอในเน็ท บรรยายว่าเป็นจวนของท่าน และเคยจัดถวายการรับรองสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ณ เพลานั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 130 เมื่อ 12 พ.ค. 14, 21:21
|
|
ภาพนี้ ผมหามาลงไว้ในเน็ทเองเมื่อนานมาแล้วจนลืมไปเลย เห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันจึงนำมารวมไว้ด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
V_Mee
|
ความคิดเห็นที่ 131 เมื่อ 13 พ.ค. 14, 06:34
|
|
ภาพขบวนเสด็จพระราชดำเนินเข้าเมืองเชียงใหม่ทั้งสองภาพนั้น ภาพบนเป็นกระบวนเสด็จพระราชดำเนินขณะยาตรากระบวนข้ามสะพานหมอชีคจากฝั่งวัดเกตุมายังฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิง ส่วนภาพล่างเป็นกระบวนเสด็จพระราชดำเนินจากพลับพลาประทับร้อนบ้านแม่คาว มาตามถนนแก้วนวรัฐ (ถนนสายดอยสะเก็ด - เชียงใหม่) ซึ่งทรงเปิดที่ดอยสะเก็ดในตอนเช้าวันนั้น และพระราชทานนามถนนสายนั้นว่า ถนนแก้วนวรัฐ อันมีความหมายว่า "แก้วเมืองนครเชียงใหม่" เเพื่อป็นเกียรติแก่ เจ้าแก้ว อุปราชเมืองนครเชียงใหม่ ผู้อำนวยการตัดถนนสายดังกล่าว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 132 เมื่อ 14 พ.ค. 14, 06:07
|
|
ชุดต่อไป แม้ในภาพไม่ได้ระบุแต่ก็สามารถเดาได้ว่าช่างผู้ถ่ายภาพนั้น ได้ร่วมอยู่ในขบวนเสด็จของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทั้งนี้โดยศึกษาจากพระนิพนธ์นิทานโบราณคดี คราวเสด็จตรวจราชการทางอีสานระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๙ –๒๔๕๐
พระรูปสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพข้างล่าง ขณะประทับระแทะระหว่างการเสด็จในบางเส้นทางดังกล่าว ไม่มีอยู่ในอัลบั้มของคุณศรีมนา แต่ผมหามาลงไว้เองเพื่อประกอบเรื่อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 133 เมื่อ 14 พ.ค. 14, 06:15
|
|
ผมมิได้ประสงค์จะนำพระนิพนธ์มาลงไว้ทั้งหมด เพราะคุณกัมม์ได้ทำไว้แล้วโดยพิสดารในบล็อกของท่าน สามารถค้นหาได้ไม่ยาก แต่จะขอตัดตอนมาเท่าที่จำเป็นในการบรรยาย และพอเป็นกระสายให้ท่านที่มิเคยอ่าน จะได้ไปหาอ่านเพื่อประดับความรู้เรื่องราวในอดีตต่อไป ในนิทานที่ ๑๖ เรื่องลานช้าง ทรงเริ่มต้นเล่าไว้ดังนี้
ฉันออกจากกรุงเทพฯเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ไปด้วยรถไฟพิเศษจนถึงนครราชสีมา ออกจากเมืองนครราชสีมาไปมณฑลอุดร ขี่ม้าไป ๑๔ วันถึงเมืองหนองคาย ครั้งนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสมีแก่ใจจัดเรือไฟชื่อ ลาเครนเดีย อันเป็นพาหนะสำหรับข้าหลวงลำหนึ่ง กับเรือไฟสำหรับบรรทุกของลำหนึ่งส่งมาให้ฉันใช้ทางลำแม่น้ำโขง จึงลงเรือไฟมาจากเมืองหนองคายระยะทาง ๔ วันถึงเมืองนครพนม ขึ้นเดินบก ขี่ม้าจากเมืองนครพนมทาง ๓ วันถึงเมืองสกลนคร จากเมืองสกลนครเดินบกวกกลับลงไป ๓ วันถึงพระธาตุพนมที่ริมแม่น้ำโขง ลงเรือยาวพายล่องจากพระธาตุพนมทาง ๒ วันถึงเมืองมุกดาหาร
ขึ้นเดินบกแต่เมืองมุกดาหารเข้ามณฑลอีสาน ทาง ๕ วันถึงเมืองยโสธร เวลานั้นข้าหลวงปันเขตแดนไทยกับฝรั่งเศสกำลังประชุมกันอยู่ที่เมืองอุบล ฉันจึงไม่ไปเฝ้ากรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นแต่ได้สนทนากันด้วยโทรศัพท์ ออกจากเมืองยโสธรเดินบกไปเมืองเสลภูมิ เมืองร้อยเอ็ด แล้วผ่านเมืองมหาสารคามมาในเขตมณฑลอีสานทาง ๗ วันถึงเมืองผไทสง ปลายเขตมณฑลนครราชสีมา แต่นั้นมาทาง ๓ วันถึงเมืองพิมาย
ได้รับสารตรากระทรวงมหาดไทย ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาตรัสห้ามมิให้เข้าไปพักที่เมืองนครราชสีมา ด้วยเป็นเวลามีกาฬโรค ออกจากเมืองพิมายเดินทาง ๒ วันมาถึงบ้านท่าช้าง ห่างเมืองนครราชสีมา ๔๕๐ เส้น จึงพักแรมอยู่ที่นั้น แล้วออกเดินทางแต่ดึก มาถึงสถานีรถไฟพอได้เวลาขึ้นรถไฟพิเศษกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ นั้น รวมเวลาที่ไปตรวจหัวเมืองครั้งนั้น ๓ เดือน หย่อน ๔ วัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 134 เมื่อ 14 พ.ค. 14, 06:21
|
|
จะพรรณนาถึงหมู่บ้านในตำบลซึ่งฉันได้ไปแห่งหนึ่งให้เห็นเป็นตัวอย่าง แต่เรียกชื่อว่าหมู่บ้านอะไรลืมไปเสียแล้ว อยู่ในระหว่างเมืองชนบทกับเมืองขอนแก่น เป็นตำบลมีบ้านกว่า ๑๐๐ หลังคาเรือนด้วยกัน ราษฎรในตำบลนั้น ครัวหนึ่งก็มีบ้านอยู่แห่งหนึ่ง เรือนโรงในบ้านล้วนทำด้วยไม้มุงแฝก มีรั้วล้อมรอบบริเวณบ้าน ลานบ้านตอนในรั้วทำสวนปลูกผักฝักแฟงที่กินเป็นอาหาร กับคอกเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ ลานบ้านนอกรั้วออกไปทำไร่ฝ้ายและสวนกล้วยสวนพลู สวนปลูกต้นหม่อมสำหรับเลี้ยงไหม กับคอกเลี้ยงวัวเลี้ยงควายต่อหมู่บ้านออกไปถึงทุ่งนา พวกชาวบ้านต่างมีนาทำทุกครัวเรือน และถือกันเป็นธรรมเนียมว่าใครทำงานได้ต้องทำงานทุกคน ผู้ชายทำงานหนัก เช่น ทำนาและเลี้ยงปศุสัตว์ ทั้งทำการปลูกสร้าง และแบกขนต่างๆ ผู้หญิงทำงานเบาอยู่กับบ้าน เช่นทำสวนทำไร่ เลี้ยงไหม และไก่หมู ตลอดจนปั่นฝ้ายชักไหมและทอผ้า ทุกครัวเรือนสามารถหาอาหารและสิ่งของจำเป็นจะต้องใช้ในการเลี้ยงชีพได้ โดยกำลังลำพังตนเพียงพอไม่อัตคัต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|