เรือนไทย

เนื่องจากติดตตามอ่านข้อมูลพระนางเธอลักษมีลาวัณตามอินเตอร์เน็ตทั่วไป
มีข้อมูลน้อยมากเหลือเกิน มีแค่พอสังเขป อยากทราบชีวิตของพระนางเธอฯ
การศึกษา การใช้ชีวิต รูปภาพเก่าๆที่ยังพอหลงเหลือนอกจากภาพในอินเตอร์เนต
ถ้าท่านใดมี รบกวนขอความกรุณาให้ข้อมูลหน่อยนะคะ

เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่สนใจประวัติพระนางเธอจริงๆ แต่ข้อมูลมีน้อยมากเหลือเกิน

ขอบพระคุณมากคะ

ลอง search คำว่า ลักษมีลาวัณ ใน "ค้นหา" ของเรือนไทย  มีหลายกระทู้ค่ะ

ขอบคุณคะ เราอ่านจนครบแล้วคะ แต่อยากได้ข้อมูลเกี่ยวพระประวัติส่วนตัวเพิ่มเติม
เช่นการศึกษา หรือพระบรมฉายาลักษณ์อื่นๆ ชีวิตส่วนตัวพระองค์ตอนยังมีชีวิตอยู่ (ใช้ราชาศัพท์ไม่ค่อยเป็นขอโทษด้วยคะ)

ถ้าจะลงลึกขนาดนั้นต้องรอผู้รู้อย่างคุณ V_Mee ค่ะ

อีกอย่าง กระดานสนทนาของเรือนไทยไม่เหมือนที่อื่น    ถ้าคุณเข้ามาอ่านสักพัก  คงดูออกว่าสมาชิกประจำที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้อาวุโส  มีความรู้และประสบการณ์ยาวนานหลายสิบปี   
การใช้คำแทนตัวเองว่า "เรา" พูดกับท่านเหล่านี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่นะคะ ท่านไม่ใช่เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน    เปลี่ยนเป็น ดิฉัน คงเหมาะกว่าค่ะ

คุณ kanchap ลองอ่านกลอนสอนภาษาของหมออั้ม เข้าทีดี


ละครทีวีเดี๋ยวนี้ก็พอมีสาระอยู่บ้าง   ;D

https://youtu.be/Ym21Vq5xlFM

ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะไม่ทราบจริงๆว่ากำลังสนทนากับท่านใด อายุมากกว่าหรือเปล่า (ไม่ได้จะหาเรื่องนะคะ)
อาจด้วยเราต่างวัยกัน วัยของดิฉันจึงไม่ชินกับการใช้คำว่าดิฉัน หรือแม้แต่จดหมายเขียนถ้าไม่ทางการจริงๆก็ไม่ได้ใช้สักเท่าไหร่
ใช้แค่เราหรือคุณ ส่วนคำแนะนำขอบคุณมากคะ

ตามที่เรียนมาถ้าไม่ใช่ภาษาที่ใช้ Chat เราจะไม่พิมพ์คำว่า ค่ะ เลยคะ เพราะถือว่าไม่สุภาพและไม่ใช่ภาษาเขียนเป็นภาษาพูด
และเราทำงานสายคอนเท้นท์ออนไลน์ด้วยส่วนนึง ถ้าไม่ใช่บทคำพูดจะไม่ใช่ค่ะในเนื้อความ ขอบคุณคะ

มาที่นี่ก็เพราะว่าต้องการหาความรู้เพิ่มเติม การถามตรงไปตรงมาแบบเด็กรุ่นใหม่หากจริตไปไม่ถูกใจบางท่านเราต้องขออภัยด้วยคะ
แต่ขอให้เปิดใจที่มาเพราะว่าตั้งใจอยากมาหาความรู้เพิ่มเติม รอท่านผู้รู้มาตอบ ขอบคุณคะ

ตามที่เรียนมาถ้าไม่ใช่ภาษาที่ใช้ Chat เราจะไม่พิมพ์คำว่า ค่ะ เลยคะ เพราะถือว่าไม่สุภาพและไม่ใช่ภาษาเขียนเป็นภาษาพูด
และเราทำงานสายคอนเท้นท์ออนไลน์ด้วยส่วนนึง ถ้าไม่ใช่บทคำพูดจะไม่ใช่ค่ะในเนื้อความ ขอบคุณคะ

แปลกใจมาก  สถาบันไหนสอนอย่างนี้คะ   ถึงถือว่า "ค่ะ" เป็นคำไม่สุภาพ และไม่ใช่ภาษาเขียน     เป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิงของคุณค่ะ 
ถ้าอาจารย์สอนอย่างนั้นจริงก็ถือว่าสอนผิด สมควรแก้ไขโดยด่วนค่ะ

ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะไม่ทราบจริงๆว่ากำลังสนทนากับท่านใด อายุมากกว่าหรือเปล่า (ไม่ได้จะหาเรื่องนะคะ)
ลองค้นคำว่า "เทาชมพู" " เรือนไทย" จากกูเกิ้ลดูนะคะ 

ผมเพึ่งเคยได้ยินเรื่อง คำว่า ค่ะ เป็นภาษาพูดและไม่สุภาพนี่แหละครับ

อืม... มีสองประเด็นครับ เรื่องภาษาพูดและ เรื่องความสุภาพ
เรื่องแรก ผมเห็นว่า ใช่ครับ คำลงท้ายที่เป็นหางเสียงเป็นภาษาพูดทั้งสิ้น ในการเขียนหนังสือราชการ จะไม่ใช้คำเหล่านี้กัน อย่างผมร่างหนังสือราชการ ถึงหน่วยงานหนึ่ง ว่า
"....กรณีตามที่ขอหารือ เป็นเรื่องที่อยู่ในการกำกับดูแลของสำนักงาน A ดังนั้น จึงสมควรหารือไปยังหน่วยงานดังกล่าวโดยตรงเพื่อความชัดเจนถูกต้องต่อไป"
หนังสือราชการเช่นนี้ ไม่สมควรลงท้าย ไม่ว่าจะ ครับ หรือ ค่ะ หรือ คะ หรือคำใดๆแน่นอน (เช่น "...จึงสมควรหารือไปยังหน่วยงานดังกล่าวโดยตรงเพื่อความชัดเจนถูกต้องต่อไปนะครับ")
ดังนั้น ที่มีผู้สอนว่า ในการเขียนหนังสือ ไม่ควรใช้ภาษาพูด ถึงถูกต้อง

อย่างไรก็ดี การสนทนาในเวปบอร์ด เป็นการจำลองการพูดคุย มากกว่าการเขียนหนังสือโต้ตอบกัน หากจะใส่คำที่เป็นหางเสียงลงไป เพื่อให้ประโยคดูเป็นคำพูด หรือเพื่อให้สื่อถึงอารมณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การพูดคุยมีอรรถรส ก็คงไม่แปลกอะไร จริงไหมครับ แต่ก็ต้องระลึกด้วยว่า เป็นการสนทนากับผู้อาวุโส การใช้ถ้อยคำก็ต้องให้เหมาะสมด้วยหนะครับ (ส่วนผมเป็นสมาชิกชั้นหลานหรือไม่ก็เหลนแล้วครับ ใช้ เรา กับผมนี่ อะเคร) 
 
สำหรับเรื่องที่สอง ค่ะ เป็นคำไม่สุภาพนี้ ผมไม่สามารถอธิบายได้จริงๆ ครับว่า มีที่มาหรือวิธีคิดอย่างไร ขอเดาว่า เพราะบอกว่า ในภาษาเขียนไม่ควรใช้คำไม่สุภาพ และไม่ควรใช้คำลงท้าย เลยทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนว่า คำลงท้าย เป็นคำไม่สุภาพไปด้วย ซึ่งไม่จริงนะครับ    

ทีแรกดิฉันก็คิดอย่างคุณ Naris   แต่พอเจ้าของกระทู้จำกัดแค่คำว่า "ค่ะ" ว่าไม่สุภาพ  แต่ "คะ" ใช้ได้    ก็เลยยังมืดแปดด้านต่อไปค่ะ

เจ้าของกระทู้ลองสืบค้นประวัติของราชสกุลวรวรรณนะครับ พระนางเธอฯ ทรงมีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าวรรณพิมล วรวรรณ ผมคิดว่าสืบค้นไปทางนั้นน่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมครับ

ส่วนกรณี "ค่ะ" และ "คะ" ส่วนตัวผมมองว่าเป็นคำสุภาพทั้งสองคำครับ

เห็นเด็กรุ่นใหม่มีปัญหาเกี่ยวกับการสะกดและออกเสียง คะ ค่ะ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสมัยผมเด็กๆเรียนแบบเรียน มานะ มานี ปิติ ชูใจ ตั้งแต่ ป.1 เขาเน้นการสะกดให้ตรงกับการออกเสียง
รุ่นๆผมนี่สังเกตดูแทบจะไม่มีปัญหาการสะกดคำเลย เอ๊ะ ยังงี้ก็สะท้อนอะไรบางอย่างนะครับว่าการสอนภาษาไทยของเรามาผิดทางหรือเปล่าทำไมเกิดความสับสนกันได้ถึงเพียงนี้

ตัวผมไม่ได้ตอบกระทู้ ได้แต่ดูมานานแล้วครับ สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างไม่ใช่เฉพาะที่เรือนไทยนี้แหล่งเดียว ไปที่ไหนก็เหมือนกันหมด เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามาถามคำถามต่างๆ เป็นอย่างนี้เสียมาก เริ่มแรกก็จะเอาทุกอย่างที่มี บอกให้หมดนะรู้อะไรก็บอกมา ทั้งภาษาที่ใช้ก็เหมือนที่เคยเขียนไว้นานมาแล้วว่าไม่ใช่คำขอร้องอย่างสุภาพ แต่เป็นลักษณะจิกหัวใช้ เมื่อมีผู้ทักท้วงก็เกรี้ยวกราด ผมเข้าใจว่าผมคง oversensitive ไปเอง พักหลังเลยอ่านอย่างเดียวครับ ถ้าที่ผมเขียนเป็นการต่อว่า ยุแยง ไม่เหมาะไม่ควรขอเชิญท่านผู้ดูแลลบได้เลยครับ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ดิฉันก็มีความรู้สึกตั้งแต่เริ่มอ่านเลยว่า เจ้าของกระทู้ขาดความสุภาพในการร้องขอ และเห็นด้วยกับคุณ hobo ทุกประการค่ะ

ผมอยากทราบจริงๆ มีใครตอบได้ไหมครับว่า  ผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายในเรื่องการศึกษาของชาตินี้ประเทศนี้น่ะ มีใครเคยให้ความสนใจในความวิบัติของภาษาไทย ที่เกิดขึ้นเช่นนี้หรือเปล่า
มีนักวิชาการคนใดได้ทำวิจัยไหมบ้างไหมว่า การที่คนไทยรุ่นหลังนี้มีความรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรมของตนเองอ่อนด้อยดังที่เห็น มันเริ่มต้นจากอะไร ไปเปลี่ยนหลักสูตรไหนเข้า ตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมน่ะ คิดยาวไปถึงว่ามันเป็นแผนการทางการเมืองของผู้ที่ต้องการบ่อนทำลายชาติด้วยซ้ำ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาคนไหนที่เป็นผู้ให้นโยบายให้รื้อหลักสูตรที่คนไทยเคยเรียนเคยสอนกันมา แบบถอนรากถอนโคนอย่างที่เห็น

มันน่าตกใจนะครับ คนที่สะกดคำว่า คะ ค่ะ สลับกัน ใช้สำนวนภาษากระด้าง เป็นผู้หญิงยิงเรือพูดจากูมึงกันทั้งในโรงเรียนและที่ทำงาน ดูๆจะเป็นคนที่มีอายุตั้งแต่ ๓๕ - ๔๐ลงไปวัยมัธยม อย่างนี้ไม่นานหรอกครับที่คนที่ผิดจะกลายเป็นถูก  อาจารย์ทั้งหลายในเรือนไทยนั่นแหละจะกลายเป็นผิด

ผมน่ะปลงเสียแล้ว คงไปคัดง้างวิถีคนสมัยใหม่เค้าไม่ไหว 
ถ้าพวกเธอร์มาแรงส์   พ้มก็หลบลงรู

ดิฉันก็รู้สึกเช่นเดียวกับคุณวลัยค่ะ ยังคิดเลยว่าอาจารย์ท่านมีความเมตตาสูง อุตส่าห์ตอบคำถามของเขา ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันไม่เสวนาด้วยแล้ว เคยเจอเด็ก(ความจริงคนอายุ 20 กว่า ก็ไม่เด็กแล้วนะคะ น่าจะเรียกว่าหย่อนการอบรมมาตั้งแต่เด็กมากกว่า)  ตอนแรก ดิฉันก็คิดว่าจะเตือนเขา แต่กลัวจะโดนสวนกลับว่า "พ่อแม่ชั้นยังไม่เคยสั่งสอนชั้นเลย แล้วป้าเป็นใคร ยุ่งไรด้วยอ่ะ"

ส่วนหนึ่งมาจากค่านิยมผิดๆของคนกลุ่มหนึ่ง ดิฉันเคยเจอเด็กพวกหนึ่งมีค่านิยมแปลกประหลาด เห็นว่าการใช้ภาษาไทยผิดๆหรือแปลกประหลาดเป็นความเท่ เพราะนั่นแสดงถึงความเป็นเด็กนอก เด็กอินเตอร์ที่ไม่คุ้นชินกับภาษาไทย แต่ถ้าใช้ภาษาอังกฤษผิดละก้อ...ถึงขั้นคอขาดบาดตายเชียว แต่ในความเป็นจริง ภาษาอังกฤษของเด็กพวกนี้ก็ไม่ได้ดีมากอย่างที่เขาคิดไปเอง สรุปก็คือมันวิบัติทั้งสองภาษา  ;D

สงสัยจะไม่ได้คำตอบเรื่องพระนางเธอลักษมีลาวัณเสียแล้ว

นอกจากปัญหาเรื่องการศึกษาอย่างที่คุณ NAVARAT.C แสดงความเห็น (ซึ่งดิฉันเห็นด้วย) ก็ยังมีช่องว่างระหว่างวัยอันกว้างขวาง ระหว่างคนถาม คนตอบ และคนดู
คนถามน่าจะเป็น Generation Y   ส่วนคนตอบและคุณ N.C.ข้างบนนี้เป็น ฺBaby Boomers   คนดูอีกหลายท่านน่าจะอยู่ใน Generation X  
ฺ Baby Boomers กับ X  ยังพอเชื่อมกันติด แม้ว่ามีลักษณะเฉพาะของตัวเอง     แต่ Y  มีลักษณะเฉพาะอยู่ห่างไปอีกมาก  
บางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวหรอกว่า คำถามที่คิดว่าถามอย่างสุภาพดีแล้ว   มันก็ยัง 'ไม่ใช่' สำหรับคนที่อ่านสาร อยู่นั่นเอง    

Generation ทั้งหลายเป็นยังไง อ่านได้ที่นี่ค่ะ
http://www.wmfc.org/uploads/GenerationalDifferencesChart.pdf

ตอนนี้มีการกำหนด Generation Alpha และ Generation Beta กันแล้วนะครับผม  8)

พวกนี้เห็นจะโตไม่ทันเข้าเรือนไทยค่ะ  ปลอดภัยหายห่วงสำหรับคนเฝ้าเรือน

ฮิฮิ มาเมื่อตลาดวายแล้ว นานๆ เรือนไทยมีดราม่าที แต่ที่ยกมาข้างบนนี่ไม่จริงแน่ๆ ท่านอาจารย์ใหญ่กว่านี่ขนาดโดนมองหน้าจี๊ดเดียว ไม่มีหลบสายตา มีกลัวซะที่ไหนหล่ะ

เรื่องหลักสูตรอย่าไปโทษรัฐมนตรีเลยครับ ความล้มเหลวของระบบการศึกษามาจากหลายส่วนประกอบกัน โดยเฉพาะท่านๆ ในกระทรวงศึกษาฯ ไม่เฉพาะเจ้ากระทรวง  รวมถึงค่านิยมในสังคมด้วย ส่วนนึงผมโทษว่าอาจจะเพราะเรามี ดร. ด้านบริหารการศึกษามากที่สุดในโลกก็ได้ เลยวุ่นวายแบบนี้ 

แค่เรื่องการสอนอ่านเขียนภาษาไทย เดี่ยวนี้หลายโรงเรียนเค้าใช้ให้จำเป็นคำๆ กันไป ไม่ได้สอนให้ผสมเสียงแบบที่ชาวเรือนไทยเรียนกันมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว อย่างแกง ชาวเราเรียน กอ แอ งอ แกง สมัยนี้เค้าสอน แอ กอ งอ แกงกัน เด็กผสมเสียงไม่ได้ สะกดผันวรรณยุกต์ไม่เป็นจึงไม่น่าแปลกใจ

ส่วนการพูดหยาบมันเป็นอีกค่านิยม เป็นการแสดงลักษณะนอกกรอบบวกขบถนิดๆ ของวัยรุ่นไปแล้ว คือการพูดหยาบ แต่งตัวผิดระเบียบเช่นเอาเสื้อไว้นอกกางเกง เป็นกรอบของการนอกกรอบของวัยรุ่นไทยหนะครับ ถ้าอยากนอกกรอบต้องแบบนี้เท่านั้น อะไรแนวๆ นี้ ใครทำตัวในกรอบจะดูไม่เจ๋ง ทำไปทำมาเลยติดนิสัยไป

น้อง จขกท เลยไม่ได้สิ่งที่ต้องการเลย สงสัยไม่แวะกลับมาแล้ว

เรื่องหลักสูตรอย่าไปโทษรัฐมนตรีเลยครับ ความล้มเหลวของระบบการศึกษามาจากหลายส่วนประกอบกัน โดยเฉพาะท่านๆ ในกระทรวงศึกษาฯ ไม่เฉพาะเจ้ากระทรวง  รวมถึงค่านิยมในสังคมด้วย ส่วนนึงผมโทษว่าอาจจะเพราะเรามี ดร. ด้านบริหารการศึกษามากที่สุดในโลกก็ได้ เลยวุ่นวายแบบนี้  

ไม่โทษแล้วจะโทษใครล่ะครับ พรรคการเมืองชอบเอาเจ้าของมุ้งที่มีโควต้ามาเป็นรัฐมนตรี คนที่ไม่มีภูมิรู้เรื่องการศึกษา คิดไม่เป็นทำไม่ได้ พวกดอกเตอร์พูดอะไร พาเข้าป่าเข้าดงก็ไม่รู้เรื่อง พวกนี้ก็มาสร้างวิบัติแบบหนึ่ง แต่บางรัฐบาลก็มีหัวรุนแรงซ้ายจัดเข้าไปนะ หลักสูตรการศึกษาก็ถูกเปลี่ยนตามสั่ง ที่เห็นๆก็ประวัติศาสตร์ไทยนั่นแหละเรื่องหนึ่งที่ถูกยำเละ

น้อง จขกท เลยไม่ได้สิ่งที่ต้องการเลย สงสัยไม่แวะกลับมาแล้ว

เอาละ ผมจะไม่ว่าอะไรแล้ว เพราะว่าไปก้ไม่เกิดประโยชน์อันใด มาหลอกล่อให้แม่หนูกลับมาดีกว่า

ร่วมวงหลอกล่อด้วยคน  ;D

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5326.0;attach=35297;image) (http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5326.0;attach=35292;image)
(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5326.0;attach=35303;image) (http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5326.0;attach=35333;image)

ภาพจากคุณนวรัตน

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5326.0

เห็นด้วยครับ นักบริหาร นักวิจัยทางการศึกษานี่ชอบมาบอกว่า วิศวกรควรสอนนักเรียนอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ควรปั้นนักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อไปอย่างไร นักดนตรีควรถ่ายทอดวิชาแก่ศิษย์อย่างไร ฯลฯ ทำให้มันเหมือนๆกัน เบ้าหลอมเดียวกันทั้งๆที่หลากหลายสาขาวิชาต่าง มีแนวทางการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ จากอาจารย์สู่ศิษย์ในรูปแบบที่ต่างๆกัน การศึกษาไทยเลยเป็นนาวาอันตรธานไปด้วยประการฉะนี้

ผมอยากทราบจริงๆ มีใครตอบได้ไหมครับว่า  ผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายในเรื่องการศึกษาของชาตินี้ประเทศนี้น่ะ มีใครเคยให้ความสนใจในความวิบัติของภาษาไทย ที่เกิดขึ้นเช่นนี้หรือเปล่า
มีนักวิชาการคนใดได้ทำวิจัยไหมบ้างไหมว่า การที่คนไทยรุ่นหลังนี้มีความรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรมของตนเองอ่อนด้อยดังที่เห็น มันเริ่มต้นจากอะไร ไปเปลี่ยนหลักสูตรไหนเข้า ตั้งแต่เมื่อไหร่

ยังไม่มีใครมาตอบคำถามของผมนี้ ผมก็ยังไม่ว่าอะไรละ
ว่าแล้วก็หลอกล่อคุณเธอผู้พลัดเข้ามาต่อไป ด้วยภาพที่ผมนำมาตกแต่งให้ใหม่ แม้จะฝีมือไม่เทียบเท่าคุณหนุ่มรัตนสยาม แต่ก็พอดูดีกว่าภาพที่ผมส่งมาก่อนหน้า ซึ่งผมเองยังไม่เคยเห็น (แต่ของคุณหมอเพ็ญเห็นหลายครั้งแล้ว)

ผมว่ามีหลากหลายสาเหตุประกอบกันนะครับขอตั้งข้อสังเกตตามที่ได้พบเห็นมาดังนี้

- ผลงานของกระทรวงฯ ที่ใช้นักเรียนไทยเป็นหนูทดลองทฤษฎีต่างๆที่ท่านไปเรียนมาจากต่างประเทศ ทำให้ทั้งคนสอนและคนเรียนสับสน อย่างเช่นการที่ไม่รู้ว่าเอาไงดีระหว่าสะกดคำตามเสียงหรือตามลำดับการเขียน(แบบภาษาอังกฤษ) ครูก็ไม่รู้จะสอนยังไง นักเรียนก็พลอยลังเลไปด้วย

- สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงเวลา 30 ปี อิทธิพลของการตูนมีผลมากต่อเยาวชน ลองสังเกตมั้ยครับว่าหนุ่มๆสาวๆสมัยนี้บางคนเวลาพูดจะใช้เสียงสูงๆต่ำๆในแบบคล้ายๆกับนักพากย์การ์ตูนญี่ปุ่นเลย ที่สำคัญหนุ่มสาวเหล่านี้เป็นผู้จัดรายการ ประกาศข่าวทางทีวีซะด้วยสิ

- คนไทยบริโภคสื่อทางทีวี อินเตอรเนตมากขึ้น รายการทีวีต่างๆ ส่วนใหญ่เน้นความบันเทิง การทำตลกเป็นความเชี่ยวชาญของคนไทยคำใหม่ๆแปลกๆถูกนิยามขึ้นมาปีละหลายสิบคำโดยผู้มีบทบาททางสื่อเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น "หัวร้อน" "เล่นใหญ่"  "โดนเท" ฯลฯ มีเยอะจนคนรุ่นผมก็ยังปวดหัวไปด้วย

- ที่สำคัญมากคือ 30 ปีที่ผ่านมานี้บ้านเรามี internet แล้วการคุยกันระหว่างบุคคลเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป เมื่อก่อนเราสื่อสารกันได้แค่การพูดคุย หรือเขียนจดหมาย ดังนั้นเลยต้องมีภาษาพูดและภาษาเขียน ภาษาพูดไม่ต้องจริงจังพูดยังไงก็ได้เอาสะดวกเข้าว่า แต่เมื่อไหร่ที่ต้องเขียนคนยุคก่อนค่อนข้างตั้งใจ แต่ในยุคอินเทอร์เนต มีทางใหม่ของการสื่อสารคือการ Chat ผ่านทางต่างๆไม่ว่า MSN Skype จนถึงปัจจุบันก็เป็นพวก LINE ที่เน้นการพูดคุยโต้ตอบกันโดยการพิมพ์ ทีนี้ก็ยุ่งละสิ จะเถียงกันจะด่ากันโดยทาง chat หากมัวมาพิมพ์แบบภาษาเขียนก็คงไม่ทันฝ่ายตรงข้าม ความวิบัติเลยเกิดขึ้น ฮ่าๆๆๆ 55555 การย่นย่อคำ อะไรต่างๆก็คงเกิดขึ้นในคอนนี้แหละครับ ยิ่งยุคของ smartphone ก็แล้วกันไปใหญ่ ยุคคอมพิวเตอร์ยังใช้คีย์บอร์ดพิมพ์คุยกันแต่สมาร์ทโฟนนี่แป้นพิมพ์เล็กๆบังคับให้เด็กๆเขาต้องคิดหาวิธีที่จะสื่อสารให้ได้เร็วที่สุดโดยพิมพ์ให้สั้นที่สุด มันก็เลยออกมาอย่างที่เห็นแหละครับ

สมัยผมเรียนกับพ่อ พ่อจะสอนให้สะกดว่า กอ แอ แก แก งอ แกง ครับ มาถึงตอนนี้จึงค่อยเข้าใจว่า เพื้อย้ำให้เข้าในหลัก พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกด
กอ พยัญชนะ
แอ สระ
ประสมกันอ่านได้ว่า แก
เพิ่มตัวสะกด งอ
แก + งอ = แกง

และเวลาสอนอื่น ท่านก็จะเปลี่ยนตัวสะกดไปเรื่อยๆ แกง แกบ แกน แกด แกม แกว จากนั้นก็ แคง แคบ แคน แคด แคม แคว ฯลฯ
ทุกวันนี้ เวลาท่านสอนหลาน คือลูกผมท่านก็ยังสอนอย่างนี้ แต่ที่โรงเรียนลูกผมเขาสอนอย่างที่ อ. ประกอบว่านั่นแหละครับ ซึ่งผมเดาว่า มาจากวิธีการอ่านภาษาอังกฤษ C+A+T = Cat ไม่ใช้ คอ แอ แค แค ทอ แคท ครับ

ว่าแต่ ผมว่า เจ้าของกระทู้เริ่มน่าสงสารแล้วครับ 

มีอีกครับ เดี๋ยวนี้เขานิยมพูดถึงบุคคลที่ 3 ว่า "นาง"  ไม่ว่าบุคคลนั้นเป็นชายหรือหญิง หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง ใช้คำว่า "นาง" แทนตลอด ซึ่งผู้นำแฟชั่นการใช้ภาษาลักษณะนี้ก็คือบรรดาพิธีกรทีวีบันเทิงทั้งหลายนั่นเอง
ผมเห็นแล้วขัดหูขัดตาเหลือเกิน(ก็มันคนละรุ่นกันแล้วนะ ต้องเข้าใจ)