เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 07:22



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 07:22
กระทู้พระยาทรงจบไปแล้ว แต่หลายเรื่องยังไม่จบ โดยเฉพาะเรื่องของนายพลตาดุ หลวงอดุลเดชจรัสหรือพล.ต.อ อดุล อดุลเดชจรัส เรื่องของหลวงอดุลและ/หรือพล.ต.อ อดุล ปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์และสารคดีอิงประวัติศาสตร์หลายเล่ม ทั้งในบทประกอบตัวร้ายดีเด่น และผู้ช่วยพระเอกดีเด่น ชีวิตท่านไม่เคยเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายเองเลย

ตกลงแล้ว ท่านเป็นคนอย่างไร

เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ สรุปได้ว่า ท่านเป็นคนตรง ขนาดว่าเดินไป เห็นต้นตาลขวางอยู่ข้างหน้า ถ้าไม่เดินขึ้นต้นตาลไปเลยก็โค่นต้นตาลนั้นเสีย เพื่อจะรักษาแนวทางเดินของตนให้ตรงต่อไป

 
ผมจะค่อยๆว่าของผมไปเรื่อยๆ แบบอ่านไปเขียนไปนะครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 07:27
ยกมาจากกระทู้โน้น ให้ท่านอาจารย์เทาชมพูช่วยเปิดฟลอร์ก่อน

เพิ่งรู้จากในเน็ตว่าท่านเป็นมุสลิม  และท่านเคยปกป้องพวกคาทอลิค ที่ถูกเบียดเบียนโดยทางราชการไทยในช่วง "รัฐนิยม"  แต่เจ้าของบทความไม่ได้ให้รายละเอียด  ว่าเบียดเบียนแบบไหนอย่างไร   แต่ยกย่องอธิบดีตำรวจที่ช่วยเหลือพวกคาทอลิคมิให้เดือดร้อน
                               
คำกล่าวของหลวงอดุล อดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ

อธิบดีกรมตำรวจคัดค้านเรื่องเบียดเบียนอย่างตรงๆแต่ท่านปฏิบัติตามคำสั่งของหลวงพิบูลสงคราม อย่างไรก็ตาม ท่านก็เป็นเพียงคนเดียวซึ่งนายกรัฐมนตรีเกรงใจ และเช่นเดียวกันคำสั่งเบียดเบียนเป็นคำสั่งลับ อธิบดีกรมตำรวจจึงกล้าผ่อนผันในหลายๆ เรื่อง  และช่วยเหลือพวกคริสตัง ผู้เขียนเอง (คุณพ่อลารเก) ก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากท่านหลายครั้ง ท่านเป็นมุสลิม     คำพูดของหลวงพิบูลในเรื่องเอกภาพทางศาสนาเป็นการข่มขู่ไม่ใช่เฉพาะต่อศาสนาคริสต์เท่านั้น แต่เป็นการข่มขู่ศาสนาอิสลามด้วย

ก. คำกล่าวของหลวงอดุล เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941

 ในฐานะอธิบดีกรมตำรวจ      หลวงอดุลสั่งให้ชาวฝรั่งเศสซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย เดินทางออกนอกประเทศทันทีทันใดภายในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940ส่วนคนอื่นให้เดิน ทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ภายในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1941 ภายในเวลา 72 ชั่วโมง สำหรับประเด็นนี้ไม่ขอ พูดถึง     มีรายงานว่าการเบียดเบียนศาสนาพวกคนไทยที่เป็นคาทอลิกโดยผู้ว่าราชการจังหวัด, นายอำเภอ และสมาชิกคณะเลือดไทยของหลวงพิบูล ได้เริ่มขึ้นแล้ว 
นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941 เป็นต้นมา    มีประกาศทางวิทยุกระจายเสียงและตีพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ นี่คือที่มาของ   เอกสารหมายเลข 5/2   ซึ่งเนื้อหาโดยสรุปได้ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสารคาทอลิก "สารสาสน์" ฉบับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941 หน้า 106-107 เป็นเนื้อหาที่นำมาจากหนังสือพิมพ์ “นิกร” ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941 หน้า 2 ดังมีใจความต่อไปนี้

 “ข้อสาม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้ระงับการเสียดสี ขู่เข็ญ หรือบังคับในเรื่องการถือศาสนา
 ทั้งนี้ ให้ตกเป็นหน้าที่ของตำรวจท้องที่ทั่วไป ที่จะต้องสอดส่องระมัดระวัง ..เพราะว่าในการสนับสนุน รัฐบาลในการปรับปรุงเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส....      บางหมู่คณะได้เป็นไปใน จำพวกรุนแรงเกินเลยขอบเขต และบ้างก็แตกความคิดเห็นเป็นหมู่เป็นคณะและเป็นบุคคล   มีการกระทบ กระทั่งเสียดสี ขู่เข็ญระหว่างกัน... บางกรณีก็มีการทุจริตเคลือบแฝงเจือปนเพื่อหาประโยชน์ส่วนตับางกรณี ก็มีการลอบทำร้ายกัน...อาจเป็นการกระทบกระเทือนแก่ชาวต่างประเทศที่มีสัมพันธไมตรีกับประเทศไทย... ไม่ต้องด้วยนโยบายของรัฐบาล เป็นมูลเหตุแห่งการเริ่มต้นที่จะก่อความไม่สงบ  ผิดศีลธรรม ผิดมนุษยธรรม หรือผิดวิธีการที่อารยชนจะพึงปฏิบัติ”

ข. หลวงอดุล  ได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ใช้ชื่อว่า“ไทยเอกราช”ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ท่านได้เรียกร้องอิสรภาพทางศาสนาต่อไป ตามรัฐธรรมนูญมาตราที่ 1 และมาตราที่ 13 ดังนี้

 เอกสารหมายเลข 1

 “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย”

 มาตราที่ 1 ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิดหรือสาสนาใด   ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญ นี้เสมอ

 คำอธิบายของสำนักโฆษณาการ: ประชาชนไม่ว่าเหล่ากำเนิดหรือสาสนาใดๆย่อมอยู่ในความ คุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน คนไทยหรือชาวไทย อาจพูดภาษาผิดเพี้ยนกันไปได้  และนับถือสาสนา ต่างกันก็ได้ แต่ทั้งนี้ไม่เปนการทำให้พวกเราแตกแยกกันไป      หรือทำให้ฐานะของชาวไทยแตกต่างกันเลย รัฐธรรมนูญได้ให้ความคุ้มครองแก่ชนชาวไทยเหมือนกันหมด  ชาวไทยจึงอาจจะนับถือพระพุทธสาสนาก็ได้ สาสนาอิสลามก็ได้ หรือคริสตศาสนาก็ได้ ตามแต่ใจสมัคร

มาตรา 13 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาหรือลัทธิใดๆ    และย่อมมีเสรีภาพในการ ปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เปนการปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เปนการขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยหรื อศีลธรรมของประชาชน”

 คำอธิบายของสำนักโฆษณาการ: มาตรานี้แสดงว่า   บุคคลทุกคนย่อมมีเสรีภาพในการที่จะนับถือ ศาสนาใดๆ ทั้งนั้น รัฐธรรมนูญย่อมให้ความคุ้มครองประชาชนชาวไทยซึ่งถือสาสนาต่างๆ โดยเท่าเทียมกัน หมด อนึ่ง เมื่อผู้ใดนับถือศาสนาใดแล้ว ก็ย่อมมีเสรีภาพที่จะประกอบพิธีกรรมต่างๆ       ในศาสนานั้นตาม ความเชื่อถือของตนได้ เช่น กราบไหว้บูชาสิ่งที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น...

หลวงอดุลจะทำการเรียกร้องให้ปฏิบัติตามกฎรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัดอยู่เสมอ

ค. ในขณะที่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นไม่ได้พูดถึงการกระทำที่โหดร้ายทารุณ การเผาวัดหรือทำลายวัด การจับพวกคริสตังขังคุกหรือข่มขู่เพื่อให้ละทิ้งศาสนา    หลวงอดุลพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนในหนังสือพิมพ์ไทยเอกราช และถ้าใครมีโอกาสเข้าไปที่หอสมุดแห่งชาติที่ท่าวาสุกรี  เขาจะ สามารถใช้ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ในการทำประวัติการเบียดเบียนศาสนาระหว่างปี ค.ศ. 1940-1944 ได้ แต่เจ้าหน้าที่จะห้ามเข้าไปโดยบอกว่า “ไม่มีหนังสือพิมพ์ไทยเอกราชที่นี่”  และประตูก็จะไม่เปิดอีกเลย หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นหาอ่านได้ง่ายกว่า แต่สำหรับคนที่สามารถเข้าไปที่นั่นได้ ก็จะอยู่ในสายตาของพวกเจ้าหน้าที่หอสมุดตลอดเวลา พวกคาทอลิกจึงไม่กล้าไปค้นหาหนังสือพิมพ์ร่วมสมัยในสถานที่ดังกล่าว

 อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าประสพความสำเร็จในการทำสำเนาเอกสาร 2     เรื่องจากหนังสือพิมพ์ไทยเอกราชที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษร่วมสมัยชื่อ“บางกอกไทม์ส”  เป็นเพราะหนังสือพิมพ์ดังกล่าวถูกตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้จึงไม่ทำให้เจ้าหน้าที่ หอสมุดเกิดความระแวงสงสัย ความรักสัญชาติไทยอันบริสุทธิ์ของเขาไม่มีความบาดหมาง

ง. บทความจากหนังสือพิมพ์ไทยเอกราช
  นี่คือบทความ 2 บทที่แปลจากหนังสือพิมพ์ไทยเอกราชของหลวงอดุลแปลและตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ บางกอกไทม์ส บทความแรกพบได้ที่นี่ นี่คือ  เอกสารหมายเลข 11   ที่เริ่มต้นพูดถึงเรื่องการเลือกที่รักมักที่ชังระหว่างพวกคริสตังและชาวมุสลิมพวกหนึ่ง และชาวพุทธ อีกพวกหนึ่ง ข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องแปลเป็นภาษาไทยอีกประการหนึ่ง  ข้าพเจ้า คิดว่าท่านก็มีเอกสารฉบับนี้แล้ว ถึงแม้จะเป็นภาษาอังกฤษ

 บทความที่ 2 พูดเรื่องการเบียดเบียนอย่างตรงๆหลวงอดุลกล่าวตำหนิผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หนองแสง), พวกนายอำเภอ และคณะเลือดไทย อย่างตรงๆ    เสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องคำสั่งของการเบียดเบียน เพราะว่าคำสั่งเหล่านั้นเป็นความลับ ข้อความนี้พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษซึ่งข้าพเจ้ามิได้แปลเป็นภาษา ไทย นี่คือ  เอกสารหมายเลข 12

 ตามปกติจะต้องพูดถึงต่อไป  แต่ข้าพเจ้าแยกพูดเรื่องการเบียดเบียนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กับเรื่องที่เกิดขึ้นในภาคอื่นของประเทศไทย ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะแทรกไว้ที่ตรงไหนดี ไม่ว่าจะลงไว้ที่ไหน ก็ยังถือเป็นเอกสารอยู่ดี

 เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์สเขียนหลายครั้งว่า หนังสือพิมพ์ไทยเอกราชได้พูดถึง เรื่องการเบียดเบียนไว้หลายครั้ง เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้ในเวลานั้น ไม่มีใครเก็บหนังสือ พิมพ์ไว้เป็นหลักฐาน.

ข้อสังเกต

ข้าพเจ้าไปที่หอสมุดแห่งชาติด้วยตนเองพร้อมเพื่อนอีกคนหนึ่งเพื่อหาหนังสือพิมพ์ต่างๆ และพบกับนางธารา กนกมณี เจ้าหน้าที่ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้(ไทยเอกราช)  ได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่อง รอย ไม่มีการเอ่ยถึงร่องรอยของการเบียดเบียนในหนังสือพิมพ์ภาษาไทยฉบับต่างในสมัยนั้นเลย   พวกเขา  ได้ลืมนึกถึงหนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษไป

************************

คุณนวรัตนได้พูดถึงรัฐนิยมกับทางใต้ ในค.ห.ก่อนนี้     ดิฉันก็เลยเดาว่าเป็นเพราะนโยบายชาตินิยมในประกาศรัฐนิยม ซึ่งรวมการถือว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาของคนไทย อาจทำให้คนไทยที่นับถือศาสนาอื่น เสียสิทธิ์บางอย่างไป   และอาจจะกระทบถึงเสรีภาพในการนับถือศาสนา


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 07:29
จากคุณหมอCTV

ผมบังเอิญมีญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดกันท่านหนึ่ง เคยเป็นลูกเขยหลวงอดุลเดชจรัส แต่ภายหลังหย่าร้างกัน
อาผมเป็นพุทธ แต่แต่งงานกับบุตรสาวหลวงอดุลฯซึ่งเป็นมุสลิม

ผมเข้าใจว่าหลวงอดุลฯท่านคงจะเป็นมุสลิมที่ไม่เคร่งครัดต่อเรื่องการนับถือศาสนาและจารีตประเพณี
เอาไว้จะถามพ่อถึงเรื่องนี้ให้ครับ

จะถามอาก็เกรงใจท่าน เพราะท่านเลิกรากันไปตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้
และอาผมก็มีภรรยาใหม่ครองคู่กันจนปัจจุบันฝ่ายชายได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า ฝ่ายหญิงก็เป็นคุณหญิงไปแล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 13 ก.ค. 10, 07:31
มารายงานตัวแถวหน้าครับ แบบน้อยใจนิดๆที่คุณครูจำชื่อนักเรียนผิด  ฮิๆๆ ล้อเล่นนะครับ อย่าคิดมากครับคุณครู ;)

CVT มาจาก cardiovascular thoracic เป็นคำเรียกพวกที่เรียนทางผ่าตัดทรวงอก ซึ่งไม่ใช่เต้านม แต่หมายถึงอวัยวะภายในเช่นหัวใจ ปอด หลอดเลือดใหญ่
คนชอบคิดว่าผมเป็นช่างเพราะ รถยนต์รุ่นใหม่ใช้ เกียร์ CVT  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 07:45
เป็นความรู้ใหม่ของผมที่ว่าพล.ต.อ.อดุลเป็นมุสลิมหรือเคยเป็นมุสลิม

ศพของท่าน ได้รับการประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิง ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่13เมษายน 2513
แต่ก็พอมีเค้า ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามได้เขียนคำไว้อาลัยในหนังสืออนุสรณ์ที่แจกเป็นที่ระลึกในงานดังกล่าว ตอนหนึ่งเล่าว่า ความสนิทสนมกับสามีท่านตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อย จะเรียกท่านจอมพล ว่าแปลก หรือไอ้แปลก ท่านจอมพลก็จะเรียกหลวงอดุลว่า บัตร หรือไอ้บัตร แต่พอยัวะๆกันขึ้นมาจะเรียก "ไอ้แขก" หลวงอดุลก็จะเรียกกลับว่า "ไอ้บ้า"

ทั้งไอ้แขกและไอ้บ้า คงมาจากฐานความเป็นจริงบางประการ มิใช่แค่หน้าเหมือน นานปีต่อมาพล.ต.อ.อดุล ไปให้การในศาลว่าจอมพล ป. เสียสติไปแล้วด้วยเหตุผลนานัปการ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 07:49
  

อ้างถึง
มารายงานตัวแถวหน้าครับ แบบน้อยใจนิดๆที่คุณครูจำชื่อนักเรียนผิด  ฮิๆๆ ล้อเล่นนะครับ อย่าคิดมากครับคุณครู

CVT มาจาก cardiovascular thoracic เป็นคำเรียกพวกที่เรียนทางผ่าตัดทรวงอก ซึ่งไม่ใช่เต้านม แต่หมายถึงอวัยวะภายในเช่นหัวใจ ปอด หลอดเลือดใหญ่
คนชอบคิดว่าผมเป็นช่างเพราะ รถยนต์รุ่นใหม่ใช้ เกียร์ CVT


อ้าว ขอประทานโทษครับ ผมยังนึกว่าคุณหมอไปเกี่ยวข้องอย่างไรกับสถานีเคเบิลทีวีชื่อCTVที่บ้านโป่งเขา


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: dotdotdot ที่ 13 ก.ค. 10, 08:02
ย้ายตามมาจากห้อง "ก,ข,ค,ง" ครับ นั่งแถวหลังสุดครับ.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 08:34
^
ครับ ดีแล้วครับ เดี๋ยวจะถามคำถามยากๆก่อนเลยครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 08:39
อ้างถึง
เพิ่งรู้จากในเน็ตว่าท่านเป็นมุสลิม  และท่านเคยปกป้องพวกคาทอลิค ที่ถูกเบียดเบียนโดยทางราชการไทยในช่วง "รัฐนิยม"  แต่เจ้าของบทความไม่ได้ให้รายละเอียด  ว่าเบียดเบียนแบบไหนอย่างไร   แต่ยกย่องอธิบดีตำรวจที่ช่วยเหลือพวกคาทอลิคมิให้เดือดร้อน

ลองดูversionนี้บ้างครับ ผลพวงของวัธนธัมนำไทยไปสู่มหาอำนาจ


การเชื่อมโยงศาสนาพุทธ เข้ากับ "ความเป็นคนไทย" นี้ ไปไกลถึงขั้นที่ช่วงหนึ่งหลวงพิบูลฯสั่งให้กระทรวงทบวงกรมต่างๆ สำรวจว่ามีข้าราชการคนใดบ้างไม่นับถือศาสนาพุทธ และพยายามชักชวนคนเหล่านี้ "ให้มานับถือศาสนาพุทธเสียให้หมด หากผู้ใดไม่ยอมเปลี่ยนก็ให้ทางราชการตั้งข้อรังเกียจต่างๆ เช่น ไม่พิจารณาเลื่อนเงินเดือนเป็นต้น" (คำพูดหลวงอดุลเดชจำรัส ในที่ประชุม ครม. 23 เมษายน 2484 ผมควรชี้ว่าหลวงอดุลฯ กำลังเน้นที่คนนับถือคริสต์ ไม่ใช่อิสลาม) และมีการออกระเบียบกรมตำรวจไม่รับคนที่ไม่นับถือพุทธเป็นตำรวจ(มีข้อยกเว้น"ไปพลางก่อน"ให้ 4 จังหวัดภาคใต้) หลวงพิบูลฯเองกล่าวสนับสนุนข้อบังคับนี้ว่า "เมืองไทยเป็นของไทยมิควรจะให้คนศาสนาอื่นอยู่!"

"ในแง่นโยบายปกครอง เราคงลำบากใจบางอย่าง คนในสยามมีหลายชาติ เวลานี้เขารักใคร่สยาม ถึงคราวเราพูดอะไรจะให้กินความส่วนรวมแล้ว ก็ใช้ว่า "สยาม" เขาอาจจะน้อยใจได้ ถ้าเราเลิกใช้ "สยาม" ใช้แต่ "ไทย" จะเกิดความรู้สึกว่า เอาพวกชาติอื่นออก เพราะไม่ใช่ไทย พวกปัตตานีก็ไม่ใช่ไทย ถ้าเราเรียกว่า "สยาม" ก็รวมพวกปัตตานีด้วยเขาก็พอใจ ถ้าเปลี่ยนไปอาจไม่ดูดพวกนี้มารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ได้"

คนมุสลิมทางใต้นั้น ไม่เข้านิยาม "ความเป็นไทย" ทั้งในแง่เชื้อชาติและศาสนา(ไม่เหมือนคนจีนที่อาจจะพอ "กล้อมแกล้ม" เป็น "ไทย" เรื่องศาสนาได้บ้าง) ดังที่หลวงพิบูลฯได้กล่าวเปรียบเทียบ เมื่อมีการอภิปรายในคณะรัฐมนตรีเรื่องท่าทีต่อ "เจ้านาย" ท้องถิ่นของภาคเหนือและใต้ว่า "ทางเหนือ ไม่สู้เป็นไร เพราะรู้สึกเป็นเชื้อชาติเดียวกัน แต่ส่วนทางใต้รู้สึกเป็นห่วงเพราะศาสนา ก็คนละศาสนา" ประชุม ครม. 4 สิงหาคม 2482)                   


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ค. 10, 09:28
ทิ้งงานประจำ   ตามมานั่งฟังแถวหน้า(อีกแล้ว)
เรื่องพลต.อ.อดุล หรือหลวงอดุลเดชจรัส เป็นเรื่องที่ดิฉันไม่มีหนังสืออยู่ในมือโดยตรง   ถ้าร่วมวงแจมก็คงแบบคั่นโปรแกรมหน้าม่านตามเดิม 
หาประวัติท่านมาแนะนำให้รู้จักไว้ก่อนว่าท่านเป็นใครมาจากไหน

พลต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส หรือหลวงอดุลเดชจรัส(28 มิถุนายน พ.ศ. 2437 - 17 ธันวาคม พ.ศ. 2512)  มีนามเดิมว่า บัตร พึ่งพระคุณ เป็นบุตรหลวงบุรีรัฐพิจารณ์ และนางจันทร์ พึ่งพระคุณ เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2437 ที่บ้านพักถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพ
บิดานำตัวไปถวายงานเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ จึงพักอาศัยอยู่ในวังปารุสกวันตั้งแต่เด็ก
ท่านเข้ารับราชการครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2459 โดยได้รับพระราชทานยศเป็น นายร้อยตรี สังกัดกระทรวงกลาโหม
พ.ศ. 2475 ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายในการรับราชการทหาร ก่อนโอนมารับราชการในกรมตำรวจ
พ.ศ. 2476 ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจ ในขณะที่ พ.ต.อ.พระยาอนุสรณ์ธุรการ เป็นอธิบดี
พ.ศ. 2479 ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ
พ.ศ. 2480 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ได้รับพระราชทานยศเป็น พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก และพลตำรวจเอก ตั้งแต่ พ.ศ. 2486 ตำรงตำแหน่งคณะอภิรัฐมนตรี ทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2493 รับตำแหน่งองคมนตรีระหว่าง พ.ศ. 2492-2495 ทางราชการได้สร้างเรือนหลังเล็กในบริเวณวังปารุสกวันให้เป็นที่พัก จนถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2512


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 09:52
หลวงอดุลเดชจรัสหรือพล.ต.อ อดุล อดุลเดชจรัส เดิมชื่อ บัตร พึ่งพระคุณ บัตรนี้บางสมัยก็สะกดว่าบัตร์ตามรัฐนิยม แต่เป็นมหาดเล็กในวังปารุสกวันของทูลกระหม่อมจักรพงษ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ  สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงมีพระชายาเป็นคนต่างด้าว มีพระโอรสด้วยกันคือพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เสด็จตาของฮิวโก้ ตอนที่ทรงแอบมีเมียนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯพระราชบิดาทรงเคืองพระทัยมาก โปรดให้ตัดออกจากอันดับการสืบราชสันตติวงศ์ ในรัชกาลต่อมาพระองค์ท่านทรงทนแหม่มไม่ได้ หรือจะกลับกันก็สุดแล้วแต่ ในที่สุดก็หย่าขาดจากกัน และทรงอภิเษกใหม่กับหม่อมเจ้าหญิงวัยรุ่นเบิกบานแล้วจะไปฮันนีมูนกันที่สิงคโปร ก่อนเสด็จเพียงเล็กน้อย ทรงเป็นประธานในงานเลี้ยงของทหาร ระหว่างการเดินโต๊ะเสริพอาหารไฟฟ้าดับพรึ่บ กว่าไฟจะมาก็พักใหญ่ จึงเกิดเป็นประเด็น ในระหว่างจะขึ้นเรือโดยสารจะไปสิงคโปรนั้น ทรงเปียกฝนเล็กน้อย แต่พอเรือพ้นปากอ่าวไปแล้วทรงมีพระอาการหวัด แต่หนักขึ้นขนาดต้องหามลงจากเรือเมื่อถึงที่หมาย หมอที่ดีที่สุดถูกตามมารักษาพระองค์ท่านที่โฮเตล แต่ก็ทรงนอนเพ้ออยู่ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ ปรากฏว่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่คุณวีมีกล่าวถึง เป็นผู้ร่วมโต๊ะเสวยในคืนนั้นด้วยก็ถึงแก่กรรมด้วยอาการเดียวกันหลายคน ข่าวก็ลือไปทั่วเมืองว่ามีการวางยาพิษโดยฆาตกรอาศัยความมืดช่วงไฟฟ้าดับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯทรงเห็นว่าจะไปกันใหญ่ก็โปรดเกล้าฯให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ลงความเห็นว่าเป็นนิวมอเนีย แต่บางกระแสก็บอกว่าหลังตั้งคณะกรรมการขึ้นแล้วข่าวเงียบไปจนคนลืม อย่างไรก็ดี ใน“เกิดวังปารุสก์”ของพระองค์จุล ทรงเขียนเรื่องราวช่วงนี้หลายหน้ากระดาษ แต่มิได้เอ่ยถึงเรื่องยาพิษแม้น้อย คุณหมอCVTได้ท้าวความถึงข่าวลือนี้ในกระทู้โน้น ผมเลยมาต่อความในกระทู้นี้
 
เอ้า..คำถาม  คุณdotdotdot ฮิวโก้เป็นใครครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 13 ก.ค. 10, 09:52
มาเช็คชื่อเข้าห้องเรียน ก่อนจะขอลากิจซักระยะนะคะ เดี๋ยวอาจารย์จะว่านักเรียนหนีเรียน
บังเอิญ เจ้านายใจดี ให้ลากลับไปเยี่ยมบ้านได้ 1อาทิตย์ ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่า
ที่บ้านต่างจังหวัด จะหาที่เล่นเน็ตได้หรือเปล่า ถ้าได้ จะเข้าห้องเรียนต่อแน่นอน ไม่พลาดค่ะ  :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 10:26
^
คุณPTBTหา aircard ไว้ใช้สักตัวสิครับ เล่นเน็ทได้ทุกที่เหมือนโทรศัพท์มือถือ จะได้ตาแฉะต่อเนื่องกันไป


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 13 ก.ค. 10, 10:30
ขอบพระคุณค่ะสำหรับคำแนะนำ เสียแต่ว่าไม่ได้เอา Laptop กลับไปด้วยนี่สิคะ  :'(
แบกกระเป๋ากลับเมืองไทยใบโต กะจะไปแบกอาหารไทยกลับมาอีกด้วย เลยไม่อยากมีสัมภาระเพิ่มน่ะค่ะ

แต่สมัยนี้น่าจะมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ให้บริการทั่วๆไปมังคะ...หวังว่าอำเภอเล็กๆชายแดน คงไม่ตกเทรนด์  :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 10:51
^
งั้นก็สบายครับ

พอถึงวันที่โรงเรียนปล่อยกลับบ้านนักเรียนนายร้อยบัตรมีหน้าที่ต้องกลับไปเป็นมหาดเล็ก(แปลว่า คนที่คอยรับสนองพระบัญชาสุดแต่พระองค์จะทรงใช้ สูงกว่าคนรับใช้แต่ไม่ใช่ทหารมหาดเล็กนะครับ คนละเรื่องกัน) แต่บางทีก็เบี้ยว ไปนอนบ้านเพื่อนที่ชื่อแปลก เป็นเรือนแพอยู่ปากคลองบางเขน บิดามารดาของเพื่อนก็เมตตาเอ็นดู เงินทองเพื่อนคู่นี้ใครมีก็แบ่งให้อีกคนหนึ่งใช้แบบเพื่อนซี้ทั่วๆไป พอเรียนจบก็ได้บรรจุเป็นนายทหารเหล่าปืนใหญ่เหมือนกันอีก แต่แยกกันคนอยู่คนละเมือง ตอนร้อยตรีแปลกแต่งงานกับเด็กอายุ14 ชื่อละเอียด(เป็นสมัยนี้ก็เฉียดคุก) ร้อยตรีบัตรก็วาดรูปฝีมือตนเองมอบให้เป็นของขวัญ สงสัยจะมือดีพอใช้ร้อยตรีแปลกจึงเอาไปติดในห้องหอของตน สาวเจ้าจึงจำได้

ทั้งสองมาอยู่ด้วยกันอีกตอนได้รับคำสั่งให้ย้ายมาเข้าโรงเรียนเหล่า โดยเช่าเรือนแถวใกล้ๆโรงเรียนอยู่ห้องติดกัน นายทหารอื่นๆที่อยู่ในเรือนแถวนั้นก็ต่างคนต่างทำกิน แต่ร้อยตรีบัตรยังเป็นโสด ร้อยตรีแปลกก็เรียกเพื่อนมากินข้าวใหม่ปลามันฝีมือทำกับข้าวของภรรยาทุกมื้อ ท่านผู้หญิงไม่เห็นเขียนว่าต้องทำอะไรเป็นพิเศษในฐานะที่ท่านเป็นมุสลิม

ท่านผู้หญิงละเอียดปิดท้ายเรื่องในวัยหนุ่มของทั้งสองตามสำนวนน้ำตาลหยดมดไชโยของท่านว่า

อนิจจา การเมืองเจ้าเอย  เจ้าหรือมิใช่ที่ทำให้มิตรร่วมชีวิตสองท่านนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นศัตรูกัน และยังรักกันฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ จำต้องแยกทางกันเดินในบั้นปลายของชีวิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 13 ก.ค. 10, 11:04
ผมกำลังสงสัยว่าหลวงอดุลเดชจรัส ท่านจะไม่ใช่มุสลิม
ท่านอาจจะมีเชื้อสายแขก แต่นับถือพุทธ แบบเดียวกับสายสกุลบุนนาค
เพราะเมื่อกี้โทร.ไปถามพ่อ
ผู้เฒ่าวัย ๘๒ ปี รื้อฟื้นความจำบอกว่าตอนที่อาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อแต่งงานกับลูกสาวหลวงอดุลฯ ก็ทำพิธีแบบพุทธครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 11:37
^
อึ้มม..ขอบคุณครับ ดีครับคุณหมอ ดีสำหรับท่านอดุลด้วยที่ไม่ถูกเข้าใจอะไรผิดๆ
.
ร้อยตรีแปลกเป็นนักเรียนเรียนดี ตอนจบโรงเรียนนายร้อยก็สอบได้ที่1 วาสนาเสริมให้ได้ไปเรียนวิชาทหารปืนใหญ่ต่อที่ประเทศฝรั่งเศสตอนติดร้อยโท ได้เจอกับเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนนายร้อยอีกคนหนึ่ง ชื่อร้อยโทประยูร ภมรมนตรี ได้ทุนพ.ก*มาเรียนที่ปารีสอยู่แล้ว แนะนำให้รู้จักกับนายปรีดี พนมพงค์ นักศึกษากฏหมายระดับปริญญาเอก ซึ่งต่อมาได้รวมกลุ่มจัดตั้งคณะราษฎรขึ้นดังที่ถกกันไปแล้วในกระทู้โน้นว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม ใครเป็นหัวหน้า

แน่นอนละ เมื่อกลับมาตั้งหลักที่บ้านเกิดเมืองนอนแล้ว พันตรีแปลก(หลวงพิบูลสงคราม) ก็ต้องชวนร้อยเอกบัตร(หลวงอดุลเดชจรัส)เพื่อนเป็นเพื่อนตาย ให้เข้าร่วมขบวนการที่จัดตั้งขึ้นอย่างลับๆนี้ด้วย  เมื่อปฏิวัติ2475เสร็จเรียบร้อย ทั่งคู่จึงได้ร่วมถ่ายรูปหมู่คณะผู้ก่อการเป็นภาพประวัติศาสตร์ของชาติไทย โดยพันตรีหลวงพิบูลได้นั่งเก้าอี้ต่อจากสี่ทหารเสือ ส่วนร.อ.หลวงอดุลดูเหมือนจะยืนอยู่หลังหลวงพิบูลมั้ง ผมไม่แน่ใจเพราะรูปที่เห็นมันเล็กเกิน

ถือว่าทั้งคู่ตีตั๋วรถไฟสายการเมืองไปสู่ดวงดาวได้ โดยหลวงอดุลแม้จะได้ตั๋วชั้นหนึ่ง แต่หลวงพิบูลได้ชั้นหนึ่งตู้นอนเอก จากเพื่อนก็ชักจะกลายเป็นนายไปนิดๆแล้ว
.
.
*ทุนพ.ก.คือทุนพ่อกู


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 ก.ค. 10, 12:22
ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ  สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงมีพระชายาเป็นคนต่างด้าว มีพระโอรสด้วยกันคือพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เสด็จตาของฮิวโก้.....
 
เอ้า..คำถาม  คุณdotdotdot ฮิวโก้เป็นใครครับ

ใครไม่รู้จักฮิวโก้ ยกมือขึ้น

http://th.wikipedia.org/wiki/จุลจักร_จักรพงษ์ (http://th.wikipedia.org/wiki/จุลจักร_จักรพงษ์)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/518/6518/images/hugo/160202.jpg) 

(http://tpa.or.th/industry/upload/content/ContentImg1066.jpg)

รูปข้างบนหรือข้างล่าง รูปไหนหล่อกว่ากัน

 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ค. 10, 12:44
รู้จักแต่ท่านตาของฮิวโก้ค่ะ   หล่อกว่าหลานมาก


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ค. 10, 12:49
ขยายรูปจากค.ห. 16
แถวกลาง ที่ ๓ จากซ้าย คือพันโทหลวงพิบูลสงคราม  นั่งติดกันพันเอกพระยาทรงสุรเดช    ต่อจากพระยาทรงฯ คือพันเอกพระยาพหลฯ พันเอกพระยาฤทธิ์อัคเนย์  พันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ
ส่วนหลวงอดุล เข้าใจว่าอยู่แถวหลังสุด  เป็นคนที่ ๕ ยืนอยู่ข้างหลังหลวงพิบูล


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 13 ก.ค. 10, 12:57
ขอความกรุณาขอความรู้นิดหนึ่งว่า ทำไมคุณ ฮิวโก้ จึงใช้ จักรพงษ์ ครับผม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อยากได้ความรู้เกี่ยวกับคุณพ่อของคุณ ฮิวโก้ ครับผม
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 13:14
ปกติ บุตรธิดาต้องใช้นามสกุลบิดาตามสากลปฏิบัติ แต่ในกรณีย์ที่พ่อแม่มิได้จดทะเบียน หรือหย่าร้างกัน ลูกอาจเลือกใช้นามสกุลเดียวกับแม่ได้ ดูเหมือนว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันจะให้สิทธิ์หญิง แต่งงานแล้วจะเลือกใช้นามสกุลตนก็ได้ ส่วนลูกจะเลือกใช้นามสกุลพ่อหรือแม่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหลังการหย่าร้าง

คราวนี้มาดูเรื่องของคุณฮิวโก้ บังเอิญคุณแม่เป็นสมาชิกราชสกุล เมื่อไม่ประสงค์จะใช้นามสกุลบิดาด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งข้างต้น ต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ราชสกุล โดยไม่มี ณ อยุธยาพ่วงท้ายเหมือนผู้ที่ใช้ราชสกุลสืบสายตามบิดา

ส่วนประวัติคุณฮิวโก้หรือบิดาคุณฮิวโก้ เอ้า คุณdotdotdotช่วยทีอาจารย์เกิดเร็วไปเลยไม่รู้ มัวแต่นั่งอ้าปากค้างอยู่นั่นแหละ พวกแถวหน้าแย่งคะแนนไปหมดแล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 13 ก.ค. 10, 14:06
พักยก คุณหลวงอดุลฯ

ข้อมูลจากอากู๋....

ฮิวโก้ มีชื่อจริงว่า จุลจักร จักรพงษ์ บิดาชื่อ แอลเลน เลวี่


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 ก.ค. 10, 14:32
ฮิวโก้ มีชื่อจริงว่า จุลจักร จักรพงษ์ บิดาชื่อ แอลเลน เลวี่

พลตำรวจเอกหลวงอดุล อดุลเดชจรัส (บัตร พึ่งพระคุณ) บิดาชื่อ หลวงบุรีรัฐวิจารณ์ (บี เอ็ม เซอลีฟ) http://www.saranitet.police.go.th/BossRTP/BossRTP10.html (http://www.saranitet.police.go.th/BossRTP/BossRTP10.html)

สองหนุ่มสองมุม แต่ที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือบิดาเป็นคนต่างชาติ

อยากทราบประวัติและเห็นรูปถ่ายบิดาของทั้งสอง

คุณกุ๊กก็ไม่ทราบ คุณวิกกี้ก็ไม่เคยเห็น

 ???


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 13 ก.ค. 10, 14:40
(http://1.bp.blogspot.com/_YxWHAf0wdec/S1X5wvB77vI/AAAAAAAAAGk/z9qk5vitZ6o/s320/A7585002-2.jpg)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ค. 10, 14:49
ฮิวโก้ คือเด็กชายทางซ้ายมือ  ทารกน้อยคือคุณกู้น้องชายที่เกิดจากคุณกอสวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ คนขวาสุด

แปลกใจมากที่เพิ่งรู้ว่าคุณหลวงบุรีรัฐพิจารณ์ บิดาของพลต.อ.อดุล เป็นชาวต่างชาติ     หน้าตาคุณหลวงอดุลไม่เหมือนลูกครึ่ง   อยากรู้ว่านามสกุลเดิมของคุณพ่อ เซอลิฟ  สะกดยังไงนะคะ  ไม่น่าเป็นอังกฤษ
คุณฮิวโก้มาแรงแซงโค้ง  เกือบจะทำให้กระทู้นี้กลายเป็นฮิวโก้เดชจรัสไปแล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 13 ก.ค. 10, 15:06
ผมเข้าใจผิด เห็นรูปฮิวโก้ตอนเด็กๆ คิดว่าคนในรูปเป็นคุณแอลเลน เลวี่


บิดาคุณหลวงอดุลฯ ไม่น่าจะเป็นฝรั่ง คงเป็นแขกชาติใดชาติหนึ่ง อาจจะชื่อ ชารีฟ Sharif หรือ เชอรีฟ Sherif


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 15:11
^
เชิญบรรดาแฟนๆคุณฮิวโก้ตามสบายครับ คุณdotdotdotของผมก็สงสัยจะหลบออกจากหลังห้อง ไปนอกห้องแล้ว

หลวงอดุลก็ขอเวลาสักเล็กน้อย ไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวจากชุดทหารเป็นชุดตำรวจก่อน
เดี๋ยวกลับมาแล้วจะออกบทบู๊ละ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 13 ก.ค. 10, 15:47
จบจากกระทู้โน้นก็ขออนุญาติตามต่อที่กระทู้นี้ด้วยคนครับท่านอาจารย์ทุกท่าน.... :)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: dotdotdot ที่ 13 ก.ค. 10, 17:49
หลวงอดุลเดชจรัสหรือพล.ต.อ อดุล อดุลเดชจรัส เดิมชื่อ บัตร พึ่งพระคุณ บัตรนี้บางสมัยก็สะกดว่าบัตร์ตามรัฐนิยม แต่เป็นมหาดเล็กในวังปารุสกวันของทูลกระหม่อมจักรพงษ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ  สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงมีพระชายาเป็นคนต่างด้าว มีพระโอรสด้วยกันคือพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เสด็จตาของฮิวโก้ ตอนที่ทรงแอบมีเมียนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯพระราชบิดาทรงเคืองพระทัยมาก โปรดให้ตัดออกจากอันดับการสืบราชสันตติวงศ์ ในรัชกาลต่อมาพระองค์ท่านทรงทนแหม่มไม่ได้ หรือจะกลับกันก็สุดแล้วแต่ ในที่สุดก็หย่าขาดจากกัน และทรงอภิเษกใหม่กับหม่อมเจ้าหญิงวัยรุ่นเบิกบานแล้วจะไปฮันนีมูนกันที่สิงคโปร ก่อนเสด็จเพียงเล็กน้อย ทรงเป็นประธานในงานเลี้ยงของทหาร ระหว่างการเดินโต๊ะเสริพอาหารไฟฟ้าดับพรึ่บ กว่าไฟจะมาก็พักใหญ่ จึงเกิดเป็นประเด็น ในระหว่างจะขึ้นเรือโดยสารจะไปสิงคโปรนั้น ทรงเปียกฝนเล็กน้อย แต่พอเรือพ้นปากอ่าวไปแล้วทรงมีพระอาการหวัด แต่หนักขึ้นขนาดต้องหามลงจากเรือเมื่อถึงที่หมาย หมอที่ดีที่สุดถูกตามมารักษาพระองค์ท่านที่โฮเตล แต่ก็ทรงนอนเพ้ออยู่ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ ปรากฏว่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่คุณวีมีกล่าวถึง เป็นผู้ร่วมโต๊ะเสวยในคืนนั้นด้วยก็ถึงแก่กรรมด้วยอาการเดียวกันหลายคน ข่าวก็ลือไปทั่วเมืองว่ามีการวางยาพิษโดยฆาตกรอาศัยความมืดช่วงไฟฟ้าดับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯทรงเห็นว่าจะไปกันใหญ่ก็โปรดเกล้าฯให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ลงความเห็นว่าเป็นนิวมอเนีย แต่บางกระแสก็บอกว่าหลังตั้งคณะกรรมการขึ้นแล้วข่าวเงียบไปจนคนลืม อย่างไรก็ดี ใน“เกิดวังปารุสก์”ของพระองค์จุล ทรงเขียนเรื่องราวช่วงนี้หลายหน้ากระดาษ แต่มิได้เอ่ยถึงเรื่องยาพิษแม้น้อย คุณหมอCVTได้ท้าวความถึงข่าวลือนี้ในกระทู้โน้น ผมเลยมาต่อความในกระทู้นี้
 
เอ้า..คำถาม  คุณdotdotdot ฮิวโก้เป็นใครครับ

อาจารย์สายตายาวไกลนะครับ ขนาดผมหลบอยู่หลังห้องยังเห็น "ฮิวโก้" ผมไม่รู้จักมาก่อน หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เพิ่งจะพอได้ความบ้างจากข้อความข้างบนนี้ครับ ก็จะติดตามไปเรื่อยๆครับ ถ้า Hugo Cha'vez wiki ได้ครับ.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: dotdotdot ที่ 13 ก.ค. 10, 18:03
ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ  สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงมีพระชายาเป็นคนต่างด้าว มีพระโอรสด้วยกันคือพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เสด็จตาของฮิวโก้.....
 
เอ้า..คำถาม  คุณdotdotdot ฮิวโก้เป็นใครครับ

ใครไม่รู้จักฮิวโก้ ยกมือขึ้น

http://th.wikipedia.org/wiki/จุลจักร_จักรพงษ์ (http://th.wikipedia.org/wiki/จุลจักร_จักรพงษ์)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/518/6518/images/hugo/160202.jpg) 

(http://tpa.or.th/industry/upload/content/ContentImg1066.jpg)

รูปข้างบนหรือข้างล่าง รูปไหนหล่อกว่ากัน

 ;D


อาจารย์ทั้งสองท่านเรียกชื่อติดๆกันอย่างนี้ เหงื่อ ออกเต็มตัวเห็นทีจะต้องหนีเรียนไปอยู่ วัดโพธิ์ ตามเคยครับ ขอบคุณที่เมตตาเป็นพิเศษครับ ขออยู่หลังห้องเงียบๆครับ.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: dotdotdot ที่ 13 ก.ค. 10, 18:31
ปกติ บุตรธิดาต้องใช้นามสกุลบิดาตามสากลปฏิบัติ แต่ในกรณีย์ที่พ่อแม่มิได้จดทะเบียน หรือหย่าร้างกัน ลูกอาจเลือกใช้นามสกุลเดียวกับแม่ได้ ดูเหมือนว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันจะให้สิทธิ์หญิง แต่งงานแล้วจะเลือกใช้นามสกุลตนก็ได้ ส่วนลูกจะเลือกใช้นามสกุลพ่อหรือแม่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหลังการหย่าร้าง

คราวนี้มาดูเรื่องของคุณฮิวโก้ บังเอิญคุณแม่เป็นสมาชิกราชสกุล เมื่อไม่ประสงค์จะใช้นามสกุลบิดาด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งข้างต้น ต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ราชสกุล โดยไม่มี ณ อยุธยาพ่วงท้ายเหมือนผู้ที่ใช้ราชสกุลสืบสายตามบิดา

ส่วนประวัติคุณฮิวโก้หรือบิดาคุณฮิวโก้ เอ้า คุณdotdotdotช่วยทีอาจารย์เกิดเร็วไปเลยไม่รู้ มัวแต่นั่งอ้าปากค้างอยู่นั่นแหละ พวกแถวหน้าแย่งคะแนนไปหมดแล้ว


อาจารย์ครับ อย่างนี้ผมสงสัยจะเลื่อนจากห้อง "ง" ไป "ค" เร็วขึ้น แต่ไม่เอานะครับชอบอยู่ห้อง "ง" ครับ, คำตอบจาก วิกีก็   "แอลเลน เลวี่"
สอนกันแบบนี้สมัยผมเรียนอยู่ ม6 คงเรียนต่อ ม7 เสียดายจังที่มาเจอ อาจารย์ ทั้งหลายตอนอายุมากๆเสียแล้ว ก็ดีสำหรับ ออกกำลังสมอง ที่เสื่อมๆอยู่
ให้ดีขึ้น แถมได้หัวเราะเป็นบ้าอยู่คนเดียวตอนที่อยู่ห้อง "ก,ข,ค,ง." ในระหว่างที่ อาจารย์ ทั้งหลายแจมกันส่งลูกเล่นกัน หุหุ  ก็ขอบคุณที่มีการเฉลยก่อนปิดเทอม. ผมขอลากลับบ้านเช่นเดียวกับคุณ "ภูมใจไทย" ก็คงจะมีปํญหาเรื่องสื่อสารทาง internet เช่นเดียวกัน ก็จะตามอ่านครับ.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 21:32
อายุมากๆเสียแล้ว

เพล้ง หน้าแตกเลยผม

นึกว่าคุณdotdotdotเป็นวัยสะรุ่น รู้เรื่องดาราสมัยนี้จึงโยนลูกไปถามเรื่องคุณฮิวโก้

แต่ไม่เป็นไรครับ พวกแม่ยกมาช่วยกันรับลูกไปหมดแล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 21:39
คราวนี้มาดูรูปหล่อท่านนี้บ้าง หาดูยากนะครับ ในเนทหาไม่เจอหรอก


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 21:46
แต่ขอประทานโทษ ท่านไม่ว่างเสียแล้วละครับ

รูปนี้ร้อยโทแปลกถ่ายกับครอบครัวก่อนออกเดินทางไปฝรั่งเศส ไม่น่าเชื่อมีลูกแล้วถึง3คน
มิน่า ภรรยาที่แต่งงานตอนอายุ14 จึงได้ดูราวกับเป็นพี่สาวของท่าน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: yanang ที่ 13 ก.ค. 10, 21:47
แฮ่ก แฮ่ก...กระหืดกระหอบมาเช็คชื่อเข้าห้องเรียนค่ะ  8)

นักเรียนสายตาสั้นขอนั่งแถวที่ 2 ต่อจากอาจารย์เทาชมพูแล้วกันนะคะ  :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 22:14
^
ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบครับ วันนี้จะยังไม่เชคชื่อ

เอ้า มาต่อกัน

หลวงพิบูลท่านมีเพื่อนร่วมรุ่นหลายคน ตามธรรมเนียมทหารหนุ่มก็ต้องรวมตัวกันดันเพื่อนที่ทำท่าจะรุ่งให้ติดลมก่อน ตัวจะได้อาศัยใบบุญเพื่อนขึ้นไปใหญ่ด้วย พอใหญ่แล้วจึงค่อยงัดข้อกันอีกที ใครจะเหนียวกว่าใคร

เพื่อนร่วมรุ่นของหลวงพิบูลเป็นหน่วยคุมกำลังหลายคน เช่น หลวงพรหมโยธี หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต หลวงเชวงศักดิ์สงคราม หลวงอำนวยสงคราม หลวงกาจสงคราม หลวงเสรีเรืองฤทธ์เป็นต้น หลวงอดุลก็เป็นเพียงหนึ่งในพวกเหล่านี้ที่กระทำตนเป็นดาวล้อมเดือน เมื่อหลวงพิบูลบุญมาวาสนาส่งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ปราบกบฏบวรเดชในปี2476 เสร็จศึก กลุ่มนายทหารหนุ่มก็ไล่เบียดกลุ่มนายทหารชั้นผู้ใหญ่ตกขอบ หลวงอดุลชะตาแปลกกับเขาเพื่อน หลวงพิบูลสับรางให้พ้นสายทหารไปเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ

คือก่อนหน้านี้ พวกคณะราษฎร์จะเชคบิลตำรวจใหญ่ทั้งหมดในฐานที่เคยติดตามรายงานการเคลื่อนไหวจะก่อการกบฏของพวกตน  ดีที่กรมพระนครสวรรค์ท่านไม่ทรงเชื่อรายงาน และไม่อนุมัติหมายจับกลุ่มหัวหน้าห้าหกคน ทรงกล่าวว่าเจ้าพวกนี้มันเด็กๆทั้งนั้นเอาให้แน่ใจก่อน เลยต้องรีบลงมือปฏิวัติอย่างรีบเร่ง พอมีอำนาจแล้วจึงจะไล่เบี้ย มีผู้ค้านไว้ว่าถ้าไปไล่เขาออกหมดใครจะมาทำงานสืบจับฝ่ายตรงข้ามให้พวกเราต่อไปเล่า ดังนั้นแม้บุคคลากรหลักๆในกรมตำรวจจะยังอยู่ แต่ก็โดนเสริมเข้าไปด้วยสมัครพรรคพวกของคณะราษฎร์ดังที่ผมเล่าไปแล้วในกระทู้โน้น อธิบดีกรมตำรวจถูกจับเข้าคุกไปในฐานะเป็นพวกเจ้า แม้จะยังยอมให้นายตำรวจลูกหม้อขึ้นมาแทน แต่ก็ส่งผู้ช่วยที่ท่านไม่ได้ขอไปค้ำไว้ ความจริงก็คือไปเรียนงานเตรียมจะเป็นอธิบดีตำรวจในอนาคต

หลวงอดุลเดชจรัสพอเปลี่ยนเครื่องแบบนายทหารไปเป็นนายตำรวจได้ก็กลับกลายเป็นคนละคน

ปกติหลวงอดุลเป็นคนร่าเริง ชอบสนุกเหมือนคนหนุ่มทั้งหลาย แต่พอไปเป็นนายตำรวจแล้วท่านก็เปลี่ยนนิสัยโดยฉับพลัน กลายเป็นคนเคร่งขรึม เก็บตัว ทำงานหนัก ไม่ออกงานสังคม เพื่อให้สมกับบุคคลิกของนายตำรวจตงฉิน ที่ไม่ยอมเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือพี่น้อง คนที่เผชิญหน้ากับท่านจะเห็นว่าโครตดุ โดยเฉพาะนัยตาที่แข็งกร้าวเวลามองจะเอาเรื่องใคร นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเห็นท่านแล้วเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง โจรผู้ร้ายโดนท่านตวาดก็เข่าอ่อน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 10, 22:32
มีเรื่องเล่าว่าดึกดื่นเที่ยงคืนท่านมักจะไม่ยอมหลับยอมนอน แต่งนอกเครื่องแบบออกไปเที่ยวเดินท่อมๆตามสถานที่อโคจรต่างๆ วันหนึ่งสายตรวจของตำรวจมาพบเข้า เห็นหน้าตาท่าทางมีพิรุธ จับค้นตัว เอ้า เจอปืนพกเข้าอีก เลยลากท่านไปโรงพัก ท่านก็ยอมไปโดยดี ครั้นถึงที่หมาย นายตำรวจทั้งโรงพักยืนระวังตรงทำความเคารพผู้บังคับบัญชากันพรึบพรั่บ ท่านสั่งตามสารวัตรใหญ่มาสั่งการ ให้ขังตำรวจสายตรวจชุดนั้นเสีย7วันฐานไม่รู้จักผู้บังคับบัญชา

แต่หลังจากพ้นโทษแล้ว ท่านสั่งให้เลื่อนขั้นคนละ1ขั้น เป็นรางวัลที่ขยันหมั่นตรวจตราความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: samun007 ที่ 13 ก.ค. 10, 22:39
กระทู้นี้ตอนแรกลุ้นคุณหลวงอดุลฯ ว่าจะเป็นอิสลามหรือไม่ ... ไป ๆ มา ๆ ไม่ใช่ซะงั้น

แต่กลับกัน ตอนนี้ ฮิวโก้ เป็นอิสลามไปเรียบร้อยแล้วครับ ก็แต่งงานกับดาราคือคุณฮาน่านั่นแล


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: samun007 ที่ 13 ก.ค. 10, 22:43
^


เพื่อนร่วมรุ่นของหลวงพิบูลเป็นหน่วยคุมกำลังหลายคน เช่น หลวงพรหมโยธี หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต หลวงเชวงศักดิ์สงคราม หลวงอำนวยสงคราม หลวงกาจสงคราม หลวงเสรีเรืองฤทธ์เป็นต้น


ท่านสุดท้ายนี้ ต้องถือว่ารวยที่สุดในบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นนะครับ เพราะรุ่นหลานนี่ ตอนนี้เป็นเจ้าของทีมรถแข่งทางเรียบแล้ว คือคุณ พฤฒิรัตน์ รัตกุล เสรีเรืองฤทธิ์ (แหมนามสกุลยาวจริง ๆ )

แถมรุ่นบิดาของท่าน(คือลูกชายของหลวงเสรีเรืองฤทธิ์) ก็มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จักรีเช่นกัน ... ลองสืบหากันดูนะครับว่าไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จักรีอย่างไร ลูกคุณหลวงเสรีเรืองฤทธิ์นี่ ก็ดันไปเป็นเพื่อนกับท่านพันเอก วิชา ฐิตวัตร ผู้แต่งหนังสือ "คนไทยในกองทัพนาซี" เสียอีก

โอ้ โลกมันยิ่งกว่ากลมอีกครับ วกไปวนมา เจอแต่ "กากี่นั้ง"


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 13 ก.ค. 10, 23:01
รัตกุล เสรีเรืองฤทธิ์ (แหมนามสกุลยาวจริง ๆ )

ต้องเป็น รัตนกุล เสรีเรืองฤทธิ์ ครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 07:12
ความเดิมจากคคห.ที่แล้ว
อ้างถึง
มีเรื่องเล่าว่าดึกดื่นเที่ยงคืนท่านมักจะไม่ยอมหลับยอมนอน แต่งนอกเครื่องแบบออกไปเที่ยวเดินท่อมๆตามสถานที่อโคจรต่างๆ วันหนึ่งสายตรวจของตำรวจมาพบเข้า เห็นหน้าตาท่าทางมีพิรุธ จับค้นตัว เอ้า เจอปืนพกเข้าอีก เลยลากท่านไปโรงพัก ท่านก็ยอมไปโดยดี ครั้นถึงที่หมาย นายตำรวจทั้งโรงพักยืนระวังตรงทำความเคารพผู้บังคับบัญชากันพรึบพรั่บ ท่านสั่งตามสารวัตรใหญ่มาสั่งการ ให้ขังตำรวจสายตรวจชุดนั้นเสีย7วันฐานไม่รู้จักผู้บังคับบัญชา

แต่หลังจากพ้นโทษแล้ว ท่านสั่งให้เลื่อนขั้นคนละ1ขั้น เป็นรางวัลที่ขยันหมั่นตรวจตราความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง


กิติศัพท์นายใหม่ของตำรวจก็ร่ำลือไปทั่ววงการสีกากี ท่านอาจจะไปปรากฏตัวที่โรงพักไหนคืนใดคืนหนึ่งก้ได้ ถ้าโรงพักไม่เนี๊ยบนายตำรวจเป็นต้องโดน อย่าว่าแต่โรงพักเลย ตามซ่องนางโลมทุกแห่งก็เข้าไปซุ่มดูว่าจะมีตำรวจมารับส่วยหรือมาเบ่งเอาของฟรีหรือเปล่า บางครั้งแกล้งนั่งแทกซี่แล้วสั่งให้คนขับฝ่าไฟแดง พอตำรวจเรียกก็แกล้งยัดเงินใส่มือ ใครรับก็เสร็จ ความจริงถ้าท่านเล่นมุขนี้ไปเรื่อยๆสงสัยลูกน้องจะติดคุกหมดกรม  แต่ท่านก็เล่นเพียงให้เขาลือกัน แล้วพฤติกรรมชั่วก็จะซาลงไปเอง แต่ท่านก็เล่นยากขึ้นด้วย ไมนานจะใส่หมวกหลุบหน้าหรือปลอมแปลงตัวเองอย่างไรลูกน้องก็จำได้

มีแห่งหนึ่งที่หลวงอดุลไม่เคยไปเลย คือองค์กรของคนจีนทั้งหลาย ไม่ว่าสมาคมตระกูลนั้นตระกูลนี้หรือสมาคมที่ตั้งขึ้นเพื่อการกุศล สถานที่เหล่านี้เป็นของแสลงสำหรับตำรวจ ใครเข้าไปแล้วอาจถูกนัวเนียเสียผู้เสียคน ในหนังสืองานศพของท่านมีคำไว้อาลัยของนายจิ้นติน ตันธุวนิชย์ อดีตประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเขียนว่า พล.ต.อ.อดุลเป็นคนเดียวที่คนจีนในเมืองไทยเรียกว่า “โอวมิ่นเปากง” หรือท่านเปาหน้าดำ การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตของท่านเป็นอานิสงส์ต่อคนจีนที่ทำมาค้าขายมาก ท่านเคยเชิญคณะกรรมการมูลนิธิไปพบครั้งหนึ่งเพื่อขอบคุณในนามของกรมตำรวจในช่วงสงคราม ซึ่งมูลนิธิได้ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลอย่างแข็งขัน แต่เมื่อท่านเกษียนจากราชการแล้ว วันหนึ่งท่านไปที่มูลนิธิ กล่าวว่าที่ท่านมาเยี่ยมชมเพราะมีความศรัทธาในกิจกรรมที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ท่านเหยียบเข้ามาในองค์กรของคนจีนเพื่อจะเอาใบหุ้นของธนาคารศรีนครจำนวน15หุ้น มาโอนให้มูลนิธิเป็นทุนเพื่อใช้ในการทำกุศลต่อไป

พล.ต.อ.อดุลเป็นนักการเมืองอีกคนหนึ่งที่มือสะอาดจากเงินสกปรก เกษียนแล้วยังไม่มีบ้านต้องอยู่บ้านหลวงจนถึงแก่กรรม ใบหุ้นท่านจึงมีเพียงเท่านั้น สงสัยจะเป็นหุ้นเสน่หาให้มาเป็นของขวัญแต่ครั้งไหนไม่ทราบ แต่มูลค่าน้อยไปที่จะเรียกผู้ให้มารับคืนพร้อมกับตบกระโหลก สู้เอามาทำบุญเสียดีกว่า แต่หุ้นธนาคารสมัยโน้นมิได้มีมูลค่าต่อหุ้นจิ๊บจ๊อยเหมือนสมัยที่เขาแตกราคาพาร์เพื่อจะปั่นกระทู้ เอ้ยขอโทษ ปั่นตลาดอย่างเช่นที่เป็นอยู่เวลานี้แน่นอน

เฮ้อ คนดีท่านก็ดีเกิน ไอ้คนชั่วมันก็ชั่วเกิน โกงจนรวยแล้วรวยอีกก็ไม่รู้จักพอ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 08:30
เมื่อเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจนั้น ไม่ว่านายจะให้ไปกินเงินตำแหน่งในองค์กรวิสาหกิจใด หรือใครจะมาเชิญไปเป็นกรรมการบริษัท ท่านไม่เอาทั้งนั้น แถมประกาศว่าทุกคนควรจะมีงานประจำเพียงตำแหน่งเดียว เพราะถ้าสนใจจะทำให้ดีจริงๆ เวลาก็ไม่พออยู่แล้ว และต้องแบ่งให้งานการเมืองด้วย

หลวงอดุลเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท2 (แต่งตั้ง) ครั้นหลวงพิบูลพาพรรคพวกไปข่มขู่ปฏิวัติเงียบให้พระยามโนลาออกจากตำแหน่งไป และเชิญพระยาพหลมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนั้น หลวงอดุลคงแข็งขันเป็นพิเศษจึงได้รางวัลเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีลอยด้วย พอถึงรัฐบาลพระยาพหล2 ผลงานที่ทำในกรมตำรวจเข้าตานาย จึงได้ให้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นรัฐมนตรีว่าการ

หลวงธำรงมีความมัวหมองในหน้าประวัติศาสตร์เพราะเป็นผู้เสนอพ.ร.บศาลพิเศษขึ้นมาเพื่อพิจารณาคดีพวกที่ถูกหลวงอดุลจับกุมในข้อหามีการกระทำอันเป็นกบฏในพ.ศ.2481 เมื่อถกกันในสภานั้น มีผู้กล้ายืนขึ้นแสดงความเห็นคัดค้านรุนแรง แต่ก็ทานรังสีอำมหิตที่กระเพื่อมออกมาจากท่านผู้นำไม่ไหว ยกมือนับกันก็แพ้ขาด นั่นเป็นเหตุให้สามในสี่ทหารเสือคณะราษฎรคราวปฏิวัติ2475 ที่ต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ยังต้องรันทดจากข่าวที่อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาถูกประหารชีวิตร่วมกับแพะอื่นๆรวมกัน18ศพ ส่วนดาวสภาผู้กล้าก็ถูกขึ้นบัญชีดำไว้รอโจรจีนมาคิดบัญชีกันต่อไป

หลวงธำรงจึงออกตัวไว้ในคำไว้อาลัยหลวงอดุลท่อนหนึ่งว่า แม้ท่านและหลวงอดุลจะเคยทำงานร่วมกันที่กระทรวงมหาดไทยในช่วงปีดังกล่าว แต่ท่านก็มอบงานของกรมตำรวจทั้งงานธุรการและ งานการเมือง ให้กับหลวงอดุลเกือบจะทั้งสิ้นและเด็ดขาด เว้นแต่งานนโยบายและงานที่กฎหมายระบุให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีเท่านั้นที่ท่านจำเป็นต้องเกี่ยวข้องด้วย

อะไรคืองานการเมืองของตำรวจ ตำรวจมีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฏร์โดยไม่คำนึงถึงการเมืองใดๆมิใช่หรือ ตรงนี้หลวงอดุลไม่เข้าใจ ตอนนั้นท่านยังเห็นพ่อเพื่อนรักผู้เป็นนายเป็นหลักชัยของชาติ ที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นรัฐในอุดมคติที่ท่านเชื่อ  ท่านจึงสถาปนาตำรวจเกสตาโปเมืองไทยขึ้นมาภายใต้นามว่าสันติบาล เมืองไทยกลายเป็นรัฐตำรวจที่หลวงพิบูลใช้เป็นระบบป้องกันตนเอง

ตั้งแต่พระยาพหลลาออกเป็นครั้งที่สองและหลวงพิบูลก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและผันตนเองไปอยู่ที่วังสวนกุหลาบ เรียกชื่อนำหน้าใหม่ว่าทำเนียบแล้วนั้น มีประกาศให้สถานที่ดังกล่าวและอาณาบริเวณเป็นเขตปลอดทหาร นายทหารผู้ใดจะนำหมวดหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาเดินชักแถวเข้ามากล้ำกราย โดยอ้างว่าไม่ทราบมิได้ ความผิดนั้นบริบูรณ์แล้วต้องมีโทษสถานหนัก กองกำลังที่รักษากฏระเบียบนี้อย่างเคร่งครัดคือตำรวจหน่วยพิเศษ ประกอบด้วยอาวุธทันสมัย และมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างสีดำวาววับติดปืนกลแบรคมันที่ราชการทหารยังไม่มีประจำการหลายคัน จอดอยู่ในที่ตั้งให้ทุกคนเห็นจะได้กลัวเกรง

ท่านนายกรัฐมนตรีมิได้เคยไว้ใจบรรดาเพื่อนนายทหารร่วมรุ่นว่าจะเกิตฟิตขึ้นมางัดข้อกับตนเมื่อไหร่ จึงต้องรอบคอบกันไว้ก่อน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: samun007 ที่ 14 ก.ค. 10, 08:44
รัตกุล เสรีเรืองฤทธิ์ (แหมนามสกุลยาวจริง ๆ )

ต้องเป็น รัตนกุล เสรีเรืองฤทธิ์ ครับ

ขอบพระคุณครับ ตอนแรกก็ว่าจะเขียนเป็น รัตนกุล อยู่เหมือนกันครับ แต่ไ่ม่แน่ใจครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: samun007 ที่ 14 ก.ค. 10, 09:36
ขอขัดจังหวะ อ. NAVARAT.C สักนิดครับ

พอดีไปค้นใน wiki มา เห็นนามสกุลคุณหลวงเขาเขียนว่า "เริงฤทธิ์" ไม่ใช่ "เรืองฤทธิ" น่ะครับ

หลวงเสรีเริงฤทธิ์ (จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 14 ก.ค. 10, 09:42
ใช่ครับผมก็พลาดไปถนัด ตรง เริง กับ เรือง

ขออนุญาตยกกระทู้คุณหลวงเล็กมาให้ดูครับ

๑.  จอมพล  หลวงพิบูลสงคราม  (แปลก  ขิตตะสังคะ)  ขอใช้นามสกุล  พิบูลสงคราม

๒.  นายพลตำรวจตรี  หลวงอดุลเดชจรัส   (อดุล   พึ่งพระคุณ)   ขอใช้นามสกุล อดุลเดชจรัส

๓.   นายนาวาเอก  หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์  (ถวัลย์   ธารีสวัสดิ์)  ขอใช้นามสกุล  ธำรงนาวาสวัสดิ์

๔.  นายพันตรี  หลวงเชวงศักดิ์สงคราม  (ช่วง  ขวัญเชิด)  ขอใช้นามสกุล  เชวงศักดิ์สงคราม

๕    นายพลโท   หลวงพรหมโยธี  (มังกร  ผลโยธิน)  ขอใช้นามสกุล  พรหมโยธี

๖.  นายพลอากาศตรี  พระเวชยันตรังสฤษฏ์  (มุนี  มหาสันทนะ)  ขอใช้นามสกุล  เวชยันตรังสฤษฏ์ 

๗.  นายพันเอก  พระบริภัณฑ์ยุทธกิจ  (เภา  เพียรเลิศ)  ขอใช้นามสกุล  บริภัณฑ์ยุทธกิจ 

๘.  นายพลตรี  หลวงเสรีเริงฤทธิ์  (จรูญ  รัตนกุล)  ขอใช้นามสกุล  เสรีเริงฤทธิ์ 

๙.  หลวงวิจิตรวาทการ  (วิจิตร  วัฒนปฤดา)  ขอใช้นามสกุล  วิจิตรวาทการ 

๑๐.  ขุนสมาหารหิตะคดี   (โป-ระ  โปรคุปต์)  ขอใช้นามสกุล  สมาหาร


๑๗ พ.ย. ๒๔๘๔


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 10:35

หลวงเสรีเริงฤทธิ์ พล.ต.อ.อดุลกล่าวว่าครั้งหนึ่งจอมพล ป.ดำริจะสร้างรถไฟเล็กจากลพบุรีไปโคกกระเทียม สั่งให้รัฐมนตรีคมนาคม คือพลโทจรูญเป็นผู้ดำเนินการ  แต่พลโทจรูญทำบันทึกตอบขัดข้อง จอมพลป.โกรธมากสั่งให้ทำหนังสือลาออก พลโทจรูญก็แต่งจดหมายลาออกเสียหยดย้อย พรรณาคุณความดีของตนและของนายจนเป็นที่สบอารมณ์พระเดชพระคุณ มิอาจจรดปากกาลงนามอนุมัติใบลาออกได้ จึงแทงเรื่องให้รองนายกรัฐมนตรี(พล.ต.อ.อดุล)ออกความเห็น พล.ต.อ.อดุลจึงเขียนลงไปในเรื่องนั้นว่า "บ้า" แล้วเก็บใส่ลิ้นชักดองไว้จนทุกคนแกล้งทำเป็นลืม

แม้ว่าหลวงหลวงอดุลจะได้รับความยอมรับนับถือมากในเรื่องของความตงฉิน แต่ในด้านการเมืองแล้วท่านกระทำทุกอย่างเพื่อเพื่อน อาจจะเป็นด้วยความเจ็บแค้นแทนใจเมื่อหลวงพิบูลถูกนายพุ่มยิงที่ท้องสนามหลวง คราวนั้นน่ะของจริง แม้ว่าจำเลยจะถูกจับกุมและมีการสืบสวนไปถึงผู้ต้องสงสัยจนนำมาส่งฟ้อง ศาลอาญาพิพากษาฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น สั่งจำคุกยาวหลายคน แต่ดูชื่อแล้วท่านผู้ชมก็ร้องเฮ้อด้วยความผิดหวังเพราะแต่ละคนโนเนมทั้งนั้น มีข่าวลือปล่อยมาอีกว่านั่นน่ะแพะ ส่วนแกะใหญ่กว่านั้นสาวไม่ถึง
 
คำให้การของหลวงอดุลในฐานะพยานในคดีอาชญากรสงครามที่จอมพล ป. เป็นจำเลยหลายปีหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ท้าวความว่า มีผู้ทิ้งบัตรสนเท่ห์ถึงหลวงพิบูลว่าหลวงประดิษฐ์และสานุศิษย์เป็นผู้อำนวยการวางแผน หลวงพิบูลชักเชื่อแต่หลวงอดุลชี้แจงว่าตนได้สอบสวนเรื่องนี้โดยละเอียดแล้วว่าไม่เป็นความจริง ตรงกันข้าม หลวงประดิษฐ์ได้มีส่วนช่วยสอบสวนและหาหลักฐานส่งมาให้ตำรวจในฐานะที่ขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย หลวงอดุลแถลงว่าหลังจากฟังตนแล้วรู้สึกว่าความระแวงของหลวงพิบูลต่อหลวงประดิษฐ์จะลดลง แต่จะไปเพิ่มน้ำหนักที่พระยาทรงสุรเดชหรือไม่ ตรงนี้หลวงอดุลไม่ได้แถลงว่าตนได้รายงานอะไรไปบ้าง

คำให้การในยกท้ายๆ หลวงอดุลสรุปว่า ตนรู้เส้นเห็นไส้หลวงพิบูลดีตั้งแต่เป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยว่าเป็นคนมักใหญ่ไฝ่สูง ขี้อิจฉาผู้อื่น ใช้คำว่า เกรงคนอื่นจะได้ดีกว่าตัวเองจนตัวสั่น นิสัยตอนหลังๆมักใช้อำนาจ ถือตนเองเป็นใหญ่ คิดอะไรประสงค์สิ่งใดก็จะเอาให้ได้อย่างนั้น ใครคัดค้านก็จะถือเป็นอารมณ์ขึ้งโกรธ จึงทำให้คนทั่วไปเห็นในแง่ร้ายว่าเป็นนักเผด็จการ จึงพยายามประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกายทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังที่ปรากฏคดีในศาลหลายสำนวนแล้ว  ทำให้ตนมีภาระหนักว่าที่สมัยนายกรัฐมนตรีเป็นคนอื่น

คดีที่ประทุษร้ายหลวงพิบูลที่ถึงโรงถึงศาลนอกจากครั้งที่ถูกนายพุ่มยิงแล้ว ก็มีที่อ้างว่าถูกวางยาพิษ และนายลี บุญตาคนสวนที่บ้านยิงเท่านั้น หลวงอดุลให้การเอาเหตุที่เกิดตอนหลังๆไปไว้ก่อนผลที่ตอนนั้นจัดฉากฆ่าแพะไปหลายตัวหลายปีก่อนหน้า อ่านแล้วทะแม่งๆ


เรื่องบาปที่สองเพื่อนช่วยกันกระทำนี้ ทำให้ความเป็นคนดีของหลวงอดุลถูกตั้งข้อสงสัยมากอยู่ แต่คุณความดีที่พล.ต.อ.อดุลได้กระทำเพื่อชาติสมัยต่อมาเมื่อตัดสินใจอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับจอมพล ป.แล้ว  ทำให้คนไทยไม่ค่อยจะกล่าวถึงมลทินส่วนนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 11:10
ภาพหลักฐานการถูกประทุษร้ายของหลวงพิบูล นอกจากจะรูปที่ถ่ายกับคณะแพทย์และพยาบาลข้างบนแล้ว ก็มีอีกภาพหนึ่งคือภาพนี้ที่ครอบครัวเปิดอัลบั่มเอามาพิมพิ์ในหนังสือประวัติจอมพล ป. เป็นภาพแผลที่ถูกนายพุ่มยิง ตามหลักฐานว่ากระสุนถากแก้มไปทะลุไหปลาร้าโชคดีไม่โดนกระดูก ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดู แผลที่ไหปลาร้าอยู่ทางขวาเห็นอยู่ แต่มุมนั้นไม่มีแผลที่แก้ม อีกภาพหนึ่งมีแผลที่แก้ม มีรอยดำๆคล้ายถูกยาทาอยู่ด้านซ้าย ไม่ปรากฏแผลที่ไหปลาร้า

ตกลงแผลที่แก้มคงไม่ได้เกิดจากกระสุนทะลุ แต่เป็นเพราะล้มลงไปจนหน้าทิ่มกระโถนในรถหรือเปล่านั่น ส่วนคุณป้าจีไปกันใหญ่บอกคุณพ่อโดนหนักมาก รอยกระสุนที่ถากกระโหลกยังเห็นได้ชัดเจนขณะเผาศพ สงสัยว่าถ้ารอยถากที่กระโหลกของท่านมีจริง ก็น่าจะเกิดเพราะเหล็กเขี่ยผีของสับปะเหร่อที่คอยเกลี่ยศพให้โดนไฟไปทั่วๆมั้ง ช่วยกันดูหน่อยครับ ใครเห็นภาพเป็นอื่นกรุณาแย้งด้วย

ส่วนที่ว่าถูกยาพิษไปนอนครวญครางที่โรงพยาบาลกันทั้งบ้านไม่มีรูปให้ดูเป็นหลักฐาน เรื่องนายลี ที่ป้าจีเล่าว่า ไม่รู้ว่าบ้าอะไรขึ้นมา ก่อนเกิดเหตุ ยังไปรับพี่สาวเธอจากโรงเรียนกลับมาบ้านอยู่เลย ดีไม่ทำร้ายเอา กลับไปค้นปืนในรถขึ้นไปยิงคุณพ่อ

ฟังแล้วน่าเชื่อถือจริงจริ๊ง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ก.ค. 10, 11:28
ส่วนคุณป้าจีไปกันใหญ่บอกคุณพ่อโดนหนักมาก รอยกระสุนที่ถากกระโหลกยังเห็นได้ชัดเจนขณะเผาศพ สงสัยว่าถ้ารอยถากที่กระโหลกของท่านมีจริง ก็น่าจะเกิดเพราะเหล็กเขี่ยผีของสับปะเหร่อที่คอยเกลี่ยศพให้โดนไฟไปทั่วๆมั้ง ช่วยกันดูหน่อยครับ ใครเห็นภาพเป็นอื่นกรุณาแย้งด้วย

ส่วนที่ว่าถูกยาพิษไปนอนครวญครางที่โรงพยาบาลกันทั้งบ้านไม่มีรูปให้ดูเป็นหลักฐาน เรื่องนายลี ที่ป้าจีเล่าว่า ไม่รู้ว่าบ้าอะไรขึ้นมา ก่อนเกิดเหตุ ยังไปรับพี่สาวเธอจากโรงเรียนกลับมาบ้านอยู่เลย ดีไม่ทำร้ายเอา กลับไปค้นปืนในรถขึ้นไปยิงคุณพ่อ

ฟังแล้วน่าเชื่อถือจริงจริ๊ง

วาทะป้าจี

จอมพล ป.ในขบวนผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นคนที่ถูกทำร้ายมากที่สุดนะ เป็นคนถูกจ้องทำลายมากที่สุด คุณพ่อถูกวางยา กินข้าวด้วยกันนายพลเยอะแยะ รวมทั้งจอมพลฟื้นด้วย ที่นั่งกินข้าวด้วยกัน คุณพ่อยังถูกวางยา และคุณพ่อถูกยิงอีก ๒ หนที่สนามหลวงเกือบตาย ระยะเผาขนเลย มาอยู่ตรงประตูรถ พอดีก้มลงหยิบกระบี่  ตอนเผาคุณพ่อยังเห็น ข้างหลังกระโหลกยังเป็นรอยกระสุนถากไป อีกหนหนึ่งก็ไอ้ลี (บุญตา) คนสวน ไล่ยิงระยะติด ๆ คุณพ่อกำลังแต่งตัวไปกินข้าวที่สถานทูตอังกฤษ มันเข้าไปยิง คุณพ่อก็วิ่งออกมาห้องพี่ แล้วออกมาอีกห้องหนึ่ง พอดีคุณเผ่าเขาอยู่ข้างล่าง ขึ้นมาล็อกไอ้ลีถึงบันได ดีที่มันยิงไม่ถูกคุณแม่ คุณแม่มาแต่งตัวห้องพี่ โต๊ะเครื่องแป้งยังเป็นรูกระสุนเลย ตอนนั้นลูก ๆ ไม่อยู่บ้าน พี่อยู่โรงเรียนวัฒนา

http://www.thaipost.net/tabloid/280609/6921

เป็นธรรมดา ลูกต้องปกป้องพ่อ

 ;)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 11:37
อ้างถึง
เป็นธรรมดา ลูกต้องปกป้องพ่อ

อึ่ม..จริงด้วยครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: samun007 ที่ 14 ก.ค. 10, 11:38
อีกหนหนึ่งก็ไอ้ลี (บุญตา) คนสวน ไล่ยิงระยะติด ๆ คุณพ่อกำลังแต่งตัวไปกินข้าวที่สถานทูตอังกฤษ มันเข้าไปยิง คุณพ่อก็วิ่งออกมาห้องพี่ แล้วออกมาอีกห้องหนึ่ง พอดีคุณเผ่าเขาอยู่ข้างล่าง ขึ้นมาล็อกไอ้ลีถึงบันได ดีที่มันยิงไม่ถูกคุณแม่ คุณแม่มาแต่งตัวห้องพี่ โต๊ะเครื่องแป้งยังเป็นรูกระสุนเลย ตอนนั้นลูก ๆ ไม่อยู่บ้าน พี่อยู่โรงเรียนวัฒนา[/size]

http://www.thaipost.net/tabloid/280609/6921

เป็นธรรมดา ลูกต้องปกป้องพ่อ

 ;)


น่าสงสัยต่อ นายลีมีปืน แต่ยอมให้จอมพลเผ่าจับตัวได้ง่าย ๆ จัง ???????  ::)

้ถ้าเป็นผม ยิงจอมพลเผ่าให้ดิ้น แล้ววิ่งหนีไปดีกว่า จะอยู่ให้จับทำอะไร


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 11:46
อ้างถึง
จอมพล ป.ในขบวนผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นคนที่ถูกทำร้ายมากที่สุดนะ เป็นคนถูกจ้องทำลายมากที่สุด คุณพ่อถูกวางยา กินข้าวด้วยกันนายพลเยอะแยะ รวมทั้งจอมพลฟื้นด้วย ที่นั่งกินข้าวด้วยกัน คุณพ่อยังถูกวางยา และคุณพ่อถูกยิงอีก ๒ หนที่สนามหลวงเกือบตาย ระยะเผาขนเลย มาอยู่ตรงประตูรถ พอดีก้มลงหยิบกระบี่  ตอนเผาคุณพ่อยังเห็น ข้างหลังกระโหลกยังเป็นรอยกระสุนถากไป อีกหนหนึ่งก็ไอ้ลี (บุญตา) คนสวน ไล่ยิงระยะติด ๆ คุณพ่อกำลังแต่งตัวไปกินข้าวที่สถานทูตอังกฤษ มันเข้าไปยิง คุณพ่อก็วิ่งออกมาห้องพี่ แล้วออกมาอีกห้องหนึ่ง พอดีคุณเผ่าเขาอยู่ข้างล่าง ขึ้นมาล็อกไอ้ลีถึงบันได ดีที่มันยิงไม่ถูกคุณแม่ คุณแม่มาแต่งตัวห้องพี่ โต๊ะเครื่องแป้งยังเป็นรูกระสุนเลย ตอนนั้นลูก ๆ ไม่อยู่บ้าน พี่อยู่โรงเรียนวัฒนา

ความต่อจากบนนั้น

ป้าจีก็รู้จักนายลีเพราะเป็นคนในบ้าน
"มันเป็นคนสวนในบ้าน เป็นคนอุบลฯ วันนั้นนายลีไปรับน้องสาวที่อยู่โรงเรียนประจำด้วยกัน ไปรับยายเล็กกลับบ้าน เคราะห์ดีมันไม่ฆ่า ตกกลางคืนมาไล่ยิงคุณพ่อ"
นายลีโดนยิงเป้า "เขาว่าเวลามันจะตาย มันตะโกนบอกไหนว่าจะช่วยผมไงๆ"
แล้วคิดว่าใครสั่ง "ต้องไปค้นคำสั่งศาล"
เป็นการแย่งอำนาจกันหรือ "พี่ว่าไม่ใช่การแย่งอำนาจ เป็นการตัดคนที่มีอำนาจ"ผู้นำที่ถูกลืม






กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 11:53
หลวงอดุลเริ่มหมั่นไส้เพื่อนรักเมื่อไหร่ ผมขอยกความเห็นท่านมาทั้งแท่งเพื่อไม่ให้ผิดเพี้ยนจากสำนวนของผม ดังนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 12:23
ความหมั่นไส้นายดังกล่าวยังไม่ส่งผลเป็นรูปธรรม พอดีหลวงอดุลเดชจรัสก็ถูกสถานะการณ์บังคับให้ทิ้งฐานันดรศักด์คุณหลวง ถือศักดิดา 800 ตามนโยบายหลวงพิบูลสงครามผู้เป็นนาย ชื่อตัวว่า บัตร พึ่งพระคุณก็มีปัญหาอีก ต้องเติมการันต์ให้วุ่นวายตามรัฐนิยม เปลี่ยนไปเป็นอดุล อดุลเดชจรัสดีกว่า (คงไม่เกี่ยวกับพวกมุสลิมที่ชื่ออับดุล ต้องเปลี่ยนมาเป็นอดุล หรืออดุลย์ กันมากในช่วงนั้น)

พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่คนเก่าในชื่อใหม่ ที่มีทัศนคติใหม่ตรงข้ามกับ พณหัวเจ้าท่าน ที่เขียนย่อๆว่า พณฯ.จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นนายคนเดิม


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 12:35
     INTERMISSION


หมดม้วนหนึ่งพึงรอต่อม้วนสอง ใครจะต้องทำอะไรก็ไปเสีย
 
ม้วนสองฉายจะได้หายวัวเงีย มาช่วยเชียรเสรีไทยให้อึงเอยฯ.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 14 ก.ค. 10, 12:48
(http://www.kananurak.com/webboard/picarea/_kananurakcom1093370346.gif)

ระหว่างรอ เอารูปเสรีไทยคนสุดท้าย นายกระจ่าง ตุลารักษ์ มาให้ดูพลางๆ
ท่านถึงแก่กรรม เมื่อ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ เป็นการปิดฉากเสรีไทย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ก.ค. 10, 13:38
นอกจากชื่อ บัตร บัตร์ อดุล แล้ว ยังปรากฏในเว็บไซต์ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่อีก ๒ ชื่อ

คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๘ ๒๑ ธันวาคม ๒๔๘๐ - ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑
๘. นายพันตำรวจเอก หลวงอดุลเดชจรัส (มิตร พึ่งพระคุณ)  เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย  
http://www.cabinet.thaigov.go.th/cab_08.htm

คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๙ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑ - ๗ มีนาคม ๒๔๘๕  
๘. นายพันตำรวจเอก หลวงอดุลเดชจรัส (มิ่ง พึ่งพระคุณ)  เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย  
http://www.cabinet.thaigov.go.th/cab_09.htm

ชื่อ มิตร และ มิ่ง มาจากไหนหนอ

 ???


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 14 ก.ค. 10, 14:16
แอบย่องเข้าชั้นเรียนตอนพักนี่แหละครับ  :)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 14 ก.ค. 10, 15:46
นอกจากชื่อ บัตร บัตร์ อดุล แล้ว ยังปรากฏในเว็บไซต์ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่อีก ๒ ชื่อ

คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๘ ๒๑ ธันวาคม ๒๔๘๐ - ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑
๘. นายพันตำรวจเอก หลวงอดุลเดชจรัส (มิตร พึ่งพระคุณ)  เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 
http://www.cabinet.thaigov.go.th/cab_08.htm

คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๙ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑ - ๗ มีนาคม ๒๔๘๕   
๘. นายพันตำรวจเอก หลวงอดุลเดชจรัส (มิ่ง พึ่งพระคุณ)  เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 
http://www.cabinet.thaigov.go.th/cab_09.htm

ชื่อ มิตร และ มิ่ง มาจากไหนหนอ

 ???
เป็นการพิมพ์ผิดขั้นสุดยอดของคนพิมพ์ลงเวปไซต์??
จาก บัตร  อ่านลายมือไม่ดี กลายเป็น มิตร  พอเข้าใจได้   แต่จากมิตรเป็นมิ่ง  เหนือจินตนาการเจงๆ

มาลงชื่อขอนั่งแถวหลัง        ไม่ห่างจากคุณจุดจุดจุด ครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 14 ก.ค. 10, 17:19
เข้ามาเช็คชื่อเข้าห้องก่อนค่ะ เดี๋ยวไปตามไล่อ่านตั้งแต่หน้า 2 ...
ทันทีที่ถึงเมืองไทย และยังอยู่ใน กทม สิ่งแรกๆที่ทำคือเปิดเน็ต เข้าเวปเรือนไทยเลยค่ะ
สงสัยอาจารย์ทุกท่านมียาดีนะคะ ทำเอานักเรียนแต่ละคนไม่ยอมขาดเรียนกันเลย.. ;D

แต่พรุ่งนี้ต้องยื่นใบลาต่ออีกระยะ เพราะไปตจว...ไม่ได้หนีเรียนนะคะ  กลับเข้า กทม เมื่อไหร่
จะรีบเข้าห้องเรียนชดเชยทันทีค่ะ กลัวอาจารย์หักคะแนนความประพฤติ   :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 18:44
^

อ้างถึง
กลัวอาจารย์หักคะแนนความประพฤติ

โอ้ โห อารายกานขนาดน้าน
???


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 19:20
ก่อนจะเริ่มม้วน2 ผมของเรียนให้ทราบว่าผมได้อ่านหนังสือที่เขียนบันทึกประวัติและถึงคุณงามความดีของท่านจอมพล ป. ที่เขียนโดย อ. พิบูลสงครามลูกชายคนโตของท่านเอง และหนังสือบันทึกการสัมนา เรื่องของท่านที่จัดขึ้นทีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเชิญลูกหลานของท่านและผู้ทรงคุณวุฒินับสิบมาแสดงทัศนะต่อนักศึกษาและผู้สนใจอื่นๆ ผมได้เนื้อหาทางฝ่ายจอมพล ป. เอามาประกอบการเขียนในประเด็นที่ผมตั้งหัวเรื่องไว้ ไม่ได้หมายจะมาชูใครหรือย่ำใคร แต่เพื่อคลี่คลายความสงสัยว่า อะไรที่ทำให้เพื่อนซี้ต้องกลับเคืองกันขนาดไม่มองหน้า ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวผมก็จะไม่แตะต้องหรอก แต่ทั้งคู่เป็นบุคคลสาธารณะและเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ของชาติให้ผมเรียน  ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์และมีความชอบธรรมตราบเท่าที่ผมไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง(ที่ผมเข้าใจ)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ก.ค. 10, 19:22
เล่มนี้ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ-ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์-วิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์ เป็นบรรณาธิการ

กูรูตัวจริงเสียงจริงทั้งนั้น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: dotdotdot ที่ 14 ก.ค. 10, 21:05


มาลงชื่อขอนั่งแถวหลัง        ไม่ห่างจากคุณจุดจุดจุด ครับ

แถวหลังนี้ แอร์ เย็นสบายครับถ้าอาจารย์ไม่เรียกให้ยืนขึ้นตอบคำถาม


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ก.ค. 10, 07:30
ท่านผู้อ่านที่รอลุ้นม้วนสองอยู่ ขอให้อดใจรอหน่อยนะครับ INTERMISSIONอาจจะนาน

ท่านอาจารย์ใหญ่ยังจ้ำเรือจ้างกวดมาไม่ถึง ต้องรอท่านนิดเพราะท่านจะมีอะไรดีๆใส่เรือจ้างของท่านมาเพียบ

ขืนผมจะตะบึงเรือหางยาวของผมไป จะขาดรสชาด
ลืมอะไรในช่วงที่สองเกลอยังเป็นคุณหลวงไปบ้าง

เดี๋ยวจะไม่เอร็ดอร่อยเท่าที่ควร


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 15 ก.ค. 10, 08:07
มาจองที่นั่งแถวหน้า กลัวครูจะจำไม่ได้ แอบนั่งด้านหลังมานาน  :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ก.ค. 10, 09:05
^

ยินดีที่ได้พบกันอีกครับ

ระหว่างนี้คุณหมอช่วยกรุณาเชิญคุณหลวงทั้งสองไปตรวจสุขภาพจิตพลางๆก่อน เอาอย่างละเอียดเลยครับ

อาจจะมีการขอรายงานแพทย์ในกระทู้นี้อีกก็ได้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ก.ค. 10, 09:19
ระหว่างรอเปิดม่านตอนที่สอง ขอนำบทความจาก  ต่วยตูน พ.ศ. ๒๕๔๕ มาเสนอ

จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นอาชญากรสงคราม โดย ท่านผู้หญิง ละเอียด พิบูลสงคราม

หลังจากสงครามมหาเอเซียบูรพายุติลงและญี่ปุ่นเป็นผู้แพ้สงคราม จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ได้ตกเป็นผู้ต้องโทษ เพราะดำเนินนโยบายรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับญี่ปุ่น เพื่อความอยู่รอดและเพื่อเอกราชของชาติไทย ในระหว่างสงคราม

ความผันผวนของชีวิตจอมพล ป. ในช่วงหลังสงคราม ท่านผู้หญิง ละเอียด พิบูลสงคราม ได้เขียน "บันทึกความทรงจำ "ให้หนังสือ เบื้องแรกประชาธิปไตย ของสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยไว้ว่า

เมื่อเสร็จสงครามแล้ว ดิฉันยังจำเหตุการณ์ตอนที่ท่านจอมพลถูกรัฐบาลในขณะนั้นตั้งข้อหาว่าเป็นอาชญากรสงครามหมายเลขหนึ่ง นับว่าเป็นโทษขั้นหนักที่สุดสำหรับประเทศ หนังสือพิมพ์ทุกฉบับได้ลงข่าวกันอย่างครึกโครม

ความรู้สึกของท่านจอมพลในขณะนั้น ดิฉันรู้สึกว่าท่านชินชามาก ทั้งนี้ เพราะทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ และก่อนหน้านั้นก็มีพรรคพวกมาเตือนมาบอกให้รู้ตัวอยู่เสมอ ๆ แต่ท่านก็มิได้พูดว่ากระไร รู้สึกว่าท่านรู้ชะตากรรมของท่านดี

วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันที่เจ้าหน้าที่มาเชิญตัวท่านไปควบคุมในฐานะเป็นผู้ต้องหานั้นพวกเราทุกคนทราบล่วงหน้ากันหมดแล้ว เวลานั้นครอบครัวของเราพักอยู่ที่บ้านหลักสี่ ประมาณตีสี่ วันที่ท่านจะถูกควบคุมตัวเป็นผู้ต้องหาฉกรรจ์ มีนายทหารบกประมาณ ๔ - ๕ คนมาที่บ้าน ร้อยเอก อนันต์ พิบูลสงคราม ลูกชาย เป็นคนเปิดประตูรับนายทหารให้เข้ามาในบ้าน แล้วบอกว่า

"ขอเวลาหน่อยนะ คุณพ่อยังไม่ตื่น รอให้ท่านตื่นก่อนเถอะ แล้วค่อยเอาตัวไป"

ซึ่งนายทหารนั้นก็ยินยอมเป็นอย่างดี เมื่อจอมพลตื่นขึ้นมาทราบเข้า ท่านก็ถามว่า

"อ้อ...เขามากันแล้วหรือ พ่อก็พร้อมแล้วเหมือนกัน"

นายทหารบกคนที่มาเชิญตัวท่านนั้นชื่อ พ.ท. จำรัส รุ่งแสง ได้คุกเข่ากราบท่านและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอว่า "ผมทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น" ซึ่งท่านก็เข้าใจและไม่ได้กล่าวอะไรอีกจนคำเดียว ก่อนฟ้าสางในตอนเช้าวันนั้นเอง ท่านก็ออกจากบ้าน จากลูกจากเมียไป โดยมี ประสงค์ พิบูลสงคราม ลูกชายคนที่สองขับรถให้คุณพ่อด้วย

ระหว่างนั้นได้มีผู้มาแสดงความเสียใจกับดิฉันเป็นจำนวนมาก มีทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ ดิฉันรู้สึกในขณะนั้นว่า ชาวต่างประเทศบางคนเสียอีกที่เข้าใจอะไร ๆ ในบ้านเมืองเราดีเสียกว่าคนในประเทศไทย

นับเป็นภาวะที่ครอบครัวของเราลำบากมากทีเดียว ระหว่างที่ท่านจอมพลอยู่ในที่คุมขังในฐานะอาชญากรสงคราม ดิฉันถึงต้องขายของเก่ากิน มีอะไรก็ขายไป พอเช้าขึ้นเจ๊กก็มาถามว่ามีอะไรจะขายให้บ้าง ดิฉันก็จัดการขายไปเรื่อย ๆ คิดเสียว่าสมบัตินอกกายไม่ตายหาใหม่ได้ ก็เก็บขายเรื่อยไป นอกจากเครื่องเพชรมีค่าชิ้นหนึ่งที่ไม่ได้ขาย แต่เอาไปไว้กับธนาคาร และได้บอกให้เช่าบ้านที่หลักสี่แก่บริษัทการบิน KLM ในราคา ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน นับว่าเป็นราคาสูงทีเดียวสำหรับสมัยนั้น

ในตอนนี้เองที่ดิฉันได้ตระหนักดีถึงชีวิตของเมียนักการเมืองว่า บางครั้งก็ต้องลำบากระเหเร่ร่อนไปเมื่อสามีเกิดปัญหาทางการเมืองขึ้นมา ชีวิตต้องขึ้น ๆลง ๆไม่ราบรื่นเช่นคนอื่น อย่างไรก็ดี ท่านจอมพลมักจะสอนลูกหลานไว้เสมอว่า ท่านเป็นนักการเมืองที่บริสุทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติเพื่อบ้านเมือง แม้จะต้องมีอันเป็นไปอย่างไรก็ตาม ลูกหลานของท่านทุกคนจะสามารถเดินเหินอยู่บนถนนเมืองไทยได้อย่างมีเกียรติมีหน้าตามีตา และท่านเชื่อเสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหรือที่ทำไปนั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเพื่อประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

ในการที่ท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้พ้นจากโทษอาชญากรสงครามนั้น ดิฉันมีความรู้สึกว่าได้รับความกรุณาช่วยเหลือจากมิตรสหาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งที่ให้การเป็นประโยชน์ในศาลและช่วยเหลือทั้งทางตรงและทางอ้อม นอจากนั้นก็ได้ท่านผู้มีชื่อ คือ พระมนูภาณวิมลศาสตร์ ได้กรุณารับเป็นทนายความให้ ดิฉันขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย และอีกผู้หนึ่งที่ให้การเป็นประโยชน์แก่ท่านจอมพล คิดดูให้ซึ้งจะแปลกหรือเปล่าว่าท่านผู้นั้นคือ นายพล อาเคโตะ นากามูระ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นหน่วยงิ ประจำประเทศไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านเขียนบทความในหนังสือชื่อ " ผู้บัญขาการชาวพุทธ  บันทึกผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ " แปลโดย เออิจิ มูราชิมา และ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ มีใจความว่า

ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเมื่อตอนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๙ ผู้พิพากษาศาลฎีกาคือพระมนูภาณวิมลศาสตร์ได้ลาออกจากตำแหน่งราชการ และได้มาเป็นทนายความแก้ต่างให้กับจอมพล ป.พิบูลสงคราม หลังจากนั้นต่อมาอีกไม่นาน จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ติดต่อผ่านสถานเอกอัครราชฑูตญี่ปุ่นอย่างไม่เป็นทางการ ขอให้ผู้บัญชาการนากามูระมาเป็นพยานให้ด้วย ข้าพเจ้าตอบว่ายินดีที่จะเป็นพยานให้ แต่ต้องขออนุญาตผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษก่อน ต่อมาอีกสองสามวันได้รับคำตอบจากผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษว่าไม่ขัดข้อง ดังนั้นในวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ กำหนดว่าเป็นวันให้การ วันนั้นข้าพเจ้าไปรายงานตัวที่ห้องข่าวสารของกองทัพอังกฤษและให้ปากคำกับพระมนูภาณวิมลศาสตร์ ซึ่งมีอดีตเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาและปัจจุบันเป็นทนายความของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ทั้งนี้ มีนายทหารอังกฤษนั่งฟังอยู่ด้วย

เขาถามว่า  "จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เข้าร่วมกับญี่ปุ่นบุกเข้าไปในพม่าผ่านรัฐฉาน ข้อนี้มีสถานการณ์ความเป็นจริงในขณะนั้นอย่างไร"

ตอบว่า  "เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง กองทหารไทยเข้าไปรักษาภาคเหนือของรัฐฉานด้วยกำลังเพียงเล็กน้อย เป็นการเรียกร้องของกองทัพญี่ปุ่น กองทหารไทยไม่เคยบุกเข้าไปในประเทศจีนและประเทศพม่าด้วยตนเอง ความต้องการของกองทัพญี่ปุ่นในขณะนั้น คือต้องการให้กองทัพไทยปฏิบัติอย่างแข็งขันต่อรัฐบาลจุงกิง ข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่กองทัพไทยไม่เคยข้ามชายแดนไปเลย"

ถามว่า  "เหตุการณ์ที่ระนอง เป็นอย่างไรบ้าง"

ตอบว่า  "เหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องเคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เกิดขึ้นในช่วงของการเปลี่ยนรัฐบาลจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม มาเป็นนายควง อภัยวงศ์ และกองกำลังส่วนหนึ่งซึ่งสังกัดกองทัพมลายูของญี่ปุ่น กองกำลังนั้นอยู่ติดกับกองทัพของข้าพเจ้าซึ่งไม่ทราบสถานการณ์อย่างแน่ชัดในขณะนั้น เป็นผู้ก่อเหตุการณ์ขึ้น เป็นการปฏิบัติที่ผิดพลาด และน่าเสียใจอย่างมาก ในตอนนั้น ข้าพเจ้าในฐานะเป็นผู้แทนของ พล.ท.อิชิคูโระ ผู้บัญชาการกองทัพมลายู ได้กล่าวขอขมาต่อฝ่ายไทย และเป็นผู้นำคำขออภัยของรัฐมนตรีกลาโหม หัวหน้าเสนาธิการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการกองทัพใหญ่จอมพลเทราอูจิ ไปมอบให้กับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีควง และรัฐมนตรีกลาโหม พล.ร.อ. สินธุ์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม"

ถามว่า  "จอมพล ป. พิบูลสงครามให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่และสม่ำเสมอกับฝ่ายญี่ปุ่นหรือไม่"

ตอบว่า  "ประเทศญี่ปุ่นและไทยเป็นสัมพันธมิตรกัน จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นนักการเมืองที่น่านับถือยกย่อง ท่านได้ให้ความร่วมมือตามการเรียกร้องของทหารญี่ปุ่น ภายใต้ขอบเขตที่จำเป็นตามหลักของสัมพันธมิตร ท่านได้แสดงให้เห็นอย่างองอาจว่าจะไม่ปฏิบัติเรื่องใด ๆ ที่กระทบกระเทือนต่อเอกราชและศักดิ์ศรีของประเทศไทย"

ถามว่า  "ถ้าเช่นนั้น มีอะไรเป็นตัวอย่างบ้าง"

ตอบว่า "เรื่องเอกอัครราชทูตทสุโบกามิ ขอร้องให้เขาไปเข้าร่วมประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเซียบูรพาถึง ๓ - ๔ ครั้ง ข้าพเจ้าไปพร้อมกับเอกอัครราชทูตด้วยอีก ๒ ครั้ง แต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ตอบปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง"

ถามว่า "มีตัวอย่างอื่น ๆ อีกหรือไม่"

ตอบว่า  "จอมพล ป.พบูลสงคราม ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เพชรบูรณ์ เมื่อพิจารณาสถานการณ์ทั่วไปของสงครามมหาเอเซียบูรพาแล้วการเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่เป็นการขัดกับข้อเรียกร้องของฝ่ายญี่ปุ่น ในขณะนั้น ซึ่งต้องการวัสดุก่อสร้างจำนวนมาก เพื่อไปสร้างและซ่อมถนน ท่านไม่ได้ให้ความร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นอย่างแข็งขันเลย คือ ไม่ได้ยุติการก่อสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ ข้าพเจ้าสามารถบอกเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน และมีความเชื่อมันในข้อเท็จจริงที่ว่า

ข้อที่หนึ่ง  การที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เข้าร่วมเป็นสัมพันธมิตรกับญี่ปุ่นเพราะว่าท่านรักเมืองไทย ท่านพยายามรักษาเอกราชของเมืองไทยและท่านไม่มีเจตนาที่จะสู้รบกับฝ่ายสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ

ข้อที่สอง  จอมพล ป.พิบูลสงคราม ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกองทัพญี่ปุ่นนั้น เฉพาะภายในขอบเขตหน้าที่ซึ่งต้องปฏิบัติในฐานะเป็นกองทัพสัมพันธมิตร และเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารญี่ปุ่นปฏิบัติแบบที่อยู่ในประเทศอินโดจีน - ฝรั่งเศส ข้อนี้ขึ้นกับความสามารถของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นสำคัญ นี่คือการตัดสินใจอย่างแน่วแน่และเป็นการปฏิบัติของผู้ที่รักชาติ ท่านเป็นบุคคลที่คนไทยน่าจะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ สรุปแล้ว จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้รักชาติอันดับหนึ่งของเมืองไทย และต้องมารับเคราะห์กรรมถูกนินทาว่าร้ายจากฝ่ายสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ โดยลำพังเพียงคนเดียว ท่านไม่สู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นเพื่อช่วยรักษาสภาพประเทศไทยไม่ให้ถูกเผาทำลาย สามารถรักษาเอกราชของไทยมาได้จนถึงทุกวันนี้ ท่านเป็นปูชนียบุคคลและเป็นผู้ที่สามารถรู้แนวโน้มของสถานการณ์ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรักษาเอกราชของไทย"

การให้ปากคำของข้าพเจ้ามีเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าจับมือกับพระมนูภาณฯ อย่างหนักแน่น และท่านได้ลากลับไป หลังจากนั้นอีกไม่นาน ศาลฎีกาได้มีคำตัดสินว่าการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามนั้นขัดกับกฏหมายรัฐธรรมนูญของไทย จอมพล ป.พิบูลสงคราม และคณะทุกคนได้รับการปลดปล่อย และพวกข้าพเจ้าได้ฉลองและดื่มสุราแสดงความยินดีกับพวกเขาในครั้งนั้นด้วย

ท่านจอมพลได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับครอบครัวชั่วระยะหนึ่ง โชคชะตาก็ได้นำให้ท่านกลับเข้ามาทำงานให้แก่ชาติบ้านเมืองอีกครั้งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๐

จากหนังสือ ความนึกในทรงจำของคุณสังข์ พัธโนทัย ตอนหนึ่งเขียนว่า

"วันหนึ่ง ๆ ตำรวจจะเปิดประตูกรงให้นาน ๆ ก็เฉพาะเวลารับประทานอาหาร ท่านผู้หญิงอุตส่าห์มาส่งข้าวถึงวันละ ๓ เวลา ท่านจอมพลขอร้องให้ลดลงเหลือวันละ ๒ เวลา ก็ไม่ยอม ทางตำรวจกรุณาอนุญาตให้ท่านผู้หญิงขึ้นมาพบท่านจอมพลได้ห่างๆ แต่คุยอะไรกันไม่ได้ นอกจากจะพูดกับตำรวจที่ควบคุมอยู่นั้น กิจวัตรของท่านผู้หญิงที่ตรึงใจฉันมากคือ เมื่อมาถึง หรือขากลับ ท่านผู้หญิงจะขออนุญาตตำรวจเข้าไปกราบเท้าสามีทุกครั้ง ไม่ว่าเช้า กลางวัน หรือเย็น ท่านผู้หญิงเคยพูดกับฉันมานานแล้วครั้งหนึ่งว่าท่านถือว่าการเคารพบูชาสามีเป็นมงคลของหญิง เมื่อได้มาเห็นการปฏิบัติของท่านเช่นนี้ ก็นึกนิยมยินดีอยู่เป็นอันมาก"


  


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ก.ค. 10, 10:23
อ้างถึง
การให้ปากคำของข้าพเจ้ามีเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าจับมือกับพระมนูภาณฯ อย่างหนักแน่น และท่านได้ลากลับไป หลังจากนั้นอีกไม่นาน ศาลฎีกาได้มีคำตัดสินว่าการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามนั้นขัดกับกฏหมายรัฐธรรมนูญของไทย จอมพล ป.พิบูลสงคราม และคณะทุกคนได้รับการปลดปล่อย และพวกข้าพเจ้าได้ฉลองและดื่มสุราแสดงความยินดีกับพวกเขาในครั้งนั้นด้วย

ไหนๆก็ไหนๆ เอาตอนจบมาฉายเป็นหนังตัวอย่างเรียกน้ำย่อยบ้างก็จะเป็นอะไรมี

การที่จอมพล ป.ต้องขึ้นศาลเป็นอาชญากรสงครามก็เพราะเป็นความต้องการของฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลก็จำเป็นต้องว่าไปตามบท แต่การที่ในที่สุดแล้วจอมพล ป.ได้หลุดคดีง่ายๆ ก็เพราะการวางแผนที่ลึกล้ำของนายปรีดีนักกฏหมายชั้นศาสตราจารย์ ที่ดึงเกมให้ล่าช้า โดยอ้างว่า ไทยไม่มีกฏหมายนี้ จำเป็นต้องร่างและประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาก่อน กว่าจะร่างเสร็จ กว่าจะผ่านสภา กว่าจะเบิกพยานมาให้การแต่ละปาก เวลาล่วงเลยไปหลายปีจนอุณหภูมิสงครามเย็นลง และไทยจ่ายเบี้ยปรับไปจนอังกฤษไม่ติดใจแล้ว จึงให้มีการตีความกันว่า กฏหมายอาชญากรสงครามเป็นกฏหมายที่เพิ่งจะประกาศใช้ จะบังคับต่อผู้กระทำความผิดย้อนหลังได้หรือไม่ แน่นอน100%อยู่แล้วที่ศาลฎีกาจะตัดสินว่าไม่ จอมพล ป.ก็ได้ออกจากคุก

ถ้าเขาจะเอาให้ตาย ตอนนั้นเขาใช้ศาลทหาร หรือศาลพิเศษที่จอมพล ป.ชอบใช้ไม่ดีกว่าหรือ นั่นน่ะได้เห็นศพแน่
แต่จอมพล ป.ก็ออกมาล้างบางคู่แข่ง กลับไปเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเป็นสมัยที่2
 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ก.ค. 10, 10:48
นายพล อาเคโตะ นากามูระ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นหน่วยยิง ประจำประเทศไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านเขียนบทความในหนังสือชื่อ " ผู้บัญขาการชาวพุทธ  บันทึกผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ " แปลโดย เออิจิ มูราชิมา และ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์

หนังสือเล่มชื่อว่า "ผู้บัญชาการชาวพุทธ ความทรงจำของนายพลนากามูระเกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา"

http://www.taharn.net/warmachine/48j26a.html

มีเนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับจอมพล ป. รวมทั้งพล.ต.อ. อดุล นายควง และนายปรีดี

พันเอก ธงชัย รอดย้อย สรุปตอนนี้ไว้ว่า


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 15 ก.ค. 10, 11:36
หนังสือเล่มชื่อว่า "ผู้บัญชาการชาวพุทธ ความทรงจำของนายพลนากามูระเกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา"

มาสารภาพอีกแล้วว่า มีหนังสือเล่มนี้และอ่าน ๒ รอบ แต่จำอะไรไม่ได้เลย
ตอนนี้ไม่รู้ซุกอยู่ในลังไหนแล้วด้วยครับ  :'(


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 15 ก.ค. 10, 11:49
ขอความกรุณาขอข้อมูลเกี่ยวกับท่านผู้หญิงนิดนึง ครับ คือท่านผู้หญิงฯท่านแต่งเนื้อเพลงไว้หลายเพลง แต่งกลอนก็มี ท่านทินกร น้องท่าน ก็เก่งทางด้านนี้ สกุลของท่านถ้าผมจำไม่ผิดคือ "พันธ์กวี" สกุลนี้มีความสัมพันธ์ กับกวีท่านใดหรือไม่ครับผม
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 10, 13:31
งานเข้า ๒ งานพร้อมกัน
งานเข้าอย่างแรกคืองานเข้าจริงๆค่ะ  มีงานด่วนนอกเรือนไทยเข้ามา ในสัปดาห์นี้   
งานเข้าอย่างที่สอง คือท่านกูรูใหญ่กว่า เปิดห้องรับนักเรียนเข้ามานั่งเต็มชั้นแล้ว  แล้วประกาศอินเทอมิชชั่น  เล่าตอนจบเอาดื้อๆ
นักเรียนก็ละล้าละลัง   จะขอค่าลงทะเบียนคืนกันอลหม่าน

จึงขอเข้ามาเล่าเรื่องย้อนไปตอนต้นละกัน     คอร์สนี้ครีเอทอยู่แล้ว  เล่าตอนจบก่อนแล้วค่อยปูพื้นกลับไปตอนต้นก็ได้

ดูจากชื่อกระทู้   ก็ใคร่ขอเชิญให้วาดภาพคุณธรรมน้ำมิตรระหว่างลูกผู้ชายที่ยาวนานมาตั้งแต่ยังเยาว์   ไปมาหาสู่เหมือนญาติ    มีเงินก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้   ตามประสาหนุ่มวัยรุ่นเมื่อค่อนศตวรรษก่อน
เมื่อคุณหลวงพิบูลยังเป็นทหารหนุ่ม  เงินเดือนน้อย   เริ่มต้นชีวิตครอบครัวอย่างทหารชั้นไม่ใหญ่โตอะไรนัก     บ้านของท่าน เพื่อนชื่อหลวงอดุลก็ไปพักอาศัยอยู่    นอนอยู่ชั้นบน   คุณนายสาวของหลวงพิบูลไกวเปลกล่อมลูกอยู่ชั้นล่าง  ทำกับข้าวให้กินพร้อมสามีทุกมื้อ
ก็อยู่กันมาได้ราบรื่น   ถูกอัธยาศัยกันดี

หลวงพิบูลกับหลวงอดุลเป็นเพื่อนรักกันมากไหม   บอกได้ว่า ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน น่าจะมากกว่าเพื่อนคนไหนทั้งหมดในวัยหนุ่มของท่านทั้งสอง     เมื่อคุณหลวงพิบูลได้ดิบได้ดีเป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง   คุณหลวงอดุลก็อยู่เคียงข้าง
หลวงพิบูลปูทางอนาคตเพื่อนจากทหาร โอนไปเป็นตำรวจเพื่อจะได้เป็นเพื่อนคู่ใจของท่าน  เราก็พอมองเห็น    เพราะผู้นำที่ต้องการรักษาอำนาจไว้ให้ได้ ท่ามกลางการเมืองที่พลิกผัน    จะขาดมือขวาสีกากีเสียมิได้
ตำรวจสำคัญอย่างไร  เดี๋ยวจะเข้ามาอธิบายค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ก.ค. 10, 13:42
ตอบคุณมานิตครับ

พันธุ์กระวี  ครับ บรรพบุรุษของท่านคงจะเป็นกวีจริงๆนั่นแหละ ท่านจึงชอบแต่งร้อยแก้วร้อยกรองอะไรๆอยู่ แต่หนังสือเล่มใหญ่ที่คุณอำนวยเขียนถึงพ่อ ไม่มีเรื่องประวัติของแม่เลย มีแต่กวีนิพนธ์ที่ท่านประพันธ์เป็นโคลงสี่สุภาพหลายสิบบท พรรณาถึงช่วงที่จอมพล ป.กำลังจากโลกไปในตอนท้ายเรื่อง ผมเอาบทสุดท้ายที่คิดว่ากินใจที่สุดมาให้อ่านก็แล้วกัน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ก.ค. 10, 13:48
อ้างถึง
ท่านกูรูใหญ่กว่า เปิดห้องรับนักเรียนเข้ามานั่งเต็มชั้นแล้ว  แล้วประกาศอินเทอมิชชั่น  เล่าตอนจบเอาดื้อๆ
นักเรียนก็ละล้าละลัง   จะขอค่าลงทะเบียนคืนกันอลหม่าน

บ๊ะแห็ลว....ผมเผลอไปเอาตอนจบว่าพระเอกตายมาเผยอีกแล้ว
เดี๋ยวโรงเรียนของครูใหญ่เจ้งไป เพราะพวกพวกท่านรู้ไต๋แล้วแห่ไปขอค่าลงทะเบียนคืน ผมต้องแย่แน่ๆ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 10, 14:08
สำหรับชาวบ้านอย่างเราๆ  เมื่อนึกถึงคำว่าตำรวจ อาจนึกถึงผู้มีหน้าที่จับกุมคนร้าย   ทำให้เราอยากเล่นโปลิศจับขโมยมาแต่เด็ก ๆ มันสนุกดี   แต่สำหรับผู้มีอำนาจ ตำรวจมีความหมายกว้างกว่านั้น   เพราะรวมการสืบสวนลับ สอบสวนลับ และปราบปรามลับ ที่อาชีพอื่นทำไม่ได้  คนทำได้จะต้องถูกฝึกฝนมาตามสายงานเป็นอย่างดี
ในอดีตเช่นกัน  ผู้นำเผด็จการในยุโรป มักสถาปนารัฐตำรวจควบคู่กันไปด้วย  คือมีตำรวจสอดส่องอาณาประชาราษฎร์มิได้กระดิกกระเดี้ยนอกอำเภอใจของท่านผู้นำไปได้      ท่านสั่งหันซ้ายหันขวาไปทางไหนก็ต้องไปทางนั้น  เพื่อจะได้เป็นสุขตามสุขแบบที่ท่านเห็นชอบ  อย่าไปสุขออกนอกลู่นอกทาง
มือขวาของผู้นำเหล่านี้จึงมักจะเป็นตำรวจที่ไว้ใจได้ของท่านผู้นำ    ถ้าผู้มีอำนาจคนไหนละเลยต่อฝีมือตำรวจ ก็อาจจะพลาดท่า เกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้นในบ้านเมืองง่ายๆ

ในกระทู้พระยาทรงสุรเดช ได้เล่าเรื่องนี้ไว้สั้นๆแล้วว่าก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ข่าวปฏิวัติไม่ได้เงียบเชียบจนฝ่าย"เจ้านาย" ไม่กระโตกกระตากเรื่องนี้  ตรงกันข้าม  ข่าวการเคลื่อนไหวของคณะราษฎร์ เล็ดรอดไปถึงอธิบดีตำรวจ   พระยาอธิกรณ์ประกาศถึงขั้นร่างหมายจับกลุ่มผู้ก่อการ 4 คน คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม ร.ท. ประยูร ภมรมนตรีและ นายตั้ว ลพานุกรม เอาไว้เรียบร้อย
อย่างไรก็ตามเมื่อพระยาอธิกรณ์ประกาศนำเรื่องเข้าทูลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็ถูกระงับเรื่องไว้ก่อน เนื่องจากไม่ทรงเห็นว่าน่าจะเป็นอันตราย และทรงสั่งให้ทำการสืบสวนให้ชัดเจนก่อน   เพราะทรงเชื่อในเกียรติของทหารว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้

สรศัลย์ แพ่งสภา เล่าว่า

“เมื่อ พลตำรวจตรี พระยาอธิกรณ์ ประกาศกราบทูลรายงานแด่ จอมพล สมเด็จกรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เรื่องคณะบุคคลคิดการร้าย พร้อมทั้งถวายรายชื่อระดับหัวหน้า เสนาบดีทรงพระสรวล รับสั่งว่า พวกนี้มัน ขเด็ทเยอรมัน (สังคมนายร้อยยุคเก่าที่เรียนจบจากเยอรมนีเรียกขานกัน) รุ่นหลังฉันทั้งนั้น ตาพจน์(พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา) ก็รู้จักใกล้ชิดแกจะคิดยังงั้นได้ยังไง ซ้ำเคยเป็นราชองครักษ์ตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.7) ครั้งเสด็จประพาสชวาด้วย นายเทพ (พันเอก พระยาทรงสุรเดช) นี่จะเอามาเป็นนายทหารประจำตัวฉันอยู่แล้ว ประยูรนี่ก็ลูกครูแย้ม มหาดเล็กพระมงกุฎที่ท่านทรงฝากเข้าโรงเรียนนายร้อยด้วยพระองค์เองนี่นา”  

ผลจากความไว้เนื้อเชื่อพระทัย การปฏิวัติครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นมา    วันที่พระประศาสตร์พิทยายุทธ์และร้อยโทประยูร ภมรมนตรีไปควบคุมตัวสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯออกมาจากวังบางขุนพรหมเพื่อไปคุมขังไว้เป็นตัวประกัน     พระยาอธิกรณ์ประกาศก็อยู่ที่นั้นด้วย   ท่านทำท่าจะไม่ยอม แต่เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ทรงห้ามคนของท่านทั้งหมดมิให้ใช้อาวุธ   เดี๋ยวจะนองเลือดไทยด้วยกันขึ้นมา
พระประศาสตร์ฯจึงทำการได้สำเร็จ  
ส่วนผลข้างเคียงคือพระยาอธิกรณ์ประกาศ ก็ถูก "เช็คบิลล์" ครั้งใหญ่ ถึงขั้นถูกพักและปลดออกจากราชการหลังคณะราษฎร์ยึดการปกครองได้ไม่ถึงเดือน
แต่ก็ยังดีที่เป็นการปลดแบบมีบำเหน็จบำนาญ  ท่านจึงใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับบ้าน ท่ามกลางข่าวลือว่าท่านจะร่วมมือกับ"เจ้า" ปฏิวัติกลับ   แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นดังข่าวลือ   ท่านอยู่บ้านอย่างสงบ จนถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. ๒๔๙๘
พระยาอธิกรณ์ประกาศมีบุตรหลายคน   หนึ่งในจำนวนนั้นชื่อคุณไกรศรี  เราอาจไม่ค่อยเคยได้ยินชื่อคุณไกรศรีต่อสาธารณชนมากนัก   แต่บุตรของคุณไกรศรี คงไม่มีใครในชั้นเรียนกระทู้นี้ที่ไม่รู้จัก   เขาชื่อคุณกรณ์ จาติกวณิช


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 10, 14:33
ขอเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์วันเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกครั้ง  เพื่อจะนำเข้าสู่เรื่องของสองคุณหลวง ตามหัวข้อกระทู้
จากอัตชีวประวัติของพลโท ประยูร ภมรมนตรี  เล่าไว้ในเว็บโอเคเนชั่น

เวลา 08.00 น. วันที่ 24 มิ.ย. หลวงพิบูลสงครามและคณะ ได้นำจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์...มาในรถถัง ส่งให้ที่หน้าประตูพระที่นั่งอนันตสมาคม
ข้าพเจ้าถวายคำนับ เชิญเสด็จฯ ทรงจ้องข้าพเจ้าด้วยพระเนตรดุเดือด
ตรัสว่า "ตาประยูร แกเอากับเขาจริง ๆ พระยาอธิกรณ์ประกาศ บอกฉันไม่เชื่อ ฉันตั้งชื่อทำขวัญให้แกเมื่อเกิด ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก โกรธฉันที่ไม่ไปเผาศพพ่อแกใช่ไหม"

ข้าพเจ้าเร่งให้เสด็จลงจากรถถัง ทรงสำทับถาม "จะเอาฉันไปไหน อย่าเล่นสกปรกนะ" เมื่อเข้าไปประทับในที่ประทับด้านหน้า ข้าพเจ้าสำนึก วางปืนก้มกราบขอพระราชทานอภัย
ทรงรับสั่งถาม "ใครเป็นหัวหน้า พระองค์บวรเดชใช่ไหม?"
"ยังกราบทูลไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ" ทรงกริ้ว รับสั่งหนักแน่นว่า "ตาประยูร แกเป็นกบถ โทษถึงต้องประหารชีวิต"
ทรงรับสั่งถามต่อไป "พวกแกที่ยึดอำนาจนี้ ต้องการอะไร มีความประสงค์อะไร ต้องการปาลีเมนต์ มีคอนสติติวชั่นใช่ไหม" ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ใช่"
ทรงนิ่งชั่วครู่ แล้วรับสั่งถามว่า "แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ ตาประยูร"
"อารยประเทศทั่วโลกก็มีปาลีเมนต์กันทั่วไป ยกเว้นอาบิสซีเนีย" ข้าพเจ้ากราบทูล
ทรงถามว่าข้าพเจ้าอายุเท่าไร เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลว่า 32 ก็รับสั่งว่า "เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมา 150 ปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ"
ทรงถามถึงการศึกษา เมื่อกราบทูลว่าเรียนรัฐศาสตร์จากปารีส ทรงสำทับ "อ้อ มีความรู้มาก แกรู้จักโรเบสเปีย มารา และกันตอง เพื่อนน้ำสบถฝรั่งเศสดีแน่ ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีน เฉือนคอกันทีละคน จำได้ไหม ฉันสงสาร ฉันเลี้ยงแกมา นี่แกเป็นกบถ รอดจากอาญาแผ่นดิน ไม่ถูกตัดหัว แต่จะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้"
ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ตามประวัติศาสตร์ มันจะต้องเป็นเช่นนั้น"

จอมพล ป.ก้าวขึ้นสู่ความรุ่งเรืองกว่านายทหารยศพันโทด้วยกัน เพราะการปฏิวัติในวันนั้น      ท่านก็ดึงเพื่อนรักขึ้นสู่ความรับผิดชอบสำคัญด้วย    
เรามาดูเส้นทางราชการของคุณหลวงอดุลดีกว่า  ว่ามองเห็นอะไรบ้าง
หลวงอดุล  อดุลเดชจรัส เริ่มเข้ารับราชการครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2459  อายุ 21 ปี เป็น นายร้อยตรี สังกัดกระทรวงกลาโหม  เติบโตจากนายร้อยเป็นนายพัน  อายุ 37 ปี เป็นผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ ในพ.ศ. 2475   เป็นตำแหน่งสุดท้ายในราชการทหาร
จากนั้น ท่านก้าวข้ามสีจากเขียวเป็นกากี พรวดเดียวในปีต่อมา เป็น giant step  คือ ในพ.ศ.2476 ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจ ในขณะที่ พ.ต.อ.พระยาอนุสรณ์ธุรการ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ
ไม่เคยเป็นพันเอกนายทหาร  ไม่เคยเป็นผู้กำกับตำรวจ  ผู้บัญชาการตำรวจ หรือแม้แต่ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ  แต่ว่าพาสชั้น แบบขึ้นลิฟต์ของตึกเอมไพร์สเตท คือสปีดขึ้นทีเดียว 180 ชั้น
อีกสามปีต่อมา ท่านดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ  และหนึ่งปีต่อมาใน พ.ศ.2480 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในวัย 42 ปี


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 10, 14:43
ส่งกระทู้คืนท่านกูรูใหญ่กว่า   เหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2480  เป็นต้นไป   ท่านคงจะเล่าได้ละเอียดดีกว่าดิฉัน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ก.ค. 10, 15:31
เห็นมะ ท่านอาจารย์เทาชมพูเปิดโอกาสให้ผมเข้าไปเก็บตกเรื่องของสองเกลอได้อีกนิดหน่อย ตอนนี้โรงนี้กำลังฉายหนังควบ คนแสดงคู่นี้แต่คนละเรื่องเดียวกัน ท่านจะเข้าไปอ่านเรื่องโหดๆของผู้มีอำนาจอยู่ในมือได้จากทางโน้นบ้างเล็กน้อย

พลตรีอนันต์ พิบูลสงครามเขียนไว้ในหนังสือปกเขียวว่า บ้านพักในกรมทหารปืนใหญ่บางซื่อนั้น บ้านของหลวงพิบูล รองผู้บังคับกรมทหารปืนใหญ่กับบ้านของหลวงอดุล ผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ อยู่ห่างจากกันเพียงเดินสองสามนาที บ้านของหลวงพิบูลมีศาลาท่าน้ำซึ่งเป็นที่สังสรรของบรรดาลูกน้องนายทหาร เจ้าประจำที่มาแทบทุกวันคือหลวงอดุล

วันหนึ่งเด็กชายอนันต์เห็นบิดากับหลวงอดุลถมึงทึงใส่กัน และหลวงอดุลผลุนผลันออกไปจากบ้านแบบไม่ร่ำไม่ลา  หลวงพิบูลอธิบายให้ภรรยาฟังว่า หลวงอดุลเขาโกรธที่ฉันเสนอให้ย้ายเขาไปเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจ
 
คำอธิบายแถมในหนังสือเล่มนั้นกล่าวสรุปว่า หลวงอดุลอยากเป็นผู้รักษาบ้านเมืองกว่าผู้รักษากฏหมาย ถ้าจริงตามนั้นไม่ได้เขียนแบบว่ากลอนพาไป ผมก็เห็นว่าจริง เพราะตอนหลวงอดุลเป็นตำรวจใหม่ๆไม่เอากฏหมายเลย ใช้ความรุ้สึกของตนเองวัดอย่างเดียวว่าใครเป็นศัตรูของเพื่อน คนนั้นคือศัตรูของบ้านเมือง ต้องกำจัด

ถึงเวลาจำเป็น หลวงอดุลก็เล่นบทผู้ช่วยผู้ร้ายได้ดี ควรคู่กับรางวัลตุ๊กตาทองดาราประกอบฝ่ายชายยอดเยี่ยมทีเดียว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ก.ค. 10, 15:56
พลตรีอนันต์ พิบูลสงครามเขียนไว้ในหนังสือปกเขียวว่า บ้านพักในกรมทหารปืนใหญ่บางซื่อนั้น บ้านของหลวงพิบูล รองผู้บังคับกรมทหารปืนใหญ่....มีศาลาท่าน้ำซึ่งเป็นที่สังสรรของบรรดาลูกน้องนายทหาร เจ้าประจำที่มาแทบทุกวันคือหลวงอดุล

บ้านจอมพล ป. มีห้องลับหลบออกคลองไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา

รูปจาก
http://gotoknow.org/blog/sutthinun/215336?page=1


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 15 ก.ค. 10, 16:12
ขอบพระคุณท่านจ.ข.ก.ท.ครับผม ถ้าจะกรุณาขยายความจากรูปที่ท่านจอมพลฯถ่ายกับภรรยาและบุตรทั้ง 3 ก่อนไปศึกษาต่อสักหน่อย จะเป็นพระคุณยิ่งครับผม
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 10, 17:15
ศ.กนต์ธีร์ ศุภมงคล เขียนไว้ในหนังสือครบรอบ 50 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า

“ท่านจอมพลเป็นผู้มีเสน่ห์ทางการเมืองเป็นพิเศษ มีเหลี่ยมคูหาเสมอเหมือนมิได้ สามารถใช้ถ้อยคำนุ่มนวล อ่อนหวาน ดูดดึงใจอย่างกว้างขวาง นักการเมืองสมัยท่านต่างพากันเรียงหน้าวิ่งเข้าหา ต่างกับนายกรัฐมนตรีสมัยหลังๆที่ต้องออดอ้อนพะเน้าพะนอนักการเมืองเพื่อคะแนนเสียงสนับสนุนในรัฐสภา แม้แต่ทูตต่างประเทศที่ประจำอยู่ในประเทศไทย อยู่ได้ไม่นานเท่าใดพอใกล้ชิดท่านล้วนถูกโน้มน้าว เกิดศรัทธาในตัวท่าน ทุกคนนิยมติดต่อกับท่านโดยตรง”

หลวงอดุลถึงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงยังไงที่ต้องไปเปลี่ยนเส้นทางชีวิตเป็นตำรวจ   ก็ยังถูกโน้มน้าวจนสำเร็จ  และยังศรัทธาต่อเพื่อนรักไม่เสื่อมคลาย
อุดมการณ์เพื่อนคืออุดมการณ์ท่าน   ศัตรูของเพื่อนคือศัตรูของท่าน  ไม่ว่าจอมพลป.คิดอะไรทำอะไรทางการเมือง   ในช่วง 2480 ต้นๆ  ท่านก็เห็นด้วยเสมอ
เราคงจำได้จากรายงานการประชุม ค.ร.ม. เมื่อญี่ปุ่นบุกไทย   จากกระทู้พระยาทรงสุรเดช       ว่าหลวงอดุลเป็นเสียงหนึ่งที่ยอมแพ้ญี่ปุ่นอย่างแข็งขัน   ปานประหนึ่งพูดแทนใจจอมพลป.เสียเอง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ก.ค. 10, 17:22
เอาใจขาประจำ คุณมานิตซะทีนึงก่อน

ร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ กับนางละเอียด(พันธุ์กระวี) ถ่ายกับบุตรและธิดาในรูปคือ

1 เด็กชายอนันต์ ต่อมาคือพลโทอนันต์ พิบูลสงคราม สมรสกับ หม่อมหลวงพร้อมศรี สนิทวงศ์ (บุตรีหม่อมราชวงศ์พร้อมใจ สนิทวงศ์ (พระสนิทวงศ์อนุวรรต)
2 เด็กชายประสงค์ ต่อมาคือพลเรือโทประสงค์ พิบูลสงคราม สมรสกับ นางเรืองยศ เกตุนุติ
3 เด็กหญิงจีรวัสส์ ต่อมาคือนางจีรวัสส์ ปันยารชุน สมรสกับ ดร.รักษ์ ปันยารชุน (พี่ชายนายอานันท์ ปันยารชุน)อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ที่เกิดทีหลังภาพถ่ายนี้

4 เด็กหญิงรัชนิบูล ต่อมาคือนางรัชนิบูล ปราณีประชาชน สมรสกับ พลตำรวจโทชูลิต ปราณีประชาชน
5 เด็กหญิงพัชรบูล ต่อมาคือนางพัชรบูล เบลซ์ สมรสกับนายปีเตอร์ เบลซ์
6 เด็กชายนิตย์ ต่อมาคือนายนิตย์ พิบูลสงครามอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สมรสกับ นางพัชรินทร์ พิบูลสงคราม (แพทริเชีย ออสมอนด์)



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ก.ค. 10, 18:03
จะเริ่มสู่ม้วนสองตรงที่ ทั้งสองท่านก็ได้กราบบังคมทูลลาออกจากบรรดาศักดิ์พร้อมกันทั้งครม. ดังนี้


๑.จอมพล  หลวงพิบูลสงคราม   จอมพล  แปลก  พิบูลสงคราม
๒.นายพลโท  หลวงพรหมโยธี   นายพลโท  มังกร  พรหมโยธี
๓.นายพลตรี  หลวงเสรีเริงฤทธิ์   นายพลตรี  จรูญ  รัตนกุล  เสรีเริงฤทธิ์
๔.หลวงประดิษฐมนูธรรม   นายปรีดี  พนมยงค์
๕.หลวงนฤเบศร์มานิต   นายสงวน  จูฑะเตมีย์
๖.หลวงวิจิตรวาทการ   นายวิจิตร  วิจิตรวาทการ
๗.นายพันเอก  พระบริภัณฑ์ยุทธกิจ   นายพันเอก  เภา  เพียรเลิศ  บริภัณฑ์ยุทธศิลป์
๘.หลวงชำนาญนิติเกษตร์   นายอุทัย  แสงมณี
๙.นายพลอากาศตรี  พระเวชยันตรังสฤษฎ์   นายพลอากาศตรี  มุนี  มหาสันทนะ  เวชยันตรังสฤษฎ์
๑๐.หลวงเดชสหกรณ์   หม่อมหลวงเดช  สนิทวงศ์
๑๑.นายพันตรี  หลวงโกวิทอภัยวงศ์   นายพันตรี  ควง  อภัยวงศ์
๑๒.นายพันตรี  หลวงเชวงศักดิ์สงคราม   นายพันตรี  ช่วง  เชวงศักดิ์สงคราม
๑๓.นายพลตำรวจตรี  หลวงอดุลเดชจรัส   นายพลตำรวจตรี  อดุล  อดุลเดชจรัส
๑๔.ขุนสมาหารหิตะคดี   นายโป-ระ  สมาหาร
๑๕.นายนาวาเอก  หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์   นายนาวาเอก  ถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์
๑๖.นายพลเรือโท  หลวงสินธุสงครามชัย   นายพลเรือโท  สินธุ์  กมลนาวิน
๑๗.นายนาวาอากาศเอก  หลวงกาจสงคราม   นายนาวาอากาศเอก  เฑียร  เก่งระดมยิง
๑๘.นายพลตรี  หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต   นายพลตรี  พิชิต  เกรียงศักดิ์พิชิต
๑๙.นายพลเรือตรี  หลวงนาวาวิจิต   นายพลเรือตรี  ผัน  นาวาวิจิต
๒๐.นายพันเอก  หลวงสฤษฎ์ยุทธศิลป์   นายพันเอก  เพียร  สฤษฎ์ยุทธศิลป์  พิริยะโยธิน
๒๑.นายนาวาเอก  หลวงสังวรยุทธกิจ   นายนาวาเอก  สังวรณ์  สุวรรณชีพ

ข้างบนผมไปปาดของคุณหลวงเล็กมาจากกระทู้ข้างๆ คงไม่ต้องฉายซ้ำนะครับว่าอยู่ดีๆ ทำไมคุณหลวงคุณพระทั้งหลายจึงได้ลุกขึ้นมาสลัดศักดินาทิ้งกันในตอนนั้น
ผมเอาคำให้การของพระองค์อาทิตย์ อดีตผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมาเสริมดีกว่า อดหัวเราะตรงที่ขีดเส้นใต้ไว้ไม่ได้ ท่านผู้อ่านคงเห็นภาพพจน์

เริ่มต้นภาคสองจอมพล ป.เป็นจอมพล พล.ต.อ.อดุล เป็นพลตำรวจตรี ห่างกันโขอยู่


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ก.ค. 10, 18:21
ข้อมูลจากคำให้การเช่นนี้แหละ ที่ตรงกับความรู้สึกในใจลึกๆของคนตรงอย่างพล.ต.อ.อดุล


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: yanang ที่ 15 ก.ค. 10, 22:53
ขอยกมือถามค่ะอาจารย์

ขุนนิรันดรชัย นี่ท่านเป็นใครและมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญอะไร
ทำไมถึงดูมีบทบาทค่อนข้างมากคะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ก.ค. 10, 07:29
ขุนนิรันดรชัย เป็นผู้ก่อการคณะราษฎรรุ่นเด็ก ทำงานรับใช้ผู้ใหญ่มาตลอด ตอนหลังจอมพล ป. ไว้ใจมาก เข้านอกออกในได้พอๆกับพล.อ.ต.อดุล ทำหน้าที่ประสานระหว่างจอมพล ป. (ในนามของรัฐบาล) กับคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ 8 ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยรัฐบาลให้กระทำการแทนพระเจ้าอยู่หัวที่ยังทรงพระเยาว์และศึกษาอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์  ประกอบด้วย เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) ได้รับการแต่งตั้งหลังจากการสิ้นพระชนม์ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์) ที่ยิงพระองค์เองสิ้นพระชนม์คราวที่ถูกคณะราษฎร์บีบบังคับให้ลงนามยึดพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มาเป็นของแผ่นดิน หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) แทนเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา เมื่อเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. 2485 คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงเหลือเพียง 2 คน ต่อมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ซึ่งทรงลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 เพราะความกลัวที่ถูกจอมพล ป. โกรธเพราะไปลงพระนามแต่งตั้งให้นายควงเป็นนายกรัฐมนตรี ทรงให้การในศาลว่า “ข้าพเจ้าได้ถูกกดขี่ข่มเหงมาทำนองนี้หลายครั้ง ข้าพเจ้าสารภาพว่าข้าพเจ้ากลัว เพราะข้าพเจ้าตัวคนเดียวไม่มีพวกพ้อง”
เมื่อพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาลาออกแล้วไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดเพิ่ม จึงมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว

 ตลอดเวลาดังกล่าวขุนนิรันดรชัย อยู่ในตำแหน่งในตำแหน่งเลขาธิการคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงสละราชสมบัติและรัฐบาลได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จขึ้นมาแทนองค์พระมหากษัตริย์ไม่นาน คณะราษฎร์ได้จัดรายการ จึงบอกเพื่อน กระซิบชวนให้จับจองซื้อที่ดินแปลงหรู ทำเลเลิศ ผ่อนง่ายๆสบายๆ ไม่มีดอกเบี้ย โดยเอาที่ดินของพระคลังข้างที่ ที่ได้รับพระราชทานมา(ฟังดูเป็นศิริมงคลดีนะครับ)มาขายกันถูกๆ ที่ดินแถวสาธร วิทยุ และในเมืองอีกหลายแปลง เป็นเหตุให้ผู้แทนฝ่ายตงฉินนำมาอภิปรายในสภาถึงกับรัฐบาลพระยาพหลทนถูกด่าไม่ได้ ลาออกเปิดทางให้หลวงพิบูล(ซึ่งรีบคืนที่ดินเพิ่งจะซื้อมาเหมือนกันนั้นไปด้วยความกระดาก)
แต่ที่ดินของพระคลังข้างที่ ที่โอนขายไปแล้วถือว่าหลังเย็น ใครจะได้ไปบ้างผมไม่ทราบ ทราบแต่ที่เขากล่าวกันว่าพอยึดการปกครองได้แล้วพวกคณะราษฎรขยันทำมาหากินรวยกันใหญ่ ก็ประวัติของผู้ก่อการระดับแกนนำห้าหกคนที่ผมนำมาเสนอล้วนรวยเกียรติแต่ไม่รวยสมบัติกันทั้งนั้น แล้วใคร พวกไหนกันเล่าที่รวยเละตุ้มเป๊ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ก.ค. 10, 07:34
ถ้าคุณย่านางอยากทราบเรื่องของขุนนิรันดรชัยมากกว่าที่ผมเล่า ก็ลองเอาคำว่า ขุนนิรันดรชัย ไปป้ายในกูเกิน แฟ้บบบ..คลิ๊ก….จะออกมาเป็นตับ แต่สองเวปนี้ผมว่าน่าเข้าไปเยี่ยม และโปรดใช้วิจารณาญาณของท่านด้วย อย่าเชื่อข้อมูลสาธารณะนัก
 
PANTIP.COM : K4795252 จุดจบของคณะปฏิวัติไทย [ประวัติศาสตร์]
6 พ.ย. 2006 ... กำลังจะสร้างบ้านที่บางเขน พอขุนนิรันดรชัยทราบก็นำเหล็กเส้นไปกองไว้ให้พอที่จะสร้างบ้านได้โดยไม่ต้องซื้อจากที่อื่น เมื่อจอมพล ป. ...

เปิดกรุที่ดิน หมื่นล. ตระกูล นิรันดร + ประกาศหาผู้ร่วมทุน ยันไม่ ...
2 ก.พ. 2008 ... นายธรรมนูญ นิรันดร ทายาทขุนนิรันดรชัย อดีตราชเลขานุการในรัชการที่ 8 เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงกรณีที่มีข่าวว่าได้ประกาศขายที่ดินพื้นที่ประมาณ ...

อ่านแล้วไม่ต้องนำมารายงานผมก็ได้ครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 ก.ค. 10, 08:30
เอาใจขาประจำ คุณมานิตซะทีนึงก่อน

5 เด็กหญิงพัชรบูล ต่อมาคือนางพัชรบูล เบลซ์ สมรสกับ นายปีเตอร์ เบลซ์

ขออนุญาตย้อนถึงเรื่องครอบครัวท่านจอมพลนิดนีง

ปกหนังสือเดลิเมล์เบื้องหลังข่าว ๑๕ วันหลัง เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๙  ชีวิตรักของธิดาจอมพล พัชรบูล "น้อย"พิบูลสงคราม (ธิดาคนสุดท้องใน ๖ คน) กับเรือโทหนุ่มอเมริกัน ระบุว่าชื่อ เรือโท ราล์ฟ เปอร้อตต้า

(http://i155.photobucket.com/albums/s287/mongkonrut_2007/tor%202/1866.jpg)

http://www.cokethai.com/board/viewtopic.php?t=2685&sid=e6eb3142a9880be0698c11f70e999918

ชื่อแรก หรือ ชื่อหลัง หรือทั้งสองชื่อ

อย่างไหนถูกกันแน่

 ???



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ก.ค. 10, 10:00
^
อย่าไปสนใจเธอเลยครับ สนใจคุณพ่อของเธอดีกว่า

นี่ไงที่เขาว่าไม่ยุติธรรมต่อสตรี ใครมีสามีมาแล้วกี่คนๆ เดี๋ยวนี้ตามรอยเข้าไปเสาะหาได้หมด
ทีคุณพ่อ มีภรรยากี่คนต้องฟลุ๊กๆจึงจะเจออีกสักคนหนึ่ง เดี๋ยวคงต้องพูดกันเพราะหลวงอดุลนำมาอ้าง
ในเมื่อเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่กำลังพลิกผันกลับไปกลับมา ผมคงจะเล่าได้

ตอนนี้เอาเรื่องที่ดินของพระเจ้าอยู่หัวให้จบก่อน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ก.ค. 10, 10:04
^
ส่งใบลาออกไปจริง แต่ไม่มีใครกล้าลงนามอนุมัติให้ออกหรอกครับ

แฟร๊บเดียว ก็ขึ้นควบตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแทนพระยาพหลเลย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.ค. 10, 10:13
โดดงานมาแจมค่ะ
คำว่า พระคลังข้างที่   สารานุกรมรัชกาลที่ ๖ ฉบับเคลื่อนที่ได้ ชื่อ V_Mee ได้อธิบายไว้ในเว็บพันทิปว่า คืออะไร

พระคลังข้างที่นั้นจัดตั้งขึ้นในรัชกาลที่ ๕  เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นกรมหนึ่งในพระราชสำนัก  มีอธิบดีพระคลังข้างที่เป็นผู้บังคับบัญชา  ภารกิจของกรมพระคลังข้างที่ในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองคือ การดูแลเบิกจ่ายและจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์  นอกจากนั้นยังเป็นผู้ดูแลจัดการผลประโยชน์ให้พระบรมวงศ์ที่ทรงมอบหมายให้ดูแล  โดยแยกเป็นบัญชีๆ ไป 

ในการจัดการผลประโยชน์นั้น  กรมพระคลังข้างที่มีหน้าที่ดูแลให้ทรัพย์สินที่จัดการนั้นมีผลประโยชน์งอกเงยเพิ่มขึ้น  จึงมีการนำเงินไปลงทุนในบริษัทห้างร้าน  รวมทั้งให้กู้ยืมเงินแก่พ่อค้าและระชาชนโดยการรับจำนำจำนองเป็นพื้น  เมื่อลูกหนี้มีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้  ทรัพย์สินที่จำนำจำนองไว้ก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบัญชีต่างๆ ที่เป็นเจ้าหนี้ที่พระคลังข้างที่เป็นผู้ดูแล

ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์  ซึ่งเป็นทรัพย์สินกองกลางของพระมหากษัตริย์ออกไปจากทรัพย์สินส่วนพระองค์  นับแต่นั้นมาพระคลังข้างที่จึงมีหน้าที่ดูแลจัดการผลประโยชน์เฉพาะทรัพย์สินส่วนพระงค์ของพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีมาแต่ก่อนขึ้นครองราชย์หรือที่ทรงได้รับเป็นพระราชมรดกตกทอดในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินอันจัดเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์รวมทั้งดอกผล  กับทรัพย์สินของพระบรมวงศ์และบัญชีอื่นๆ ที่โปรดเกล้าฯ ให้พระคลังข้างที่เป็นผู้ดูแลรักษาประโยชน์ เช่น บัญชีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  ซึ่งเป็นเงินผลประโยชน์จากการเก็บค่าเข้าชมวัดพระศรีฯ หรือที่มีผู้บริจาคบำรุงวัด  ซึ่งเงินจำนวนนี้เก็บไว้ใช้ในการบูรณะวัด  บัญชีโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย  บัญชีนี้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลผลประโยชน์ที่พระราชทานไว้แก่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงรวมทั้งที่มีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายสมทบโรงเรียน 

ในรักาลปัจจุบันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ออกไปให้สำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์เป็นผู้ดูแล  ในขณะเดียวกันพระบรมวงศ์ที่เคยมอบหมายให้พระคลังข้างที่จัดการทรัพย์ส่วนพระงค์มาก่อนนั้น เมื่อสิ้นพระชนม์ลงแล้วบรรดาทายาทผู้รับมรดกต่างก็ขอแบ่งทรัพย์สินของเจ้านายพระองค์นั้นๆ ไปจัดการกันเอง  ในปัจจุบันบัญชีหลักที่เป็นบัญชีใหญ่ที่พระคลังข้างที่เป็นผู้ดูแลเท่าที่ทราบมีอยู่เพียง บัญชีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  บัญชีมูลนิธิอานันทมหิดล  บัญชีโรงเรียนมหาดเล็กหลวง  ส่วนบัญชีของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี นั้นไม่ทราบว่า พระคลังข้างที่ยังดูแลอยู่หรือไม่  นอกจากนั้นพระคลังข้างที่ยังมีหน้าที่ดูแลเบิกจ่ายเบี้ยหวัดเงินปีพระบรมวงศ์ ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า  พระองค์เจ้า  และหม่อมเจ้า  ซึงเงินจำนวนนี้แบ่งจ่ายจากเงินปีที่รัฐบาลทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประจำทุกปี  เงินปีพระบรมวงศ์ชั้นหม่อมเจ้านั้นเคยทูลถามหม่อมเจ้าองค์หนึ่งทราบว่า ปีหนึ่งเป็นเงินไม่ถึงหมื่นบาท  แต่ก็ยังมีการพระราชทานเป็นธรรมเนียมสืบมา  ทั้งที่เงินปีพระราชวงศ์นี้ปีหนึ่งไม่ถึงหมื่นบาท

บัญชีต่างๆ ที่พระคลังข้างที่ดูแลจัดการนี้เปรียบเสมือนผลประโยชน์ของเอกชนทั่วไป  จึงมีการเสียภาษีตามกฎหมายทุกประการ

เพิ่งรู้ว่าหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง  ที่ดินในความดูแลของพระคลังข้างที่ก็ตกอยู่กับเอกชนกันหนาตา


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.ค. 10, 15:57
เย็นวันศุกร์ เรือนไทยมักจะไม่ค่อยมีนักเรียน   เลยต้องเข้ามาคั่นโปรแกรมมิให้เงียบเหงาจนเกินไป
คำถามตอนนี้ที่ท่านกูรูใหญ่กว่ายังไม่ได้เฉลย   แม้ว่าชิงเฉลยข้อสอบตอนจบล่วงหน้าไปแล้วก็คือ   คุณหลวงทั้งสองผู้เป็นเพื่อนรักกัน  เปลี่ยนเป็นหนึ่งนายพลและหนึ่งจอมพล ผู้แค้นกันตั้งแต่เมื่อไร
คำถามนี้ดิฉันยังหาคำตอบไม่ได้   ก็ได้แต่แกะรอยมิตรภาพของท่านทั้งสองกันไปพลางๆ

สองคุณหลวงเป็นสองเกลอกันแน่นแฟ้นจนเปลี่ยนแปลงการปกครอง  ได้ดิบได้ดีกันทั้งสองคนแล้วก็ยังเป็นเพื่อนรัก ช่วงคุณหลวงพิบูลเข้าร่วมก่อการ  คุณหลวงอดุลก็มานอนพักอยู่ในบ้านเช่าของเพื่อนนานเป็นเดือน ฟังคุณนายกล่อมลูกอยู่ชั้นล่าง อย่างที่เล่าไว้ในค.ห.ก่อน
เมื่อคุณหลวงพิบูลได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด  เป็นนายกรัฐมนตรี   คุณหลวงอดุลในฐานะอธิบดีตำรวจก็ยังสนิทแน่นแฟ้นกันเช่นเดิม  ทุกเช้าท่านอธิบดีตำรวจก็ต้องมารายงานราชการกับท่านนายกฯ  ตื้นลึกหนาบางในสังคมท่านทั้งสองก็รับรู้ร่วมกันหมด
จอมพลป. ก็ไว้วางใจและเกรงใจท่านอธิบดีอดุลอย่างสูง    เพราะท่านอธิบดีเป็นคนตรง เด็ดขาด ไม่เห็นแก่หน้าใคร ซื่อสัตย์สุจริตต่องานที่ทำ
ท่านจอมพล มีความเห็นสอดคล้องต้องกันกับอธิบดีตำรวจเสมอ   ยังหาไม่เจอว่าในช่วงนี้ท่านมีเรื่องไหนขัดแย้งกัน

ผลงานการสืบจับและกวาดล้างปรปักษ์ทางการเมืองของรัฐบาล  ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๘๑  ก็เป็นผลงานของท่านนายพลอดุล ที่ท่านจอมพลมอบความไว้วางใจให้เต็มที่      ในช่วงนี้เองถ้าใครอ่านกระทู้เก่าคงจำได้ว่า มีนายทหารบางรายแย่งปืนตำรวจไปยิงตัวตาย  หรือโจรจีนมลายูบุกชิงผู้ต้องหาจนผู้ต้องหาถูกกระสุนลูกหลงตาย อยู่หลายราย   
จนถึงปลายปีพ.ศ. ๒๔๘๔   ญี่ปุ่นบุกเมืองไทย  พลต.อ.อดุลก็เป็นท่านหนึ่งที่เห็นด้วยว่าควรยอมประนีประนอม  เพราะกำลังของไทยสู้เขาไม่ได้    สอดคล้องกับความเห็นจอมพล ป.
ถ้าอย่างนั้น ร่องรอยของความแตกแยกเริ่มจากไหน   ดิฉันขอเดาว่าเริ่มจากสงครามมหาเอเชียบูรพาเมื่อญี่ปุ่นยึดครองประเทศไทย   ท่านอธิบดีตำรวจอดุลผันตัวไปเองไปเป็นหัวหน้าเสรีไทยคนหนึ่งในไทย     โดยมิใช่การทำงานใต้ปีกของจอมพลป. แต่เป็นงานลับใต้จมูกของท่าน
ก็เลยเดาว่า เสรีไทย เป็นเส้นเฉียงที่ทำให้พลต.อ.อดุล แยกออกมาจากเส้นตรงที่คู่ขนานกันมาตลอด

ดร.ป๋วย อึ็งภากรณ์ เป็นหนึ่งในเสรีไทย ที่ได้รับความคุ้มครองจากพลต.อ.อดุลอย่างดี  จนออกปากว่าเป็นหนี้บุญคุณของท่าน ทั้งด้านชีวิตและสวัสดิการ   
       


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.ค. 10, 16:39
อย่างหนึ่งที่น่านับถือท่านนายพลตาดุ  ก็คือความรักชาติ    ท่านให้ความช่วยเหลือเสรีไทยอย่างเงียบๆ มาก่อนหน้าจนกระทั่งตัดสินใจเข้าร่วมอย่างเต็มตัวในตอนหลัง   ทั้งที่รู้ว่าสิ่ืงที่ทำลงไป ถ้าญี่ปุ่นรู้ก็คือจบทั้งตำแหน่ง  จบทั้งชีวิต ท่านก็ยอม

พูดได้ว่าพลต.อ.อดุลเป็นเพื่อนที่รู้ใจเพื่อนยิ่งกว่าใคร   ดร.ป๋วยเขียนไว้ว่า เมื่อโดดร่มลงมา ถูกตำรวจจับได้  พลต.อ.อดุลสั่งผ่านนายตำรวจลงมาว่าให้เขียนจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี   อย่าลืมสองเรื่องคือเขียนเรื่องรักชาติให้มากๆ และสรรเสริญยกย่องจอมพลป.ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดร.ป๋วยก็ทำตามคำสั่ง  จดหมายนั้นคงจะหยดย้อยได้ผลตามที่ควร    ผลคือจอมพลป. เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับเรื่องเสรีไทย และมอบเสรีไทยทุกคนที่จับได้ให้อยู่ในอำนาจของพลต.อ.อดุลแต่ผู้เดียว  ท่านนายพลก็ดูแลทุกคนอย่างดี  แต่ท่านก็ดำเนินการอย่างระมัดระวัง  ไม่ผลีผลามไว้ใจใครง่ายๆ

ดร.ป๋วยเล่าเอาไว้ว่า  อธิบดีไม่ยอมลงมาติดต่อด้วยตัวเอง แต่มีตัวกลางเชื่อมกับดร.ป๋วย ชื่งท่านอธิบดีเลือกมาเองชื่อร.ต.อ.พะโยม จันทร์คะ  เป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนร.ร.อัสสัมชัญกับดร.ป๋วย   ระหว่างนี้ท่านก็ฝากคำถามเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวกับการทำงานของเสรีไทยในต่างประเทศ  มาให้ดร.ป๋วยทำข้อสอบปากเปล่าอยู่เสมอๆ    เพื่อพิจารณาว่าจะให้สอบผ่านหรือไม่
จนกระทั่งแน่ใจแล้วเมื่อผ่านไปหลายเดือน    ท่านอธิบดีตำรวจก็นัดพบเสรีไทยป๋วย  วิธีนัดก็ซับซ้อนเกือบเท่ามิชชั่น อิมพอสสิเบิ้ล  คือนัดเจอในสถานที่ที่ดร.ป๋วยไม่รู้ล่วงหน้าว่าที่ไหน  รถที่พาไป ในตอนกลางคืนก็เปลี่ยนคัน เปลี่ยนที่หมายไปตลอด  จนไปถึง   แต่ไม่ใช่สถานที่ลึกลับ  ตรงกันข้ามกลับเป็นกลางแจ้ง  เช่นที่ลานพระบรมรูปทรงม้าบ้าง  อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบ้าง
หรือไม่ก็ไปพูดกันในรถของท่าน   มีแต่คนรถเท่านั้นนั่งอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้นั่งเฉยๆ  มีปืนกลเบาอยู่ในรถเป็นเพื่อนคู่มือด้วย   สภาพการณ์เช่นนั้น   ถ้าเป็นเราๆท่านๆ จะพูดออกสักกี่คำก็ลองนึกดู  อย่าว่าแต่จะพูดเท็จเลย
พูดกันจนตีสอง ถึงส่งตัวกลับไปที่รถร.ต.อ.พะโยมที่คอยอยู่   กลับที่พักได้

เรื่องการทำงานของพล.ต.อ.อดุล  ท่านกูรูใหญ่กว่าเคยพูดไว้แล้ว  แต่ในเมื่อน่าทึ่งก็จะขอเล่าซ้ำอีกครั้งว่า ท่านทำงานทั้งกลางวันกลางคืน   บางทีก็ทั้งคืน เช่นออกตรวจงานตามโรงพักและสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่ออกตจว.ที่ลูกน้องไม่รู้ว่าไปไหน   
ตอนกลางวันถ้าทำงานติดพันอยู่  ถึงเวลากินข้าวกลางวันท่านก็กินไปทำงานไปอยู่ที่โต๊ะทำงาน      ตอนกลิ่นเสรีไทยไปเตะจมูกญี่ปุ่นเข้า   ญี่ปุ่นแวะมาเยี่ยมที่ออฟฟิศเสมอ ก็เห็นท่านนั่งทำงานอยู่เสมอไม่ไปไหน     หารู้ไม่ว่าตกกลางคืนท่านก็ออกปฏิบัติงานในความมืดไปจนรุ่งเช้า    เพราะกลางวันต้องประจำที่ห้องทำงาน  ตบตาญี่ปุ่น  วิธีออกปฏิบัติงานก็หลบหลีกเปลี่ยนรถเปลี่ยนเส้นทาง ลึกลับซับซ้อนมิให้ใครสะกดรอยได้ถูก

สาเหตุที่พลต.อ.อดุลไม่อาจวางใจเข้าร่วมกับเสรีไทยได้ง่ายๆ คือ
๑  ท่านไม่รู้ว่าพวกนี้ทำงานจริงจังแค่ไหน    ถ้าทำไม่ได้เรื่อง  ผู้เข้าร่วมก็จะลำบากไปด้วย
๒  ท่านไม่แน่ใจว่าผู้ร่วมงานของเสรีไทยบางคนมีจุดประสงค์แอบแฝงหรือเปล่า    เพราะเสรีไทยก็มีทั้งผู้นิยมเจ้าและไม่ได้นิยม     ก็ต้องดูกันให้แน่ว่าปฏิบัติงานเพื่อชาติ หรือเพื่ออย่างอื่น
เมื่อแน่ใจทั้ง ๒ ข้อ ท่านก็เข้าร่วมด้วยเต็มตัว    เครือข่ายตำรวจในไทยก็ห้อมล้อมเสรีไทยไว้มิให้ญี่ปุ่นเอื้อมมาถึง



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.ค. 10, 16:57
คำให้การของพลต.อ.อดุล ที่กล่าวถึงจอมพลป. ในคดีอาชญากรสงครามนั้น  อ่านแล้ว มองเห็นว่าท่านนายพลตำรวจไม่ชอบบุคคลหลายคนที่เข้ามาสนิทและล้อมรอบอยู่รอบตัวจอมพล ป.    บุคคลเหล่านั้นเข้ามาเมื่อจอมพลป.มีอำนาจวาสนาสูงสุดแล้ว   เป็นธรรมดาว่าก็ต้องใช้คนหลายคน  ให้พอกับงานที่กว้างขวางออกไปมาก   คนไหนใช้สอยได้ถูกใจ  ท่านก็ใช้ของท่านต่อไป
แต่บุคคลเหล่านี้ บางคนพลต.อ.อดุลก็เห็นว่าทำงานประสานกันได้     บางคนท่านก็ไม่ชอบเอาเลยทีเดียว   แต่จอมพลป.ก็ยังใช้ต่อไปอีก  และปูนบำเหน็จตำแหน่งสำคัญให้ด้วย
เรื่องที่แรงอีกเรื่องคือ รัฐมนตรีสองคนต้องโทษทำผิด   นายกรัฐมนตรีขอให้ละเว้น   อธิบดีตำรวจไม่ยอมเว้น   กลับย้อนว่าถ้าทำผิด แม้แต่เป็นนายกฯก็โดนจับเหมือนกัน

บุคคลที่มาแผ้วพานเส้นทางมิตรภาพของท่านจอมพลและนายพล เหล่านี้   จะเอ่ยชื่อก็เกรงว่าจะต้องลงทะเบียนเรียนวิชากฎหมายแพ่งและอาญาว่าด้วยคดีหมิ่นประมาท    จึงขอถามคุณนวรัตนว่าจะใช้ จุดจุดจุดจุด หรือ ก.ข.ค.ง. (คนละชุดกับกระทู้ก่อน)  อย่างไหนดี   คุณด็อทด็อทด็อทแกจะได้ไม่หนีออกจากแถวหลัง ลงเรือนไทยไปเสียก่อนจบกระทู้
นี่หรือเปล่าคะ   คือสาเหตุรอยร้าวของสองเกลอ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 16 ก.ค. 10, 17:00
บุคคลที่มาแผ้วพานเส้นทางมิตรภาพของท่านจอมพลและนายพล เหล่านี้   จะเอ่ยชื่อก็เกรงว่าจะต้องลงทะเบียนเรียนวิชากฎหมายแพ่งและอาญาว่าด้วยคดีหมิ่นประมาท    จึงขอถามคุณนวรัตนว่าจะใช้ จุดจุดจุดจุด หรือ ก.ข.ค.ง. (คนละชุดกับกระทู้ก่อน)  อย่างไหนดี 

อาจารย์ครับนักเรียน สติปัญญาต่ำอย่างผมก็แย่สิครับ เดาไม่ได้เลยสักชื่อเลยครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ก.ค. 10, 20:18
ผมชลอๆเรือหางยาว พาท่านผู้อ่านเลี้ยวเข้าซอยสาทรไปบ้าง ไปธุระปะปังของผมบ้างกลับมาอีกที อ้าว ท่านอาจารย์เทาชมพูจ้ำเรือจ้างแซงไปลิบลับใกล้จะถึงฝั่งอยู่แล้ว ผมเห็นจะต้องพาท่านผู้อ่านนั่งแทกซี่ซิ่งไล่กวดท่านไปให้ทัน

ขอผมตั้งหลัก หายใจยาวๆสักนิดให้หายเหนื่อยก่อนครับ

คือเรื่องของการรักชาตินี่ ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อความเป็นความตายของชาติ อาจจะมีแนวความคิดที่ต่างกันอย่างตรงกันข้าม มิได้หมายความว่าคนสองความคิดนั้น คนหนึ่งดี คนหนึ่งเลว

แต่จะเป็นที่ปรากฏอยู่เสมอว่า เมื่อรู้ผลว่าความคิดใดเป็นฝ่ายถูก ความคิดใดเป็นฝ่ายผิดแล้ว จะมีการกล่าวหาว่าฝ่ายผิดนั้นขายชาติ ฝ่ายถูกรักชาติอยู่เนืองๆ

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตันประกาศไม่ขึ้นต่อรัฐบาลไทยที่สั่งให้ยื่นใบประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา และจัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้น ถ้าตัดสินตามกฏหมายในชั่วโมงนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ คือกบฏ แต่เมื่ออเมริกาเป็นฝ่ายชนะ ม.ร.ว.เสนีย์คือวีรบุรุษของชาติ

ในทำนองกลับกันนายวณิช ปานะนนท์ อดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาลจอมพล ป.ถูกกล่าวหาว่าขายชาติให้ญี่ปุ่นโดยพล.ต.อ.อดุล เพราะเป็นตัวเชื่อมของรัฐบาลกับญี่ปุ่น แต่พล.ต.อ.อดุลไม่กล้ากล่าวหาว่าจอมพล ป.ด้วยข้อหานั้น ตรงข้าม ท่านยอมรับว่าจอมพล ป.เป็นผู้ที่รักชาติอย่างยิ่ง

ขอเวลาผมทานอาหารค่ำกับค้นหนังสือสัก3เล่มก่อนนะครับ เดี๋ยวจะกลับมาเล่าประวัติศาสตร์แบบไม่มีจุดจุดจุด หรือก ข ค เพราะไม่มีทางเฉียดการหมื่นประมาท


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 16 ก.ค. 10, 20:30
คุณ Navarat.C เปิดชื่อ นายวณิช ปานะนนท์ มา แสดงว่าใกล้จะถึงตัวอธิบดีกรมตำรวจอีกคน เจ้าของสโลแกน "ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ (ยกเว้นความ D  ;D)"


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.ค. 10, 20:47
ขอเวลาผมทานอาหารค่ำกับค้นหนังสือสัก3เล่มก่อนนะครับ เดี๋ยวจะกลับมาเล่าประวัติศาสตร์แบบไม่มีจุดจุดจุด หรือก ข ค เพราะไม่มีทางเฉียดการหมื่นประมาท


โล่งอกไปที  เพราะไม่อยากทิ้งท่านสมาชิกผู้มีเกียรติคนไหนของเรือนไทยให้ไปกินข้าวผัดกับโอเลี้ยงอยู่ตามลำพัง    ถ้าไปก็ต้องไปด้วยกัน  แต่ถ้าไม่ต้องไปก็จะดีกว่า
ไม่ต้องสมมุติ ก  ข ค ง ก็ดีแล้วค่ะ  เพราะตัวละครรอบตัวท่านจอมพลมีเยอะเหลือเกิน เกรงว่าแค่ ก -ฮ จะไม่พอให้ยืม

คุณหมอ CVT เตรียมกินข้าวกินปลา หยิบเสื่อมาปูพร้อมหมอนอิงให้พร้อม    หลังอาหารค่ำกับ ๓ เล่มแล้ว  พวกเราคงได้ฟังยาวเหยียดละทีนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ก.ค. 10, 22:43
มาสายดีกว่าไม่มา อ่านน่ะเร็ว แต่พิมพ์นี่แหละช้า


นายวณิช ปานะนนท์ พูดญี่ปุ่นได้ สนิทสนมกับญี่ปุ่น จอมพล ป.ใช้นายวณิชเป็นตัวเชื่อมในนามของท่านหรือในนามของรัฐบาลไทย คือท่านพยายามที่จะต่อรองตั้งแต่ญี่ปุ่นยังไม่เคลื่อนทัพออกจากอินโดจีนฝรั่งเศส ขอให้เขาผ่านไปตีอังกฤษในมลายูกับสิงคโปรเลย เว้นไทยไว้หน่อยเพราะไทยไม่ใช่ศัตรูของญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นบอกว่าไม่ได้ ที่ตั้งของประเทศไทยเป็นจุดยทธศาสตร์ และอังกฤษก็อยู่ในพม่าด้วย ยังไงๆญี่ปุ่นก็ต้องผ่านไทย จะให้ผ่านแบบเพื่อนหรือผ่านแบบผู้ยึดครองเท่านั้นเอง จอมพล ป.ก็เลือกเป็นเพื่อนกับญี่ปุ่นไว้ในใจ

ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบกที่เมืองไทยเพียงวันเดียว ทูตญี่ปุ่นในกรุงเทพพร้อมด้วยนายทหารยี่สิบกว่าคน พวกนี้ฝังตัวอยู่ในกรุงเทพนานแล้วภายใต้หน้าฉากที่เป็นตากล้องบ้าง หมอฟันบ้าง พ่อค้าธรรมดาๆบ้าง วันนั้นแต่งเครื่องแบบติดยศ ขัดดาบซามูไรบุกทำเนียบเข้ามาขอพบนายกรัฐมนตรีแต่เช้า แต่จอมพล ป.ไปตรวจเยี่ยมทหารอยู่อรัญประเทศ พล.ต.อ.อดุลรองนายกรักษาการอยู่สั่งให้นายดิเรกกับนายวณิชไปถามว่ามีความประสงค์อะไร ทูตบอกว่ามาฟังคำตอบว่าจะยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านหรือไม่ จะขอคำตอบในบัดนี้ พล.ต.อ.อดุลให้ไปบอกว่าเรื่องนี้ใครก็ตัดสินใจไม่ได้ต้องรอนายกคนเดียว แต่กำลังจะกลับเข้ามาแล้ว ญี่ปุ่นรอแล้วรออีกจนทูตกลับไปก่อน ให้ทหารเฝ้าไว้เอาคำตอบให้ได้ว่าyesหรือno กว่าจอมพล ป.จะมาถึงก็เช้าวันรุ่งขึ้น พอกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันใดมาถึง ทหารญี่ปุ่นก็เข้ามาล้อมตัวขอคำตอบ

คุณจีรวัสส์ บุตรีของจอมพล ป.หรือป้าจีไปพูดตอนสัมนาที่ธรรมศาสตร์ ประมาณว่า ถ้าไม่มีนายวณิชอยู่ที่นั่นแล้วขวางญี่ปุ่นไว้  จอมพล ป.อาจถูกฟันขาดสองท่อนไปแล้ว นายวณิชขอร้องญี่ปุ่นว่า นายกจะต้องตัดสินใจในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้รออีกหน่อย จังหวะนั้นจอมพล ป.ก็แหวกพวกญี่ปุ่น วิ่งขึ้นบันไดก้าวละสองขั้นขึ้นมาห้องประชุมที่ชั้นสองได้ ป้าจีบอกว่าจอมพล ป.รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณนายวณิชมาก


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ก.ค. 10, 22:54
นายวณิช คือใคร เดี๋ยวคุณย่านางจะถามอีก ก็จะขอว่าต่อไปเลย

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี2475 คณะราษฎรจะขอจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองมิได้ เพราะบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญยังห้ามตั้งพรรคการเมือง บุคคลกลุ่มหนึ่งจึงได้ขอจดสมาคมคณะราษฎรขึ้นแทน โดยมีพระยานิติศาสตร์ไพศาล ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม นายประยูร ภมรมนตรี เป็นอุปนายก และนายวณิช ปานะนนท์ เป็นเลขาธิการ ชื่อนายวณิชจึงเริ่มเข้ามาโยงใยกับการเมือง

เมื่อกระทรวงกลาโหมจัดตั้งแผนกเชื้อเพลิงขึ้นในปีพ.ศ. 2476 ได้มอบหมายให้นายวณิชเป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายให้แก่ส่วนราชการ ทำให้สามารถซื้อน้ำมันได้ถูกลงกว่าที่ซื้อกับบริษัทฝรั่งประมาณปีละแสนเศษ ตรงนี้พล.ต.อ.อดุลนิยามนายวณิชว่าเป็นพ่อค้าแล้วเรียบร้อย เมื่อตั้งกรมเชื้อเพลิงเมื่อปี 2480 จอมพล ป.ก็แต่งตั้งเจ้ากรมคนแรกหรือสมัยนี้เรียกว่าอธิบดีคือ นายวณิชคนเดิมผู้ซึ่งดูแลเรื่องน้ำมันมาตั้งแต่แรก โดยใช้การบริหารคลังน้ำมันที่ศึกษาจากประเทศญี่ปุ่น ต้นแบบของประเทศไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง
 
ตอนอยู่จุฬาขับรถกระป๋องไปเรียน ผมเคยเติมน้ำมันสามทหารลิตรละ2บาท ถูกกว่าตราหอย ตราม้าบิน 50สตางค์ ผมเติมทีละ5บาท ใช้ได้2-3วัน แต่รถไม่ค่อยวื่ง ถ้าวันไหนไม่จนจริงๆก็ไม่เติมสามทหาร กลัวรถพัง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ก.ค. 10, 23:00
พอญี่ปุ่นขึ้น จอมพล ป.ปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ เอานายปรีดีที่ญี่ปุ่นไม่ไว้ใจออกไปเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เอานายวิลาศ โอสถานนท์ที่ญี่ปุ่นไม่ชอบหน้าเพราะภรรยาเกี่ยวดองกับคนในรัฐบาลจีนออกไปนอนอยู่บ้าน เอานายวณิชมาแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีแทน  พล.ต.อ.อดุลโกรธมาก หาว่าญี่ปุ่นสั่ง จึงพยายามจับผิดว่านายวณิชขายชาติด้วยการเอาความลับในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปบอกญี่ปุ่น ครั้งหนึ่งเอาหลักฐานอะไรไม่ทราบไปให้จอมพล ป.ดูแล้วบอกให้จอมพล ป.ไล่ออก จอมพล ป.ตกลงจะไล่ออก แต่พล.ต.อ.อดุลรออยู่นานไม่เห็นออกสักที ปรากฏว่าจอมพล ป.เกิดเปลี่ยนใจเฉยๆ

พล.ต.อ.อดุลให้ตำรวจเกสตาโปของตนพยายามเอาเรื่องนายวณิชขายชาติให้ได้ แต่ในที่สุดก็ยอมรับว่าหาหลักฐานไม่ได้ ในช่วงปลายสงคราม ญี่ปุ่นอ่อนลงมากแล้ว พล.ต.อ.อดุลก็สั่งจับนายวณิชข้อหากระทำการอันเป็นทุจริตต่อหน้าที่ คดียังไม่ทันถึงศาลปรากฏเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ว่านายวณิช ฆ่าตัวตายในห้องขัง บรรดาสมาชิกสภากาแฟอ่านแล้วส่ายหัว เชื่อว่ามรณกรรมนี้ ตำรวจเป็นผู้อำนวยการสร้าง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.ค. 10, 23:11
อย่างนี้นี่เอง
ในคำให้การของพลต.อ. อดุล  คดีจอมพลป. โดนข้อหาอาชญากรสงคราม นายวณิชโดนท่านอธิบดีปล่อยหมัดดุเดือดอยู่ไม่น้อย     ดิฉันก็เพิ่งรู้จากกระทู้นี้ว่านายวณิชเสียชีวิตไปแล้วตอนปลายสงคราม 
ขอแยกซอยหน่อยนะคะ  เข้าใจว่าหลายท่านในเรือนไทยคงจะยังจำน้ำมันสามทหารได้     ดิฉันลืมไปสนิท ไม่รู้ว่าหายไปจากประเทศเมื่อไร  หรือกลายเป็นปั๊มน้ำมันอะไรในเวลานี้
แต่จำได้ว่าเราไม่ค่อยจะนิยมใช้กัน  กลัวรถพังอย่างที่ว่า  น้ำมันที่ใช้กันมากที่สุดน่าจะเป็นเชลล์


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ก.ค. 10, 07:01
เรื่องของนายวนิชยังมีอีกนิดหน่อย อาจารย์ชีวินจากมศว.ประสานมิตรกล่าวในที่ประชุมสัมนาว่าจอมพล ป. ฉลาดยิ่งกว่าจะเดินเกมการเมืองโดยเปิดเผย มีการทูตใต้ดินตลอดเวลา กิจการระหว่างประเทศก็มีงานจารกรรมทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งทุกยุคสมัยการปกครองของไทยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาก็ใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้แหละ ตอนบั้นปลายชีวิตของจอมพล ป.ที่เลือกอยู่ในญี่ปุ่นจนถึงแก่อนิจกรรมนั้น ภรรยาของท่านบอกว่ากลุ่มมิตซุยได้มาช่วยอุปถัมภ์ อาจารย์ชีวินชี้เรื่องนี้เชื่อมโยงได้กับการค้าในอดีตของนายวนิช

คนญี่ปุ่นโดยเบื้องฐานเป็นคนมีจริยธรรมอย่างยิ่งตามประสพการณ์ที่ผมได้คบค้ากับเขามา ถ้าเราจริงใจเขาก็จริงใจด้วย ผมไม่แปลกใจเลยถ้าเรื่องที่อาจารย์ชีวินกล่าวนั้นจะเป็นความจริง เพราะคนญี่ปุ่นจะไม่ทอดทิ้งคนอย่างจอมพล ป.แน่นอน แม้จะเพราะนายวนิชหรือไม่ก็ตาม


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ก.ค. 10, 07:31
เพื่อความเป็นธรรมต่อนายวณิช การค้าขายกับต่างชาติในนามรัฐบาลนั้น คนอย่างพล.ต.อ.อดุลอาจให้ลูกน้องไปหาเอกสารมาตั้งข้อหาว่าทุจริตต่อหน้าที่ได้ไม่ยาก เท็จจริงอย่างไรนายวณิชไม่มีโอกาสไปพิสูจน์ตนเองในศาล ผมไปเจอเรื่องนี้โดยบังเอิญในเนต ร.ต.อ.เฉียบ ชัยสงค์ นายตำรวจสันติบาลได้บันทึกเรื่องราวของตนเองเมื่อ จอมพลผิน ชุณหวัน พ่อของอดีตนายกชาติชาย ร่วมมือกับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม หลังจากพ้นข้อกล่าวหาในคดีอาชญากรสงครามแล้ว ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ในพ.ศ. 2490  เลยต้องขออนุญาตคัดมาฝากท่านผู้อ่านของผม
              …………………………………………………………………

คำสั่งทหารแห่งประเทศไทย
กระทรวงกลาโหม

เรื่อง ให้นายตำรวจออกจากราชการที่ ๖๙/๙๐ ๑๐ พ.ย. ๙๐

ให้นายตำรวจออกจากราชการดังมีรายนามต่อไปนี้๑.พ.ต.ต.เชาว์ คล้ายสัมฤทธิ์ ผู้กำกับการกอง ๒ กองตำรวจสันติบาล๒.ร.ต.อ.เฉียบ ชัยสงค์ สารวัตรแผนก ๒ กองตำรวจสันติบาล ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

รับคำสั่ง ฯ

(ลงนาม) พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ
รองผบ. ทหารแห่งประเทศไทย


^

ข้าพเจ้าทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้หวายตัวใหญ่นั้นในห้องรับแขก ทบทวนดูคำสั่งนั้นครั้งแล้วก็ครั้งเล่า ช่างเป็นการง่ายดายเสียเหลือเกินในการปลดข้าพเจ้าออกจากราชการและสำเร็จลงในชั่วพริบตาเดียว นายทหารกองหนุนลุกขึ้นทำการรัฐประหาร แล้วสั่งปลดนายตำรวจประจำการโดยไม่มีความผิดแต่ประการใด นี่ความเป็นธรรมที่ข้าพเจ้าได้รับ คำสั่งนี้มิได้ผ่าน ก.พ. มิได้ผ่านเจ้ากระทรวง หรือมีคำสั่งของเจ้ากระทรวงออกทับสั่งการมาภายหลังแต่อย่างใด

ดวงตาของข้าพเจ้าพร่าพราวมองเห็นดวงหน้าจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผุดขึ้นในมโนภาพซึ่งข้าพเจ้าได้เข้าพบท่านในห้องประชุมในกระทรวงกลาโหมเมื่อไม่กี่สิบชั่วโมงผ่านไปนี้เอง ข้าพเจ้าได้พบแต่แววตาที่สดใสแห่งมิตรภาพ แต่เหตุไฉนเล่าคำสั่งฉบับนี้จึงผ่านออกมาได้อย่างประหลาด ภาพดวงหน้าของจอมพล เลือนหายไป ภาพใบหน้าของนายวณิชย์ ปานะนนท์ก็ลอยเข้ามาแทนที่ หวลคิดไปถึงความหลังที่เกี่ยวข้องทำนองเดียวกัน

ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเข้าเวรเป็นนายตำรวจที่รับผิดชอบควบคุม นายวณิชย์ ปานะนนท์ รัฐมนตรีผู้ตกอับเอามือล้วงดึงซองบุหรี่นาค ออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งลอดช่องซึ่ลูกกรงมาอวดข้าพเจ้า เมื่อได้พลิกดูแล้วก็ปรากฏว่ามีอักษรจารึกไว้ว่า “เจรจาดีที่โตเกียว” แล้วก็มีลายเซ็นของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่า ซองบุหรี่นาคนั้นเป็นของที่ระลึกจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ในโอกาสที่นายวณิชย์ไปเจรจาการเมือง ณ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นซึ่งเกี่ยวด้วยกรณีอินโดจีนเป็นผลสำเร็จ จึงได้จารึกว่า “เจรจาดีที่โตเกียว” นายวณิชย์ส่ายหน้ากับข้าพเจ้าพร้อมทั้งกล่าวว่า

“ผมได้ซองบุหรี่นี้เป็นที่ระลึกพิเศษทีเดียว แต่ลายเซ็นอันนี้ก็ช่วยอะไรผมไม่ได้ !”

ข้าพเจ้าสงสารเขา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เสียจริง ๆ แม้แต่เขาจะร้องขอให้ข้าพเจ้าโทรศัพท์ไปที่บ้าน เพื่อขอร้องให้ภรรยาสุดที่รักของเขาตำน้ำพริกสัมมะขามส่งไปให้กินในเย็นวันนั้น ข้าพเจ้าผู้มีวินัยจัดก็มิได้ผ่อนผันให้เขาเสียเลย และต่อมาไม่นานนักเขาก็จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันจะฟื้นขึ้นมาอีก

บัดนี้ จิตสำนึกใหม่เข้ามาแทนที่แล้วข้าพกลายเป็นคนบาปหนา มีจิตใจเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานที่ไม่ยอมผ่อนผันแม้แต่เรื่องผู้ต้องหาที่ไร้อิสรภาพ จะขอติดต่อกับทางบ้านเพียงยกหูโทรศัพท์เจรจาเรื่องขอกินนำพริกส้มมะขาม

ข้าพเจ้ากลายเป็นบุคคลที่ประกอบทารุณกรรม ไม่มีจิตใจแห่งมนุษยธรรม ทำให้ข้าพเจ้าเสียใจอยู่ไม่หาย ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ แหละบัดนี้ก็ถึงคราวข้าพเจ้าขึ้นมาบ้างแล้ว “เจรจาดีที่โตเกียว” นั้นย่อมแสดงสรรพคุณว่าอยูในขั้นเลิศ แต่แล้วลายเซ็นอันนั้นก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ และในที่สุดก็มรณภาพอยู่ในห้องขังนั้น


ข้าพเจ้าล่ะ, มีอะไรดีไปกว่าอดีตรัฐมนตรีวณิชย์ ปานะนนท์ที่วายชนม์ไปแล้วนั้นหรือ ? เปล่าเลยข้าพเจ้าไม่มีความดีอะไรที่ถึงกับอาจหาญเอาไปเปรียบเทียบกับบุคคลชั้นนั้นได้ ข้าพเจ้าเป็นเพียง “ม้าใช้” ที่วิ่งไปมาเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นแล้ว ที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝันถึงบุคคลคนเดียวกันนี้ว่า ท่านได้ส่งสายตาอันแนบสนิทมายังข้าพเจ้า แววตานั้นเต็มไปด้วยความสนิทสนมเป็นกันเอง ความเมตตาปรานีและอย่างมีมิตรภาพนั้นจะช่วยอะไรข้าพเจ้าได้บ้างเล่า ?

ข้าพเจ้าว้าเหว่เสียเกินแล้ว เหมือนกันเรือใบที่ปราศจากลูกเรือมีแต่ข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวกำลังแล่นไปสู่ทะเลลึกโดยปราศจากเข็มทิศ ชีวิตของข้าพเจ้าจะเป็นอย่างไรต่อไปเป็นเรื่องของอนาคต ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มี “นาย” แม้แต่ท่านปรีดี พนมยงค์ก็ไม่ใช่นายของข้าพเจ้า เนื้อแท้นั้นคือข้าพเจ้าทำงานมาด้วยลำแข้งของตนเอง และบัดนี้ก็ถึงคราวที่จะต้องเผชิญชีวิตต่อไป

ข้าพเจ้าลงนามรับทราบคำสั่งนั้น อย่างดุษณียภาพโดยปราศจากเงื่อนไข ท่านผู้บังคับการสันติบาลส่งมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ท่านเขย่ามือข้าพเจ้าอย่างหนักแน่นและเห็นอกเห็นใจ มือของข้าพเจ้าถูกบีบอย่างแรงก่อนที่เราจะผละออกจากกัน

ข้าพเจ้าออกจากห้องรับแขกบ้านผู้บังคับการซึ่งอยู่ ณ มุมบริเวณกองสันติบาลนั้น ข้าพเจ้ายืดอกขึ้นเพ่งดูตัวตึกสันติบาลอันสง่างามนั้นด้วยความอาลัย ลาก่อนสันติบาล, ข้าพเจ้าจำต้องจากไปแล้วด้วยความรักและอาลัย เลือดเนื้อของข้าพเจ้าเป็นตำรวจทุกหยาดในกรมตำรวจ มีวิญญาณเป็นตำรวจทั้งหลับทั้งตื่น
            ………………………………………………………………



ผมคงต้องผ่านเรื่องของนายวณิชไปเพียงเท่านี้นะครับ มีผู้ใดงงมั้ยครับ งง..ก็ให้รู้ตัวว่างง   ไม่ต้องทำอะไร    สักพักก็จะลืมไปเอง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.ค. 10, 08:16
กิจการระหว่างประเทศก็มีงานจารกรรมทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งทุกยุคสมัยการปกครองของไทยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาก็ใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้แหละ


หูผึ่งขึ้นมาทันที    หากว่าจะตั้งเป็นกระทู้ใหม่ในอนาคตก็จะยินดีมากค่ะ

******************
ที่เขาว่าในการเมืองไม่มีมิตรและศัตรูถาวร  น่าจะเป็นความจริง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ก.ค. 10, 13:37
ท่านอาจารย์ใหญ่จ้ำเรือจ้างออกปากอ่าวชวนผมไปข้ามทะเลย้อนยุคไปหาข่าวที่เกาะญี่ปุ่นช่วงสงครามโน้นแล้ว จะไหวหรื้อ..อะไรที่เป็นราชการลับ มันก็เป็นความลับ ถ้าเจ้าตัวที่เกี่ยวข้องไม่เขียนไว้ ก็คงไม่มีหลักฐานให้ค้น บังเอิญญี่ปุ่นลากไทยไปเป็นฝ่ายแพ้ ใครจะอยากจะเขียนวีรเวรของตนให้ถูกกล่าวหาว่าขายชาติ ไม่ใช่ฝ่ายผู้ชนะอย่างเสรีไทยนี่ครับ นั่นน่ะเขียนรวมเล่มหนาตั้งคืบ อ่านกันตาเปียกตาแฉะ

แต่เมื่อท่านว่าอย่างนั้น ผมก็จะแบบว่ารีบไปรีบกลับก็แล้วกัน

ไทยและญี่ปุ่นได้สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว ไทยและญี่ปุ่นได้พัฒนาความสัมพันธ์แน่นแฟ้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯครั้งทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ภายหลังจากทรงสำเร็จการศึกษาที่อังกฤษแล้ว ได้เสด็จนิวัตประเทศไทยทางเรือผ่านสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยประทับที่ญี่ปุ่นเป็นเวลาเดือนเศษ ทรงเยี่ยมชมการศึกษาของสตรีที่ทรงประทับใจมาก เมื่อเสด็จกลับมาแล้วได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถถึงเรื่องนี้ จึงนับว่านั่นเป็นจุดกำเนิดของโรงเรียนราชินีในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่อเริ่มต้นนั้น ก็ได้ใช้บุคลากรจากญี่ปุ่น
นอกจากนี้ เสด็จทอดพระเนตรโรงพยาบาลของกาชาดญี่ปุ่น เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดเกล้าฯให้จัดสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ขึ้น โดยให้โรงพยาบาลนี้เป็นของสภากาชาดสยาม
รัชสมัยต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าฯและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทย

ภายหลังสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ชาวญี่ปุ่นได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศสยาม นำโดยบริษัทมิตซุยได้เริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจในกรุงเทพตั้งแต่ปี 2449 โดยได้เปิดสำนักงานตัวแทนทางการค้า(TRADING COMPANY) ขึ้นใกล้ๆกับโรงแรมโอเรียนเต็ล ตอนนั้นงานหลักก็คือส่งออกไม้สักจากประเทศไทยไปยังประเทศญี่ปุ่น
ต่อมาเมื่อเปิดเส้นทางเดินเรือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเมื่อปี 2469 โดยสายการเดินเรือ Osaka Shusen แล้ว การค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขยายตัวขึ้นเป็นอย่างมาก บริษัทญี่ปุ่นได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง มิตซุยได้เป็นตัวแทนของผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมหลายชนิด นำเข้ามาขายในประเทศไทย และซื้อกลับข้าวไทยส่งออกไปยังต่างประเทศเป็นรายใหญ่อีกด้วย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง มิตซุยได้โควต้าเพิ่มขึ้นจนจัดเป็นหนึ่งในห้าของผู้ส่งออกข้าวไทย ตรงนี้แหละที่อาจารย์ประวัติศาสตร์พยายามจะขุดคุ้ยกองเอกสารในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มาแถลงว่าเป็นโยงใยในสายงานลับของจอมพล ป.

ก็แล้วค้าข้าวมันไปเกี่ยวอะไร เพื่อไม่ให้คุณย่านางต้องชูมือถามอีก มันเกี่ยวเพราะว่านายวณิชเป็นกรรมการคนสำคัญของสมาคมข้าว มิตซุยซื้อข้าวแต่ขายไม้จิ้มฟันยันเรือรบ จอมพล ป.มิได้สนใจไม้จิ้มฟันเมดอินแจแปน แต่สนเรือรบ

คุยไปคุยมา มิตซุยเสนอราคาเรือดำน้ำให้ถูกมาก ถูกกว่าเยอรมันกับอิตาลีเกือบเท่าตัว แต่ก่อนแต่ไรไทยเป็นลูกค้าอาวุธสงครามจากยุโรป ตอนจะเกิดสงครามประเทศในยุโรปไม่มีใครอยากขายอาวุธให้ไทยนอกจากอิตาลี่ ได้ต่อเรือตอร์ปิโดขายให้ชุดหนึ่ง ส่วนเครื่องบินขับไล่ซื้อจากอเมริกาฝูงใหญ่ พอจอมพล ป.ถามราคาจะซื้อเครื่องบินทิ้งระเบิดอีกสักฝูงนึง อเมริกาก็บอกว่าไอ้หนูเอ๋ย ไอ้นั่นน่ะไม่ใช่ของเล่น เอ็งจะป้องกันตัวน่ะ เครื่องบินขับไล่ก็พอแล้ว จอมพล ป.เขินเพราะอเมริการู้ไต๋ว่าเตรียมกองทัพจะไปเอาเรื่องกับฝรั่งเศส เลยหันไปหาญี่ปุ่น สั่งต่อเรือปืนธนบุรีและศรีอยุธยาจากญี่ปุ่น คงจะมิตซุยที่เป็นนายหน้าตัวแทนจัดหาอู่คาวาซากิให้ หลังพิพาทกับฝรั่งเศสจบ ก็ได้จัดซื้อเครื่องบินรบจากญี่ปุ่นหลายฝูง ทั้งของกองทัพอากาศและกองทัพเรือ

ครั้นเจรจากันไปเจรจากันมาในบรรยากาศญี่ปู้นญี่ปุ่น ขณะคีบโทโร่เข้าปากค่อยๆเคี้ยวเบาๆ ให้เนื้อพุงปลาทูนาน้ำลึกครีบสีน้ำเงินกำซาบลงไปทั่วแผ่นลิ้น ก่อนจะละลายตัวเองลงคอไป ช่วงละเลียดสาเกร้อนๆล้างคอตาม น่าจะมีเวลาสนทนาเรื่องสถานะการณ์โลกและแนวทางของบ้านเมืองบ้าง

ตรงนี้ละครับที่ผมฟังเขาไม่รู้เรื่อง ขอกลับเข้ากระทู้ดีกว่า


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.ค. 10, 16:38
ขอบคุณมากค่ะ คุณนวรัตน  เป็นความรู้ใหม่ของดิฉัน และสมาชิกเรือนไทยอีกหลายคนทีเดียวนะคะ เรื่องนี้

อ้างถึง
ครั้นเจรจากันไปเจรจากันมาในบรรยากาศญี่ปู้นญี่ปุ่น ขณะคีบโทโร่เข้าปากค่อยๆเคี้ยวเบาๆ ให้เนื้อพุงปลาทูนาน้ำลึกครีบสีน้ำเงินกำซาบลงไปทั่วแผ่นลิ้น ก่อนจะละลายตัวเองลงคอไป ช่วงละเลียดสาเกร้อนๆล้างคอตาม


อ่านกระทู้นี้นอกจากหิวข่าวแล้ว  ยังชวนหิวข้าวญี่ปุ่นอีกด้วย    :)
************************
หมายเหตุ   เมื่อเช้านี้ พิมพ์คำตอบใส่ notepad ไว้  ยังไม่เสร็จ   ก็มีธุระต้องออกนอกบ้านไปก่อนเลยไม่ได้โพสต์    กลับมา คุณนวรัตนสืบราชการลับสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เสร็จ   ก็ชวนบรรดานักเรียนไปกินโทโร่แกล้มสาเกกันอิ่มหนำเสียแล้ว
จะทิ้งข้อความก็เสียดาย   เลยเอากลับมาลงให้อ่านอีกที   ถ้าตอนไหนผิดท่านกูรูใหญ่กว่าคงจะแก้ไขให้ถูกต้องเอง

ลองเอาสปอตไลท์จับที่นายวนิช ปานะนนท์ สักนิด  เป็นการไว้อาลัย

คุณนวรัตนเล่าไว้ก่อนหน้านี้ว่านายวนิชเป็นสมาชิกของ "คณะราษฎร์"   ไปค้นพบเพิ่มนิดหน่อยว่า แม้ว่าเป็นพลเรือน แต่ก็อยู่สายทหารเรือ    จากนั้นก็ทำงานร่วมกับจอมพลป. ถูกอัธยาศัยเป็นที่ไว้วางใจ    นายวนิชรับผิดชอบด้านการค้าระหว่างประเทศ    มีสายงานประสานกับญี่ปุ่น 
จนถึงสงครามมหาเอเชียบูรพา      ความคิดของสองบิ๊กรัฐบาลคือจอมพล ป. และนายปรีดี รมว.คลัง เริ่มแตกออกเป็นสองขั้ว  โดยมีประเด็นเรื่องญี่ปุ่นบุกไทยอยู่ตรงกลาง   
ญี่ปุ่นหนุนหลังจอมพล ป.   จนนายปรีดีพ้นจากค.ร.ม. ไปเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตำแหน่งเดียว     คนที่จอมพลป.ไว้วางใจให้มารับผิดชอบในตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คือนายวนิช ปานะนนท์    จะเห็นได้ว่ากระเป๋าเงินของรัฐในยุคนั้น ปิดหรือเปิดให้โครงการไหนก็ตาม ผ่านความรับผิดชอบของนายวนิช   โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดนโยบายอีกที

ความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่นที่นายวนิชมีตั้งแต่ก่อนสงคราม  ทำให้พลต.อ.อดุล  เล็งเป็นพิเศษ ว่านายวนิชฝักใฝ่ญี่ปุ่นจนเกินงาม   แต่จนแล้วจนรอดก็หาหลักฐานมามัดกันชัดๆไม่ได้   ข้อนี้ก็ต้องยกประโยชน์ให้ว่านายวนิชคงไม่ได้ทำอะไรเกินงามกับญี่ปุ่น   มิฉะนั้นตำรวจคงสืบหาหลักฐานพบเสียนานแล้ว
ก่อนหน้าสงคราม   นายวนิชถูกทางการตั้งกรรมการสอบสวน ข้อหาร้ายแรงว่าขายชาติ     มีสาเหตุมาจากบัตรสนเท่ห์ใบเดียว  แต่ตำรวจสืบสวนแล้วก็ไม่มีหลักฐาน    จอมพลป.ก็ยังไว้ใจใช้สอยนายวนัชด้วยดีเช่นเดิม 

ส่วนพลต.อ.อดุล เราคงจำได้ว่าท่านเริ่มหันไปทางเสรีไทยตั้งแต่ปี ๒๔๘๗  ก่อนสงครามโลกจบลงปีเดียว     เมื่อท่านสนับสนุนเสรีไทยก็แปลว่าท่านไม่สนับสนุนญี่ปุ่น     หรือพูดกลับกันก็ได้  ว่าท่านไม่สนับสนุนญี่ปุ่น ท่านจึงสนับสนุนเสรีไทย ซึ่งเป็นฝ่ายพันธมิตรอังกฤษและอเมริกา
สงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น    เสรีไทยผงาดขึ้นมาเป็นฮีโร่     เพราะฉะนั้นใครที่เคยร่วมมือกับญี่ปุ่นด้วยดีก็จะต้องระวังตัวอย่างหนักว่าจะถูกเช็คบิลล์ย้อนหลัง    นายวนิชอาจจะถูกย้อนศรในเรื่องนี้ก็เป็นได้     นับว่าเป็นชะตากรรมที่น่าเศร้าใจ   แม้แต่จอมพล ป.  อดีตนายโดยตรงของนายวนิชซึ่งเคยช่วยเขาให้พ้นภัยมาก่อนก็ช่วยอีกไม่ได้  นายวนิชกลายเป็นจำเลยของกฎหมายบ้านเมือง   ในที่สุดก็ถึงตอนจบอย่างที่ร.ต.อ. เฉียบบันทึกเหตุการณ์ไว้






กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.ค. 10, 18:28
ก่อนจะถึงตอนจบสงครามมหาเอเชียบูรพา  ที่จอมพลป.พ้นจากตำแหน่งนายกฯ และถูกส่งตัวขึ้นศาลพิจารณาคดีในฐานะอาชญากรสงคราม  ที่พลต.อ. อดุล ให้การในศาลเล่นท่านไม่ยั้ง     คุณนวรัตนคงมีประเด็นมันๆ มาเล่าให้ฟังเอง
ระหว่างนี้ก็คั่นโปรแกรมตามเคย  ด้วยการเล่าถึงปลายๆสงครามว่ามีอะไรใหญ่ๆเกิดขึ้นบ้าง      ถ้าพูดถึงเรื่องใหญ่จริงๆก็ย่อมจะข้ามเรื่องเมืองหลวงใหม่ไปไม่ได้     เรื่องนี้เล่าไว้สั้นๆในกระทู้พระยาทรงสุรเดช    ดิฉันก็จะขยายต่อส่วนนี้นะคะ

ต้นๆปี 2486  จอมพลป. ตัดสินใจจะย้ายเมืองหลวงไปที่เพชรบูรณ์    ขนาดออกพ.ร.ก.มาให้รู้ว่าเอาจริง  กำหนดย้ายหน่วยราชการทั้งหมดไปที่นั่น  ถึงกับลงทุนสร้างสถานที่ราชการชั่วคราวเอาไว้   วางแผนอพยพราษฎรไปอยู่ที่นั่น    เตรียมการถึงขั้นสร้างศาลหลักเมืองขึ้นที่หล่มสัก 
เพชรบูรณ์เมื่อ ๖๐ กว่าปีก่อน  เป็นเมืองน้อยในขุนเขาซับซ้อน มีประชากรนิดเดียว   ในสายตาคนนอก ช่างลึกลับซับซ้อน  ไปถึงยากเย็น ปานประหนึ่งมรกตนครในเพชรพระอุมา   

ดิฉันมีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเป็นชาวหล่มสัก   มาเข้าเรียนประถมที่ร.ร.เขมะสิริอนุสรณ์ หลังสงครามโลกจบไปแล้วหลายปี     เธอเคยเล่าถึงการเดินทางว่ามีแต่รถไฟเท่านั้น ที่จะพาเธอจากบ้านมาเมืองหลวงได้  แต่ก็ข้ามวันข้ามคืนกว่าจะมาถึง  เดินทางทียาวนานเหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่านั่งเครื่องบินจากกรุงเทพไปนิวยอร์คเสียอีก       เธอมาอยู่่เมืองหลวงแล้วก็อยู่ประจำไปเลย ปีหนึ่งกลับบ้านหนเดียว  อย่าไปหวังว่าจะกลับได้บ่อยกว่านั้น
ก่อนหน้าพี่เกิดเป็นสิบปี   เพชรบูรณ์ไปมาลำบากขนาดไหนก็ลองเอา ๑๐ คูณเข้าไปดู    เมื่อส้มหล่นลงทั้งกระสอบ  กลายเป็นเมืองหลวงขึ้นมา จอมพลป.จึงต้องตระเตรียมรี้พลมากมาย  ตั้งแต่หาทางอพยพราษฎรเข้าไปทำมาหากิน  ให้ที่ดินทำกิน เพื่อจะให้เมืองอุ่นหนาฝาคั่งด้วยกำลังคน

ที่หนักหนาสาหัสกว่านี้คือเกณฑ์คนมาสร้างเมืองหลวงใหม่   และสร้างทางคมนาคมเข้าไปที่จังหวัด   คือถนนสายตะพานหิน เป็นเส้นทางคมนาคมเพียงทางเดียวที่จะพาโลกภายนอกเข้าไปในเพชรบูรณ์ได้   ถึงขั้นเกณฑ์แรงงานราษฎรมาจาก 29 จังหวัด จำนวนนับแสนคนมาสร้างทาง   แต่เส้นทางสร้างถนนนอกจากทุรกันดารแล้ว ก็ยังชุกชุมด้วยไข้ป่า   ราษฎรล้มตายลงเพราะโรคภัยไข้เจ็บเป็นจำนวนมากมาย     เนื่องจากประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ไม่ค่อยมีใครเอ่ยถึง  คนไทยรุ่นหลังก็เลยไม่รู้กัน    เรารู้จักเชลยศึกที่ถูกเกณฑ์สร้างทางรถไฟสายมรณะที่กาญจนบุรีมากกว่า


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.ค. 10, 18:37
โครงการสร้างเมืองหลวงใหม่ดำเนินการอย่างรีบด่วน   ล่วงหน้าไปก่อนจะเสนอพรก.ต่อรัฐสภา     เป็นโครงการยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ดูได้ตามนี้ค่ะ   ได้มาจากโอเคเนชั่น  ของคุณพิราบดำ

ในด้านการทหาร ได้ย้ายโรงเรียนนายร้อย จ.ป.ร. มาตั้งที่บ้านป่าแดง (ร.ร.นายร้อยป่าแดง) ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองฯ มีการตั้งค่ายทหาร "พิบูลศักดิ์" ที่ตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก ตั้งกระทรวงกลาโหม ที่บ้านป่าม่วง ตำบลท่าพล อำเภอเมืองฯ ย้ายกองทัพอากาศมาที่บ้านสักหลง อำเภอหล่มสัก ซึ่งเดิมวางแผนจะย้ายมาอำเภอท่าโรง (อำเภอวิเชียรบุรี) กรมยุทธโยธา คลังแสงและโรงงานช่างแสง กรมพลาธิการ กรมยุทธศึกษา กรมเสนาธิการทหารบก กรมเสนารักษ์ทหารบก กรมเชื้อเพลิง (โรงบ่มใบยาบ้านไร่) ฯลฯ

 จอมพล ป.พิบูลสงครามได้มอบหมายให้ พลตรีอุดมโยธา รัตนวดี เป็นผู้อำนวยการสร้างเมืองหลวงใหม่ มีหน้าที่สำคัญ คือ กำหนดผังเมือง และอำนวยการสร้าง มีการสร้างถนนชัยวิบูรณ์ จากอำเภอชัยบาดาล ผ่านวิเชียรบุรี มาบรรจบสายตะพานหิน-เพชรบูรณ์ที่วังชมภู ถนนชมฐีระเวช จากชนแดนถึงเขารัง ถนนสามัคคีชัยจากเขารังถึงหล่มสัก โดยมีถนนขนานทั้งฝั่งตะวันออกคือถนนสุวินทวงศ์ และฝั่งตะวันตกคือ ถนนปฐมคชเสนีย์และถนนรัฐวัฒนา มีการตั้งกระทรวงเกษตรฯที่บ้านน้ำคำ ตำบลปากช่อง อำเภอหล่มสัก ตั้งกองชลประทาน มีหน้าที่จัดสร้างทำนบกั้นน้ำ สร้างเขื่อนเหมือง ฝายบำรุงรักษาคลอง และลำห้วยให้สะอาดมีน้ำใช้ตลอดปี ให้มีการลอกห้วยป่าไม้แดง ห้วยน้ำก้อ ทำนบเหมือง ฝายห้วยท่าพล ห้วยน้ำชุน ลำห้วยนา ลำน้ำพุงที่หินอาว อำเภอหล่มเก่า ทำการกักน้ำที่หนองนารี ตลอดจนให้รักษาความสะอาดของแม่น้ำป่าสัก

จอมพล ป.พิบูลสงครามได้วาดผังเมืองใหญ่ 2 แห่ง คือ 1. บริเวณเพชรบูรณ์ 2. บริเวณหล่มสักและหล่มเก่า มีการกำหนดให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ได้กระจายตั้งกันอยู่ทั่วจังหวัด โดยมิให้กระจุกตัวกันอยู่ในเมืองเหมือนกรุงเทพฯมีการสร้างสำนักนายกรัฐมนตรี และศาลารัฐบาล ณ บริวณน้ำตกห้วยใหญ่ หลังที่ตั้งกระทรวงพาณิชย์ ปลายห้วย ป่าไม้แดง โดยให้ พ.ต.ล้อมบูรกรรมโกวิท เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง (ถนนบุรกรรมโกวิทเป็นอนุสรณ์) นอกจากนั้นยังสร้างทำเนียบ "บ้านสุขใจ" ติดแม่น้ำป่าสัก เป็นที่พักอาศัยของจอมพล ป.พิบูลสงครามและครอบครัว (บริเวณโรงน้ำแข็งเพชรเจริญเดิม) ทำเนียบ "สามัคคีชัย" ที่เขารัง และทำเนียบที่บ้านน้ำก้อใหญ่ไว้เป็นที่พักแรมมีถนนเข้าชื่อ เชิดบุญชาติ มีการวางแผนสร้างบ้านบัญชาการสำนักนายกฯ ที่บริเวณบึงสามพันด้วย

ได้มีการจัดงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสร้างศาลากลางเพชรบูรณ์ (บริเวณเดียวกับที่ตั้งศาลากลางจังหวัดปัจจุบัน) และการเตรียมย้ายรัฐบาลมายังเพชรบูรณ์ จนกระทั่งมีการแต่งตั้ง พ.อ.ช่วงเชวงศักดิ์สงคราม เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ดูแลกิจการทั้งสิ้นที่เพชรบูรณ์แทนนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจอย่างนายกฯเรียกว่า รองนายกฯ ประจำเพชรบูรณ์ และเมื่อเดือนตุลาคม 2486 ได้มีการปรับปรุงเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ให้เป็นเทศบาลนครเพชรบูรณ์ เพื่อรองรับการก่อสร้างและการขยายตัวของเมืองหลวงใหม่

ได้มีคำสั่งย้ายกรมโยธาเทศบาล (กรมโยธาธิการ) มาอยู่บ้านยาวี อำเภอเมืองฯ จัดการวางผังสร้างกรมไปรษณีย์ กรมทาง และกรมขนส่ง ที่บ้านท่าพล อำเภอเมืองฯ มีการวางแผนสร้างทางรถไฟจากอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี มาที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จนถึงจังหวัดเลย มีการสร้างบำรุงถนนสายหลักเพชรบูรณ์ ตั้งแต่เชิงเขาวังชมภูถึงค่ายทหาร บ้านหินอาว อำเภอหล่มเก่า ตั้งกระทรวงศึกษาที่บ้านหนองแส ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก แม้แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีแผนที่จะต้องอพยพมาเปิดสอนที่เพชรบูรณ์ด้วย โดยจะสร้างที่บ้านไร่ ตำบลสะเดียง แต่ขณะนั้นโรงเรียนเตรียมจุฬาฯ ได้อาศัยเรียนที่โรงเรียนเมืองเพชรบูรณ์ (เดิมเป็นโรงเรียนเพชรพิทยาคม)

การก่อสร้างและติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น จอมพล ป.พิบูลสงครามได้สั่งการให้ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไว้หลายแห่งทั้งในเมืองและหน่วยราชการมีการเพิ่มโทรศัพท์ให้เพียงพอแก่ความต้องการของราชการปรับปรุงการโทรเลข มีการสร้างโรงหนังไทยเพ็ชรบูรณ์  สโมสรรัตนโกสินทร์และโรงแรมขึ้นในเขตเมืองเพชรบูรณ์เพื่อให้ข้าราชการได้ใช้เวลามาตรวจราชการ มีการสั่งการให้สร้างตลาดสดและอาคารเช่า 3 แห่ง คือ ตลาดเพชรบูรณ์ ตลาดวังชมภู และตลาดหล่มสัก ซึ่งทุกแห่งต้องมีโรงมโหรสพด้วย มีการออกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในนครบาลเพชรบูรณ์ชื่อ เพชรบูลชัย

ได้มีการสั่งย้ายโรงพิมพ์ทุกประเภทมาที่เพชรบูรณ์ เพื่อเวลากรุงฯถูกโจมตีทางอากาศไม่สามารถทำงานได้ จะได้ใช้โรงพิมพ์ตั้งใหม่ที่เพชรบูรณ์ พิมพ์หนังสือราชการ (ตั้งอยู่บ้านป่าแดง) และโรงพิมพ์ธนบัตร(อยู่ที่หนองนายั้ง) จัดตั้งโรงเลื่อยที่วังชมภูโดยกรมยุทธโยธา (โรงเลื่อย ยย.) สร้างกระทรวงสาธารณสุขที่บ้านวังซองตำบลท่าพล อำเภอเมืองฯ และโรงพยาบาลที่ร่องแคน้อย ตำบลสะเดียง (บริเวณสถาบันราชภัฏเพชรบูรณ์ปัจจุบัน) ให้ชักชวนผู้รับเหมางานที่เพชรบูรณ์ เพราะมีการก่อสร้างทั้งส่วนราชการและเอกชนจำนวนมาก หากไม่มีใครมาก็ต้องเกณฑ์ให้มาจนพอแก่งาน

วันที่ 20 กรกฎาคม 2487 รัฐบาลจอมพล ป.พอบูลสงคราม ได้เสนอพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ พ.ศ. 2487 ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออนุมัติเป็นพระราชบัญญัติ มีผลดำเนินการอย่างถาวรตลอดไป แต่สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่อนุมัติด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ 36 ด้วยเหตุผลว่า "เพชรบูรณ์เป็นแดนกันดารภูมิประเทศเป็นป่าเขาและมีไข้ชุกชุม เมื่อเริ่มสร้างเมืองนั้นผู้ที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานล้มตายลงนับเป็นพัน ๆ คน...."
เหตุผลเบื้องหลังการโหวตไม่เอาเพชรบูรณ์   เกิดจากตอนนั้นเป็นเวลาปลายสงครามแล้ว    สถานการณ์เริ่มชี้ชัดไปในทางว่า พันธมิตรน่าจะมีชัย     ญี่ปุ่นอาจจะไปไม่รอด   ดังนั้นจึงมีการจับมือประสานในหมู่นักการเมืองบิ๊กๆ    ล็อบบี้กันว่าจะให้จอมพลป.นั่งเก้าอี้นายกฯในฐานะท่านเป็นมิตรดีของญี่ปุ่นต่อไป อาจกระทบอนาคตของประเทศชาติได้
พ.ร.ก.เพชรบูรณ์ก็จบลงเพียงแค่นั้น    โครงการเมืองหลวงใหม่ถูกพับฐานไป   ไม่มีใครพูดถึงกันอีก


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 09:12
อ้างถึง
คำถามตอนนี้ที่ท่านกูรูใหญ่กว่ายังไม่ได้เฉลย แม้ว่าชิงเฉลยข้อสอบตอนจบล่วงหน้าไปแล้วก็คือ คุณหลวงทั้งสองผู้เป็นเพื่อนรักกัน  เปลี่ยนเป็นหนึ่งนายพลและหนึ่งจอมพล ผู้แค้นกันตั้งแต่เมื่อไร

คำถามนี้ดิฉันยังหาคำตอบไม่ได้   ก็ได้แต่แกะรอยมิตรภาพของท่านทั้งสองกันไปพลางๆ
ทุกเช้าท่านอธิบดีตำรวจก็ต้องมารายงานราชการกับท่านนายกฯ  ตื้นลึกหนาบางในสังคมท่านทั้งสองก็รับรู้ร่วมกันหมด จอมพลป. ก็ไว้วางใจและเกรงใจท่านอธิบดีอดุลอย่างสูง    เพราะท่านอธิบดีเป็นคนตรง เด็ดขาด ไม่เห็นแก่หน้าใคร ซื่อสัตย์สุจริตต่องานที่ทำ ท่านจอมพล มีความเห็นสอดคล้องต้องกันกับอธิบดีตำรวจเสมอ   ยังหาไม่เจอว่าในช่วงนี้ท่านมีเรื่องไหนขัดแย้งกัน

ถ้าอย่างนั้น ร่องรอยของความแตกแยกเริ่มจากไหน ดิฉันขอเดาว่าเริ่มจากสงครามมหาเอเชียบูรพาเมื่อญี่ปุ่นยึดครองประเทศไทย   ท่านอธิบดีตำรวจอดุลผันตัวไปเองไปเป็นหัวหน้าเสรีไทยคนหนึ่งในไทย โดยมิใช่การทำงานใต้ปีกของจอมพลป. แต่เป็นงานลับใต้จมูกของท่าน ก็เลยเดาว่า เสรีไทย เป็นเส้นเฉียงที่ทำให้พลต.อ.อดุล แยกออกมาจากเส้นตรงที่คู่ขนานกันมาตลอด

 เรากลับมากันตรงที่ท่านอาจารย์เทาชมพูตั้งคำถามไว้นานหลายหน้าคคห.แล้วดีกว่าครับ “หนึ่งนายพลตำรวจเอกและหนึ่งจอมพล เป็นคู่แค้นกันตั้งแต่เมื่อไร……ดิฉันขอเดาว่าเริ่มจากสงครามมหาเอเชียบูรพาเมื่อญี่ปุ่นยึดครองประเทศไทย ท่านอธิบดีตำรวจอดุลผันตัวไปเองไปเป็นหัวหน้าเสรีไทยคนหนึ่งในไทย โดยมิใช่การทำงานใต้ปีกของจอมพลป. แต่เป็นงานลับใต้จมูกของท่าน”

ผมก็ไม่ใช่หมอดูฟันธงซะด้วย จะได้กล้าบอกว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ วันนั้นวันนี้ ท่านทั้งสองตกลงเป็นคู่แค้นกันแน่นนอน ฟันธง..ขวั๊บ..เพล้ง.. หน้าแตก เพราะว่าหน้าของผมมิได้หนาเหมือนแรดคอนกรีตเช่นของแท้ ผมเข้าใจแต่ว่า การที่คนหนึ่งคนใดไปให้การเป็นพยานในศาลเพื่อจะให้จำเลยได้รับโทษสถานหนักนั้น เอาแต่เนื้อๆตรงที่พยานเห็นว่าจำเลยกระทำผิดก็ได้ แต่นี่ไม่ยังงั้น พยานให้การยาวเหยียดตั้งแต่เด็กจนแก่ เหมือนดังแค้นจัดมานาน อยากระบายความอัดอั้นตันใจที่ตนมีต่อจำเลยทั้งหมดให้สาธารณะชนทราบ หรืออาจจะมองว่าเป็นการแก้ตัวก็ได้ เพราะใครๆก็เห็นว่าคนทั้งดู่เป็นมนุษย์ปาท่องโก๋ คิดเหมือนกันทำเหมือนกัน การให้การในศาลได้รับความคุ้มครองตามกฏหมายในเรื่องหมิ่นประมาท และพยานทราบดีว่าคำให้การของพยานจะเป็นข้อมูลสาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าถึงในเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีใครได้ทราบ จะได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ดังที่ตนอยากให้รู้

ผมเชื่อว่า คงไม่ใช่เรื่องเสรีไทยที่คนทั้งคู่แค้นกัน เมื่อแรกจับเสรีไทยได้นั้นพล.ต.อ.อดุลให้การว่าสัมพันธมิตรส่งพวกลูกคนจีนเข้ามาดูลาดเลาในประเทศไทย ตำรวจจับได้ เมื่อรายงานให้จอมพล ป. ทราบจอมพล ป.ก็เพียงแต่บอกให้พล.ต.อ.อดุลดูแลเรื่องนี้ให้ดี คงจะเห็นเป็นเรื่องเล็กๆไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วก็หมดความสนใจ จึงไม่ก่อให้เกิดเรื่องที่จะขัดแย้งได้  ผมว่า ความไม่พอใจของพล.ต.อ.อดุลที่มีต่อจอมพล ป.นั้นเหมือนน้ำต้มด้วยเตาถ่าน ใช้เวลาสะสมอุณหภูมิทีละเล็กทีละน้อยกว่าจะเดือด ไม่เหมือนเอาเหล็กเผาไฟลูกเท่ามะพร้าวไปโยนใส่น้ำในกระป๋อง น้ำจะได้เดือดพลุ่งพล่านขึ้นทันที ผมกำลังพยายามจะหาเหตุทั้งหลายที่พล.ต.อ.อดุลยั๊วะจอมพล ป. ตั้งแต่แรกมาเล่าให้ฟังทีละเรื่องๆ แต่ก็เผลอตามน้ำสนุกสนานจนกลายเป็นเล่าตอนจบย้อนมาตอนต้นเรื่อง แต่ไม่เป็นไรครับท่านผู้อ่าน เรื่องของผมก็เหมือนสุกี้หม้อไฟ จะใส่พวกผักก่อน แล้วใส่พวกเนื้อ หรือสลับกันไปก็เหมือนๆกัน ยิ่งตอนน้ำงวดก็ยิ่งรสชาดเข้มข้น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 09:17
เรื่องเมืองหลวงใหม่ที่เพชรบูรณ์ ท่านคงเห็นภาพที่ท่านอาจารย์เทาชมพูเล่า เป็นประเด็นร้อนในสภาที่ทำให้จอมพล ป.แพ้มติ ต้องลาออกตามกติกา แต่จอมพล ป.ยังหวังว่าส.ส.ในมุ้งของตนยังคุมเสียงพอที่จะโหวตให้กลับมาเป็นนายกต่ออีก อันที่จริงจอมพล ป.ลาออกมาก่อนหน้านี้สองครั้งแล้ว ครั้งแรกในปี 2482 (ปลายปีที่ประหาร18ศพ)เรื่องอะไรไม่ทราบเพราะไม่เป็นที่เปิดเผย แต่ไม่ได้ออกจริงเพราะพล.ต.อ.อดุลปลอบไว้ หนังสือยื่นถึงประธานผู้สำเร็จแล้ว และยังไม่ได้ถอนกลับไปด้วย ครั้งที่2 ในปี2486 ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ มีพยานให้การท้าวความถึงเรื่องนี้กันหลายปาก เพราะอยู่ดีๆนายกรัฐมนตรีส่งหนังสือลาออกถึงประธานผู้สำเร็จอ้างว่าสุขภาพไม่ดี ต้องการพักผ่อน พระองค์อาทิตย์ไม่กล้าลงพระนามเพราะก่อนหน้านั้นจอมพล ป.หายไปจากทำเนียบ อ้างว่าไปราชการทางภาคเหนือ แต่มีข่าวลือหึ่งวงในว่าไปกับกิ๊กชุ่มฉ่ำกันอยู่หลายวัน กลับมากรุงเทพผ.บ.(ผู้บัญชาการที่บ้าน)เล่นงานหนักถึงกับเสียมวย น้อยใจหนักจึงประชดเมียด้วยการจะลาออกจากนายก เพราะปวดประสาทเต็มที พระองค์อาทิตย์ได้รับหนังสือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จึงมีรับสั่งให้นายทวี บุณยเกตุ เลขานุการคณะรัฐมนตรี กับขุนนิรันดรชัย เลขานุการในพระองค์ไปขอพบจอมพล ป.เพื่อฟังมาให้ชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรแน่ ทั้งสองคนไปนั่งรอเข้าพบที่ทำเนียบสามัคคีชัยอยู่นาน แต่จอมพล ป.ก็เรียกขุนนิรันดรชัยเข้าไปคนเดียวเพราะเข้าใจว่าเอาเงินมาให้ตามที่สั่งไว้(คำให้การเขียนชัดๆอย่างนั้นแหละครับ) ขุนนิรันดรชัยบอกว่าท่านนายกสงสัยจะมีเรื่องยุ่งๆทางครอบครัว เรื่องการเมืองไม่เห็นพูดอะไร ให้เก็บใบลาไว้ก่อนแล้วกันไม่ต้องทำอะไร นายปรีดีได้ทูลแนะนำให้พระองค์อาทิตย์โทรไปคุยเอง ท่านก็โทรไปสองครั้งสามครั้งจอมพล ป.ก็ไม่ยอมมาพูดด้วย อ้างว่ามีแขก(ญี่ปุ่น)

วันรุ่งขึ้นผู้สำเร็จทั้งสองท่านประชุมกันเชิญพล.ต.อ.อดุลมาด้วย พล.ต.อ.อดุลเล่าว่าได้เกลี้ยกล่อมอยู่3ชั่วโมงให้ถอนใบลาออกก็ไม่ยอม ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่บอก ถ้าจะอยากออกจริงแน่  เช้านี้ได้ข่าวว่าจะเริ่มขนข้าวขนของออกจากทำเนียบไปอยู่บ้านส่วนตัวที่หลักสี่แล้ว ผู้สำเร็จทั้งสองก็ยังไม่กล้าลงนามอยู่ดี นายปรีดีขอให้นายทวีไปเชิญนายกให้มาประชุมปรึกษากับผู้สำเร็จราชการหน่อย ลาออกแล้วจะให้ใครเป็นนายก  ถามว่านายทวีกล้าไปเชิญไหม นายทวีบอกว่ากล้า

แต่นายทวีเป็นคนฉลาด ถ้าไปเชิญด้วยวาจา นายกตอบอย่างไรก็จะไม่มีหลักฐาน จึงทำบันทึกให้รองเลขานำไปให้จอมพล ป.ๆ อ่านแล้วจึงเขียนลงในบันทึกนั้นว่า “ฉันไม่ไปพบเพราะไม่มีอะไรจะพูด ได้แจ้งในใบลานั้นไปแล้ว” เมื่อเชิญพล.ต.อ.อดุลมาขอความเห็น พล.ต.อ.อดุลบอกว่าควรอนุมัติให้ออกตามประสงค์ ผู้สำเร็จถามว่าแล้วอย่างนี้ใครจะเป็นนายกต่อ พล.ต.อ.อดุลบอกว่าก็ไม่มีใครกล้ารับหรอก เดี๋ยวสภาก็โหวตเลือกจอมพล ป.อีกนั่นแหละ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 09:18
เมื่อคณะผู้สำเร็จลงพระนาม นายทวีก็ร่างประกาศสำนักนายกส่งให้แถลงออกอากาศทางวิทยุกรมโฆษณาการ ปรากฏว่าพอจอมพล ป. ได้ยินก็โกรธควันออกหู กลางค่ำกลางคืนแล้วยังให้พลตรีไชย ประทีปะเสน เลขานายกรัฐมนตรีโทรมาตามล่าจะเอาใบลาออกคืน แล้วสั่งให้กรมโฆษณาการออกแถลงการใหม่ว่าที่แถลงว่านายกลาออกนั้น เป็นความคลาดเคลื่อน พระองค์อาทิตย์ตกพระทัยมาก ถึงขนาดพาหม่อมกอบแก้วออกจากวังไปขอบรรทมที่ทำเนียบท่าช้างของนายปรีดี ซึ่งนายปรีดีก็เรียกทหารเรือมาคุ้มกันตนเองด้วย

วันรุ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีสั่งเรียกประชุมค.ร.ม.ด่วน จอมพล ป.แสดงความไม่พอใจมาก บอกว่าในชั้นเดิมก็อยากจะออกอยู่ แต่เมื่อมาประกาศอย่างนี้ก็เหมือนไล่กัน ทำคุณงามความดีตั้งแยะ ไม่เห็นเอ่ยชมบ้างเลย เล่นกันอย่างนี้ก็จะไม่ออกละ สั่งให้ตามโฆษกมาฉะก่อนเพื่อนในฐานะที่อ่านประกาศเน้นถ้อยเน้นคำน่าหมั่นไส้สุดๆ (ควรจะอ่านด้วยเสียงสั่นเครือแสดงความอาลัยมั้ง) ไล่เรียงหาคนผิดแล้วมาลงที่นายทวีๆไม่มาประชุมก็ออกคำสั่งให้ไปพบในตอนบ่าย หลังอาหารแล้วมีจอมพล ป.กับพล.ต.อ.อดุลสองคนนั่งรออยู่ นายทวีถูกนายกตั้งข้อกล่าวหาทันที บอกว่าที่ท่านทำหนังสือลาออกก็เพื่อจะลองใจพระองค์อาทิตย์เพราะพักหลังทำตัวห่างเหิน ที่ท่านถูกรวบรัดให้ออกจึงไม่แปลกใจเพราะคาดอยู่แล้ว แต่นายทวีนี่สิ สงสัยว่าทำไมไปร่วมหัวกับพระองค์อาทิตย์ขับไล่ท่าน นายทวีก็ว่าไปเป็นฉากๆ เป็นข้อแก้ตัวที่น่าฟัง ไม่มากไม่น้อย ท่านผู้สนใจควรไปค้นหาหนังสือในห้องสมุดอ่านกันเอง เรียกได้ว่าเล่นเอาจอมพล ป.จนทุกมุม ในที่สุดแล้วท่านก็บอกว่า ท่านไม่สงสัยอะไรแล้ว เรื่องที่ท่านเรียกมาจะเอาเรื่องนั้น ขอให้ลืมเสียก็แล้วกัน นายทวีก็ขอบพระคุณที่ท่านเข้าใจ แต่ตนขอลาออกจากราชการ ท่านก็บอกว่าอ้าว ก็ไม่เอาเรื่องแล้วยังทำเป็นน้อยใจไปได้ นายทวีบอกไม่ได้น้อยใจ แต่พอประกาศวิทยุออกไปจนเป็นที่ทราบกันทั้งเมืองแล้วปรากฏว่านายกไม่ออกก็ต้องมีคนผิด ถ้านายทวีไม่ผิดจอมพล ป.ก็ต้องผิด ท่านก็บอกว่าถ้างั้นลาพักผ่อนสักสองสามเดือนก็แล้วกัน วันรุ่งขึ้นนายทวีทำหนังสือลาออก ใช้เวลาหนึ่งวันหนังสือลาออกก็ได้รับการอนุมัติ

พล.ต.อ.อดุลบอกว่าจอมพล ป.เส้นประสาทเสีย เดี๋ยวตอนจบเราคงมีความเห็นของแพทย์กันอีก คุณหมอCVTตรวจวิเคราะห์ไปเรื่อยๆนะครับ จะจับขึ้นเตียงผ่าสมองดูก่อนก็ได้ ยังพอมีเวลาอย่าเพิ่งสรุป


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 09:21
ความไม่พอใจของพล.ต.อ.อดุลที่มีต่อจอมพล ป.ก็ตรงที่ชอบเอาเรื่องของศรีภรรยามาพัวพันกับเรื่องบ้านเมืองเช่นนี้แหละ สาเหตุของเรื่องข้างบนนี้แม้ตัวพล.ต.อ.อดุลจะไม่ได้พูดชัดๆเหมือนนายทวี แต่อ่านแล้วก็ทำความเข้าใจได้ว่าท่านผู้หญิงละเอียดออกอาการหึงหวงสามีทะลุออกมานอกบ้านน่าจะหลายครั้งอยู่ ท่านยกตัวอย่างว่าคุณหญิงพงา ดุลยธรรมธาดาได้แต่งหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง มีข้อความว่า การที่ภรรยาเอาสามีไว้ไม่อยู่นั้น จะถือว่าจะเป็นความบกพร่องของสามีแต่ฝ่ายเดียวมิได้ ข้อความนี้กระทบกระเทือนใจท่านผู้หญิงมาก ว่าไม่สามารถปฏิบัติตนให้เข้มแข็ง(น่าจะอ่อนโยนนะ-ผมว่า)จนทำให้จอมพล ป.มีภรรยาน้อยคือนางร.ได้ พล.ต.อ.อดุลระบุชื่อจริงนามสกุลจริงของเธอไว้ตรงนี้ด้วย แต่ผมขอเว้นที่จะระบุตรงๆเสียเพราะเธอมิใช่บุคคลสาธารณะ เรื่องนี้กองบัญชาการทหารสูงสุดได้ถูกพันโทหญิงแทรกแซงให้ออกคำสั่งให้เจ้าพนักงานการพิมพ์เก็บหนังสือดังกล่าว ห้ามจำหน่ายจ่ายแจก กว่าเจ้าของจะได้คืนไปก็ต้องมาขอกับพล.ต.อ.อดุลช่วงรัฐบาลควง

เรื่องพันโทหญิง นาวาโทหญิง นาวาอากาศเอกหญิง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามนี้ตำหัวอกพล.ต.อ.อดุลมานานแล้ว มีลูกน้องนายทหารนายตำรวจหลายคนมาบ่นแสดงความน้อยใจว่า ทหารหญิงในกรมทหารศรีสุริโยทัย กองพันสุรนารีที่พันโทหญิงละเอียด พิบูลสงครามเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ได้รับบำเหน็จเงินเดือนแซงหน้าทหารประจำการที่ตรากตรำเพื่อชาติในราชการสงครามตามที่ทุรกันดานทั่วไป มือขวาของท่านคือพล.ต.ต.ชลอ ศรีศราการผู้บังคับการตำรวจสันติบาล ได้ทำรายงานถึงเจ้านายระบุว่าเหตุที่รัฐบาลถูกตำหนิจากประชาชนมีข้อร้ายแรงหลายประการเช่น ชอบเลี้ยงคนโกง..รัฐมนตรีหลายคนสมรรภาพหย่อนมาก..ใช้อำนาจยิ่งกว่าราชาธิปไตย..และบทบาทของทหารหญิง พล.ต.อ.อดุลเคยเอารายงานฉบับนี้ให้จอมพล ป.ดู จอมพล ป.บอกว่าพล.ต.ต.ชลอไม่น่าจะไปอิจฉาผู้หญิง ความจริงก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องอิจฉาเพราะพ.ท. หญิงละเอียดได้จัดตั้งสภาวัธนธัมฝ่ายหยิงขึ้น มีตนเป็นประธาน ออกคำสั่งไปยังกระทรวงทบวงกรมต่างๆว่า การบรรจุ การเลื่อนขั้นเงินเดือน การให้ออกของข้าราชการหญิง ให้เจ้ากระทรวงเสนอให้สภาวัธนธัมฝ่ายหยิงพิจารณาสั่งการเสียก่อน แล้วจึงดำเนินการต่อไปได้ การกระทำนี้กระทบความรู้สึกของผู้บังคับบัญชาที่มีข้าราชการผู้หญิงอยู่ใต้สังกัดมากมาย พล.ต.อ.อดุลเองอยู่ๆได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาบุคคลเข้ารับราชการ โดยมีหลักการสำคัญว่าบุตรธิดาของบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏจะไม่ให้เข้ารับราชการ กรรมการประกอบด้วยพวกพ้องเครือญาติของจอมพล ป.และผู้แทนจากสภาวัธนธัมฝ่ายหยิง พล.ต.อ.อดุลเสนอความเห็นว่าคณะกรรมการนี้ไม่ชอบ เพราะมีอำนาจสูงกว่าก.พ.ซ้ำยังมีข้าราชการหญิงมาร่วมด้วยไม่เป็นการเหมาะสม จอมพล ป.ก็ยังดึงดันในคำสั่งนี้แต่ยอมตัดผู้แทนผู้หญิงออก  พล.ต.อ.อดุลถือโอกาสแก้ตัวในเรื่องนี้ว่า ตนไม่เห็นด้วยในหลักการของคณะกรรมการนี้ เมื่อมีรายชื่อใครผ่านๆมาก็ปล่อยให้ผ่านๆไป


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 18 ก.ค. 10, 09:23
อ่านที่ท่านอาจารย์เทาชมพูเขียนถึงนครบาลเพชรบูรณ์แล้วพาดพิงถึงถนนสายตะพานหิน-เพชรบูรณ์แล้ว  ชวนให้ระลึกถึงชีวิตในวัยเด็กที่ตะพานหินเมื่อขึ้นมาเลยทีเดียว

ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กน้อยอยู่ที่บ้านตะพานหินนั้น  เจได้ว่า วลาชาวเพชรบูรณ์ หล่มสัก จะเดินทางมากรุงเทพฯ จะต้องมาลงรถโดยสารที่ตะพานหินก่อนแปดโมงเช้า  มารับประทานอาหารเช้ากันที่ตะพานหิน  แล้วรอขึ้นรถไฟขบวน ๘.๔๕ น. เข้ากรุงเทพฯ  เวลาที่มาจากกรุงเทพฯ ลงรถไฟราว ๔ โมงเย็น  แล้วก็ต้องรับขึ้นรถโดยสารเดินทางต่อไปเพชรบูรณ์ หล่มสัก  หากขึ้นรถไม่ทันก็ต้องพักค้างแรมที่ตะพานหิน  ซึ่งมีโรงแรมอยู่เพียง ๓ โรง  แต่ถ้าพอรู้จักคนที่ตะพานหินก็มักจะอาศัยค้างแรมตามบ้านคนรู้จักมากกว่า  เพาะสะดวกสบายกว่าพักโรงแรม  ที่บ้านจึงมีแขกมาพีกแรมอยู่เสมอๆ  แต่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่มีการเตรียมการจัดตั้งนครบาลเพชรบูรณ์นั้น  แม่เล่าว่า สมัยนั้นมีรถยนต์วิ่งไปกลับเพชรบูรณ์ดพียงวันละเที่ยว   ผู้ที่เดินทางมาถึงตะพานหินไม่ว่าจากกรุงเทพฯหรือเพชรบูรณ์  จะต้องมาค้างแรมที่บ้านคุณตาที่ตะพานหินเสีย ๑ คืนก่อน  แล้วจึงจะขึ้นรถๆฟเข้าดรุงเทพฯ หรือขึ้นรถยนต์ไปเพชรบูรณ์  เพราะในสมัยนั้นไม่มีใครกล้าขับรถข้ามเขารังตอนกลางคืนกัน  มีพ่อผมเป็นคนแรกที่กล้าขับรถจากไร่ส้มลุงจุล (กำนันจุล  คุ้นวงศ์) ที่วังชมภู  เพชรบูรณ์มาตะพานหินในตอนกลางคืน  

เส้นทางจากตะพานหินถึงวังชมภูเมื่อผมเป็นเด็กนั้น  มีถนนราดยางออกจากสถานีรถไฟตะพานหินไปเพียง ๒ กิโลเมตร  จากนั้นเป็นถนนดินซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าถนนลูกรังไปอีก ๖๐ กว่ากิโลเมตร  ไปถึงบ้านห้วยงงาช้าง  อำเภอชนแดน  ซึ่งเป็นจุดเริ่มขึ้นเขารังที่พวกเราทั้งเกลี้ยดทั้งกลัว  ถนนบนเขารังเป็นถนนราดยางด็จริง  แต่ก็แคบเพียงให้รถสวนกันได้  ตลอดเส้นทางเป็นโค้งหักศอกราว ๑๐๐ กว่าโค้งเลาะลัดไปตามไหล่เขาที่มองลงไปก็เห็นแต่เหวลึก  เส้นทางจากตะพานหินไปถึงไร่วังชมภูที่อยู่เชิงเขารังฝั่งเพชรบูรณ์ ระยะทาง ๘๐ กิโลเมตร  ใช้เวลาเดินทางโดยรถแลนด์โรเวอร์ไม่น้อยกว่า ๒ ชั่วโมง  ถ้าคนขับไม่ชำนาญเส้นทางก็ต้องใช้เวลาเกินกว่า ๓ ชั่วโมง

เมื่อมีการตัดถนนจากชัยบาดาลมาบรรจบถนนสายตะพานหิน - วังชมภู  ที่สามแยกวังชมภูแล้ว  พ่อเล่าว่าญี่ปุ่นได้มาตั้งค่ายอยู่ที่สามแยกติดกับไร้ลุงจุล  เอาปืนกลมาตั้งหันหน้าออกสามแยก  พ่อเล่าว่าเคยเดินเข้าไปในค่ายญี่ปุ่นกับลุงจุล  เห็นญี่ปุ่นเอาธนบัตรไทยที่ญี่ปุ่นพิมพ์มาผึ่งแดดเพราะเปียกฝนเป็นลังๆ เลยทีเดียว  เวลาที่เดินผ่านกองธนบัตรนั้น  นายทหารญี่ปุ่นที่เป็นผู้บังคับการค่าย  ยังบอกให้ลุงจุลกับพ่อหยิบธนบัตรเหล่านั้นไปใช้  อยากได้เท่าไรก็ขนไป  แต่พ่อไม่กล้าหยิบกลัวถูกยิง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 09:42
อ้างถึง
เมื่อมีการตัดถนนจากชัยบาดาลมาบรรจบถนนสายตะพานหิน - วังชมภู  ที่สามแยกวังชมภูแล้ว  พ่อเล่าว่าญี่ปุ่นได้มาตั้งค่ายอยู่ที่สามแยกติดกับไร้ลุงจุล  เอาปืนกลมาตั้งหันหน้าออกสามแยก 

ในหนังสือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ของ อ.พิบูลสงคราม    บอกว่าจอมพล ป. สร้างเมืองใหม่เป็นแผนลับต่อต้านญี่ปุ่น   ที่จริงคือเอาเพชรบูรณ์เป็นศูนย์กลางประสานงานกับจีนใต้ เพื่อขับไล่ญี่ปุ่น        ก็ถ้าญี่ปุ่นมาตั้งค่ายดักอยู่แถวไร่กำนันจุลเสียแล้ว โครงการนี้มันจะลับไปได้ยังไง
***********************
เรื่องบ้านใหญ่บ้านเล็ก  มันส์มากค่ะคุณนวรัตน     ชีวิตจริงมีสีสันเกินกว่านิยายจะเทียบได้
มองเห็นความอึดอัดของพลต.อ.อดุลที่มีต่อพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี  ทั้งด้านหน้าที่การงานและส่วนตัว   เพิ่มทวีขึ้นเหมือนอัดแก๊ซเข้าไปในลูกโป่ง  วันหนึ่งก็ระเบิดออกมาในคำให้การ
คุณหมอ CVT เตรียมหูฟัง เครื่องฉายเอกซเรย์และมีดผ่าตัดไว้ให้ดี   มีเคสพิเศษส่งมาให้ในกระทู้นี้
แต่...ตอนนี้ขอแต่ไว้ก่อน   ว่าระหว่างฟังท่านบิ๊กเก้อร์กูรูค่อยๆขยายเรื่องออกมา   ดิฉันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ความอึดอัดของพลตำรวจเอกอาจจะไม่ใช่ฝ่ายเดียว   ท่านจอมพลก็น่าจะอึดอัดกลับมาไม่มากก็น้อย     เพราะระยะหลังๆ ขออะไรก็ไม่ได้อยู่หลายอย่าง  ทำอะไรก็คอยขัดอยู่มากบ้างน้อยบ้าง
น่าเสียดายมิตรภาพอันยาวนาน   แต่นั่นแหละ ทั้งสองต่างก็มีอำนาจ และเชื่อมั่นในตัวเองว่าทำสิ่งที่สมควร      อำนาจมันไม่เข้าใครออกใครอยู่แล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 10:08
อ้างถึง
เมื่อมีการตัดถนนจากชัยบาดาลมาบรรจบถนนสายตะพานหิน - วังชมภู  ที่สามแยกวังชมภูแล้ว  พ่อเล่าว่าญี่ปุ่นได้มาตั้งค่ายอยู่ที่สามแยกติดกับไร้ลุงจุล  เอาปืนกลมาตั้งหันหน้าออกสามแยก  

ในหนังสือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ของ อ.พิบูลสงคราม    บอกว่าจอมพล ป. สร้างเมืองใหม่เป็นแผนลับต่อต้านญี่ปุ่น   ที่จริงคือเอาเพชรบูรณ์เป็นศูนย์กลางประสานงานกับจีนใต้ เพื่อขับไล่ญี่ปุ่น        ก็ถ้าญี่ปุ่นมาตั้งค่ายดักอยู่แถวไร่กำนันจุลเสียแล้ว โครงการนี้มันจะลับไปได้ยังไง

มีหรือญี่ปุ่นจะไม่รู้

โครงการย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์ที่ล้มเหลว   จอมพล ป.บอกว่าเป็นยุทธศาสตร์สร้างแหล่งต่อต้านญี่ปุ่น แต่ใช้ข้ออ้างสร้างเมืองใหม่บังหน้า   นายพลนากามูระ ผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยบันทึกไว้ดังนี้…

"ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (พ.ศ.๒๔๘๖ )ข้าพเจ้าได้เริ่มทราบข่าวลือเรื่องการย้ายเมืองหลวงเป็นประจำ และการประกาศย้ายเมืองหลวงทำให้พวกข้าพเจ้าตระหนักใจว่าข่าวลือนั้นกลายมาเป็นความจริง ข้าพเจ้าขอตั้งข้อสังเกตดังต่อไปนี้

๑.นายกพิบูลคงพิจารณาด้วยความเชื่อมั่นว่า ฝ่ายญี่ปุ่นนั้นเสียเปรียบเมื่อสงครามยุติลง ฉะนั้นจึงต้องมีที่หลบภัยจากฝ่ายญี่ปุ่นยามใดก็ได้ โดยเฉพาะการปฏิเสธเข้าร่วมประชุมวงไพบูลย์มหาเอเซียบูรพานั้น เป็นเรื่องที่ทำให้มีความเคลือบแคลงในกัน ท่านจึงต้องตัดสินใจอย่างฉับพลันในเรื่องนี้

๒. เกี่ยวกับปัญหาภายใน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สำเร็จราชการปรีดี พนมยงค์ กับนายกพิบูลนั้นง่อนแง่นอยู่เต็มทีแล้ว และศัตรูการเมืองกลุ่มอื่นๆก็ยังมีอยู่ คือถ้าพวกนั้นพยายามโค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยอาศัยกำลังญี่ปุ่นเป็นเครื่องมือแล้ว ท่านนายกในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็จะหลบอยู่ที่เพชรบูรณ์ ซึ่งใครจะไปทำอะไรท่านไม่ได้ เพราะว่าในเขตภาคเหนือมีกองทัพไทยอยู่ที่เชียงรายและลำปาง ทางทิศใต้มีเมืองทหารอยู่ที่ลพบุรี ความนี้สมกับเป็นความคิดของนายกรัฐมนตรีประเทศหนึ่ง

ที่ตั้งของเมืองหลวงใหม่มีความเหมาะสม ทั้งในแง่การเมืองและการยุทธศาสตร์อย่างหาที่ติไม่ได้ ข้อเสียมีอยู่ว่า ที่นั่นเป็นแดนของไข้มาลาเรีย และมีน้ำเพื่อการบริโภคอยู่อย่างอัตคัด

๓. ท่านนายกรัฐมนตรีและภริยาบอกกับข้าพเจ้าว่า การย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์นั้นมีความสำคัญมากเพื่อการรักษาหัวใจของความสัมพันธไมตรีของไทย-ญี่ปุ่นสืบไป แม้ว่ากรุงเทพฯจะร้างไป ก็ยังมีเมืองที่เป็นศูนย์กลางไว้เพื่อรักษาวัฒนธรรมและสมบัติของชาติ แต่คำพูดนั้นเราเข้าใจอย่างที่ท่านพูดไม่ได้ ในการสร้างเมืองหลวงใหม่นั้น ได้ตั้งงบประมาณไว้ ๑๐๐ ล้านบาท และระดมกรรมกรหลายหมื่นคนจากทั่งประเทศ โดยถือเอาการก่อสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่าที่แล้วเสร็จได้ภายใน ๑๐ เดือนเป็นตัวอย่าง ได้ทำการก่อสร้างทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ด้วยเหตุนี้จึงมีคนป่วยเป็นไข้มาลาเรียมากมาย ได้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก การก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ได้กลับกลายมาเป็นเป้าในการเกลียดชังของประชาชน และทำให้สัมพันธมิตรไทย-ญี่ปุ่นต้องมืดมนลง และสุดท้ายกลายเป็นสาเหตุให้รัฐบาลพิบูลสงครามสิ้นสุดลง"


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 10:32
^
^
หุหุ  แปลว่าญี่ปุ่นก็รู้แน่ๆว่าทำอะไรอยู่

ขอเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยค่ะ
จอมพล ป. นอกจากย้ายส่วนราชการสำคัญต่าง ๆ มาที่เพชรบูรณ์ เช่น กระทรวงการคลัง ตั้งที่ถ้ำฤาษีตำบลบุ่งน้ำเต้า อำเภอหล่มสัก แล้ว
ท่านยังสั่งให้ขนย้ายพระคลังสมบัติ ทรัพย์สินของชาติ ทรัพย์ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติมาเก็บไว้ ณที่นี้ด้วย มีการก่อสร้างตึกทำการ ตลอดจนก่อสร้างปรับปรุงถ้ำเก็บทรัพย์สมบัติให้มั่นคงปลอดภัย ปัจจุบันชาวบ้านยังคงเรียกกันว่า "ถ้ำฤาษีสมบัติ"

ไม่ทราบว่า พระคลังสมบัติ ทรัพย์สินของชาติ และทรัพย์ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ   ยังอยู่ที่ถ้ำฤๅษีสมบัติอยู่หรือเปล่าในปัจจุบัน  หรือว่าขนกลับคืนที่เดิมมาหมดแล้ว
มีข่าวลือในสมัยต่อมาว่า   เมื่อขนย้ายกันไปนั้น   ทรัพย์สินดังกล่าว บางส่วนสูญหายหกตกหล่นไป จับมือใครดมไม่ได้   เมื่อโครงการเมืองใหม่เพชรบูรณ์พับฐานไปแล้ว   ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครติดใจอยากพูดถึงโครงการนี้อีก  รวมทั้งเรื่องนี้ด้วย
ดิฉันก็ไม่ทราบคำตอบเหมือนกันค่ะ

เดี๋ยวจะขอคั่นโปรแกรมด้วยเรื่องเสรีไทยอีกหน่อย   ไปอ่านหนังสือมาแล้ว  จะไม่ย่อยให้ฟังก็เสียดาย   ถ้าไม่อยากรู้เพราะไม่เกี่ยวกับท่านพลต.อ. เท่าไร ก็ข้ามไปได้เลยค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 10:43
สภาอาจารย์ชวนกลับไปเพชรบูณ์อีกแล้ว ผมต้องรีบสรุปเหตุการณ์ตรงนี้ก่อนจะตามไปเพชรบูรณ์ แล้วร่วมค้นถ้ำมหาสมบัติ หาเสรีไทยกันต่อไป

พล.ต.อ.อดุลกล่าวหาจอมพล ป.ไว้เป็นประเด็นๆคือ

1 ในตอนปลาย สมาชิกสภาทั้งประเภท1 และประเภท2 ต่างหมดศรัทธา อภิปรายรุนแรงขึ้นทุกที จอมพล ป.ก็เขียนจดหมายไปถึงพระยามานวราชเสวี ประธานสภาทำนองข่มขู่ว่าเปิดโอกาสให้ส.ส.ด่าท่าน จนพระยามานต้องลาออก สภาเลือกประธานใหม่ ได้นายทวี บุญยเกตุเป็นประธาน นายควง อภัยวงศ์เป็นรอง จอมพล ป. ไม่ยอมลงนามสนองพระบรมราชโองการ แล้วบังคับไม่ให้ทั้งสองรับตำแหน่ง

2 ไม่เคารพผู้สำเร็จราชการในฐานที่เป็นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์ ชอบโทรศัพท์ไปสั่งการเป็นประจำ ตอนที่เกิดเรื่องลาออกแล้วไม่ลาออกนั้น มีคนไปให้กำลังใจผู้สำเร็จราชการกันมาก จอมพล ป.เลยอาศัยอำนาจของผู้บัญชาการทหารสูงสุดยามสงคราม สั่งการให้ พระองค์อาทิตย์ และนายปรีดี ไปรับราชการ ประจำการในกองบัญชาการทหารสูงสุด และใช้สายบังคับบัญชานี้สั่งการบุคคลทั้งสองตามใจชอบ รวมทั้งสั่งให้เป็นฝ่ายที่ต้องมาพบตนด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการลบหลู่สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่มีธรรมเนียมที่ชาติไหนจะปฏิบัติ

3 รัฐมนตรีผู้ใดออกความเห็นแย้ง จอมพล ป.จะไม่พอใจ บังคับให้ลาออกก็มี รัฐมนตรีที่นั่งนิ่งเฉย เพราะไม่กล้าแสดงความเห็น จอมพล ป.ก็รู้ไต๋ว่าไม่เห็นด้วยอยู่ดี ถ้ารัฐมนตรีบอกแล้วแต่ความเห็นของท่าน ก็ไม่ได้อีก ก็ท่านขอความเห็นตัว รัฐมนตรีต้องเอาตัวรอดด้วยการพูดสนับสนุนความคิดของจอมพล ป. ใครมีลูกคอในการสรรเสริญเยินยอประกอบ ก็จะเป็นที่โปรดปราน แม้แต่เพื่อน พล.ท.มังกร พรหมโยธีที่รับใช้ซื่อสัตย์ในเรื่องโหดๆมาก่อน ไปพูดสนทนาให้เข้าหูนายตำรวจติดตามนายกที่ชื่อพ.อ.เผ่า ศรียานนท์จนยินว่า จอมพล ป.จะแจกเหรียญตราหรือเรื่องงานวันเกิดทำนองติเตียน พ.อ.เผ่าไปฟ้องนาย จอมพล ป.โกรธถึงกับให้พล.ท.มังกรลาออกจากรมต.มหาดไทย กว่าจะเย็นลงแล้วปรับความเข้าใจกันได้ก็เรื่องยาว

4 ชอบใช้อำนาจก้าวก่ายไปทุกกระทรวงทบวงกรม ทั้งสามีและภรรยา อันนี้ปลีกย่อยเยอะ

5 เมื่อระแวงผู้ใด ก็จะใช้อำนาจกลั่นแกล้งให้เสียหน้าหรือเสียเกียรติ ดังเช่นนายทวีและนายควง ถูกออกคำสั่งโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ไปทำงานในกรมประสานงานพันธมิตร(ญี่ปุ่น) ภายใต้บังคับบัญชาของบุคคลที่มีอาวุโสต่ำกว่า จอมพล ป.ใช้อำนาจที่ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ไม่มีขอบเขตจำกัดในยามสงครามนี้ จับกุมบุคคลมากักขังสอบสวนได้โดยทั่วไป

จบแล้วครับ เชิญต่อเรื่องเสรีไทย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 10:55
^
^
อ้าว คุณนวรัตน  ดิฉันตั้งใจจะเอาเรื่องเสรีไทยมาคั่นโปรแกรมช่วงวีคเอนด์  เผื่อคุณนวรัตนจะพักบ้าง กลายเป็นว่าไปเร่งท่านกูรูใหญ่ให้รีบจบคำให้การเสียแล้ว  ผิดจุดประสงค์ของดิฉัน
เรื่องเสรีไทยมีในเว็บไซต์มากพอสมควรค่ะ   สมาชิกเรือนไทยที่สนใจจะตามหาอ่านเองก็ได้  หรือไม่  ถ้าดิฉันขยันขึ้นมา อาจแยกกระทู้ไปต่างหากก็ได้ในโอกาสหน้า  จะได้ค้นข้อมูลให้ละเอียดกว่านี้
กลับมาที่คำให้การของท่านนายพลตาดุของเราดีกว่า    คุณหมอ CVT ขยับมีดผ่าตัดมาหลายหนแล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 10:58
เอารูปศาลหลักเมืองหลวง ของเพชรบูรณ์มาให้ดูไปพลางๆ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 11:00
อ้างถึง
เดี๋ยวจะขอคั่นโปรแกรมด้วยเรื่องเสรีไทยอีกหน่อย   ไปอ่านหนังสือมาแล้ว  จะไม่ย่อยให้ฟังก็เสียดาย   ถ้าไม่อยากรู้เพราะไม่เกี่ยวกับท่านพลต.อ. เท่าไร ก็ข้ามไปได้เลยค่ะ

เชิญตรงนี้เลยครับ ผมจะได้ต่อเรื่องของเสรีไทยยุคที่ก่อนจอมพล ป.จะพ้นจากตำแหน่งด้วยเรื่องเพชรบูรณ์ ตามคำให้การของพล.ต.อ.อดุล



วันนี้ผมไม่พัก แต่จะลางานพรุ่งนี้1วัน ไปงานบวชลูกชาย
 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 11:13
ว่าไงว่าตามกันค่ะ    ขอเชิญคุณนวรัตนแจมเรื่องเสรีไทยได้ทุกระยะ

เสรีไทย เป็นเรื่องของขบวนการกู้ชาติ ในปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒     มีจุดเริ่มสำคัญอยู่ที่ ๒ เหตุการณ์ใหญ่ 
เหตุการณ์แรก คือรัฐบาลไทยยอมแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบุกไทยแบบสายฟ้าแลบ ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ เสียงส่วนใหญ่ในรัฐบาลยอมรับว่า กำลังของไทยสู้ไม่ได้   
เหตุการณ์ที่สอง คือประกาศพระบรมราชโองการ ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่ และสหรัฐอเมริกา  ลงวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕  
เป็นประกาศในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล  ลงนามโดยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ๓ ท่านคือ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา  เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินและนายปรีดี พนมยงค์

ประกาศนี้เป็นการแสดงอย่างเปิดเผยว่า ไทยตัดสินใจเป็นปรปักษ์กับฝ่ายพันธมิตร   แต่ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นที่ถือข้างไทยอยู่แพ้สงคราม    ไทยก็อ้างว่าประกาศนี้เป็นโมฆะ เพราะจริงๆแล้ว ทั้ง ๓ ท่านลงนามไม่ครบ ๓ ท่าน นายปรีดีไปต่างจังหวัดเลยไม่ได้ลง
เรื่องนี้ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์เล่าไว้ว่านายปรีดีกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่อพยพไปอยู่อยุธยา ก็เลยไม่ได้ลงนาม     แต่ในหนังสือชีวิตและผลงานของพลเรือตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ที่พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน  ระบุว่า ไม่ได้ลงนามในวันที่ประกาศ  แต่กลับมาลงนามในภายหลังเมื่อประกาศไปแล้ว
แต่จะเป็นแบบไหนก็ตาม   หลังสงครามแล้ว ประกาศนี้ถูกตัดสินว่าเป็นโมฆะโดยพี่เบิ้มฝ่ายพันธมิตร คือสหรัฐอเมริกา
 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 18 ก.ค. 10, 11:22
กลับมาที่คำให้การของท่านนายพลตาดุของเราดีกว่า    คุณหมอ CVT ขยับมีดผ่าตัดมาหลายหนแล้ว

อาจารย์ครับ ผมเรียนด้านผ่าตัด
แต่การบ้านของอาจารย์มันต้องอาศัยจิตแพทย์ครับ

อาศัยความรู้วิชาจิตเวชที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดทั้งๆที่เมื่อประมาณ ๒๕ ปีที่แล้ว ทรานสคริปต์ผมมี A เพียงวิชาเดียวคือ จิตเวช  ;D

บุคลิกภาพของท่านผู้นำในยุคนั้น เป็นไปตามธรรมชาติของผู้ที่มีอำนาจ เมื่อเสวยอำนาจนานเข้าจะเกิด ๒ สิ่งตามมาคือ

๑. Grandeur หรือ Grandiose Delusion คือการหลงผิดคิดว่าตนเองคือผู้ยิ่งใหญ่ เหนือกว่าคนทั้งปวง หรือบางคนถึงขั้นคิดว่าตนเองเป็นใครในอดีตกลับชาติมาเกิด กรณีท่านผู้นำนี้หลายท่านคงจะจำเหตุการณ์ที่ท่านยืนหันหลังให้หน้าต่างแล้วคุณหลวงท่านหนึ่ง(ที่ชอบแต่งประวัติศาสตร์และเพลงปลุกใจ) ก้้มลงกราบ แล้วบอกว่าเห็นแสงเฮ้ากวงออกมาจากตัวท่านผู้นำ เป็นที่ถูกอกถูกใจท่านผู้นำเป็นยิ่งนัก

๒. Paranoia หรือ Paranoid Thinking คือความหวาดระแวง หวาดกลัวในสิ่งที่ตนมีความกังวลใจ กรณีของท่านผู้นำก็มาจากการที่ท่านมี Grandeur Delusion นำไปสู่ความวิตกกังวลว่าจะมีคนมาโค่นอำนาจท่าน จนกลายเป็นความหวาดระแวงหวาดกลัวไปหมด ใครที่คิดต่างจากท่านก็จะกลายเป็นศัตรูที่คอยจ้องโค่นอำนาจท่านทันที ต้องกำจัดให้พ้นวิถีทาง

ผมก็วิเคราะห์ได้แค่นีครับ


ส่วนของนายพลตาดุ หรือท่านอื่นๆ ผมเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของคนเราที่รักมากย่อมผิดหวังมาก
เมื่อเพื่อนที่เคยรักกันมากเดินทางผิด และไม่ฟังคำตักเตือนของเพื่อน มิหนำซ้ำกล่าวหาว่าเพื่อนคิดร้าย
ย่อมสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้หลวงอดุลเดชจรัสมาก จึงระบายออกมาด้วยคำให้การต่อศาล

ผมไปเจอเรื่องของนายวนิช ปานะนนท์ ที่ทำให้เกิดข้อสงสัย เดี๋ยวจะนำมาถามหาความรู้ต่อครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 11:28
^
เยื่ยม ขอบพระคุณครับ

แต่.เอ๊ะ..คุณหมอจะไม่ลองเอาท่านไปผ่าตัดดูสักหน่อยหรือครับ
เห็นบอกว่าเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ

อย่างน้อยเราจะได้ทราบว่าหัวใจท่านสีอะไร


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 11:47
ขอบคุณค่ะคุณหมอ CVT  ผู้มีอำนาจน่าจะเกิดอาการนี้กันได้ทั่วโลก และทุกยุคทุกสมัย   โดยเฉพาะเมื่ออำนาจในการตัดสินใจอยู่ที่ตัวเองเพียงผู้เดียว

กลับมาที่เสรีไทย

หลังเหตุการณ์แรก  ก็เกิดกลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยที่ไทยยอมแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔    แบ่งเป็น ๒ สายด้วยกัน ต่างคนต่างคิด  มิได้นัดแนะกันเลย
สายแรกคือ บรรดาคนไทย นักเรียนไทย ข้าราชการไทย ที่อยู่ในอังกฤษและอเมริกา
สายที่สองคือ นักการเมืองไทยที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล จอมพล ป.

สายแรก มีผู้นำคือม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช  เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ซึ่งใจเด็ดพอจะประกาศโผงออกมาเลยว่า ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
ประเทศไทยและคนไทยเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร   จะขอต่อต้านญี่ปุ่น    แล้วท่านก็ยืนยันด้วยการออกวิทยุกระจายเสียงจากซานฟรานซิสโก วันที่ ๑๐ ธันวาคม  ไม่ยอมรับการตัดสินใจของรัฐบาล

สายที่สอง คือนายปรีดี พนมยงค์ร่วมกับหลวงบรรณกรรมโกวิท( เปา จักกะพาก)  นายสงวน ตุลารักษ์   นายจำกัด พลางกูร  นายวิจิตร ลุลิตานนท์  นายเตียง ศิริขันธ์   นายถวิล อุดล   ม.ล.กรี เดชาติวงศ์(หลวงเดชาติวงศ์วราวัตน์)
ทุกคนรับรู้เรื่องการตัดสินใจของจอมพล ป. แล้วเห็นว่าไม่ได้การแน่    เพราะทำแบบนี้ญี่ปุ่นคงไม่หยุดแค่เดินผ่านประเทศไทยเฉยๆ  แบบผ่านมาแล้วผ่านไป  แต่จะต้องดึงไทยเป็นฝ่ายญี่ปุ่นเต็มตัว    
กลุ่มนี้ก็เลยตกลงใจตั้ง "องค์การต่อต้านญี่ปุ่น" ขึ้นมา  โดยยกให้นายปรีดีเป็นหัวหน้า   นอกจากต่อต้านญี่ปุ่นแล้วก็ยังประสานสัมพันธ์กับฝ่ายพันธมิตร  เพื่อให้เห็นว่าคนไทยไม่ได้เป็นศัตรูกับพันธมิตร

คนที่คิดเรื่ององค์การต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นเป็นคนแรก คือนายจำกัด พลางกูร   แต่เห็นว่าตัวเองกับเพื่อนๆไม่มีกำลังพอจะปฏิบัติการได้เอง จึงขอให้นายปรีดีเป็นหัวหน้า

เรื่องใครเป็นหัวหน้า   ใครตกลงใจยังไง  บันทึกของนายปรีดี พนมยงค์กับนายจำกัด พลางกูร คลาดเคลื่อนวันที่กันเล็กน้อย
คือนายปรีดีบันทึกว่า เมื่อกลับบ้านจากประชุมค.ร.ม.ในเย็นวันที่ ๘ ธันวาคม  ก็มาเจอพรรคพวกตามรายชื่อข้างบนนี้ฟังข่าวอยู่  ก็ตกลงจัดตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่นกัน  โดยท่านได้รับคำเชิญเป็นหัวหน้า
ส่วนบันทึกของนายจำกัด พลางกูรบอกว่าเกิดขึ้นหลังจากวันที่ ๙ ธันวาคม    คือหลังจากปรึกษากับนายเตียง ว่าจะเล็ดรอดไปพม่าทางกาญจนบรี แต่สองวันต่อมาพบว่าญี่ปุ่นอยู่กันเต็มเส้นทาง หนีไม่ได้ จึงต้องยุติแผนนี้แล้วกลับมาคิดตั้งขบวนการกู้ชาติ   ในที่สุดก็ตกลงกันว่าตัวเองกับเพื่อนๆไม่มีกำลังพอ  จึงขอมอบคณะกู้ชาติให้อยู่ในบังคับบัญชาของนายปรีดี   ท่านเป็นผู้มีสิทธิ์แต่ผู้เดียวที่จะกำหนดแผนงานและออกคำสั่ง

ถ้าถือบันทึกนายจำกัดเป็นหลัก  ก็แปลว่าผู้ก่อตั้งขบวนการกู้ชาติในไทยคือนายจำกัด พลางกูร  แต่หัวหน้าคือนายปรีดี พนมยงค์


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: yanang ที่ 18 ก.ค. 10, 12:17
เข้ามารายงานตัวว่ายังติดตามอยู่อย่างเหนียวแน่นค่ะอาจารย์

ไม่เคยศึกษาเรื่องเสรีไทยอย่างจริงจังมาก่อน พอได้ฟังอาจารย์เทาชมพูเกริ่น
แบบนี้แล้ว  ชักเริ่มขยับขยันขึ้นมากเลยค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์นวรัตน ที่ขยายความให้ฟังเป็นช่วง ๆ ด้วยรู้ว่า
นักเรียนคนนี้พื้นไม่ค่อยแน่น แต่รับรองว่าเลคเชอร์ไม่ตกหล่นแน่นอนค่ะ ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 12:20
เอารูปประกอบมาเสริมไปพลางๆ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 12:22
เสรีไทยในอเมริกาตั้งต้นที่นี่


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 12:32
ไม่ใช่แต่ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมชและนายปรีดี พนมยงค์ ที่ต่อต้านญี่ปุ่น   ในประเทศไทยก็มีกลุ่มที่ชื่อ "กองอาสาสมัครต่อต้านญี่ปุ่น" ออกโรงขึ้นมาด้วย
๑๕ ธันวาคม  หนึ่งสัปดาห์หลังรัฐบาลไทยประนีประนอมยอมรับญี่ปุ่นเข้าประเทศ    ใบปลิวของ " คณะไทยอิสสระ"ก็สะพัดว่อนไปตามหนังสือพิมพ์ต่างๆทั้งไทยและจีน  เรียกร้องให้ต่อต้านญี่ปุ่น   พร้อมกันนั้นก็โจมตีรัฐบาลจอมพลป. และกินแถวไปถึงสองโฆษกประจำกรมโฆษณาการ  ซึ่งมีชื่อแฝงว่า นายมั่น ชูชาติ  และนายคง รักไทย
นายมั่นและนายคงเป็นใคร    ชื่อจริงของนายมั่นคือสังข์ พัทธโนทัย   และนายคง คือคงศักดิ์  ขำศิริ  
นายมั่นกับนายคงมีหน้าที่อ่านรายการวิทยุ  ปลุกใจให้รักชาติ ในยุครัฐนิยมของจอมพล ป.  เป็นรายการแพร่หลายเป็นที่นิยมของประชาชนมาก  แต่เมื่อนโยบายรัฐบาลพลิกกลับตาลปัตร หลังจากปลุกใจให้สู้จนตัวตายเพื่อชาติ จนสุดชีวิต แม้แต่หมามุ่ยของคุณนวรัตนก็ยังกลายเป็นอาวุธใกล้ตัวให้หยิบฉวยได้(อย่างระวัง)    เอาเข้าจริงรัฐบาลทำตรงข้าม   นายมั่นกับนายคงก็เลยกลายเป็นวัวที่ถูกใบปลิวตีให้กระทบคราด คือจอมพล ป.
จอมพล ป.โกรธใบปลิวของคณะไทยอิสสระมาก   การกวาดล้างจับกุมนักหนังสือพิมพ์ระลอกใหญ่ก็เกิดขึ้น     คนที่โดนรางวัลใหญ่เข้าอย่างจังคือ ศรีบูรพา หรือกุหลาบ สายประดิษฐ์   อารีย์ ลีวีระ  สุรีย์ ทองวานิช     เพราะเจอเข้ากับข้อหากบฏภายในพระราชอาณาจักรเลยทีเดียว

พิมพ์มาถึงตรงนี้  คิดถึงสุภาพบุรุษนักคิดที่ชื่อรุ้ง จิตเกษมขึ้นมาจริงๆ

"รัฐบาลนี้อ้างว่าได้จัดตั้งขึ้นโดยราษฎรและเพื่อราษฎร ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราก็ต้องมีอำนาจที่จะบังคับรัฐบาลให้บริหารในทางที่เป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลายร่วมกัน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของรัฐมนตรีและเพื่อนพ้องของรัฐมนตรีเท่านั้น มิฉนั้นเราก็ต้องเปลี่ยนรัฐบาลใหม่…..”

"กบฏในพระราชอาณาจักร" ชุดที่โดนเข้าเต็มเปา ชุดนี้   คงให้คำตอบได้ว่าความฝันของรุ้ง จิตเกษม นอกจากยังไม่มีโอกาสเป็นจริง  ยังห่างไกลความจริงในพ.ศ. ๒๔๘๔ อีกมาก


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 12:36
เรียนท่านประธานที่เคารพ
กระทู้นี้ชักจะกลายเป็นกระทู้เสรีไทย   ผู้เสนอชักร้อนตัวว่าเป็นการขโมยซีนท่านเจ้าของกระทู้ โดยไม่มีเจตนาใดๆ   เพราะงั้นขอแปรญัตติ  ให้ท่านเจ้าของกระทู้ช่วยเล่าต่อได้ไหม
เชื่อว่าท่านมีข้อมูลอยู่เยอะค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 13:02
ช่วยไม่ได้ครับ มันเป็นทางผ่าน ถ้าหลวงอดุลกับจอมพลป.ไม่ยอมร่วมมือกับเรา เราก็ยึดกระทู้เป็นเมืองขึ้นเสียเลย

ว่าไปเรื่อยๆครับท่านอาจารย์ ปูพื้นให้ท่านผู้อ่านสมัยนี้ให้รู้เรื่องของบรรพบุรุษไว้บ้าง
เดี๋ยวผมจะหารูปมาแจมไปเรื่อยๆ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 13:04
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 13:06
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 13:07
จบชุดวันญี่ปุ่นบุกแล้วครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 13:08
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 13:08
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 13:13
ระหว่างท่านนวรัตนยังไม่เข้ามา  ดิฉันเล่าปูพื้นไปเรื่อยๆก่อน

การเคลื่อนไหวของทางอเมริกาก็ไม่น้อยหน้า   วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๘๔  คือ ๔ วันหลังญี่ปุ่นบุก   ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชเปิดแถลงข่าวต่อสื่ออย่างองอาจผิดวิสัยข้าราชการไทย(โดยมาก)ในสมัยนั้น     ว่าสถานเอกอัครราชทูตไทยในวอชิงตันไม่รับรู้ความร่วมมือของไทยกับญี่ปุ่น      สถานทูตจะทำตามคำสั่งรัฐบาล เฉพาะเรื่องที่เห็นว่าไม่ใช่คำสั่งของญี่ปุ่นกำกับมาอีกทีเท่านั้น
นอกจากนั้น ท่านทูตเสนีย์ก็ฮึดสู้ต่อไปไม่ลดละ     ประกาศทางวิทยุชักชวนคนไทยให้ร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น    คำประกาศนี้ท่านนำไปให้นายคอเดล ฮัลล์ ร.ม.ว.ต่างประเทศของอเมริกา  หรือ State Secretary รับทราบอย่างเป็นทางการ
ท่านรัฐมนตรีฮัลล์ก็ไม่รอช้า  ส่งลูกมาก็ชู้ทต่อทันควัน   ให้อ่านออกวิทยุกระจายเสียงแห่งอเมริกา Voice of America  ทันที    เสียงของสถานทูตไทยก็กระจายไปทั่วโลก   เพราะในยุคนั้นการสื่อสารระหว่างประเทศที่รวดเร็วที่สุดก็คือวิทยุเท่านั้น  โทรทัศน์ยังไม่มี   วิทยุคลื่นสั้นส่งข้ามทวีปได้
พอเสียงมาถึงไทย  ผลคือจอมพลป. ห้ามคนไทยรับฟัง  Voice of America  ทันที

ท่านเอกอัครราชทูตเสนีย์เมื่อเดินหน้า  ท่านดับเครื่องชนลูกเดียว      ประกาศสงครามที่ไทยทำกับอังกฤษและอเมริกา(ฉบับที่นายปรีดีไม่ลงนามในวันประกาศนั่นแหละค่ะ)  เมื่อส่งถึงมือท่าน   ท่านก็ออกแถลงกับสื่อว่าประกาศนี้มาถึงท่านก็จริง แต่ท่านเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ  ขณะเข้าพบรมว.ฮัลล์   เพราะท่านบอกชัดเจนว่าท่านเชื่อว่าประกาศนี้ไม่ได้มาจากเจตนารมณ์ของประชาชนไทยทั้งชาติ
จากนั้นรัฐบาลสั่งให้ข้าราชการไทยและนักเรียนไทยในสหรัฐเดินทางกลับประเทศ      ปรากฏว่ามีผู้ปฏิบัติตาม ๑๘ คน   ข้าราชการ นักเรียนไทยในอเมริกาและแคนาดาอีก ๘๒ คนที่เหลือ ปักหลักสู้คำสั่งรัฐบาลและสู้ญี่ปุ่นอยู่ไม่ยอมถอย   แม้ว่าจะถูกรัฐบาลขู่ว่าถอนสัญชาติไทยก็ตาม

ไม่อยากคิดว่าถ้าเอกอัครราชทูตไทยไม่ใช่ม.ร.ว.เสนีย์ แต่เป็นใครสักคนที่พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวเองเป็นข้าราชการที่ดี  นายสั่งมายังไงก็ทำตามนั้น  คือประกาศสงครามกับอเมริกา  และยกขบวนพาข้าราชการไทยและนักเรียนไทยกลับบ้านกันหมด    ขบวนการเสรีไทยจะยากลำบากขึ้นอีกแค่ไหน
เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 13:21
คนไหนหนอ โกโบริ?


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 13:31
คนนู้นนคร้าบ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 13:42
กระทู้ชนกันกลางอากาศอีกแล้ว

คนไทยในอเมริกา เริ่มต้นดำเนินงานกู้ชาติในชื่อ "คณะไทยอิสระ"    แม้ว่ามีอุดมการณ์สอดคล้องร่วมกัน แต่งานในระยะต้นก็ไม่ยักประสานกันได้ดีอย่างที่ควร
ปัญหาสำคัญคือความไม่ลงรอยกันระหว่างเอกอัครราชทูต ม.ร.ว.เสนีย์  กับทูตทหาร ม.ล.ขาบ กุญชร    ส่วนนักเรียนไทยก็ไม่ยอมรับว่าอยู่ในอาณัติของสถานทูต  จะมาสั่งอะไรแต่ฝ่ายเดียวไม่ได้  
ผลคืออึดอัดขลุกขลักกันอยู่พักใหญ่ กว่าจะหาทางออกกันได้สำเร็จ ก็ล่วงมาถึงเดือนพฤษภาคม ๒๔๘๕    จึงมีการตั้งคณะกรรมการที่เป็นผู้แทนของทั้งสถานทูตและนักเรียนไทยขึ้นมาทำงานร่วมกัน  ชื่อว่า "เสรีไทย"  หลังจากนั้นการดำเนินงานก็ค่อยเข้ารูปเข้ารอย
เสรีไทยสายอเมริกา มีกระทรวงการต่างประเทศของอเมริกาหนุนหลังเต็มตัว   ช่วยฝึกทหารให้หนุ่มสาวเสรีไทย โดย O.S.S  หรือ The Office of Strategic Services   และต่อมาคือ  Detachments 404 ซึ่งมีกองบัญชาการอยู่ที่เมืองแคนดี เกาะลังกา  
งานเดินเป็น ๒ สายคือสถานทูตรับงานด้านการเมือง  ออกอากาศ ส่งข่าวสาร ประสานงานกับอเมริกา    ส่วนนักเรียนไทยฝึกปฏิบัติงานแบบสายลับ เข้ามาทำงานใต้ดินในเมืองไทย

ทีนี้ก็จะหันมามองเสรีไทยสายอังกฤษบ้างนะคะ  ว่าเป็นยังไง
ทางอังกฤษ ปฏิกิริยาตรงข้ามกับอเมริกา เพราะท่านเอกอัครราชทูตไทย พระมนูเวทวิมลนาท( เปี๋ยน สุมาวงศ์) มีนโยบายตรงกันข้ามกับม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช     ท่านถือว่าเป็นข้าราชการที่จะดี  ย่อมต้องเคร่งครัดต่อนโยบายของรัฐบาล
เมื่อรู้ข่าวไทยยอมให้ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศ     ข่าวส่งจากรัฐบาลไทยมาถึงสถานทูตอังกฤษ  ท่านทูตก็ประกาศให้นักเรียนไทยฟัง ด้วยการอ่านโทรเลขจากรัฐบาล  ว่า

"รัฐบาลเปรียบเหมือนช้างเท้าหน้า    พวกเราเป็นช้างเท้าหลัง    ฉะนั้นขอวิงวอนให้คนไทยทุกคน  ร่วมใจกันสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล  และปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลทุกประการ"

จากนั้นท่านทูตก็เตือนนักเรียนไทยว่า
"การที่จะต่อต้านญี่ปุ่น  จะทำให้นักเรียนมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๑๐๔  ฐานกบฏนอกประเทศ   มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต"

ถึงแม้นักเรียนไทยหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเจอคำปรามเข้าอย่างนี้  การรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนจึงยังไม่สามารถเกิดได้ง่ายนัก   กลายเป็นว่าต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำกันไป มากกว่า ในตอนเริ่มแรก


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 13:46
คนนู้นนคร้าบ
^
^
อ้าว  มาหลบอยู่นอกกรอบรูปนี่เอง พ่อดอกมะลิ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 13:54
เสรีไทยสายอเมริกา


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 13:54
เสรีไทยสายอังกฤษ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 13:59
เพราะผู้ใหญ่ปราม  เด็กก็ต้องเงียบ   แต่ในความเงียบก็ไม่ได้แปลว่ายอมทำตาม  ต่างคนต่างก็ดิ้นรนหาทางตามความถนัดของตัวเอง  ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง  
คนไทยคนหนึ่งในอังกฤษ มีชื่อในขบวนการเสรีไทยในภายหลังว่า " อรุณ"  เขียนบันทึก เล่าไว้ว่า  ท่านเขียนจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีอังกฤษโดยตรง   ขออาสาทำงานต่อต้านญี่ปุ่น
เชอร์ชิลล์ตอบรับมา   ขอให้ทำงานในกรมเสนาธิการข่าว ทำแผนที่ประเทศไทยและรวบรวมข่าวจากประเทศไทย แปลส่งให้อังกฤษ

ต่อมาพอรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษ ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕  สถานการณ์ของคนไทยในอังกฤษก็ทรุดฮวบแทบจะโคม่า   เพราะกลายเป็นชนชาติปรปักษ์ของอังกฤษไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว  
คุณพระมนูเวทฯ ทำตามคำสั่งของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด คือสั่งให้นักเรียนไทยเดินทางกลับบ้าน   ใครไม่กลับก็โดนถอนสัญชาติเดี๋ยวนั้นเลย  ไม่รั้งรอ
แต่ก็มีคนไทยจำนวนหนึ่งใจเด็ดพอ  ถอนได้ถอนไป ไม่กลับซะอย่าง
ปัญหาคือคนไทยเหล่านี้จะจัดตั้งขบวนการไทยเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างอเมริกาก็ไม่ได้  อังกฤษไม่ยอม   ถ้าจะไปรบกับญี่ปุ่นก็มีทางเดียวคือสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพอังกฤษ  มิฉะนั้นจะกลายเป็นฝ่ายพันธมิตรของศัตรู เรียกว่า Enemy aliens  ต้องรายงานตัวทุก ๑๕ วัน

ในตอนนี้เอง  หนุ่มนักเรียนอังกฤษบางคนก็ฮึดสู้  ออกโรงมาเป็นฝ่ายพันธมิตร คือ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์  ม.จ. การวิก จักรพันธุ์ และบุุคคลสำคัญยิ่งอีกคนหนึ่ง   คือท่านชิ้น ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงสนิท   สวัสดิวัตน์  หรือผู้ใช้นามว่า "อรุณ"


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 14:19
ขอแนะนำเสรีไทยบางท่านให้คนรุ่นลูกหลานรู้จักความกล้าหาญและเสียสละของท่านไว้
ท่านแรกคือ ม.จ. ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท หรือ "ท่านชิ้น"
ท่านชิ้น เป็นพระโอรสองค์ที่ 9 ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ กับหม่อมราชวงศ์เสงี่ยม สวัสดิวัตน์ (สนิทวงศ์)
กรมพระสวัสดิ์ฯ เป็นพระบิดาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗  ท่านชิ้นเป็นพระเชษฐาของสมเด็จพระนางรำไพฯ ท่านประสูติที่ประเทศอังกฤษ   เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีเสด็จมาประทับที่อังกฤษ  ต่อมาสละราชสมบัติ ท่านชิ้นก็ทรงอยู่ที่อังกฤษ มิได้กลับสยาม

ท่านชิ้นเป็นผู้มีความสามารถ สามารถติดต่อกับระดับสูงของอังกฤษได้  แต่ความที่ท่านเป็น "เจ้า" และเป็นเจ้าที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ก็กลายเป็นอุปสรรคมิให้ท่านรับตำแหน่งหัวหน้าขบวนการกู้ชาติได้ในช่วงแรก      เพราะคนไทยบางคนก็แคลงใจในสถานภาพ"เจ้า"ของท่าน
แต่ต่อมา ดิฉันอ่านพบในหนังสือหลายเล่มว่า ท่านก็ได้เป็นหัวหน้าเสรีไทยในอังกฤษ  แต่เป็นตอนไหนยังไง ยังหาไม่เจอ

คนต่อมาที่พวกเราคงเคยได้ยินชื่อ โดยเฉพาะผู้จบจากรั้วเหลืองแดงลูกแม่โดม   คือดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ดร.ป๋วยเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล  เข้าเรียนระดับปริญญาตรี สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์และการคลัง ที่ London School of Economics & Political Science  ซึ่งเป็นคณะดังระเบิดทางเศรษฐศาสตร์  ของมหาวิทยาลัยลอนดอน
ดร.ป๋วยใช้เวลาสามปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นคนไทยคนเดียวที่สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ในบรรดาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยกันในปี พ.ศ. 2485 ได้เกรดเอแปดวิชา และเกรดบีหนึ่งวิชา

รูปข้างล่างรูปแรกคือท่านชิ้น รูปที่สองคือ ดร.ป๋วย




กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 14:32
รัฐบาลสั่งให้คนไทยกลับบ้านให้หมด  ใครไม่กลับโดนถอนสัญชาติ   นักเรียนไทยบางคนก็ใจเด็ดไม่ยอมกลับ   ทั้งๆอยู่ในอังกฤษมีแต่อันตรายและลำบากลำบนทุกประการ
นักเรียนใจเด็ดมีจำนวน ๕๔ คน  แยกเป็นเจ้านาย ๗ พระองค์ คนไทย ๑ คน นักเรียนไทย ๓๙ คน   ในจำนวนนี้เข้าเป็นทหาร ๓๕ คน  ที่เหลือเป็นแนวหลัง ให้การสนับสนุนขบวนการเสรีไทย

จากนั้นก็อย่างที่รู้ๆกันคือเสรีไทยสายอังกฤษกับอเมริกาก็จับมือทำงานร่วมกัน    ลักลอบเข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทย   บางคนถูกจับได้ก็ตกไปอยู่ในอารักขาของอธิบดีตำรวจ  หนึ่งในนั้นคือดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์  ท่านตรวจสอบเอาขึ้นชั่ง ตวง วัดอยู่หลายเดือนจนตัดสินใจได้ว่าพวกนี้ทำเพื่อชาติ   ท่านก็เลยเข้าร่วมเป็นหัวหน้าเสรีไทยสายตำรวจในประเทศด้วย
จนไทยพ้นจากฐานะผู้แพ้สงครามมาได้

ปูพื้นมาพอสมควรแก่เวลาแล้ว  ขอกลับเข้าเรื่องพลต.อ. อดุล  คืนกระทู้ให้ท่านกูรูใหญ่กว่าตามเดิมละค่ะ  ขอบคุณ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 16:24
เรื่องของเสรีไทยนั้น พล.ต.อ.อดุลให้การว่าตอนจับเชลยอังกฤษและอเมริกันตอนประกาศสงครามกับเขาแล้วนั้น นายปรีดีคงได้ดูแลอย่างดีและถือโอกาสปรับความเข้าใจว่าเราคล้ายกับถูกญี่ปุ่นบังคับ จำใจต้องปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ หวังว่าเขาจะนำข้อมูลข่าวสารนี้ไปบอกรัฐบาลของเขาด้วย หลังจากนั้นจะติดต่อสื่อสารกันอย่างไรไม่ทราบ แต่นายปรีดีได้ส่งนายจำกัด พลางกูรเดินทางไปเมืองจีน แต่ท่านผู้นี้ไปถึงแก่กรรมเสีย ต่อมาในปี2486 จึงได้จัดส่งนายสงวน ตุลารักษ์ซึ่งไปกันทั้งครอบครัว นายแดง คุณะดิลก นายวิบูลวงศ์ วิมลประภา นายกระจ่าง ตุลารักษ์ไปเมืองจีนอีก นายสงวนได้ปรับความเข้าใจกับรัฐบาลจีนที่จุงกิงเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางร่วมกับนายแดงไปสหรัฐอเมริกาและอังกฤษต่อไป แล้วจึงย้อนกลับมาประจำอยู่ที่แคนดี เพื่อร่วมมือกับบรรดานักเรียนไทยที่กำลังฝึกวิทยายุทธอยู่ที่นั่น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 16:27
ในปีนั้น อังกฤษส่งลูกจีนเกิดในเมืองไทย4คนโดดร่มมาลงที่นครชัยศรี  ทั้งหมดถูกตำรวจยิงตายไป1 จับเป็นได้2 อีกคนหนึ่งหนีไปได้ ญี่ปุ่นรู้เข้าจะขอตัวไปสอบสวน ไทยไม่ยอมแต่จะมาร่วมสอบสวนด้วยก็เชิญ สุดท้ายญี่ปุ่นไม่ได้อะไร เสรีไทยสองคนนี้ตำรวจเอาไปเลี้ยงดูอย่างดี

ปลายปีนั้นอังกฤษส่งนักเรียนไทยมาโดดร่มลงอีก3คนในเขตอุทัยธานี-ชัยนาท  ตำรวจจับได้หมดทั้งนายป๋วย อึ้งภากรณ์ นายประทาน เปรมกมล นายเปรม บุรี พร้อมอาวุธ และเอกสารโคตลับ วิทยุสื่อสาร และอาหาร

พอพล.ต.อ.อดุลได้รับรายงานก็สั่งให้ลูกน้องนำตัวมาที่ตนโดยตรง แต่ญี่ปุ่นรู้ก่อน จึงต้องเปลี่ยนเอาไปตั้งข้อหาที่สันติบาล ทำทีว่าจะสอบสวนดำเนินคดีไม่ให้ญี่ปุ่นระแวง ระหว่างนั้นนายปรง พหูชนม์ปลัดจังหวัดมาหาแจ้งว่ามีราชการลับมาก เมื่อให้พบแล้วปลัดปรงบอกว่าพลร่มฝากหนังสือลับของลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตแต้นส์ ผู้สำเร็จราชการของอังกฤษในอินเดียมาให้นายปรีดี พนมยงค์ พล.ต.อ.อดุลกลัวว่าต่อไปเรื่องจับพลร่มได้จะรู้ไปถึงจอมพล ป. จึงได้คัดเลือกเอกสารที่จับได้ เอาที่ไม่สำคัญไปรายงานให้จอมพล ป.ทราบ จอมพล ป.ดูๆแล้วก็ไม่ค่อยจะสนใจ บอกเพียงว่าคงเป็นแค่อุบายให้ญี่ปุ่นระแวงไทย หรืออาจจะเข้ามาทำร้ายบุคคลสำคัญ เพื่อให้ตายใจพล.ต.อ.อดุลจึงให้ตำรวจที่ดูแลไปบอกให้พวกที่ถูกจับมาเขียนจดหมายถึงจอมพล ป. ใช้สรรพนามให้ถูกต้องกับวัธนธัมว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เรียนที่ไหน แล้วบอกว่ารัฐบาลอังกฤษให้ฉันหาทางมาติดต่อท่านผู้นำ จอมพล ป.อ่านแล้วก็ยิ้มออก หายระแวง

ผมขอเอาบางตอนจากคำไว้อาลัยที่ศาตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์เขียนถึงพล.ต.อ.อดุลในตอนนี้มาลงไว้จะดีกว่า


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 16:28
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 16:30
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 16:48
เรื่องของเสรีไทยนั้น พล.ต.อ.อดุลให้การว่าตอนจับเชลยอังกฤษและอเมริกันตอนประกาศสงครามกับเขาแล้วนั้น นายปรีดีคงได้ดูแลอย่างดีและถือโอกาสปรับความเข้าใจว่าเราคล้ายกับถูกญี่ปุ่นบังคับ จำใจต้องปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ หวังว่าเขาจะนำข้อมูลข่าวสารนี้ไปบอกรัฐบาลของเขาด้วย


เลยนึกถึงเกร็ดย่อยเรื่องเชลยศึกขึ้นมาได้   ขอเล่าแทรกไว้เป็นละครหลังม่านกระทู้นี้      เล่าหน้าม่านมาหลายหนแล้ว

นายปรีดีหาทางช่วยเชลยศึกอังกฤษและอเมริกัน ด้วยการดัดแปลงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่กักกันเชลย   เพื่อจะให้ฝรั่งรอดพ้นจากเป็นเชลยญี่ปุ่น  ซึ่งอาจจะถูกทารุณกรรมมากกว่านี้     ฝ่ายไทยไม่ทำอันตรายคนเหล่านี้แน่นอน    เชลยศึกพวกนี้จะว่าไปก็ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหน  หลายคนเป็นอาจารย์ฝรั่งที่มาสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย   เล่ากันว่าอาจารย์ที่อักษรฯ จุฬาก็โดนเข้าไปด้วย  
มีบัณฑิตอักษรศาสตร์รุ่นหนึ่งที่เรียนจบโดยไม่ต้องสอบปลายปี เพราะระเบิดลงหนัก  อาศัยคะแนนเฉลี่ยตลอดเทอมแทน    อีกอย่างอาจารย์ฝรั่งก็ร่อยหรอจนไม่เหลือสอน

พลต.อ.อดุล คงจะมีบทบาทช่วยเหลือเชลยฝ่ายพันธมิตรอย่างแข็งขัน     เห็นได้จากจดหมายที่เจ้าหน้าที่สืบราชการลับของอังกฤษ ส่งมาขอบคุณท่านอย่างสูง    เล่าถึงข้าราชการไทยและตำรวจที่ช่วยประสานงาน พาเชลยหนีออกนอกประเทศไปได้หลายราย

ผลงานของพลต.อ. อดุล เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลดีต่อเสรีไทย  และการหลุดพ้นจากภาวะประเทศแพ้สงครามของไทย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 17:11
พลร่มชุดที่3มาลงที่นครสวรรค์ก็เสร็จตำรวจอีก มีนายสำราญ วรรณพฤกษ์ นายธนา โปษยานนท์ นายระจิต บุรี ยึดได้สิ่งของอุปกรณ์เช่นเคย ที่สำคัญคือจดหมายถึงนายปรีดี พล.ต.อ.อดุลก็ให้ทั้ง3คนทำหนังสือรายงานให้จอมพล ป.เหมือนคราวที่แล้ว แต่ให้เพิ่มข้อความว่าได้พบนายสงวน นายแดงที่แคนดี้ด้วย ที่ทำอย่างนั้นเพราะพล.ต.อ.อดุลต้องการสังเกตุสีหน้าจอมพล ป. ตามคาดจอมพล ป.แสดงความไม่พอใจขึ้นมาทันที ตอนที่คณะนายสงวนเดินทางไปนั้น จอมพล ป.หาว่านายปรีดีส่งไป และผิดคาด นึกว่าคนกลุ่มนี้ตายเสียที่เมืองจีนหมดแล้ว

ตรงนี้ผมเห็นเขี้ยวของพล.ต.อ.อดุลอยู่เหมือนกัน ท่านกั๊กจดหมายของลอร์ดหลุยส์ถึงนายปรีดีไว้ถึง2ฉบับ ตกลงอังกฤษเลยไม่ทราบว่าจดหมายจะถึงมือเสรีไทยใหญ่ในประเทศหรือไม่ ปฏิบัติการอื่นก็พลอยล่าช้า กว่าจะเชื่อมโยงสื่อสารกันได้  ในขณะเดียวกันก็พยายามตรวจสอบปฏิกิริยาของจอมพล ป.ว่ามีทัศนคติอย่างไรต่อพวกใต้ดิน เมื่อเห็นว่าจอมพล ป.ไม่ค่อยจะสนใจ ท่านก็มีเวลาที่จะเลือกtake side ท่านถือไพ่ไว้ในมือทั้ง2หน้า ไม่ว่าจะจั่วอะไรขึ้นมา ท่านก็กิน
อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ตรงไหนก็ไม่จำไม่ได้แล้ว แม้จะย่อยยับแต่อยู่ฝ่ายชนะ ย่อมดีกว่าย่อยยับแล้วยังอยู่ฝ่ายแพ้ ท่านก็ซื้อเวลารอดูหนทางให้ใส แล้วก็กะจะพาชาติไปทางนั้นแหละ ถ้าท่านเกลียดญี่ปุ่นจริง ก็คงทุ่มไปทั้งตัวอย่างนายปรีดีที่อาจารย์เทาชมพูเล่าเมื่อกี้แล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 17:19
สแกนข้อความในจดหมายมาลงให้ดู ด้วยฝีมือระดับไร้เช่ี่ยวชาญ  จะกดหนังสือลงมากกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะมันค่อนข้างหน้า
ถ้าอ่านออก จะเห็นผลงานของลูกน้องพลต.อ. อดุลที่ช่วยฝรั่งให้รอดออกไปได้ หลายราย ทั้งที่เสี่ยงอันตรายรอบด้าน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 17:21
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 17:22
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 17:25
อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ตรงไหนก็ไม่จำไม่ได้แล้ว แม้จะย่อยยับแต่อยู่ฝ่ายชนะ ย่อมดีกว่าย่อยยับแล้วยังอยู่ฝ่ายแพ้ ท่านก็ซื้อเวลารอดูหนทางให้ใส แล้วก็กะจะพาชาติไปทางนั้นแหละ ถ้าท่านเกลียดญี่ปุ่นจริง ก็คงทุ่มไปทั้งตัวอย่างนายปรีดีที่อาจารย์เทาชมพูเล่าเมื่อกี้แล้ว


ถ้าเป็นอย่างนี้  ก็แสดงว่าพลต.อ.อดุลคงใช้เวลาจนแน่ใจว่าญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะแพ้  จึงหันมาทุ่มให้ฝ่ายชนะ    แบบนี้ท่านไม่เสียอะไร


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 18:10
^
ตรงนั้นน่ะ ผมแน่ใจอยู่นานแล้วจึงเขียนไปว่าเสรีไทยไม่ใช่ต้นเหตุให้เพื่อนคู่นี้ต้องแค้นกัน
แต่เป็นเรื่องอะไรที่ผมสงสัย และคิดว่ากำลังจะเจอฝางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อุณหภูมิของพล.ต.อ.อดุลถึงจุดเดือด

ดูกองหนังสือข้างตัวที่ผมเอามากองไว้ข้างคอมของผมในตอนนี้สิครับ
ผมคงบ้าไปแล้ว ไม่เคยตะลุยอ่านหนังสือคนละเรื่องเดียวกันมากมายขนาดนี้เลยในชีวิต

แต่มันใกล้จะได้คำตอบจริงๆ

พรุ่งนี้ผมก็ลากิจเสียด้วย
เราเชคชื่อกันไปพลางๆดีไหมครับ
ท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคิดอย่างไรกันบ้าง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 18:33
^
^
^


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 18:36
 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 18 ก.ค. 10, 18:58
มายกมือเชคชื่อจากหลังห้อง  ติดตามประจำครับ
ขออนุญาตออกความเห็นจากเรื่องคุณหมอ CVT วินิจฉัยอาการของจอมพล ป.นะครับ    ตราบใดยังเชิญวิญญาฯท่านมานอนบนโซฟาในห้องทำงาน   เล่าเรื่องราวให้ฟังไม่ได้  ผมก็ขอมองผ่านหน้าจอไปพลางๆ
ท่านคงมีอาการเครียดสูง  เรื่องนี้ฟันธงได้   คนไหนโดนสาหัสตั้งแต่ไล่ยิง ถูกวางยาพิษ  ประเทศชาติคับขัน  เมียเป็นใหญ่   ครม ขัดแย้งกันประจำต้องคอยปรามไม่หยุด  เครียดรับประทานทั้งนั้น
แต่ถึงขั้น Delusional disorder มะ   ผมว่าไม่ถึงหลุดครับ      ท่านก็ยังมีเวลาผ่อนคลาย   เช่นเรื่องหลบไปพักกับกิ๊ก  ก็เป็นทางออกทางหนึ่ง ไม่ให้ถึงระเบิด
แต่ถ้ามี delusion  หรือ paranoid บ้างไหม ก็มีครับ  คนมีอำนาจ ไม่ให้ใครแบ่งเบา มีโอกาสระแวงคนใกล้ตัวก่อนเพื่อน   จากนั้นแผ่ขยายวงกว้างจนกลายเป็นใครแตะไม่ได้   อาการนี้จะเพิ่มมากตามดีกรีของปัญหาที่มากระทบ   
เพื่อนรักอย่างหลวงอดุล มีอำนาจในประเทศรองลงมาจากท่าน     ท่านก็คงแสดงความไม่ไว้วางใจให้เห็น  จนในที่สุดถึงขั้นรวมกันเราแตก  แยกกันต่างคนต่างอยู่ก็ได้ครับ
คอยอ่านคำตอบจากท่านอาจารย์นวรัตน์นะครับ  มาเพื่อเชคชื่อเท่านั้นครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 18 ก.ค. 10, 19:15
(http://www.kananurak.com/mcontents/1100447600kananurakcom2.gif)

คุณครูเจ้าของกระทู้ขอลาไปงานบุญ
ผมเลยถือโอกาสพานักเรียนเถลไถล ด้วยรูปถ่ายเล่าเรื่อง
รูปที่เอามาให้ดูเป็นคุณอาผมถ่ายกับนายทหารญี่ปุ่นที่น่าจะชื่อ ร.ต.ตาเบรุ อิซากิ ถ่ายเมื่อเหตุการณ์กองทัพญี่ปุ่นบุกปัตตานีสงบลง
นายทหารญี่ปุ่นนายนี้จะไปที่บ้านปู่ผมและชอบเล่นกับอาผมมาก เพราะว่าอาผมอยู่ในวัยรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของเขา

คราวนี้มาว่าถึงข้อสังเกตของผม
เวลาอ่านเรื่องราวของเสรีไทย จะพบว่ามีแต่ทางภาคอีสาน และภาคเหนือบางจังหวัด
แต่ทำไมไม่ปรากฏร่องรอยของเสรีไทยในภาคใต้บ้างเลย
คุณปู่ผมเป็นผู้นำชาวบ้านย่านหัวตลาดปัตตานีต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินหรือได้อ่านเรื่องราวของเสรีไทยจากปู่เลย



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 10, 19:50
รู้แต่ว่าญี่ปุ่นเตรียมแผนยึดประเทศไทยในวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๘๗   แผนดังกล่าวถูกระงับ  แต่กองทหารญี่ปุ่นที่ประจำอยู่ที่วิคตอเรียพ้อยท์ในเขตพม่า  ไม่รู้ว่าแผนถูกยกเลิก  ก็บุกไทยด้วยการเข้ายึดจังหวัดระนอง   ปะทะกับฝ่ายไทย มีฝ่ายเราเสียชีวิตคือจ.ส.อ.สวัสดิ์ ดิษยะบุตร
ญี่ปุ่นรู้เรื่องขบวนการเสรีไทยแน่ชัดแล้วในตอนนั้นว่าเคลื่อนไหวกันทั่วประเทศ   เปิดแนวรบจากอีสานขยายไปภาคอื่นๆ  แม่ทัพญี่ปุ่นในพม่าบินมาพบนายพลนากามูระแม่ทัพใหญ่ที่ประจำอยู่ในไทย   เพื่อขอให้กวาดล้างขบวนเสรีไทย    ถ้านายพลนากามูระไม่ทำ  ญี่ปุ่นในพม่าจะลงมือเอง  แต่นายพลนากามูระไม่ตกลงด้วย
รู้แค่นี้ค่ะ    มากกว่านี้รอถามคุณนวรัตนดีกว่า


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 18 ก.ค. 10, 21:22
เกิดทันเรื่องนี้พอดี แว็บเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์บ้างก็มี เเต่ยืนดูทหารญี่ปุ่นอาบน้ำเป็นกลุ่มๆแต่ละคนมีผ้าผืนนิดเดียวปิดข้างหน้า น่ะประจำ เรื่องเสรีไทย เจ้านาย (ท่านสวัสดิ์ ศรีสุข  ท่าน สุนทร สุนทรากูล ) เคยเล่าให้เล่าให้ฟังมั่งเหมือนกัน แต่ข้อความในก.ท.นี้ละเอียดและครอบคลุมมากกว่าเยอะ เป็นข้อมูลที่ดีจริงๆ ขอขอบพระคูณครับ
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 10, 22:06
ข้อมูลจากตำนานเสรีไทยเล่มหนาเท่าคืบ จาก4-5 หน้า ผมย่อความมาได้ดังนี้ครับ

ปฏิบัติการของเสรีไทยทางใต้มีภารกิจสำคัญคือ ต้องรับ-ส่งบุคคลเข้าออกประเทศโดยเครื่องบินทะเล และเรือดำน้ำ ที่มักจะนัดหมายกันแถวสามร้อยยอด ทั้งหัวหินก็เป็นพื้นที่เป้าหมายซึ่งสัมพันธมิตรจะมาทิ้งร่มส่งอาวุธยุทธปัจจัยให้เสมอ อยู่ในความรับผิดชอบของนายซาญ บุนนาค

ใต้ลงไปอีกนิดคือชุมพร นอกจากภารกิจคล้ายข้างต้นแล้ว ที่จุดนัดหมายบริเวณใกล้เกาะเต่าที่สุราษฎร์แล้ว  ยังต้องเฝ้าดูทหารญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่บริเวณคอคอดกระ ในพม่าเพื่อรายงานให้สัมพันธมิตรทราบทุกระยะ มีการฝึกพลพรรคอาสาสมัครข้าราชการประชาชนในการปฏิบัติการขัดขวางการเคลื่อนทัพของญี่ปุ่นกรณีย์ที่สัมพันธมิตรจะยกพลขึ้นบกททางใต้ลงไป เช่นการระเบิดสะพาน และทางรถไฟ
 
ต่อจากชุมพรลงไปสุราษฎร์ และสุดชายแดนภาคใต้ พล.ต.อ.อดุลส่งนายตำรวจสันติบาลประมาณยศร้อยเอกลงไปรับผิดชอบในการประสานกับโรงพักทุกจังหวัด โดยขึ้นกับผู้กำกับตำรวจยะลาที่ติดต่อรับความช่วยเหลือสนับสนุนจากอังกฤษ

เสรีไทยจากนอกประเทศคือม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน และสวัสดิ์ ไกรฤกษ์ได้ถูกส่งให้ไปประสานกับเสรีไทยในประเทศดังกล่าว จัดตั้งกองบัญชาการขึ้นที่เขาใหญ่ อำเภอสิชล มีกองกำลัง2กองร้อย และรวบรวมยานพาหนะจัดตั้งเป็นหน่วยรบได้4หน่วย ตั้งอยู่ที่นาสาร ทุ่งสง พัทลุง และหาดใหญ่

แต่ยังไม่ทันจะถึงระดับพร้อมรบ สงครามก็ยุติลงก่อน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 ก.ค. 10, 07:14
เหตุการณ์ในช่วงนี้ผมขอใช้เครื่องทุ่นแรงหน่อย

หนังสือตำนานเสรีไทยได้ย่อสรุปความเป็นมาที่เกิดขึ้นดีแล้ว ขอเอามาให้ท่านผู้อ่านที่อยากทราบไว้เป็นข้อมูล


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 ก.ค. 10, 07:16
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 ก.ค. 10, 07:18
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 ก.ค. 10, 07:25
.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 ก.ค. 10, 07:30
การทิ้งระเบิดถล่มจุดยุทธศาสตร์ต่างๆของเมืองไทยโดยฝ่ายสัมพันธมิตร


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 ก.ค. 10, 07:33
ใบปลิวที่ถูกทิ้งมาจากอากาศให้คนไทย

ใบแรก ของณี่ปุ่นตอนบุกเมืองไทย
ใบหลัง ของสัมพันธมิตร


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 ก.ค. 10, 07:45
ลอร์ดหลุยส์ผู้พยายามจะส่งสาส์นมาให้นายปรีดีเพื่อเชื่อมโยงปฏิบัติการเสรีไทยนอกประเทศกับในประเทศ แต่สาส์นเหล่านั้นถูกพล.ต.อ.อดุลเก็บไว้หมด

ต่อมานายปรีดีก็ได้รับสาส์นนั้นจนได้จาก "คนขายชาติ" 2ท่าน

เป็นใคร เดี๋ยวค่ำๆกลับมาแล้วยังไหว ผมจะเขียนเล่าให้อ่านกันต่อครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 19 ก.ค. 10, 09:07
มาครับ  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 09:17
วันนี้ท่านเจ้าของกระทู้ลากิจ     ระหว่างนักเรียนนั่งรอกันเต็มชั้น     ก็ขอคั่นโปรแกรมไปพลางๆ  (ตามเคย) ด้วยภาพเก่าเล่าเรื่อง
เตรียมรอรับความระทึกใจที่ท่านจะมาเฉลยตอนจบให้ฟัง  ไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้

ภาพแรก คือภาพไทยร่วมลงนามอนุสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น   คงจะจำได้ว่าหลังยอมให้ญี่ปุ่นผ่านเข้าประเทศอย่างสันติในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔  จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีของไทย ก็ไปลงนามอนุสัญญาร่วมมือกับญี่ปุ่น  กระทำกันต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือพระแก้วมรกต ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  คู่สัญญาคือนายทสุโย กามิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
ว่าไทยจะร่วมมือกับญี่ปุ่นทั้งการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจ 


 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 09:22
ภาพที่ 2  เมื่อรัฐบาลเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น  เอกอัครราชทูตไทยในอเมริกาประท้วงผ่านวิทยุคลื่นสั้น ส่งมาถึงไทย  หนังสือพิมพ์ไทยที่ต้องรับนโยบายรัฐบาลมาปฏิบัติ ก็ลงข่าวตามท่านผู้นำให้ลง
กรุณามองข่าวเล็กๆตรงกลางหน้า  "ห้ามฟังข่าววิทยุต่างประเทศ"


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 09:26
ภาพนี้บางท่านอาจเคยเห็นแล้ว   น้ำท่วมใหญ่ปี 2485   เป็นปีที่ไทยตกอยู่ในภาวะวิกฤติทั้งการเมืองและภัยธรรมชาติ   
กรุงเทพน้ำท่วมหนักขนาดใช้เรือสัญจร  พายผ่านพระบรมรูปทรงม้ากัน เพราะลุยน้ำไม่ไหว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 09:29
หลักฐานความย่อยยับของเมืองหลวง ในสงครามมหาเอเชียบูรพา   สะพานพระราม ๖  ถูกทิ้งระเบิด


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 09:30
หน้าตาลูกระเบิด


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 09:34
เรื่องราวของสงครามมหาเอเชียบูรพา หาอ่านได้จากลิ้งค์นี้
http://iseehistory.socita.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711080&Ntype=1

มีประกาศสันติภาพด้วยค่ะ

**************************
ประกาศสันติภาพ

ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๗)

ปรีดี  พนมยงค์

 


                 โดยที่ประเทศไทยได้เคยถือนโยบายอันแน่วแน่ที่จะรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด และจะต่อสู้การรุกรานของต่างประเทศทุกวิถีทาง ดังปรากฏเห็นได้ชัดจากการที่ได้มีกฎหมายกำหนดหน้าที่คนไทยในเวลารบ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๔ อยู่แล้วนั้น ความจำนงอันแน่วแน่ดังกล่าวนี้ได้แสดงให้เห็นประจักษ์แล้วในเมื่อญี่ปุ่นได้ยาตราทัพเข้าในดินแดนประเทศไทยในวันที่   ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ โดยได้มีการต่อสู้การรุกรานทุกแห่ง และทหาร ตำรวจ ประชาชน พลเมืองได้เสียชีวิตไปในการนี้เป็นอันมาก

                 เหตุการณ์อันปรากฏเป็นสักขีพยานนี้ ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าการประกาศสงครามเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๕ ต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งการกระทำทั้งหลายซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อสหประชาชาตินั้น เป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชาวไทยและฝ่าฝืนขืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง ประชาชนชายไทยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือสนับสนุนสหประชาชาติ ผู้รักที่จะให้มีสันติภาพในโลกนี้ ได้กระทำการทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือสหประชาชาติดังที่สหประชาชาติส่วนมากย่อมทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยต่อการประกาศสงครามและการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสหประชาชาติดังกล่าวมาแล้ว

                  บัดนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้ยอมปฏิบัติตามคำประกาศของสหรัฐอเมริกา บริเตนใหญ่  จีน  และสหภาพโซเวียต ซึ่งได้กระทำ ณ นครปอตสดัมแล้ว สันติภาพจึงกลับคืนมาสู่ประเทศไทย อันเป็นความประสงค์ของประชาชนชาวไทย

            ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงขอประกาศโดยเปิดเผยแทนประชาชนชาวไทยว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เป็นโมฆะ ไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับสหประชาชาติ ประเทศไทยได้ตัดสินที่จะให้กลับคืนมาซึ่งสัมพันธไมตรีอันดีอันเคยมีมากับสหประชาชาติ    เมื่อก่อนวันที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ และพร้อมที่จะร่วมมือเต็มที่ทุกทางกับสหประชาชาติในการสถาปนาเสถียรภาพในโลกนี้

            บรรดาดินแดงซึ่งญี่ปุ่นได้มอบให้ไทยครอบครอง คือ รัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะริด เชียงตุง และเมืองพานนั้น ประเทศไทยไม่มีความปรารถนาที่จะได้ดินแดนเหล่านี้และพร้อมที่จะจัดการเพื่อส่งมอบในเมื่อบริเตนใหญ่พร้อมที่จะรับมอบไป

            ส่วนบรรดาบทกฎหมายอื่นๆ ใดอันมีผลเป็นปริปักษ์ต่อสหรัฐอเมริกา บริเตนใหญ่และเครือจักรวรรดิก็จะได้พิจารณายกเลิกไปในภายหน้า บรรดาความเสียหายอย่างใดๆ จากกฎหมายเหล่านั้นก็จะได้รับชดใช้โดยชอบธรรม

            ในที่สุดนี้ ขอให้ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย ตลอดจนต่างด้าวซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทย จงตั้งอยู่ในความสงบ และไม่ว่ากระทำการใดๆ อันจะเป็นการก่อกวนความสงบเรียบร้อย พึงยึดมั่นในอุดมคติซึ่งได้วางไว้ในข้อตกลงของสหประชาชาติ ณ นครซานฟรานซิสโก

            ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ เป็นปีที่ ๑๒ ในรัชกาลปัจจุบัน

 

 
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

 ทวี   บุณยเกตุ

 นายกรัฐมนตรี



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 09:51
คราวนี้มาว่าถึงข้อสังเกตของผม
เวลาอ่านเรื่องราวของเสรีไทย จะพบว่ามีแต่ทางภาคอีสาน และภาคเหนือบางจังหวัด
แต่ทำไมไม่ปรากฏร่องรอยของเสรีไทยในภาคใต้บ้างเลย
คุณปู่ผมเป็นผู้นำชาวบ้านย่านหัวตลาดปัตตานีต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินหรือได้อ่านเรื่องราวของเสรีไทยจากปู่เลย

ในส่วนของภาคใต้จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้น เป็นสายงานของชาญ บุนนาค อีกท่านหนึ่งที่อาวุโสมากคือหลวงนฤเบศร์มานิต มีการรับอาวุูธจากเครื่องบินคาตาลีน่า ในการไปรับอาวุูธนั้นเป็นงานของหลวงบรรณกรโกวิทอธิบดีกรมศุลกากร  ซึ่งอยู่บ้านสีลมในวันที่ ๘ ธันวาคม ได้ใช้เรือของกรมศุลกากร มีนายท้ายชื่อสวัสดิ์ อุทัยศรี เป็นผู้ขับเรือศุลกากรไปรับอาวุูธ และัรับส่งเสรีไทยที่เดินทางไปฝึกยังต่างประเทศ

ใต้ลงไปอีกในส่วนของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ งานในส่วนนี้อยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบของแช่ม พรหมยงค์ ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นจุฬาราชมนตรี คนที่ ๘ ของไทย  

ข้อมูลจากคำบรรยายของคุณศุขปรีดา พนมยงค์ ที่พิพิธภัณฑ์เสรีไทยแพร่ ธันวาคม ๒๕๕๒


คุณปู่ของคุณหมอซึวีที อาจจะรู้จักท่านที่เอ่ยนามท่านสุดท้ายนี้

เรื่องของคุณแช่ม คุณวิกกี้ได้เล่าไว้ดังนี้
http://th.wikipedia.org/wiki/แช่ม_พรหมยงค์ (http://th.wikipedia.org/wiki/แช่ม_พรหมยงค์)

นายแช่ม พรหมยงค์ มีชื่อและนามสกุลเดิมว่า ซำซุดดิน มุสตาฟา เกิดเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ ที่ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ บิดาชื่อ นายจำปา หรือ มุสตาฟา เป็นโต๊ะอิหม่าม แห่งมัสยิดพระประแดงและเป็นอาจารย์สอนศาสนาอิสลาม นายแช่มเองนั้นจบการศึกษาด้านศาสนาอิสลามจากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์

ในทางการเมือง นายบรรจง ศรีจรูญ เพื่อนสนิทซึ่งศึกษาอยู่ในเวลาเดียวกันได้ชักชวน นายแช่ม ให้เข้าเป็นสมาชิกคณะราษฎรในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายแช่มและนายบรรจง ทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายและพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ให้เข้าประทับในพระที่นั่งอนันตสมาคม และทำหน้าที่แจกใบปลิวเพื่อทำความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยแก่ราษฎร นายแช่ม พรหมยงค์ มีความสนิทสนมและนับถือ นายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายมันสมองเป็นอย่างมาก ถึงกับเปลี่ยนนามสกุลเป็น พรหมยงค์ เพื่อให้คล้ายคลึงกับ พนมยงค์ นามสกุลของนายปรีดี อีกด้วย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้เข้าเป็นสมาชิกขบวนการเสรีไทย

เมื่อนายปรีดี พนมยงค์ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และมีดำริที่จะฟื้นฟูตำแหน่งจุฬาราชมนตรีขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ชะงักไปหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายแช่มซึ่งเป็นข้าราชการกรมโฆษณาการและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ในขณะนั้น จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ ถือเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกของไทยที่นับถือนิกายสุหนี่

หลังเหตุการณ์รัฐประหารในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ นายแช่ม ต้องลี้ภัยการเมืองไปพร้อมกับ นายปรีดี พนมยงค์ ยังสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา และท้ายสุดไปอยู่ที่รัฐกลันตันมาเลเซียซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษและซาอุดิอาระเบียตามลำดับ จนกระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย เมื่อทางรัฐบาลขณะนั้นอภัยโทษให้ และมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ด้วยวัย ๘๘ ปี


นายแช่ม พรหมยงค์ ขณะนำเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ชมมัสยิดต้นสน พ.ศ. ๒๔๘๙



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 19 ก.ค. 10, 13:17
มาครับ........... :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 13:31
นักเรียนมานั่งรอครูเจ้าของกระทู้กันสลอน    เกรงว่าจะหลับไปเสียก่อน  เล่าเรื่องภาคบ่ายคั่นเวลาไปก่อนนะคะ
ขอเล่าประวัติของเสรีไทยอีกท่านหนึ่ง   เป็นหัวหน้าเสรีไทยสายอีสาน  ชื่อ นายเตียง  ศิริขันธ์  ใครที่สนใจประวัติศาสตร์การเมืองไทยคงเคยได้ยินชื่อของท่าน

นายเตียงหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ครูเตียง" เกิดที่สกลนคร เมื่อ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๒ บิดาชื่อบุดดี ศิริขันธ์ (ขุนนิเทศพาณิช) ชาวบ้านเรียกว่า"นายฮ้อยบุดดี" เพราะเคยมีอาชีพต้อนวัวควายมาขาย    ท่านมีเชื้อสายลาวญ้อมาจากฝั่งเมืองมหาชัยก่องแก้ว ห่างแม่น้ำโขง
ครูเตียงได้รับการศึกษาดีกว่าหนุ่มๆวัยเดียวกันโดยมาก คือได้เข้าเมืองหลวงมาเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูวัดบวรนิเวศในพระนคร จบประกาศนียบัตรครูประถม (ป.ป.) เมื่อพ.ศ.๒๔๗๐ และศึกษาต่อคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นนิสิตรุ่นแรกของคณะร่วมชั้นกับนายเปลื้อง ณ นคร เรียนจบได้วุฒิประกาศนียบัตรครูมัธยม (ป.ม.) (สมัยนั้นคณะอักษรศาสตร์ยังไม่เปิดระดับปริญญาตรี)   จากนั้นทำงานเป็นครูโรงเรียนหอวัง ประมาณ ๒ ปีก็กลับมาอีสาน เป็นผู้ช่วยครูใหญ่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล

ชีวิตครูเตียงเริ่มมีสีสันเข้มข้นขึ้น  เมื่อตกเป็นจำเลยคดีคอมมิวนิสต์ เมื่อ ๙ กรกฎาคม ๒๔๗๘ สาเหตุช่วงนั้นมีการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และมีคนชักธงรูปค้อนเคียวขึ้นยอดเสาธงโรงเรียน   ครูเตียงกับเพื่อนครูอีกสามคนถูกหมายหัวถูกฟ้อง คือ ครูปั่น แก้วมาตย์ ครูสุทัศน์ สุวรรณรัตน์ และครูญวง เอี่ยมศิลา ถูกคุมขังอยู่ประมาณสองเดือนต่อสู้คดี กระทั่งศาลพิพากษายกฟ้อง มีเพียงครูญวงคนเดียวถูกตัดสินจำคุก ๑๐ ปี

จากนั้นครูเตียงลาออกจากอาชีพครู  มาสมัครส.ส. ได้รับเลือกเมื่ออายุ ๒๘ ปี  การเข้าสู่วงการเมืองทำให้มีโอกาสรู้จักนายปรีดี พนมยงค์ซึ่งครูเตียงนับถือและเลื่อมใส    ครูเตียงเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านญี่ปุ่น  จึงเข้าร่วมขบวนเสรีไทย  จัดตั้งกองกำลังขึ้นที่อีสานถิ่นเกิดของท่าน  กระจายไปหลายจังหวัด  โดยใช้ชื่อแฝงว่า "พลูโต"

ผู้ร่วมขบวนการเสรีไทยที่เป็นแกนนำสำคัญคนอื่นๆ คือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง นายถวิล อุดล นายแพทย์อ้วน นาครทรรพ  นายสวัสดิ์ และนายสวาสดิ์ ตราชู นายสนิท ประสิทธิ์พันธุ์ นายถวิล สุนทรศาลทูล นายครอง จันดาวงศ์


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 13:52
อย่างที่เคยเล่าไว้ในค.ห.ก่อนหน้านี้  ว่าเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ จบลง หน้าที่ของเสรีไทยก็จบ  เสรีไทยส่วนใหญ่สลายตัวกลับไปประกอบอาชีพของใครของตัว    แต่บางส่วนก็ก่่อตัวพรรคการเมืองสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ต่อไป เช่นครูเตียงและเพื่อนอีสานแห่งพรรคสหชีพด้วยกัน ล้วนชะตารุ่ง   ได้เป็นรัฐมนตรี ๓ สมัย ๓ รัฐบาล คือ รัฐบาลนายทวี บุณยเกตุ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และรัฐบาลพล.ร.อ.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์       

อุดมการณ์ของพรรคสหชีพคือการเรียกร้องเพื่อปากท้องของประชาชนโดยเฉพาะชาวอีสาน   พร้อมกับได้ตำหนิการทำงานหลายอย่างของรัฐ เช่นการจัดสรรงบประมาณด้านการทหารมากเกินไป ข้อนี้ทำให้พรรคสหชีพถูกทหารเขม่นอยู่ไม่น้อย  

งานสำคัญของครูเตียงและพรรคพวก   คือหนุนเวียตนามเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส  โดยไปช่วยฝึกอาวุธให้ขบวนการกู้ชาติญวนของโฮจิมินห์  ตั้งค่ายฝึกอยู่ที่อีสาน    และไปช่วยฝึกอาวุธให้ขบวนการลาวอิสระของเจ้าสุภานุวงศ์ ได้สนับสนุนจัดตั้งและให้มาฝึกอาวุธเช่นกัน นอกจากนี้เสรีไทยอีสานบางส่วนยังข้ามน้ำโขงไปช่วยลาวและเวียดนามอีกด้วย ดังนั้น อาวุธเสรีไทยจึงได้ถูกลำเลียงไปสนับสนุนลาว และเวียดนาม

ในเดือนกันยายน ๒๔๙๐ ครูเตียง กับกลุ่มแกนนำภาคอีสานได้ก่อตั้งขบวนการสันติบาตเอเชียอาคเนย์ เพื่อต่อต้านการหวนกลับมาของฝรั่งเศส มีครูเตียง เป็นประธาน เจ้าสุภานุวงศ์ เป็นเลขาธิการ นายถวิล อุดล เป็นประชาสัมพันธ์ และนายเลอ ฮาย เป็นเหรัญญิก  

ส่วนทางประเทศไทย   หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง รัฐประหารก็ก่อตัวถี่ยิบกว่าสมัยก่อนสงคราม   การผลัดเปลี่ยนและชิงอำนาจระหว่างผู้นำทำให้นายปรีดีต้องหลบหนีไปตั้งหลักที่สิงคโปร์(ก่อนจะลี้ภัยไปในจีนและฝรั่งเศส)หลังจากก่อกบฏวังหลวง      ส่วนครูเตียงหลบขึ้นภูพานฐานที่มั่นเดิม และเตรียมกำลังติดอาวุธจะลงมายึดอำนาจ แต่นายปรีดีออกวิทยุกระจายเสียงขอร้องไว้ เพื่อมิให้คนไทยต้องฆ่ากัน
 
รัฐบาลตั้งข้อหาครูเตียง"กบฏแบ่งแยกดินแดนอีสาน" และมีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถจับตัวได้  จนหนังสือพิมพ์ยุคนั้นพร้อมใจกันตั้งสมญานามให้ว่า "ขุนพลภูพาน" ต่อมาทางการจับครูครอง จันดาวงศ์ และมิตรสหายของครูเตียงอีก 15 คน สร้างแรงกดดันจนเขาตัดสินใจมอบตัวต่อทางการในเดือนมีนาคม 2491 ทั้งหมดถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดนอีสาน แต่ท้ายที่สุดศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง

 4 ปีต่อมา เดือนพฤศจิกายน 2495 รัฐบาลจอมพล ป. ได้กวาดล้างจับกุมฝ่ายค้านจำนวนมากในข้อหากบฏ ที่เรียกกันต่อมาว่า"กบฏสันติภาพ" รัฐมนตรี 4 คนถูกสังหารในครั้งนั้นด้วย ครูเตียงดำรงตำแหน่ง ส.ส.ในคณะกรรมการนิติบัญญัติฝ่ายรัฐบาล เขาถูกตำรวจตามตัวออกจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2495 ตั้งแต่นั้นมาก็หายสาบสูญไป ไม่ปรากฏตัวอีกเลย

ต่อมา ในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สั่งรื้อฟื้นคดีนี้ ปรากฏหลักฐานว่าครูเตียง ถูกฆ่ารัดคอหลังถูกควบคุมตัวไปสองวัน แล้วนำศพไปเผาทิ้งเชิงเขาโล้น ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง กาญจนบุรี เสียชีวิตขณะมีอายุเพียง ๔๓ ปี


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 10, 19:20
งานของเสรีไทยถือเป็นความลับสุดยอด  เสรีไทยเป็นผู้ไม่มีตัวตน ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามจริง   ต้องสมมุติชื่อรหัสขึ้นมาในการปฏิบัติงาน
นายปรีดี พนมยงค์ ใช้ชื่อว่า "รู้ธ"
ม.จ. ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท  ใช้ชื่อว่า "อรุณ"
เตียง ศิริขันธ์ ใช้ชื่อว่า "พลูโต"
ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ใช้ชื่อว่า "เข้ม"
ทศ พันธุมเสน (บุตรชายของพระยาทรงสุรเดช) ใช้ชื่อว่า "บุญ"
หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ ใช้ชื่อรหัสว่า เจน (Jane)
พระพิศาลสุขุมวิท ใช้ชื่อรหัสว่า แม็ค (Mac)

เพิ่มเติม  พันเอกโยธี   - พลเอกเนตร เขมะโยธิน

หลังสงครามจบลงไปเกือบ ๒๐ ปี ดร.ป๋วยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  เขียนบทความ ใช้ชื่อว่านายเข้ม เย็นยิ่ง   วิจารณ์การทำงานของ "ผู้ใหญ่ทำนุ  เกียรติก้อง"  
ผู้ใหญ่คนนั้นก็คือนายกรัฐมนตรีในยุคนั้น จอมพลถนอม กิตติขจร
 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ก.ค. 10, 08:07
เพิ่มเิติม

หลวงอดุลเดชจรัส  เมื่อเป็นเสรีไทยมีชื่อจัดตั้งว่า  "พูเลา"


อยากให้ท่านอาจารย์ใหญ่และใหญ่กว่าลองวิเคราะห์วิจารณ์จดหมายฉบับนี้

จดหมายของจอมพล  ป.พิบูลสงคราม  ถึงนายปรีดี  พนมยงค์   

"เรียน  อาจารย์ที่เคารพและนับถือ

ผมเห็นงานของอาจารย์มีมาก  ไม่อยากจะมารบกวนอะไร  แต่บัดนี้ผมเป็นคนเคราะห์ร้ายไม่รู้จะหันไปพึ่งใครได้  ก็จำเป็นต้องขอพึ่งอาจารย์ตามแต่จะกรุณาได้

ประการแรก  อยากขอปรับความเข้าใจแก่อาจารย์  ซึ่งบางทีจะมีเมตตาจิตเกิดแก่ผมบ้างตามสมควร  ถ้าอาจารย์จะผูกพยาบาทผมเกี่ยวแก่เดิม ๆ  มาบ้าง  ซึ่งอาจเป็นการเข้าใจไม่ตรงตามเป็นจริง  อาจารย์จะได้ทราบความจริงไว้  คือ  บางทีอาจารย์อาจเข้าใจว่าผมเป็นคนช่วยปิดสภาและเนรเทศอาจารย์  เกี่ยวแก่หาว่าเป็นคอมมิวนิสต์  เรื่องนี้ผมไม่ได้ทำเลย  การปิดสภานั้นพระยามโนเรียกผมไป  ซึ่งเวลานั้นผมเป็นเด็กอยู่มากในการเมือง  เกลี้ยกล่อมให้ผมเซ็นเป็นคนสุดท้าย   ครั้นเห็นทุกคนเขาลงชื่อกัน   ผมไม่ลงชื่อกับเขาก็เกรงจะเป็นภัยร้ายแรง  จึงได้ลงชื่อตามพระยาพหลไป   เรื่องเนรเทศอาจารย์นั้นถามหลวงอดุลดูว่า   เป็นใครวิ่งเต้น  ความจริงจะทราบว่าพระยาทรงสุรเดช  ผมกับหลวงอดุลถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์  วันหนึ่งไปพบพระยาทรงฯ  ท่านยังถามว่าลื้อกับอดุลแดงเรื่อ ๆ  แล้วนะ  เมื่อผมเปิดสภาฯ  พระยาราชวังสันยังโทรศัพท์ถามผมว่าจะเอาอะไร  ผมตอบว่าเปิดสภาฯ  ท่านยังถามต่อไปว่าไม่แดงนะหรือจะแดงกัน  ผมเลยวางหูโทรศัพท์

การทำการกันครั้งนั้น  เขาประชุมกัน  ๔-๕  คน  มีพระยามโนเป็นหัวหน้า  เมื่อเขาจะทำอะไรก็ทำกัน  ผมรู้จริงจังภายหลังเสมอ ซึ่งแก้อะไรไม่ได้  เพราะเป็นเด็กในการเมืองอยู่มาก....

เมื่อพระยาทรงฯ  ออกไปแล้ว  ผมรักษาการที่กาแฟนรสิงห์ตอนกลางคืน  ผมจำได้ว่าไปกับหลวงอดุล  ทราบภายหลังว่า  พระยาราชวังสัน  พระยาฤทธิ  พระยามโน  จะให้ทหารเรือจับผมขังที่นั่น  เข้าใจว่าพลตรีขำหิรัญ  เป็นผู้ถูกชวน  เรื่องเก่า ๆ  มีความจริงอย่างนี้  ขออาจารย์กรุณาเข้าใจว่า  ผมไม่ได้เป็นคนแกล้งอะไรเพื่อนฝูงเลย  คนอื่นเขาทำกันเองแล้วผมยังช่วยในเมื่อมีโอกาส...

ผมเรียนมานี้หวังจะได้รับความกรุณาจากอาจารย์บ้างตามสมควร  ในทางการเมืองของผมนั้น  เวลานี้หรือต่อไป  ผมเข็ด  และรู้สึกตัวว่าภัยมาสู่ตัวร่ำไป  ผมเลยขอเป็นชาวไร่ชาวนาดีกว่า  ขออาจารย์อย่าเป็นห่วงผมในทางการเมือง  ผมเข็ดแล้ว  เป็นตามีตามาดีกว่าสำหรับตัวผม

ผมพูดมามากแล้ว  ถ้ามีผิดและรบกวนอาจารย์ก็ขออภัยด้วย  ผมได้เขียนเล่าการปฏิบัติการต่อสู้ญี่ปุ่นและส่งไปทางประธานสภาฯ  และให้เพื่อนฝูงอ่าน  มีความประสงค์อย่างเดียว  จะช่วยให้เพื่อนฝูงไม่เป็นอาชญากรสงครามรวมทั้งผมด้วย  ตามสัญชาตญาณของคนต้องป้องกันตน  อาจารย์ขอได้กรุณาแต่ผมในเรื่องนี้ด้วย  ถ้านิ่งไว้คนไม่รู้เหตุผล  การปฏิบัติของเราก็จะหาว่าเป็นคนขายชาติอยู่ตลอดไป  ชื่อเสียงก็จะเสีย  ผมดีใจว่าที่เราทำมาแล้วนั้น  อย่างน้อยพระแก้วมรกตยังอยู่  ญี่ปุ่นไม่ขนเอาไปอย่างแห่งอื่น"

จากหนังสือ  "พลิกแผ่นดิน" ของ ประจวบ  อัมพะเศวต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 20 ก.ค. 10, 09:08
มารายงานตัวเข้าห้องเรียนก่อนค่ะ
เดี๋ยวต้องไปไล่อ่านใหม่อีกรอบล่ะค่ะ เพราะไม่ได้เข้าห้องเรียนหลายวัน กลับมาอีกทีถึงหน้า 13 เข้าไปแล้ว
ขอไปเข้าคอร์สเรียนพิเศษก่อนนะคะ  :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 10, 09:30
จดหมายนี้น่าจะเขียนตอนสิ้นสงครามโลก เมื่อจอมพลป.จะถูกนำขึ้นศาลในฐานะอาชญากรสงคราม

ขอวิเคราะห์เป็น ๒ ส่วน   ขอย้ำว่าเป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ  ท่านกูรูใหญ่กว่าท่านจะเห็นอย่างอื่นก็ได้   ต้องรอฟังท่าน

๑ ส่วนของจอมพลป. เป็นธรรมดาอยู่เองว่าจำเลยในคดี ย่อมมีสิทธิ์ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาให้ตัวเองพ้นโทษ     ส่วนจะฟังได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นกับเนื้อหา
น่าสังเกตว่าในจดหมายฉบับนี้   เรื่องที่จอมพลป.ยกขึ้นมา ว่านายปรีดีโดนอะไรต่อมิอะไรนั้น   คนอื่นเป็นคนทำทั้งนั้น ไม่ใช่ท่านจอมพลทำ  ถึงมีหลักฐานว่าร่วมกระทำด้วย ท่านก็บอกว่าเป็นการถูกบีบบังคับ
"เรื่องเนรเทศอาจารย์นั้นถามหลวงอดุลดูว่า   เป็นใครวิ่งเต้น  ความจริงจะทราบว่าพระยาทรงสุรเดช"    
ตรงนี้จริงหรือไม่จริงดิฉันก็ไม่เห็นด้วย  พระยาทรงสุรเดชตายไปตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๘๗ ระหว่างสงคราม   ไม่มีโอกาสมาชี้แจงความจริงได้  ตามธรรมเนียมไทยเขาไม่อ้างคนตายเพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง

๒  ไม่เชื่อว่าจอมพล ป. หลุดจากข้อหาอาชญากรสงครามเพราะจดหมายฉบับนี้   แต่หลุดเพราะมีการออกพ.ร.บ. ซึ่งไม่มีผลย้อนหลัง  
    ในแง่กฎหมาย อังกฤษไม่ควรยื่นมือเข้ามามีอำนาจเหนืออำนาจตุลาการไทย  ซึ่งอาจจะมีผลกระทบแบบลูกโซ่ต่อการตัดสินในกฎหมายเรื่องอื่นๆของไทยได้   รัฐบาลชุดใหม่ และนายปรีดีจึงตัดไฟแต่ต้นลม       ออกกฎหมายพ.ร.บ. ฉบับนี้ให้จอมพล ป. รอดไปได้ดีกว่า  จบเรื่องราวกันไป
       อาจเป็นได้ว่านายปรีดี ถือหลักว่าเพื่อนจะไม่ล้างเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์ปฏิวัติ ๒๔๗๕ กันมา   คนอื่นทำกันแต่ท่านไม่ทำ   ช่วยกันครั้งนี้ถือว่าอโหสิกรรมกันไป     นอกจากนี้นายปรีดีคงเชื่อว่าจอมพลป.ไม่มีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯอีกแล้ว ในเมื่อรัฐสภาไม่เอาด้วย    หลังสงคราม พรรคการเมืองใหม่อย่างสหชีพก็เกิดขึ้น    กระแสความนิยมก็เปลี่ยนไป  ไทยไม่ต้องการคนที่ร่วมมือกับญี่ปุ่นอีก     ก็ตกลงปล่อยท่านจอมพลป. ล้างมือทางการเมือง อยู่อย่างสงบเหมือนพระยาพหล และทหารเสืออื่นๆ
      ผลจากการมองแบบนี้  จอมพลป. ไม่ได้ออกไปทำไร่ทำนาเป็นตามีตามาอย่างที่ท่านบอกไว้ในจดหมาย  แต่หวนกลับมาทำรัฐประหาร ชิงอำนาจคืนกลับไปได้  จนนายปรีดีต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ  เมื่อย้อนกลับมาทำรัฐประหารในชื่อกบฏวังหลวงก็พ่ายแพ้   ต้องออกไปอยู่ต่างประเทศตลอดชีวิต
             สุนทรภู่ให้ความเห็นในพระอภัยมณี ไว้ก่อนหน้านี้หนึ่งร้อยปี ว่า
             ประเพณีตีงูให้หลังหัก               มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง
             จระเข้ใหญ่ลงน้ำมีกำลัง             ถึงเสือขังเข้าดงก็คงร้าย
             อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า           ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย
             .....................................
             อาจจะไม่จริงในทุกกรณี  แต่บางกรณีก็เป็นไปได้   ขอตอบคุณเพ็ญชมพูด้วยการลงท้ายว่า โปรดพิจารณาด้วยวิจารณญาณ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 20 ก.ค. 10, 09:59
เห็นคล้อยตามอาจารย์เทาชมพูครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 20 ก.ค. 10, 13:13
ได้ข้อมูลใหม่อีกแล้วครับ ผมนึกว่าท่านเตียงสิ้นชีวิต เพราะโดนโจรมะลายูที่กำแหงมากเหลือหลายแย่งตัวที่กม. 13.-14 เสียอีก ครับผม
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ก.ค. 10, 13:23
โจรมลายู ?

นั่นคือแพะที่ตำรวจอ้างในคดีสังหาร ๔ อดีตรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๔๙๒

http://th.wikipedia.org/wiki/คดีสังหาร_4_อดีตรัฐมนตรี_พ.ศ._2492 (http://th.wikipedia.org/wiki/คดีสังหาร_4_อดีตรัฐมนตรี_พ.ศ._2492)

 :(


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ก.ค. 10, 13:52
เมื่อคืนผมกลับมาอย่างอ่อนเพลีย หายไปครึ่งวันกับอีก1คืน กลับมาตอนเช้าเข้าเรื่องต่อในกระทู้ไม่ถูก กระทู้วิ่งเร็วมาก กระโดดเกาะพลาดไปเดี่ยวโดนกระทู้ทับตาย เรื่องเดินไปไกลจนผมต้องนั่งงงอยู่ พยายามทบทวน หรือว่าตัวเองเอาสมองไปทิ้งค้างอยู่ที่ไหน ตอนนี้คิดออกแล้ว ผมขอโดดกลับเข้าห้องตรงตำแหน่งเดิมของผมก่อนก็แล้วกัน อย่างอื่นขอว่าที่หลัง ขออภัยด้วยคร้าบ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ก.ค. 10, 13:54
ตอนที่นายป๋วยโดดร่มลงที่ชัยนาทแล้วถูกปลัดอำเภอนำชาวบ้านกว่าสามสิบคนล้อมจับได้นั้น ชายคนหนึ่งเอาปืนทิ่มหลังแล้วบอกว่าไอ้คนขายชาติ เอ็งสมควรตาย ดีแต่ว่าอดีตพลทหารเกณฑ์คนหนึ่งเอามือปัดกระบอกปืนไปบอกว่า จับเป็นเชลยได้ดีกว่าจับตาย ส่งให้บ้านเมืองเขาสอบสวนดีกว่า กระนั้นก็ยังโดนชาวบ้านสั่งสอนไปหลายตุ้บ

คนขายชาติคืออะไร สำหรับผมแล้ว หากผู้ใดไม่ฆ่าหรือชี้นำคนต่างชาติให้ฆ่าคนชาติเดียวกัน เพื่อประโยชน์ร่วมของตนเองและคนต่างชาตินั้น ไม่ใช่คนขายชาติ แม้จะมีพฤติกรรมและแนวความคิดทางการเมืองตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ในชาติ(ขณะนั้น)ก็ตาม

อ่านพบการที่นายป๋วยบอกเพื่อนเสรีไทยในเครื่องแบบทหารอังกฤษพร้อมอาวุธครบมือ ที่ถูกส่งมาปฏิบัติการลับในเมืองไทยแบบสุ่มเสี่ยง ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรนั้น ตกลงกันว่าถ้าเจอคนไทยด้วยกันจะฆ่าตนเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นศัตรูนั้น จะยอมถูกฆ่า ดีกว่าจะเป็นผู้ฆ่าเขาก่อน หรือไม่ก็ยอมให้ถูกจับโดยดี แต่ถ้าเจอญี่ปุ่นแล้วจะสู้ตาย คนเช่นนี้ แม้สงครามโลกจะกลับกลายเป็นญี่ปุ่นชนะ ก็ไม่ใช่คนขายชาติ

นายวณิชก็ไม่มีพฤติกรรมในการชี้ตัวคนไทยที่เกลียดญี่ปุ่น(อย่างพล.ต.อ.อดุล) หรือคนไทยอื่นๆให้ญี่ปุ่นเชือด นายวณิชจึงไม่ควรถูกประนามว่าเป็นคนขายชาติในหน้าประวัติศาสตร์เพียงเพราะคบกับญี่ปุ่น


พล.ต.อ.อดุลพยายามวางตนอย่างระมัดระวังเต็มที่ไม่ให้มือเปื้อนเสรีไทยที่จับมาได้ โดยมอบให้ลูกน้องที่ไว้วางใจสุดๆชื่อร.ต.อ.โพยม จันทะรัคคะเป็นผู้ดูแลพวกผู้ต้องหาเสรีไทยทั้งหมด แม้จะกินอยู่ไม่เหมือนติดคุก แต่จดหมายของลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตแตนส์ที่เขียนถึงนายปรีดีมีความสำคัญอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้นหากเสรีไทยจากต่างประเทศจะสามารถปฏิบัติการร่วมกับเสรีไทยในประเทศ และจะเป็นผลอย่างไรกับกองทัพญี่ปุ่น  คนอย่างพล.ต.อ.อดุลย่อมรู้ แต่ก็เก็บงำไว้หลายเดือนไม่มอบให้ผู้รับ จนตัวตายพล.ต.อ.อดุลยังไม่รู้เลยว่า ลูกน้องที่ไว้ใจสุดยอดนั้นได้กบฏต่อตน โดยลักลอบนำนายป๋วยไปพบกับนายปรีดี


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ก.ค. 10, 14:01
ร.ต.อ.โพยมเป็นนักเรียนอัสสัมชัญรุ่นไล่ๆกับนายป๋วย จึงสนิทสนมกันเร็ว  จึงได้รับทราบการเคลื่อนไหวของเสรีไทยและจุดประสงค์ที่ลักลอบเข้ามาปฏิบัติการ และมีความร้อนรนใจพอๆกับนายป๋วย ที่หลายเดือนแล้ว นายยังไม่ได้สั่งอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในเรื่องนี้ ทั้งที่เชลยเสรีไทยถูกจับส่งมาที่สันติบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกกลุ่มที่เข้ามาจากสายอังกฤษล้วนถือจดหมายของลอร์ดหลุยส์ จะให้เอาไปให้นายปรีดีให้ได้ ในเดือนที่สี่ร.ต.อ.โพยมจึงตัดสินใจลักลอบพานายป๋วยไปหานายปรีดีโดยไม่ให้นายรู้ และนายป๋วยก็อุตส่าห์มีจดหมายของลอร์ดหลุยส์ไปให้นายปรีดีอีกฉบับหนึ่งได้ด้วย ไม่รู้แอบซุกไว้หรือร.ต.อ.โพยมจิ๊กออกมา ไม่แต่เท่านั้นร.ต.อ.โพยมยังซ่อมวิทยุที่นายป๋วยเอาติดตัวมาจนใช้การได้หลังจากที่พล.ต.อ.อดุลสั่งให้ถอดชิ้นส่วนสำคัญออก แล้วพานายป๋วยไปแอบส่งสัญญาณที่บ้านเมีย คืนนั้นนายป๋วยคิดว่าไม่สำเร็จแต่เท็จจริงแล้วอังกฤษรับสัญญาณได้แต่แผ่วมาก ตั้งแต่นั้นมาปฏิบัติการในเมืองไทยจึงก้าวหน้าขึ้นมาก อเมริกาได้ทราบจากอังกฤษก็ตอนนี้เอง จึงส่งเสรีไทยที่ตนฝึกไว้เข้ามาปฏิบัติการโดยไม่เกี่ยวข้องกับอังกฤษ

 พล.ต.อ.อดุลคิดว่านายปรีดีทราบเรื่องเสรีไทยตอนที่ตนนำนาย อานนท์ ณ ป้อมเพชรซึ่งเป็นน้องภรรยาที่เพิ่งจะจับได้ไปพบที่ทำเนียบ นายปรีดีก็เล่นละครว่าเป็นเรื่องใหม่เอี่ยมที่ตนเพิ่งทราบ  คงจะไม่ไว้ใจปาท่องโก๋  พล.ต.อ.อดุลเลยยังลังเลกลับไป ไม่กล้าถลำลงไปเป็นเสรีไทยเต็มตัวเหมือนกัน  ถ้าพล.ต.อ.อดุลมีญาณวิถีใดที่จะสามารถอ่านหนังสืองานศพของตน ก็จะได้ทราบข้อเท็จจริงที่เป็นข้อเท็จจริงจริงๆเอาในตอนนี้เอง เพราะผู้เปิดเผยเขียนขอขมาไว้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ก.ค. 10, 14:03
เสรีไทยนอกประเทศยังพยายามเป็นแม่สื่อที่จะให้บุคคลต่างขั้วนี้เปิดใจเข้าหากันให้ได้ เสรีไทยจากอเมริกาชุดหนึ่งพอกระโดดมาได้ก็บอกกับพวกตำรวจที่มาจับเลยว่าตนเป็นสายลับของพล.ต.อ.อดุล ถ้าสารวัตรใหญ่ไม่เชื่อก็เลยขอให้ส่งโทรเลขใช้นามจริงส่งไปให้พล.ต.อ.อดุลเลย เพราะแน่ใจ มีข้อมูลแน่นว่าพล.ต.อ.อดุลจำชื่อเสรีไทยสายอเมริกาได้ทุกคนโดยไม่ต้องเปิดตำรา พล.ต.อ.อดุลเห็นโทรเลขก็สะดุ้งสุดตัวร้องเฮ้ย บอกลูกน้องรีบพามาหาฉันเร็วๆเดี๋ยวญี่ปุ่นรู้

เสรีไทยท่านนี้คือนายวิมล วิริยะวิทย์ เมื่อพบพล.ต.อ.อดุลแล้วก็แจ้งว่า อเมริกาทราบว่าพล.ต.อ.อดุล ต้องการขับไล่ญี่ปุ่น และยินดีจะสนับสนุนขบวนการเสรีไทยในประเทศเต็มที่ทุกรูปแบบ และขอให้พาไปพบนายปรีดีด้วย  พล.ต.อ.อดุลจึงพานายวิมลไปพบนายปรีดี เจอกันคราวนี้นายวิมลก็เล่นบทพ่อสื่อนำความลับมาเผยว่า ในเมื่อทั้งสองก็มีใจให้แก่กันและกันอยู่แล้ว เพียงแต่ต่างคนต่างปฏิบัติ อเมริกาขอเรียกร้องให้ทั้งสองร่วมมือกัน มิฉะนั้นลำบากจะตกกับอเมริกา และยังบอกอีกว่าคนของอเมริกา7นาย กับคนของอังกฤษ 8 นายถูกพล.ต.อ.อดุลเอาไปเก็บตัวไว้ พร้อมที่จะปฏิบัติการอยู่   พล.ต.อ.อดุลจะดองไว้ทำไม อีกนานมั้ย

เจอเข้าไม้นั้น ทั้งสองจึงต้องเลยตามเลย พล.ต.อ.อดุลตกลงใจแน่วแน่ที่จะสลับขั้ว จากที่ซี้ปึ่กกับจอมพล ป. มาจับมือกับนายปรีดี เพื่อกู้ชาติ ขับไล่ญี่ปุ่นที่กำลังจะเป็นผู้แพ้ออกไปจากเมืองไทย อยู่ข้างอเมริกาที่จะเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอนดีกว่า


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ก.ค. 10, 14:05
หลังจากเลิกแอบจิตแล้ว พล.ต.อ.อดุลก็สั่งให้ร.ต.อ.โพยมยอมให้นายป๋วยและเสรีไทยที่นำวิทยุเข้ามาส่งวิทยุได้ โดยให้หลบซ่อนระวังญี่ปุ่นด้วย ร.ต.อ.โพยมก็พาพวกนั้นไปใช้สถานที่ต่างๆสลับไปเรื่อยๆ ตามพระตำหนักบ้าง ตึกร้างบ้าง บ้านญาติบ้าง ครั้งหนึ่งถึงขนาดออกรายการวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยคลื่นสั้น เล่านิยายเรื่องสามเกลอเดินทางผจญภัยไปด้วยกัน แล้วพลัดหลงไปคนหนึ่ง แล้วพบกันได้อย่างไร คนต่างชาติฟังแล้วก็ผ่านไป แต่คนไทยที่แคนดี้มีหน้าที่ต้องฟังวิทยุแห่งประเทศไทยเพื่อติดตามข่าวได้ฟังก็ไชโย เข้าใจว่าพลร่มชุดที่กระโดดลงไปล่าสุดปลอดภัยแล้ว

ร.ต.อ.โพยมทำงานลับๆแบบปิดทองหลังพระ ไม่โอ้ไม่อวด แม้ในตำนานเสรีไทยที่เล่มหนาเพราะจะมีประวัติของทุกคนจำนวนเกือบครึ่งร้อย ร.ต.อ.โพยมถูกจัดว่าเป็นเสรีไทยสายในประเทศ แต่ก็มีเรื่องของร.ต.อ.โพยมน้อยมาก รูปที่ลงไว้ก็ไม่ชัดเจนคล้ายๆกับไปครอปมาจากภาพอื่นที่ท่านไม่ได้อยู่ตรงกับโฟกัส ประวัติคร่าวๆก็จบลงด้วยการบอกว่าร.ต.อ.โพยมใช้ชีวิตหลังเกษียนอย่างสงบจนถึงที่สุดแห่งชีวิต เห็นได้ว่าท่านผู้นี้มิปรารถนาจะโอ้อวดวีรกรรมของตนเอง ถ้าผมไม่ขยายไว้ตรงนี้ก็ยากที่ใครจะรู้ว่า ขบวนการเสรีไทยที่ทำงานสำเร็จตามเวลาอย่างเฉียดฉิวก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้ และไทยจะเป็นผู้แพ้ร่วมกับเขาอย่างสมบูรณ์นั้น เกิดจากความเสี่ยงที่จะยอมเป็นคนกบฏต่อเจ้านาย และขายชาติให้สัมพันธมิตรของท่านผู้ที่มีนามว่า ร.ต.อ.โพยม จันทะรัคคะ

คนเดียว หนึ่งเดียว ฟันเฟิร์ม


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ก.ค. 10, 16:04
การที่จะเล่นงานญี่ปุ่นให้ถนัดมือ ต้องเล่นงานจอมพล ป. ก่อน

นายปรีดีกับพล.ต.อ.อดุลเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าจอมพล ป.ยังอยู่ในตำแหน่งและรู้ความลับเรื่องเสรีไทยนี้ ก็อาจกำจัดทั้งสองคนทิ้งไปอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่การที่จะล่มจอมพล ป. ออกไปจากตำแหน่งก็ไม่น่าจะยาก ตอนนี้ส.ส.ทั้งประเภท1และประเภท2 ก็เบื่อหน่ายพฤติกรรมบ้าอำนาจของสองสามีภรรยาคู่นี้เต็มที ที่ทุกคนทำอะไรไม่ถนัดเพราะสันติบาลลูกน้องพล.ต.อ.อดุลตามประกบทุกฝีก้าว ไม่รู้จะถูกเล่นงานเมื่อไหร่ นายปรีดีบอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน จอมพล ป.เล่นออกพระราชกำหนดตอนปิดสภา เอางบประมาณมหาศาลไปสร้างเมืองหลวงใหม่ที่เพชรบูรณ์แล้ว เดี๋ยวสภาเปิดแล้วต้องนำพระราชกำหนดมาผ่านให้สภาอนุมัติ ถ้าให้ส.ส.ลงมติโดยอิสระแล้ว เชื่อว่าพระราชกำหนดฉบับนี้คงผ่านสภายาก ถ้าพล.ต.อ.อดุลอยากให้จอมพล ป.ลาออกก็ขอให้ถอนเกสตาโปของตัวที่เหมือนคอยข่มขู่พวกส.ส.ออกไปเสีย พล.ต.อ.อดุลก็ตกลงด้วยอาการเขินนิดๆพองาม

ก็เป็นไปตามแผน พอสภาเปิด หัวหอกทะลวงฟันของนายปรีดีก็ลุยจอมพล ป.แบบไม่เลี้ยง จอมพล ป.คิดว่าไม่เป็นไร พวกนี้ด่าได้ด่าไป เดี๋ยวตอนลงมติฉันก็จะชนะอยู่ดี เมื่อสภาโหวตให้ลงคะแนนลับ จอมพล ป.ก็ชักเอะใจเหมือนกัน แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ผลของการลงคะแนน ส.ส.ที่เป็นอิสระและไม่ต้องเกรงกลัวต่ออำนาจมืดก็ลงมติไม่รับพระราชกำหนดการจัดตั้งเพชรบูรณ์เป็นเมืองหลวงด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ36 จอมพล ป.พ่ายแพ้ไปอย่างที่ตัวเองก็งุนงง
อีกสองวันต่อมาก็ถูกย้ำแค้นอีก พระราชกำหนดพุทธมณฑลถูกคว่ำไปอย่างเฉียดฉิวด้วยคะแนนลับ 43ต่อ41
 
จอมพล ป.พยายามจะเฉยๆ แต่ที่ประชุมค.ร.ม.ก็ยอมรับว่า การที่รัฐบาลแพ้การลงมติในการเสนอพระราชกำหนดเชิงนโยบายที่สำคัญนี้ ก็เท่ากับรัฐบาลถูกลงมติไม่ไว้วางใจ  โดยมารยาทแล้วรัฐบาลต้องลาออกทั้งคณะ พูดให้เหมือนๆกับว่า ถึงนายกจะออกไปแต่ก็กลับมาได้เมื่อสภาเลือกนายกกันใหม่ ใครจะไปกล้าแข่งบารมีกับท่านผู้นำ ซึ่งยังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด คุมทั้งสามเหล่าทัพอยู่ จอมพล ป.จึงจำต้องยื่นใบลาออกเสนอไปยังผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ก.ค. 10, 16:06
พระองค์อาทิตย์ทอดพระเนตรเห็นใบลาออกจอมพล ป.ก็แทบจะประชวรพระวาโย (อาการเดียวกับที่ยายมีเป็นลม) ครั้งก่อนก็เปลืององค์ไปทีนึงแล้ว คราวนี้จะเอาอีกหรือไฉน ไม่ยอมทรงลงพระนามจนกว่าจะทรงทราบว่าประธานสภาจะเสนอใครเป็นนายกรัฐมนตรี

เรื่องจึงมาตกที่ผู้สำเร็จราชการอีกท่านหนึ่ง ซึ่งแนะนำให้ผู้แทนสภาไปเชิญพระยาพหล แต่พระยาพหลก็เป็นอัมพาต ท่านไม่รีรอที่จะปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง มีผู้เสนอนายทวี บุณยเกตุ เพราะเป็นผู้รอบรู้ในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ติดขัดที่นายทวีเป็นคนซื่อ ตีสีหน้าไม่เป็น จะเป็นปัญหาในการเจรจากับญี่ปุ่น คนที่มีคุณลักษณะเด่นสามารถเล่นละครได้ทุกบท ตั้งแต่เสนาบดีไปจนตัวตลกหลวง ก็คือนายควง อภัยวงศ์ ทุกคนเห็นพ้องว่านายควงเหมาะที่จะเป็นนายกในขณะที่วิกฤติการณ์รุมเร้ารอบด้านเช่นนี้ นายปรีดีจึงเชิญนายควงมาฟังบทของนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แล้วขอร้องให้นายควงเป็นรับเป็นตัวแสดงบทนี้ นายควงก็รับ

พระองค์อาทิตย์พอทรงทราบว่าสภาจะเลือกนายควง ก็มีพระอาการวาโยสวิง (อาการเดียวกับที่ยายมีสะอึก) ไม่ยอมลงพระนาม จนกว่านายควงจะนำนโยบายและรายชื่อคณะรัฐมนตรีใหม่มาถวายทอดพระเนตรก่อน นายควงก็ทูลว่า คณะผู้สำเร็จต้องตั้งนายกก่อนจึงจะถูก นายกถึงจะเสนอรายชื่อรัฐมนตรีต่อไปได้ นายปรีดีก็ยืนยันสนับสนุนคำพูดของนายควง

จอมพล ป.นั้น ไม่ต้องสงสัยว่าจะหัวเสียเพียงไรที่สภาจะเลือก “คนบ้าๆบอๆ”มาแข่งบารมีกับตน แต่เมื่อลงมติ คนบ้าๆบอๆก็ชนะคนบ้าอำนาจไปด้วยคะแนนลับ62 ต่อ 22 ขาดลอยไปสอยดาว

พระองค์อาทิตย์ทรงตัดสินพระทัยอย่างมาดมั่นที่จะลาออกจากการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ดีกว่าที่จะต้องลงพระนามแต่งตั้งนายควง ในพระทัยนั้นทรงเชื่อแน่ว่าเดี๋ยวจอมพล ป.ก็จะกลับมาเป็นนายกอีก และแล้วพระองค์จะได้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมเช่นกัน

ทรงคิดไม่ผิด หลายปีต่อจอมพล ป.ได้กลับมาเป็นนายกอีกเป็นสมัยที่2 แต่พระองค์อาทิตย์ได้อัสดงไปตั้งแต่บัดนั้น และไม่มีโอกาสโผล่กลับมาอีกเลย รัฐบาลนายควงก็มิได้แต่งตั้งผู้ใดเพิ่ม นายปรีดี พนมยงค์เป็นได้ผู้สำเร็จราชการเพียงท่านเดียว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 10, 17:58
      ไหนๆคุณนวรัตนก็วิ่งกวดกระทู้ทันแล้ว  ซ้ำยังโดดขึ้นซิ่งต่ออีกด้วย    ดิฉันขอแยกซอยอีกนิดหน่อย  คงไม่ทำให้กระทู้วิ่งเร็วเกินไปนะคะ

      ขอแนะนำนายควง อภัยวงศ์ให้รู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน ท่านผู้นี้เป็นนักการเมืองสำคัญคนหนึ่งของไทย  เคยเป็นนายกรัฐมนตรีถึง ๔ สมัย

      นายควง อภัยวงศ์ หรือหลวงโกวิทอภัยวงศ์   เป็นลูกขุนนางชั้นผู้ใหญ่คือเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ผู้สำเร็จราชการจังหวัดพระตะบอง ซึ่งสมัยโน้นอยู่ในเขตราชอาณาจักรสยาม แต่ตอนนี้อยู่ในเขตกัมพูชา   นายควงเกิดที่จังหวัดพระตะบองทำให้ถูกโจมตีในภายหลังว่าเป็นเชื้อสายเขมร   ความจริงเปล่า  ท่านเป็นไทยเต็มตัว   
   นายควง อภัยวงศ์ มีการศึกษาดี  จบจากโรงเรียนอัสสัมชัญ แล้วไปศึกษาต่อวิชาวิศวกรรมโยธาที่เอกอล ซังตรัล เดอ ลียอง ประเทศฝรั่งเศส สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2470 และได้ฝึกงานในโรงงานต่างๆ ในประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลาหลายปี เพราะเป็นนักเรียนฝรั่งเศสจึงทำความรู้จักมักคุ้นกับนายปรีดี พนมยงค์และพันโทหลวงพิบูลสงคราม    ในที่สุดก็เข้าร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 โดยเป็นกำลังสำคัญฝ่ายพลเรือนในการตระเวนตัดสายโทรศัพท์ เพื่อตัดการติดต่อระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับกองกำลังของหน่วยทหารต่างๆ ไม่ให้ส่งกำลังมาปราบปรามพวกก่อการได้
        หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พันตรีควง อภัยวงศ์ ขณะยังมีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงโกวิทอภัยวงศ์ ได้เดินทางไปประชุมสากลไปรษณีย์ ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า พร้อมด้วย ขุนชำนาญ (หลุย อินทุโสภณ) เลขานุการ และเมื่อเดินทางกลับจาก ประเทศอาร์เจนติน่า ได้ไปดูงานโทรศัพท์อัตโนมัติที่ประเทศอังกฤษ และมีโอกาสเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่เครนไลน์ โดยพระเจ้าอยู่หัวทรงเลี้ยงอาหารค่ำ และได้ทรงตรัสถึงเรื่องต่างๆ ให้พันตรีควงได้รับรู้ และนับแต่ครั้งนั้น ความคิดความเห็นของพันตรีควง ก็เปลี่ยนไปเป็นอันมาก มักบ่นกับคนที่ชอบพอ และญาติใกล้ชิดว่า "เรามันผิดไปเสียแล้ว ควรที่จะถวายพระราชอำนาจคืน"  ซึ่งข้อความนี้หนังสือพิมพ์บางฉบับได้นำไปโจมตีว่า พันตรีควงมีหัวนิยมเจ้า ทั้งๆ ที่บางฉบับกล่าวหาว่าพันตรีควงมีหัวโน้มเอียงไปทางคอมมิวนิสต์
       ก่อนหน้าการดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี พันตรีควง อภัยวงศ์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา และ จอมพล ป. พิบูลสงคราม  ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง ๔ สมัย  และเป็นหัวหน้าคนแรกของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย  โดยก่อตั้งพรรคร่วมกับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีนักการเมืองมือดีเข้าร่วมหลายคน เช่น นายใหญ่ ศวิตชาต, นายเลียง ไชยกาล, ดร.โชติ คุ้มพันธ์, พระยาศราภัยพิพัฒ, นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ และ นายฟอง สิทธิธรรม 
      พรรคประชาธิปัตย์ยุคแรก มีนายควงเป็นหัวหน้าพรรค  ม.ร.ว.เสนีย์ เป็นรองหัวหน้าพรรค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค และมี นายชวลิต อภัยวงศ์ น้องชายของท่านเป็น รองเลขาธิการพรรค มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น พรรคฝ่ายค้าน คานอำนาจรัฐบาลนายปรีดี ที่ขณะนั้นมีอำนาจอย่างสูง เข้าแทนที่รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม
         นายควง อภัยวงศ์ ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่มีไหวพริบปฏิญาณในการพูด การปราศรัยดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีมุขตลกสนุกสนานเป็นที่รู้จักกันอย่างดี จนได้ฉายามากมาย เช่น "นายกฯ ผู้ร่ำรวยอารมณ์ขัน" หรือ "จอมตลก" หรือ "ตลกหลวง" ซึ่งบางครั้ง ไหวพริบปฏิญาณและมุขตลกเหล่านี้ได้ช่วยแก้ไขวิกฤตการณ์ของชาติมาแล้วด้วย   จึงเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนในการปราศรัยอย่างมาก ตัวอย่างวาทะเด็ดของนายควง อภัยวงศ์ เช่น
           ข้าพเจ้า นายควง อภัยวงศ์ เชื่อในพุทธภาษิตที่ว่า 'อฺปปาปิ สนฺตา พหเก ชินนฺติ ' คนดีถึงแม้มีน้อยก็เอาชนะคนชั่วหมู่มากได้
           วาจาสัตย์เท่านั้น ที่จะไม่ทำให้เราตกต่ำ
 
            นอกจากนี้แล้วยังได้รับฉายาว่า "นายกฯ เสื้อเชิร์ต" นอกจากท่านเป็นคนที่มีความเป็นอยู่ง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตรองอะไรมาก ในสมัยเป็นฝ่ายค้านรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม เคยได้รับฉายาว่า "โหรหน้าสนามกีฬา" เนื่องจากมักออกมาทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้าเสมอ ซึ่งบ้านพักของท่านก็อยู่ในซอยเกษมสันต์ หน้าสนามกีฬาแห่งชาติ
         เมื่อเกษียณจากวงการเมืองแล้ว นายควงก็อยู่บ้านอย่างสงบในบั้นปลายชีวิต  ถึงแก่กรรมในวัย ๖๖ ปี


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ก.ค. 10, 18:50
เชิญท่านผู้ร่วมขบวนในกระทู้ทั้งหลายปั่นกระทู้ต่อตามสบายนะครับ คืนนี้คงไม่ได้กลับเข้ามาซิ่งอีก พระลูกชายโทรมาตามว่าขาดโน่นขาดนี่ ผมต้องออกไปทำหน้าที่โยมพ่อสักหน่อย พรุ่งนี้ก็ไม่ทราบว่าจะแอบเข้ามาเล่นกระทู้ได้สักเท่าไหร่ เพราะต้องเตรียมสถานที่ มะรืนนี้(วันพฤหัส)เขาจะยกขันหมากมาขอลูกสาวที่บ้าน ผมต้องรับรองเขาแข็งขันหน่อย มัวแต่นั่งเล่นกระทู้เดี๋ยวลูกสาวจะน้อยใจ

ที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เสกสรรปั้นเรื่องขึ้นนะครับ ร้อยวันพันปีผมก็ไม่ได้ยุ่งอะไรขนาดนี้ พอมาเล่นกระทู้ในเรือนไทยนี่ ดูงานจะเข้าติดๆกันเกิน ไม่รู้อะไรจะขนาดนั้น แต่สองงานหลังนี่เป็นงานมงคล ก็ดีหน่อย

เชิญคร้าบ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 10, 19:14
เห็นทีนักเรียนจะต้องทำข้อสอบกันจนวันศุกร์  ถึงจะได้คำเฉลยข้อสอบว่าท่านจอมพลและพลต.อ. โกรธกันด้วยเรื่องอะไร     เอาเป็นว่ารู้เร็วไปก็ไม่สนุก  ช้าๆได้พร้าสองเล่มงามดีกว่า
ขอแสดงความยินดีกับข่าวมงคลทั้งสองเรื่องด้วยค่ะ     เรื่องแรกได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกชายขึ้นสวรรค์  เรื่องที่สองลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว   อีกสักปีกว่าหรือสองปี  คุณตาคนใหม่ ก็คงจะมีรูปหลานคนแรกมาอวดชาวเรือนไทยกัน 
ถึงตอนนั้นเล่าเรื่องหลานก็ได้  วางเรื่องการเมืองในอดีตไว้ก่อน

ระหว่างนี้ยังคิดเรื่องมาคั่นโปรแกรมไม่ถูก  ขออินเทอร์มิชชั่นสักพัก    ถ้าคุณหมอ CVT คุณเพ็ญชมพู  คุณมานิตหรือท่านอื่นๆนึกอะไรออก เข้ามาคุยก็ได้    ดิฉันอาจจะนึกประเด็นออกแล้วมาร่วมวงด้วย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 20 ก.ค. 10, 20:50
ผมกำลังปลื้มใจกับรูปนายวนิช ปานะนันท์ เพราะหาดูมานานแล้วครับ

ขอแสดงความยินดีกับคุณครู Navarat.C ที่มีงานมงคลติดๆกันครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 20 ก.ค. 10, 23:16
เข้ามาแสดงความยินดีกับคุณครู Navarat.C อีกคนครับ

ได้เป็นทั้งโยมพ่อแล้วก็จะรับเขยขวัญเข้าบ้าน ในเวลาไล่กันขนาดนี้
อีกไม่นาน หลานปู่หลานตาคงวิ่งเล่นเต็มบ้าน


แล้วจะเอาเวลาที่ใหนมาให้ความรู้พวกกระผมเนี่ย
(แค่หยอกนะครับ หวังว่าผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อยนะครับ)
 ;D ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 20 ก.ค. 10, 23:43
ขอแสดงความยินดีกับครูใหญ่ด้วยคนครับ...... :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 10, 08:49
เป็นครูใหญ่การเมืองไทยในกาลเ่ก่า    เขียนเรื่องเล่าคนสนใจใฝ่่ศึกษา
 เป็นโยมพ่อคนใหม่เป็นพ่อตา          เพียงบุญพาชีิวิตรื่นชื่นบานเทอญ

ยินดีด้วยกับตำแหน่งใหม่

คุณโยมพ่อ - คุณพ่อตา 

 ;D
 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 10, 10:43
คลิปวิดีโอเรื่องนี้นำลงในกระทู้ สนามหลวงสมัยก่อน  แต่ขอนำมาลงในกระทู้นี้อีกครั้ง เป็นภาพที่ฝรั่งถ่ายในปี 2491  หลังสงครามโลกจบลง 3 ปี 
มีภาพนายกรัฐมนตรีในยุคนั้นคือคุณหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์  สวมสูทเรียบร้อย เดินอยู่ในวัดพระแก้วให้เห็นด้วย
บรรยากาศของบ้านเมืองและผู้คนในคลิปวิดีโอนี้ก็คือบรรยากาศในยุคที่เรากำลังเล่ามาถึง    จึงอยากให้ดูกัน เผื่อจะวาดภาพยุคสมัยได้ชัดเจนขึ้น

http://www.youtube.com/watch?v=6ORxHenl1oo


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 21 ก.ค. 10, 11:32
แว่วๆว่าท่านโยมพ่อและท่านว่าที่ พ.ต.เป็นเด็กสามย่านมาก่อน อยากทราบจังว่าสีอะไร ผมมีเพื่อน1 คน ท่านจบเหมืองแร่ เป็น ม.ล.นามสกุลคล้ายๆท่านมากเลย อายุมากกว่าผมนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ท่านแน่ๆเลย ครับผม
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 10, 12:18
แว่ว ๆ มาเหมือนกันว่า

ไม่เฉพาะคุณโยมพ่อและว่าที่ พ.ต. ที่เคยเป็นเด็กสามย่าน

พระลูกชาย และ ว่าี่ที่ จ.ส. ก็เ่คยเป็นเด็กสามย่านด้วย

ครอบครัวนี้สีชมพู

 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 21 ก.ค. 10, 12:34
วันก่อนได้ดูข่าวในพระราชสำนักฯ ก่อนเดินทาง ได้ยินชื่อและนามสกุลของหนึ่งในนาคหลวงก็จำได้ทันที
วันนี้เข้ามาอ่านเจอข่าวมงคลเรื่องที่สองอีก ขอแสดงความยินดีด้วยคนนะคะ  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ก.ค. 10, 18:40
ผมเวะเข้ามาดูหลายครั้ง ไม่มีเวลาจะพิมพ์ตอบ

บัดนี้เข้ามาเพื่อขอแสดงความขอบคุณในไมตรีจิตของทุกท่านด้วยครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 21 ก.ค. 10, 18:54
วันก่อนได้ดูข่าวในพระราชสำนักฯ ก่อนเดินทาง ได้ยินชื่อและนามสกุลของหนึ่งในนาคหลวงก็จำได้ทันที
วันนี้เข้ามาอ่านเจอข่าวมงคลเรื่องที่สองอีก ขอแสดงความยินดีด้วยคนนะคะ  ;D

คุณพราวด์ทำให้ผมรู้ว่าครู Navarat.C ของผมคือใคร ขอบคุณครับ

และถือโอกาสขอคารวะครูอีกครั้งหนึ่งครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 21 ก.ค. 10, 19:01
คุณพราวด์ทำให้ผมรู้ว่าครู Navarat.C ของผมคือใคร ขอบคุณครับ


หวังว่าคุณครูคงไม่ทำโทษนักเรียนนะคะ ที่ไปเฉลยแบบฝึกหัดโดยไม่ตั้งใจ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ก.ค. 10, 19:25
มิเป็นไรมิได้ครับ

เฉลยแบบฝึกหัดไม่ถูกลงโทษหรอกครับ แต่ไม่มีคะแนนให้

นี่ทำท่าจะยกผมเป็นครูบาอาจารย์กันใหญ่
อย่าเลยครับผมเขิน บอกแล้วว่าเป็นแค่นักเล่าเรื่องจริง(ตามความเชื่อของผม)ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
ท่านอาจารย์เทาชมพูท่านแค่ล้อผมเล่น เพราะผมไปเรียกท่านว่ากูรูใหญ่ก่อน ท่านเลยเบิ้ลกลับว่าผมเป็นกูรูใหญ่กว่า
ผมยังระแวงๆว่าเดี๋ยวกูรูใหญ่ที่สุดโผล่มา ผมจะต้องเผ่นหรือเปล่า


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 10, 19:45
อ้าว !  ท่านกูรูใหญ่กว่า   เกิดเขินเสียแล้ว    :-[
ถ้าคุณหมอ CVT ตรวจแล้วพบว่า อาการนี้ไม่มีผลข้างเคียงต่อไคลแมกซ์คำเฉลยว่าท่านจอมพลกับท่านพลต.อ. แค้นกันเรื่องอะไร    
ก็เชิญเขินไปพลางๆก่อน   จนกว่าจะเคยชิน แล้วจะหายเขินไปเอง

ใครเห็นด้วย กด 1  
หรือกด 0 เพื่อติดต่อโอเปอเรเตอร์


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 21 ก.ค. 10, 19:52
ใครเห็นด้วย กด 1 

เผลอกด ๙ ไป คิดว่ากด ๑ ให้ ๙ ครั้งนะครับ  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 21 ก.ค. 10, 20:53
ผมชอบโหวต    กด 1 ครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ก.ค. 10, 21:19
ฮิ ฮิ ผมก็เผลอไปกด9ครับ

จะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 21 ก.ค. 10, 22:08
อ้าว กด 0 กด 1 กันได้ที่ใหนเนี่ย
ผมเข้าใจว่าให้ sms ไปโหวตเสียอีก
 ;D ;D ;D

อย่างไรก็ดี เมื่อถึงตอนหลานปู่หลานตา มาวิ่งเล่นเต็มบ้าน
รบกวนอย่าลืมพวกกระผมนะครับ

แต่ขอประทานโทษนะครับ ใหนๆก็ใหนๆแล้ว
หากไม่เป็นการเสียมารยาท ขอถามสักคำถามหนึ่งครับ
ถ้าหาก "หลานตา"ของคุณครู Navarat.C อยากใช้นามสกุลคุณแม่ นี่ต้องมี ณ อยุธยา ต่อหรือเปล่าครับ

(หากไม่สมควร แจ้งลบได้เลยนะครับ)




กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 22 ก.ค. 10, 09:34
กด 1 ค่า...... ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 22 ก.ค. 10, 12:10
กด1ด้วยค้าบบบบบบ...... ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 22 ก.ค. 10, 13:09
สนุกดีจัง อ่านไปยิ้มไป ขอบพระคุณที่ทำให้ลืมอายุ ไป 2 นาฑี ครับผม
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.ค. 10, 13:12
คุณมานิตลืมกด ๑ ค่ะ
กด ๑  บรรเทาอาการโรคเขินได้นะคะ  เพิ่มภูมิคุ้มกันแก่อาการเขิน ให้เข้าขั้นปกติ

หรือไม่อยากกด ๑ จะกด ๙ อย่างคุณหมอ CVT ก็อนุโลมได้ว่าไม่ผิดกติกา


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: natadol ที่ 22 ก.ค. 10, 15:18
เช้านี้ ผมได้ดู เคเบิ้ลทีวี ช่อง มิราเคิล เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเสรีไทย กับ หลวงอดุล ทางกันตนาทำเป็น ละคร อิงการบรรยาย และมีข้อมูลเพิ่มเติมจาก ลูก หลาน ของท่านปรีดีและหลวงอดุล ด้วยครับ อ่านจากในเวป แล้วก็ดูละครชุดนี้ จะเข้าใจได้มากขึ้นครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 18:09
เข้ามาอ่านทวนทั้งหมดแล้ว ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งหนึ่งนะครับ
ส่วนที่เป็นคำถาม ผมต้องตอบมีดังนี้

อ้างถึง
แว่วๆว่าท่านโยมพ่อและท่านว่าที่ พ.ต.เป็นเด็กสามย่านมาก่อน อยากทราบจังว่าสีอะไร ผมมีเพื่อน1 คน ท่านจบเหมืองแร่ เป็น ม.ล.นามสกุลคล้ายๆท่านมากเลย อายุมากกว่าผมนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ท่านแน่ๆเลย ครับผม

ผมหลังไมค์ไปให้คุณมานิตแล้ว ว่าผมจบสถาปัตย์จุฬาครับ ส่วนพี่ ลูกลุง2ท่านที่จบวิศวจุฬา เดาว่ารุ่นใกล้ๆกับคุณมานิต  ก็แจ้งชื่อให้ทราบไปแล้วด้วยครับ


อ้างถึง
ไม่เฉพาะคุณโยมพ่อและว่าที่ พ.ต. ที่เคยเป็นเด็กสามย่าน
พระลูกชาย และ ว่าี่ที่ จ.ส. ก็เ่คยเป็นเด็กสามย่านด้วย

คุณเพ็ญชมพูได้ช่วยเฉลยคำตอบไปครึ่งค่อน แต่และ ว่าี่ที่ จ.ส.  ผมแปลไม่ออกครับ สงสัยเป็นโค๊ตลับสมัยเสรีไทย


อ้างถึง
แต่ขอประทานโทษนะครับ ใหนๆก็ใหนๆแล้ว
หากไม่เป็นการเสียมารยาท ขอถามสักคำถามหนึ่งครับ

ถ้าหาก "หลานตา"ของคุณครู Navarat.C อยากใช้นามสกุลคุณแม่ นี่ต้องมี ณ อยุธยา ต่อหรือเปล่าครับ

ไม่เสียมารยาทแน่นอนครับ เป็นข้อมูลสาธารณะ

การสืบราชสกุลถือฝ่ายบิดาครับ ถ้ามารดาเป็นเจ้า ระดับหม่อมเจ้าขึ้นไปจะทรงสมรสกับผู้ที่มิได้เป็นเจ้าด้วยกัน ต้องทำหนังถือกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตออกจากฐานันดรศักดิ์ ตนและลูกๆต้องใช้นามสกุลของสามี
หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง ถือเป็นเชื้อพระวงศ์ มิใช่เจ้า ภรรยาและลูกๆของหม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวง มีสิทธิ์ใช้ ณ อยุธยา เพื่อบ่งบอกสายการสืบราชสกุล
ส่วนหม่อมราชวงศ์หญิง หม่อมหลวงหญิง และนางสาวที่ใช้ราชสกุล มีสร้อย ณ อยุธยา  ก็เช่นสตรีไทยทั่วไป เมื่อสมรส จะใช้นามสกุลสามีหรือไม่ก็ได้ ตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา30 ที่ให้ความเสมอภาค แต่ในทางปฏิบัติคุณสามีจะยอมหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนลูกต้องใช้นามสกุลพ่อตามธรรมเนียมปฏิบัติ หากประสงค์จะให้ลูกใช้ราชสกุลของแม่ ต้องทำหนังสือกราบบังคมทูล ขอพระบรมราชานุญาต ซึ่งสามารถใช้ได้โดยไม่มีสร้อย ณ อยุธยาพ่วงท้าย

ผมไม่ยังเคยเห็นกรณีย์ที่แม่เป็นสมาชิกราชสกุล ยังอยู่กินมิได้หย่าขาดกับสามี จะขอพระราชทานให้ลูกใช้ราชสกุลฝ่ายตนนะครับ แต่ในอนาคตอาจมีก็ได้ สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 20:35
เรามาเริ่มกันต่อจากความเดิมตอนที่แล้วนะครับ

อ้างถึง
จอมพล ป.พยายามจะเฉยๆ แต่ที่ประชุมค.ร.ม.ก็ยอมรับว่า การที่รัฐบาลแพ้การลงมติในการเสนอพระราชกำหนดเชิงนโยบายที่สำคัญนี้ ก็เท่ากับรัฐบาลถูกลงมติไม่ไว้วางใจ  โดยมารยาทแล้วรัฐบาลต้องลาออกทั้งคณะ พูดให้เหมือนๆกับว่า ถึงนายกจะออกไปแต่ก็กลับมาได้เมื่อสภาเลือกนายกกันใหม่ ใครจะไปกล้าแข่งบารมีกับท่านผู้นำ ซึ่งยังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด คุมทั้งสามเหล่าทัพอยู่ จอมพล ป.จึงจำต้องยื่นใบลาออกเสนอไปยังผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

เมื่อรัฐบาลจอมพล ป.ลาออก พวกญี่ปุ่นก็ตกใจอยู่ แม่ทัพนากามูระก็ขอเข้าพบนายปรีดีผู้สำเร็จราชการ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น นายปรีดีบอกว่านายกรัฐมนตรีลาออกตามวิถีประชาธิปไตย ขอญี่ปุ่นโปรดอย่าได้แทรกแซงกิจการภายในของไทยเลย  แม่ทัพนากามูระแสดงความเข้าใจเพราะบังเอิญก่อนหน้านั้นเพียงสิบกว่าวัน นายพลโตโจ นายกรัฐมนตรีเหล็กที่นำญี่ปุ่นสู่สงครามโลกก็แพ้เสียงในสภา เรื่องที่ญี่ปุ่นเสียเกาะไซปัน ทำให้ต่อไปเครื่องบินทิ้งระเบิดอเมริกันจะสามารถบินมาถล่มเกาะญี่ปุ่นได้ทุกเมือง การออกจากตำแหน่งของโตโจ เป็นการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลที่มีนโยบายฝ่ายรุกมาเป็นฝ่ายรับตามความเหมาะสม แม่ทัพนากามูระถามว่าแล้วใครจะเป็นนายกคนต่อไป นายปรีดีบอกว่านายควง แม่ทัพนากามูระถามต่อว่า นายควงเป็นใครข้าพเจ้าไม่รู้จัก นายปรีดีบอกว่านายควงเป็นคนดีคนหนึ่ง รู้จักกันแล้วท่านจะชอบนายควงไปเอง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 20:38
พล.ต.อ.อดุลหลุดจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไปพร้อมกับการลาออกของจอมพล ป. นายควงก็ไม่ได้ตั้งพล.ต.อ.อดุลเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองอะไรด้วย คงเป็นส.ส.ประเภท2ในสภา พ่วงกับตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจที่ยังใหญ่บ่ะเฮ่งอยู่ สามารถสั่งการได้ทุกโรงพักโดยใช้นายตำรวจสันติบาลมือดีๆ เป็นผู้ประสานนโยบายทางลับ ให้ร่วมมือกับพลพรรคเสรีไทยที่เข้ามาในประเทศอยู่แล้ว และที่กำลังจะส่งลงมาทางร่มชูชีพ เพื่อจัดตั้งกำลังพลติดอาวุธเตรียมสู้กับทหารญี่ปุ่น หลายจังหวัดทางเหนือและอิสาน ได้ลงมือทำสนามบินลับ ใหญ่ขนาดเครื่องบินลำเลียงสองเครื่องยนต์ดาโกต้า บินลงมาส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ให้ได้คราวๆหนึ่งเป็นกอบเป็นกำ

สนามบินลับ ความจริงมันก็เป็นแค่หักร้างถางพงพื้นดินที่ค่อนข้างราบเรียบอยู่แล้ว ปราบจอมดินจอมปลวกพอไม่ให้สะดุดล้อเครื่องบินก็ใช้ได้ ดาโกต้าเป็นสุดยอดการออกแบบสร้างที่ยังไม่มีการลบสถิติจำนวนผลิต ช่วงสงครามอเมริกันปั้มเครื่องบินนี้ออกมาสองหมื่นกว่าเครื่อง ใช้งานสมบุกสมบันมหาอึดไม่มีงงแง หมดสงครามแล้วประมูลเลหลังขายทิ้งตามสภาพ ราคาต่ำสุดที่เคาะโต๊ะเครื่องละ40000บาท ถูกกว่ารถเก๋งเสียอีก สายการบินพาณิชย์จึงได้เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วโลก กองทัพอากาศที่เป็นพันธมิตรอเมริกันก็มีใช้กันทุกชาติ บริษัทเดินอากาศไทย ตัวแม่ของการบินไทยก็เกิดเพราะเครื่องดาโกต้านี้แหละ ส่วนของท.อ.นั้นผมไปตีกอล์ฟที่สนามงูดอนเมืองยังเห็นคุณน้าบินขึ้นฟ้าอยู่ เป็นคนก็เกษียนแล้วนั่น แต่เขาเปลี่ยนเอาเครื่องกังหันไอพ่นทันสมัยมาปั่นใบพัดให้คุณน้าใหม่ เป็นคุณน้าของผมก็เท่ากับเป็นคุณปู่ของนักบิน แต่กระดี๊กระด้าเหมือนชายชราได้ยาโด๊ปเข้าไปยังไงยังงั้น

ญี่ปุ่นลาดตระเวนทางอากาศเห็นสนามบินลับก็สงสัย ขอประสานงานกับรัฐบาลไทยให้ร่วมกันไปตรวจสอบ นายควงก็รีบแจ้งนายปรีดี นายปรีดีก็แจ้งพล.ต.อ.อดุล  พล.ต.อ.อดุลก็แจ้งตำรวจ นำกำนันผู้ใหญ่บ้านเกณฑ์กองกำลังจัดตั้งไปลงแขกปักกล้ากัญชา พอคณะกรรมการร่วมไปถึง หัวหน้าฝ่ายไทยก็ทำเป็นหงุดหงิดว่าไอ้พวกขบวนการค้ายาเสพย์ติดแอบมาทำไร่กัญชาในป่าอีกแล้ว เรียกผู้กำกับตำรวจมาด่าต่อหน้าให้ญี่ปุ่นเห็น ความจริงญี่ปุ่นคงไม่โง่ให้หลอกง่ายๆ อะไรอยู่ๆจะมีไร่กัญชาเป็นสี่เหลี่ยมเส้นก๋วยเตี๋ยวยักษ์โผล่ขึ้นมาหลายจังหวัด แต่คนญี่ปุ่นเก็บความรู้สึกเก่ง เห็นแล้วก็ไม่ว่ากระไร ยังไม่ถึงเวลาถอดซามูไรออกจากฝัก


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 20:41
เล่าเลยไปอีกนิดนึง ช่วงหลังของสงครามพวกเสรีไทยชี้เป้าให้เครื่องบินทิ้งระเบิดได้แม่นยำขึ้น อาวุธยุทธภัณฑ์ที่ส่งลงมากับร่มไม่มีเสียหาย พอแตะพื้นกองกำลังจัดตั้งก็ขนเอาไปได้ทั้งหมด อาวุธเหล่านี้หลังสงครามญี่ปุ่นจบ โฮจิมินได้ติดต่อขออาวุธไปรบขับไล่ฝรั่งเศสเพื่อปลดปล่อยญวน นายปรีดีให้เสรีไทยสายอิสานมอบปืนและกระสุนไปจัดตั้งกองทหารประจำการได้สองกองพัน ตั้งชื่อว่ากองพันพันสยามที่หนึ่ง และกองพันพันสยามที่สอง ไม่มีข้อมูลต่อว่าสองกองพันนี้จะยืนยงอยู่จนได้รบกับทหารไทยในสงครามเวียตนามหรือหาไม่

อเมริกันเห็นว่าเสรีไทยทำงานดีแท้ วันหนึ่งนัดส่งยาที่ขาดแคลนหนักในช่วงสงครามมาให้ แต่เพื่อนเล่นทิ้งร่มติดเครื่องหมายกาชาดสากลมาลงกลางสนามหลวงซะเลย หลายกล่อง ไม่ทราบจะลองของผู้ใดหรือเปล่า เสรีไทยก็เก่งแท้ เตรียมคนมาขนหายวับไปหมด ญี่ปุ่นเห็นร่มบนอากาศก็รีบบึ่งมาดูแต่ไม่พบอะไรเลย
แต่วันนั้นนายควงหนักหน่อย เพราะญี่ปุ่นเชิญรับประทานค่ำกับแม่ทัพนากามูระ นายควงรู้ทันว่าญี่ปุ่นจะพูดอะไร จึงขอตัวปฏิเสธว่าเป็นหวัด สักพักคนส่งสารของญี่ปุ่นก็กลับมายืนยันหนักแน่นว่า แม่ทัพนากามูระขอโทษที่จะต้องรบกวน มีเรื่องสำคัญจริงๆ ถ้าในค่ำนี้ลุกได้ก็ขอเชิญ แม่ทัพนากามูระจะรออยู่จนกว่าจะได้รับประทานอาหารร่วมกับท่าน เจอไม้นี้เข้าท่านนายกรัฐมนตรียังไงๆก็ต้องไป แต่รีบสั่งการไปก่อนหน้านั้นแล้วให้กระจายเสียงไปทั่วกรุงเทพให้เข้าหูญี่ปุ่นว่าผู้ที่เก็บยาอเมริกันไป ให้เอาไปทิ้งทำลายเสีย เพราะเจือด้วยยาพิษ คนในกรุงเทพฟังแล้วก็งงว่ายาอะไรกันฟร๊ะ ตูไม่เห็นเห็น

พอนั่งโต๊ะเรียบร้อยแม่ทัพนากามูระก็เอ่ยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีคงกินยาดีของอเมริกันมาเป็นแน่ จึงหายหวัดเร็วดูมีอาการสดใสเช่นนี้ นายควงก็สุดยอด ทำเป็นกระชากเสียงว่า ถ้าฉันกินยาดีที่ท่านว่า ป่านนี้ฉันคงแย่ไปแล้ว จะมานั่งกินข้าวกับท่านได้อย่างไรล่ะ แม่ทัพนากามูระก็หัวเราะลูกเล่นของนายควง

คนทันกันเขาคุยกันแค่นี้แหละน้อง ไม่มีมึงมาพาโวย ต่อจากนั้นเหล่าท่านก็เสพย์สุราฮะกิ้นกัน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 20:50
สถานะการณ์ทางด้านญี่ปุ่นก็ตึงเครียดมากพออยู่แล้ว สถานการณ์ทางด้านจอมพล ป.ก็สร้างความปวดสมองให้กับรัฐบาลพอกัน

อย่าลืมว่าท่านยังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่ สามารถสั่งการแม่ทัพได้จริงๆทั้งสามเหล่าทัพ ทัพตำรวจนั้นเมื่อก่อนสั่งได้ เดี๋ยวนี้เพื่อนซี้ออกจะแสดงท่าทีแปลกๆ หลบหน้าหลบตาชอบกล เอ้า เอาเก็บไว้ในใจก่อน สั่งลิ่วล้อเรียกแม่ทัพนายกองทหารมาประชุมลับกันที่ลพบุรี ตำรวจลับก็รายงานมาถึงนาย พล.ต.อ.อดุลก็ร้อนรุ่มดังนั่งทับเตาเช่นเดียวกับนายปรีดี และนายควง ทุกคนรู้ดีว่าถ้าทหารที่จงรักภักดีต่อจอมพล ป.เคลื่อนพลมาจริง ก็ต้องมีการประทะกันแน่นอน ตำรวจติดอาวุธสงครามนำสมัยนั้นพล.ต.อ.อดุลสั่งได้อยู่แล้ว นายปรีดีเองก็มีทหารเรือระดับคุมกำลังกลุ่มหนึ่งสนับสนุน แต่ถ้าคนไทยยิงกันเมื่อไหร่ กองทัพญี่ปุ่นจะถือโอกาสปลดอาวุธทหารตำรวจทั้งประเทศโดยสิ้นเชิงแล้วตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นมาทันที ทุกคนหวังว่าจอมพล ป.จะตระหนักเช่นนี้ แต่ก็เกรงว่าท่านอดีตผู้นำอาจจะมั่นใจตนเองมากเกินไปก็ได้ว่า ถ้าปฏิวัติแล้วทหารตำรวจทุกคนจะเอาด้วย ไม่ต้องออกแรงมาก แค่เอาปืนจี้รัฐบาลก็ยอมไขก๊อกแล้ว พล.ต.อ.อดุลได้รับรายงานถึงรายละเอียดว่า ในที่ประชุมลับนั้นจอมพล ป.บอกให้ลูกน้องลองคิดหาทางก่อกวนดู ถ้าเปลี่ยนรัฐบาลได้จะผลักดันให้ลูกน้องคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนตนจะวางมือ



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 20:59
ที่พล.ต.อ.อดุลว่านั้น สอดคล้องกับบันทึกของจอมพลผิน (ผมได้รับหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพของท่านผู้นี้ คุณย่านางกรุณาส่งมาให้ ขอบคุณครับ)

จอมพลผินตอนนั้นยศพลโท เป็นแม่ทัพกองทัพบูรพา ตั้งยันทัพจีนอยู่ที่เมืองเชียงตุง พอได้ข่าวก็รีบลงมา พวกแม่ทัพนายกองส่วนใหญ่อยู่กันที่กรุงเทพ นัดประชุมชักชวนกันจะล้มรัฐบาล ท่านบอกว่าจะทำได้อย่างไรกันญี่ปุ่นก็อยู่เต็มเมือง ทหารของท่านตายไปแล้วเป็นพันๆคน(ส่วนใหญ่เป็นไข้ป่าตาย) ทหารเรือก็คงหนุนนายปรีดีทั้งหมด (นี่ขนาดยังไม่รู้นะว่าตำรวจก็จะไม่เอาด้วย) ทำอะไรตอนนี้ยังไม่สมควรท่านไม่เห็นด้วย คนโตขนาดพลโทผินพูด รุ่นน้องก็ต้องเชื่อฟัง

ขณะที่ดำรงตำแหน่งท่านผู้นำอยู่นั้น เวลาสั่งราชการจอมพล ป.มักจะทำบันทึกส่งไปให้ผู้ปฏิบัติโดยตรง ผู้ที่รับคำสั่งก็ไม่ทราบหรอกว่าท่านสั่งในนามของนายกรัฐมนตรีหรือผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อไม่ได้เป็นนายกแล้ว ท่านก็ยังใช้ลูกเล่นนี้ก่อกวนรัฐบาลให้หัวปั่นได้มาก ท่านดื้อดึงจะทำโครงการเพชรบูรณ์ต่อไปโดยอ้างว่าเป็นโครงการของทหาร รัฐบาลไม่เกี่ยว แต่ต้องจ่ายเงินงบประมาณตามพันธะเดิมที่รัฐบาลของท่านได้อนุมัติไว้ และยังได้ออกคำสั่งย้ายหน่วยราชการ และบุคคลไปทำงานที่นั่นที่นี่เหมือนดังเคย รวมทั้งสั่งให้ตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงแล้วออกอากาศรายการที่เชียร์ท่านด้วย
เล่นอย่างนี้นายควงก็นายควงเถอะ ตลกไม่ออกเหมือนกัน

เริ่มต้นตรงจุดนี้แหละครับ ที่ผมสันนิฐานว่า มิตรรักได้เปลี่ยนไปเป็นคู่แค้น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 21:02
พล.ต.อ.อดุลเป็นคนที่รักชาติ วิธีการรักชาติแบบพล.ต.อ.อดุลนั้น เมื่อท่านเห็นว่าจอมพล ป.คือชาติ ท่านก็ทำทุกอย่าง แทบจะเรียกได้ว่ายอมทอดตัวลงเป็นพรมให้จอมพล ป.เดินย่ำเท้านำชาติไปสู่ความรุ่งเรือง แต่เมื่อจอมพล ป.กลับกำลังนำชาติไปสู่วิบัติ ท่านก็เลิกทุ่มความจงรักักดีให้ หันไปสนับสนุนเสรีไทย และยอมทำทุกอย่างที่ท่านเชื่อว่าเป็นเส้นทางที่จะนำชาติไปสู่ความอยู่รอดปลอดภัยได้
ถ้าเพื่อนขวาง ก็จะต้องเป็นศัตรูกัน

แต่บัดนี้ คนที่ประสาทเสีย หลงตนเอง และบ้าอำนาจ ไม่รู้สึกรู้สาว่าสถานภาพของบ้านเมืองอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงจากกองทัพญี่ปุ่นอย่างไร ยังบังอาจกระทำการก่อกวนคนที่เขาพยายามจะกู้บ้านกู้เมือง เพียงเพื่อหวังว่าตนเองจะได้กลับมาเป็นใหญ่

การกระทำที่พล.ต.อ.อดุลประกาศตนต่อจอมพล ป.ว่า บัดนี้เราอยู่คนละข้างกัน กระทำผ่านเดี่ยวมือสอง รองจากท่านคือ พล.ต.ต. ชลอ ศรีศรากร


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 21:12
พล.ต.ต.ชลอ ศรีศรากร คืออดีต ร.ท.ขุนศรีศรากร ผู้ก่อการรุ่นหนุ่มไฟแรงของคณะราษฎร เมื่อปฏิวัติ2475สำเร็จลง ขุนศรีศรากรเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ประกาศคืนบรรดาศักดิ์ ก่อนจอมพล ป.จะกระทำนานนม ครั้นจะเกิดกบฏบวรเดชได้รับคำสั่งให้เดินทางไปโคราชกับร.ต.ม.ร.ว.ลาภ หัสดินทร เพื่อสืบราชการลับ แต่ถูกจับได้จนเกือบจะถูกยิงเป้าในข้อหาจารชน เพื่อเอาเลือดเซ่นธงชัยเฉลิมพล ดีแต่นายทหารส่วนใหญ่ช่วยกันห้ามไว้ ให้ขังไว้รอการชำระบัญชี เมื่อฝ่ายพระองค์บวรเดชแพ้ จึงกลับมากรุงเทพอย่างวีรบุรุษ
 
พล.ต.ต.ชลอ ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการเรือนจำบางขวางเพื่อดูแลผู้ต้องโทษในคดีกบฎบวรเดช และเป็นผู้คัดเลือกว่าผู้ใดสมควรได้รับการอภัยโทษ ผู้ใดควรขังลืม ความเข้มงวดเด็ดขาด ทำให้นักโทษการเมืองยำเกรงท่านผู้นี้มาก

หลังที่รัฐบาลปล่อยผู้ต้องโทษกบฏที่เป็นนายทหารชั้นผู้น้อยเผอิญติดร่างแหเข้ามา ออกจากคุกบางขวาง แล้วคัดพวกตัวจริงส่งไปกักกันไว้ที่เกาะตะรุเตา พล.ต.ต. ชลอ ศรีศรากร ได้ย้ายไปเป็นนายตำรวจอยู่สันติบาลภายใต้บังคับบัญชาของพล.ต.อ.อดุล  พล.ต.ต.ชลอ ทำงานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ในปีที่พลโทผินปฏิวัติ ถูกปลดออกจากราชการแบบกลางอากาศพร้อมๆนายตำรวจหลายสิบคน พล.ต.ต.ชลอก็ใช้ชีวิตอย่างประชาชนธรรมดาอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะออกบวชที่อุตรดิตถ์บ้านเกิด แล้วถือครองผ้าเหลืองอยู่จนตลอดชีวิต


ครั้งที่ยังเป็นปุถุชนโลดแล่นไปตามกิเลศนั้น นายสั่งให้ท่านขึ้นไปลพบุรีแล้วเข้าพบจอมพล ป.เพื่อขอร้องให้เห็นแก่ชาติด้วยการอยู่เฉยๆ  พล.ต.ต. ชลอก็คือเงาของพล.ต.อ.อดุล ทำอย่างนี้จอมพล ป.ก็เข้าใจได้เองว่าบัดนี้เพื่อนซี้คิดอย่างไร แต่จอมพล ป.ก็ทำเป็นแสดงท่าทีว่า จะไม่นำกำลังทหารจากลพบุรีเข้าไปยึดอำนาจในกรุงเทพดังข่าวลือ
เมื่อกลับมาจากลพบุรีแล้ว ไม่นานเกินรอ สันติบาลได้กลิ่นว่าขุนทหารประชุมกันที่กรุงเทพขนาดพล.ท.ผินลงมาจากเชียงตุงเพื่อร่วมด้วย พล.ต.ต. ชลอก็ทำจดหมายถึงท่านผู้หญิงละเอียด ขอให้นำความในจดหมายของท่านเรียนจอมพล ป.ด้วยว่า ถ้ามีการใช้กำลังยึดอำนาจกันแล้วเกิดมีการต่อสู้กัน ญี่ปุ่นจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะปลดอาวุธทหารไทยทั้งหมด ซึ่งคนอย่างท่านจอมพล ป.คงไม่ยินดีให้ญี่ปุ่นปลดอาวุธทหารไทย “ท่านควรจะสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยความเต็มใจ คนอื่นที่ยังไม่มีโอกาสทำความดียังมีอีกมาก”

แสบเข้าไปถึงทรวงอย่างนี้ ทั้งสามีและภรรยาก็แทบจะประสานเสียงกรี๊ดให้ได้ยินมาถึงวังปารุสก์ อ่านไล่กลับทีละประโยคย้อนขึ้นไป พอถึงถ้ามีการใช้กำลังยึดอำนาจกันแล้วเกิดมีการต่อสู้กัน ใครล่ะ ที่จะมาต่อสู้ หากไม่ใช่ตำรวจของพล.ต.อ.อดุล

นี่ครับ เขาประกาศสงครามกันตรงนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 21:20
ไม่เกินคาดที่มีข่าวว่า จอมพล ป.เรียกประชุมลับขุนทหารที่ลพบุรีอีก คราวนี้ พล.ต.อ.อดุลขอให้นายควง ไปกับพล.ต.ต. ชลอเพื่อเจรจาขอสมานฉันท์ การเจรจารอบแรกนี้เป็นไปอย่างราบรื่น และสนุกเฮอาตามสไตย์วันสุดสัปดาห์สบายๆกับนายควง ท่านผู้หญิงถึงขนาดลืมตัว เข้าครัวไปทำกับข้าวให้รับประทานด้วยกระบวนท่าสยบจอมพลอันเสทือนไปทั่วทั้งยุทธจักร ขากลับจอมพล ป.เดินไปส่งแขกเห็นรถบุโรทั่งที่นายควงยืมทหารเรือมาใช้ก็สังเวช วันรุ่งขึ้นเลยส่งรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยึดไว้ มาคืนให้ที่ทำเนียบ  มีแถมมีข้อความใส่ซองจดหมายติดรถมาให้นายควงนำไปสร้างภาพตามสื่อต่างๆได้อีกด้วย

หนังสือพิมพ์ต่างก็ลงข่าวแจกนี้กันเกรียวกราว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ก.ค. 10, 21:49
สำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดครั้งแรกนายควงก็ว่าจะไม่ยกเลิก แต่จอมพล ป.ก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ ใช้อำนาจสั่งโน่นสั่งนี่กับข้าราชการ บางครั้งตรงกันข้ามกันกับรัฐบาลจนเกิดความสับสนในบรรดาผู้ที่ถูกสั่งว่าจะเชื่อใคร เมื่อเป็นเช่นนี้ คณะรัฐมนตรีจึงพูดกันในที่ประชุมให้เลิกตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดเสียจะดีกว่า ครั้นสายข่าวของจอมพล ป.รายงานไปทางนาย สายข่าวของพล.ต.อ.อดุลก็รายงานกลับมาว่าจอมพล ป.เรียกประชุมลับอีกแล้ว คราวนี้มีการขุดสนามเพลาะ ตั้งบังเกอร์กันในกรมทหารด้วย
 
พล.ต.อ.อดุลก็เกลี้ยกล่อมให้นายควงไปเจรจาอีกรอบ ขอให้จอมพล ป.ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสวยๆจะดีกว่า นายควงร้องฮ้า จะไหวรึ พล.ต.อ.อดุลบอกว่าถ้าพล.ต.ต. ชลอประกบไปด้วยแล้วไม่ต้องกลัวใคร แม้นายควงจะยอมเชื่อ และไปแล้วปลอดภัยกลับมา สายข่าวของผมรายงานว่า การสมานฉันท์คราวนี้บรรยากาศตึงเครียด เต็มไปด้วยคำพูดเชือดเฉือนด้วยความเคารพตลอดเวลา กว่าจะลุกขึ้นไปปัสสาวะกันได้ในแต่ละรอบคนดูแทบจะขว้างจอ ที่สุดแล้ว ทั้งสองต่างยืนยันจุดต่าง ถ่างจุดร่วมจนห่างไกลออกไปลิบลับ
 
พล.ต.ต. ชลอกลับมาถึงกรุงเทพได้ก็ทำจดหมายอีกฉบับหนึ่ง ส่งย้ำให้จอมพล ป.ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด แล้ววางมือจากการเมืองเสียด้วย
ตามระเบียบกระทรวงกลาโหมนั้น ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่มีในทำเนียบข้าราชการทหาร มีแต่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นตำแหน่งทางการเมืองจอมพล ป.ตั้งขึ้นเองจึงง่ายนิดเดียวถ้าจะยุบ เพียงนายกรัฐมนตรีเซ็นต์แกร๊กก็จบ เมื่อพูดกันดีๆไม่รู้เรื่อง ฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐอยู่แล้วก็ได้เปรียบ จะกระทำการใดๆก็ชอบด้วยกฏหมาย เพียงแต่หลังการลงนามให้เลิกตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และแต่งตั้งให้พระยาพหลเป็นแม่ทัพใหญ่ พล.ท. ชิต มั่นสิน สินาดโยธารักษ์เป็นรองแม่ทัพใหญ่แล้ว ทั้งนายควงผู้แต่งตั้ง กับพระยาพหลผู้ถูกแต่งตั้งก็ต้องย้ายที่นอนชั่วคราวไปค้างที่กองบัญชาการทหารเรือ พระราชวังเดิม พระยาพหลทุลักทุเลหน่อย ต้องเรียกรถพยาบาล เอาเปลมาหามกันไปน่าอนาถ ส่วนนายปรีดี หลบไปนอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นการลับเหมือนกัน สายข่าวของผมไม่สามารถติดตามได้ว่าพล.ต.อ.อดุล ยังเฝ้าสถานะการณ์อยู่ที่วังปารุสก์หรือแอบไปเดินด้อมๆอยู่ที่ไหนสำนักไหนหรือเปล่า

รัฐบาลออกคำสั่งในนามของแม่ทัพใหญ่ ให้เชื่อฟังตนเพียงผู้เดียว อย่าเชื่อคำยุยงของผู้ใด ห้ามก่อให้เกิดความไม่สงบใดๆทั้งสิ้น และข้อสุดท้ายที่สำคัญ ห้ามเคลื่อนย้ายทหารออกจากที่ตั้งโดยเด็ดขาด
อีกเพียง2วันต่อมา แม่ทัพใหญ่ก็ประกาศปลดพลโทผิน และนายทหารยศนายพลนายพันในคาถาของจอมพล ป.อีกเกือบยี่สิบคน ย้ายอีกร่วมสิบ นายทหารสายเสรีไทยเข้าดำรงตำแหน่งแทนเพียบ
เจอไม้นี้เข้าในยกนี้ จอมพล ป.ก็ฮึดไม่ขึ้นเหมือนกัน

หลังจากอดทนรอคอยกว่า3ปี แค้นนี้ก็ได้รับการชำระ เมื่อพล.ท.ผินกับลูกชาย (พลเอกชาติชาย ชุณหวัน อดีตนายกรัฐมนตรีนักซิ่งจอมพริ้ว) นำนายทหารนอกราชการที่ถูกรัฐบาลนายควงปลดออก แต่ยังมีอิทธิพลเหนือนายทหารคุมกำลังหลายคน ถือโจโรฤกษ์ ทำการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.ค. 10, 22:18
ขุนศรีศรากรคนนี้ น่าจะเป็นคนที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ เกิดเลือดตกยางออกเป็นคนแรก    ท่านได้รับคำสั่งให้ไปเฝ้าและจับกุมตัวพระยาเสนาสงคราม(ม.ร.ว.อี๋ นพวงศ์) ซึ่งฝ่ายผู้ก่อการถือว่าเป็นเสี้ยนหนามสำคัญ 
บ้านของพระยาเสนาสงครามอยู่ศรีย่าน     ขุนศรีศรากรคงไม่คุ้นกับถนนนั้นเลยไปเฝ้าผิดบ้าน กว่าจะรู้ตัวย้อนกลับไปหาบ้านเจอ  ก็กลางดึก
เกิดดวลกับเจ้าของบ้าน   เสียงปืนทำให้เพื่อนบ้านนึกกว่าโจรปล้นข้างบ้าน ก็หยิบปืนพกวิ่งลงจากบ้านไปช่วยเจ้าคุณ   ไปถึงปรากฏว่าคุณหญิงเสนาสงคราม ท่านคว้าปืนลงมาซัดกับฝ่ายขุนศรีศรากรล่วงหน้าเข้าแล้ว
ฟังผู้ใหญ่เล่าต่อกันมา ตื่นเต้นเหมือนในหนัง  น่าเสียดายว่ารู้เพียงแค่นี้   ไม่รู้ฉากต่อไปว่าเป็นอย่างไร     รู้แต่คำบอกเล่าว่าคุณหญิงเสนาสงครามท่านร่างใหญ่  ส่วนเจ้าคุณนั้นร่างผอม

อ่านพบภายหลังว่าขุนศรีศรากรเป็นผู้คุมของนักโทษการเมืองในคดีกบฏบวรเดช      เพิ่งมารู้จากกระทู้นี้ว่าจากนั้นท่านไปเป็นนายตำรวจคนสนิทของอธิบดีตำรวจ    และเมื่อพ้นจากการเมืองก็ไปบวช  มีฉายาว่าพระปัญญาคุณ ปุณณะวังโส  ท่านเขียนหนังสือธรรมะไว้ด้วยค่ะ
ขุนศรีศรากรหรือพลต.ต. ชะลอ ศรีศรากรคงจะบิ๊กเบิ้มมากในยุคอธิบดีตำรวจอดุล อดุลเดชจรัส     แต่ท่านก็คงตระหนักถึงโลกธรรม ๘  และคงไม่อาลัยอาวรณ์ทางโลกอีก  ถึงบวชจนมรณภาพในผ้าเหลือง

ในที่สุดท่านกูรูใหญ่กว่าก็เฉลยข้อสอบที่นักเรียนตั้งหน้าตั้งตาเข้าเรียนกันมานาน     


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.ค. 10, 22:21
ดูจากรูปข้างบน  "น้าชาติ" ตามที่สื่อเรียก  ตอนหนุ่มๆท่านตัวเล็กนิดเดียว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 22 ก.ค. 10, 22:37
มาลงชื่อเข้าชั้นเรียนครับ

แต่ถ้าให้สอบตอนนี้ เห็นทีจะไม่รอดเป็นแน่ครับ  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 06:04
เรื่องการเมืองของไทยนี่ ใครก็ไปไม่รอดนะครับคุณม้า แม้นักการเมืองทั้งหลายที่ว่าแน่ๆ ก็ยังสะดุดขาศัตรูบ้าง ขาเพื่อนบ้าง ล้มคว่ำไปเสียแทบทั้งนั้น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 07:26
ความตึงเครียดด้านศึกภายในหมดไป เหลือแต่ศึกภายนอกที่เข้ามาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง พร้อมจะหันอาวุธเข้าประหัตประหารกันให้สิ้นความขุ่นใจ นายควงเริ่มถูกสายลับญี่ปุ่นติดตามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจนถึงกับทนไม่ได้ เรียกแม่ทัพนากามูระมาต่อว่า แม่ทัพนากามูระก็ใช้ลูกเล่นของนายควงย้อนศรเข้าไปบ้างว่า ญี่ปุ่นเห็นว่านายควงมีศัตรูคนไทยเยอะที่จ้องจะฆ่า เลยมาช่วยคุ้มกันให้

ความจริงแล้วก็พอกัน พล.ต.อ.อดุลได้ให้สันติบาลวางแผนที่ถนัด เรื่มจากทำข้อมูลละเอียดที่ตั้งสำคัญของกองทัพญี่ปุ่น หาจุดอ่อนที่จะเข้าโจมตีเมื่อวันดี-เดย์มาถึง บ้านแม่ทัพนายกองทุกระดับ ถูกสำรวจทำแผนที่ พวกนี้ง่ายเพราะมาเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆกองบัญชาการใหญ่ของกองทัพ“งิ”ที่ถนนสาทร กระจายอยู่แถวราชดำริ และถนนวิทยุ  11จุดตายนี้ อยู่ในความรับผิดชอบของพล.ต.ต.ชลอ ศรีศรากร

เรื่องการเคลื่อนไหวของเสรีไทย ระยะหลังจากสิ้นห่วงคนไทยด้วยกันแล้ว ก็ขนอาวุธ ฝึกกองโจรกันเข้มข้นมาก ไม่พลาดสายข่าวของญี่ปุ่นไปได้ แม่ทัพนากามูระต้องอดทนอย่างยิ่งกับลูกน้องที่เลือดร้อน ต้องการให้ดำเนินการอะไรสักอย่าง ไม่ใช่รอตั้งรับให้เสรีไทยเป็นฝ่ายลั่นกระสุนก่อน แต่ก็เริ่มสั่งการให้ตั้งบังเกอร์ป้องกันตนเองลามออกมาตามหัวถนนทั่วไป โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันหากสัมพันธมิตรส่งกองทัพพลร่มเข้ามายึดกรุงเทพ ทหารไทยก็เลยถือโอกาสอ้างเหตุผลเดียวกันสร้างบังเกอร์ ประจันหน้ากันไป ชาวบ้านดูแล้วสงสัยนี่เขาจะรบกันเองหรือจะรบกับฝรั่ง

โชคดีของคนกรุงเทพ แผนดี-เดย์ที่ฝ่ายเสรีไทยวาดไว้ยังไม่ทันได้ออกมาใช้ ระเบิดปรมาณูก็หล่นใส่ประเทศญี่ปุ่นไปสองผล ไม่นานญี่ปุ่นก็ประกาศยอมแพ้ ประเทศไทยจึงถือโอกาสประกาศสันติภาพบ้าง

พลโท อาเคโดะ นากามูระได้เข้าพบแสดงความยินดีต่อนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และแจ้งว่ากองทัพญี่ปุ่นจะปลดอาวุธตนเอง มอบให้ทหารไทยเป็นผู้ดูแลต่อไป
 
ตลอดเวลาที่กองทัพงิของแม่ทัพนากามูระอยู่ในประเทศไทย แม้ชาวโลกจะมองว่าไทยถูกยึดครองก็จริง แต่แม่ทัพนากามูระก็เคารพในเอกราชของไทยมาก แม้จะต้องรอนอิสระภาพไปไม่น้อยก็ตาม ตัวของแม่ทัพนากามูระเป็นคนเคร่งในพุทธศาสนาและนิยมคนไทย ที่สำคัญคือไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามของญี่ปุ่นแม้จะไม่เคยพูดตรงๆ เมื่อยุทธนาวีที่เกาะมิดเวย์จบลงพร้อมความย่อยยับของจักพรรดินาวี แม่ทัพนากามูระบอกจอมพล.ป.ว่าญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงครามแล้ว ขอให้ประเทศไทยเอาตัวรอดด้วยตนเองให้จงดี กองทัพงิขึ้นกับกองบัญชาการที่ไซ่ง่อน มีพลเอกเคา เทราอุจิเป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งมีความเห็นว่าไม่ควรปล่อยทหารไทยไว้เป็นหอกข้างแคร่ แต่แม่ทัพนากามูระก็หว่านล้อมเหตุผลต่างๆ คัดค้านไว้ได้ทุกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ดลบันดาลให้ญี่ปุ่นส่งคนอย่างแม่ทัพนากามูระมาเมืองไทยหรือเหตุอื่นใดก็ตาม ต้องถือว่าประเทศไทยเป็นหนี้บุญคุณบุคคลท่านนี้เป็นอันมาก

แม่ทัพนากามูระเป็นแม่ทัพคนเดียวของญี่ปุ่นที่ไม่ตกเป็นอาชญากรสงครามหลังขึ้นศาลของพันธมิตร และได้กลับมาเยี่ยมเมืองไทยอีกครั้งหนึ่งหลังสงครามเลิกไปแล้วประมาณสิบปี มีคนไทยไปรับอย่างอบอุ่นน่าชื่นใจ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 08:52
เมื่อสิ้นสุดสถานะสงคราม นายควงก็ต้องประกาศลาออกในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาลที่ร่วมมือกับญี่ปุ่นตามสนธิสัญญาซึ่งทำไว้ตั้งแต่สมัยจอมพล.ป. ผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อเจราจาต่อ ไม่ให้ไทยถูกฉุดลากกระชากถูให้ไปเป็นผู้แพ้ร่วมกับญี่ปุ่นคือม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา เมื่อม.ร.ว.เสนีย์ยังมาไม่ถึง สภาก็ตั้งนายทวี บุณยเกตุผู้ทำหน้าที่รัฐมนตรีสั่งราชการแทนนายกรัฐมนตรีตลอด ในสมัยที่นายควงรับเฉพาะบทผู้ใส่หัวโขนเจรจาต้าอวยกับญี่ปุ่น ให้เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อขัดตาทัพไปพลางๆ พล.ต.อ.อดุลได้กลับเข้ามาร่วมรัฐบาลกับนายทวีด้วยในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุข ไม่รู้ว่าหาคนเหมาะสมกว่านี้ในเมืองไทยไม่ได้แล้วหรืออย่างไร

ผมจะขอย้อนเรื่องอีกสักหน่อย โดยความสัตย์จริง ผมเพิ่งเจอะเจอจากการอ่านหนังสือหลายเล่มในครั้งนี้ว่า ผู้ที่ริเริ่มการนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง และล้างมลทินในข้อหากบฏตั้งแต่ร.ศ.130 เรื่อยลงจนถึงกบฏพระยาทรง คือ พล.ต.อ.อดุล ในฐานะอธิบดีกรมตำรวจ ได้ทำหนังสือเสนอความเห็นดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายควงเห็นด้วยโดยทันที จึงมีคำสั่งให้ออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองที่เราๆท่านๆทราบกันดีอยู่นั้น ทำให้นายรังสิต ประยูรศักดิ์ได้กลับคืนฐานันดรเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมขุนชัยนาทนเรนทร และนักโทษการเมืองทั้งที่บางขวางและเกาะเต่าได้กลับบ้าน สู่สถานภาพปัจเจกบุคคลที่เคยมี เคยเป็นมาแต่เดิม  เครดิตนี้ นักประวัติศาสตร์แทบทั้งหมดให้นายควงเป็นผู้รับแต่ผู้เดียว คนที่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความคิดริเริ่มของพล.ต.อ.อดุลมีเพียงเล็กน้อย

เหตุผลที่เสนอขึ้นไป ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะล้างบาปที่ท่านกระทำต่อผู้บริสุทธ์ไว้เกินกว่าเหตุ หรือท่านต้องการจะล้างบารมีจอมพล ป.

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอปิดฉากด้วยข้อเขียนชิ้นหนึ่งให้ท่านพิจารณากันเอง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 09:14
กระทู้นี้มีเรื่องให้แยกซอยออกไปเดินได้เกือบจะทุกความเห็น   ท่านกูรูใหญ่ซิ่งเร็วปานจรวด เพราะข้อมูลท่านแยะมาก  ดิฉันปั่นจักรยานตามไม่ทัน ต้องขออภัยที่บางครั้งซอยแยกอาจจะลาดยางช้าไปบ้าง
ทีแรกว่าจะเล่าถึงนายพลนากามูระ ที่กลับมาเยือนไทยอีกครั้งในพ.ศ. 2498     แต่พอจะตอบ เจอเรื่อง 18 นักโทษประหารเข้า  เลยขอออกความเห็นเรื่องนี้ก่อน

เรื่องการประหารครั้งใหญ่สุดในรอบศตวรรษของรัตนโกสินทร์นี้    ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จากการบีบบังคับของอธิบดีตำรวจต่อนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจเต็มในการบริหารแต่ผู้เดียว    ถ้าท่านจอมพลป. ยืนกรานลดโทษลงทุกคน จากประหารเป็นจำคุกตลอดชีวิต จากจำคุกตลอดชีวิตเป็นจำคุก 20 ปี  ก็น่าจะต่อรองกันได้กับผู้มีอำนาจรองลงไปจากท่าน
แต่จะว่าพลต.ต.อดุลไม่เกี่ยวข้องในการตัดสินใจเสียเลย ก็ไม่น่าจะใช่   เพราะอย่างไรท่านทั้งสองก็เป็นมิตรสนิท ปรึกษาหารือราชการกันทุกวันอยู่แล้ว
ตามความเห็นส่วนตัว ดิฉันก็เลยขอเฉลี่ยว่าท่านเห็นชอบร่วมกัน ที่จะให้เป็นไปตามศาลพิเศษตัดสิน
 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 09:30
ขอลงคำให้การบางส่วนของพลต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส  ที่ให้การในคดีจอมพลป.ถูกขึ้นศาลในข้อหาอาชญากรสงคราม  เพื่อประโยชน์ของผู้อ่านกระทู้จะได้พิจารณากันได้ทั้งสองด้าน
ไม่ได้หมายความว่านำมาลงในฐานะข้อเท็จจริง  เพราะเป็นเพียงคำให้การของพยาน  ส่วนคนอ่าน อ่านแล้วจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่วิจารณญาณของท่าน
คำให้การนี้อยู่ในเอกสารของเว็บไซต์ราชการ เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต   ไม่ได้เป็นความลับ   ใครสนใจไปเสิชกูเกิ้ลหาอ่านเอาเองนะคะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 23 ก.ค. 10, 09:43
กรณี ๑๘ นักโทษประหาร ผมพยายามนึกว่าผมอ่านครั้งแรกจากไหน แต่นึกไม่ออก
น่าจะเป็นในหนังสือฟ้าเมืองไทย ตอนที่ผมเป็นเด็ก จำไม่ได้ว่าคนเขียนคือใคร
แต่ผมจำแม่นว่าผมอ่านแล้วน้ำตาไหล
เมื่อบรรยายถึงตอนที่ผุดพวง และเผ่าพันธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เข้าไปกราบเท้าพระยาเทพหัสดิน ผู้เป็นบิดา
ก่อนจะโดนนำตัวไปสู่หลักประหาร
นั่นคือ first bad impression ที่ผมมีต่อจอมพล ป.พิบลูลสงคราม
ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยมองจอมพล ป. ในภาพบวกเลย
first impression วัยเด็กนี่มันฝังใจจริงๆครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 10:22
เพียงสองสัปดาห์กระมัง ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุขก็พ้นจากตำแหน่งเพราะนายทวี ลาออกจากนายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดทางสะดวกให้ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พล.ต.อ.อดุล ยังเป็นอธิบดีกรมตำรวจต่อไปตามเดิม

งานนโยบายชิ้นแรกๆที่ม.ร.ว.เสนีย์ทำควบคู่กับการเจราจาดึงเอาอิทธิพลของอเมริกันมาคุ้มกันไทยจากการรุกคืบของอังกฤษและจีนแล้ว นอกจากการพยายามสลายตัวของเสรีไทย ที่กองกำลังติดอาวุธส่วนหนึ่งจะกลายเป็นจรเข้หลุดจากฟาร์มตามกระแสน้ำท่วม ก็คือการเสนอออกพระราชบัญญัติอาชญากรแผ่นดิน เพื่อนำบุคคลสำคัญตามรายชื่อที่สัมพันธมิตรต้องการมาขึ้นศาลไทย แทนที่จะต้องไปขึ้นศาลของสัมพันธมิตร แต่กว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวจะผ่านสภามาได้ ก็มีส.ส.ด่าว่านายกรัฐมนตรีเสียยับเยิน มีคนออกมารับแทนจอมพล ป.กันมากมาย

จดหมายที่จอมพลป. มีไปถึงนายปรีดี ท่านอาจารย์เทาชมพูได้นำมาลงไว้ก่อนงานหมั้นลูกสาวของผม พร้อมกับทิ้งคำถามไว้ให้ผมตอบ เมื่อทุกท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วผมคงไม่จำเป็นต้องตอบประการใด

แต่แม้ว่าในภายหลังจะมีคำแก้ตัวจากหลายๆฝ่าย ว่ามีแผนที่จะให้จอมพล ป.หลุดรอดอยู่แล้ว แต่เรื่องกฏหมายพระราชบัญญัติอาชญากรจะมีอำนาจบังคับใช้ย้อนหลังหรือไม่ ก็มีส.ส.ที่เป็นนักกฏหมายได้ถกเรื่องนี้กันกระจะๆในสภาไปแล้ว ตอนนั้นผู้ชี้แจงก็ชี้แจงไปอีกอย่าง ดังนั้นจึงมีผู้เชื่อว่าศาลอาชญากรสงครามจะเป็นโรงเชือดจอมพล ป. ให้ถูกกำจัดออกไปจากเวทีการเมืองของไทยอย่างถาวร เพื่อปิดโอกาสให้ใช้บารมีกลับเข้ามาล้างแค้นเอาคืนกับพวกที่ทำตนไว้

พล.ต.อ.อดุลเป็นบุคคลในประเภทที่เชื่อสมมติฐานดังกล่าว จึงขึ้นไปให้การยาวเหยียด ใช้เวลานับสิบวันเพื่อให้ครบเครื่องเรื่องมลทินที่จอมพล ป.ได้กระทำไว้แต่ครั้งไหนๆ โดยอ้างว่า ตนเป็นผู้ใกล้ชิดมาตั้งแต่เด็ก ตนรู้จักคนคนนี้ดีที่สุด

เรื่องหลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้นของผมน่าจะจบลงตามนี้ได้ โดยไปตามเก็บอีกนิดหน่อยตอนที่จอมพลป.หวนกลับมาชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้งหนึ่ง

แต่ตอนนี้ ขอพักรวมพลคนเล่นกระทู้ให้ช่วยกันเก็บตกเรื่องราวข้างทางที่ผมตลุยมาบ้าง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 10:47
ไม่อยากสอนสังฆราชให้ว่ายน้ำ หรือสอนจระเข้ให้อ่านหนังสือ เลยละค่ะ  แต่หลักการเขียน เขาสอนไว้ว่าเมื่อถึงไคลแมกซ์แล้ว  อย่าเพิ่งปุบปับจบ  ต้องแลนดิ้งต่อไปอีกหน่อย 
ร่อนลงรันเวย์จนถึงจอดสนิท ผู้โดยสารทยอยกันลงบันไดเครื่อง  กัปตันก้าวลงมาสู่สายตาคนดู โปรยยิ้มให้  แล้วค่อยจบ  คนดูได้ไม่ค้างคาใจ
กระทู้นี้ยังต่อได้อีกพักใหญ่ค่ะ
**********************
ก่อนอื่น ขอแยกซอยนากามูระเป็นซอยแรก
นับว่าเป็นโชคดีของไทย ที่แม่ทัพใหญ่ผู้กรีฑาทัพเข้ามาให้เราจำยอมเป็นพันธมิตรคือนายพลผู้นี้     นายพลนากามูระ(ซึ่งในคู่กรรมบอกว่าเป็นลุงของโกโบริ)  ไม่ได้รู้สึกเป็นปรปักษ์กับคนไทย    ไทยจึงรอดพ้นชะตากรรมอย่าง The Rape of Nanking ไปได้     สมัยสงครามสาวไทยเป็นภรรยาทหารญี่ปุ่นกันไม่น้อย  ไม่ใช่แต่อังศุมาลินเท่านั้น
คุณนวรัตนบอกว่าท่านนายพลนากามูระรอดพ้นจากอาชญากรสงครามไปได้   เข้าใจว่าหลังสงคราม เมื่ออเมริกาปลดอาวุธญี่ปุ่น ยุบกองทัพลูกพระอาทิตย์แล้ว ท่านก็คงใช้ชีวิตอย่างพลเรือนไปอย่างสงบเงียบตามประสาพลเมืองอาวุโส    แต่จะไปค้าขายหรืออยู่เฉยๆ ยังหาข้อมูลไม่พบ
ปี 2498  ท่านหวนกลับมาเยี่ยมประเทศไทยอีกครั้ง  ไม่ใช่อย่างทัวริสต์ธรรมดา แต่เป็น "แขกบ้านแขกเมือง" อาคันตุกะระดับชาติ   คนไทยต้อนรับท่านอย่างมหามิตร   
ถ้าถามว่าปีนั้นเป็นรัฐบาลของใคร   คำตอบคงเดาได้โดยไม่ต้องร้อง อ๋อ   ก็รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามในยุคหวนกลับสู่การเมือง

ที่น่าสนใจคือ  ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช  ผู้เป็นนักหนังสือพิมพ์หนุ่มปากกล้าเจ้าของสยามรัฐ   ผู้เขียนสี่แผ่นดิน ไผ่แดง หลายชีวิต ลือเลื่องไปทั้งเมือง  ได้เขียนต้อนรับท่านนายพลไว้หยดย้อย     ท่านเขียนเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษหรือสองภาษาควบกันก็ไม่ทราบ  แต่ที่ดิฉันมี เป็นภาษาอังกฤษ

“It was thanks to Japan that all nations of Asia gained independence. For Mother Japan, it was a difficult birth which resulted in much suffering, yet her children are growing up quickly to be  healthy and strong.  Who was it that enabled the citizens of the nations of Southeast Asia to gain equal status alongside the United States and Britain today? It is because Japan, who acted like a mother to us all, carried out acts of benevolence towards us and performed feats of self-sacrifice. December 8th is the day when Mother Japan – who taught us this important lesson – laid her life on the line for us, after making a momentous decision and risking her own well-being for our sake.
Furthermore, August 15th is the day when our beloved and revered mother was frail and ailing. Neither of these two days should ever be forgotten”.

ลิ้นการทูตของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เก่งฉกาจขนาดไหนลองดูจากคำข้างบนนี้  ท่านเรียกญี่ปุ่นว่า  Mother Japan  คือประเทศแม่ (ท่านใช้คำภาษาไทยเพราะๆกว่านี้ว่าอะไรดิฉันก็ยังนึกไม่ออก   เห็นจะต้องถามคุณวันดี)   ยกย่องว่าเป็นประเทศผู้นำของเอเชียที่ทำให้เอเชียอาคเนย์ได้ยืดตัวขึ้นมาเสมอบ่าเสมอไหล่กับอเมริกาและอังกฤษ  โดยญี่ปุ่นก็ต้องอุทิศตัวเอง  เสียสละเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศพวกนี้

ไม่แปลกใจเลยเมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะเดินไปจับมือกับประธานเหมาเจ๋อตุงได้สนิทใจ    ทำให้ภัยคอมมิวนิสต์ซึ่งเคยได้ชื่อว่าคุกคามไทยอยู่นานสองสามทศวรรษ(ซึ่งอาจจริงบ้างไม่จริงบ้าง) หมดเงาน่าสะพรึงกลัวลงไปได้   ไทยกับจีนแผ่นดินใหญ่ก็เป็นมิตรดีต่อกันมาจนทุกวันนี้   


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 11:09
ดิฉันยังติดใจบทบาทของพลต.อ.อดุลอยู่   ก็เลยไปหาประวัติท่านมาอ่าน    แล้วพยายามปะติดปะต่อจิ๊กซอว์เข้าด้วยกัน    ผิดถูกอย่างไรเชิญค้านด้วย เพื่อให้กระทู้นี้พ้นจากความผิดพลาด หรือถ้าผิดก็ผิดน้อยที่สุด

พลต.อ.อดุลขึ้นเป็นอธิบดีตำรวจตั้งแต่อายุ 42 ปี  อยู่ในตำแหน่งนี้มา 9 ปีเต็ม  จน อายุ 51   ผ่านเรื่องกบฎบวรเดช  ผ่านเรื่องนักโทษประหาร 2482  ผ่านยุควัธนธัม สงครามโลกครั้งที่สอง  ล้วนแต่เป็นยุคสาหัสสากรรจ์ของการเมืองไทย 
เมื่อพ้นตำแหน่งไปในปี 2488 ท่านยังมีอายุราชการอีก 9 ปี  งานทิ้งทวนของท่านน่าจะเป็นการเสนอนายกรัฐมนตรีคือนายควง อภัยวงศ์ให้ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมนักโทษการเมือง ปี 2482    จากนั้นก็ขึ้นไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี   แม้เป็นตำแหน่งมีเกียรติสูง แต่อำนาจน้อยกว่าอธิบดีตำรวจ
พ.ศ. 2489 ข้ามฟากไปเป็นผู้บัญชาการทหารบก  ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่งของประเทศ   แต่เป็นอยู่ปีเศษก็พ้นหน้าที่นี้ไปทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2493  และรับตำแหน่งองคมนตรีระหว่าง พ.ศ. 2492-2495

ถ้าเรือนไทยมีหมออีกอาชีพหนึ่ง คือหมอดู   นอกเหนือจากหมอผู้เชี่ยวชาญผ่าตัดหัวใจอย่างคุณหมอ CVT  ก็อยากจะถามว่า ดวงของท่านพลต.อ. ดาวอะไรกุมลัคน์อยู่  ดวงราชการท่านถึงมีแต่ขึ้น  ไม่มีตกเอาเลย

ในเว็บไซต์ของคุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ พูดถึงพลต.อ.อดุลเอาไว้น่าสนใจ   ดิฉันยังไม่ออกความเห็น  ขอเชิญท่านทั้งหลายอ่านเองก่อน เผื่อใครจะมีความเห็นอย่างใดบ้าง

ตอนโค่นจอมพลป.ลงโดยวิถีทางของรัฐสภานั้น อาจารย์ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๘ ไม่อาจตั้งคุณทวีเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะคุณทวีเล่นละครตบตาญี่ปุ่นไม่ได้ จึงต้องให้นายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่คุณทวีเป็นรัฐมนตรีที่สั่งราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้ อะไรๆที่สำคัญๆนั้น อาจารย์ปรีดีหารือกับคุณทวีเป็นการภายในเป็นส่วนมาก หากเป็นเรื่องฉกรรจ์ ก็ต้องบอกให้หลวงอดุลเดชจรัสทราบ เพราะเขาคนนี้มีความสามารถในการคานอำนาจจอมพล ป.

ครั้นเสร็จสงครามแล้ว อาจารย์ปรีดีเห็นควรให้คุณดิเรกเป็นนายกฯ แต่คุณดิเรกติงว่าตั้งแต่ปลดพระยามโนปกรณ์นิติธาดาจากตำแหน่งดังกล่าวไปในปี๒๔๗๖ คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ผลัดกันเป็นนายกฯมาตลอด เกรงผู้คนจะติฉินคณะราษฎร ว่าต้องการกุมอำนาจไว้อย่างถาวร ถ้าเลือกเอาคนนอกมาดำรงตำแหน่งบ้าง ก็จะดี ยิ่งได้ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชด้วยแล้ว ก็น่าจะเหมาะสม เพราะบุคคลผู้นี้ก็เป็นเสรีไทยภายนอกประเทศที่สำคัญสุด ทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์ ฝ่ายเจ้ากับฝ่ายไพร่จะได้คืนดีกัน สิ้นความกินแหนงแคลงใจ ว่าคณะราษฎรแย่งชิงอำนาจไปจากเจ้า

อาจารย์ปรีดีเห็นด้วยกับข้อเสนอของคุณดิเรก จึงเชิญคุณชายเสนีย์มาเป็นนายกฯ นับว่าน่าเสียดายที่ความหวังดีของฝ่ายคณะราษฎรถูกคุณชายเสนีย์มองไปว่าเอาท่านมาเป็นตัวเชิด โดยท่านไม่รู้ตัวว่าท่านเองเป็นคนหูเบา ที่บริหารงานแผ่นดินไม่เป็น ดังกรณี ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ก็เป็นพยานให้คนร่วมสมัยเห็นถึงความอ่อนแอของท่าน

เมื่อเป็นนายกฯครั้งแรก คุณชายเสนีย์ไร้สมรรถภาพในการบริหารงานแผ่นดิน จนต้องลาออกไป ทั้งยังกล่าวหาว่าถูกอาจารย์ปรีดีหลอกเอามาใช้อีกด้วย นับว่าการเสนอชื่อคุณชายเสนีย์ให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นความล้มเหลวของคุณดิเรกแท้ทีเดียว โดยที่คุณดิเรกก็เป็นคนที่เสนอชื่อให้คุณชายเสนีย์ไปเป็นทูตที่สหรัฐมาก่อนด้วยแล้ว

เมื่อคุณชายเสนีย์พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว อาจารย์ปรีดีจึงเห็นควรให้คุณดิเรกเป็นนายกฯให้จงได้ แม้หลวงอดุลเดชจรัสก็สนับสนุนคุณดิเรก  โดยที่คุณดิเรกมีความสามารถสูงทางการทูต ไม่แต่กับชาวต่างประเทศ แม้ในหมู่คนไทยด้วยกัน จึงชักจูงหลวงอดุลให้มาสนับสนุนอาจารย์ปรีดีและงานเสรีไทยจนสำเร็จ ทั้งๆที่หลวงอดุลสนิทสนมกับจอมพลป.มาแต่สมัยเป็นนักเรียนนายร้อยมาด้วยกัน โดยที่ถ้าไม่ได้หลวงอดุลหนุน งานเสรีไทยย่อมเป็นไปไม่ได้ภายในประเทศ

โดยที่คุณดิเรกเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน คนวงนอกจึงเข้าใจว่าท่านเป็นคนอ่อนแอ ยิ่งหลวงอดุลสนับสนุนท่าน ใครๆก็พากันเกรงไปว่าคุณดิเรกจะอยู่ใต้อำนาจหลวงอดุล ซึ่งมีความเป็นเผด็จการที่แข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร  ข้างฝ่ายคุณควงก็ต้องการกลับมาเป็นนายกฯอีก โดยมีคณะของคุณชายเสนีย์สนับสนุน คุณดิเรกจึงแพ้คะแนนคุณควง ตอนออกเสียงในรัฐสภาเพื่อหาคนมาเป็นนายกฯ และแล้วคุณควงก็แพ้คะแนนของพรรคสหชีพ ซึ่งมีสมาชิกส่วนมากเป็นชาวอีสาน และมีแนวโน้มในทางสังคมนิยม โดยที่พรรคนี้รังเกียจนโยบายของรัฐบาลควง ซึ่งเป็นไปในทางเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ผสมกับศักดินา

ตอนคุณควงลาออกเพราะแพ้คะแนนเสียงนั้น ได้ตัดพ้อต่อว่าอาจารย์ปรีดี หาว่าโยงใยอยู่เบื้องหลังพรรคสหชีพ จึงไปตั้งพรรคประชาธิปัตย์มาฟาดฟันอาจารย์ปรีดีและบริษัทบริวาร โดยที่ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องใช้กล แม้จนมนต์คาถา ที่ไร้จรรยาบรรณใดๆก็ตาม ทั้งคุณควงประกาศก้องว่าถ้าอาจารย์ปรีดีเก่งจริง ก็ให้มาเป็นนายกฯเสียเอง อย่าอาศัยบุคคลอย่างคุณดิเรกเป็นหน้าฉากเลย

ความแตกแยกกันของรัฐสภาเข้าหน้าสิ่วหน้าขวานจนอาจารย์ปรีดีไม่มีทางเลือก ต้องรับเป็นนายกรัฐมนตรี และขอให้คุณดิเรกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ หากให้เป็นผู้กำกับสำนักพระราชวังด้วย เพราะตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา สำนักพระราชวังขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรี

เป็นคราวเคราะห์ของบ้านเมือง และของคณะอาจารย์ปรีดี ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ สวรรคตขึ้น หลังจากที่ท่านรับตำแหน่งนายกฯได้ไม่นาน พรรคประชาธิปัตย์จึงหาทางโจมตีอย่างเลยเถิดไปว่าอาจารย์ปรีดีวางแผนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ถึงขนาดจ้างคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า ปรีดีฆ่าในหลวง

ชนวนที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้เล่ห์กระเท่ห์นี้ได้ผล จนคุณควงไปวางแผนกับคณะทหาร ก่อการรัฐประหารขึ้นในปลายปี ๒๔๙๐ เป็นเหตุให้อาจารย์ปรีดีและคณะต้องปลาสนาการไปจากแวดวงทางการเมืองเอาเลย

ก่อนรัฐประหาร เมื่ออาจารย์ปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกฯในรัชกาลปัจจุบันนั้น หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์รับตำแหน่งสืบทอดต่อ นายกฯคนใหม่ขอให้คุณดิเรกไปเป็นทูตที่อังกฤษ ด้วยการยกสถานะเดิมจากอัครราชทูตให้เป็นเอกอัครราชทูต

คุณดิเรกเกรงว่าจะไม่สมควร เพราะม.จ.นักขัตรมงคล กิตติยากร เป็นอัครราชทูตอยู่แล้ว แต่อาจารย์ปรีดีกับนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ต้องอาศัยความสามารถทางการทูตของคุณดิเรกในการเจรจากับอังกฤษ เพื่อแก้ไขข้อตกลงต่างๆซึ่งคุณเสนีย์ทำเรื่องไว้ และอาจารย์ปรีดีบอกว่าจะขอย้ายท่านนักขัตรไปเป็นเอกอัครราชทูตที่ปารีส โดยที่เดิมทรงเป็นเพียงอัครราชทูต เป็นอันว่าท่านก็ได้เลื่อนสถานะขึ้นด้วย และท่านเป็นนักเรียนฝรั่งเศสมาก่อน ไปประทับทางปารีสดูจะเหมาะสมกว่า คุณดิเรกจึงยอม ดังเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ จอมพลป.ขอให้คุณดิเรกไปเป็นเอกอัครราชทูตที่ญี่ปุ่น (นี่ก็เป็นการเพิ่มสถานะจากตำแหน่งอัครราชทูตเช่นกัน) คุณดิเรกบ่ายเบี่ยง ทำให้จอมพลป.โกรธมาก ถึงกับว่าถ้าคุณดิเรกไม่ไป จอมพลป.จะไปเอง ดังนี้เป็นต้น ผลก็คือหลวงอดุลมาไกล่เกลี่ยให้คุณดิเรกยอมรับตำแหน่ง เผื่อจะไปใช้โอกาสกู้บ้านกู้เมืองจากนอกประเทศ
เมื่อคณะรัฐประหารได้ชัยชนะมาอย่างผิดกฎหมายนั้น ได้ตั้งคุณควงให้เป็นนายกฯอย่างเป็นหุ่นให้พวกทหารเชิด พระยาศรีวิศาลวาจาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลควง ได้มีหนังสือไปขอให้คุณดิเรกดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตต่อไป คุณดิเรกตอบว่ายินดีดำรงตำแหน่งต่อจนกว่ารัฐบาลใหม่จะได้รับการรับรองจากรัฐบาลอังกฤษ แล้วท่านก็จะขอลาออก

ในช่วงนั้น นายป๋วย อึ๊งภากรณ์เป็นนักเรียนปริญญาเอกอยู่ที่ลอนดอน และสนิทกับคุณดิเรกมาก ถึงกับถามว่าถ้าลาออกจากราชการไปแล้ว อาจารย์จะทำอะไร ท่านก็ตอบว่าว่างงาน แต่นั่นไม่สำคัญเท่าเกียรติยศ เพราะท่านได้รับแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งที่สำคัญ โดยรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย แล้วจะอยู่รับใช้รัฐบาลที่เข้ามามีอำนาจด้วยการล้มระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร

ความสำคัญทางจริยธรรมข้อนี้ ยากที่คนร่วมสมัยจะเข้าใจ แต่คุณป๋วยเข้าใจอย่างซาบซึ้ง และคุณป๋วยดำเนินชีวิตเช่นคุณดิเรกมาเกือบจะโดยตลอด โดยคุณป๋วยย้ำอยู่เสมอว่าชีวิตของคนเรานั้นสำคัญที่เกียรติ คือการเคารพตัวเอง และเคารพธรรมเป็นอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม

ขำก็ตรงที่ม.จ.สิทธิพร กฤดากรนั้น เข้ามาเป็นรัฐมนตรีเกษตร ในรัฐบาลควง โดยคงไม่ทรงตระหนักว่ารัฐบาลนั้นผิดกฎหมาย ครั้นนายควงถูกคณะรัฐประหารจี้ให้ลาออกไป จอมพลผิน ชุณหะวัณ ผู้นำของคณะรัฐประหาร ได้มาทูลท่านสิทธิพรให้ทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรต่อไป ภายใต้การเป็นนายกรัฐมนตรีของจอมพลป.พิบูลสงคราม เพราะความสามารถและความสัตย์ซื่อของท่าน แต่ท่านก็ทรงปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวล คล้ายๆคุณดิเรกเหมือนกัน

รัฐบาลควงขึ้นสู่อำนาจในปลายปี ๒๔๙๐ ด้วยความฉ้อฉลเท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลจอมพลป.ที่ขึ้นมาแทนที่รัฐบาลควง ก็ใช้กำลังทหารบีบเอาอย่างเลวร้ายพอๆกัน เพราะฉะนั้นอาจารย์ปรีดีจึงกรีฑาทัพมาบีบให้รัฐบาลจอมพลป.ออกจากตำแหน่ง โดยประกาศตั้งคุณดิเรก ชัยนามเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี ๒๔๙๒ หากอาจารย์ปรีดีต้องพ่ายแพ้ไปเพราะถูกหลวงสินธุ์สงครามชัย แม่ทัพเรือ หักหลัง ดังรัฐประหาร ๒๔๙๐ ท่านก็ถูกหลวงอดุลเดชจรัสร่วมกับหลวงสังวรยุทธกิจหักหลังนั้นแล  โดยที่หลวงสังวรนั้นยังมาหักหลังอาจารย์ปรีดีอีกในปี ๒๔๙๒
เคราะห์ดีที่จอมพลป.ไม่เห็นโทษของคุณดิเรก ท่านจึงไม่ถูกจองจำ แม้กรณีสวรรคตที่ทั้งจอมพลป. และพลเอกเผ่า ศรียานนท์พยายามทำเรื่องให้โยงไปถึงอาจารย์ปรีดีนั้น ก็มีผู้เสนอให้คุณดิเรกติดร่างแหด้วยในฐานะรัฐมนตรีผู้กำกับสำนักพระราชวังตอนเกิดสวรรคต หากจอมพลป.ขอไว้ คุณดิเรกจึงรอดตัว แต่ท่านก็ไม่ยอมร่วมกิจการทางการเมืองกับจอมพลป.จนตลอดระยะเวลาที่บุคคลผู้นั้นมีอำนาจ หากยินดีเล่นกอล์ฟด้วยกันตามแต่โอกาสจะอำนวย คือท่านรู้จักแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องของส่วนรวม

ทางฝ่ายนายสงวน ตุลารักษ์นั้น ก็ร่วมก่อการมากับคณะราษฎรในปี ๒๔๗๕ และมีบทบาทในขบวนการเสรีไทยด้วย ตอนรัฐประหาร เป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศจีน อยู่ที่นครนานกิง คุณสงวนประกาศด่าคณะรัฐประหารอย่างรุนแรงและลาออกจากตำแหน่งในทันที นี่คือการแสดงบทบาททางไม้แข็ง ในขณะที่คุณดิเรกและท่านสิทธิพรใช้ไม้อ่อน ซึ่งบางทีนั้นออกจะอ่อนนอกและแข็งใน ให้เป็นที่เกรงขามของสุภาพชน หรือคนที่ตามีแวว

ถ้าใครได้อ่านถ้อยคำของพระยามโนที่โจมตีอาจารย์ปรีดีแต่ในปี ๒๔๗๕ จะเห็นได้ว่าเจ้าคุณมโนยกให้นายสงวน ตุลารักษ์กับนายซิม วีระไวทยะ ว่าเป็นโมคคัลลาน์สารีบุตรของอาจารย์ปรีดีเอาเลย แต่คุณซิมตายเสียแต่เมื่ออายุยังน้อย เฉกเช่น นายตั้ว ลพานุกรม หากคุณสงวนอยู่มาจนเพิ่งตายหลังจากอาจารย์ปรีดี เมื่อไม่นานมานี้เอง อาจเป็นเพราะความแข็งกร้าวของคุณสงวนก็ได้ ที่ภายหลังดูท่านจะห่างอาจารย์ปรีดีออกไป
 
http://www.sulak-sivaraksa.org/


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 11:10
ขออนุญาตเข้าซอยนายควง อภัยวงศ์

จากบล็อกของคุณเจียวต้าย

เรื่องเล่าจากอดีต : นายกรัฐมนตรียามสงคราม
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=pn2474&date=14-04-2010&group=29&gblog=19

เมื่อ พันตรี ควง อภัยวงศ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน จอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยไม่เกิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายในระหว่างคนไทยด้วยกันแล้ว ท่านก็ต้องคอยแก้ปัญหายุ่งยากระหว่างรัฐบาลไทย กับกองทัพญี่ปุ่นต่อไป ท่านเล่าว่า

เมื่อเสร็จจากเรื่องหลวงพิบูล ฯ แล้ว ผมก็ต้องคอยแก้ปัญหาระหว่างเสรีไทยกับกองทัพญี่ปุ่น เหมือนถูกบังคับให้ขี่ม้าสองตัว คือเสรีไทยตัวหนึ่ง และญี่ปุ่นอีกตัวหนึ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่ มันลำบากจริง

คืนวันหนึ่งพวกเสรีไทยเอาฝรั่งคนหนึ่งที่ถูกกักกันในแคมป์ชนชาติศัตรูที่กรุงเทพ ฯ ส่งไปเมืองนอก จึงเกิดวิตกว่าถ้าตอนรุ่งเช้าพวกญี่ปุ่นไปตรวจพบว่าขาดจำนวนจะทำยังไง แต่บังเอิญพระสยามเทวาธิราชช่วยผมแท้ ๆ ในคืนวันนั้นเองพระสงฆ์ท่านนำฝรั่งที่หลบหนีจากค่ายกาญจนบุรี มาให้ผมคนหนึ่ง ผมก็ให้ผู้ควบคุมค่ายเอาไปยัดใส่แทน ผู้ควบคุมแย้งว่ามันเป็นคนละคนกันกับที่หายไปนี่ ผมก็บอกว่า เคยนึกบ้างไหมเวลาเราดูฝรั่งก็เห็นหน้ามันคล้าย ๆ กัน หรือเมื่อฝรั่งดูพวกเรา ก็เห็นคล้ายกันเหมือนกัน ยังไง ๆ พอเขาเรียกชื่อหมอนั่น ก็ให้หมอนี่ขาน “เยสเซ่อร์” ก็แล้วกัน เผอิญได้ผลจริง ๆ เรารอดตัวไป

ส่วนที่เขาหาว่าผมหักหลังญี่ปุ่น และบางคนก็ไปเขียนอะไรต่อมิอะไรกันนั้น ไม่เป็นความจริงหรอก เมื่อเขาตั้งเสรีไทยขึ้นนั้น ผมก็ทำความเข้าใจกับเขาแล้วว่า ผมจะต้องทำหน้าที่ของผม ในฐานะที่ร่วมรบกับญี่ปุ่น แต่ผมจะหลิ่วตาให้ข้างหนึ่งสำหรับเสรีไทย เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ตกลงไหม เมื่อเขายอมตกลงผมก็เลยขาดจากเสรีไทยตั้งแต่บัดนั้นมา ผมไม่เคยเสียคำมั่นสัญญา ไม่เคยเสียสัตย์ เพราะเราต้องรักษาชื่อเสียงของชาติไทย และเกียรติของไทยผมรักษานัก เมื่อเราให้คำมั่นสัญญาแล้วเราต้องถือเด็ดขาด ผมไม่เคยหักหลัง แต่ผมต้องคอยแก้ปัญหาดังที่เล่าให้ฟัง

ขณะนั้นสงครามโลกด้านแปซิฟิคขับขันมากขึ้นแล้ว ทางกองบัญชาการทหารสูงสุดญี่ปุ่นที่ไซ่ง่อน ดูจะมีความระแวงฝ่ายไทย ตามสี่แยกถนนสำคัญ ๆ ในพระนครหลายสาย มีป้อมมูลดินของญี่ปุ่นกับของไทยตั้งเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างขอให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปตรวจดูว่า ความจริงสร้างขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร

ญี่ปุ่นคงจะทราบความเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทยเป็นอย่างดี นายฮาตาโนซึ่งเป็นล่ามของนายพลนากามูรานั้น ก็เป็นนักเรียนอัสสัมชัญ พูดไทยและอ่านหนังสือไทยได้อย่างคนไทยทั่ว ๆ ไป เมื่อมีเสรีไทยมาโดดร่มและถูกจับได้ ฝ่ายญี่ปุ่นก็มุ่งจะเอาตัวไปสอบสวนและปฏิบัติอย่างอื่นต่อไป แต่ฝ่ายไทยก็อ้างว่าเป็นมหามิตรกับญี่ปุ่น เป็นคู่สงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ฉะนั้นจึงมีสิทธิเหนืออริราชศัตรูไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง ไทย หรือชาติใดก็ตาม

พันตรี ควง เล่าว่า อย่างสนามบินลับของเราก็เหมือนกัน พวกญี่ปุ่นมาประท้วงตั้งแต่เช้า เอาแผนที่ออกมากางให้ดู แล้วชี้ว่านี่สนามบินลับอยู่ทางเหนือ ความจริงท่านก็ทราบว่าเป็นสนามบินลับที่พวกเสรีไทยเขาทำขึ้น แต่ท่านบอกว่าไม่จริงกระมัง เขาก็ยืนยันว่าจริงซี เขาถ่ายรูปมาด้วย ท่านก็ว่าถ้ายังงั้นพรุ่งนี้ตั้งกรรมการผสมไปตรวจ แล้วก็ตกลงตั้งกรรมการผสมไทยญี่ปุ่นขึ้น

แล้วท่านก็วิ่งไปบอกหลวงประดิษฐ์ ฯ ว่า นี่.....อาจารย์ ต้องรีบจัดการปลูกพืชอะไรไว้นะ พรุ่งนี้กรรมการผสมจะไปตรวจ ถ้าเขาจับได้ผมไม่รู้ด้วยนะ ฝ่ายหลวงประดิษฐ์ ฯ ก็ส่งวิทยุสั่งการให้ปลูกต้นกัญชา ต้นอะไร รดน้ำกันใหญ่ พวกกรรมการผสมไปดูก็เห็นมีพืชปลูกอยู่จริง ๆ เรื่องก็เลิกกันไป

เหตุนี้คงจะทำให้ จอมพล เคานต์เตราอุจิ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ไซ่ง่อนระแวงไทยมากขึ้น จึงสั่งให้นายพลนากามูรา ผู้บัญชาการหน่วยงิประจำประเทศไทยขอกู้เงินเพื่อสร้างที่มั่นรับสัมพันธมิตร ความจริงญี่ปุ่นได้เตรียมแนวป้องกันไว้แล้ว คือที่มั่นตั้งแต่แนวภูเขาที่หินกอง จังหวัดสระบุรี เป้นระยะ ๆ ไปจนถึงจังหวัดนครนายก

เมื่อฝ่ายญี่ปุ่นเสนอขอกู้เงินมานั้น ฝ่ายไทยได้ปรึกษาหารือกัน และกำหนดว่าจะตอบปฏิเสธฝ่ายญี่ปุ่นไป เรื่องเช่นนี้ควรจะต้องเป็นเรื่องลับที่สุด แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ นายพล นากามูราได้ระแคะระคายว่าฝ่ายไทยจะตอบปฏิเสธ จึงมาบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ได้ทราบข่าวว่าฝ่ายไทยจะปฏิเสธเรื่องญี่ปุ่นขอกู้เงิน ถ้าเป็นจริงตามนั้นก็ขอบอกว่า ญี่ปุ่นจำจะต้องยึดครองประเทศไทย เพราะเป็นนโยบายและคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายพลเองไม่มีอำนาจขัดขืน ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากจะยึดครองประเทศไทยเลย

อีกครั้งหนึ่งท่านเล่าถึงเรื่องที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเอาเครื่องบินมาทิ้งยาให้ไทย แต่แทนที่จะให้เอาไปทิ้งตามทุ่งนาก็ไม่เอา กลับให้เอามาโยนลงที่สนามหลวง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรานี่เก่ง แต่ไม่ได้คิดถึงท่านซึ่งเป็นนายก ฯ อกแทบพัง แล้วพวกเราก็วิ่งไปรับกันเสียด้วย จะรอให้เครื่องบินไปเสียก่อนแล้วจึงค่อยวิ่งไปตะครุบก็ไม่ได้

ท่านเล่าว่า พอตอนกลางคืนญี่ปุ่นก็เชิญผมไปกินข้าว เพราะตามธรรมดาพอมีเรื่องอะไรเขาก็เชิญผมกินข้าวทุกที เมื่อไปพบกับเขาหน้าผมก็ไม่สบายเพราะกำลังหนักใจว่าจะทำยังไงดี พอนายพลนากามูระเห็นผมก็ทักว่า เอ..ท่านนายกทำไมถึงหน้าตาไม่เสบยอย่างนี้

ผมก็บอกว่าพุธโธ่ ปวดศรีษะจะตายไป ส่วนเอกอัครราชทูตยามาโมโต ก็กระแหนะกระแหนว่า ทำไมท่านไม่กินยาที่เขาเอามาทิ้งให้เมื่อเช้านี้ล่ะ ผมก็ไหวทันตอบไปว่า ลองกินเข้าไปซี ถ้าฉันเกิดตายไปแล้วท่านจะเอานายกที่ไหนมาแทนเล่า พวกนั้นก้หัวเราะขบขัน เลยกินข้าวด้วยกัน แล้วเรื่องก็เลิกกันไปอีก

ทางฝ่ายขบวนการเสรีไทย ก็คงมีการตระเตรียมกันหลายด้าน ด้วยความมั่นใจว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะสนับสนุนการดำเนินการในไม่ช้านัก ฝ่ายตำรวจซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของ พล.ต.อ.หลวงอดุลย์ ฯก็ได้มีการเปลี่ยนจากพกอาวุธปืนสั้นมาถืออาวุธปืนเล็กยาวทั่วไป

ญี่ปุ่นได้สังเกตเห็นเรื่องนี้เหมือนกัน นายพลนากามูรา ทูตทหารบก ทูตทหารเรือ และบุคคลสำคัญฝ่ายสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น จึงขอพบนายกรัฐมนตรี เพื่อถามถึงเรื่องตำรวจเปลี่ยนมาถืออาวุธปืนเล็กยาว แทนที่ท่านจะอึกอักท่านกลับหัวร่อเอิ๊ก ๆ แล้วตอบว่า

“ แล้วกัน ท่านนายพล ผมจ่ายปืนพกให้ พวกตำรวจก็เอาไปขายเสียหมด แล้วก็บอกว่าปืนหาย ยินดีชดใช้ให้ตามราคาของทางราชการ ก็ปืนพกขณะนี้ราคาแพงมาก ผมจะเอามาจ่ายให้ที่ไหนไหว ปืนยาวนั้นขายยากกว่า ผมจึงสั่งให้จ่ายแต่ปืนยาว เรื่องมันเท่านั้นเอง “

เมื่อได้สนทนากันถึงเรื่องอื่นอีกเล็กน้อย ฝ่ายญี่ปุ่นก็ลากลับไป

ตามปกติแล้วนายกรัฐมนตรีควง ก็คงอยู่ที่บ้านของท่านหน้าสนามกีฬาแห่งชาติ แถบนั้นมีหน่วยทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่โรงเรียนช่างกลปทุมวัน อีกหน่วยหนึ่งก็อยู่ที่โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย เมื่อเหตุการณ์คับขันมากขึ้น ผู้บัญชาการกองพล ๑ ได้ขอร้องให้ท่านย้ายบ้าน เกรงว่า เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ทหารไทยซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางบางซื่อ จะมาให้ความคุ้มครองไม่ทัน และถ้านายกรัฐมนตรีถูกฝ่ายญี่ปุ่นจับตัวไป ก็จะเป็นเรื่องลำบากมาก ท่านจึงได้ยอมย้ายไปอยู่บ้านสวนอัมพวัน ใกล้เขตทหารขึ้น

ท่านเล่าว่า เมื่อพูดกันตามความจริงท่านก็ช่วยญี่ปุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หักหลังเขาเลย เช่นปัญหาเรื่องการกู้เงิน ญี่ปุ่นกู้เราเรื่อย ๆ จนเราไม่มีสตางค์จะให้ รัฐมนตรีของเราบอกเขาว่าเราให้กู้ไม่ได้แล้ว ญี่ปุ่นก็ตั้งข้อสงสัยว่าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา ท่านจึงบอกรัฐมนตรีคลังให้เชิญฝ่ายญี่ปุ่นมาประชุมกับท่านที่ทำเนียบ

ครั้นถึงวันประชุมฝ่ายญี่ปุ่นก็มาพร้อมเพรียง รวมทั้งเอ็กซเปอร์ททางการคลังของเขาด้วย ฝ่ายเรานั้นท่านคิดอยู่แล้วว่าญี่ปุ่นเขามีความระแวงสงสัยไม่เชื่อใจเรา จะมัวโต้เถียงกันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร รังแต่จะเพิ่มความสงสัยมากขึ้น ท่านก็เอาตัวเลขการคลังของเราทั้งหมด ส่งให้ เอ็กซเปอร์ทของญี่ปุ่น แล้วบอกว่าวานท่านทำหน้าที่รัฐมนตรีคลังให้ฉันทีเถอะ ถ้าท่านเห็นว่าไอ้ตัวเลขอย่างนี้ ควรให้ญี่ปุ่นยืมได้เท่าไร ฉันจะเซ็นอนุมัติให้เดี๋ยวนี้แหละ แล้วท่านก็ชักปากกาออกมาเตรียมถือไว้

ท่านทำใจดีสู้เสือแท้ ๆ ทีเดียว พวกญี่ปุ่นปรึกษากันบ๊งเบ๊งอยู่พักหนึ่งก็ลุกขึ้นโค้ง บอกว่าให้ยืมไม่ได้หรอก เราก็เลิกประชุมกันเท่านั้นเอง

นี่แหละเมืองไทย เรารอดมาได้ ไม่ใช่ความสำคัญของผมเลย เพราะสยามเทวาธิราชแท้ ๆ เราทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เรามีใจเป็นธรรมก็ย่อมชนะ ผมอาจจะต้องลำบากในตอนต้น แต่ตอนปลายผลสุดท้ายก็ต้องชนะ

และนี่คือการทำงานระหว่างหน้าสิ่วหน้าขวาน ของ พันตรี ควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๔๘๗ – ๒๔๘๘ เท่านั้น.



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 11:12
เรื่องเล่าจากอดีต : นายกรัฐมนตรีหลังสงคราม
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=pn2474&date=16-04-2010&group=29&gblog=20

ใน พ.ศ.๒๔๘๘ ตอนปลายสงคราม ค่ำวันหนึ่งได้มีการเลี้ยงแบบกันเองระหว่างฝ่ายไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งจัดสองอาทิตย์ต่อครั้งตามปกติ วันนั้นมีการรับประทานอาหารที่บ้านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ที่ถนนเพชรบุรี คืนนั้นนายกรัฐมนตรีควงได้แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาญี่ปุ่น คืออ่านจากตัวหนังสือไทย ที่เขียนออกเสียงเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วได้มีการล้อเลียนสัพยอกถึงเรื่องลูกระเบิดแบบใหม่ ที่สหรัฐทิ้งที่เมืองฮิโรชิมา ว่ามีฤทธิ์เดชมากสองวันแล้วยังมีฝุ่นคลุ้งอยู่

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็ออกมารับประทานกาแฟ บรั่นดี และคุยกันที่ห้องกลาง ขณะนั้นมีผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น ๒-๓ นายรีบร้อนมาพบเอกอัครราชทูต และนายพลนากามูรา ซุบซิบอะไรกันอยู่ แล้วนายพลนากามูราก็รีบลากลับไปก่อนทั้ง ๆ ที่ยังรับประทานกาแฟไม่เสร็จ

ทางฝ่ายไทยก็ได้ข่าวจากขบวนการเสรีไทยว่าญี่ปุ่นได้ยอมแพ้ วันรุ่งขึ้นนายกรัฐมนตรีจึงได้เชิญนายพลนากามูรากับพวกผู้ใหญ่ฝ่ายญี่ปุ่นมาถามเพื่อยืนยัน แต่นายพลนากามูราตอบปฏิเสธ

เรื่องนี้ พันตรี ควง อภัยวงศ์ ได้เล่าว่า หลวงประดิษฐ์ ฯ ฟังวิทยุแล้วก็เรียกผมไปหา บอกว่าควง...ญี่ปุ่นยอมแพ้แล้ว เขาขอยอมแพ้โดยแจ้งผ่านทางรัสเซีย แล้วทูตญี่ปุ่นก็เชิญผมไปกินข้าว ผมแกล้งพูดสัพยอกทูตว่า ท่านทูตนา ผมนี่ตั้งต้นจับคนมามากแล้ว จับอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส แล้วก้จับพวกเยอรมัน อิตาลี ต่อไปผมเห็นจะต้องจับท่านเสียแล้ว เขาก็หัวเราะ ผมถามว่าจะยอมแพ้ใช่ไหม เขาตอบว่า โอ...ไม่ยอมหรอก ผมก็ว่าเอาเถอะถ้าท่านจะยอมแพ้ก็ขอความกรุณา อย่าเอาผมและเมืองไทยไปเกี่ยวข้องด้วย ท่านยอมไปคนเดียวก็แล้วกัน เขาก็บอกตกลง

ต่อมาไม่ถึงสองวัน นายทหารญี่ปุ่นก็แต่งตัวเต็มยศสวมถุงมือ มาเยี่ยมคำนับผม แล้วยื่นหนังสือให้บอกว่าญี่ปุ่นจะยอมแพ้แล้ว เราจะให้เขาช่วยอะไรบ้าง ผมก็ตอบว่าขอความกรุณาอย่าช่วยฉันเลย ปล่อยให้ฉันทำของฉันเองเถิด โปรดบอกแก่รัฐบาลของท่านตามนี้ด้วย ฝ่ายญี่ปุ่นเขาก็ดี เขาบอกว่าท่านจะหาวิธีอย่างไร ญี่ปุ่นไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ขอให้เมืองไทยรอดเถอะ ผมก็ตอบขอบใจเขา

ทีนี้ผมจะหาทางออกอย่างไรเล่า ญี่ปุ่นก็ยอมแพ้ไปแล้ว แต่เมืองไทยยังรบอยู่คนเดียวถึง ๑๕ วัน จอมพล ป.ก็ประกาศสงครามกับเขาเสียด้วย ใคร ๆ ก็ยอมแพ้กันไปหมดแล้ว เหลือแต่เมืองไทยเท่านั้นที่ยังไม่ยอม ตกลงว่าผมนี่ดูเก่งกาจนัก รบคนเดียวอยู่ได้ตั้ง ๑๕ วัน

ผมให้หลวงประดิษฐ์ ฯ ช่วยร่างประกาศให้ผม แล้วผมก็ไปประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทางสภาพอแว่วข่าวว่าเราจะประกาศว่า การทำสงครามของเราเป็นโมฆะก็เอะอะสงสัยกันใหญ่ ผมบอกว่านี่นิ่ง ๆ นะคุณ ประเดี๋ยวผมจะประกาศเอง แล้วผมก็เดินไปกระซิบกับบรรดาสมาชิกสภาว่า คราวนี้ถ้าพวกคุณไม่ยกมือให้พร้อมเพรียงกันละก็ตายนะคุณ ผมไม่รู้ด้วยนา ในที่สุดพวกนั้นก็ตกลง

พอผมประกาศว่าการทำสงครามเป็นโมฆะ สภาก็ลงมติเห็นชอบแหมยกมือกันพรึ่บหมด แล้วพวกนั้นก็สบายใจนึกว่าหมดธุระแล้ว แต่ไม่ใช่หมดนะ เราต้องฟังอังกฤษและอเมริกาเขาจะว่ายังไง ต่อมาอีกประมาณสามวัน อเมริกาก็ปล่อยข่าวออกมาว่าเห็นด้วย ไม่เอาธุระกับไทย ส่วนอังกฤษยังแบ่งรับแบ่งสู้ ผมก็รอดตัว ภายหลังหลอร์ดหลุยเมาท์แบทเตนโทรเลขมาถึงผม ให้จัดการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยทั้งหมด

ผมก็มาคิดว่าจะทำยังไงดี ถ้าให้ทหารไทยไปปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น ก็จะเกิดเบ่งกันขึ้น แล้วก้อาจเกิดเรื่องใหญ่ ผมจึงเชิญนายพลนากามูรามาบอกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรเขาสั่งมาอย่างนี้จะให้ฉันทำยังไง เพราะเราเป็นเพื่อนกัน นายพลนากามูราบอกว่าท่านไม่ต้องวิตกหรอก ฉันจะปลดอาวุธตัวเอง ท่านส่งทหารไปรับมอบอาวุธตามจำนวนก็แล้วกัน เรื่องก้เป็นอันเรียบร้อย

บัดนี้ผมได้ปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้นลงแล้ว และผมจะต้องลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ทางอังกฤษและอเมริกาบอกมาว่าไม่ต้องลาออกก้ได้ หลวงประดิษฐ์ ฯ ก็ไม่ยอมให้ผมออก แต่ผมชี้แจงว่าไม่ได้หรอก ผมเป็นรัฐบาลชุดร่วมสงครามกับญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้แล้วผมจะต้องไปด้วย จะอยู่ได้ยังไง เมื่อผมลาออกนั้น สมาชิกสภาทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายตรงข้ามก็มาขอบใจผม ที่พาประเทศไทยรอดมาได้

ความจริงเขาไม่ควรจะขอบใจผม เขาควรจะขอบคุณพระสยามเทวาธิราชมากกว่า

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลงแล้ว รัฐบาลของ พันตรี ควง อภัยวงศ์ ก็ได้ลาออกตามมารยาท หลังจากที่ได้เป็นรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาของชาติมาเป็นเวลาประมาณ ๑๓ เดือน เมื่อท่านแถลงยื่นใบลาในสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้รับการปรบมือจากสมาชิกทั้งสภา เป็นเกียรติยศอย่างสูง

นายทวี บุณยเกตุ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแทน เพียงไม่กี่วัน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน และเป็นผู้มีบทบาทในเรื่องเสรีไทยสายอเมริกามาตั้งแต่ต้น ก็ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านผู้นี้เป็นคนไทยคนแรกที่ประกาศจากกรุงวอชิงตันว่า จะไม่ยอมฟังคำสั่งของรัฐบาลที่มีหอกปลายปืนจี้หลังอยู่ ซึ่งในขณะนั้นญี่ปุ่นกำลังชนะสงครามทุกด้านในแปซิฟิค จึงนับว่าท่านเป็นผู้กล้าหาญอย่างยิ่ง และวิเคราะห์สถานะการณ์ในอนาคตได้อย่างถูกต้องที่สุด

ภายหลังจากที่ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งนั้นแล้ว พันตรี ควง อภัยวงศ์ ก็ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก ๓ ครั้ง ท่านได้เล่าไว้ว่า

การเมืองภายหลังสงครามก็มีเรื่องยุ่งเหยิงอยู่เรื่อย ๆ แต่ผมก็รอดมาทุกทีเพราะไม่ได้ไปมั่วสุมกับใคร ใครจะคิดอ่านกันอย่างไรก็ช่างเขา ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอเล่าย่อ ๆ ว่าเมื่อตอนที่เกิดรัฐประหารรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์นั้น ผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง ครั้นเขามาเชิญผมเป็นนายก ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าเขาจะเอาผมไปเป็นนั่งร้านให้เขา แต่ผมก็จำเป็นต้องรับ

ก่อนจะรับเราได้ก็ได้ประชุมปรึกษาหารือกันที่บ้านผมตั้งตีสองตีสาม มีหลายคนเห็นว่าไม่ควรรับ ผมก็ชี้แจงให้ฟังว่าถ้าเราไม่รับก็จะเกิดเรื่องใหญ่ เพราะฝ่ายหลวงประดิษฐ์ ฯ และฝ่ายหลวงพิบูล ฯ ต่างก็มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่มากด้วยกัน ถึงเขาจะเคยเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อเกิดเรื่องระหว่างลูกศิษย์ต่อลูกศิษย์ เราก็จะพลอยลำบากไปด้วย เอาเถอะเราจะช่วยเข้าไปขวางกลางให้ก็แล้วกัน ตกลงพวกผู้ใหญ่ ๆ ก็เห็นด้วย กับผม เพราะฉะนั้นจึงว่าที่ผมรับเป็นนายกครั้งนั้น ไม่ใช่จะรับโดยไม่รู้ตัว ว่าเขาจะยืมมือเราเป็นการชั่วคราว ครั้นเขามาจี้ให้ผมออก ผมก็ถามว่าพวกคุณทำได้หรือ เมื่อเขาบอกว่าทำได้ก็ให้เขาทำกันไป

ขณะนั้นเป็น พ.ศ.๒๔๙๐ ซึ่งเกิดการรัฐประหารโดยมี พลโท ผิน ชุณหวัณ เป็นหัวหน้า เมื่อเชิญท่าน ควง อภัยวงศ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงระยะสั้น ๆ แล้วก็มีคณะรัฐประหาร มาเชิญให้ลาออก เพื่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง ท่านก็ยอมลาออกแต่โดยดี ท่านสรุปสุดท้ายไว้ในการปาฐกถา เรื่องชีวิตของข้าพเจ้า ณ หอประชุมคุรุสภา เมื่อ ๒๓ พศจิกายน ๒๕๐๖ ว่า

ในชีวิตของผมถือว่า ผมมาทำหน้าที่รับใช้ประชาชน พระสงฆ์ท่านอุตส่าห์เล่าเรียนศีลธรรมก็เพื่อไปสู่นิพพาน แต่นักการเมืองนี่ก็มุ่งหมายจะมีอนุสาวรีย์ตามถนน เรื่องร่ำรวยหรือยากจนเพียงไหนไม่สำคัญอะไรเลย ผมได้เล่ากำพืดของผมให้ฟังแล้ว เรื่องความร่ำรวยนั้นผมก็เคยมาแล้ว และการที่มีคนมากราบไหว้ก็ผ่านมามาก เหมือนคนที่เคยกินเหล้าตั้งขวดมาแล้วยังไม่เมา ถ้ากินเพียงครึ่งขวดมันจะเมาที่ไหน คนที่มันเมานั้นก็เพราะไม่เคยกินต่างหาก กินเข้าไปหน่อยเดียวเลยเมา

ท่านอาจจะเห็นว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีแล้ว หรือเป็นอะไร ๆ แล้วนี่น่ะ บางคนจมไม่ลง แต่ผมจมลง เป็นนายกแล้วก็จมลง ผมเดินเปะปะไปที่ไหนต่อที่ไหนก็ได้ กินข้าวที่ไหนก็ได้ รถเมล์รถรางหรือรถอะไรก็ขึ้นได้ เพราะการได้ตำแหน่งมันเป็นเรื่องสวมหัวโขนเท่านั้น

ส่วนเกียรติของผมยังอยู่ แม้ว่าผมจะเดินเตะฝุ่นกลางถนนก็ตาม เพราะผมไม่ได้ไปเอาอะไรจากใคร ไม่ได้เบียดเบียนใคร ผมกลัวเสียชื่อวงศ์ตระกูลของผม ผมจึงทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน และทำตามอุดมคติของผม

ผมขอเรียนตามตรงว่า เวลานี้ผมสบายจะหันหน้าไปหาประชาชน เขาก็ต้อนรับดี เราจะมีเงินสักกี่แสนกี่ล้านก็ซื้อจิตใจประชาชนไม่ได้ และเงินน่ะเรากินได้ไหม เพชรพลอยก็กินไม่ได้ จะกินได้ก็แต่เพียงอาหารมื้อละอิ่มเดียว บางคนยังกินอาหารไม่ได้ด้วยซ้ำ ได้แต่ผะงาบ ๆ อยู่

การที่ผมต้องเข้ามาพัวพันกับการเมือง ไม่ใช่ผมอยากเป็นนักการเมือง แต่เหตุการณ์มันดึงให้ผมเข้าไปเอง อย่างที่เล่ามาให้ฟังนี่แหละ ดึงกันไปดึงกันมา ผมเลยจมเข้าไปในการเมืองจนถอนตัวไม่ออก ครั้นจะถอนตัวก็จะถูกหาว่าหนี แต่ครั้นจะอยู่ก็ผะอืดผะอมเต็มประดา

บรรดาเพื่อน ๆ ของผมทุกคน หลวงพิบูล ฯ หรือหลวงประดิษฐ์ ฯ ก็ดี ถึงแม้จะมีเรื่องขัดแย้งกันในทางการงาน ผมก็ไม่ได้คิดโกรธเคืองอะไรกับใคร ผมทำหน้าที่ของผมเท่านั้น เมื่อหมดหน้าที่แล้วก็แล้วกันไป ความเป็นเพื่อนกับหน้าที่ต้องแบ่งแยกกัน สิ่งใดที่ผมไม่เห็นด้วยผมก็บอกไปตามความเห็น ถ้าไม่เชื่อกันก็ไม่ใช่ความผิดของผม แต่ในทางส่วนตัวผมก็ยังถือว่าเราคงเป็นเพื่อนกันอยู่เสมอไป

ชีวิตของ พันตรี ควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีที่น่าจะเป็นตัวอย่างอันดีงาม ในประวัติศาสตร์ชาติไทยคนหนึ่ง ได้มาถึงจุดสิ้นสุดลงเมื่อ ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๑ เวลา ๑๖.๓๐ น. สิริรวมอายุได้ ๖๕ ปี กับ ๑๐ เดือน



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 12:34
ยังไม่มีใครออกความเห็นเรื่องข้อเขียนของคุณสุลักษณ์    ขอออกความเห็นไปก่อนพลางๆ
อ่านจากข้อเขียน ดิฉันเดาว่าน่าจะมาจากคำบอกเล่ามาจากใครสักคนหรือหลายคน   ที่คิดอย่างนี้เพราะเวลาเอ่ยถึงพลต.อ.อดุล อย่างข้อความข้างล่างนี้   ไม่มีที่มาที่ไป และรายละเอียด   มีแต่กล่าวขึ้นมาเฉยๆว่าหักหลัง  หักหลังเรื่องอะไร อย่างไร จริงหรือไม่  ก็ไม่เห็นชี้แจงแสดงเหตุผลไว้   จึงเดาว่าคงเป็นคำบอกเล่าจากผู้ที่คุณสุลักษณ์เชื่อถือ   ไม่ใช่การจากค้นคว้าหาหลักฐาน ซึ่งย่อมจะมีที่มาที่ไป ก่อนจะสรุปด้วยคำนี้ 

รัฐบาลควงขึ้นสู่อำนาจในปลายปี ๒๔๙๐ ด้วยความฉ้อฉลเท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลจอมพลป.ที่ขึ้นมาแทนที่รัฐบาลควง ก็ใช้กำลังทหารบีบเอาอย่างเลวร้ายพอๆกัน เพราะฉะนั้นอาจารย์ปรีดีจึงกรีฑาทัพมาบีบให้รัฐบาลจอมพลป.ออกจากตำแหน่ง โดยประกาศตั้งคุณดิเรก ชัยนามเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี ๒๔๙๒ หากอาจารย์ปรีดีต้องพ่ายแพ้ไปเพราะถูกหลวงสินธุ์สงครามชัย แม่ทัพเรือ หักหลัง ดังรัฐประหาร ๒๔๙๐ ท่านก็ถูกหลวงอดุลเดชจรัสร่วมกับหลวงสังวรยุทธกิจหักหลังนั้นแล โดยที่หลวงสังวรนั้นยังมาหักหลังอาจารย์ปรีดีอีกในปี ๒๔๙๒  


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 13:09
อ่านมาตั้งแต่กระทู้เก่าจนกระทู้ใหม่   มองเห็น ๒-๓ อย่าง ซึ่งขอเรียบเรียงเป็นข้อๆเพื่อให้อ่านง่าย

๑  หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ. 2475    ไทยมีระบอบรัฐสภา (ใช้คำนี้เพื่อไม่ให้สับสนกับคำว่าประชาธิปไตย)  แต่จริงๆแล้วอำนาจในการบริหารผลัดเปลี่ยนกันอยู่ในกลุ่มไม่กี่กลุ่ม    รัฐสภาเป็นส่วนประกอบทางรูปธรรม
๒    กลุ่มที่เรียกว่า "อำนาจเก่า" หมดอำนาจไปตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง  แม้แต่กบฎบวรเดชก็ไม่ใช่ว่าอำนาจเก่ายังคงอยู่ เพราะทหารส่วนใหญ่ของฝ่ายกบฎผละไปเมื่อทราบว่าพระองค์เจ้าบวรเดชทรงบัญชาการ     ในช่วง 2475-2476  เป็นการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มทหารกับทหาร   ทหารที่มีชัยคือทหารของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
๓    จาก พ.ศ. 2476-2482  เป็นการเปลี่ยนอำนาจในกลุ่มทหารผู้ก่อการฯ  คลื่นลูกใหม่คือหลวงพิบูลสงคราม ไล่คลื่นลูกเก่าคือสี่ทหารเสือออกไปจากการเมือง    และเพื่อให้สิ้นเสี้ยนหนามจริงๆก็กวาดล้างผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็น"อำนาจเก่า" ไปด้วย  ทั้งๆกลุ่มนี้ไม่มีอำนาจอะไรแล้ว
๔     จาก พ.ศ. 2482-2487  อำนาจอยู่ในกลุ่มทหารกลุ่มเดียว นำโดยจอมพลป. พิบูลสงคราม   อำนาจที่เหลือรอดมาจากกลุ่มผู้ก่อการ คืออำนาจของพลเรือน นายปรีดี พนมยงค์ ที่พยายามคานอำนาจทหารจอมพล ป. แต่ไม่สำเร็จ
๕    พ.ศ. 2487-2490   การตัดสินใจเข้าข้างญี่ปุ่นของจอมพล ป. ปรากฎผลเสียแก่ประเทศเพราะญี่ปุ่นแพ้สงคราม ทำให้อำนาจทหารลดลง  อำนาจของพลเรือนเพิ่มมากขึ้น เพราะเสรีไทยเป็นตัวหนุน     บทบาทของพลเรือนหลายคนจึงโดดเด่นขึ้นมา จนได้บริหารประเทศ ในช่วงสั้นๆ  แต่พลเรือนก็มีปัญหาระหว่างกันเอง ทำให้การบริหารไม่ราบรื่น
๖   พ.ศ. 2492  เกิดการหักโค่นกันระหว่างทหารกับพลเรือน เรียกว่ากบฎวังหลวง     พลเรือนคือนายปรีดี พนมยงค์ มีผู้นำพรรคการเมืองแนวสังคมนิยม (พรรคสหชีพ)หนุนหลัง พร้อมกับกองทัพเรือ    แต่ฝ่ายทหารคือกองทัพบก ที่ยังอยู่ฝ่ายจอมพล ป.  แข็งแกร่งกว่า จึงเป็นฝ่ายมีชัยชนะ
๗    จากนั้น อำนาจทหารบกก็ยืนยาวมาจนถึงพ.ศ. 2514  แม้มีการเปลี่ยนตัวผู้นำจากจอมพลป. เป็นจอมพลสฤษดิ์  เมื่อรัฐประหารพ.ศ. 2500  อำนาจก็ยังคงเดิม    เรื่อยมาจนจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2506   อำนาจทหารก็ยังดำรงอยู่ในสมัยจอมพลถนอม-จอมพลประภาส ผู้สืบทอดการบริหารประเทศ   จนมาจบลงเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 จากขบวนการนิสิตนักศึกษา ซึ่งหันไปยึดแนวสังคมนิยมเป็นหลัก

ระบอบรัฐสภามีๆขาดๆมาตลอดตั้งแต่พ.ศ. 2475   บางช่วงเมื่อเจออำนาจเด็ดขาดเข้าก็หายไปชั่วขณะ  แต่ก็กลับมาอีก  พร้อมกับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่หลายครั้งด้วยกัน
จนทุกวันนี้  เราก็ยังเถียงกันอยู่ไม่จบเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ก็คงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: yanang ที่ 23 ก.ค. 10, 13:20
ยังเข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอนะคะอาจารย์ ยิ่งเรียนยิ่งสนุก สังเกตุว่า
ความจริงเหตุการณ์ทางการเมืองปัจจุบันนี้  ถ้าได้ศึกษาเรียนรู้ จากอดีตแล้ว คล้ายดูหนังเรื่องเดิม ๆ แต่เปลี่ยนตัวแสดง กับองค์ประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามสภาวะเวลาและสิ่งแวดล้อมเท่านั้นเองนะคะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 13:42
ดิฉันก็รู้สึกเหมือนคุณย่านางละค่ะ    บางทีถ้าเรารู้อดีต รู้ที่ไปที่มาของประวัติศาสตร์การเมือง เราอาจจะทำนายอนาคตได้ไม่ยากนัก   หรืออย่างน้อยเมื่อเกิดอะไรขึ้นก็จะเข้าใจว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้    เพราะมีตัวอย่างให้เห็นคล้ายคลึงกันมาแล้ว ในอดีต

ยิ่งอ่านเกี่ยวกับการเมือง ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรหลายอย่างที่ทำความเข้าใจด้วยตรรกวิทยาไม่ได้  แต่ถ้าบอกว่าเอาดวง หรือโชค หรือเฮง มาจับ น่าจะได้คำตอบง่ายขึ้น
จอมพล ป.พิบูลสงครามได้ฉายาว่า "นายกกระดูกเหล็ก" มีหลายครั้งที่ท่านทำท่าเหมือนจะชะตาขาด  เหมือนจะสิ้นอำนาจ  เหมือนจะไปไม่รอด  ถ้าเป็นคนอื่นเจอเข้าแบบนี้แม้แต่หนึ่งในสิบ  ก็ไม่รอดกันทั้งนั้น
แต่ท่านรอด อย่างเหลือเชื่อ    แม้บั้นปลายชีวิต ก็จบลงอย่างสงบด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามอายุสังขาร

และที่เหมือนกันอีกอย่าง   คือผู้นำหลายท่านที่เกี่ยวข้องกับการเมืองตั้งแต่พ.ศ. 2475  แม้ต่างกรรมต่างวาระ  ล้วนไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ต่างประเทศ  บางท่านก็ยาวนานจนถึงแก่กรรมในต่างประเทศนั้นเอง
-พระยาทรงสุรเดช
-นายปรีดี พนมยงค์
-จอมพล ป.พิบูลสงคราม
แต่บางท่านก็ใช้ชีวิตต่างแดนชั่วระยะหนึ่ง แล้วได้กลับมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนจนถึงแก่กรรม
- พระยาพหลฯ
- พระยาฤทธิ์อัคเนย์
- พระประศาสตร์พิทยายุทธ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 23 ก.ค. 10, 14:11
ตามไล่อ่านจนจบบทเรียน คำว่า ในวงการเมือง ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร คงใช้ได้อยู่เสมอเลยนะคะ
ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน.....

แต่ยังเข้าห้องเรียนที่อาจารย์ยังคงกรุณาเข้ามาให้ความรู้เพิ่มเติมอีกนะคะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 14:21
อ้างถึง
ไม่อยากสอนสังฆราชให้ว่ายน้ำ หรือสอนจระเข้ให้อ่านหนังสือ เลยละค่ะ  แต่หลักการเขียน เขาสอนไว้ว่าเมื่อถึงไคลแมกซ์แล้ว  อย่าเพิ่งปุบปับจบ  ต้องแลนดิ้งต่อไปอีกหน่อย 
ร่อนลงรันเวย์จนถึงจอดสนิท ผู้โดยสารทยอยกันลงบันไดเครื่อง  กัปตันก้าวลงมาสู่สายตาคนดู โปรยยิ้มให้  แล้วค่อยจบ  คนดูได้ไม่ค้างคาใจ
กระทู้นี้ยังต่อได้อีกพักใหญ่ค่ะ

เอาครับเอา แลนดิ้งก็แลนดิ้งครับ ไม่ให้เวลาจรเข้ไปฉันเพลบ้างเลยหรืออย่างไร

ตอนที่ศาลอาชญากรสงครามเกิดล็อกถล่ม จอมพล ป.หลุดคดีออกมาได้เพราะศาลฎีกาตัดสินให้พระราชบัญญัติอาชญากรไม่มีผลบังคับย้อนหลัง ก็ยอมแพ้ชั่วคราว ออกไปพักยกหลังเวทีที่บ้านลำลูกกา หลบหน้าหลบตาผู้คน

ส่วนการเมืองนั้น ต่อมาเมื่อม.ร.ว.เสนีย์แพ้ทางส.ส.ฝ่ายนายปรีดี  ต้องประกาศยุบสภาให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ ม.ร.ว.เสนีย์ก็ร่วมกับม.ร.ว.คึกฤทธิ์น้องชาย และนายควง จัดตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่ฝ่ายผู้ใกล้ชิดนายปรีดีซึ่งลาออกจากผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว ได้ตั้งพรรคสหชีพ ต่อสู้กันทางการเมืองอย่างเปิดเผย ทั้งในและนอกเวทีต่อไป

การเมืองไทยเป็นเกมแห่งการชิงอำนาจอย่างโสมม ผู้ได้อำนาจก็จะถูกผู้ชิงอำนาจใช้ทุกวิถีทางที่จะโค่นล้ม โดยไม่เลือกกาละเทศะใดๆ ภายในระยะเวลา1ปี10เดือน รัฐบาลประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีที่เรียกว่าประชาธิปไตยนี้แหละถึง 8ครั้ง ใช้นายกรัฐมนตรีไป 5 คน

นายทวี บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ 31 สิงหาคม  2488 อยู่ในตำแหน่ง18วัน ก็ลาออกเพื่อความเหมาะสม

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ 17 กันยายน 2488 อยู่ในตำแหน่ง4เดือน14วัน ก็ประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะเกิดความขัดแย้งกับนายปรีดีที่กุมเสียงส.ส.ไว้จำนวนมาก เรื่องก็สืบเนื่องมาจากขบวนการเสรีไทยที่ยังไม่อยากจะจบบทบาท แถมขยายไปหนุนลาวและญวนกู้ชาติ โดยขบวนการที่ว่าทั้งสองฝักไฝ่คอมมิวนิสต์ อีกเรื่องหนึ่งคืออำนาจในการต่อรองกับอังกฤษ ตรงนี้อาจเป็นแนวถนัดที่อังกฤษต้องการแบ่งแยกบุคคลทั้งสองเพื่อต่อรองผลประโยชน์ที่จะเรียกเอา โดยไม่ยอมรับรองรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ อ้างว่ายังไม่ได้ตกลงยกเลิกสถานะสงครามที่ทั้งสองประเทศประกาศต่อกันอยู่ จนกว่าจะยอมรับเงื่อนไขที่อังกฤษกำหนด และเลือกที่จะติดต่อไทยผ่านสถาบันพระมหากษัตริย์อันมีนายปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น เรื่องนี้บานปลายจนทำให้ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นศัตรูทางการเมืองกันไปเลย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 14:26
นายควง อภัยวงศ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่2 หลังการเลือกตั้ง  ดำรงตำแหน่งในวันที่ 31 มกราคม 2489 ด้วยการชนะการลงคะแนนเสียงในสภาแข่งกับนายดิเรก ชัยนาม แต่รัฐบาลมีเสียงใหญ่ไม่จริง อยู่ได้เพียง1เดือนกับอีกประมาณ20วันก็วอร์คเอ้าท์จากสภาขอลาออก เพราะแพ้การลงมติรับรองพระราชบัญญัติชื่อยาวเหยียดว่า พ.ร.บ.คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการครองชีพของประชาชนในภาวะคับขัน ซึ่งส.ส.อิสานพรรคฝ่ายค้านเสนอเข้าสภาแล้วโหวตชนะ นายควงบอกว่าไม่มีความสามารถจะปฏิบัติตามได้


นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับการเสนอชื่อจากสภาให้ดำรงตำแหน่งแทนเมื่อวันที่24 มีนาคม 2489 อยู่ในตำแหน่งเพียง1เดือนกับอีก 14 วัน ก็ลาออกเพราะประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยกร่างเพิ่งผ่านการรับรอง ต้องเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ นายปรีดีได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเป็นสมัยที่2 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2489 ซึ่งในสมัยนี้ พระราชบัญญัติชื่อยาวเหยียดที่กล่าวมาแล้วได้ถูกตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาแปรญัตติ แล้วเสนอเข้าสภาเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ประกาศใช้ เมื่อถึงวาระพิจารณา สภาได้ลงมติให้ยกเรื่องอื่นมาปรึกษาก่อน แล้วทำเป็นยาว ปล่อยให้พ.ร.บ.ฉบับนี้แท้งค์ไปเฉยๆ เป็นอันที่เข้าใจได้ว่าการที่สภาให้การรับรองพ.ร.บ.ในครั้งแรกก็เพื่อจะล้มรัฐบาลนายควงนั่นเอง

รัฐบาลนี้มียังไม่ได้แสดงฝีมือในการแก้ไขปัญหาการครองชีพและเงินเฟ้ออย่างเป็นรูปธรรม แต่มีการดำเนินนโยบายต่างประเทศในการสนับสนุนขบวนการลาวอิสระให้ต่อสู้กับผรั่งเศส ทั้งการให้ที่หลบภัยและฝึกอาวุธ โดยมีนายเตียง ศิริขันธ์ที่คุณเพ็ญชมพูเอาเรื่องมาลงไว้แล้วเป็นผู้ประสานนโยบาย ซึ่งนายเตียงได้มอบให้นายครอง จินดาวงศ์เป็นผู้ฝึกอาวุธให้ ท่านหลังนี้สิบกว่าปีให้หลังได้ถูกจอมพลสฤษดิ์กล่าวหาว่าเป็นกบฏผีบุญแบ่งแยกดินแดน และจับยิงเป้าในที่ชุมชน เป็นจุดลุกลามไปสู่วันเสียงปืนแตกในอิสานต่อมา

ในญวนนั้น ผมได้เกริ่นไปแล้วว่ามีการมอบอาวุธให้โฮจิมินท์ บิดาแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ลาวไปจัดตั้งกองพันทหารต่อสู้ในสงครามปลดปล่อยกับฝรั่งเศส ที่ในที่สุดแตกพ่ายยับเยินต้องหนีตายออกจากอินโดจีน และดึงอเมริกามารับหน้าเสื่อในการต่อต้านอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ทั้งสายจีนสายรัสเซียในภูมิภาคแถบนี้แทน เป็นเรื่องอีกยาวหลายทศวรรษ

เพียงเวลาแค่2วันหลังได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีป็นครั้งที่2 นายปรีดีก็ต้องประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตในเช้าวันที่ 9 มิถุนายน  2489 สภาได้ทำการเลือกนายกคนใหม่ในวันที่ 11 มิถุนายน  2489ซึ่งนายปรีดีได้รับเลือกให้กลับเข้าดำรงตำแหน่ง ถือเป็นสมัยที่3

การเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายปรีดีเป็นทุกขลาภโดยแท้ ผ่านไป2เดือนกับ 12 วันยังไม่มีโอกาสทำงานให้เป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า การเสด็จสวรรคตเป็นเรื่องใหญ่ที่ฝ่ายค้านจะปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่กัดแทะไม่ได้ วิสัยนักการเมืองไทยต้องคอยจ้องหาทุกโอกาสที่จะโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อพรรคอะไรในตอนนี้ เดี๋ยวจะหาว่าผมชักใยจัญไรมาโยงกับการเมืองในปัจจุบัน แต่ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วหละว่ามีคนไปตะโกนประโยคอุบาทว์ในโรงหนังว่าอย่างไร

ในที่สุดนายปรีดีทนกระแสต้านที่ระดมพุ่งเป้ามายังตนไม่ได้ก็ประกาศลาออก



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 14:35
พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ พรรคเดียวกับนายปรีดีได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีแทนในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ได้ฉายาว่านายกลิ้นทอง เพราะเจรจาโต้วาทีเก่ง คนได้ฟังก็เคลิบเคลิ้ม มีเวลาบริหารราชการแผ่นดินยาวนานกว่าเพื่อนอยู่ปีกว่า แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างถูกจุด พรรคประชาธิปัตย์แกนนำฝ่ายค้านในสภาก็หาเรื่องขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และขอให้ถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงด้วย พอรัฐบาลไม่ขัดข้อง การพูดมาราธอน7วัน7คืนก็บังเกิดขึ้น ชาวบ้านฟังกันหูบวมตาแฉะเพราะอดหลับอดนอน พอจบนายกลิ้นทองก็กล่อมสภาอยู่หมัด รัฐบาลชนะโหวตได้อยู่ในตำแหน่งต่อ ชาวบ้านก็ยากจนเหมือนเดิม

ตรงนี้แหละครับที่เข้าล็อคของเหตุผลคลาสสิกที่ทหารใช้เป็นข้ออ้างตลอดว่า ผู้แทนราษฎรเอาแต่ทะเลาะกํน ไม่อาจแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและชาติบ้านเมืองได้ จึงจำเป็นต้องกระทำการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเพื่อแก้ไขสถานการณ์อันเลวร้ายมิให้ตกต่ำลง พลโทผิน ชุณหวันได้นำคณะทหารพร้อมกำลังอาวุธ เข้าควบคุมสถานที่สำคัญทุกจุดในคืนวันที่8 พฤศจิกายน 2490

นายกกำลังอยู่ในงานราตรีสโมสรที่จัดขึ้นที่ศาลาข้างสระน้ำ สวนอัมพร มีคนมากระซิบว่าทหารเคลื่อนกำลังมาแล้ว และกำลังมุ่งมาจับท่าน จึงขอตัวเข้าห้องน้ำแล้วชะแวปตัวไปขึ้นรถยนต์หายไปกับความมืด คืนนั้นบรรดาไฮโซข้างฟรอร์ต้องแตกตื่น ตอนแรกคิดว่าเป็นรายการแสดงพิเศษเมื่อร้อยโทชาติชาย ชุณหวันขี่ม้าขึ้นไปบนเวทีลีลาศ แล้วประกาศให้ทุกคนกลับบ้าน งานเลิกแล้ว เพราะทหารกำลังปฏิวัติกัน น้าชาติซะอย่าง ซ่าส์มาตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว

และคราวตัวเอง ก็โดนจี้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ขึ้นเครื่องบินเพื่อลี้ภัย และไปตายที่เมืองนอกเหมือนกัน ...อมิตตพุทธ



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 23 ก.ค. 10, 14:52
อ่านถึงบทโศกตอนชายชาติทหารอย่าง พณฯ จอมพล ป. ถูกขืนใจให้เซ็นประหารคนไม่มีความผิดในข้อหากบถแล้วน้ำตาแทบไหล

อยากถามต่อไปว่าแล้วตอนกลุ่ม สส. พรรคสหชีพ สี่เสืออีสานโดนฆ่า หลวงอดุลฯ ก็ตายไปแล้ว ไม่ทราบว่าใครผู้ใดบังอาจบังคับขืนใจท่านอีก

อ้อ... ลืมไป นั่นฝีมือ ขจก.หลงถิ่น ผมเลอะเลือนไปเอง ขออภัยด้วยครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 23 ก.ค. 10, 14:56
อ่านถึงบทโศกตอนชายชาติทหารอย่าง พณฯ จอมพล ป. ถูกขืนใจให้เซ็นประหารคนไม่มีความผิดในข้อหากบถแล้วน้ำตาแทบไหล

อยากถามต่อไปว่าแล้วตอนกลุ่ม สส. พรรคสหชีพ สี่เสืออีสานโดนฆ่า หลวงอดุลฯ ก็ตายไปแล้ว ไม่ทราบว่าใครผู้ใดบังอาจบังคับขืนใจท่านอีก

อ้อ... ลืมไป นั่นฝีมือ ขจก.หลงถิ่น ผมเลอะเลือนไปเอง ขออภัยด้วยครับ

 ;D ชอบใจจังเลยค่ะ ตรงกับใจคิดเลยค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 15:29

รัฐบาลนี้มียังไม่ได้แสดงฝีมือในการแก้ไขปัญหาการครองชีพและเงินเฟ้ออย่างเป็นรูปธรรม แต่มีการดำเนินนโยบายต่างประเทศในการสนับสนุนขบวนการลาวอิสระให้ต่อสู้กับผรั่งเศส ทั้งการให้ที่หลบภัยและฝึกอาวุธ โดยมีนายเตียง ศิริขันธ์ที่คุณเพ็ญชมพูเอาเรื่องมาลงไว้แล้วเป็นผู้ประสานนโยบาย ซึ่งนายเตียงได้มอบให้นายครอง จินดาวงศ์เป็นผู้ฝึกอาวุธให้ ท่านหลังนี้สิบกว่าปีให้หลังได้ถูกจอมพลสฤษดิ์กล่าวหาว่าเป็นกบฏผีบุญแบ่งแยกดินแดน และจับยิงเป้าในที่ชุมชน เป็นจุดลุกลามไปสู่วันเสียงปืนแตกในอิสานต่อมา

ขอแยกเลี้ยวเข้าซอย "วันเสียงปืนแตก"

วันเสียงปืนแตกคือวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๘  ผ่านพ้นสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ถึงสมัยของจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์
จอมพลสฤษดิ์มีนโยบายปราบปรามผู้เป็นปรปักษ์กับรัฐบาล และผู้สร้างความเดือดร้อนให้บ้านเมือง อย่างเฉียบขาด
ข้อหาคอมมิวนิสต์เป็นข้อหาที่ตั้งกันแพร่หลายสำหรับผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐ   รวมทั้งผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับจอมพลสฤษดิ์เอง 
แม้ว่าไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์   แต่เมื่อไม่มีทางเลือกจะอยู่นอกคุกได้   พวกนี้ก็ต้องหนีเข้าป่าแล้วไปรวมอยู่กับกองกำลังที่ต่อต้านรัฐบาลในสมัยนั้น
หนึ่งในจำนวนนั้นคือพ.ท.พโยม จุลานนท์

แต่ถ้าถามว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีไหม ขอตอบว่ามีจริง และทำงานกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันด้วย   เริ่มมาตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๘๕ 
อ่านได้ที่นี่ค่ะ
http://politicalbase.in.th/index.php/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2
บางทีทางการก็เอาสังคมนิยมไปปนกับคอมมิวนิสต์   แต่บางทีทั้งสองอย่างนี้ก็ปนกันจริงๆในบางช่วงของประวัติศาสตร์

ส่วนวันเสียงปืนแตก คือวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508  ซึ่งเป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาล ไทยเป็นครั้งแรก กองกำลังของพรรคได้เรียกตนเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ทั้งนี้ได้ประกาศยุทธศาสตร์"ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมือง" หลังจากวันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองกำลังของรัฐบาลไทยมา ตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 มีการเจรจากับรัฐบาลไทย เลิกต่อสู้กันด้วยอาวุธ ให้มาต่อสู้กันทางรัฐสภาแทน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 18:03
ว่ากันว่า จอมพลป.ตอนตกเป็นจำเลยในคดีอาชญากรสงครามนั้น ถูกส่งไป “ติดคุก”ที่สันติบาล ให้อยู่ในห้องเดียวกับที่นายวณิช ผูกคอตาย ตอนนั้นพล.ต.อ.อดุล ไม่ว่างมาเยี่ยมเลย เพราะมีงานหลักคือต้องไปให้การในศาล

เมื่อป๋าผินจะปฏิวัติ ได้ไปหยั่งเสียงจอมพล ป.ที่บ้านลำลูกกา ยังพูดไม่ทันจบจอมพล ป.ก็หัวเสียขึ้นมาทันที หาว่าป๋าผินจะชวนท่านไปติดคุกอีก ครั้งที่สองเอาต้นกล้วยไม้ไปให้ แล้วช่วยกันปลูก ระหว่างนั้นก็เกลี้ยกล่อมไปด้วยจนจอมพลป.ชักเคลิ้ม พูดอ่อนๆว่าชาติไม่ใช่ของเราคนเดียว ครั้งที่สามไปบอกว่า ได้คุยกับนายทหารประจำการที่กุมกำลังหมดแล้ว รอท่านพยักหน้าเท่านั้น ท่านก็นิ่งแล้วเดินขึ้นบ้านไปทันที เล่นเอาป๋าเด๋อไป แต่พอจะกลับออกจากบ้าน ท่านผู้หญิงก็รีบเดินมายึดแขนไว้แล้วบอกว่า ป๋าจะทำอะไรก็ทำไปเถิด ท่านไม่ทิ้งดอกเล่นตัวไปยังงั้นเอง แล้วมาทราบจากเผ่าอีกว่า ท่านเป็นคนที่อยากจะได้อะไรก็จะไม่พูดตรงๆ วนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ป๋าผินทราบว่าจอมพล ป.จะเอาด้วยแน่ ก็ตัดสินใจกระทำการ

ส่วนใหญ่ของทหารที่เต็มใจร่วมปฏิวัติครั้งนี้เพราะมีความรู้สึกว่าถูกหมิ่นเกียรติมานานแล้ว สงครามอินโดจีนที่รบกับฝรั่งเศสก็ดี หรือการขึ้นไปรบที่เมืองเชียงตุงแล้วเข้าครอบครองได้ทั้งๆที่ในประวัติศาสตร์รัชกาลที่สี่ ทัพไทยยกไปรบแล้วต้องพ่ายกลับมาถึง2ครั้งจนฝ่อไม่อยากคิดจะไปรบอีก จึงเป็นเกียรติประวัติที่ทหารภูมิใจ การที่จอมพล ป.ต้องคดีอาชญากรสงครามเท่ากับประกาศว่า ทั้งสองเรื่องที่ทำไปนั้นผิด ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และแม่ทัพนายกองที่เสียสละเพื่อชาติถูกนำไปจำคุกเยี่ยงโจร รอการตัดสินประหาร และเมื่อสิ้นสุดสงคราม รัฐบาลมิได้ดูแลไพร่พลที่ไปรบ ทั้งนายทั้งพลทหารต้องเดินย่ำต็อกนับไม้หมอนกลับบ้าน ขอข้าวชาวบ้านกินประทังท้องมาตลอดทาง

ส่วนเสรีไทยนั้นเล่า ก็ทำท่ายืดว่าเป็นผู้กู้ชาติ หนังสือพิมพ์บางฉบับก็สดุดีวีรกรรมที่ยังไม่ได้ลั่นกระสุนใส่ศัตรูสักโป้ง ด้วยการทับถมทหารว่าตั้งมาแล้วตั้ง50ปี ยังทำประโยชน์ได้ไม่เท่ากับเสรีไทยที่ตั้งมาเพียง2ปี เรื่องอันเนื่องมาจากเสรีไทยนี้ฝ่ายจอมพล ป.ดูเหมือนจะเขม่นผู้ที่ห้อมล้อมนายปรีดีมาก แล้วลามไปถึงลูกพี่ด้วย

นายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกปลดถูกย้ายคราวนายควงปลดผู้บัญชาการทหารสูงสุด ล้วนยังมีอิทธิพลเหนือลูกน้องเก่าที่ประจำการ เมื่อได้รับคำรับรองจากจอมพล ป.ว่าเอาด้วย ความเป็นเอกภาพจึงเกิดขึ้น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 18:11
สมัยรัฐบาลพล.ร.ต.ถวัลย์นั้น พล.ต.อ.อดุลได้ย้ายจากอธิบดีตำรวจไปเป็นผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.ต.ถวัลย์แต่งตั้งให้พล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพ(หลวงสังวรยุทธกิจ)เป็นอธิบดีตำรวจแทน นายตำรวจสันติบาลมือดีของพล.อ.อดุลก็ดมกลิ่นทหารจะก่อปฏิวัติมาได้ แล้วรายงานตรงยังอธิบดี แต่พล.ร.ต.สังวรกล่าวกับลูกน้องในเชิงว่า เรามันเป็นข้าราชการประจำ ทหารเขาจะเปลี่ยนตัวพวกนักการเมือง เราก็ไม่เกี่ยว จะเปลี่ยนกี่รัฐบาลเราก็ข้าราชการประจำอยู่นั่นเอง เรื่อยไปจนถึง ประชาชนเกลียดรัฐบาล หนังสือพิมพ์ด่าแม่อยู่เรื่อย ถ้าเรารบกับทหารเพื่อป้องกันรัฐบาล จะหาความนิยมจากประชาชนได้อย่างไร

ดังนั้นพล.อ.อดุล ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจึงได้ทราบเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

ก่อนหน้าปฏิวัติประมาณสามเดือน มีงานสังคมสวมหน้ากากงานหนึ่ง เปล่าครับ ไม่ใส่งานบันเทิงที่ต้องแต่งแฟนซีสวมหน้ากากอย่างที่ท่านเคยเห็นในละครทีวีหร็อก แต่เป็นงานพระราชทานเพลิงศพพระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตหัวหน้าคณะราษฎร จึงมีพวกผู้ใหญ่ๆที่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่องนี้ไปกันครบ ต่างฝ่ายต่างทักทายกันสนิทสนม ทั้งที่ข่าวลือเรื่องทหารจะปฏิวัติหึ่งไปหมด ทุกคนก็ซ่อนใบหน้าอันแท้จริงไว้ภายใต้หน้ากากเปื้อนรอยยิ้มจอมปลอม ที่เสแสร้งให้ดูจริงใจ ปากก็พล่ามคำพูดที่ฟังดูดี มีความสนิทสนม และมิตรภาพ หลังจากนั้น จอมพล ป.ก็ได้เจอกับพล.ร.ต.ถวัลย์อีกในงานเลี้ยงที่บ้านของขุนนิรันดรชัย เศรษฐีที่ดินรายใหญ่ จอมพล ป.ถามหยั่งเชิงว่า ท่านทราบข่าวมาว่าทหารจะปฏิวัติ แล้วนายกทราบบ้างหรือเปล่า พล.ร.ต.ถวัลย์ตอบว่าทราบอยู่เหมือนกัน กำลังคิดจะลาออกอยู่พอดี อาจจะเป็นหลังวันที่11พฤศจิกายนให้ลงนามแก้ไขสนธิสํญญาที่ทำกับอังกฤษเสร็จก่อน

การหยั่งเชิงกันเช่นนี้ มีผลทำให้เกิดปฏิวัติขึ้นจริงๆในสามวันต่อมา


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 18:14
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะปฏิวัติ สามผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายรัฐบาลทั้งสามอันได้แก่ นายปรีดี  พล.อ.อดุล และพล.ร.ต.ถวัลย์ ได้นั่งประชุมกันที่ศาลาท่าน้ำเจ้าพระยาหน้าทำเนียบท่าช้างวังหน้า ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกพล.อ.อดุลยืนยันหนักแน่นว่า ทหารจะไม่ปฏิวัติ อย่างไรก็ดีทั้งสามตกลงกันว่า เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ ก็จะให้พล.ร.ต.ถวัลย์ลาออก เพื่อให้พล.อ.อดุลเป็นนายกแทน หลังจากนั้นพล.ร.ต.ถวัลย์ขอตัวไปงานราตรีสโมสรที่สวนอัมพร

แต่เดิมนั้นป๋าผินได้ให้โหรการเมืองผูกดวงปฏิวัติ กำหนดโจโรฤกษ์ 05.00น.ของวันที่ 8 พฤศจิกายน  เป็นเวลาลงมือปฏิบัติการ แต่พอในช่วงก่อนค่ำ นายทหารคนหนึ่งมาบอกว่า พล.อ.อดุล รู้เรื่องปฏิวัติแล้ว และเตรียมการจะลงมือจับทุกคนในเวลา04.00น.

เมื่อได้ฟังป๋าผินก็เย็นวาบ เขียนบันทึกตอนนี้ว่า “ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว เพราะผู้บัญชาการทหารบกผู้นี้ เมื่อครั้งเป็นอธิบดีตำรวจได้จับพวกกบฏไปฟ้องศาล ถูกประหารชีวิตไปแล้ว18คน” แต่เมื่อง้างนกแล้วก็ต้องยิง ท่านตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า และเลื่อนกำหนดจากตีห้ามาเป็นสามทุ่ม ประชุมครั้งสุดท้ายก็จัดกำลังแยกย้ายกันไปจับบุคคลสำคัญ3คน คือนายปรีดี พล.ร.ต.ถวัลย์ และพล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพเป็นอธิบดีตำรวจ

แต่ไม่ได้มีคำสั่งจับกุมพล.อ.อดุลด้วย เพราะทราบอยู่ว่าพล.อ.อดุลอยู่ที่ใด ถ้าจะไปจับก็ต้องยิงกันเละไปข้างใดข้างหนึ่ง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 18:21
ทหารที่ไปถึงทำเนียบท่าช้าง ไม่ฟังอิร้าค่าอิรม ระดมปืนใส่ประตูจนพรุนไปหมดทั้งบาน แล้วเอารถถังลุยเข้าไป ทหารทั้งนั้นก็แยกย้ายกันไปค้นหานายปรีดีในทุกซอกทุกมุม ท่านผู้หญิงพูนศุกท่านรออยู่ที่ชั้นบนด้วยอาการสงบ พันโทก้าน จำนงภูมิเวชพยายามจะคาดคั้นให้ได้ว่านายปรีดีไปไหน ท่านผู้หญิงเพียงแต่ตอบว่า “ท่านไปแล้ว ไม่ทราบว่าไปที่ไหน”

เมื่อเวลาห้าทุ่มเศษก่อนหน้านั้น ตำรวจอารักขาได้แจ้งท่าน มีคนรายงานเข้ามาว่าเห็นรถถังออกมาวิ่งหลายคัน นายปรีดีรีบโทรศัพท์ถึงพล.อ.อดุล แต่สายโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว จากประสพการณ์ท่านรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป จึงลงมาที่ท่าน้ำ เรียกเรือจ้างมาลำหนึ่ง แล้วพากันลงเรือแจวออกไปลอยลำกลางแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าทำเนียบ พอดีได้ยินเสียงรถถังและเสียงปืนกลหูดับตับไหม้ ท่านให้แจวเรือขึ้นเหนือล่องใต้ถามข่าวไปเรื่อยๆ จนใกล้รุ่ง จึงให้เรือไปส่งที่กองบังคับการเรือรบท่าราชวรดิษฐ์ ที่นั่นท่านได้พบกับพล.ร.ต.ถวัลย์ และพล.ร.ต.สังวรที่หนีมาหลบภัยอยู่ที่นั่นเหมือนกัน

และด้วยความช่วยเหลือของผู้บัญชาการทหารเรือ ทั้งสามท่านจึงได้เดินทางไปถึงสัตหีบโดยปลอดภัย

เช้าวันนั้นคณะปฏิวัติออกแถลงการณฉบับที่3 ความว่า


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 18:27
พล.อ.อดุลนั้น จากที่คณะปฏิวัติแถลงฟังเหมือนว่าได้ตกลงที่จะร่วมด้วย อาจเป็นไปได้อย่างนั้น แต่หลังจากตกลงกันได้ที่ทำเนียบท่าช้างแล้วว่า พล.ร.ต.ถวัลย์จะยอมลาออกและตนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน จึงพยายามกลับเข้ามาคุยกับพวกทหารเพื่อระงับมิให้ปฏิวัติ แต่ช้าไปเสียแล้ว ป๋าผินทราบเรื่องตั้งแต่ประชุมเสร็จ จึงเปลี่ยนเวลากระทำการ พล.อ.อดุลเห็นผิดแผนจึงถอยตนกลับไปอยู่ที่กองพันที่1 กรมทหารราบที่11 บางซื่อ

คณะปฏิวัติจึงแก้เกมด้วยการออกแถลงการณ์ฉบับที่3ดังกล่าว

พร้อมกันคณะปฏิวัติก็ส่งทหารกองหนึ่ง ไปตั้งประจันหน้ากันที่สพานเกษะโกมล ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเจรจา พล.อ.อดุลยอมรับข้อเสนอ ดังนั้นคณะปฏิวัติจึงออกแถลงการณ์อีกฉบับหนึ่ง คราวนี้ลงนามโดยจอมพล ป.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 18:40
ตรงนี้ถือเป็นชัยชนะแล้วโดยสมบูรณ์  พลโทผินจึงเปิดแถลงข่าวของคณะปฏิวัติที่หน้ากระทรวงกลาโหม ขณะกำลังแถลงข่าว ได้ยินเสียงไชโยโห่ร้อง เห็นทหารแบกจอมพล ป.ขึ้นบ่าห้อมล้อมกันเข้ามาในบ.ก.ปฏิวัติ พลโทผินก็ผลุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ปราดเข้าไปก้มลงกราบจอมพล ป.ต่อหน้าประชาชี พร้อมกับร้องเรียกเพื่อนนายทหารทั้งหลายว่า
"พวกเรามากราบท่านจอมพลกันเร้ว เราจากท่านมานานแล้ว ต่อไปนี้เราจะไม่มีวันจากท่านอีก"

จอมพล ป. ชนะอีกแล้ว
พล.อ.อดุล แพ้

ข้อตกลงฐานปรานีที่พล.อ.อดุลได้รับ จากการยินยอมยุติบทบาททางการเมืองโดยสิ้นเชิง ด้วยการลาออกจากผู้บัญชาการทหารบก ให้จอมพล ป.กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน ก็คือ ได้รับตำแหน่งใหม่เป็นอภิรัฐมนตรี หรือที่ในปัจจุบัน เรียกว่าองคมนตรี เนื่องจากไม่มีเงินมีทองเพราะโกงไม่เป็น ทางราชการจะสร้างบ้านประจำตำแหน่งให้พล.อ.อดุลอยู่ในวังปารุสกวันจนถึงที่สุดแห่งชีวิต



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 19:15
เคยสงสัยมานานแล้วว่าหลังจากพลต.อ.อดุลไปกระตุกหนวดเสือ  ด้วยการเป็นพยานปรักปรำจอมพลป.พิบูลสงครามคดีอาชญากรสงคราม  ท่านได้รับผลอย่างใด
อ่านจากประวัติ พบเพียงสั้นๆว่าท่านก็ใช้ชีวิตหลังเกษียณเช่นผู้สูงวัยทั้งหลาย   ประชาชนที่สัญจรไปมาแถวพระบรมรูปทรงม้า  จะเห็นชายสูงวัยคนหนึ่งเดินออกจากวังปารุสกวัน  ไปเดินเล่นอยู่แถวนั้น   บางครั้งก็ยืนมองยอดโดมของพระที่นั่งอนันตสมาคมเหมือนคิดอะไรอยู่     ก่อนจะกลับบ้านในที่ราชการสร้างให้ในบริเวณวังปารุสก์   เป็นอยู่อย่างนี้จนจากไปเมื่อพ.ศ. ๒๕๑๒

มารู้จากคุณนวรัตนไขปริศนาตอนจบให้ฟังว่า  เราก็เกือบจะได้นายกรัฐมนตรีชื่อพลเอกอดุล อดุลเดชจรัสแล้วอย่างหวุดหวิด    ถ้าจอมพลผินเข้าข้างท่าน 
นับว่าชีวิตท่าน มีสีสันยิ่งกว่าหนังฮอลลีวู้ดเสียอีก  ยากจะหาใครเทียบเทียมได้  เว้นแต่จอมพลป.เท่านั้น

น่าสังเกตว่า จอมพลป. ไม่แตะท่านเลย     เมื่อท่านตกลงล้างมือจากราชการและการเมืองแล้วก็เป็นอันว่าจบไป   บั้นปลายชีวิตก็อยู่โดยไม่มีใครรบกวน   โจรจีนมลายูที่เคยรังควานนักการเมืองอยู่ในสมัยหนึ่งก็ไม่เคยเยี่ยมกรายเข้ามา     นับว่าท่านก็เป็นคนมีบุญมากทีเดียว

สงสัยเล็กๆอีกข้อเดียว  ทำไมจอมพลผิน ชุณหะวันรวบรวมทหารปฏิวัติได้แล้ว  ไม่เป็นผู้นำเสียเอง  กลับไปเกลี้ยกล่อมจอมพลป.อยู่ตั้งสองพักสามพัก


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 19:26

รัฐบาลควงขึ้นสู่อำนาจในปลายปี ๒๔๙๐ ด้วยความฉ้อฉลเท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลจอมพลป.ที่ขึ้นมาแทนที่รัฐบาลควง ก็ใช้กำลังทหารบีบเอาอย่างเลวร้ายพอๆกัน เพราะฉะนั้นอาจารย์ปรีดีจึงกรีฑาทัพมาบีบให้รัฐบาลจอมพลป.ออกจากตำแหน่ง โดยประกาศตั้งคุณดิเรก ชัยนามเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี ๒๔๙๒ หากอาจารย์ปรีดีต้องพ่ายแพ้ไปเพราะถูกหลวงสินธุ์สงครามชัย แม่ทัพเรือ หักหลัง ดังรัฐประหาร ๒๔๙๐ ท่านก็ถูกหลวงอดุลเดชจรัสร่วมกับหลวงสังวรยุทธกิจหักหลังนั้นแล  โดยที่หลวงสังวรนั้นยังมาหักหลังอาจารย์ปรีดีอีกในปี ๒๔๙๒

http://www.sulak-sivaraksa.org/

ยังติดใจที่คุณสุลักษณ์บอกว่าพลต.อ.อดุลร่วมกับหลวงสังวร(อธิบดีตำรวจคนต่อมา) ร่วมมือกันหักหลัง "ท่าน"  คำว่าท่านในที่นี้คงหมายถึงนายปรีดี
ปี ๒๔๙๐  สองคนนี้หักหลังอะไรนายปรีดี? 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 19:47
^
ถ้าจะให้แปลตรงตัวก็คือ ไม่ยอมปราบพวกปฏิวัติ เหมือนครั้งที่เคยปราบกบฏในอดีตครับ
คราวโน้นเล่นบทโหด คราวนี้เล่นบทหด


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 20:08
^
อ้อ  อย่างนี้นี่เอง   พอนึกออกแล้วว่าได้ข้อมูลจากใคร

เพื่อนรักกัน ฆ่ากันไม่ลง
สังเกตจากคำให้การที่อ่านพบ  ไม่รู้ว่ามีมากกว่านี้หรือเปล่านะคะ  แต่ในคำให้การ พลต.อ.อดุลไม่ได้กล่าวหาว่าจอมพลป.ขายชาติเลยสักคำ มีแต่ตัดพ้อต่อว่าเรื่องนิสัยใจคอที่เปลี่ยนไป
ดิฉันรู้สึกว่าจอมพลป.จะเว้นให้พลต.อ.อดุล    ไม่ทำกับท่านอย่างเคยทำกับคนอื่นๆ    ตอนจบของพลต.อ.อดุลก็ต้องถือว่าจบดีพอสมควร  เท่าที่คนไปเล่นการเมืองไทยจะดีได้   ส่วนใหญ่ลำบากกว่านี้ทั้งนั้น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 20:43
เมื่อท่านอ่านสถานการณ์ทางการเมืองในยุคประชาธิปไตยหลังสงครามของผมแล้ว กลับไปอ่านที่ท่านอาจารย์สุลักษณ์เขียน และท่านอาจารย์เทาชมพูเชิญชวนให้แสดงความเห็น จะเห็นได้ว่าในช่วงนั้น ไม่ว่าใครก็คงเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีจนไม่มีที่ติของท่านอาจารย์สุลักษณ์ไม่ได้
สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ตามสถานการณ์ของโลก ภาวะเงินเฟ้อในประเทศจากการพิมพ์ธนบัตรเงินบาทสงครามของญี่ปุ่น จนทำธนบัตรไทยมีค่าเป็นเศษกระดาษไปด้วย ค่าปรับเป็นข้าวสารที่ต้องชดใช้หนี้สงครามที่ก่อไว้ แค่นี้ก็หนักหนาสาหัสแล้ว ยังเจอการแบ่งพรรคแบ่งขั้วของบรรดาส.ส.ในสภา ขาจรเข้ามาอย่างม.ร.ว.เสนีย์ไม่มีสมัครพรรคพวกจึงแทบจะบ้าตายไปด้วยฝีมือฝีปากของคนในมุ้งนายปรีดี ม.ร.ว.เสนีย์จึงมีสิทธิ์ที่จะกล่าวหาว่านายปรีดีหลอกมาใช้ หากท่านพูดจริงอย่างที่ท่านอาจารย์สุลักษณ์เขียน

ยิ่งนายควงด้วยแล้วยิ่งชัด ลูกน้องนายปรีดีเสนอกฎหมายที่ปฏิบัติไม่ได้ คือบังคับราคาขายของกินของใช้ ที่นายควงเรียกว่ากฏหมายปักป้ายราคาข้าวเหนียวเพื่อประชดคนเสนอที่เป็นส.ส.อิสาน ฝ่ายค้านชนะนายควงก็walkout และกล่าวว่าเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำ เมื่อนายปรีดีเข้ามาก็กลับแสดงความสามารถด้วยการทำให้กฎหมายดังกล่าวมีอันต้องแท้งค์ไปกลางสภา ลูกเล่นเช่นนี้ท่านอาจารย์สุลักษณ์คงทราบ แต่ไม่พูดถึง ท่านยังไปแขวะม.จ.สิทธิพรโดยไม่จำเป็นทั้งๆที่เคยเขียนยกย่องเจ้านายที่เป็นสุภาพบุรุษองค์นี้อย่างมากมาย ม.จ.สิทธิพรท่านเป็นนักโทษการเมืองเกาะเต่า นายควงออกพระราชกำหนดปลดปล่อยให้ท่านรอดชีวิตมาได้ บุญคุณก็ต้องทดแทน เขามาเชิญเป็นรัฐมนตรีจะเล่นองค์ว่านายควงมาจากการปฏิวัติเหมือนที่ทรงปฏิเสธจอมพลผิน ผมก็ว่าเกินไป
  
แต่ส่วนใหญ่ที่ท่านอาจารย์สุลักษณ์เขียนก็คงจริงนะครับ มีระหว่างบรรทัดที่ท่านแอบใส่ไข่ไปบ้างตามธรรมเนียมของบรมครู  คนนี้แหละครับกูรูใหญ่ที่สุดตัวจริง เข้ามาเมื่อไหร่ผมเผ่นก่อนเลย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 20:57
^
^
รอด้วยยยยยย......


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ก.ค. 10, 21:17
^
พอพิมพ์คำตอบเสร็จ จะเข้ามาโพสต์ก็สายไปเสียแล้ว  :-\


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 10, 21:21
ไม่สายแล้วละค่ะ  โพสต์เถอะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 23 ก.ค. 10, 21:29
แวะมาเข้าห้องเรียนกับกล่าวคำสวัสดีกับอาจารย์ทุกๆท่านก่อนนอนค่ะ  :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 06:15
อ้างถึง
พอพิมพ์คำตอบเสร็จ จะเข้ามาโพสต์ก็สายไปเสียแล้ว 

ไม่สายแล้วละค่ะ  โพสต์เถอะ

อ้าว ท่านอาจารย์ไปลบทิ้งทำไมครับ คำตอบเหมือนกันเป๊ะเพราะไปเอามาจากหนังสืองานศพของจอมพลผินเหมือนกัน
ต้นฉบับที่ผมพิมพ์ก็ลบไปแล้ว

ถ้าของท่านอาจารย์ยังอยู่ ก็เอากลับมาเถอะครับ please


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 24 ก.ค. 10, 07:27
คิดว่ามาเช้าแล้ว แต่สายกว่าคุณครู

อะไรหายไปคุณครูทั้งสองท่านรีบนำกลับมาเป็นวิทยาทานด้วยครับ  :)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 10, 07:50
ดิฉันนึกว่าคำตอบท่านกูรูใหญ่กว่าคงจะมีรายละเอียดมากกว่า ก็เลยลบของตัวเองไป   เพราะของดิฉันไม่มีอะไร ลอกจากประวัติจอมพลผิน
เอากลับมาให้อีกครั้งค่ะ

อนึ่ง มีบุคคลเป็นอันมากวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวข้าพเจ้าว่า เป็นผู้นำการรัฐประหารแล้ว เหตุใดจึงไม่เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ข้าพเจ้ามีเหตุผลอยู่ หลายประการ
ประการแรก ตั้งแต่รับราชการก็อยู่แต่หัวเมือง ไม่คุ้นกับข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนมากนัก คุ้นเคยแต่จังหวัดที่รับราชการอยู่เท่านั้น ตลอดจนเจ้านายก็ไม่เคยรู้จัก เว้นแต่พลโท พระองค์เจ้าทศศิริวงศ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 4 ราชบุรี และพลตรีหม่อมเจ้า ทองฑีฆายุ ผู้บัญชาการกองพลที่ 2 ปราจีนบุรี

ซึ่งข้าพเจ้าเอะอะก็จะขึ้นบริหารประเทศชาติ รู้สึกว่าจะไปไม่ได้กี่วัน

ประการที่ 2 การเมืองมีการสลับซับซ้อนกันมาก เห็นตัวอย่างมาแล้ว ได้แก่พวกก่อการ 2475 พอทำการสำเร็จก็มีกบฏเกิดขึ้น 2-3 ครั้ง ทั้งพวกก่อการด้วยกันเอง ก็แตกแยกเป็นหลายก๊กหลายพวก ถึงกับคุมพรรคพวกรบกันเอง เพื่อจะครองอำนาจเป็นใหญ่ ก็มีหลายครั้ง

ยิ่งข้าพเจ้าไม่สนใจ และไม่มีความรู้ ตลอดจนไม่ได้ ศึกษาเรื่องการเมืองแม้แต่น้อย เท่ากับมีฐานะอยู่เพียงพื้นราบ จะกระโดดทีเดียวให้ถึงยอด

อาจจะตกลงมาคอหักตาย ด้วยกลไกวิถีทาง การเมือง ก็เป็นได้

ประการที่ 3 สมัยนี้โลกคับแคบด้วยความเจริญทางวิทยาศาสตร์ การสัญจรไปมาระหว่างประเทศ ซึ่งสมัยก่อนใช้เวลาไปมาตั้งเดือน มาสมัยนี้ใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น ย่อมจะมีประมุขของประเทศต่าง ๆ มาเยี่ยมเยือนไม่เว้นแต่ละเดือน

ถ้าถูกนายกรัฐมนตรีอย่างข้าพเจ้า โดย เอ บี ไม่กระดิกหู เพียงจะคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไปไม่ไหวเสียแล้ว จะเอาหน้าประเทศชาติไว้ที่ไหน

ประการที่ 4 ด้วยความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ให้ความยุติธรรมต่อข้าพเจ้าหลายครั้ง

ครั้งแรกมีผู้ก่อการด้วยกัน มียศพันโทไม่เต็มขั้นอยู่ 2 นาย และข้าพเจ้ามีเงินเดือนไม่เต็มขั้นชั้นพันโทเช่นเดียวกัน แต่ข้าพเจ้าได้รับยศเป็นพันเอกก่อน ถึงกับผู้ก่อการทั้งสองได้เข้าไปต่อว่าต่อขานเอากับท่านว่า ข้าพเจ้ามีดีวิเศษอย่างไร

ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ผลงานมณฑลทหารบกที่ 3 นครราชสีมา ซึ่งข้าพเจ้าครองตำแหน่งนี้อยู่ ได้ผลดีเด่นกว่าอีก 4 มณฑล

ต่อจากนั้น เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพา ข้าพเจ้าได้นำทหารกองพลที่ 3 เข้าตีและยึดเชียงตุงได้ ได้มีปากเสียงโต้ตอบกับแม่ทัพพายัพรุนแรงหลายครั้ง ทั้งรายงานข้ามหน้าแม่ทัพพายัพอีกด้วย

ถ้าจะพิจารณาวินัยทหารในเวลาสงครามแล้ว นับว่าข้าพเจ้ามีความผิดอย่างร้ายแรง แต่ด้วยความกรุณาปรานี เห็นอกข้าพเจ้าที่ทหารในกองพลที่ 3 ได้รับความลำบากยากแค้นแสนสาหัส ถึงกับส่ง

นายพล 3 นาย ขึ้นไปตรวจสอบสวนความเดือดร้อนของข้าพเจ้าและทหาร

ฉะนั้น การทำรัฐประหารครั้งนั้น ข้าพเจ้ามีความประสงค์อันแน่วแน่ ที่จะให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เป็นธรรม และเพื่อจรรโลงประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าต่อไป ด้วยเหตุผลทั้งสี่ประการที่กล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้.

ความเห็นส่วนตัวคือ ตราบใดจอมพลป.ยังอยู่  จอมพลผินก็คงไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะคงเป็นได้ไม่นาน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 08:11
ผมเคยเอาหนังสือปกเขียวสี่หน้ายกแบบหนาสองเล่มมาโชว์ท่านผู้อ่านไว้  เป็นประวัติจอมพลป.พิบูลสงครามเขียนโดยลูกชายคนโตของท่านชื่อ อ.พิบูลสงคราม แก่นในเนื้อความในหนังสือจะตรงกันข้ามกับหนังสือออื่นๆที่คนอื่นเขียนถึงจอมพลป. เลยนำมาอ้างอิงไม่ค่อยได้ ยกตัวอย่างเฉพาะเรื่องการปฎิวัติโดยจอมพลผิน ท่านอ.เขียนไว้ดังนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 08:14
เรื่อง ให้ไปเชิญนายปรีดี ฯลฯ ด้วยความระมัดระวัง ละมุนละม่อม หลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาดในการใช้อาวุธนั้น ขัดกับความจริงที่เกิดขึ้นอย่างกับขาวเป็นดำ ทหารเอารถถังไปถล่มประตูทำเนียบ ยิงกราดใส่คนในบ้าน ดีแต่ภรรยาของท่านและลูกๆไม่พลอยโดนลูกหลงไปด้วย ท่านอ.จึงเขียนสรุปว่าภาระกิจสำเร็จ ไม่มีใครเสียชีวิต

หนังสือเล่มนี้ หน้านึงมี2คอลัมน์ ข้อความที่สแกนมาเลยยาวหน่อยครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 08:17
ราษฎรที่อิ่มเอิบด้วยความหวังคงจะเป็นญาติของพวกท่าน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 08:40
ตรงนี้น่าสนใจครับ
เป็นตัวอย่างของคำว่า คนละเรื่องเดียวกัน ที่ผมบ่นบ่อยๆ

เหตุการณ์ที่ท่าช้าง ทหารคณะปฏิวัติยิงสู้กับประตู ไม่มีทหารของผู้บัญชาการทหารบกที่นั่น
โน่น ทหารที่ประจันหน้ากันแล้วไม่ได้ปะทะ เพราะผู้ใหญ่ตกลงกันได้อยู่ที่สพานเกษะโกมล สามเสนโน่น

คนที่อ่านหนังสือปกเขียวเล่มเดียว ไปสอบประวัติศาสตร์ละก็ ตกแน่ครับ

เดี๋ยวผมจะนำมาเข้าเรื่องตอนจบของพล.อ.อดุลต่อ ช่วงแลนดิ้งล้อสัมผัสพื้น
ช่วงนี้จรเข้ขอบินวนรอบๆสนามตามที่ท่านอาจารย์เทาชมพูบอกก่อน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 10, 09:01
ติดตามด้วยความสนใจ เหมือนว่าเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน
ปะทะกันเล็กน้อย = ฝ่ายพลต.อ.อดุล ปักหลักสู้งั้นหรือคะ?


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 09:09
อ้างถึง
พล.อ.อดุลนั้น จากที่คณะปฏิวัติแถลงฟังเหมือนว่าได้ตกลงที่จะร่วมด้วย อาจเป็นไปได้อย่างนั้น แต่หลังจากตกลงกันได้ที่ทำเนียบท่าช้างแล้วว่า พล.ร.ต.ถวัลย์จะยอมลาออกและตนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน จึงพยายามกลับเข้ามาคุยกับพวกทหารเพื่อระงับมิให้ปฏิวัติ แต่ช้าไปเสียแล้ว ป๋าผินทราบเรื่องตั้งแต่ประชุมเสร็จ จึงเปลี่ยนเวลากระทำการ พล.อ.อดุลเห็นผิดแผนจึงถอยตนกลับไปอยู่ที่กองพันที่1 กรมทหารราบที่11 บางซื่อ

...คณะปฏิวัติก็ส่งทหารกองหนึ่ง ไปตั้งประจันหน้ากันที่สพานเกษะโกมล ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเจรจา พล.อ.อดุลยอมรับข้อเสนอ...

ตามนั้นเลยครับ เขาตกลงกันได้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 09:11
จอมพล ป. และสมุนบริวารของท่านไม่ชอบขบวนการเสรีไทยเอามากๆ จอมพล ป.คิดในตอนแรกว่า คงเป็นนักเรียนนอกที่ไปรับใช้อังกฤษลักลอบเข้ามาหาข่าวในเมืองไทยสิบยี่สิบคน หลังสงครามกลับกลายเป็นกองกำลังพลเรือนติดอาวุธกระจัดระจายอยู่ทั่วประเทศสิบกว่าหน่วยภายใต้อาณัฐของนายปรีดี แม้ว่าน้ำเสียงของท่านอ.ในข้อความข้างล่าง จะออกแนวดูถูกๆพวกนี้อยู่ไม่น้อย แต่อีกหลายหน้าในหนังสือที่ท่านเขียนก็ให้น้ำหนักความระแวง และความเกลียดชังขบวนการที่แปรร่างมาจากเสรีไทยนี้

นี่เป็นอีกจุดสำคัญที่กระตุ้นให้ทหารขวาจัดกระทำการปฏิวัติ ใครก็รู้ว่าขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์ได้เริ่มปฏิบัติการแล้วทั่วภูมิภาคโดยใช้คำว่ากู้ชาติเป็นธงนำ ในเมืองไทยจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ทหารย่อมเสียวๆอยู่ ทหารดังกล่าวนี้อาจรวมถึงผู้บัญชาการทหารบกตอนนั้นด้วยก็ได้ ท่านอาจจำเป็นต้องเลือก take side อีกแล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 09:48
จุดที่น่าสงสัยอีกจุดหนึ่งก็คือ ท่านอ. ได้เขียนเรื่องเหตุการณ์ตอนขึ้นศาลอาชญากรสงครามของจอมพลผู้บิดาไว้มาก ใครไปให้การในศาลเป็นปฏิปักษ์อย่างไร ท่านก็เหน็บแนมกลับ ขนาดนายดิเรก ชัยนามให้การ ท่านก็วิจารณ์กลับเหมือนเป็นตัวตลก ส่วนพล.ต.ต.ชลอ ศรีศรากรนั้นได้ทราบจากท่านอ.ว่า ตอนเป็นนายทหารปืนใหญ่ชั้นผู้น้อย เป็นลูกน้องที่ไปนั่งศาลากินเหล้าข้างคลองบางซื่อของจอมพลป. ล่อกับแกล้มฝีมือท่านผู้หญิงพร้อมๆกับพล.อ.อดุลเป็นประจำแทบทุกวัน มิน่าเล่า พล.อ.อดุลจึงส่งพล.ต.ต.ชลอเป็นทูตไปเจรจากับจอมพลป.ที่ลพบุรี เมื่อให้การในศาลนั้นท่านอ.วิจารณ์พล.ต.ต.ชลอเสียกลายเป็นคนบ้าๆบอๆไปเลย

แปลก แปลกมากครับที่ท่านอ.เขียนถึงพล.อ.อดุลเพียงที่ผมตัดเอามาลงนี้ ไม่แตะต้องคำให้การในชั้นสอบสวนที่พล.อ.อดุลว่าไว้ยาวเหยียดละเอียดละออเลย นั่นน่ะล้วนที่ท่านและคุณพ่อจะต้องอ่านไปสะดุ้งไปทั้งนั้น

เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ตอนไปให้การหน้าบัลลังก์ศาลจริงๆ พล.อ.อดุลจะเบิกความอย่างไร แบบม้วนเดียวจบ กลายเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือเปล่า


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 10:14
ผมค้นพบบทความหนึ่งในเวป  จากผู้เขียนที่ใช้นามว่า Bugbunny แสดงความเห็นที่ผมเห็นด้วยเพราะมีตัวอย่างคนของเราคล้ายๆกันนี้ ลองอ่านดูครับ ผมขออนุญาตตัดตอนออกไปบ้างเพื่อให้กระชับ



พลเอกฮิเดกิ โตโจ ตัวอย่างของคนดีที่ทำให้ประเทศชาติพินาศย่อยยับ

 
หลังการประหารชีวิต พลเอกฮิเดกิ โตโจ ตามคำพิพากษาของศาลอาชญากรสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตร ได้มีการสำรวจทรัพย์สินของนายพลผู้เฒ่าอาชญากรสงครามที่ทางสัมพันธมิตรอายัดไว้ และพบว่าเขาไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเหลืออยู่เลยนอกจากบ้านเก่า ๆ หนึ่งหลัง ฝ่ายสัมพันธมิตรตัดสินใจส่งคืนให้กับภรรยาหม้ายของโตโจไป

 พลเอกฮิเดกิ โตโจ เป็นนายทหารอาชีพที่มีเกียรติประวัติดีเด่น เขาเป็นคนดีซื่อสัตย์และมีคุณสมบัติครบถ้วนของความเป็นสุภาพบุรุษตามมาตรฐานของซามูไร เมื่อที่ประชุมร่วมกับสมเด็จพระจักรพรรดิของรัฐบาลโน้มเอียงไปในทางการทำสงคราม เจ้าชายโคโนเอะได้กราบถวายบังคมลาออกจากนายกรัฐมนตรี ทำให้ โตโจได้รับแต่งตั้งแทน อันเป็นการเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง โตโจถล่มเพิร์ลฮาเบอร์ พร้อม ๆ บุกเข้าสู่อินโดจีน สยาม มลายู ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ได้ชัยชนะติดต่อกันมาระยะหนึ่ง ก่อนจะเริ่มพ่ายแพ้และกลายเป็นฝ่ายรับ หลังยุทธนาวีที่มิดเวย์ โตโจ ต้องลาออกเมื่อชัดเจนว่าญี่ปุ่นกำลังเพลี่ยงพล้ำในสงคราม ที่ยุติลงด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกาลงในเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นและสมเด็จพระจักรพรรดิทรงประกาศยุติสงครามด้วยการยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตรอย่างไม่มีเงื่อนไข
 พลเอกฮิเดกิ โตโจ บริหารประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลานานในช่วงสงคราม เขาเป็นตัวอย่างของนายทหารที่จงรักภักดีต่อสมเด็จพระจักรพรรดิอย่างยิ่งยวด คำให้การของเขาต่อศาลอาชญากรสงครามนั้นยืนยันความรับผิดชอบแต่ผู้เดียวในการก่อสงคราม รวมไปถึงคำให้การที่ชี้ว่า สมเด็จพระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตมิได้ทรงเกี่ยวข้องกับการเริ่มสงคราม

  หากจะดูการกระทำของพลเอกฮิเดกิ โตโจ จะพบว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่เป็นตัวอย่างของการเป็นคนดี ไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น ชีวิตส่วนตัวเรียบง่ายสมถะ นิยมการเขียนบทกวีและชื่นชมกับธรรมชาติ
 
ปัญหาก็คือคนดีอย่างนี้ บริหารประเทศจนพินาศย่อยยับกันอย่างที่เห็น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ? มีตัวอย่างของคนดีจำนวนมากในประวัติศาสตร์โลกที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ตายไปโดยไม่เหลือทรัพย์สมบัติอะไรเลย แต่นโยบายและวิธีการที่ต้องการให้ประเทศเป็นรัฐในอุดมคติ กลับสร้างความพินาศต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างย่อยยับ พอลพต ก็เป็นคนดี เขาไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย ตายอย่างอนาถา ศพถูกเผาในโลงไม้ที่ต่อขึ้นหยาบ ๆ  ตลอดชีวิตไม่เคยหาประโยชน์ใส่ตัวเลย แม้แต่ในตอนที่ปกครองประเทศกัมพูชาประชาธิปไตยอยู่ เจียงชิง และแก๊งค์สี่คน ก็ต้องการสร้างประเทศจีนที่บริสุทธิ์ในอุดมคติ ประชาชนรักประเทศชาติและระบอบสังคมนิยม เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว การปฏิวัติวัฒนธรรมมีอุดมการณ์เช่นนั้นถูกต้องแล้วหรือ ที่คนพวกหนึ่งมีความคิดแบบนั้น ต้องบังคับให้คนอื่น ๆ มีความคิดแบบเดียวกับตนเอง ที่มันเกิดผลต่อมาว่า ทุกคนต้องลำบากแสนเข็ญ หลายคนต้องตาย สมบัติของชาติถูกเผาทำลาย เพื่อให้บรรลุอุดมคตินั้นของพวกเขา นี่เป็นเรื่องกิเลศตัณหาส่วนตัว ไม่ใช่การกระทำเพื่อส่วนรวม  


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 10:26
มีความเห็นในเวปหนึ่งชื่อขบวนการเสรีไทย คุณcameronDZ เขียนไว้ก็โดนใจ

พูดถึง หลวงอดุล นายพลตาดุ คนนี้
เป็นคนที่น่าสนใจ น่าศึกษามาก ในประวัิตศาสตร์การเมืองไทยยุคแย่งชิงอำนาจกันระหว่างสหายร่วมรบสองฝ่าย
หลวงอดุลได้รับการยกย่อง กล่าวขานว่าเป็นคนตรง ตงฉิน ไม่เข้าใครออกใคร และไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง
แต่ในมุมมองของผม ผมไม่ค่ิอยเชื่อว่า คนที่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ว่าจะทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจะเป็น "คนตรง" แบบไม่ต้องการอำนาจอะไรเลย

ผมมองว่า หลวงอดุล เป็นคนอยากเล่นกับอำนาจ แบบกล้า ๆ กลัว ๆ มากกว่า
จึงสร้างตัวเองให้ภาพออกมาเป็นคนตงฉิน เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ไม่อยู่ข้างฝ่ายไหนชัดเจน จะเห็นได้ว่า หลวงอดุล เป็นทั้งอดีตเสรีไทย และเป็นทั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่ทำงานรับใช้ "รัฐจอมพล ป." ภาพที่ใกล้เคียง หลวงอดุล มากที่สุด น่าจะเป็นภาพจอมพลสฤษดิ์ที่ได้โอกาส ฉวยประโยชน์จากอำนาจที่คลอนแคลน
แต่หลวงอดุล ไม่มีโอกาสมากอย่างนั้นภาพประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกออกมา
หลวงอดุล จึงออกจะ "ดูดี" กว่าจอมพลสฤษดิ์


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 10:29
อย่าเพิ่งเริ่มเรื่องจอมพลสฤษดิ์นะครับ ขอร้องงง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 12:09
ผมสงสัยว่า ชายชราที่รอแดดร่มลมตก แล้วเดินออกมาจากที่พักในวังปารุสก์ยังลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อหยุดมองโดมพระที่นั่งอนันตสมาคมอยู่เสมอ เป็นอิริยาบทที่ผู้เห็นเหตุการณ์เขียนว่า สุภาพบุรุษชราท่านนั้นได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ต้องการสังคม ไม่ต้องการพวกสอพลอปอปั้น

กายนั้นอาจดูสงบ แต่ใจของท่าน สงบด้วยหรือ

สถานการณ์ในช่วงท้ายของการมีอำนาจ ท่านพลาดจนถูกจับได้ว่า ท่านไม่มีอุดมการณ์อะไรเลย ท่านยังคงเล่นไพ่สองหน้าเหมือนอย่างที่ท่านทำครั้งจะสนับสนุน หรือไม่สนับสนุนเสรีไทย ครั้งสุดท้ายนี้ท่านถือไพ่หน้านายปรีดีอยู่ ยังแอบไปเก็บไพ่หน้าป๋าผินมาถือไว้ ตอนที่ประชุมแกนนำรัฐบาล3คนในทำเนียบท่าช้าง ท่านไปต่อรองอะไรกับเขา จะเอาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแลกกับการที่ทหารจะไม่ปฏิวัติหรือเปล่า ผมยังสงสัยเพราะท่านกูรูใหญ่ที่สุดบอกว่าท่านไปหักหลังนายปรีดี อ้าว..ก็หักหลังน่ะซีครับ ผู้บัญชาการทหารบก คนจริง คนตรง คนเด็ดขาดอย่างท่าน มีทหารใต้บังคับบัญชาตั้งประจันอยู่ ไปรับข้อเสนอเขาง่ายๆที่หลังสพานเกษะโกมลได้อย่างไร ทำไม ประกาศของฝ่ายปฏิวัติว่าท่านเลิกล้มการต่อต้านแล้วฉบับนั้นจึงลงนามโดยจอมพลป. พิบูลสงคราม มิใช่พลโทผิน หัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหาร

ท่านให้การต่อศาลนอกห้องบัลลังก์เรื่องร้ายๆของจอมพลป.ที่บันทึกไว้หลายหน้ากระดาษ เท็จจริงอย่างไรผมไม่รู้ละ แต่ท่านทราบว่าโทษสูงสุดที่จำเลยได้จะรับ คือการประหารชีวิต คดีกบฎ2482ที่ท่านและตำรวจของท่านทำสำนวนหลวมกว่านี้เยอะ ศาลพิเศษยังตัดสินประหารถึง21คน ดีว่าเพื่อนซี้ของท่านสั่งให้ศาลลดโทษได้ จึงรอดไป3คน ท่านคงต้องการให้ความตายโดยชอบด้วยกฏหมายมาล้างคนที่ท่านคิดว่าจะเป็นภัยต่อท่านในอนาคตเช่นเคยใช่ไหม  คราวนี้ท่านอาจจะผิดหวัง และสำนึกถึงความผิดพลาดที่ได้กระทำลงไป เมื่อศาลฎีกาทำให้คดีฉกรรจ์นี้เป็นโมฆะ
 
ตรงนี้หรือเปล่าที่ทำให้ท่านยอมต่อข้อเสนอของจอมพลป.โดยง่ายในเช้าวันนั้น หรือท่านอาจจะแอบไปกราบขอโทษเพื่อนท่านแล้วตั้งแต่ได้กลิ่นว่าคดีนี้จะไปไม่รอด ท่านจึงมีพฤติกรรมชอบกลในวันที่ต้องขึ้นให้การหน้าบัลลังก์ต่อศาล และต่อหน้าจำเลยที่เป็นเพื่อนผู้มีอุปการะคุณ และเคยเป็นนายของท่าน ทำไมลูกชายจอมพลป.เขาเขียนหนังสือเล่มหนาว่ากล่าวบรรดาผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับบิดาไว้แยะ แต่ไม่ยังกะมีตรงไหนที่บริภาษท่านเลย

ท่านคงพอใจมากกับตำแหน่งองคมนตรีอันทรงเกียรติ มีบ้านหลวง มีเงินเดือนตลอดชีพ แลกกับการอยู่เฉยๆ ดูเพื่อนร่วมรุ่นของท่านเสวยอำนาจ เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สองเสียอีกเกือบสิบปีก่อนที่จะต้องกงกรรม โดนหอกข้างแคร่ไปตายเมืองนอก  ท่านยังดีกว่าที่เป็นฝ่ายแพ้แล้ว ไม่ต้องเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องติดคุก หรือถูกเนรเทศ ท่านสามารถอยู่รักษาภาพพจน์ของความเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่คดโกงกอบโกย แต่ท่านอาจจะสงสัยตัวท่านเองว่า ท่านจะสามารถผ่านมาตรฐานของการเป็น “คนดี” หรือเปล่า



ผมไม่บังอาจจะเป็นคนตัดสินท่านตรงนี้ได้ แต่ท่านผู้อ่านที่อดทนอ่านเรื่องที่ผมเขียนตั้งแต่ต้นจนจบ คงได้คำตอบของตนเองอยู่ในใจ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 10, 16:19
อ่านกระทู้ไป ก็คิดตามไปด้วย พยายามวาดภาพพลต.อ.อดุล  ออกมาว่าท่านเป็นคนอย่างไรกันแน่   ถ้าพอมองเห็นว่าท่านเป็นคนอย่างไร ก็พอจะมองออกว่าการกระทำของท่าน มีที่มาที่ไปอย่างไร
อย่างแรก ขอมองย้อนตั้งแต่จบไปหาต้น    เพราะยังข้องใจอยู่ว่าตอนจบระหว่างท่านกับจอมพล ป. เป็นแบบไหน    กลับมาคืนดีกันอย่างเงียบๆ  อโหสิกรรมกันไป   หรือว่าตัดบัวไม่เหลือใย   ชาตินี้ไม่ต้องมาเหยียบเงากันอีก
คำตอบ อาจจะมองเห็นได้จากคำไว้อาลัยที่ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม เขียนถึงพลต.อ.อดุล  ในหนังสืออนุสรณ์งานศพของท่านเมื่อพ.ศ. 2512


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 10, 16:37
สรุปจากคำไว้อาลัยของท่านผู้หญิงละเอียดว่า บั้นปลายชีวิต จอมพลกับพลต.อ. ก็แยกกันไป  ต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกันอีก
แต่ก็คงมีอะไรสักอย่างที่ทำให้จอมพล ป. เชื่อว่าพลต.อ.อดุล ไม่เป็นศัตรูทางการเมืองของท่าน   ทั้งๆก็มีเหตุการณ์ให้เห็นว่าพลต.อ.อดุล "ไม่เอาแล้ว" กับจอมพลป.   ท่านจึงไม่ได้แตะต้องหรือทำชีวิตพลต.อ.อดุลให้ผันผวนไป   เมื่อพ้นการเมืองแล้วก็ยังมีเกียรติขององคมนตรีค้ำจุนอยู่

จึงขอสันนิษฐานว่า คู่นี้น่าจะมีการประนีประนอมกันก่อนจะแยกกันไป    ถ้ามองอย่างอุดมคติเหมือนอ่านรพินทร์ ไพรวัลย์กับแงซายในตอนจบ    ก็คือรักกันแทบจะตายแทนกันได้  แต่อยู่ร่วมกันไม่ได้ ต้องมีวิถีชีวิตของใครของมัน    ทั้งสองฝ่ายต่างก็เลยจับมือกันครั้งสุดท้าย แล้วก็แยกทางกันไป ไม่เกี่ยวข้องกันอีก
แต่ถ้ามองอย่างไม่อุดมคติ   ก็ขอมองคล้ายๆคุณนวรัตนมอง   คือฝ่ายหนึ่งยอมแพ้วาสนาบารมีของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง  แล้วไปอย่างผู้แพ้   ผู้ชนะเฝ้าติดตามอยู่พักใหญ่เห็นว่ารักษาคำพูด หรือไม่ก็ไม่มีโอกาสกลับมาแน่ๆ  เลยไม่ทำอะไรมากกว่านั้น   อย่างน้อยก็เคยช่วยเหลือกันมา ยังมีหนี้บุญคุณกันอยู่

ดิฉันยังติดใจคำให้การชั้นสอบสวนของพลต.อ.อดุล    เพราะดูๆแล้ว เป็นการระบายโทสะที่คับแค้นใจ จากเพื่อนที่น้อยใจเพื่อน   มากกว่าจะเป็นการกระหน่ำเอาให้จมดิน   เพราะไม่มีตอนไหนเลยที่คำให้การพูดถึงบทบาทของจอมพล ป.ว่าทรยศต่อชาติ   ถ้าหากว่าพลต.อ.อดุลเน้นตรงนี้   กฎหมายจะย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง  จอมพลป.คงเอาตัวรอดจากสังคมยากเหมือนกัน
คำพูดของพลต.อ.อดุลอาจไม่เป็นที่แค้นเคืองอะไรมากนักสำหรับจอมพลป.   คุณอ. ลูกชายท่านก็คงรู้ข้อนี้   ว่าพ่อไม่โกรธเพื่อน    หนังสือของคุณอ. จึงไม่กระหน่ำเพื่อนพ่อ   
คำว่า "ส่วนลึกของหัวใจยังรักกันอยู่" ที่ท่านผู้หญิงละเอียดบรรยายไว้หยดย้อยราวกับนักประพันธ์   สะท้อนความรู้สึกของท่านสามี ที่มีต่อเพื่อนคนนี้  มากกว่าสะท้อนความรู้สึกของทั้งสองคน   เพราะท่านจะไปรู้ใจพลต.อ.อดุลได้ยังไงถึงส่วนลึกขนาดนั้น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 10, 16:56
ส่วนพลต.อ.อดุลเป็นคนอย่างไร   ดิฉันเชื่อว่าด้วยความเป็นมนุษย์ปุถุชน ท่านก็ย่อมมีทั้งส่วนดีส่วนเสีย เหมือนมนุษย์ทั่วไป    ท่านมีอุดมการณ์ด้วยไม่ใช่ไม่มี
อุดมการณ์ของพลต.อ.อดุลน่าจะเป็นอุดมการณ์เดียวกับจอมพลป.   คือเชื่อว่าไทยในยุคที่พ้นจากระบอบราชาธิปไตย น่าจะไปได้ดีด้วยมือของผู้นำที่เก่งสักคน (คนเดียวพอแล้วไม่ต้องหลายคน)      ดังนั้นใครทำตัวเป็นปรปักษ์  คนนั้นไม่ใช่แค่ศัตรูส่วนตัวของจอมพลป. แต่เป็นศัตรูของชาติ เพราะจะถ่วงความเจริญมิให้ชาติก้าวหน้าได้    หนักๆเข้าเลยกลายเป็นว่าเป็นศัตรูนายกฯคือศัตรูของชาติ
เมื่อเป็นศัตรูของชาติ ก็ต้องกวาดล้างมิให้เป็นภัยต่อชาติ  พลต.อ.อดุลก็มีหน้าที่ถากถางบ้านเมืองให้สะอาดเรียบร้อยไร้ขวากหนามและวัชพืช  ดังนั้นกรณี ๑๘ นักโทษประหารและจำคุกนักโทษการเมืองอีกจำนวนมากจึงเกิดขึ้น    รวมทั้งคดีอื่นๆด้วย

ส่วนเรื่องใครบีบบังคับใครให้ทำ  ย้อนกลับไปอ่านคำไว้อาลัยของท่านผู้หญิงละเอียดจะเห็นว่า ท่านสรรเสริญสามีและเพื่อนรักของสามีว่าเป็นคนแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวทั้งคู่    ถ้าจะมีการบีบบังคับกันจริงๆ  ต่างคนต่างบีบบังคับเท่าๆกัน...มั้ง

แต่ต่อมาในสมัยสงครามโลก พลต.อ.อดุลผู้ออกหน้าในรายงานการประชุุมรัฐมนตรีในวันที่ ๗-๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ว่าเราไม่มีกำลังพอจะสู้ญี่ปุ่นได้แน่ๆ   เริ่มเห็นว่านโยบายของเพื่อนรักอาจผิดพลาด  แต่ท่านก็ลังเลอยู่หลายเดือนกว่าจะเข้าร่วมเสรีไทย   
ตรงนี้ดิฉันไม่เห็นว่าท่านเหยียบเรือสองแคม  แต่การตัดสินใจเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  ทำลงไปก็เหมือนหักหลังเพื่อน   ถ้าจะทำก็ต้องมีเหตุผลยิ่งใหญ่กว่ารองรับ   คือรู้แน่ว่าเสรีไทยและพันธมิตรไปรอด   ชาติไทยก็จะไปรอด  ท่านถึงยอมเป็นเสรีไทย
ก็ขอให้เห็นใจท่านหน่อยว่า ถ้าเสรีไทยเกิดหน่อมแน้มขึ้นมา   ท่านจะเหลือซากละหรือ  เพราะญี่ปุ่นก็ยังไม่หน่อมแน้มเลยสักนิด    จนลางแพ้ญี่ปุ่นเริ่มฉายนั่นแหละท่านถึงเชื่อว่าเสรีไทยไปรอดแน่  อย่างน้อยแบ๊คด้านพันธมิตนก็แข็งแกร่งกว่าแบ๊คด้านญี่ปุ่นของท่านจอมพล

มาถึงตรงนี้อาจมีคำถามว่าทำไมท่านไม่กระซิบบอกท่านจอมพลให้กลับลำ   มาเข้ากับเสรีไทยสะดวกกว่าเปลืองเงินและชีวิตคนสร้างเมืองหลวงเพชรบูรณ์เป็นไหนๆ    คำตอบคือจอมพลป. มีกุนซือและบริวารหลายคนที่พลต.อ.อดุลฝ่าเข้าไม่ถึง    คนพวกนี้คงไม่ยอมให้จอมพลป.เชื่อฟังท่านง่ายๆ  ท่านก็เสร็จ และพาเสรีไทยเสร็จไปด้วย
ความระคายใจของพลต.อ.อดุลน่าจะเริ่มมาตั้งแต่จอมพลป.มีคนอื่นล้อมหน้าล้อมหลัง   ไม่ได้มีกันแค่ ๒ คนว่าไงว่าตามกันเหมือนเมื่อก่อน
ก็น่าเห็นใจกับคนที่ต้องเล่นกับไพ่ในมืออย่างระมัดระวัง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 10, 18:36



ปัญหาก็คือคนดีอย่างนี้ บริหารประเทศจนพินาศย่อยยับกันอย่างที่เห็น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ? มีตัวอย่างของคนดีจำนวนมากในประวัติศาสตร์โลกที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ตายไปโดยไม่เหลือทรัพย์สมบัติอะไรเลย แต่นโยบายและวิธีการที่ต้องการให้ประเทศเป็นรัฐในอุดมคติ กลับสร้างความพินาศต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างย่อยยับ  

คำถามนี้โดนใจมาก   เคยถามตัวเองว่า ระหว่างเกิดมาเป็นคนดีที่ต้องรับผิดชอบเรื่องใหญ่  ที่มีสิทธิ์ทั้งสำเร็จจนได้ประโยชน์ยิ่งใหญ่  กับถ้าพลาดก็ย่อยยับต่อสังคมที่เขาอยู่     กับเป็นคนที่เกิดมาไม่เคยทำอะไรให้ใครเลย  ไม่ว่าบวกหรือลบ  (เช่นเกิดมาในหมู่บ้านชายป่า พอโตก็ทำไร่ไถนาอยู่ชายป่า จนตายไปเองตามอายุขัย  ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอก)  คนสองคนนี้ใครมีสิทธิ์ไปสู่สุคติมากกว่ากัน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 22:41

คนดีที่ต้องรับผิดชอบเรื่องใหญ่  ทำสำเร็จจนได้ประโยชน์ยิ่งใหญ่  ดี ได้รับการสรรเสริญ

คนดีที่ต้องรับผิดชอบเรื่องใหญ่  ทำพลาดก็ย่อยยับต่อสังคมที่เขาอยู่ ไม่ดี ถูกสาปแช่ง

คนที่เกิดมาไม่เคยทำอะไรให้ใครเลย  ไม่ว่าบวกหรือลบ  ก็เฉยๆ ไม่ได้รับทั้งการสรรเสริญหรือถูกสาปแช่ง

ส่วนการไปสู่สุคติเป็นวิถีทางพุทธศาสนา เกี่ยวเนื่องจากการบริหารจิตของตน มากกว่าจากผลของการทำงานทางโลก บุคคลทั้งสามประเภทข้างต้นเมื่อใจถูกกระทบด้วยโลกธรรมรุนแรง ชอบหรือไม่ชอบ ถ้าสามารถตั้งจิตให้เป็นกลางได้ไม่หวั่นไหว เมื่อแตกดับย่อมไปสู่สุคติ

ตรงข้าม หากหวั่นไหวเร่าร้อน อยากหรือไม่อยาก จิตดิ้นรนกระสับกระส่ายยามแตกดับ ก็ย่อมไปสู่อบายภูมิ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 10, 23:04
สัจธรรม
คนดีที่ต้องรับผิดชอบเรื่องใหญ่  ทำสำเร็จจนได้ประโยชน์ยิ่งใหญ่  ดี ได้รับการสรรเสริญ
คนดีที่ต้องรับผิดชอบเรื่องใหญ่  ทำพลาดก็ย่อยยับต่อสังคมที่เขาอยู่ ไม่ดี ถูกสาปแช่ง


เมื่อรู้เช่นนี้ คนดีก็ต้องฉลาดที่จะระมัดระวังตนเองมิให้ไปสุ่มเสี่ยงในเรื่องที่พลาดแล้วจะเป็นความเสียหายร้ายแรง
จริงอยู่ บางครั้งสถานการณ์บังคับให้ต้องเลือกตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง แต่หากมั่นใจว่าทางที่ตนเลือกนั้น เป็นการเลือกตามเนื้อผ้า กลั่นกรองและทบทวนแล้ว มิได้กระทำเพื่อตนเองหรือพวกพ้อง ก็ต้องทำใจ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จะถูกด่าก็ต้องยอม

ดังนั้น งานบริหารประเทศชาติ เราจึงต้องการคนดีที่เก่งด้วยจึงจะพาชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เพราะคนดีที่เก่งจะมีโอกาสที่จะตัดสินใจถูกมากกว่าผิด คนฉลาดแต่ไม่เก่ง คนดีแต่อ่อนแอ คนตรงแต่บ้า คนซื่อแต่บื้อ เหล่านี้ล้วนทำให้ชาติถอยหลังมาแล้วทั้งสิ้น


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 10, 07:46
 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ก.ค. 10, 08:03
^
ขอบพระคุณครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ก.ค. 10, 08:05
ผมต้องขออภัยท่านผู้อ่าน ที่อยู่ๆผู้แสดงนำในเรื่องของผมก็หักมุมลงไปโดนตั้งคำถามเช่นนั้น มันก็คงสร้างความค้างคาใจให้ถกกันต่อไปได้มาก ซึ่งผมยินดีรับฟังความเห็นต่าง ดังบางประเด็นของท่านอาจารย์เทาชมพู ผมคงไม่กล้ายืนยันหัวชนฝาว่าผมถูก มันเป็นเรื่องปัจเจกที่ต่างคนต่างมีสิทธิ์คิด อย่างไรก็ตามอะไรที่ผมเห็นว่าควรจะเสริมข้อมูลให้ ผมก็จะกระทำ ดังเช่นตัวกฏหมายอาชญากรสงคราม ซึ่งมีเพียงไม่กี่มาตรา และมาตราที่สำคัญที่สุดมีเพียง2มาตรา คือมาตรา3 และมาตรา9 ดังนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 10, 08:06
บุคคลสำคัญอย่างจอมพล ป. และพลต.อ.อดุล เป็นคนที่น่าสนใจศึกษาการทำงานของท่าน    เพราะงานที่ทำมีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์
เมื่อพิจารณาเส้นทางการเมืองของจอมพล ป.  ดิฉันมองอย่างหนึ่งว่าท่านคงเป็นที่เชื่อถือและยำเกรงของเพื่อนพ้องทหารจำนวนมาก   เมื่อมีการรัฐประหารหรือปรามปรามทีไร   จอมพลป.ถึงไม่เคยพลาด   แสดงว่าท่านหาคนเป็นมือเป็นแขนให้ท่านได้เยอะ  ไม่เฉพาะแต่มือขวาอย่างหลวงอดุลเท่านั้น
ดูแต่รัฐประหารที่จอมพลผินทำ เป็นตัวอย่าง   อ่านคำชี้แจงของจอมพลผินก็เห็น ท่านยอมรับว่าบารมีท่านไม่เทียบเท่าจอมพลป.  ความเคารพยำเกรง มีเหนือกว่าความต้องการเป็นใหญ่

หลวงอดุลเองเมื่อสังเกตถึงผลงาน  ก็ทำให้จอมพลป.อย่างมอบกายถวายชีวิต     จะว่าเป็นเพราะหวังเงินทองผลประโยชน์ก็ไม่ใช่   เพราะท่านไม่คอรัปชั่น  บ้านช่องทางการก็ต้องสร้างให้อยู่   และไม่ปรากฏว่าลูกหลานท่านติดอันดับมหาเศรษฐีในภายหลัง
ถ้าจะว่าท่านหวังตำแหน่ง    ตำแหน่งที่มาแบบไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง มันก็คือความรับผิดชอบและงานหนักเท่านั้นเอง  ทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกปองร้ายด้วย   เพราะเป็นตำแหน่งที่ให้โทษคนอยู่มาก
แต่ท่านก็ทำให้จอมพลป. ทุกอย่าง   จนกระทั่งมาแตกกันในบั้นปลาย

เคยรู้จากผู้ใหญ่ว่า จอมพลป.ตอนหนุ่มๆ(ถึงตอนแก่ก็เถอะ) เป็นคนรูปงาม  กิริยามารยาทดีหาที่ติมิได้  พูดจาไพเราะ   ใครรู้จักท่านเป็นส่วนตัวมักจะปลื้ม เพราะท่านเป็นคนมีเสน่ห์  
นอกจากมีเสน่ห์   อาจมีอำนาจด้วยในตัว   ท่านถึงผูกใจนายทหารชั้นผู้ใหญ่ไว้ได้มาก    จะยกเว้นก็แต่คลื่นลูกหลังอย่างจอมพลสฤษดิ์  ซึ่งมีคุณสมบัติบางอย่างเหมือนท่าน

อย่าเพิ่งเริ่มเรื่องจอมพลสฤษดิ์นะครับ ขอร้องงง

ไม่เริ่มค่ะ   รอคุณนวรัตนเริ่มเองนะคะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ก.ค. 10, 08:23
^
คร้าบ

2เกลอต่อ จะเห็นว่า ผู้ที่เข้าข่ายเป็นอาชญากรสงคราม ไม่มีตรงไหนระบุว่าต้องเป็นผู้ทรยศต่อชาติ ผู้ที่สัมพันธมิตรเอาตัวไปประหารทั้งเยอรมันและญี่ปุ่นล้วนเป็นผู้ที่รักชาติของตนอย่างเข้มข้นทั้งนั้น ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา(ซึ่งพล.อ.อดุลให้การว่าตนไม่ได้รับรู้อะไรตอนนั้น และพาดพิงนายวณิชและหลวงวิจิตรว่าน่าจะเกิดจากการยุยง(จอมพลป.)ของบุคคลทั้งสอง) จอมพลป.คงจะดิ้นหลุดข้อ1ของมาตรา3 ยาก

มาดูมาตรา9


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ก.ค. 10, 08:26
หากศาลเห็นว่าจำเลยมีความผิดจริงตามมาตรา3ดังกล่าว จอมพลป.ก็ต้องได้รับโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง แค่จำคุก20ปีก็หมดสภาพแล้ว


อ้างถึง
ดิฉันยังติดใจคำให้การชั้นสอบสวนของพลต.อ.อดุล    เพราะดูๆแล้ว เป็นการระบายโทสะที่คับแค้นใจ จากเพื่อนที่น้อยใจเพื่อน   มากกว่าจะเป็นการกระหน่ำเอาให้จมดิน   เพราะไม่มีตอนไหนเลยที่คำให้การพูดถึงบทบาทของจอมพล ป.ว่าทรยศต่อชาติ   ถ้าหากว่าพลต.อ.อดุลเน้นตรงนี้   กฎหมายจะย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง  จอมพลป.คงเอาตัวรอดจากสังคมยากเหมือนกัน

คำให้การนั้น ถ้าพล.อ.อดุลจะจบเพียงว่า ค.ร.ม.แค่ยอมให้กองทัพญีปุ่นผ่าน แต่การร่วมรบโดยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา จอมพลป. และจำเลยคนอื่นๆ ร่วมกันกระทำการโดยลำพัง ก็ย่อมจะมีความผิดตามมาตรา3  เท่านี้ก็ถือว่าจอมพลป.จมดินไปแล้ว แต่พล.อ.อดุลกลับเลือกใช้ประโยชน์จากศาล ที่คุ้มครองพยานต่อคำให้การเข้าข่ายหมิ่นประมาท มาระบายโทษะที่คับแค้นใจ กระหน่ำเพื่อนต่อเสียเละเทะ ที่ผมคัดมาลงไว้ข้างล่างเป็นเพียงบทนำ รายละเอียดต่อจากนั้นหลายสิบหน้ากระดาษ ผมสแกนไม่ไหว

ส่วนว่าสังคมอ่านแล้วจะคิดอย่างไร ก็คงจะแบ่งเป็น3พวก เหมือนเรื่องในปัจจุบันนี้แหละ คือ 1เชื่อ 2ไม่เชื่อ 3เฉยๆ  แต่คำให้การของพล.อ.อดุลก็เปิดเผยสิ่งที่สังคมไม่เคยได้รับทราบเยอะแยะเกี่ยวกับจอมพลป. ทุกวันนี้บันทึกเรื่องราวในประวัติศาสตร์จึงให้ภาพจอมพลป. ไม่ใช่พระเอกของคนไทยแน่นอน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ก.ค. 10, 08:35
อ้างถึง
แต่ต่อมาในสมัยสงครามโลก พลต.อ.อดุลผู้ออกหน้าในรายงานการประชุุมรัฐมนตรีในวันที่ ๗-๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ว่าเราไม่มีกำลังพอจะสู้ญี่ปุ่นได้แน่ๆ   เริ่มเห็นว่านโยบายของเพื่อนรักอาจผิดพลาด  แต่ท่านก็ลังเลอยู่หลายเดือนกว่าจะเข้าร่วมเสรีไทย   
ตรงนี้ดิฉันไม่เห็นว่าท่านเหยียบเรือสองแคม  แต่การตัดสินใจเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  ทำลงไปก็เหมือนหักหลังเพื่อน   ถ้าจะทำก็ต้องมีเหตุผลยิ่งใหญ่กว่ารองรับ   คือรู้แน่ว่าเสรีไทยและพันธมิตรไปรอด   ชาติไทยก็จะไปรอด  ท่านถึงยอมเป็นเสรีไทย
ก็ขอให้เห็นใจท่านหน่อยว่า ถ้าเสรีไทยเกิดหน่อมแน้มขึ้นมา   ท่านจะเหลือซากละหรือ  เพราะญี่ปุ่นก็ยังไม่หน่อมแน้มเลยสักนิด    จนลางแพ้ญี่ปุ่นเริ่มฉายนั่นแหละท่านถึงเชื่อว่าเสรีไทยไปรอดแน่  อย่างน้อยแบ๊คด้านพันธมิตนก็แข็งแกร่งกว่าแบ๊คด้านญี่ปุ่นของท่านจอมพล


ผมเพิ่งจะบรรลุจากการอ่านหนังสือหลายเล่มที่ต่างคนต่างเขียน บางทีก็ไม่ทราบว่าใครทำอะไรในตอนนั้น เมื่อเอามาประกอบกันในคราวนี้ จึงปรากฏวีรบุรุษตัวจริงของชาติในเรื่องเสรีไทย ก็คือร.ต.อ. โพยม จันทร์คะ ที่ยอมเสี่ยงทรยศต่อคำสั่งพล.ต.อ.อดุลผู้เป็นนาย แอบพานายป๋วยไปพบนายปรีดี และพาไปลักลอบส่งวิทยุ ทำให้อังกฤษรู้ว่าปฏิบัติการขั้นที่1 สำเร็จแล้ว เริ่มปฏิบัติการขั้นที่2.. 3.. 4..ได้ตามลำดับ

หากไม่มีคนอย่างร.ต.อ. โพยม จันทร์คะ ป่านนี้พล.ต.อ.อดุลก็คงยังเห็นเสรีไทยหน่อมแน้มอยู่นั้นเอง ประวัติศาสตร์ของชาติก็อาจจะหักเหไปอีกมุมหนึ่ง เพราะอังกฤษและอเมริกาคงไม่ยอมทุ่มกำลังพลพรรคเสรีไทยเข้ามามากมาย และจนถึงกับอเมริกันส่งคนมาบอกให้พล.ต.อ.อดุลกับนายปรีดีจับมือกันทำงานเสียที

ชาติจึงได้ไปรอดได้อย่างเฉียดฉิว เพราะเสรีไทยมีผลงานก่อนยุติสงครามเพียงนิดเดียวเท่านั้น


ร.ต.อ. โพยม จันทร์คะเดินออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์เหมือนทหารนิรนาม ท่านดีกว่าพวกนั้นหน่อยที่ท่านรอดชีวิตจากสงคราม แต่ทหารนิรนามก็ดีกว่าท่าน ตรงที่มีผู้สร้างอนุสาวรีย์ให้ มีคนไปวางพวงมาลาทุกปีๆ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 25 ก.ค. 10, 08:49
แม้แต่ฮิตเล่อร์ ที่คนเกือบทั้งโลกประณาม แต่คนเยอรมันก็รักเคารพฮิตเล่อร์ เคยได้ยินคำกล่าวคล้ายๆกับว่า
เมื่อชาติแพ้ คนทั้งชาติก็แพ้ด้วย....สงครามมีแต่การสูญเสีย..มีทั้งวีรบุรุษ และคนขายชาติ ....ในสายตาของ
หลายๆคน คนๆนึงอาจเป็นวีรบุรุษสำหรับเขา แต่อีกหลายคนก็มองว่าเป็นคนไม่ดี...
คงมีแต่เจ้าตัวนะคะ ที่รู้ดีเต็มอกว่าตัวเองทำไปเพราะอะไร....สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจค่ะ....


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 25 ก.ค. 10, 09:11
ร.ต.อ. โพยม จันทร์คะเดินออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์เหมือนทหารนิรนาม ท่านดีกว่าพวกนั้นหน่อยที่ท่านรอดชีวิตจากสงคราม แต่ทหารนิรนามก็ดีกว่าท่าน ตรงที่มีผู้สร้างอนุสาวรีย์ให้ มีคนไปวางพวงมาลาทุกปีๆ

ชอบมากครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 10, 09:28
เปิดหนังสือ "เสรีไทย อุดมการณ์ที่ไม่ตาย"  จัดทำโดยอนุกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือที่ระลึก คณะกรรมการดำเนินงานเปิดอาคารเสรีไทยอนุสรณ์
เจ้าของเรื่องคือสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี   ค้นหาชื่อของร.ต.อ. โพยม  เจออยู่นิดเดียว ว่า
เสรีไทยสายอังกฤษทั้ง ๖ คนถูกนำตัวมาขังรวมกัน ไว้ที่กองตำรวจสันติบาล  ซึ่งมีร.ต.อ. โพยม จันทรัคคะ(นามสกุลจริงของท่านคืออะไรกันแน่) ได้รับมอบหมายจากพลต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส ให้เป็นผู้ดูแล...
................
ระหว่างอยู่ในความควบคุมของสันติบาล   ป๋วยซึ่งนำสารลับจากกองบัญชาการ ๑๓๖ ก็ได้ลอบเดินทางไปพบนายปรีดี พนมยงค์...
จบ
แค่นี้เอง

ชื่อของร.ต.อ. โพยมถูกเอ่ยถึงครั้งเดียวในฐานะผู้ควบคุมเสรีไทย  การนำสารของดร.ป๋วยก็ไม่มีการเอ่ยถึงว่าใครเสี่ยงตายต่อหน้าที่การงานนำไปพบนายปรีดี   เหมือนกับว่าท่านหาทางเล็ดรอดตำรวจไปจนพบเอง
ร.ต.อ. โพยมถูกมองข้ามความสำคัญไปจริงๆ   ถ้ามองอย่างที่คุณนวรัตนมองว่าท่านคือวีรบุรุษคนหนึ่งของเสรีไทย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 10, 09:38
อ่านมาตรา 3(1) ข้อเดียวในร่างพ.ร.บ.อาชญากรสงคราม ในคห. 295   ถ้านำมาใช้ได้จริงๆ จอมพลป.ก็ไม่รอดแล้ว    ลองนึกกลับกันว่าถ้าญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะ  ใครเป็นฝ่ายพันธมิตรถูกจับขึ้นศาลพิเศษ 
ไม่มีการออกพ.ร.บ.เพราะรู้ว่าย้อนหลังไม่ได้   แต่มีระเบียบการของศาลพิเศษเหมือนในพ.ร.บ.นี้ ลิสต์ชื่อผู้โดนมาตรา 9  จะยาวเหยียดแค่ไหน   และมีชื่อใครบ้าง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ก.ค. 10, 17:48
อ้างถึง
เสรีไทยสายอังกฤษทั้ง ๖ คนถูกนำตัวมาขังรวมกัน ไว้ที่กองตำรวจสันติบาล  ซึ่งมีร.ต.อ. โพยม จันทรัคคะ(นามสกุลจริงของท่านคืออะไรกันแน่) ได้รับมอบหมายจากพลต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส ให้เป็นผู้ดูแล
.

ผมเคยเขียนเรื่องของร.ต.อ.โพยม จันทะรัคคะ ไว้ในความคิดเห็นที่ 194 นามสกุลนั้นสะกดตามที่เห็นมาจากหนังสือตำนานเสรีไทย  ส่วน“จันทร์คะ” ในกระทู้หลัง เอามาจากหนังสือคนละเล่มกันชื่อประวัติของนายพลตาดุ  โดยมิได้เฉลียวใจว่าจะผิดกัน ขออภัยครับ

พอมีปัญหาเลยถามกูเกิล ได้ความว่าที่ถูกต้องคือ จันทรัคคะ  ท่านมีผลงานเป็นบทวิชาการเยอะ แต่ไม่มีที่เขียนไว้เกื่ยวกับเสรีไทย และวีรกรรมของตนเองเลย


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 10, 18:07
บทบาทของร.ต.อ. โพยมที่เจอเพิ่มเติม ก็สอดคล้องกับที่คุณนวรัตนเล่าไว้  บทความต่อไปนี้ ผู้เขียนคือร.ต.อ. ประสิทธิ์ รักประชา เขียนลงในต่วยตูน
มีตอนหนึ่งกล่าวถึงเรื่องเสรีไทยว่า

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ดร.ป๋วย  อึ้งภากรณ์ กับพวกรวม 3 นาย ได้กระโดดร่มลงที่ชัยนาท ถูกชาวบ้านล้อมจับ ฐานเป็น แนวที่ 5 เหมือนเดิม ถูกซ้อมสะบักสะบอม อธิบดีตำรวจ หลวง อดุลเดชจรัส ทราบเรื่องจึงให้ตำรวจไปรับตัวมาขังที่สันติบาล ห้องเดียวกับ ร.อ.หยุนกัง และ ร.อ.หวุนฮั่นอู่ จึงรู้จักสนิทสนมกัน ตั้งแต่นั้นมา ขณะนั้น พล.ต.จ.ขุนศรีศรากร เป็นผู้บังคับการสันติบาล พ.ต.อ. จำรัส  มัณฎุกานนนท์ เป็นรองผู้บังคับการ ร.ต.อ.รัตน์  วาฒนมหาต เป็นสารวัตรกองกำกับการ 1 ท่านผู้นี้มีความสามรถในการสืบสวนเป็นเยี่ยมผู้ใต้บังคับบัญชาเคารพนับถือเชื่อฟังคำสั่ง เมื่อปี 2497 ข้าพเจ้าเป็น ร.ต.ต. ประจำกองบังคับการ ท่านเลื่อนชั้นเป็น พล.ต.จ. ผู้บังคับการสันติบาล แล้ว ร.ต.อ. ชีพ ประพันธ์เนติวุฒิ เป็นสารวัตร กองกำกับการ 3 ท่านมีความรู้ภาษาจีนอย่างลึกซึ้ง เพราะท่านศึกษาในประเทศจีนจากต้นตำรับโดยตรง รับผิดชอบ เอกสารติดต่อระหว่างไทย- จีนนโดยเฉพาะ ในปี 2512 ข้าพเจ้าเป็น พ.ต.ท. รองผู้กำกับการข่าว ตชด.ท่านเลื่อนขึ้นเป็น พล.ต.ต  ผู้ช่วยผู้บัญชาการ ตชด.แล้ว เช่นกัน
   ยังมี ร.ตท.โพยม  จันทรัคคะ ร.ต.ต. ธานี สาธรกิจ และ จ.ส.ต. เทียน สุโกศล เป็นหลานชาย นายใจ บิดา นาย กมล สุโกศล คุ้นเคยกับท่านอธิบดี จึงฝากฝังขอเป็นตำรวจด้วยคน จ.ส.ต.เทียน สำเร็จจากโรงเรียนมัธยมจงหวา รุ่นที่ 4 แล้วไปเรียนต่อที่ประเทศจีนอีกหลายปี เป็น จ.ส.ต.ที่สอบเป้นพนักงานสอบสวนได้ และเชี่ยวชขาญภาษาจีนอีกด้วย ท่านอธิบดีจึงเรียกใช้อย่างใกล้ชิด มอบให้ทำงานติดต่อกับฝ่ายรัฐบาลจีนที่นครจุงกิง ยังมีนายตำรวจอีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวนาม ได้ร่วมขบวนการเสรีไทยภายใต้การนำของท่าน พูเลา ทั้งสิ้น เป็นเกราะป้องกันเสรีไทยทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะพวกที่กระโดดร่มลงมาและขึ้นฝั่งทางทะเล
   ท่านมีคำสั่งให้จับเป็น ห้ามจับตาย และ ห้ามซ้อม (เรื่องนี้ถนัดนัก) พวกที่ถูกจับได้ ทหารญี่ปุ่นเคยมาขอตัวอ้างว่าจะเอาไปสอบสวน แต่ทางสันติบาลไม่ให้ แต่ถ้าต้องการประวัติของบุคคลเหล่านี้ก็ไม่ขัดข้อง
   ดร.ป๋วยและพวก ถูกขังที่สันติบาล เวลากลางวันก็เห็นอยู่ในห้องขัง แต่เวลากลางคืนหายตัวได้ ไปทำงาน รับ-ส่งวิทยุ ติดต่อกองบัญชาการทหารสัมพันธมิตร และ ขบวนการเสรีไทยนอกประเทศ โดยมีนายตำรวจ ติดตามไปอำนวยความสะดวก และ คุ้มกันไม่ให้ญี่ปุ่นลักพาตัวไป ก่อนสว่างก็กลับที่คุมขังเหมือนเดิม งานเสรีไทยจึงได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เสรีไทยสายจีนได้พึ่งบารมีด้วย นี่แหละคือฝีมือของเสรีไทยสายตำรวจ.
     ขอนำมาลงอีกครั้ง  เป็นการรำลึกถึงเสรีไทยสายตำรวจ   ซึ่งมีเอกสารบันทึกเอาไว้น้อยกว่าเสรีไทยสายอื่นๆ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 26 ก.ค. 10, 18:35
มานั่งรอตั้งแต่เช้า คิดว่าวันนี้ครูจะไม่มาสอนเสียแล้ว  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ก.ค. 10, 18:54
ถ้ามีคำถาม กระทู้นี้ก็อยู่ยาวหน่อยครับ

ถ้าเงียบไปทั้งหน้าห้องหลังห้อง

ก็แบ๊ะๆเหมือนกัน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 10, 18:57
เมื่อเริ่มมีเสียงจากในห้องเรียน   
ระหว่างรอท่านกูรูใหญ่กว่ามาเล่าต่อ   ดิฉันก็ขอโพสต์อะไรเล็กๆน้อยๆไปก่อน ไม่ให้ขาดช่วง  เกี่ยวกับพลต.อ. อดุล
สุพจน์ ด่านตระกูล เขียนไว้ในคำนำหนังสือคำให้การของพลต.อ. อดุล ดังนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 10, 19:02
ในตอนต้นกระทู้ ดูเหมือนจะไม่ได้บอกว่าพลต.อ.อดุล เป็นศิษย์เก่าร.ร.ไหนมาก่อน   ในประวัติมีรายละเอียด
ท่านเป็นศิษย์เก่าอัสสัมชัญ   ท่านน่าจะรู้ภาษาอังกฤษดี


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 10, 19:15
พลต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ เขียนไว้อาลัยพลต.อ.อดุล ตอนหนึ่งระบุว่ามีการออก พ.ร.ก  พิเศษเพื่อให้อำนาจท่านโดยเฉพาะ  


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 10, 20:08
ส่วนเรื่องพลต.อ.อดุลถึงแก่กรรมด้วยโรคอะไรนั้น    มีลงในคำไว้อาลัยเช่นกัน  แต่อ่านแล้วก็ไม่ค่อยชัดเจนว่าท่านเป็นอะไรกันแน่
ต้องขอเชิญคุณหมอ CVT มาช่วยวินิจฉัยอาการ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 10, 21:55
หยุดยาวหลายวัน  นักเรียนไปเที่ยวหรือไม่ก็เข้าวัดกันหมด   ครูต้องเลคเชอร์กับโต๊ะเก้าอี้และกระดานดำไปพลางๆ  กระทู้นิ่งเมื่อไรท่านกูรูใหญ่กว่าจะหายตัว

ความคิดเห็นนี้เกิดขึ้นหลังจากอ่านกระทู้มาสามร้อยกว่าความเห็น     มองเห็นภาพว่า จอมพลป. ท่านเล็งการณ์ไกล ส่งเพื่อนรักไปคุมกรมตำรวจ   ส่วนท่านคุมทหารบก    ในบ้านเมืองเราสมัยนั้น  "กลุ่มพลัง" ที่แข็งแกร่งที่สุดคือทหารบกกับตำรวจ   ถ้าหากว่ารวมกันได้เมื่อไร  ไปอยู่ในมือใคร คนนั้นก็เป็นจอมกระบี่ไร้เทียมทาน
ผู้นำที่มองข้อนี้ออก ไม่ว่าเคยเรียนประวัติศาสตร์ไทยหรือไม่ก็ตาม จึงต้องวางเส้นทาง เอาคนที่เชื่อใจได้เป็นผบ.ทบ.และอ.ต.ร. (สมัยนี้ก็คือผบ.สตช) ขึ้นตรงต่อผู้นำคนเดียว  
ใครที่เป็นฝ่ายตรงข้าม  ก็ต้องมีกลุ่มพลังของตัวเองบ้าง ไม่งั้นไปไม่รอด

ส่วนกำลังของพลเรือน(ใช้คำนี้เพื่อไม่ให้สับสนกับคำว่าประชาชน) ที่รวมพลังกันได้เหนียวแน่นที่สุด คือกลุ่มพลเรือนอุดมการณ์เดียวกัน คือสังคมนิยม  นำโดยนายปรีดี พนมยงค์  
กลุ่มนี้มีกองกำลังติดอาวุธที่แข็งแกร่ง คือกองกำลังของครูเตียงและนายครอง จินดาวงศ์   ส่วนที่อยู่ในเมืองเป็นพวกปัญญาชนในหลายๆอาชีพ  นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ที่ร่วมอุดมการณ์ก็มีหลายคน
นอกจากนี้  ยังมีกลุ่มพลังที่ไม่รวมกับทหารบก คือกลุ่มทหารเรือ    เข้ามาร่วมกับกลุ่มพลเรือนในรัฐประหารปี ๒๔๙๒ หรือกบฏวังหลวง   แต่ว่าสู้แรงกลุ่มพลังแรกไม่ได้ ก็ถูกสตัฟฟ์เอาไว้ให้หยุดแค่นั้น
มีความพยายามอีกครั้งในพ.ศ. ๒๔๙๔ เกิดกบฏแมนฮัตตัน แต่ทำไม่สำเร็จ  ก็ถูกฟรีซไปยาวนานเลยทีนี้

กลุ่มพลังกลุ่มแรก คือทหาร+ตำรวจ มีกำลังยืนยาวนานมาจนถึงพ.ศ. ๒๕๐๐   แม้ว่าพลต.อ.อดุลพ้นหน้าที่อธิบดีตำรวจไปแล้ว เนื่องจากรักเป็นพิษขึ้นมาภายหลัง  แต่นโยบายของจอมพลป.ยังยึดแนวทางเดิม    เราจึงมียุค "ใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" ในช่วงต่อมา   หลังกบฏวังหลวง
ตำรวจยุคพลต.อ.เผ่า ศรียานนท์แข็งแกร่งยิ่งกว่ายุคพลต.อ.อดุล เสียอีก

ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มรัฐสภา เป็นกลุ่มที่ยังไม่มีพลังต่อรองมากนัก  รวมกันก็ยังไม่ติด เพราะแบ่งแยกเป็นพรรคต่างๆ   ตั้งแต่พ.ศ. 2475 จนถึง 2500   จากนั้นก็แทบจะสูญหายไปเลยในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ 2500-2506





กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 27 ก.ค. 10, 06:31
เมื่อวานแวะเข้ามาดูหลายรอบเลยค่ะ เห็นกระทู้เงียบ เลยนึกว่าโรงเรียนปิดยาวช่วงวันหยุดยาว..
วันนี้แวะเข้ามาใหม่ อ้าว โรงเรียนมีสอนพิเศษแล้ว แหม..เกือบขาดเรียนแน่ะค่ะ... :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 27 ก.ค. 10, 15:49
มาลงชื่อว่า ยังคงเข้าเรียนอยู่ครับ


รอท่านคุณครูใหญ่ มาประสิทธิประสาทวิชาการความรู้เหมือนเช่นเคยครับ
 8)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 27 ก.ค. 10, 19:29
เข้ามาเช็คชื่อด้วยค้าบ คุณครู......... ;D

ยังคาใจเรื่องกบฏแมนฮัตตันอยู่ครับ.....เห็นว่าตำรวจกับทหารเค้ารวมตัวกันบอมบ์เรือทิ้งโดยไม่ห่วงท่านผู้นำเลยหรืออย่างไรคับ.....ต้องว่ายน้ำปะล่อกปะแล่กขึ้นฝั่งเอง....

ท่านผู้นำท่านรอดมาไม่เฉ่งปี๋กับลูกน้องท่านเลยหรือครับ....

เอ...แล้วเจ้าทรากเรือนี่ยังนอนอยู่ก้นแม่น้ำหรือใครย้ายไปไหนแล้วครับเนี่ย.....

หากเนื้อหาไม่เกี่ยวกับกระทู้ก็ขออภัยด้วยครับ.....แต่นักเรียนเห็นว่า พล.ต.อ.อดุล กับจอมพล ป.ท่านก็แทบจะเป็นสองคนในร่างเดียวกันอยู่แล้ว....เข้ามาในกระทู้แล้วก็เลยอยากทราบให้ครบถ้วนน่ะครับ.....แหะ แหะ....


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.ค. 10, 19:57
ขอคั่นโปรแกรมด้วยเรื่องเล่าสั้นๆเรื่องหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการต่อต้านญี่ปุ่่นในไทย ยุคก่อนเสรีไทย

ญี่ปุ่นเพิ่งจะยกพลเข้าไทยในพ.ศ. 2484  เป็นช่วงปลายๆของแสนยานุภาพญี่ปุ่น   แต่ทว่าก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นบุกจีนตั้งแต่ปี 2480 มาแล้ว เป็นสงครามใหญ่ที่ทำเอาจีนระส่ำระสายไปทั่วประเทศ  
สิ่งที่ญี่ปุ่นทำกับจีนนับว่าหนักหนาสาหัส ใครยังไม่ได้อ่าน The Rape of Nanking  ขอให้ไปหาอ่าน หรือไปค้นในกูเกิ้ลดูก็ได้ค่ะ  จะเข้าใจทำไมคนจีนทั้งในและนอกประเทศทนไม่ไหว
คนจีนในสยามแอนตี้ญี่ปุ่นกันอย่างเอาจริงเอาจัง    จนกระทั่งรวบรวมกำลังกันได้ ก่อตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นเพื่อกู้ชาติจีน
ขบวนการผู้รักชาติจีนโดยลูกจีนในสยาม ทำกันเข้มแข็งมาก จนกลายเป็นองค์กรใหญ่ของงานกู้ชาติของชาวจีนโพ้นทะเล    ทำงานประสานกับรัฐบาลจีน  ขยายเครือข่ายสาขาออกไปอย่างกว้างขวางเป็นร้อยๆสาขา  ภารกิจอย่างหนึ่งในหลายอย่างคือรวบรวมเงินส่งไปช่วยรัฐบาลจีนฟื้นฟูประเทศ
   หนึ่งในผู้ที่สนับสนุนขบวนการกู้ชาติ  คือเหียกวงเอี่ยม ประธานหอการค้าจีนในสยาม    เขาทำงานประสานกับนายเซียวฮุดเส็ง  พ่อตาของนายวิลาศ โอสถานนท์   สร้างสายสัมพันธ์ทางการค้า กับสมาคมพ่อค้าข้าว สมาคมโรงสี วงการค้าผ้า วงการค้าทองรูปพรรณเพชรนิลจินดา วงการค้ายาเส้น อย่างหนึ่งที่ทำกันคือรวมหัวกันแอนตี้ไม่ค้าขายข้าวกับญี่ปุ่น
     ขบวนการนี้ตั้งกลุ่มย่อยขึ้นมาเพื่อกำจัดลูกพรรคที่ทรยศไปเข้าข้างญี่ปุ่น  ตลอดจนสืบหาสายลับญี่ปุ่นโดยเฉพาะ   การทำงานของขบวนการก็รั่วไหลไปถึงทางการของไทย  ทำให้ทางตำรวจเริ่มมองเขม็งมาทางนี้    พวกเราที่อ่านกระทู้มาคงจำได้ว่ารัฐบาลไทยติดต่อมีสัมพันธ์ทางการค้ากับญี่ปุ่นด้วยดีมาตั้งแต่ก่อนสงคราม    
      นอกจากทางการไทยเล็งขบวนการอยู่  ทางญี่ปุ่นในไทยก็มองเห็นภัยของขบวนการกู้ชาติอยู่เช่นกัน  นอกจากนี้ยังมีความแตกแยกในกลุ่มพ่อค้าจีนระหว่างพ่อค้าในขบวนการกับพ่อค้านอกขบวนการ    ผลก็คือมีการลอบสังหารเหียกวงเอี่ยม เมื่อพ.ศ. 2482  อย่างอุกอาจหน้าโรงงิ้วฮั่นจิวที่เยาวราช     ว่ากันว่าเป็นการสะกัดการเติบโตขององค์กร
     ความตายของเหียกวงเอี่ยมก็ยังเป็นเรื่องลึกลับมาจนบัดนี้  ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่ลงมือ   มีทั้งข่าวว่าญี่ปุ่นส่งคนมากำจัด  ทั้งข่าวว่าเป็นคนจีนด้วยกันเองว่าจ้างมา  และข่าวว่าคนยิงคือสิบตำรวจเอกคนหนึ่ง     คำตอบยังไม่ชัดเจนอยู่จนทุกวันนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.ค. 10, 20:00
ขณะออกนอกเรื่องพลต.อ.อดุล  กำลังเพลินๆ   ก็ชนกันกลางอากาศกับคุณ PH 

ขอบายเรื่องกบฏแมนฮัตตัน   ส่งต่อให้ท่านกูรูใหญ่กว่าเพียงผู้เดียว 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ก.ค. 10, 20:35
ผมกำลังติดงานอยู่ต่างจังหวัดครับ

ขอเข้ามาอ่านอย่างเดียวก่อน
อีก2-3กลับกรุงเทพแล้วจึงจะทำการบ้านครับ



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: yanang ที่ 27 ก.ค. 10, 21:28
มารายงานตัวว่ายังติดตามอยู่นะคะท่านอาจารย์  :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 28 ก.ค. 10, 06:39
ความรู้ใหม่เรื่องญี่ปุ่นบุกเมืองไทย  เพิ่งอ่านพบในพระราชหัตถเลขาที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ พระราชทานไปยังพระสหายชาวอังกฤษว่า  ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงคาดการว่า ญี่ปุ่นมีแผนจะบุกสิงคโปร์เพื่อตัดขาดเส้นทางคมนาคมสู่เอเชีย  และเป็นฐานในการบุกออสเตรเลีย  มาตั้งแค่รัชสมัยรัชกาลที่ ๖ แล้วครับ  แต่เวลานั้นญี่ปุนมัวติดพันกับสงครามในเมืองจีนจึงต้องรอมาอีกเกือบ ๒๐ ปี เมื่อยึดเมืองจีนได้แล้วจึงหันมาเปิดสงครามมหาเอเชียบูรพา 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 28 ก.ค. 10, 13:50
สำหรับผม ก.ท.นี้"มัน" จริงๆ คนอายุขนาดผมจะได้รำลึกถึงความหลัง คนรุ่นหลังๆก็ได้ความรู้ ใบปลิวอะไรต่างๆนั้นก็เคยได้เห็นมากับตา เคยฟังเสียงเครื่องบิน จนชำนาญว่าเสียงไหนเสียงเครื่องบินญี่ปุ่น เสียงไหนเสียงเครื่องบินฝรั่ง มีครั้งหนึ่งนอนฟังเสียงเครื่องบินกันอยู่ที่ บางละมาด คุณพ่อบอกว่า อ๋อเสียงเครื่องบินญี่ปุ่นน่ะ คงจะไปทิ้งระเบิดที่พม่ามา ผมเรียนท่านว่า ผมว่ามีเสียงเครื่องบินฝรั่งปนอยู่ด้วยนะครับ อีกไม่นานเสียงระเบิดดังตูมตาม เครื่องบินฝรั่งบินตามมาครับ บางครั้งเดือนหงายๆเวลาเครื่องบิน บี 29 บินมาตัดกับภาพพระจันทร์นี่ "โดนใจ" หรือตอนที่ไฟฉายตู่อสู้อากาศยานจับเครื่องบินได้มีการยิงปตอ.ขึ้นไปทางเครื่องบินก็ยิงลงมา มันมากครับ แสงไฟฉายของทหารญี่ปุ่นคนละสี คนละความเข้มกับแสงไฟฉายของทหารเรือไทยครับผม ตอนแมนฮัตตันผมน่าจะอยู่สามย่านแล่วนะครับ เรือ"ศรีอยุธยา" เป็นเรือที่ผมได้ขึ้นไปชมบ่อยมากตอนเข้าอู่ที่ "บางกอก ดอค" ตอนนี้ยังอยู่ใต้แม่น้ำเจ้าพระยาตรงวัดอรุณครับ ทางการพยายามจะกู้ก็ไม่สำเร็จ ครับผม เสียดายจังงงงง
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 28 ก.ค. 10, 14:18
จะรบกวนเกินไปไหมคะ ถ้าอยากทราบเรื่องราว ในสมัยสงคราม ประมาณเรื่องเล่าจากผู้อยู่ในเหตุการณ์จริงๆน่ะค่ะ
สมัยก่อนชอบไปขอให้พ่อกับแม่เล่าให้ฟัง ก็เลยพอมองภาพสงครามโลกที่ทางใต้ได้บ้าง อยากทราบที่อื่นๆบ้างน่ะค่ะ
แหะๆ คั่นรายการ ด้วยเรื่องเล่าจากวันวาร ไปพลางๆได้ไหมคะ...


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 28 ก.ค. 10, 14:38
จะรบกวนเกินไปไหมคะ ถ้าอยากทราบเรื่องราว ในสมัยสงคราม ประมาณเรื่องเล่าจากผู้อยู่ในเหตุการณ์จริงๆน่ะค่ะ
สมัยก่อนชอบไปขอให้พ่อกับแม่เล่าให้ฟัง ก็เลยพอมองภาพสงครามโลกที่ทางใต้ได้บ้าง อยากทราบที่อื่นๆบ้างน่ะค่ะ
แหะๆ คั่นรายการ ด้วยเรื่องเล่าจากวันวาร ไปพลางๆได้ไหมคะ...


อ่านเล่นไปก่อนครับ

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=panthep&date=08-12-2009&group=2&gblog=38

หรืออีกแห่งไปโหลดมาอ่านจากที่นี่ครับ

http://www.4shared.com/document/eqlBoOwa/_online.html


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 28 ก.ค. 10, 14:41
ขอบพระคุณค่ะ  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ก.ค. 10, 10:28
มีให้อ่านเล่นอีกเรื่องหนึ่ง

เมื่อญี่ปุ่นบุกสงขลา โดย ขุนศิลปกรรมพิเศษ (แปลก ศิลปกรรมพิเศษ)

หน้าแรก

(http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9521148/K9521148-1.gif)

หน้าต่อไปอ่านได้ที่

http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9521148/K9521148.html

 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 29 ก.ค. 10, 10:40
ผม scan เป็น pdf file ไว้นานแล้ว ไปโหลดได้ที่นี่ครับ

http://www.4shared.com/document/-UCCM8wg/_online.html


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 29 ก.ค. 10, 10:41
 :D ทั้งอาจารย์ทั้งสมาชิกเรือนไทย ใจดีทุกท่านเลย ขอบพระคุณมากเลยค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 10, 20:17
      มาคั่นโปรแกรมอีกครั้ง

     ในสายตาพลต.อ.อดุล   ท่านเน้นหลายครั้งในคำให้การว่าจอมพลป.เป็นโรคประสาท อิจฉาริษยา หวาดระแวงผู้อื่น  รวมทั้งตัวท่านอธิบดีตำรวจเองด้วย  คือจะเป็นจริงหรือแค่คำเปรียบเปรยก็ไม่แน่  ทีนี้เราลองมามองอีกด้านจากบันทึกของท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามดูบ้าง           ในเรื่องเดียวกันคือเรื่องตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาชญากรสงคราม 
   จะเห็นว่าจอมพลป. ในบันทึกของท่านผู้หญิง เป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมเยือกเย็น  กล้าหาญ  พูดน้อย  เก็บอารมณ์ได้ราบเรียบ   ไม่มีตรงไหนเหมือนจอมพลป.ของพลต.อ.อดุล เลยก็ว่าได้  ราวกับคนละคนแต่ชื่อซ้ำกันเท่านั้น

    ดิฉันยังจำเหตุการณ์ตอนที่ท่านจอมพลถูกรัฐบาลในขณะนั้นตั้งข้อหาว่าเป็นอาชญากรสงครามหมายเลขหนึ่ง นับว่าเป็นโทษขั้นหนักที่สุดสำหรับประเทศ หนังสือพิมพ์ทุกฉบับได้ลงข่าวกันอย่างครึกโครม
  ความรู้สึกของท่านจอมพลในขณะนั้น ดิฉันรู้สึกว่าท่านชินชามาก ทั้งนี้ เพราะทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ และก่อนหน้านั้นก็มีพรรคพวกมาเตือนมาบอกให้รู้ตัวอยู่เสมอๆ แต่ท่านก็มิได้พูดว่ากระไร รู้สึกว่าท่านรู้ชะตากรรมของท่านดี
   วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันที่เจ้าหน้าที่มาเชิญตัวท่านไปควบคุมในฐานะเป็นผู้ต้องหานั้น    พวกเราทุกคนทราบล่วงหน้ากันหมดแล้ว เวลานั้นครอบครัวของเราพักอยู่ที่บ้านหลักสี่ ประมาณตีสี่   วันที่ท่านจะถูกควบคุมตัวเป็นผู้ต้องหาฉกรรจ์ มีนายทหารบกประมาณ ๔ - ๕ คนมาที่บ้าน ร้อยเอกอนันต์ พิบูลสงคราม ลูกชาย เป็นคนเปิดประตูรับนายทหารให้เข้ามาในบ้าน แล้วบอกว่า
         " ขอเวลาหน่อยนะ คุณพ่อยังไม่ตื่น รอให้ท่านตื่นก่อนเถอะ แล้วค่อยเอาตัวไป"
           ซึ่งนายทหารนั้นก็ยินยอมเป็นอย่างดี เมื่อจอมพลตื่นขึ้นมาทราบเข้า ท่านก็ถามว่า
           " อ้อ...เขามากันแล้วหรือ พ่อก็พร้อมแล้วเหมือนกัน "

          นายทหารบกคนที่มาเชิญตัวท่านนั้นชื่อ พ.ท. จำรัส รุ่งแสง ได้คุกเข่ากราบท่านและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอว่า
        " ผมทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น "
         ซึ่งท่านก็เข้าใจและไม่ได้กล่าวอะไรอีกจนคำเดียว ก่อนฟ้าสางในตอนเช้าวันนั้นเอง ท่านก็ออกจากบ้าน จากลูกจากเมียไป โดยมีประสงค์ พิบูลสงคราม  ลูกชายคนที่สองขับรถให้คุณพ่อด้วย

   ระหว่างนั้นได้มีผู้มาแสดงความเสียใจกับดิฉันเป็นจำนวนมาก มีทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ ดิฉันรู้สึกในขณะนั้นว่า ชาวต่างประเทศบางคนเสียอีกที่เข้าใจอะไรๆ ในบ้านเมืองเราดีเสียกว่าคนในประเทศไทย
     นับเป็นภาวะที่ครอบครัวของเราลำบากมากทีเดียว ระหว่างที่ท่านจอมพลอยู่ในที่คุมขังในฐานะอาชญากรสงคราม ดิฉันถึงต้องขายของเก่ากิน มีอะไรก็ขายไป พอเช้าขึ้นเจ๊กก็มาถามว่ามีอะไรจะขายให้บ้าง    ดิฉันก็จัดการขายไปเรื่อยๆ คิดเสียว่าสมบัตินอกกายไม่ตายหาใหม่ได้ ก็เก็บขายเรื่อยไป นอกจากเครื่องเพชรมีค่าชิ้นหนึ่งที่ไม่ได้ขาย แต่เอาไปไว้กับธนาคาร และได้บอกให้เช่าบ้านที่หลักสี่แก่บริษัทการบิน  klm ในราคา ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน นับว่าเป็นราคาสูงทีเดียวสำหรับสมัยนั้น       


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 10, 20:28
            ในตอนนี้เองที่ดิฉันได้ตระหนักดีถึงชีวิตของเมียนักการเมืองว่า บางครั้งก็ต้องลำบากระเหเร่ร่อนไปเมื่อสามีเกิดปัญหาทางการเมืองขึ้นมา ชีวิตต้องขึ้นๆลงๆไม่ราบรื่นเช่นคนอื่น อย่างไรก็ดี ท่านจอมพลมักจะสอนลูกหลานไว้เสมอว่า ท่านเป็นนักการเมืองที่บริสุทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติเพื่อบ้านเมือง แม้จะต้องมีอันเป็นไปอย่างไรก็ตาม ลูกหลานของท่านทุกคนจะสามารถเดินเหินอยู่บนถนนเมืองไทยได้อย่างมีเกียรติมีหน้าตามีตา และท่านเชื่อเสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหรือที่ทำไปนั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเพื่อประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

    ในการที่ท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้พ้นจากโทษอาชญากรสงครามนั้น ดิฉันมีความรู้สึกว่าได้รับความกรุณาช่วยเหลือจากมิตรสหาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งที่ให้การเป็นประโยชน์ในศาลและช่วยเหลือทั้งทางตรงและทางอ้อม นอจากนั้นก็ได้ท่านผู้มีชื่อ คือ พระมนูภาณวิมลศาสตร์ ได้กรุณารับเป็นทนายความให้ ดิฉันขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย และอีกผู้หนึ่งที่ให้การเป็นประโยชน์แก่ท่านจอมพล คิดดูให้ซึ้งจะแปลกหรือเปล่า  ว่าท่านผู้นั้นคือ นายพล อาเคโตะ นากามูระ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นหน่วยงิ ประจำประเทศไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
                
        นายพลญี่ปุ่น เดินทางมาเป็นพยานให้การทางฝ่ายจอมพลป.  ต่อไปนี้คือคำให้การ(บางส่วน)

   เขาถามว่า  " จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เข้าร่วมกับญี่ปุ่นบุกเข้าไปในพม่าผ่านรัฐฉาน ข้อนี้มีสถานการณ์ความเป็นจริงในขณะนั้นอย่างไร "
    (นายพลนากามูระ)     ตอบว่า  " เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง กองทหารไทยเข้าไปรักษาภาคเหนือของรัฐฉานด้วยกำลังเพียงเล็กน้อย  เป็นการเรียกร้องของกองทัพญี่ปุ่น กองทหารไทยไม่เคยบุกเข้าไปในประเทศจีนและประเทศพม่าด้วยตนเอง   ความต้องการของกองทัพญี่ปุ่นในขณะนั้น คือต้องการให้กองทัพไทยปฏิบัติอย่างแข็งขันต่อรัฐบาลจุงกิง   ข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่กองทัพไทยไม่เคยข้ามชายแดนไปเลย "


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 10, 20:38
(ต่อ)
    (ทนาย) ถามว่า  " เหตุการณ์ที่ระนอง เป็นอย่างไรบ้าง "
    (นายพลนากามูระ)  ตอบว่า  " เหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องเคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เกิดขึ้นในช่วงของการเปลี่ยนรัฐบาล
จากจอมพล ป.พิบูลสงคราม มาเป็นนายควง อภัยวงศ์ และกองกำลังส่วนหนึ่งซึ่งสังกัดกองทัพมลายูของญี่ปุ่น   กองกำลังนั้นอยู่ติดกับกองทัพของข้าพเจ้าซึ่งไม่ทราบสถานการณ์อย่างแน่ชัดในขณะนั้น เป็นผู้ก่อเหตุการณ์ขึ้น   เป็นการปฏิบัติที่ผิดพลาด และน่าเสียใจอย่างมาก ในตอนนั้น ข้าพเจ้าในฐานะเป็นผู้แทนของ พล.ท.อิชิคูโระ ผู้บัญชาการกองทัพมลายู ได้กล่าวขอขมาต่อฝ่ายไทย และเป็นผู้นำคำขออภัยของรัฐมนตรีกลาโหมหัวหน้าเสนาธิการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการกองทัพใหญ่จอมพลเทราอูจิ ไปมอบให้กับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีควง และรัฐมนตรีกลาโหม พล.ร.อ. สินธุ์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม "
     (ทนาย)  ถามว่า  " จอมพล ป. พิบูลสงครามให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่และสม่ำเสมอกับฝ่ายญี่ปุ่นหรือไม่ "
    (นายพลนากามูระ)   ตอบว่า  " ประเทศญี่ปุ่นและไทยเป็นสัมพันธมิตรกัน จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นนักการเมืองที่น่านับถือยกย่อง ท่านได้ให้ความร่วมมือตามการเรียกร้องของทหารญี่ปุ่น    ภายใต้ขอบเขตที่จำเป็นตามหลักของสัมพันธมิตร ท่านได้แสดงให้เห็นอย่างองอาจว่าจะไม่ปฏิบัติเรื่องใดๆที่กระทบกระเทือนต่อเอกราชและศักดิ์ศรีของประเทศไทย "
    (ทนาย)  ถามว่า  " ถ้าเช่นนั้น มีอะไรเป็นตัวอย่างบ้าง "
  (นายพลนากามูระ)ตอบว่า " เรื่องเอกอัครราชฑูตทสุโบกามิ ขอร้องให้เขาไปเข้าร่วมประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเซียบูรพาถึง ๓ - ๔ ครั้ง   ข้าพเจ้าไปพร้อมกับเอกอัครราชฑูตด้วยอีก ๒ ครั้ง แต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ตอบปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง"
    (ทนาย)  ถามว่า " มีตัวอย่างอื่น ๆ อีกหรือไม่ "
    (นายพลนากามูระ)  ตอบว่า  " จอมพล ป.พบูลสงคราม ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เพชรบูรณ์ เมื่อพิจารณาสถานการณ์
ทั่วไปของสงครามมหาเอเซียบูรพาแล้วการเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่เป็นการขัดกับข้อเรียกร้องของฝ่ายญี่ปุ่นในขณะนั้น ซึ่งต้องการวัสดุก่อสร้างจำนวนมาก เพื่อไปสร้างและซ่อมถนน ท่านไม่ได้ให้ความร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นอย่างแข็งขันเลย คือ ไม่ได้ยุติการก่อสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ ข้าพเจ้าสามารถบอกเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน  และมีความเชื่อมันในข้อเท็จจริงที่ว่า
     ข้อที่หนึ่ง  การที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เข้าร่วมเป็นสัมพันธมิตรกับญี่ปุ่นเพราะว่าท่านรักเมืองไทย   ท่านพยายามรักษาเอกราชของเมืองไทยและท่านไม่มีเจตนาที่จะสู้รบกับฝ่ายสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
  ข้อที่สอง  จอมพล ป.พิบูลสงคราม ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกองทัพญี่ปุ่นนั้น เฉพาะภายในขอบเขตหน้าที่ซึ่งต้องปฏิบัติในฐานะเป็นกองทัพสัมพันธมิตร และเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารญี่ปุ่นปฏิบัติแบบที่อยู่ในประเทศอินโดจีน - ฝรั่งเศส ข้อนี้ขึ้นกับความสามารถของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นสำคัญ นี่คือการตัดสินใจอย่างแน่วแน่และเป็นการปฏิบัติของผู้ที่รักชาติ ท่านเป็นบุคคลที่คนไทยน่าจะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ   
      สรุปแล้ว จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้รักชาติอันดับหนึ่งของเมืองไทย และต้องมารับเคราะห์กรรมถูกนินทาว่าร้ายจากฝ่ายสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ โดยลำพังเพียงคนเดียว ท่านไม่สู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นเพื่อช่วยรักษาสภาพประเทศไทยไม่ให้ถูกเผาทำลาย สามารถรักษาเอกราชของไทยมาได้จนถึงทุกวันนี้   ท่านเป็นปูชนียบุคคลและเป็นผู้ที่สามารถรู้แนวโน้มของสถานการณ์ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรักษาเอกราชของไทย " 
      การให้ปากคำของข้าพเจ้า(คือนายพลนากามูระ)มีเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าจับมือกับพระมนูภาณฯ อย่างหนักแน่น และท่านได้ลา
กลับไป หลังจากนั้นอีกไม่นาน ศาลฎีกาได้มีคำตัดสินว่าการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามนั้นขัดกับกฏหมายรัฐธรรมนูญของไทย จอมพล ป.พิบูลสงคราม และคณะทุกคนได้รับการปลดปล่อย และพวกข้าพเจ้าได้ฉลองและดื่มสุราแสดงความยินดีกับพวกเขาในครั้งนั้นด้วย

   ท่านจอมพลได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับครอบครัวชั่วระยะหนึ่ง โชคชะตาก็ได้นำให้ท่านกลับเข้ามาทำงานให้แก่ชาติบ้านเมืองอีกครั้งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๐

       แม่ทัพญี่ปุ่นมาเป็นพยานให้จอมพลป. ว่าเป็นผู้รักชาติอันดับหนึ่ง   ทำทุกอย่างเพื่อรักษาเอกราชของไทยไว้  แต่กลับมีเคราะห์กรรมถูกกล่าวหาโดยฝ่ายอังกฤษ  ถ้าหากตัดประเด็นเรื่องกฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง ทำให้ข้อหาต่อท่านจอมพลป. ตกไป   ศาลก็คงต้องพิจารณากันหนักเหมือนกันว่าจะเอาผิดท่านได้หรือไม่    ก็ญี่ปุ่นเขามายืนยันหนักแน่นขนาดนี้แล้วว่าท่านรักชาติ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 10, 21:58
ลองมาทำความรู้จักกับนายพลนากามูระ  เพิ่มเติมจากที่คุณนวรัตนเล่าไว้แล้ว อีกนิดหน่อย นะคะ
ในบันทึกของเขาที่ชื่อว่า Buddhist Commander – The Memory of General Nakamura about Thailand during the Greater East Asia War' เขาเล่าเอาไว้สอดคล้องกับคำให้การคดีอาชญากรสงครามของจอมพล ป.
นายพลนากามูระไม่เห็นว่ากองทัพญี่ปุ่นในไทย มี"แสนยานุภาพ" อะไรมากนัก  กำลังคนก็ไม่ได้มากมายมหาศาลอะไร  แต่ในเมื่อไทยยินยอมเป็นพันธมิตรด้วยดี ก็น่าจะทำให้นายพลญีปุ่นโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
สิ่งที่เขาเน้นก็คือหน้าที่ที่จะทำให้ญี่ปุ่นกับไทยประสานกันได้ ไม่ถึงกับลุกขึ้นต่อต้านจนนองเลือดกันไปทั้งสองฝ่าย    นายพลนากามูระยึดนโยบายอะลุ้มอล่วยมากกว่าปราบปรามเฉียบขาด  ถ้าใครอ่านก็คงรู้สึกว่าท่านนายพลดูจะพยายามผ่อนหนักให้เป็นเบาสำหรับญี่ปุ่นในหลายๆเรื่อง   แม้แต่เรื่องเชลยศึกไปตายกันมากมายก่ายกองในการสร้างทางรถไฟสายมรณะที่กาญจนบุรี    ท่านก็บอกว่าเป็นเพราะโรคอหิวาต์ระบาดจนตายไปมาก   มากกว่าเป็นเพราะถูกทารุณใช้งาน
ส่วนจอมพลป.พิบูลสงครามในสายตาของท่านนายพลญี่ปุ่น   ก็เป็นพันธมิตรจำยอมเสียมากกว่าสมัครใจ   ท่านบอกว่าจอมพลป.ไม่ค่อยจะปลื้มเปรมกับญี่ปุ่นนัก   ญี่ปุ่นจัดการประชุมร่วมกระชับมิตรวงศ์ไพบูลย์ จอมพลป.ก็ไม่ไปเองแต่ส่งตัวแทนไป     ท่านนากามูระยังบอกว่านายกรัฐมนตรีควงเสียอีก เป็นมิตรดีกว่า
เรื่องน่าสนใจในบันทึกนี้คือ นายพลนากามูระบอกไว้ว่ากำลังกองทัพญี่ปุ่นในไทยจะว่าไปก็ไม่มากพอจะจัดการอะไรได้เด็ดขาดลงไป   รวมทั้งระแคะระคายเรื่องเสรีไทย แต่ปราบปรามให้เหี้ยนเตียนลงไปไม่ไหว    นอกจากนี้่ผู้ใหญ่ของไทยอย่างนายปรีดี พนมยงค์ ก็อยู่นอกเหนืออำนาจญีปุ่นจะไปทำอะไรได้      ส่วนคนสำคัญอีกคนหนึ่งคืออธิบดีตำรวจนั้น  ลึกลับและเข้าพบยากที่สุด


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 10, 22:49
บันทึกของนายพลตำรวจของไทย กับนายพลทหารของญี่ปุ่น  มีมุมมองต่างกัน  

ญี่ปุ่นมองว่าตัวเองไม่ได้มีกองทัพใหญ่โตอะไรนัก ที่มายึดครองไทย      ยิ่งอยู่นานจนปลายสงคราม กำลังก็ยิ่งเปลี้ยลง
ไม่ว่าจะยอมรับตรงๆหรือไม่ก็ตาม  มันก็มีความหมายระหว่างบรรทัดว่า ญี่ปุ่นก็หนักใจอยู่ไม่น้อยกับการแข็งขืนลึกๆของไทย  แต่จะจัดการอย่างไรมากกว่านี้ก็ไม่ได้   จึงพยายามประคองอำนาจตัวเองไว้  ไม่ให้สถานการณ์ติดลบลงไปมากกว่านี้อันจะทำให้ต้องแตกหักกัน    ส่วนจะเพิ่มเป็นบวก เห็นจะไม่ต้องหวัง

ในขณะที่พลต.อ.อดุลย้ำในคำให้การหลายครั้งว่า ต้านทานญี่ปุ่นด้วยความหนักใจ    ต้องลอบเร้นเรื่องช่วยเหลือติดต่อเสรีไทยไม่ให้ญี่ปุ่นรู้   นอกเหนือจากไม่ให้จอมพลป. รู้  ก็แปลว่าอำนาจญี่ปุ่นยังยิ่งใหญ่อยู่ในไทย ในสายตาคนไทย

ส่วนญี่ปุ่นก็บอกว่ารู้ระแคะระคายแต่ทำอะไรไม่ได้     ก็แสดงว่าอำนาจของญี่ปุ่นในตอนปลายสงครามไม่ได้มีอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด    มีหลายครั้งที่ญี่ปุ่นจะจับกุมเสรีไทยแต่ตำรวจไทยชิงตัวมาจับกุมสอบสวนเสียก่อน  ญี่ปุ่นก็แทรกแซงเข้ามาไม่ได้สักที    ดร.ป๋วยถึงลอยนวลไปติดต่อนัดพบอธิบดีตำรวจและประสานงานกับพันธมิตรอเมริกาอังกฤษจนสำเร็จ     แสดงว่าอำนาจของนายพลตำรวจไทยก็บิ๊กเบิ้มอยู่ไม่น้อยสำหรับนายพลญี่ปุ่น

เรื่องเมืองหลวงเพชรบูรณ์ของจอมพล ป.     ญี่ปุ่นเองก็พอรู้ๆอยู่ แต่ก็สั่งให้ยุติไม่ได้    ทั้งๆการก่อสร้างใช้วัสดุและแรงคนไทยที่ญี่ปุ่นอยากจะเอาไปใช้เสียเองมากกว่า    จนกระทั่งโครงการนี้มาคว่ำด้วยฝีมือรัฐสภาไทยเอง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 10, 23:14
คำให้การของนายพลนากามูระ มีตอนหนึ่ง พาดพิงถึงเหตุร้ายที่ระนอง ระหว่างญี่ปุ่นยังอยู่ในประเทศไทย แต่ท่านก็ดูอ้อมแอ้มพูดไม่เต็มปากนัก  ทำให้ต่อมอยากรู้กำเริบ  เลยไปหามาได้จากเว็บศุลกากร   เขาบอกว่าในช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้มีส่วนร่วมในการปกป้องและรักษาอธิปไตยของชาติ

จากคำบอกเล่าของนายซ้าย เพ็ชรคุ้ม ข้าราชการบำนาญของด่านศุลกากรระนอง ซึ่งเข้ารับราชการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2473 มีขุนศุภกิจ เป็นนายด่านศุลกากร (พ.ศ.2469-2480) รับราชการที่ด่านศุลกากรระนองจนเกษียณอายุราชการ เมื่อ พ.ศ.2508 และพระครูประจักษ์ สารธรรม วัดตโปทาราม (วัดบ่อน้ำร้อน) ได้เล่าถึงวีรกรรมของเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรระนองว่า
ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณปี พ.ศ.2487) ทหารญี่ปุ่นประมาณ 50 คน ได้ยกพลขึ้นบกทางท่าด่านศุลกากรระนอง เรือทหารญี่ปุ่นจู่โจมเข้ายึดสถานที่ราชการและสถานที่สำคัญในเขตอำเภอเมืองไว้ได้ กองกำลังของไทยได้เข้าต่อต้านจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายนาย
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บได้หลบหนีเข้ามาซ่อนตัวที่บ้านพักของศุลกากร เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ให้ความช่วยเหลือ ให้ที่หลบซ่อนตัวและอาวุธ ต่อมาเมื่อมีการก่อตั้ง “เสรีไทย” นายโพ เดชผล ซึ่งเป็นนายด่านศุลกากรระนอง ในช่วง พ.ศ.2488 และเจ้าหน้าที่ศุลกากรจำนวนหนึ่ง อันได้แก่ นายสมจิตร พลจิตร นายเล็ก โต๊ะมีนา และนายซ้าย เพ็ชรคุ้ม เป็นต้น ได้เข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ช่วยเหลือสนับสนุนในด้านการให้ข่าวสาร ข้อมูล การติดต่อประสานงาน
เช่น นำเรือศุลกากร 12 ไปรับน้ำมันที่นำมาจากคลังของทหารญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าทรายแดง (ก.ม.30) อำเภอเมือง จังหวัดระนอง แล้วนำไปซ่อนไว้บริเวณบ้านหินดาด เนื่องจากขณะนั้นน้ำมันเชื้อเพลิงขาดแคลนมาก และทำหน้าที่ส่ง อาสาสมัครไปฝึกโดดร่มที่เกาะกำ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เพื่อกลับมาปฏิบัติงานใต้ดินในภาคใต้
รวมทั้งติดต่อประสานงานกับหน่วยในอำเภอกระบุรี อำเภอกะเปอร์ และอำเภอตะกั่วป่า เพื่อหาอาสาสมัครเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย โดยมีการติดต่อสื่อสารทางโทรเลขกับขบวนการเสรีไทยในต่างประเทศ โดยอาศัยวิทยุสื่อสารที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นศูนย์กลาง

แต่การดำเนินงานช่วงนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทางญี่ปุ่นเริ่มสงสัยว่า นายโพ เดชผล เป็นหัวหน้าหน่วยเสรีไทยในจังหวัดระนอง อย่างไรก็ตาม นายโพ เดชผล และเจ้าหน้าที่ศุลกากร ได้ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรค ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความอดทน ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยและความเสี่ยงต่อชีวิต จนสิ้นสุดภาวะสงคราม และในที่สุดญี่ปุ่นก็เป็นฝ่ายแพ้สงคราม

ในส่วนของด่านศุลกากร ญี่ปุ่นได้ชดเชยค่าเสียหาย โดยมอบเรือศุลกากร 18 ให้กับ ด่านฯ

จากประวัติศาสตร์ดังกล่าว จึงนับได้ว่า ข้าราชการด่านศุลกากรระนองในอดีต ได้มีส่วนร่วม ในการปกป้องจังหวัดระนอง ปกปักรักษาอธิปไตยของประเทศไทย สมควรได้รับการเชิดชูและเป็นเยี่ยงอย่างแก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรรุ่นหลังได้สำนึกว่า นอกจากจะมีหน้าที่ในการส่งเสริมเศรษฐกิจแล้ว บรรพบุรุษของศุลกากรส่วนหนึ่งในท้องถิ่นห่างไกลเคยเข้าร่วมปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติบ้านเมืองมาแล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 30 ก.ค. 10, 08:12
สงครามสร้างทั้งวีรบุรุษและผู้ร้ายนะคะ
ทั้งเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรระนอง ยุวชนทหารหรือชาวบ้านที่ร่วมกันปกป้องประเทศ คงมีอีกหลายที่

ได้อ่านเรื่องราวสมัยสงครามโลกครั้งที่สองของจังหวัดสงขลา ปัตตานี ระนอง และรูปถ่าย 60ปี ญี่ปุ่นบุกสุราษฏร์ บ้างแล้ว
คงต้องพยายามค้นหา ของจังหวัดอื่นๆต่อไป ขอเชิดชูวีรบุรุษ วีรสตรี ทุกท่านค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 30 ก.ค. 10, 20:18
กลับมาลงชื่อเข้าเรียนครับ

พอดีว่า เพิ่งกลับจากงานที่เซลังงอร์
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเลยไม่ได้ส่งเสียง

หวังว่ายังไม่ขาดเรียนนาน จนโดนตัดชื่อนะครับ


ส่วนความคิดเห็น ยังไม่มีครับ
เพราะตอนนี้วิชาอาคมของผมยังไม่แก่กล้าพอจะไปตัดสินประวัติศาสตร์
แม้จะแค่วิพากษ์ด้วยความรู้เท่าหางอึ่งของผม ก็ยังคงไม่เหมาะนัก




ปล.หวังว่า มหาวิทยาลัย คงไม่ยึดปริญญารัฐศาสตร์บัณฑิต เพราะผมไม่กล้าวิพากษ์  กระมังครับ
 8) 8) :o ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ค. 10, 22:44
จะรบกวนเกินไปไหมคะ ถ้าอยากทราบเรื่องราว ในสมัยสงคราม ประมาณเรื่องเล่าจากผู้อยู่ในเหตุการณ์จริงๆน่ะค่ะ
สมัยก่อนชอบไปขอให้พ่อกับแม่เล่าให้ฟัง ก็เลยพอมองภาพสงครามโลกที่ทางใต้ได้บ้าง อยากทราบที่อื่นๆบ้างน่ะค่ะ
แหะๆ คั่นรายการ ด้วยเรื่องเล่าจากวันวาร ไปพลางๆได้ไหมคะ...

น่าจะมีแต่คุณมานิตที่มีโอกาสรู้เรื่องราวสมัยสงคราม      ดิฉันยังไม่เกิด  มาเกิดหลังสงครามจบไปแล้ว   แต่เคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าให้ฟังบ้างว่า วันที่ญี่ปุ่นบุกคนไทยไม่รู้เรื่องกันเลย  ตื่นขึ้นมาตอนเช้า  อ้าว ทหารญี่ปุ่นมากันเต็มแล้ว  ตอนญี่ปุ่นยกพลเดินขบวนไปตามถนน ก็ออกไปดูด้วยความตื่นเต้น    คุณแม่ดิฉันถูกคุณลุงดุลั่นๆให้รีบกลับเข้าบ้าน เป็นสาวเป็นแส้กลัวจะถูกทำร้ายเอา  แต่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ทำอะไรคนไทย  เขาอยู่ส่วนของเขา

ในช่วงสงคราม  ตกกลางคืนทุกบ้านต้องพรางไฟหมด   ปิดหน้าต่าง ช่องลมเหนือหน้าต่างก็ต้องเอาผ้าดำไปปิดไม่ให้แสงตะเกียงลอดออกไปได้  กลัวเครื่องบินจะเห็น     ผู้คนถ้ามีหนทางก็อพยพออกนอกเมืองไปอยู่ต่างจังหวัดกันหมด   ไม่ไกลนักหรอกค่ะ แค่จังหวัดใกล้ๆก็พ้นภัยแล้ว    คนที่อยู่ในกรุงเทพคือผู้ชาย  ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการต้องทำงาน ทิ้งงานไม่ได้       
สถานที่น่ากลัวคือโรงไฟฟ้าและสะพาน  เพราะพันธมิตรเลือกทิ้งระเบิดแถวนี้    ครั้งหนึ่งระเบิดลงที่พาหุรัด  คนตายกันไปมาก  บางบ้านตายเรียบทั้งบ้าน
พอระเบิดลง ก็มีการขุดหลุมหลบภัย   เป็นหลุมยาวๆ   เนื้อที่กว้างพอจุคนได้หลายคน   รองพื้นด้วยไม้กระดาน    พอเสียงสัญญาณภัยดังขึ้นมาเป็นการเตือนว่าเครื่องบินจะมาทิ้งระเบิด  ทุกคนในบ้านก็ทิ้งบ้านวิ่งลงหลุมหลบภัยกันหมด   ถ้าถามว่าพ้นภัยไหม หากระเบิดลงหลุมตรงๆก็ไม่รอดหรอกค่ะ   แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ในบ้านให้บ้านพังทับตาย

พ.ศ. ๒๔๘๕  เป็นปีที่แย่ที่สุดเพราะน้ำท่วมใหญ่  คนในกรุงเทพต้องพายเรือกันไปทำงาน      รัฐบาลออกคำขวัญมาว่า "น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง"
ตลอดเวลาสงคราม คนไทยก็ยังต้องสวมหมวก แต่งตัวแบบฝรั่งให้ถูกวัธนธัม    ทั้งๆผ้าขาดตลาดเพราะส่งเข้ามาไม่ได้     คนไทยต้องไปหาถุงแป้งผ้าดิบมาเลาะตัดเป็นเสื้อกัน เป็นเรื่องธรรมดา


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 31 ก.ค. 10, 07:51
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์  :D

บรรยากาศในกรุงเทพ สมัยสงครามคงเหมือนกับที่บรรยายไว้ในหนังสือคู่กรรมมังคะ...


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ก.ค. 10, 19:30
มีหนังสือนวนิยายอีกเล่มที่บรรยายช่วงสงครามไว้ละเอียดมาก คือ รสริน ของศุภร บุนนาค  อาจหายากหน่อย ลองหาหนังสือมือสองทางเน็ตดูนะคะ
เกร็ดอีกเรื่องคือสมัยสงครามโลก   รัฐบาลสนับสนุนให้กินก๋วยเตี๋ยวกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน    ข้าราชการครูต้องจัดเวรกันมาขายก๋วยเตี๋ยวในโรงเรียนสัปดาห์ละ ๑ วัน ด้วยค่ะ

คำขวัญ "มาลานำไทยไปสู่มหาอำนาจ"นอกจากทำให้ทุกคนต้องสวมหมวกแล้ว   รัฐบาลก็ให้สุนทราภรณ์แต่งเพลง" สวมหมวก" เผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียง     ผู้แต่งคำร้อง คือจมื่นมานิตย์นเรศร์   ทำนอง โดยครูเอื้อ สุนทรสนาน       
 
 เชิญซิคะ เชิญร่วมกันสวมหมวก
แสนสะดวกสบายด้วย ทั้งสวยหรู
ปรุงใบหน้าให้อร่าม งามหน้าดู
อีกจะชูอนามัยให้มั่นคง

สมศักดิ์ศรีมีสง่าเป็นอารยะ
หมวกใบนี้จะชวนให้ชมสมประสงค์
ถึงไม่สวยหมวกจะช่วย เสริมทรวดทรง
งามระหงเลิศวไลหญิงไทยเรา

อย่ารีรอเลยเจ้าขามาช่วยกัน
สมานฉันท์สร้างไทยให้เทียมเขา
สวมหมวกเถิดจะสำรวยสวยไม่เบา
สนองเค้าท่านผู้นำกล่าวคำชวน
 
คุณมัณฑนา โมรากุล เป็นคนร้อง   วันหนึ่งเธอออกจากบ้าน  นั่งรถสามล้อไปทำงานที่กรมโฆษณาการ  แล้วบังเอิญหมวกปลิวตกพื้น คุณมัณฑนาไปเก็บแล้วเอามาวางไว้บนตัก ก็พอดีรถของจอมพล ป. ผ่านมาเห็นพอดี  ก็เลยถูกตำรวจเรียกตัวไปตักเตือนที่ไม่ได้สวมหมวกตอนออกจากบ้าน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 31 ก.ค. 10, 22:16
คุณยายทวด แม่ของคุณตาผม เป็นผู้หนึ่งที่เดือดร้อนจากนโยบายของจอมพล ป. เพราะคุณทวดกินหมากมาตั้งแต่สาวๆ จะให้เลิกทำไม่ได้ง่ายๆ มีเรื่องเล่ากันสนุกๆว่าแม่ของจอมพล ป.เองก็กินหมาก อดจนถึงกับเป็นลม จริงเท็จอย่างไรก็ไม่ทราบครับ

คนจีนในยุคนั้นก็เดือดร้อน ยิ่งคนต่างจังหวัด จะไปหาหมวกอะไรมาใส่ออกจากบ้าน สุดท้ายก็ต้องใช้หมวกกุยเล้ยนี่แหละ สาวจีนก็มีภาระเพิ่มอีกอย่าง เพราะนุ่งกางเกงกันจนชิน แต่ละคนจึงต้องหาผ้าถุงติดบ้านเอาไว้ จะให้นุ่งผ้าถึงออกจากบ้านนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะนุ่งกางเกงกันจนเคย ก็เลยต้องนุ่งผ้าถุงทับกางเกงเอาดื้อๆ

เรียกได้ว่าสาวจีนยุคนั้นออกจากบ้าน ต้องแต่งตัวทุเรศทุรังทีเดียว อันนี้ไม่ใช่ผมพูดเองครับ แต่เป็นคำบ่นของยายผม จีนนอกซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่เดือดร้อนจากนโยบายนี้เช่นกัน

เดือดร้อนกันถึงขั้นนี้ ไม่ทราบว่าช่วยชาติไทยเป็นชาติมหาอำนาจขึ้นมาได้สักกี่กิโลขีดนะครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 01 ส.ค. 10, 06:23
ขอบพระคุณอาจารย์มากนะคะที่แนะนำเรื่องหนังสือ จะลองหาดูค่ะ
แต่สงสัยทำไมต้องสนับสนุนให้กินก๋วยเตี๋ยวล่ะคะ  ???

คนในสมัยนั้นคงลำบากพอควรนะคะ ในการที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองตามคำสั่งผู้นำประเทศ



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 07:59
เรื่องก๋วยเตี๋ยว ได้ยินที่มาว่าเมื่อพ.ศ. 2485  น้ำท่วมทั้งกรุงเทพรวมทั้งทำเนียบรัฐบาลด้วย   ข้าราชการและค.ร.ม  ออกมากินข้าวเที่ยงข้างนอกไม่ได้เวลาไปทำงาน  ก็มีเรือก๋วยเตี๋ยวพายเข้าไปขาย
จอมพลป.ได้กินก๋วยเตี๋ยวก็อร่อย  นึกได้ว่านอกจากทำง่ายๆแล้ว  ส่วนประกอบแต่ละอย่างเช่นหมู  ผัก เส้น ก็ล้วนแต่ทำได้ในประเทศไทย ไม่ต้องสั่งของนอกเข้ามา
ท่านเองก็สนับสนุนชาตินิยมให้ข้าราชการเลี้ยงหมูปลูกผักกินเองอยู่แล้ว  จึงเริ่มรณรงค์สนับสนุนให้กินก๋วยเตี๋ยวอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  คงจะมองข้ามไปว่าก๋วยเตี๋ยวนั้นเป็นอาหารของจีน   น่าจะสนับสนุนข้าวแกงเห็นจะเหมาะกว่า

ผู้ใหญ่ของดิฉันเล่าว่าสมัยนั้นทุลักทุเลเอาการทีเดียวค่ะ กับการปฏิบัติตามนโยบาย      โดยเฉพาะนโยบายให้สามีจูบภรรยาในตอนเช้าก่อนออกจากบ้านไปทำงาน   เคราะห์ดีตำรวจไม่มาสอดส่องเหมือนเรื่องหมวก  ไม่งั้นสามีภรรยาแก่ๆพ้นวัยโรแมนติคไปแล้ว คงต้องเสียค่าปรับกันทุกวัน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 01 ส.ค. 10, 08:39
นึกภาพผู้สูงอายุแสดงความโรแมนติคกันแต่ละวัน น่ารักดีนะคะ  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 10:44
ขอพากลับไปที่แม่ทัพญี่ปุ่นอีกทีนะคะ
เราคุ้นกับชื่อนายพลนากามูระ  ก็เลยขอแนะนำสั้นๆเพิ่มขึ้นอีกหน่อย
ชื่อ   พลโท อาคีโตะ นากามูระ (Aketo  Nakamura)
เกิด      พ.ศ. 2432
ถึงแก่กรรม  พ.ศ. 2509
ศาสนา    พุทธ
หลังสงครามจบลง นายพลนากามูระกลับมาเยี่ยมประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง  ในฐานะแขกเมือง ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากรัฐบาลจอมพลป. ที่หวนกลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง

พบด้วยความประหลาดใจว่า นายพลนากามูระกุมบังเหียนกองทัพญี่ปุ่นในไทยอยู่แค่ 2 ปีเท่านั้นคือระหว่าง พ.ศ. 2486-88   คือ 2 ปีก่อนสงครามโลกสิ้นสุดลง
แต่เขาไม่ได้เป็นแม่ทัพผู้บัญชาการเมื่อญี่ปุ่นบุกไทย     แม่ทัพคนนั้นชื่อนายพล Shojiro Iida   คำแรกอ่านว่าโชจิโร  คำหลังไม่รู้ว่าออกเสียงยังไงเพราะมี i สองตัว อาจจะเป็นอีดะ หรือไออิดะ หรืออิอิดะ  ก็เป็นได้    ใครอ่านออกกรุณาบอกด้วยนะคะ
แม่ทัพคนนี้ละที่บุกไทยเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2484    จากไทยเขาก็ไปบุกพม่าแบบสายฟ้าแลบในเดือนมกราคม ปี 2485   ทำศึกกับทหารอังกฤษในพม่าอย่างดุเดือด  ยึดร่างกุ้งได้  แล้วไล่โจมตีทัพอังกฤษแตกพ่ายจนต้องถอยร่นออกจากพม่าไปอยู่อินเดียในเดือนพฤษภาคม
รูปที่เอามาลง คือหน้าตานายพลนากามูระ  แม่ทัพญี่ปุ่นผู้เป็นมหามิตรของจอมพลป.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 10:59
General Shojiro Iida


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 01 ส.ค. 10, 11:31
飯田祥二郎 (Shōjirō Iida)
อีดะ ครับ
i อ่าน อิ
ii อ่านเป็นเสียงยาวว่า อี
โชยิโร อีดะ

中村明人 (Nakamura Aketo)
Aketo อ่าน อะเคะโตะ ครับ e เป็นสระเอะ
นะกะมุระ อะเคะโตะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 11:39
 :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:13
ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะแยกกระทู้นี้ไปตั้งชื่อใหม่ว่า “จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3” ดีหรือไม่ แต่เห็นว่าไม่น่าจะยาวแล้ว เอาไว้ที่นี่ดีกว่า ต้องขอประทานโทษที่เข้ามาขัดจังหวะเรื่องระหว่างสงครามญี่ปุ่นด้วยครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 14:41
ขออนุญาตแยกกระทู้นะคะ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3438.msg68437;topicseen#msg68437


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 14:48

ดิฉันแยกกระทู้พร้อมส่งคำขออนุญาตไปหลังไมค์  ไม่รอคำอนุญาตกลับ  ที่ต้องรีบเพราะคุณนวรัตนเหยียบคันเร่ง    ซิ่งไป ๖ ความเห็นรวดเดียว เหมือนจะรีบเข้าเส้นชัยในไม่กี่ความเห็น
จึงรีบแยกกระทู้  เพื่อขอเบรคให้ลดสปีดลงมาหน่อย  

ช่วงรัฐบาลจอมพลป. ๒  กินเวลายาวนานถึงพ.ศ.  ๒๕๐๐ กึ่งพุทธกาลพอดี  เกิดเหตุการณ์สำคัญในบ้านเมืองมากมาย
น่าจะเล่ากันได้ในรายละเอียดนะคะ

ค่อยๆเล่าไป  ก็คงมีหลายคนเข้ามาช่วยแจม


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 21:16
ส่งท่านเจ้าของกระทู้ไปขึ้นบ้านใหม่ชื่อจอมพลป. ๒ แล้ว   ก็ยึดกระทู้เดิม เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไปตามเรื่อง  ดูว่าจะปั่นได้สัก ๔๐๐ ไหม

หนังย้อนยุคที่ท่านกูรูใหญ่กว่าอำนวยการสร้างเอง  กำกับเอง เขียนบทเอง หาดารามาเอง  เรื่องนี้    ดาราเอกเป็นเพื่อนรักทั้งสอง ผู้เป็นนายทหารหนุ่มชั้นผู้น้อยมารุ่นเดียวกัน    กอดคอเสี่ยงอนาคต  เปลี่ยนแปลงการปกครองมาด้วยกัน  ได้ดิบได้ดีขึ้นมาด้วยกัน   ครองอำนาจในหน้าที่การงานในยุคเดียวกัน  ต่างคนต่างก็ขึ้นตำแหน่งสูงสุดในสายงานด้วยกันทั้งคู่  ราวกับดาวแฝด
ที่เหมือนกันอีกอย่างคือบทจะหลุดจากวงโคจรก็หลุดยุคเดียวกันทั้งคู่  ท่านจอมพลพ้นตำแหน่งนายก  ท่านพลต.อ.ก็พ้นตำแหน่งอธิบดีตำรวจ

พลต.อ.อดุลคงจะแน่ใจว่าท่านจอมพลป.ไม่อาจหวนคืนสังเวียนการเมืองได้อีก  เพราะกระแสการเมืองไหลแรงไปฝ่ายพันธมิตรและเสรีไทย   ญี่ปุ่นดวงตก ท่านจอมพลป.ก็คงตกด้วย     ท่านจึงซัดจอมพลป.ในคำให้การเสียไม่ยั้ง
ขอลงจดหมายลับที่ทางอังกฤษส่งให้นายปรีดี    ท่านพลต.อ.อดุลได้อ่านตั้งแต่ก่อนให้ปากคำแน่นอน   ท่านถึงมั่นใจว่าจอมพลป.ไม่ได้กลับมาอีก    คงจะออกจากวงการไปตลอดกาลแบบสี่เสือ
แต่ปรากฏว่า ท่านทายผิดอย่างจัง    ท่านฝ่ายเดียวที่พ้นอำนาจ แม้มีตำแหน่งสูงส่งขึ้นก็ไม่มีอำนาจรองรับอย่างอธิบดีตำรวจ
เอาจดหมายมาลงให้อ่านกันค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 02 ส.ค. 10, 06:58
ถ้ามีกูรูด้านโหราศาสตร์ น่าจะจับ 2 ท่านนี้มาวิเคราะห์ดวงดาวเวลาตกฟากท่านๆกันนะคะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ส.ค. 10, 09:44
เคยนึกเล่นๆเหมือนกันว่า จอมพล.กับพลต.อ. ชะตาราวกับดาวแฝด    รู้แต่วันเกิด   ไม่รู้เวลาตกฟาก   ก็ทำนายอะไรไม่ได้ค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 02 ส.ค. 10, 10:12
สมัยญี่ปุ่นขึ้น เมืองไทยมีวิทยุกรมโฆษณาการ ที่บ้านรับด้วยเครื่องแร่ มีรายการดีคือรายการของ ท่านนายมั่น ชูชาติ กับท่านนายคง รักไทย ละครวิทยุที่ชอบฟังคือรายการละครของท่าน ครูมี ดนตรีเอก ตอนนี้ก็ยังจำเพลงเปิดรายการได้อยู่เลย ก่อนญึ่ปุ่นบุกมีเครื่องบินมาโปรยใบปลิวเยอะ คุณพ่อทำงานกลับมาก็จะมีมาให้อ่าน วันโดนบุกผมฟังวิทยุตลอด มีเครื่องบินญี่ปุ่นมาบินเหนือฟ้ากรุงเทพ เห็นเครื่องหมายชัดเจน ต่อมามีทหารญี่ปุ่นมาเต็ม แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร สมัยนั้นพันธมิตรยังไม่ส่งเครื่องบินมาโจมตี จึงยังไม่ต้องพรางไฟ ยังไม่มีคำสั่งให้ทุกบ้านทำหลุมหลบภัย กระดาษที่ใช้เรียนมีปัญหามากต้องใช้กระดาษ"ข่อย" สีน้ำตาลลักษณะคล้ายกระดาษฟาง สบู่ใช้สบู่กรด มีการสอนให้ใช้น้ำด่างจากขึ้เถ้าแทนสบู่ ผมยังไปโรงเรียนตามปกติ ต่อมาพันธมิตรเริ่มส่งเครื่องบินเข้ามาโจมตี โรงเรียนโดนระเบิดเข้ากลางโรงเรียนเลย ตอนนี้เริ่มอพยพกันแล้ว เช้าคุณพ่อเข้ามาทำงานในกรุงเทพ เย็นกลับ บางระมาด ตอนนี้เริ่มมีการพรางไฟโดยพ่นสีไปที่หลอดไฟ ให้แสงลงมาเฉพาะข้างล่าง ครับผม การทิ้งระเบิดตอนหลังพันธมิตรใช้แฟลร์ สอ่งสว่าง ตอนใช้ครั้งแรกคุณพ่อ คุณแม่ท่าน ตกใจมาก เพราะสว่างยังกะกลางวัน เสียงระเบิดผ่านอากาศ เสียงปืนต่อสู้อากาศยาน เสียงไซเรน สุดจะบรรยายครับ อ้อ เพื่อนสุภาพสตรีคนแรกที่มีพระคุณกับผมมากตอนอยู่ที่สามย่าน เธอนามสกุล แบบท่านเจ้าคุณในเรื่องพล นิกร กิมหงวน ครับ แค่นี้ก่อนะครับผม
มานิต

มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 02 ส.ค. 10, 11:27
ขอบพระคุณมากค่ะ ;D ชอบอ่านมากมายกับเรื่องราวในสมัยก่อน
แต่ขอเรียนถามนิดนะคะ เครื่องแร่ คืออะไรคะ  ???


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 02 ส.ค. 10, 11:34
เครื่องแร่นั่นคือวิทยุแร่นั่นแล

อ่านเพิ่มเติมตั้งแต่ความคิดเห็นที่ ๕๖๖ - ๕๗๑

http://www.vcharkarn.com/vcafe/160226

 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 02 ส.ค. 10, 12:20
ขอบพระคุณค่ะ  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: srinaka ที่ 02 ส.ค. 10, 15:06
เรียนท่านอาจารย์ทั้งสองท่านครับ ผมมีประเด็นใคร่ขอเรียนถามความเห็น และขอข้อมูลเพิ่มจากท่านอาจารย์ดังนี้ครับ
   
    1. การที่พล.อ อดุล จงใจดองจดหมายของอังกฤษไม่ให้ตกถึงมือหัวหน้าเสรีไทย(ท่านปรีดี) บังเกิดผลดี หรือผลเสียต่อไทยอย่างไรบ้างครับ
    2. วลีที่ว่า ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ ดังนั้นข้อมูลจากฝั่งท่านปรีดีดูเหมือนจะถูกซุกซ่อนอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งในมุมมืด อาจารย์จะเล่าเมื่อไหร่ครับ
    3. กับข้อมูลที่ท่านอาจารย์เนาวรัตน์ว่าไว้ว่า...

   ...การเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายปรีดีเป็นทุกขลาภโดยแท้ ผ่านไป2เดือนกับ 12 วันยังไม่มีโอกาสทำงานให้เป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า การเสด็จสวรรคตเป็นเรื่องใหญ่ที่ฝ่ายค้านจะปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่กัดแทะไม่ได้ วิสัยนักการเมืองไทยต้องคอยจ้องหาทุกโอกาสที่จะโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อพรรคอะไรในตอนนี้ เดี๋ยวจะหาว่าผมชักใยจัญไรมาโยงกับการเมืองในปัจจุบัน แต่ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วหละว่ามีคนไปตะโกนประโยคอุบาทว์ในโรงหนังว่าอย่างไร ในที่สุดนายปรีดีทนกระแสต้านที่ระดมพุ่งเป้ามายังตนไม่ได้ก็ประกาศลาออก...
       
   ท่านอาจารย์ครับ มันมีข้อมูลอะไรหรือครับที่ทำให้ท่านเชื่อสนิทใจว่า คนที่ไปตะโกนนั้น ประชาธิปัตย์เขาส่งไป ( ตามการอ้างขอมูลของ ส.ศิวลักษณ์ ที่ท่านว่า... พรรคประชาธิปัตย์จึงหาทางโจมตีอย่างเลยเถิดไปว่าอาจารย์ปรีดีวางแผนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ถึงขนาดจ้างคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า ปรีดีฆ่าในหลวง)..
   ท่านจะต้องมีหลักฐานข้อมูลซิ ท่านจึงเขียนเช่นนั้นได้ ใช่ไหมครับ ถ้าไม่มีหลักฐาน คนประชาธิปัตย์จะปล่อยทิ้งเอาไว้โดยไม่ฟ้องร้องหรือทำอะไรเลย ได้อย่างไร เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้จะปากพล่อยๆส่งเดชได้หรือครับ

   หวังว่าท่านอาจารย์ทั้งสอง คงจะกรุณาไขข้อสงสัยให้ผมด้วยนะครับ / ขอบพระคุณครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ส.ค. 10, 15:21
เรียนท่านอาจารย์ทั้งสองท่านครับ ผมมีประเด็นใคร่ขอเรียนถามความเห็น และขอข้อมูลเพิ่มจากท่านอาจารย์ดังนี้ครับ
   
     2. วลีที่ว่า ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ ดังนั้นข้อมูลจากฝั่งท่านปรีดีดูเหมือนจะถูกซุกซ่อนอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งในมุมมืด อาจารย์จะเล่าเมื่อไหร่ครับ
    

ข้อ ๑ กับ ๓ เป็นข้อเขียนของคุณนวรัตน  คงจะต้องให้ท่านเป็นคนตอบเองนะคะ   ถ้าท่านประสงค์จะตอบ

ดิฉันขอตอบแค่ข้อ ๒ ว่า ดิฉันไม่เคยเชื่อคำพูดนี้มาแต่ไหนแต่ไร    อยู่ๆมันก็โผล่ขึ้นมาใช้กันเกร่อไม่กี่ปีมานี้เอง  ไม่มีที่มาที่ไป
ถ้าผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์  แล้วที่เราเสียกรุงมา ๒ ครั้ง  เรียนกันตั้งแต่มัธยม   เราเรียนจากพม่าเขียนหรือไทยเขียนล่ะคะ
เมื่อไม่เชื่อข้อนี้เสียแล้ว  คำถามที่สองของคุณ ดิฉันก็คงไม่ต้องตอบ   
นับแต่ยุคโลกาภิวัตน์ การซุกซ่อนข้อมูลไม่มีแล้ว   ข่าวสารมันแพร่หลายเสียจนปิดกั้นไม่ได้ไม่ว่าอยู่มุมไหนในโลก  สิ่งควรคำนึงคือรับรู้ข่าวสารด้วยวิจารณญาณต่างหาก     
ข้อมูลทางฝั่งนายปรีดี ดิฉันก็เห็นว่ามีมากมาย อย่างน้อยคุณสุลักษณ์คนหนึ่งละที่เขียนออกมามาก ยาวนานเป็นสิบยี่สิบปีแล้ว   ก็ไม่เห็นซุกอยู่มุมมืดตรงไหนนี่คะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ส.ค. 10, 17:39
อ้างถึง
การที่พล.อ อดุล จงใจดองจดหมายของอังกฤษไม่ให้ตกถึงมือหัวหน้าเสรีไทย(ท่านปรีดี) บังเกิดผลดี หรือผลเสียต่อไทยอย่างไรบ้างครับ


ถ้ามองย้อนขึ้นไปจากผลที่รู้แล้วว่าสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงคราม การดองจดหมายดังกล่าวเอาไว้ ก็ย่อมจะทำให้ปฏิบัติการในการต่อต้านญี่ปุ่นช้าลง หรืออาจจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย จนเลิกสงครามแล้ว ไทยกลายเป็นผู้แพ้สมบูรณ์แบบไป

ขนาดอย่างที่เป็นไปตามประวัติศาสตร์นี่ ก็เกือบจะสายจนเกินการณ์ อังกฤษยังเบรคๆเราตลอดเวลาระหว่างการเจรจาเพื่อเลิกสถานะสงครามกับเขาว่า “อย่าพูดเกินไปหน่อยเลย ยู(เสรีไทย)ยังไม่ได้ทำอะไร(ยิงกับญี่ปุ่น)สักหน่อย”


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ส.ค. 10, 17:43
อ้างถึง
วลีที่ว่า ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ ดังนั้นข้อมูลจากฝั่งท่านปรีดีดูเหมือนจะถูกซุกซ่อนอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งในมุมมืด อาจารย์จะเล่าเมื่อไหร่ครับ

คำถามนี้ ที่ท่านอาจารย์เทาชมพูตอบไป ผมเห็นว่าสมบูรณ์แบบแล้ว ผมไม่ต้องเสริม

อ้างถึง
กับข้อมูลที่ท่านอาจารย์เนาวรัตน์ว่าไว้ว่า...

  ...การเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายปรีดีเป็นทุกขลาภโดยแท้ ผ่านไป2เดือนกับ 12 วันยังไม่มีโอกาสทำงานให้เป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า การเสด็จสวรรคตเป็นเรื่องใหญ่ที่ฝ่ายค้านจะปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่กัดแทะไม่ได้ วิสัยนักการเมืองไทยต้องคอยจ้องหาทุกโอกาสที่จะโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อพรรคอะไรในตอนนี้ เดี๋ยวจะหาว่าผมชักใยจัญไรมาโยงกับการเมืองในปัจจุบัน แต่ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วหละว่ามีคนไปตะโกนประโยคอุบาทว์ในโรงหนังว่าอย่างไร ในที่สุดนายปรีดีทนกระแสต้านที่ระดมพุ่งเป้ามายังตนไม่ได้ก็ประกาศลาออก...
       
   ท่านอาจารย์ครับ มันมีข้อมูลอะไรหรือครับที่ทำให้ท่านเชื่อสนิทใจว่า คนที่ไปตะโกนนั้น ประชาธิปัตย์เขาส่งไป ( ตามการอ้างขอมูลของ ส.ศิวลักษณ์ ที่ท่านว่า... พรรคประชาธิปัตย์จึงหาทางโจมตีอย่างเลยเถิดไปว่าอาจารย์ปรีดีวางแผนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ถึงขนาดจ้างคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า ปรีดีฆ่าในหลวง)..
   ท่านจะต้องมีหลักฐานข้อมูลซิ ท่านจึงเขียนเช่นนั้นได้ ใช่ไหมครับ ถ้าไม่มีหลักฐาน คนประชาธิปัตย์จะปล่อยทิ้งเอาไว้โดยไม่ฟ้องร้องหรือทำอะไรเลย ได้อย่างไร เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้จะปากพล่อยๆส่งเดชได้หรือครับ


ผมก็ยังถือเป็นสิทธิ์อยู่ดีแหละครับที่จะไม่ฝืนใจเขียนเรื่องที่ผมไม่อยากเขียน แต่เอาเถอะ ผมจะอ้างอิงให้ คุณคลิ๊กข้างใต้เข้าไปเลือกอ่านเอาเอง สาระดังกล่าวไม่ใช่เพิ่งมีในสมัยอินเทอร์เน็ต แต่มันปรากฏในสิ่งพิมพ์มาแล้วเยอะพอสมควร ความจริงมันเป็นการกระทำส่วนบุคคล แต่ปลาเน่าตัวเดียวมันก็เหม็นไปทั้งข้อง อย่างไรก็ดี ถ้าทางพรรคเขาเห็นว่าเสียหาย เขาคงฟ้องร้องกันไปแล้ว

http://www.google.co.th/#hl=th&q=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%86%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87+%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87+%E0%B9%84%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5+&aq=f&aqi=&aql=&oq=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%86%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87+%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C&gs_rfai=&fp=a18e8507f3507bdf


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: srinaka ที่ 02 ส.ค. 10, 22:10
เรียนท่านอาจารย์
1. การที่มีคนเชื่อว่า ... ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์   ก็เพราะไม่มั่นใจว่าข้อมูลทุกอย่างสามารถเปิดเผยได้นะครับ มักถูกอ้างว่า เพื่อความมั่นคงบ้าง และเพื่ออะไรอีกสารพัด  ผมอยู่ต่างจังหวัดยังเห็นการซื้อเสียง เห็นการโกง เห็นสิ่งผิดกฎหมายผุดขึ้นตำตา ทั้งๆที่บ้านเมืองมีก็ผู้รักษากฎหมาย แต่ไม่มีคนกล้าเปิดปาก เพราะกลัวอำนาจและอิทธิพล แล้วยิ่งถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆอย่างเรื่องอำนาจรัฐล่ะครับจะสักเพียงไหน จึงทำให้เชื่อว่า ประวัติศาสตร์ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ครบถ้วน คนที่มีอำนาจ ใครจะทนอ่านข้อมูลด้านลบของตนเองได้ แม้แต่พงศาวดารไทย-พม่า ก็เขียนไปคนละอย่าง ดีที่เขาไม่ได้ปกครองไทยจริงจัง เราจึงไม่ต้องเรียนตำราสดุดีพระเจ้าบุเรงนองกัน กับประวัติศาสตร์ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ มีเรืองการชิงอำนาจกันรุนแรง มีทั้งการฆ่า ไล่ล่า และเนรเทศ ดังนั้นคำกล่าวนี้ จึงมีนัยะว่าผู้ที่ชนะได้ครองอำนาจรัฐ ย่อมสามารถเปลี่ยนข้อเท็จจริงสีเทา(หรือดำ) ให้เป็นสีขาวได้ ใครผิด-ใครถูก ใครชั่ว ใครดี จึงยากจะฟันธง แต่ในมุมที่มืด ก็อาจมีเวลาได้พบแสงสว่าง จึงหวังว่าจะได้เห็นข้อมูลที่ถูกซุกมุมไว้รอเวลานำเสนอ เมื่อท่านมาตัดช่องเสียอย่างนี้ ผมก็จนใจ และกราบขออภัย ที่บังอาจเห็นแย้ง

2. อาจารย์นวรัตน์ให้การบ้านผมไปตามล่าหาข้อมูลเรื่องที่ว่า พรรคประชาธิปัตย์ส่งคนไปตะโกนประโยคอุบาทว์ในโรงหนังหรือไม่(จากลิงค์) ได้มาแต่ข้อมูลที่เก็บความมาจาก: ศุขปรีดา พนมยงค์ เป็นส่วนใหญ ท่านอ้างว่านายเลียงได้มาสารภาพและขอขมาท่านปรีดีในที่สุด จึงเป็นอันสรุปว่านายเลียง คนของพรรคนั้นทำจริง แค่นี้ก็สรุปได้เลยหรือครับ ง่ายจัง ผมยังไม่เจอข้อมูลหลักฐานอะไรจะจะ ที่จะมาคลายข้อสงสัยนี้ได้เลยนะครับ  ก็แค่สงสัยจริงๆครับ ไม่ได้เป็นอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์  เพียงแต่เชื่อว่าท่านอาจารย์นวรัตน์ ท่านต้องมีข้อมูลที่ลึกกว่านี้ แต่ท่านไม่บอก แค่ข้อมูลจากฝ่ายท่านปรีดี  ที่ก็รู้กันอยู่แล้วว่า ผลประโยชน์ขัดกันกับสองหม่อมและหนึ่งอดีตนายกที่สังกัดพรรคนี้ ระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้จึงไม่น่าจะมีน้ำหนักมาก  แต่เอาล่ะครับผมไม่กล้าคาดคั้นท่านและไม่บังอาจสงสัยอะไรไปมากกว่านี้อีกครับ
 
เรียนถามมาด้วยความเคารพ ถ้าล่วงเกินท่านอาจารย์ประการใด กราบขออภัยอย่างสูงครับ

(กรุณาอย่าไล่ให้ไปหาอ่านเอาตรงโน้นตรงนี้เลยครับ อธิบายนิดหนึ่ง +ลิงค์เวปให้หน่อยก็ดีแล้วครับ สมาชิกใหม่ ไม่เจนเวที แค่นี้ก็ดีใจจะตาย)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ส.ค. 10, 22:39
ขอตอบข้อ ๑ ข้อเดียวนะคะ  ข้อ ๒ เป็นสิทธิของคุณนวรัตน

การถามที่ตอบยากที่สุด  คือคนถามที่มีคำตอบอยู่แล้วในใจ   
ข้อความต่อไปนี้คือคำตอบของคุณ
- เชื่อว่า ประวัติศาสตร์ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ครบถ้วน
- คนที่มีอำนาจ ใครจะทนอ่านข้อมูลด้านลบของตนเองได้
- ผู้ที่ชนะได้ครองอำนาจรัฐ ย่อมสามารถเปลี่ยนข้อเท็จจริงสีเทา(หรือดำ) ให้เป็นสีขาวได้
- (เชื่อว่า)จะเห็นข้อมูลที่ถูกซุกมุมไว้รอเวลานำเสนอ
- ท่านมาตัดช่องเสียอย่างนี้ ผมก็จนใจ 

ถ้าอธิบายอีกก็ต้องอธิบายซ้ำความเดิม  ว่าดิฉันไม่เชื่อว่าประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ     ไม่เชื่อว่ายุคนี่้จะมีข้อมูลอะไรซุกซ่อนอยู่ได้  ถ้าไม่บอกกันในตำรา  ก็บอกกันนอกตำรา (ซึ่งมีตั้งแต่ใบปลิวไปจน fw mail )   ไม่กล้าพูดกันในประเทศ   ก็ไปพูดกันนอกประเทศ ฯลฯ
ที่สำคัญคือรับข่าวสารข้อมูลต้องไตร่ตรอง ทบทวน แยกแยะ ประเมิน ให้เป็น    เราไม่ได้ขาดข้อมูล แต่ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรได้แค่ไหนต่างหาก  ต้องยึดวิจารณญาณไว้มากๆ 
วิจารณญาณเกิดจากอะไร  เกิดจากอ่านมาก ฟังมาก  แล้วทบทวนด้วยสติและปัญญาค่ะ   ทุกคนมี  คุณเองก็มี ก็น่าจะมากด้วย ไม่งั้นคงไม่ถามมาอย่างนี้
ถ้าสนใจก็เข้ามาอ่านกระทู้ไปเรื่อยๆก็แล้วกัน  สิ่งที่ดีที่สุดที่เรือนไทยจะให้คุณได้   คือวันหนึ่ง คุณจะได้คำตอบของคุณเองค่ะ   


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ส.ค. 10, 23:03
เรียนท่านอาจารย์
คนที่มีอำนาจ ใครจะทนอ่านข้อมูลด้านลบของตนเองได้ แม้แต่พงศาวดารไทย-พม่า ก็เขียนไปคนละอย่าง ดีที่เขาไม่ได้ปกครองไทยจริงจัง เราจึงไม่ต้องเรียนตำราสดุดีพระเจ้าบุเรงนองกัน
ขอค้านนะคะ   ใครว่าบุเรงนองไม่ได้ปกครองไทยจริงจัง  หงสาวดีปกครองอยุธยาอย่างประเทศราช  ให้มีเจ้าผู้ครองอาณาจักรของตัวเองก็จริง   แต่ต้องขึ้นอยู่กับเขา  ตามธรรมเนียม  เจ้าประเทศราชก็ต้องถวายพระธิดาเป็นฝ่ายใน   ถวายพระโอรสเป็นโอรสบุญธรรม   
ธรรมเนียมนี้เราก็ยังใช้แบบเดียวกันจนถึงรัตนโกสินทร์     สมเด็จพระนั่งเกล้าฯก็ทรงรับเจ้าอนุวงศ์มาอยู่ในราชสำนักด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันนี้

ที่ว่าเราไม่ได้ต้องเรียนตำราสดุดีพระเจ้าบุเรงนอง เพราะอยุธยาเป็นอิสระจากพม่าตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ   ไม่ได้ขึ้นกับเขาอีก  ถ้าหากว่าไม่มีพระองค์ท่านและไม่มีใครเลยที่กู้เอกราชได้  ป่านนี้อาจถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของพม่าก็คงต้องเรียนประวัติศาสตร์พม่าเป็นวิชาบังคับเหมือนกัน    โชคดีที่เรามีทั้งสมเด็จพระนเรศวร  สมเด็จพระเจ้าตากสิน   และรัชกาลที่ ๑ กับกรมพระราชวังบวรฯ ที่ต้านสงคราม ๙ ทัพไว้อยู่มือ

ขอย้อนไปต่อความเห็นข้างบนนี้หน่อย  คุณเชื่อว่าประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ   แล้วผู้แพ้เขาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้กันหมดหรือยังไงล่ะคะ  เขาถึงไม่มีสิทธิ์จะเขียนบ้าง  ใครจะห้ามเขาได้   เมื่อเขียนได้ ก็ต้องมีคนไปหาอ่านจนได้
ไม่ว่าประเทศไหน ฝ่ายชนะฝ่ายแพ้ก็เขียนได้พอกันละค่ะ  ไทยเองก็รวบรวมประวัติศาสตร์มาเขียนได้ออกยาวเหยียด ทั้งๆแพ้พม่า ๒ ครั้ง ถูกฝรั่งเศสเฉือนดินแดน ๑ ครั้ง กับถูกมหาอำนาจบีบบังคับอีกหลายครั้ง ในวาระต่างๆกัน   เราก็เขียนของเรามาตลอด   ไม่เห็นใครห้าม


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 ส.ค. 10, 21:52
อ้างถึง
เรียนท่านอาจารย์
1. การที่มีคนเชื่อว่า ... ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์   ก็เพราะไม่มั่นใจว่าข้อมูลทุกอย่างสามารถเปิดเผยได้นะครับ มักถูกอ้างว่า เพื่อความมั่นคงบ้าง และเพื่ออะไรอีกสารพัด  ผมอยู่ต่างจังหวัดยังเห็นการซื้อเสียง เห็นการโกง เห็นสิ่งผิดกฎหมายผุดขึ้นตำตา ทั้งๆที่บ้านเมืองมีก็ผู้รักษากฎหมาย แต่ไม่มีคนกล้าเปิดปาก เพราะกลัวอำนาจและอิทธิพล แล้วยิ่งถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆอย่างเรื่องอำนาจรัฐล่ะครับจะสักเพียงไหน จึงทำให้เชื่อว่า ประวัติศาสตร์ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ครบถ้วน คนที่มีอำนาจ ใครจะทนอ่านข้อมูลด้านลบของตนเองได้ แม้แต่พงศาวดารไทย-พม่า ก็เขียนไปคนละอย่าง ดีที่เขาไม่ได้ปกครองไทยจริงจัง เราจึงไม่ต้องเรียนตำราสดุดีพระเจ้าบุเรงนองกัน กับประวัติศาสตร์ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ มีเรืองการชิงอำนาจกันรุนแรง มีทั้งการฆ่า ไล่ล่า และเนรเทศ ดังนั้นคำกล่าวนี้ จึงมีนัยะว่าผู้ที่ชนะได้ครองอำนาจรัฐ ย่อมสามารถเปลี่ยนข้อเท็จจริงสีเทา(หรือดำ) ให้เป็นสีขาวได้ ใครผิด-ใครถูก ใครชั่ว ใครดี จึงยากจะฟันธง แต่ในมุมที่มืด ก็อาจมีเวลาได้พบแสงสว่าง จึงหวังว่าจะได้เห็นข้อมูลที่ถูกซุกมุมไว้รอเวลานำเสนอ เมื่อท่านมาตัดช่องเสียอย่างนี้ ผมก็จนใจ และกราบขออภัย ที่บังอาจเห็นแย้ง

2. อาจารย์นวรัตน์ให้การบ้านผมไปตามล่าหาข้อมูลเรื่องที่ว่า พรรคประชาธิปัตย์ส่งคนไปตะโกนประโยคอุบาทว์ในโรงหนังหรือไม่(จากลิงค์) ได้มาแต่ข้อมูลที่เก็บความมาจาก: ศุขปรีดา พนมยงค์ เป็นส่วนใหญ ท่านอ้างว่านายเลียงได้มาสารภาพและขอขมาท่านปรีดีในที่สุด จึงเป็นอันสรุปว่านายเลียง คนของพรรคนั้นทำจริง แค่นี้ก็สรุปได้เลยหรือครับ ง่ายจัง ผมยังไม่เจอข้อมูลหลักฐานอะไรจะจะ ที่จะมาคลายข้อสงสัยนี้ได้เลยนะครับ  ก็แค่สงสัยจริงๆครับ ไม่ได้เป็นอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์  เพียงแต่เชื่อว่าท่านอาจารย์นวรัตน์ ท่านต้องมีข้อมูลที่ลึกกว่านี้ แต่ท่านไม่บอก แค่ข้อมูลจากฝ่ายท่านปรีดี  ที่ก็รู้กันอยู่แล้วว่า ผลประโยชน์ขัดกันกับสองหม่อมและหนึ่งอดีตนายกที่สังกัดพรรคนี้ ระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้จึงไม่น่าจะมีน้ำหนักมาก  แต่เอาล่ะครับผมไม่กล้าคาดคั้นท่านและไม่บังอาจสงสัยอะไรไปมากกว่านี้อีกครับ
 
เรียนถามมาด้วยความเคารพ ถ้าล่วงเกินท่านอาจารย์ประการใด กราบขออภัยอย่างสูงครับ

(กรุณาอย่าไล่ให้ไปหาอ่านเอาตรงโน้นตรงนี้เลยครับ อธิบายนิดหนึ่ง +ลิงค์เวปให้หน่อยก็ดีแล้วครับ สมาชิกใหม่ ไม่เจนเวที แค่นี้ก็ดีใจจะตาย)

คำถามที่ใช้ภาษาสุภาพเช่นนี้ แม้ไม่อยากตอบ ผมก็ต้องตอบ  แต่ที่ตอบช้า เพราะผมอยู่ระหว่างเดินทางต่างจังหวัดด้วย เลยไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร

เอาตั้งแต่ต้นนะครับที่บอกว่าผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ ในสมัยโบราณมากๆก็เห็นจะจริง หรือในหลังๆถ้าจำกัดลงไปในขอบเขตของแบบเรียนประวัติศาสตร์ตามหลักสูตร ก็อาจจะจริงอีกที่ผู้มีอำนาจเลือกจะเขียน หรือไม่เขียนอะไรลงไปให้เยาวชนของชาติได้เรียนรู้ และบันทึกลงไปในความจำอย่างไรก็ได้ แต่กรณีย์ตัวอย่างที่คุณยกขึ้นมาทั้งสองกรณีย์คุณก็แจ้งแล้วว่า มันมีข้อมูลหลายข้อมูล  สมัยนี้ไม่มีใครบังคับใครให้อ่านเฉพาะข้อมูลด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้นได้ แต่ก็คงฟันธงไม่ได้ทุกเรื่องว่าข้อมูลใดผิดข้อมูลใดถูก ถ้าโชคดีมีข้อมูลร่วมสมัยที่เขียนกันหลายคน หลายสำนวน และถ้าเราอ่านครบ เราก็เลือกที่จะเชื่อตรงนั้นของคนนี้บ้าง ตรงนี้ของคนนั้นบ้างก็ได้ เพราะคงไม่มีใครบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยตนเองไม่ได้เห็นกับตา เพียงแต่ฟังเขาเล่าว่าแล้วนำมาเขียนได้ถูกต้องหมด ไม่เชื่อคุณลองบันทึกเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆเมือพฤษภาคมที่แล้วดูซิครับ แล้วหากต้องการทราบผลว่าประวัติศาสตร์ในอนาคตที่คุณคิดว่าคุณบันทึกลงไปอย่างเที่ยงธรรมนั้น คนอื่นจะเห็นเป็นประการใด ก็ลองไปโพสต์ลงในห้องราชดำเนินของพันทิปดู  คุณอาจจะได้บรรลุธรรมในข้อที่ว่า มนุษย์เรามีความแตกต่างกัน ไม่เฉพาะรูปกายเท่านั้น จิตวิญญาณ ความรู้สึกนึกคิดก็แตกต่างกันไปตามภพตามภูมิที่มาของแต่ละคนด้วย

ดังนั้น ผมอาจจะมีข้อมูลที่ผมซุกเอาไว้รอการนำเสนออย่างที่คุณคาดเดานั่นก็ถูกอยู่ แต่หากผมไม่มั่นใจว่าตัวผมเองเชื่อข้อมูลนั้นอย่างสัตย์ซื่อ ผมก็จะไม่เขียนนำเสนอลงไปแบบกระจะๆ เผอิญบางเรื่องไม่เล่าก็ไม่ได้ มันเป็นทางผ่าน ผมก็จะเล่าแบบให้คุณต้องออกแรงบ้าง ถ้าอยากทราบจริงๆก็ไปคลิ๊กอ่านตามที่ผมชี้ช่องไว้ให้ ถ้าไม่อยากทราบก็ข้ามไป ไม่ได้เสียอรรถรสแต่ประการใด ไม่ได้ถึงกับตัดช่องทางเสียทีเดียวไม่ใช่หรือครับ

ส่วนคำตัดพ้อในข้อสอง มันก็พันกันมาจากข้อแรก คือคุณคงคิดว่าผมเป็นผู้วิเศษสามารถย้อนอดีตกลับไปอยู่ในแต่ละเหตุการณ์ซะทุกเรื่อง เรื่องที่เขาแอบตะโกนในโรงหนัง คนที่นั่งอยู่ในนั้นทั้งโรงเขาคงไม่เห็นว่าเป็นใครหรอกครับ มันมืด ตำรวจก็จับคนไหนไม่ได้สักคน แต่ที่เขาเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามกระทำ มันก็เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือครับ ฝ่ายเดียวกันรักกันจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร แล้วใครล่ะที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ทางการเมืองมันก็ชัดแจ่มอยู่แล้ว ขนาดอย่างว่า ผมยังไม่กล้าระบุชื่อคนชื่อพรรคออกไปตรงๆอย่างที่คุณกระทำเลย เพราะผมเห็นว่าท่านที่สนใจก็เข้ากูเกิลหาได้ เพราะเรื่องนี้ดังมากอยู่แล้ว ผมไม่อยากจะกระทบกระเทือนถึงปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบันเพราะมันไม่ควรจะเกี่ยวกัน แล้วผมไม่มีหรอกครับหลักฐานหรือใบเสร็จอะไรนั่น เขาตะโกนกันก่อนผมเกิด แต่ถ้าเคยมีคดีความว่าพรรคที่ถูกเอ่ยชื่อคิดว่าเสียหายเขาฟ้องร้องเอาเรื่องกัน มันก็คงจะมีข้อมูลที่คุณต้องการชัดเจนขึ้น แต่มันก็ไม่มี หรือว่ามีผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เรื่องนี้ ก็เลยเขียนเท่าที่เขียนไปไงครับ ไม่ใช่ว่าจะไล่ไปหาอ่านกันเองซะทุกเรื่องที่ไหน

หวังว่าคำชี้แจงของผมคงจะพอรับฟังได้นะครับ



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: natadol ที่ 03 ส.ค. 10, 22:32
คำสอนแบบ กาลามสูตรครับ  ฟัง อ่าน และเรียนรู้ครับ  จะหาได้จากไหนครับ..ลุงๆ ป้าๆ พี่ๆพาท่องอดีต ได้รุ้เกร็ดปลีกย่อยอีกมากที่เราไม่รู้ หากเรารู้แต่ ลุงๆป้ๆพี่ๆไม่รู้ เราก็สามารถบอกได้ ท่านไม่ว่าหรอกครับ กลับมาแชร์กันหาข้อมูลมาเก็บไว้ให้เด็กๆรุ่นหลังๆเราศึกษาต่อไปดีกว่าครับ.. :)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ส.ค. 10, 07:06
^

ตามนั้นเลยครับ เป็นลุงน่ะถูกเลย ไม่ได้เป็นครูบาอาจารย์ที่ไหน อ่านเรื่องที่คนอื่นเขียนมา ตนเองเชื่ออย่างไรก็เรียบเรียงให้อ่านต่อโดยบริสุทธฺ์ใจ ก็เท่านั้น

หากไม่รู้จริง รู้ไม่หมด ก็กรุณาช่วยกันเสริม
ถ้าผิด ก็กรุณาชี้แจงให้แก้ไข

ความรู้จะได้เจริญงอกงาม

ที่ว่ามาทั้งหมดไม่ได้ห้ามถามนะครับ ถามได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะตอบทุกเรื่อง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 08:36
ให้กิ๊ฟ ค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 10:01
ถ้าตั้งใจอยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์จริงๆจังๆ   วิธีทำให้สนุก คืออย่าเรียนแบบรอป้อนอย่างเดียวค่ะ     
อ่านแล้วไปค้นหาข้อมูลต่อ  อินเทอร์เน็ตมีข้อมูลสั้นๆก็จริง   แต่ว่าหาอ่านได้ง่ายกว่าจะต้องเดินทางไปห้องสมุด ค้นก็ง่ายดาย    เพราะข้อมูลมันไม่ไปไหน    ห้องสมุดเสียอยู่อย่างคือจำนวนหนังสือแต่ละเรื่องมีแค่ก๊อปปี้เดียวหรือสองก๊อปปี้   ใครยืมไปจากชั้น เราก็อดอ่าน
แต่ข้อมูลทางเน็ต อ่านกี่คนพร้อมกันก็ได้     
พอไปค้น ได้ข้อมูลเพิ่ม หรือข้อมูลที่ขัดแย้ง ก็กลับมาโพสต์ถาม ให้ถกเถียงกัน  ต่างคนต่างไปหาหลักฐานมาเพิ่ม หรือรอวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นอย่างไหนกันแน่     จะเพิ่มความรู้และความคิดอ่านให้กว้างไกลได้ก็ตรงนี้
ถ้าหากว่าเบื่อที่จะไปเที่ยวหาตามเว็บต่างๆ  รอคำตอบอย่างเดียว  คุณอาจจะพลาดโอกาสที่จะสนุกก็ได้   แต่ถ้าไม่มีเวลาหรือไม่ชอบค้น จะรออ่านในเรือนไทยอย่างเดียวก็ได้   ไม่ผิดกติกาอันใด


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 04 ส.ค. 10, 11:04
กลับมาเล่าเรื่องเก่าตามประสาคนเกือบแก่ดีกว่า ตอนเลิกกินหมาก คุณยายผมท่านเดือดร้อนมากครับ แต่ก็แอบกินอยู่แหละครับ(ผมก็เคยลอง ) ตอนหลังๆนี่เมื่อผมโดนเนรเทศไป อินเดีย ที่นี่ต้นตำรับมีหลาบแบบ(ผมก็เคยลอง ) ไป อาฟริกา เขาก็มีหมากขาย คล้ายอินเดีย(ผมก็เคยลอง ) ที่ไต้หวันละก็มีบูธขายหมากเลยแหละครับ (ผมก็เคยลอง ) เรื่องผ้าโจงกระเบนก็คุณยายแหละครับเดือดร้อน คุณแม่ไม่เดือดร้อน สมัยนั้นมีถุงสำเร็จใส่กันครับ เรื่องใส่หมวกก็ไม่เดือดร้อน เรื่องกว๊ยเตี๋ยวนี่ ผม ไม่ยักทราบครับผม คงจะยังเด็กมากกระมัง เรื่องสวนครัวนี่เผอิญที่บ้านพอมีที่ ปลูกสวนครัว ผมได้ความรู้มากเลย(ตอนนี้ก็พยายามให้กอบัวปลูกต้นไม้ และศึกษาการเติบโตของต้นไม้) จำได้ว่าปลูกผักกาด ตะไคร้ โหระพา ต้นหอม ที่มันมากคือ เลี้ยงไก่ มี2พันธ์ เอาที่เรียกตอนเด็กนะครับ เลค ฮอน กับ ออสตาลอป มีไก่อยู่ตัวหนึ่ง นิสสัยเสีย ไข่ออกมาแล้วเจาะกิน แก้ปัญหากันอยู่นาน มีการมาตรวจด้วยนะครับ แล้วก็มีการแจกเป้ เดินทางไกล เข้าใจว่าไปที่บางปูครับ รำวงมาตรฐานนี่ต้องเป็นนะครับ ช่วงนี้ก่อนที่จะมีการทิ้งระบิดนะครับ พอมีการทิ้งระเบิดก็มีการสั่งให้ทำหลุมหลบภัย เคยเล่าไว้ในเว็บนี่แหละครัยว่า วัหนึ่งคุณพ่อพาไปเขาดินกับน้องสาว หวอมา(หวอที่ภูเขาทอง) ก็รีบเดินกลับพอมาพร้อมกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง พอถึงใกล้ๆวัดปรินายก เสียงหวี้ดของระเบดดังมาก กลุ่มคนเหล่านั้นแอบลงในท่อระบายน้ำแบบopen channel ริมถนน แต่คุณพ่อพาผมและน้องสาวแอบอยู่โคนต้นไม้ ระเบิดลงใกล้มาก ฝุ่นมืดมองอะไรไม่เห็นเลย พอหวอปลอดภัยขึ้น ไปดู ท่านที่ลงในท่อระบายน้ำ ท่อมันยุบตัว ท่านเสียชีวิตหมด  ส่วนผมโดนสะเก็ดระเบิดเล็กน้อยครับผม
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 12:02
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าค่ะ    ดิฉันเกิดไม่ทัน ได้แต่ฟังคำบอกเล่าจากผู้ใหญ่อีกที   ได้ฟังคุณมานิตเล่าก็เหมือนได้ย้อนความหลังอีกครั้ง

เรื่องขายก๋วยเตี๋ยว ต้องเป็นข้าราชการสมัยนั้นถึงจะรู้  ท่านผู้นำกำหนดมาให้ข้าราชการโดยเฉพาะครู เป็นผู้ทำ  ชาวบ้านไม่ถึงขัันต้องกินแต่ก๋วยเตี๋ยว ยังกินน้ำพริกได้อยู่ค่ะ
อีกเรื่องคือเรื่องเปลี่ยนชื่อ    วัธนธัมกำหนดมาเสร็จสรรพว่าผู้ชายต้องชื่อฟังเป็นชาย หญิงต้องเป็นหญิง  มีตัวอย่างให้ด้วยว่าถ้าชื่อแปลว่าอาวุธ  แปลว่าองอาจกล้าหาญ หรืออะไรแบบนี้ต้องเป็นชื่อชาย   ชื่อที่แปลว่าเครื่องประดับ  ดอกไม้  ความสวยงาม   เป็นชื่อหญิง
ปัญหาคือชาวบ้านไทยแต่เดิม  ชื่อไม่กำหนดเพศ  อย่างคนชื่อ "พร้อม"  เป็นได้ทั้งหญิงชาย  ชื่อ "ลออ" เป็นชายก็ได้ไม่มีใครเห็นแปลก
พอมากำหนดเพศให้กับชื่อ  เลยต้องเปลี่ยนกันอลหม่านทั้งเมือง
นางสาวไทยชื่อเรียม แพศยนาวิน ก็ต้องเปลี่ยนเป็น "เรียมรมย์" เพราะท่านผู้นำติงว่าชื่อ "เรียม" แปลว่า "พี่" ผู้ชายใช้แทนตัวในละคร    แต่พอพ้นยุคนี้คุณเรียมเธอก็กลับมาใช้ชื่อเดิม   
ส่วนอ้ายขวัญอีเรียมแห่ง "แผลเก่า" นั้นน่าจะรอดตัวไปค่ะ เพราะเป็นนิยาย  แต่งกันคนละยุค   


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 12:17
พอมีการทิ้งระเบิดก็มีการสั่งให้ทำหลุมหลบภัย เคยเล่าไว้ในเว็บนี่แหละครัยว่า วัหนึ่งคุณพ่อพาไปเขาดินกับน้องสาว หวอมา(หวอที่ภูเขาทอง) ก็รีบเดินกลับพอมาพร้อมกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง พอถึงใกล้ๆวัดปรินายก เสียงหวี้ดของระเบดดังมาก กลุ่มคนเหล่านั้นแอบลงในท่อระบายน้ำแบบopen channel ริมถนน แต่คุณพ่อพาผมและน้องสาวแอบอยู่โคนต้นไม้ ระเบิดลงใกล้มาก ฝุ่นมืดมองอะไรไม่เห็นเลย พอหวอปลอดภัยขึ้น ไปดู ท่านที่ลงในท่อระบายน้ำ ท่อมันยุบตัว ท่านเสียชีวิตหมด  ส่วนผมโดนสะเก็ดระเบิดเล็กน้อยครับผม
มานิต

ตอนคุณมานิตเข้าไปในเขาดินตอนนั้น เห็นหลุมหลบภัยบ้างหรือเปล่า

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/634/23634/images/ZooTour/ZooTour14.gif)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/634/23634/images/ZooTour/BombSave1.gif)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/634/23634/images/ZooTour/BombSave2.gif)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/634/23634/images/ZooTour/BombSave3.gif)

ภาพจาก

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/634/23634/images/ZooTour/BombSave3.gif


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: srinaka ที่ 04 ส.ค. 10, 12:42
กราบเรียนอาจารย์นวรัตน์

กราบขอบพระคุณที่อาจารย์เห็นว่าผมถามท่านด้วยความสุภาพ จึงกรุณาตอบมาให้คลายสงสัย และสาสมใจที่รอคอย
ขันติและเมตตาธรรมของอาจารย์ กระผมขอคารวะอย่างสุดหัวใจครับ การตั้งกระทู้ หากไม่มีการถาม-ตอบ ก็ไม่น่าจะเป็นกระทู้นะครับ
ผมใช้เจตนาอันบริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง และก็ไม่เคยคิดล่วงเกินท่านเลย  แต่การเห็นแย้งนั้น ..ผมขอเลียนอย่างที่อาจารย์ว่า..คือเห็นเป็นสิทธิ
กราบขอบพระคุณอีกครั้งสำหรับคำตอบทุกประเด็น หากใครที่ใช้วิจารณญาณในการอ่านก็จะทราบว่าการสอบถามของผม
อาจารย์เข้าใจแล้วและตอบมาชัดเจนทั้ง 2 ประเด็น จึงไม่มีอะไรต้องขยายความอีก

กราบและกราบแทบตักมาด้วยความเคารพ  รักษาสุขภาพนะครับ ผมจะติดตามผลงานของท่านตลอดไป..


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 12:57
หลุมหลบภัยสาธารณะ ที่เขาดินค่ะ  ทางการบูรณะไว้ดีมาก  คุณมานิตคงจะนึกถึงบรรยากาศสมัยสงครามโลกได้
หลุมหลบภัยตามบ้านก็มีค่ะ   แต่ว่าไม่แข็งแรงมิดชิดเท่าอย่างนี้    ส่วนใหญ่ขุดลงไปเฉยๆลึกพอสมควร   มีหลังคาบัง และมีบันไดลงไปได้ 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 13:01
หลุมหลบภัยสาธารณะอีกแห่ง หน้าโรงเรียนศึกษานารี   ยังพอมองเห็นร่องรอยโครงสร้างได้ 

http://www.snr.ac.th/wita/learning/safty_dane.htm


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 13:03
นี่คือโปสเตอร์ของรัฐ  สมัยสงคราม  อ่านแล้วคงจะทำให้พอวาดภาพบรรยากาศและความรู้สึกของผู้คนในสมัยนั้นได้บ้าง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 04 ส.ค. 10, 13:45
ที่ชอบเข้ามาที่ห้องเรียนเรือนไทย ก็เพราะว่าได้ความรู้หลากหลายและข้อแนะนำที่ดีในการค้นคว้าต่อไปค่ะ
อาจารย์แต่ละท่าน ทั้งๆที่งานยุ่งก็ยังสละเวลาหาความรู้มาให้ศึกษา แล้วยังได้อ่านเรื่องราวในสมัยเก่าก่อนที่เกิดขึ้นอีก
เหมือนได้ย้อนเวลาไปในเหตุการณ์เหล่านั้น สนุกมากเลยค่ะ  ;D

กี่คำขอบคุณก็ไม่รู้แล้วนะคะ ตั้งแต่เข้ามาเป็นนักเรียนในเรือนไทยนี้ แต่ก็ขอบพระคุณจริงๆค่ะ  :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 14:16
ต้องขอบคุณคุณนวรัตนค่ะที่จุดประกายขึ้นมา   ถ้าไม่มีคุณนวรัตน  ดิฉันก็ไม่คิดจะไปเปิดตู้   ปัดฝุ่นหนังสือที่ไม่ได้แตะมาสิบกว่าปีแล้วออกมาเปิดอ่านอีกครั้ง เพื่อจะวิ่งไล่ชั้นเรียนให้ทันเวลา
บางทีก็เสียดายว่ายังมีหนังสืออีกหลายเล่ม  และข้อมูลอีกหลายเรื่องที่ยังหาไม่เจอ    จึงเสียดายที่กระทู้จบ  ถ้ามีใครแวะเข้ามาเพิ่มเติมไม่ให้มันตกจอได้ก็ดีใจค่ะ   

กลับมาเข้าเรื่อง
เส้นทางชีวิตของจอมพลป.และพลต.อ.อดุลแยกกันเด็ดขาดตั้งแต่ปลายสงครามโลก   ขณะที่พลต.อ.อดุลจากไปสู่ตำแหน่งใหม่ที่มีเกียรติสูงกว่าแต่อำนาจน้อยกว่าจนกระทั่งเกษียณ  จอมพลป.ลงจากเวทีไป ก็หวนกลับขึ้นมาสู่อำนาจเดิมได้อย่างเหลือเชื่อ   

จอมพลป.ขาดขุนพลคู่ใจคนเก่าไป ก็จริง   แต่ท่านก็ได้ขุนพลคนใหม่มาแทนที่ คือพลต.อ.เผ่า ศรียานนท์  บุตรเขยของจอมพลผิน
เป็นยุคที่ได้ชื่อว่า "ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้"   ตำแหน่งอัศวินแหวนเพชร  ก็เกิดขึ้นในยุคนี้    เป็นยุคที่ตำรวจแข็งกล้ามากที่สุดกว่ายุคไหนๆ แม้แต่ยุคพลต.อ.อดุลเองก็ไม่แข็งเท่ายุคนี้

แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  มีอะไรแรงๆหลายอย่างด้วยกันในบ้านเมือง   คงจะต้องรอไว้สำหรับจังหวะเหมาะๆ มีใครมาตั้งกระทู้เล่าให้ฟังกัน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 04 ส.ค. 10, 14:52
ผมไม่ได้เห็นหลุมหลบภัยที่เขาดินครับ แต่เห็นที่หน้าหัวลำโพงครับ ชื่อ ดิน เผือกสกนธ์ ต้องเปลี่ยนเป็น ดิลก ครับ ฮิ ฮิ
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 20:12
ขอเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในไทยอีกนิดหน่อย    เรื่องวัธนธัมของจอมพลป. มีใหัปั่นกระทู้ได้อีกหลายความเห็น

การปฏิวัติภาษาไทยสมัยนั้น  ตัดพยัญชนะออกไปหลายตัว   เหลือแต่ตัวที่ตัดไม่ได้จริงๆ มิฉะนั้นตัดไปหมดจะไม่มีอะไรเขียน   เช่น ธ ฒ ตัดไปเหลือแต่ ท ทหาร   ฌ  ตัดไปเหลือแต่ ช    ใช้ ส แทน ส ศ ษ  เลิกใช้ไม้ม้วน ใช้ ไม้มลาย ตัวเดียว

คำพูดระหว่างกัน ก็เป็นแบบฝรั่ง คือ ฉันและท่าน เหมือน I และ You  คำรับไม่มี ครับ ค่ะ  แต่ใช้ จ้ะ   ทั้งสองเพศ
จอมพลป. เป็นคนชอบเขียนหนังสือ  ท่านเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์เป็นประจำ โดยใช้นามแฝงว่า สามัคคีชัย ซึ่งใช้หรือไม่ใช้ก็เท่ากัน คือทุกคนก็รู้กันว่าเป็นท่านจอมพล
เรื่องนี้ชื่อ "น้ำท่วมแต่ฉันพบคนดี"  ในโอกาสการเปิดสภาวัธนธัมแห่งชาติ
คัดมาส่วนหนึ่ง  กรุณาอย่านึกว่าพิมพ์ผิดหรือสะกดผิดนะคะ  ที่ยกมา สะกดถูกหมดแล้ว

      วันนี้ ฉันมีโอกาสไปไนงานสำคันของชาติที่วังบางขุนพรหม ไนพิธีเปิดสภาวัธนธัม ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นับตั้งแต่รัถมนตรีลงไป ก็ได้ไปชุมนุมกันอุ่นหนาฝาคั่งพร้อมเพรียงกันดี ฉันดีใจมากที่สุด เพราะการบำรุงวัธนธัมที่เราได้ทำกันมามากนานแล้ว แต่ฉันเห็นว่าทำกันหย่างกะจัดกะจาย ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ทั้งไม่มีไครดูแลแนะนำรักสาแนวปฏิบัติไห้เป็นหลักมั่นคง เมื่อมีสภาวัธนธัมขึ้น ก็คงจะได้เก็บรวบรวมไห้เป็นชิ้นเป็นอันจิงๆ...ฯลฯ...ที่ฉันยินดีเป็นพิเสส ก็ตรงที่เห็นท่านผู้ไหย่ไปชุมนุมกันพร้อมเพรียงดีมาก ฉันอ่านไจของท่านที่ไปทุกท่าน ฉันเห็นสว่างชัดทีเดียวไนไบหน้าของท่านเหล่านั้นสแดงท่าทีว่า ท่านพร้อมไจกันที่จะยกสภาวัธนธัมที่เปิดไนวันนี้ให้สถิตสถาพรต่อไปชั่วฟ้าดินสลาย ฉันพบคนดีหย่างนี้ทั่วไปแล้ว ฉันคิดว่าชาติไทยเราต้องรอดตายแน่นอน...  

สมัยนั้นผู้ที่อลหม่านที่สุดคือครูภาษาไทย    เพราะจะต้องสอนให้เด็กเขียนว่า  "ฉันรู้สึกโสกเส้าเป็นพิเสส ที่ได้ซาบว่าพาสาเปลี่ยนไหม่  ไครๆก็ไม่อาดรักสาไว้ได้หย่างเดิม"  



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 04 ส.ค. 10, 20:44
เอาของจริงมาให้ดูครับ

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs150.snc4/36864_133117766709191_100000329062638_241980_6697192_n.jpg)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 20:57
โชคดีที่นามสกุลไม่ต้องเปลี่ยนนะคะ   ไม่งั้นคงกลายเป็น "คนานุรักส์"   อ่านสู้ของเดิมไม่ได้เลย
 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 04 ส.ค. 10, 21:10
โชคดีที่นามสกุลไม่ต้องเปลี่ยนนะคะ   ไม่งั้นคงกลายเป็น "คนานุรักส์"   อ่านสู้ของเดิมไม่ได้เลย
 ;D

ถ้าต้องเปลี่ยนก็สนุกละครับ
ก่อนจะ้เป็น คณานุรักษ์ ใช้นามสกุล ตันธนวัฒน์
ท่านผู้นำก็ไม่พอใจบอกว่ามีคำว่า ตัน เป็นแซ่ บ่งบอกว่าไม่ใช่คนไทย
รองผู้อำนวยการป้องกันภัยทางอากาศของปัตตานีเลยต้องเปลี่ยนนามสกุล โดยเอาราชทินนามของผู้เป็นปู่มาเป็นนามสกุล
ราชทินนามก็ดันมีคำว่า จีน นำหน้า เลยตัดสินใจตัดคำว่า จีน ออกไป เหลือแค่ คณานุรักษ์
ถ้าต้องเปลี่ยนเป็น คนานุรักษ์ เทือกเถาเหล่ากอคงเป็นไทยแท้มาแต่โบราณ  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 10, 21:38
ลองวาดภาพดูว่าถ้าเรือนไทยอยู่ในยุควัธนธัม  ชื่อ(แฝง)ของพวกเราจะยังใช้กันได้ไหม

คุณหมอ CVT คงโดนก่อนใครเพื่อน  ชื่อภาษาอังกฤษไม่ตรงกับชาตินิยม   คุณ proudtobethai ต้องเปลี่ยนชื่ออีกเป็นคนที่สอง  เป็น "พูมไจ(ที่ได้เป็นคน)ไทย"
คุณ yanang ต้องถูกสั่งให้ไปสะกดใหม่เป็นภาษาไทย เช่นเดียวกับคุณ manit  และคุณ natadol
คุณวันดีกับคุณหลวงเล็กคงรอดตัว  ชื่อฟังเป็นหญิง เป็นชาย  ตรงตามเพศอยู่แล้ว
คุณศรีสยามต้องเปลี่ยนเป็น สรีสยาม
ที่ทุเรียนหล่นใส่ทั้งเข่งเห็นจะเป็น คุณ navarat c.  ไหนจะต้องสะกดใหม่เป็นไทย  ไหนจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่    ผู้ชายชื่อนวรัตนได้ไง
ส่วน"เทาชมพู" พนักงานอำเภอคงงงงวย   ชื่อไม่บ่งว่าเพศไหน    ในที่สุดคงโดนไล่ให้ไปเปลี่ยน เพราะไม่ชัดเจนว่าเป็นเพศหญิง   จะเหลือ"ชมพู"คำเดียวก็ยังไม่เป็นผู้หญิงพอ   ต้องเป็นอะไรสักอย่าง  อาจจะเป็น "เดือนชมพู"  เพราะชื่อ "เพ็ญชมพู" ไม่ว่างเสียแล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ส.ค. 10, 23:19
ผมเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดมาถึงบ้าน เปิดกระทู้ดูแล้วต้องทำก่อนอื่นคือ ขอขอบคุณคุณsrinaka สำหรับความคิดเห็นที่ 372 ด้วยครับ
 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 ส.ค. 10, 08:14
เอามาฝากคุณหมอซีวีที

คุณประเวศ (เอียงหยิ่น) (ตุ๊) คณานุรักษ์ อยู่ลำดับที่ ๑๔

ทายาทฯ สายพระจีนคณานุรักษ์ (จูล่าย ตันธนวัฒน์/คณานุรักษ์)
http://www.kananurak.com/mcontents/marticle.php?headtitle=mcontents&id=75668&Ntype=0

บิดาของคุณประเวศคือคุณอนันต์ คณานุรักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองปัตตานี เคยเป็นกรรมการในการเรี่ยไรเงินสงเคราะห์ประชาชนสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒, เคยร่วมมือกับหลวงสุนาวินวิวัฒน์เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งข้าหลวงจังหวัดปัตตานี ช่วยกันต่อต้านการยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔, เป็นหัวหน้าหาเงินช่วยราชการทหารในการเรียกร้องเอาดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศส, เป็นรองผู้อำนวยการป้องกันภัยทางอากาศ ฯลฯ

ในสมัยที่เป็นเทศมนตรีเมืองปัตตานี คุณอนันต์ได้ขอจดทะเบียนตั้งนามสกุลใหม่ ว่า "คณานุรักษ์" เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ซึ่งเดิมตระกูลนี้ใช้นามสกุลพระราชทานว่า "ตันธนวัฒน์" แต่เพื่อให้ถูกต้องตามสมัยรัฐนิยม ตามคำแนะนำของหลวงสุนาวินวิวัฒน์ ข้าหลวงจังหวัดปัตตานีในสมัยนั้น จึงได้ใช้ราชทินนามของคุณพระจีนคณานุรักษ์มาตั้งเป็นนามสกุลใหม่

ประวัติคุณอนันต์ คณานุรักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองปัตตานี
http://www.kananurak.com/mcontents/marticle.php?headtitle=mcontents&id=74144&Ntype=0

(http://www.kananurak.com/mcontents/1081160554kananurakcom5.gif)

คุณอนันต์ คณานุรักษ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกเทศมนตรีเมืองปัตตานี


(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/12/K6166921/K6166921-30.jpg)

พระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล่าย)  เมื่อครั้งเป็น หลวงจีนคณานุรักษ์

 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 05 ส.ค. 10, 08:31
คุณเพ็ญชมพูครับ ถ้ามีชื่อผมติดมาด้วย กระทู้นี้กลายพันธุ์แน่  :P :-X


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 05 ส.ค. 10, 11:13
ไม่เห็นมีใคร"พาดพิง"ถึง รัฐนิยม มั่งเลย ของท่านดีออก ท่องทุกเย็น(แต่ลืมหมดแล้ว) อ้อ เพลง"ท่านผู้นำไปทางไหน ฉันจะตามไปด้วย " ก็น่าสน นะครับผม
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 10, 14:08
หมายถึงอะไรคะ  รัฐนิยม?  เรื่องหมวก ไม่กินหมาก กินก๋วยเตี๋ยว ก็รัฐนิยมไม่ใช่หรือคะ?
ท่านผู้นำไปทางไหน ฉันจะตามไปด้วย  รู้แต่ว่าเป็นเพลงรัฐนิยม แต่หาไม่เจอว่าทำนองเป็นอย่างไร


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 10, 14:24
ภาพจากโอเคเนชั่น 
สาวๆยุควัฒนธรรม สวยเก๋ เท่กันมาก

(http://i155.photobucket.com/albums/s287/mongkonrut_2007/tor%202/1725.jpg)

สาวงามผู้เข้าประกวดนางงามในงานรัฐธรรมนูญ    ชุดว่ายน้ำที่เห็น คงจะใส่ว่ายน้ำไม่ได้    ตัดเพื่อเข้าประกวดเท่านั้น

(http://i155.photobucket.com/albums/s287/mongkonrut_2007/tor%202/1724.jpg)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 05 ส.ค. 10, 14:49
(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc3/hs281.snc3/27725_126435984044036_100000329062638_213892_1395566_n.jpg)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 ส.ค. 10, 08:20
ไม่เห็นมีใคร"พาดพิง"ถึง รัฐนิยม มั่งเลย ของท่านดีออก ท่องทุกเย็น(แต่ลืมหมดแล้ว) อ้อ เพลง"ท่านผู้นำไปทางไหน ฉันจะตามไปด้วย " ก็น่าสน นะครับผม
มานิต

คุณมานิตเคยได้ยินเรื่อง "วีระธัมของชาติไทย" ไหม

ประกาศสำนักนายกรัถมนตรี
เรื่อง วีระธัมของชาติไทย

.........ด้วยคนะรัถมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า ในสมัยที่พี่น้องสกุลไทยกำลังขะมักขะเม้นส้างชาติกันหยู่นี้ เปนการสมควรที่จะรวบรวมและปรับปรุงระเบียบนิสัย อันเปนคุนประโยชน์ในการส้างชาติขึ้นไว้ให้เปนระเบียบเรียบร้อยในที่เดียวกัน สำหรับยึดถือเปนแนวปลูกฝังและฝึกอบรมให้เกิดเปนนิสัยประจำตัวพี่น้องสกุลไทยทั่วกันทุกคน เพื่อส่งเสิมให้การส้างชาติไทยของเราดำเนินไปเปนแนวเดียวกันด้วยความเปนระเบียบเรียบร้อยดี สมเปนชาติที่มีวัธนธัมสูง อันจะเปนทางนำความจเรินก้าวหน้าและวัธนาถาวรมาสู่ชาติไทยยิ่ง ๆ ขึ้นไปโดยเร็วด้วย จึงได้ลงมติให้กำหนดนิสัยประจำชาติไทย ๑๔ ข้อ เรียกว่า "วีระธัมของชาติไทย" ขึ้นไว้ดังต่อไปนี้

ไทยรักชาติยิ่งชีวิต
ไทยเปนนักรบชั้นเยี่ยม
ไทยเปนชาติดีต่อมิตร และร้ายที่สุดต่อสัตรู
ไทยเปนชาติบูชาพุทธสาสนายิ่งชีวิต
ไทยเปนชาติปากกับใจตรงกัน
ไทยเปนชาติรักสงบ
ไทยเปนชาติซื่อสัจ และกตัญญู
ไทยเปนชาติขยัน
ไทยเปนชาติเพาะปลูกอาหารไว้กินเอง
ไทยเปนชาติสะสมมรดกไว้ให้แก่ลูกหลาน
ไทยเปนชาติชอบหยู่ดีกินดี
ไทยเปนชาติชอบแต่งตัวดี
ไทยเปนชาติยกย่อง เด็ก หยิง และผู้ชรา
ไทยเปนชาติว่าตามกันและตามผู้นำ

ประกาส นะ วันที่ ๑๒ พรึสภาคม พุทธสักราช ๒๔๘๗
พล.ต.อ. อดุลเดชจรัส
รองนายกรัถนมนตรี

http://www.taharn.net/war/47c1.html


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 06 ส.ค. 10, 10:57
เอ ผมจำผิดหรือเปล่า จำได้ว่าตอนเด็กๆก่อนโรงเรียนเลิกจะต้องท่องสูตรคูณ ท่องอาขยาน(แสนเสียดายนันทาที่น่ารัก ชะล่าหนักวิ่งออก  นอกถนน..... และท่อง"รัฐนิยมฉบับที่ 1...." หรือจะเป็นดังที่ท่านเพ็ญชมพูว่า จะถามใครได้ล่ะนี่ เพื่อนรุ่นดียวกันก็หายากลงไปทุกที เฮ้อ
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 ส.ค. 10, 11:31
มาดูกันว่า รัฐนิยม ๑๒ ฉบับ กำหนดอะไรบ้าง เพื่อนำประเทศไปสู่อารยะ และปลุกใจให้รักชาติ

รัฐนิยม ฉบับที่ 1 
เรื่องการใช้ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482
วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2482 ให้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ตามที่เรียกขานประชาชนว่าคนไทย ชื่อประเทศก็ควรเรียกว่าประเทศไทย
รัฐนิยม ฉบับที่ 2 ประกาศไม่ให้คนไทยประพฤติตนเป็นตัวแทนของต่างชาติ และไม่ให้ขายที่ดินให้ต่างชาติ
รัฐนิยม ฉบับที่ 3 
เรื่องการเรียกคนในประเทศว่า “คนไทย” แม้มีเชื้อสายอื่นก็ให้ถือว่ามีสัญชาติไทย มิให้แบ่งแยก เป็นความต่อเนื่องจากรัฐนิยมแบบแรก นั่นคือการเรียกชื่อว่า “ไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ ไทยอิสลาม” ให้เรียกว่า “ไทย” โดยรวมเพื่อขจัดความแตกต่าง ซึ่งกำหนดให้เลิกเรียกชื่อชาวไทยโดยใช้ชื่อไม่ต้องตามเชื้อชาติ และนิยมของผู้เรียก แต่ให้ใช้คำว่า “ไทย” แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก ทั้งนี้รัฐบาลมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นดินมั่นคงของประเทศและความกลมเกลียวสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติไทยทั่วทุกภาคของประเทศ
กล่าวได้นับว่านับเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ชาวไทยมุสลิม” เป็นคนไทยเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไปชนผืนแผ่นดินไทย มีข้อความว่าด้วยรัฐบาลเห็นว่า “การเรียกว่าไทย” บางส่วนไม่ต้องตามชื่อเชื้อชาติ และความนิยมของผู้ถูกเรียกก็ได้ การเรียกชื่อแบ่งแยกคนไทยออกเป็นหลายพวก หลายเหล่า เช่น ไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ และไทยอิสลาม ก็ดีไม่สมควรแก่สถานของประทศไทย ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้จึงประกาศไว้ในรัฐนิยมไว้ ดังนี้
      1 ให้เลิกการเรียกชาวไทยโดยใช้ชื่อที่ไม่ต้องตามเชื้อชาติและความนิยมของผู้เรียก 2 ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยกรัฐนิยมฉบับนี้ ซึ่งกำหนดให้เลิกการเรียกชาวไทยโดยใช้ ชื่อที่ไม่ต้องตามเชื้อชาติและความนิยมของผู้ถูกเรียก แต่ให้ใช้คำว่า “ไทย” แก่ชาวไทยทั้งมวล โดยไม่แบ่งแยก ทั้งนี้โดยรัฐบาลมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของประเทศและ ความกลมเกลียวสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชาติไทยทั่วทุกภาคของประเทศ24 กล่าว ได้ว่านับเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าชาวไทยมุสลิมเป็นคนไทยเช่นเดียวกับ คนไทยทั่วไปชนผืนแผ่นดินไทย
รัฐนิยม ฉบับที่ 4 
เรื่องการเคารพธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี
รัฐนิยม ฉบับที่ 5 
เรื่องให้ชาวไทยพยายามใช้เครื่องอุปโภค บริโภคที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย
รัฐนิยม ฉบับที่ 6 
เรื่องทำนอง และเนื้อร้องเพลงชาติ
รัฐนิยม ฉบับที่ 7 
เรื่องชักชวนให้ชาวไทยร่วมกันสร้างชาติ
รัฐนิยม ฉบับที่ 8 
เรื่องเพลงสรรเสริญพระบารมี
รัฐนิยม ฉบับที่ 9 
เรื่องภาษาและหนังสือไทยกับหน้าที่พลเมืองดี ซึ่งกำหนดให้ชนชาติไทย ถือเป็นพลเมืองดีที่จะต้องศึกษาให้รู้หนังสือไทยอันเป็นภาษาของชาติอย่างน้อยต้องให้อ่านออก เขียนได้ และถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญในการช่วยเหลือสนับสนุนแนะนำชักจูงให้พลเมืองที่ยังไม่รู้ ภาษาไทยหรือยังไม่รู้หนังสือไทยให้รู้ภาษาไทยหรือหนังสือไทยจนอ่านออกเขียนได้ ทั้งนี้เพื่อ ไม่ให้เกิดความแตกแยกและความแตกต่างของท้องที่ถิ่นกำเนิด
รัฐนิยม ฉบับที่10 
เรื่องการแต่งกายของประชาชนชาวไทย : กำหนดให้คนไทยต้องแต่งกายตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ว่าเป็นสุภาพชน เช่น ผู้ชายสวมหมวกใส่เสื้อชั้นนอกคอเปิดหรือปิด สวมกางเกงขายาวแบบสากล สวมรองเท้าหุ้มส้นและหรือหุ้มข้อ และถุงเท้า ส่วนผู้หญิงก็ต้อง สวมหมวก ใส่เสื้อนอกคลุมไหล่ สวมผ้าถุง ใส่รองเท้าหรือหุ้มส้นและถุงเท้า เป็นต้น
รัฐนิยม ฉบับที่ 11 
เรื่องกิจประจำวันของคนไทย ( ประกาศเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2484 ) โดยชนชาติไทยพึงบริโภคอาหารให้ตรงเวลา ไม่เกินวันละ 4 มื้อ และนอนประมาณ 6-8 ชั่วโมงต้องมุ่งมั่นทำงาน พักกลางวันไม่เกิน 1 ชั่วโมง มีเวลาทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ ทั้งชำระร่างกายแล้วจึงรับประทานอาหารว่าง ในเวลากลางคืนก็ควรใช้ในการพบปะสนทนาในครอบครัว มิตรสหาย ทั้งใช้ศึกษาหาความรู้ หรือในการมหรสพ ส่วนวันหยุดก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ ต่อร่างกายและจิตใจ เล่นกีฬา พักผ่อน ทำบุญ ฟังเทศน์ เป็นต้น
รัฐนิยม ฉบับที่ 12 
เรื่องการช่วยเหลือคุ้มครองเด็ก คนชรา หรือคนทุพพลภาพ ประกาศเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2485


ท่านมานิตท่องรัฐนิยมอย่างที่คุณเทาชมพูยกมาหรือเปล่า

 ???


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 ส.ค. 10, 11:41
สามเกลอ ตอน รัฐนิยม

(http://www.bloggang.com/data/uhu700/picture/1232614490.jpg)  (http://www.bloggang.com/data/uhu700/picture/1232699819.jpg)

 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 ส.ค. 10, 14:21
รัฐนิยม ฉบับที่ ๖ เรื่องทำนองและเนื้อร้องเพลงชาติ ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒

ภาพเสนอโดยคุณย่านาง

สมบัติในหนังสือโบราณ
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/07/K8136002/K8136002.html#11


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 07 ส.ค. 10, 07:57
แว็บเข้ามานิดหนึ่งก่อนจะไปทำงานเส้นข้าง(sideline)เรื่อง วีระทัม นี่ผมไม่เคยทราบมาก่อนครับ แต่รัฐนิยมน่ะท่องทุกเย็นครับ วันละข้อครับผม ช่วงนี้ใก้ลเกษียณ งานเส้นข้าง(ของ)ผม ขายดีครับ วันก่อนนี้แขกท่านให้ทิปภรรยาผมกับผมมาตั้ง 600 เขาบอกว่า เอาไปแบ่งกัน ฮิ ฮิ สนุกจังเลยครับ
มานิต


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 10, 19:53
เอ ผมจำผิดหรือเปล่า จำได้ว่าตอนเด็กๆก่อนโรงเรียนเลิกจะต้องท่องสูตรคูณ ท่องอาขยาน(แสนเสียดายนันทาที่น่ารัก ชะล่าหนักวิ่งออก  นอกถนน..... และท่อง"รัฐนิยมฉบับที่ 1...." หรือจะเป็นดังที่ท่านเพ็ญชมพูว่า จะถามใครได้ล่ะนี่ เพื่อนรุ่นดียวกันก็หายากลงไปทุกที เฮ้อ
มานิต
แสนเสียดายนันทาที่น่ารัก            ชะล่านักเลี่ยงออกนอกถนน
มัวแต่หลงปลาบปลื้มจนลืมตน          ถูกรถยนต์แล่นทับดับชีวา
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นทุกเย็นเช้า           กลับเหลือแต่กรงเปล่าไม่เห็นหน้า
เคยวิ่งเล่นด้วยกันทุกวันมา            ช่างทิ้งข้าเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจเอย

ตอนเล็กๆ วาดภาพนันทาเป็นแม่ไก่ฝรั่ง  สีขาวขนหนา ตัวป้อมๆ   ไม่ใช่ไก่บ้านสีดำรูปร่างผอมเปรียว  มันถึงดูน่ารัก และเงอะงะไม่คล่องตัว  ไปปลาบปลื้มกับอะไรก็ไม่รู้กลางถนน   เลยถูกรถทับตาย
ดิฉันไม่เคยวิ่งเล่นกับไก่  เลยแต่วิ่งเล่นกับหมา     เลยไม่รู้ว่าเด็กเขาวิ่งเล่นกับไก่แบบไหน   วิ่งแข่งหรือวิ่งอ้อมเป็นวงกลม





กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 10, 22:48
ท่านกูรูใหญ่กว่าเริ่มกระทู้ด้วยจอมพลและพล.ต.อ.  ดิฉันพามาจบที่แม่ไก่นันทาเสียแล้ว     เดี๋ยว...ต้องหมุนพวงมาลัยกลับไปเฉียดๆทางเดิมก่อน
นี่คือรูปเสรีไทยชายหญิง   ใครเป็นใครยังจนปัญญาจะตรวจสอบ   รู้จักเสรีไทยอยู่คนเดียวคือศาสตราจารย์คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร
สมัยดิฉันเป็นนิสิต ได้เรียนกับท่านที่คณะ   แต่ในรูปนี้ไม่มีท่าน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 23:20
ขอwelcome backด้วยภาพศาสตราจารย์คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร เสรีไทยสายอเมริกาครับ
แม้จะไม่ใช่ศิษย์โดยตรง แต่ก็คุ้นกับท่านมาก ลูกชายท่านเรียนสถาปัตย์รุ่นติดกับผม จบแล้วไปเป็นนักบินการบินไทยสบายบรื๋อ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: natadol ที่ 07 ส.ค. 10, 23:42
จากภาพในกระทู้ที่398 ท่านที่นั่งติดกับสุภาพสตรี ที่ไส่ชุดสีเข้มกว่าท่านอื่น ท่านคือ ม.จ.ภีศเดช รัชนี ครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 10, 08:32
ขอเวลานอก ฟื้นความหลังกับคุณนวรัตน   ท่านอื่นเชิญรอ ค.ห.หน้านะคะ ข้ามค.ห.นี้ไปเสีย

จำลูกชายอาจารย์คุณหญิงจินตนาได้ค่ะ   เขาเป็นหนุ่มถาปัด   อาจารย์มีเวลาว่างก็เล่าถึงลูกชายด้วยความภูมิใจและเอ็นดู   ท่านเรียกลูกชายว่า "อ้ายจู"    พวกเราฟังก็ขำกันกลิ้ง ว่าทำไมถึงชื่อยังงั้นได้ลงคอ   เพราะสมัยนั้นรู้จักกันแต่หมาจู

มารู้ทีหลังว่าพี่จูแกมีชื่อโก้มาก ว่า "จูเนียร์"   เป็นยุคที่เด็กไทยยังมีชื่อเล่นว่า ต๋อย ติ๋ม  แดง น้อย ฯลฯ    ชื่อน้องโอ๊ค น้องกอล์ฟ น้องแอน  ยังไม่มีพ่อแม่คนไหนคาดฝันว่าจะตั้งให้ลูก   เพราะงั้นจูเนียร์ก็ถือว่าเท่สุดๆ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 10, 09:28
กลับมาเล่าเรื่องอักขระภาษาไทย สมัยวัธนธัม   คนรุ่นหลังอาจประหลาดใจ ว่าทำไมต้องเปลี่ยนกันให้โกลาหลอย่างนั้น

เท่าที่คนไทยสมัยนั้นรู้คือ รัฐบาลจอมพลป. เห็นว่าตัวอักษรไทยมีมากมายเกินไป  ทั้งที่เสียงเดียวกัน    ท ก็ปาเข้าไป 3  คือ ท ธ ฒ  ทั้งๆก็อ่านออกเสียงว่า ท    เหมือนกัน   อย่ากระนั้นเลย ตัดเหลือ ท เดียวพอ     
ช กับ ฌ  ก็เหลือ ช  เดียว   คำว่า ทราบ  อ่านออกเสียงว่า ซาบ  ก็ควรเขียนว่า ซาบ  ให้ตรงตัว  ใ  ไ  ออกเสียงเหมือนกัน  ใช้  ไ  ตัวเดียวพอแล้ว
ในเมื่อกำหนดตามเกณฑ์นี้    ก็เลยต้องปฏิวัติแบบเรียนภาษาไทยกันใหม่หมด   

ดังนั้นการสะกดตัวแบบใหม่  ก็คล้ายๆกับสะกดตามที่หูได้ยินเสียง     เหมือนภาษาวัยรุ่นในคอมพ์คือได้ยินอย่างไรก็เขียนลงไปอย่างนั้น  ไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามีหลักเกณฑ์ทางภาษาอย่างไร

เหตุผลของรัฐบาล ตามที่ อ. พิบูลสงคราม เขียนไว้ในหนังสือจอมพลป. พิบูลสงคราม คือ
ภาษาไทยเรานั้นบางทีก็มีลักษณะฟุ่มเฟือย    กล่าวคือมีศัพท์แสงหลายถ้อยคำที่มีความหมายอย่างเดียวกัน    แสดงให้เห็นถึงการแบ่งชั้นวรรณะของบุคคลในชาติเดียวกัน ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ส่วนเหตุผลอื่นๆ  คุณจีรวัสส์ พิบูลสงคราม เล่าไว้ในต่วย'ตูนว่า จากคำอธิบายของจอมพล ป. ที่ได้ฟังมาโดยตรงนั้น

"...แรกที่สุดนั้นพ่อได้รับรายงานจากทางกระทรวงศึกษาธิการ ว่าญี่ปุ่นได้มายื่นข้อเสนอจะให้เด็กนักเรียนไทยเรียนภาษาญี่ปุ่น โดยอ้างว่าที่มะลายูได้มีการสอนจนคนมะลายูรู้ภาษาญี่ปุ่นกันเป็นส่วนมากแล้ว และคนไทยเรายังน้อยหน้าคนมะลายูในเรื่องนี้อยู่มาก ฉะนั้น จึงขอให้กระทรวงศึกษา ฯ เร่งจัดการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นเด็กไทยในโรงเรียนทุกระดับโดยพลัน...
เมื่อพ่อได้ทราบดังนี้ ก็จึงหาอุบายเพื่อจะไม่ให้คนไทยต้องเรียนภาษาญี่ปุ่น พ่อได้เชิญนักปราชญ์ราชบัญฑิตหลายท่านมาปรึกษาหารือ ท่านเหล่านี้ก็มี เสด็จในกรมนราธิป ฯ ท่านเจ้าคุณอนุมานราชธน คุณพระสารประเสริฐ คุณพระราชธรรมนิเทศ คุณกี อยู่โพธิ์ คุณสง่า กาญจนนาคพันธิ์ คุณเปลื้อง ณ นคร ฯลฯ ผลของการปรึกษาสรุปได้ว่า เราจำเป็นต้องเร่งพิจารณาเปลี่ยนการเขียนหนังสือไทยเสียใหม่ โดยใช้ภาษามคธเป็นแม่ภาษา โดยอ้างว่าเมื่อเราได้รับสหรัฐไทยเดิมกลับคืนมาแล้ว เราก็จำเป็นต้องปรับปรุงการอ่านและการเขียนให้เป็นแนวที่เรียบง่าย ๆ เช่นเดียวกัน และการที่เด็กไทยเราต้องเรียนการเขียนหนังสือโดยวิธีใหม่นี้ ก็สามารถใช้เป็นสาเหตุที่กระทรวงศึกษาธิการจะยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างกับญี่ปุ่นได้ว่า จะขอเวลาให้เด็กไทยเรียนรู้หนังสือไทยอย่างใหม่เสียก่อน จึงจะให้เด็กไทยเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ในที่สุดเด็กไทยเราก็รอดตัวไปไม่ต้องถูกบังคับให้เรียนภาษาญี่ปุ่น...

อาจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ อดีตนายกราชบัญฑิตยสถาน ก็ได้เขียนเล่าเกี่ยวกับเรื่องรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ออกกฏบังคับให้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงระบบการอ่านและการเขียนไปอีกทางหนึ่ง คือเขียนไว้ว่า

กรรมการท่านหนึ่ง คืออาจารย์วงศ์ เชาวนะกวี ในคณะกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมภาษาไทย เป็นคนแรกที่ได้เล่าถึงสาเหตุที่รัฐบาลของ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องปรับปรุงแก้ไขอักษรไทยใหม่อย่างกระทันหันในครั้งนั้น ว่าเป็นเพราะญี่ปุ่น ซึ่งเข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศไทย เพื่อทำสงครามมหาเอเชียบูรพานั้น ได้มาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า ภาษาไทยเรียนยาก เพราะมีพยัญชนะและสระมากมายเหลือเกิน จึงสมควรใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการแทน
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ฟังเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลเช่นนี้ ก็ได้ตัดสินใจตอบญี่ปุ่นไปว่า ความจริงนั้นไทยเรามีตัวหนังสือใช้เป็นสองชุด ชุดหนึ่งใช้ในราชการ ซึ่งเรียนยากหน่อย ส่วนชุดที่เรียนง่ายมีอีกชุดหนึ่งสำหรับสามัญชนทั่ว ๆ ไป แต่ความจริงนั้นเรามีอยู่เพียงชุดเดียว ครั้น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีตอบญี่ปุ่นไปเช่นนี้แล้ว ก็รีบเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในเรื่องนี้ มิฉะนั้น เราก็จะต้องกลายเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นไปโดยปริยาย ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมภาษาไทยดังกล่าวขึ้น และได้จัดให้มีการประชุมพิจารณาเรื่องนี้เป็นการด่วน เสร็จแล้วก็มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องการปรับปรุงตัวอักษรไทยออกมา นับว่าเป็นการทำงานแข่งกับเวลา และแข่งกับความอยู่ รอดของเมืองไทยและวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างยิ่ง"


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 10 ส.ค. 10, 14:59
เรียนคุณ natadol ขอแย้งด้วยความเคารพค่ะ ในความเห็น 398 ท่านที่สวมชุดสีเข้มนั่งติดกับสุภาพสตรีน่าจะเป็นหม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์หรือเปล่าคะ

ผิดถูกอย่างไรรบกวนท่านผู้รู้ยืนยันอีกครั้งค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 10 ส.ค. 10, 15:10
ตามอ่านมานานด้วยความสนุกและขอบคุณ...ทุกๆท่าน...


หนังยาวววววววววว......เหมือนหนังเรื่อง WAR AND PEACE ฉบับรัสเซียสร้าง..ยังไงยังงั้น






เรื่องวิบัติภาษาไทย....ต้องกราบขอขมาท่านจอมพล ป.ที่หลงเข้าใจผิดและด่าท่านมานาน...
ขอบพระคุณอีกครั้งครับ 8) ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 14 ส.ค. 10, 11:43
สนับสนุน ค.ค.ห.ที่ 403 ของคุณ Sirinawadee ค่ะ

ชายในชุดสีเข้ม นั่งข้างหญิงสาวในรูป คือ ท่านชาย การวิก จักรพันธ์ ส่วนท่านชาย ภีศเดช รัชนี  น่าจะเป็นชายที่นั่งขวาสุดค่ะ





กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 10, 12:56
นำรูปมาลงให้ดูอีกครั้ง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 21:03
เอารูปท่านภีศ์ในสมัยเป็นเสรีไทยมาให้ดูว่าทรงหล่อขนาดไหน ถ้าโดดร่มลงมาเจอแม่สาวเรียม ไอ้หนุ่มขวัญก็คงอกหักไปตั้งแต่ที่บ้านนาโน่นแล้ว


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 25 ส.ค. 10, 13:11
อ้างถึง
ก. คำกล่าวของหลวงอดุล เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941

 ในฐานะอธิบดีกรมตำรวจ      หลวงอดุลสั่งให้ชาวฝรั่งเศสซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย เดินทางออกนอกประเทศทันทีทันใดภายในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940ส่วนคนอื่นให้เดิน ทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ภายในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1941 ภายในเวลา 72 ชั่วโมง สำหรับประเด็นนี้ไม่ขอ พูดถึง     มีรายงานว่าการเบียดเบียนศาสนาพวกคนไทยที่เป็นคาทอลิกโดยผู้ว่าราชการจังหวัด, นายอำเภอ และสมาชิกคณะเลือดไทยของหลวงพิบูล ได้เริ่มขึ้นแล้ว 

อาจารย์ Navarat คะ กรณีข้างต้นนี้ เป็นผลให้เกิดเหตุการณ์ นักบุญราศีทั้ง 7 ที่วัดสองคอน มุกดาหารใช่หรือไม่ค่ะ

อ้างถึง
ตามจากรึกแห่งวัดสองคอน ได้เล่าความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับบุญราศีทั้ง 7 ว่า ช่วงที่ประเทศไทยกำลังมีกรณีพิพาทเรื่องดินแดนกับฝรั่งเศส  ซึ่งมีความตึงเครียดไปทั่วจังหวัดชายแดนไทย - ลาว  ด้วยเหตุที่ว่าบาทหลวงส่วนใหญ่ก็เป็นชาวฝรั่งเศส  ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของฝรั่งเศส และเกิดทัศนคติว่าผู้ที่รับถือสาสนาคริสต์ในเวลานั้นฝักใฝ่กับฝรั่งเศสและทรยศต่อชาติ
 
            เมื่อสงครามปะทุขึ้น  ทางการได้เนรเทศบาทหลวงเปาโล  ฟีเกต์  เจ้าอาวาสวัดสองคอนออกนอกประเทศ เจ้าหน้าที่ทางการได้ข่มขู่ชาวบ้านให้ละทิ้งศาสนา  โดยกล่าวคาดโทษถึงชีวิตแก่ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง  ทว่านายสีฟอง  อ่อนพิทักษ์ และคณะซิสเตอร์ยังคงอยู่ช่วยงานวัด และเป็นผู้นำชาวบ้านสวดภาวนา  และเตือนไม่ให้ทุกคนละทิ้งความเชื่อมั่นและศรัทธานั้นต่อไป  ท้ายสุดนายสีฟองถูกจักกุมและถูกยิงเสียชีวิต
 ต่อมาซิสเตอร์และคณะอีก 6 คน  ก็ถูกยิงเสียชีวิตที่ป่าศักดิ์สิทธิ์  หลังจากการปฏิเสธ ที่จะละทิ้งความเชื่อ
 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ส.ค. 10, 13:40
ครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ย. 10, 16:55
กระทู้นี้จบไปแล้ว  ดึงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะบังเอิญไปเจอเกร็ดเล็กๆน้อยๆ เรื่องจอมพลป. ตอนถูกข้อหาอาชญากรสงคราม  เผื่อใครจะสนใจไปหาอ่าน  อยู่ในหนังสือข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย ของ นคร พจนวรพงษ์ และอุกฤษ พจนวรพงษ์
ในนั้นบอกว่า
ศาลฎีกา คดีหมายเลข 2/4/2489 คำฟ้อง...คณะกรรมการตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม บรรยายฟ้อง จอมพลแปลก พิบูลสงคราม (จำเลย) โดยสรุปว่า
ระหว่างเวลาตั้งแต่ 5 ม.ค. 2484 ถึง 26 ก.ค. 2487 จำเลยซึ่งเป็นผู้มีนิสัยใฝ่สูงและมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะคุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดินไว้ในมือของตนโดยเด็ดขาด
จำเลยนิยมลัทธิการปกครองแบบเผด็จการและลัทธิชาตินิยมอย่างรุนแรง ตลอดถึงการทำสงครามรุกราน จำเลยได้กระทำการต่างๆ โดยสมัครใจร่วมสงครามกับประเทศญี่ปุ่น เป็นภัยอันตรายร้ายแรงต่อความสงบของโลก
ประชาชนต้องสูญเสียชีวิตและสมบัติไปอย่างมากมาย
ขอให้ลงโทษตามมาตรา 9 คือประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกไม่เกินยี่สิบปี และขอศาลให้สั่งริบทรัพย์สมบัติส่วนตัวของจำเลยทั้งสิ้น

จอมพล ป. ยื่นคำให้การปฏิเสธสรุปว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยบริหารราชการแผ่นดินโดยชอบ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม และที่สำคัญ พ.ร.บ.อาชญากรสงครามที่โจทก์ฟ้อง มีบทบังคับให้มีผลย้อนหลัง ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญตกเป็นโมฆะ ฯลฯ ขอให้ ศาลพิพากษายกฟ้องปล่อยจำเลย

ศาลฎีกามีคำพิพากษา เมื่อ 23 มี.ค. 2489 การกระทำที่โจทก์ ฟ้องจำเลย เป็นการกระทำก่อนวันที่ 11 ต.ค. 2488 อันเป็นวันใช้ พ.ร.บ.นี้ทั้งสิ้น เมื่อบทบัญญัติอันโจทก์ฟ้อง ขอให้เอาผิดจำเลยเป็นโมฆะเสียแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะลงโทษจำเลยได้ ไม่มีประโยชน์อันใดที่ศาลจะฟังคำพยานหลักฐานโจทก์ในเรื่องนี้ต่อไปอีก จึงยกฟ้องโจทก์เสีย ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป

จอมพล ป. ถูกจับกุมเมื่อ 16 ต.ค. 2488 จนถึงวันที่ศาลมีคำพิพากษา รวมเวลาที่ถูกควบคุม 159 วัน

ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ มีผู้พบคำกลอนเขียนไว้บนผนังห้องคุมขังท่านผู้นำในเรือนจำ  ว่า

อันมหาสมุทรแสนสุดล้ำ
ดูเขียวคล้ำน้ำกับฟ้าน่าหวั่นไหว
แต่ยังไม่เหมือนคุกทุกข์ยากใจ
ยิ่งแลไปเหลือระอาฟ้ากับกรง

จอมพล ป. จะเขียนเอง  หรือใครเขียนไว้ไม่มีหลักฐาน   แต่พอเดาได้ว่าความรู้สึกของท่านก็คงไม่ไกลจากบทกลอนนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ก.ย. 11, 10:25
หนังสือเล่มชื่อว่า "ผู้บัญชาการชาวพุทธ ความทรงจำของนายพลนากามูระเกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา"

มาสารภาพอีกแล้วว่า มีหนังสือเล่มนี้และอ่าน ๒ รอบ แต่จำอะไรไม่ได้เลย
ตอนนี้ไม่รู้ซุกอยู่ในลังไหนแล้วด้วยครับ  :'(

คุณหมอซีวีทีสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้แล้วที่นี่

http://www.openbase.in.th/files/tbpj075.pdf

 ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: smallhands ที่ 30 ก.ย. 11, 21:35
ตามอ่านจากกระทู้ชะตากรรมของพระยาทรงสุรเดช จนมาถึงกระทู้นี้ และกำลังจะตามไปอ่านจอมพลป.2 ต่อไป

ขอขอบพระคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่ได้ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในการเข้าใจปวส อันซับซ้อน ยุ่งเหยิงและซ้ำซากของเมืองไทยยุคหลัง2475เอาไว้ ณ.ที่นี้นะคะ เป็นแฟนตามอ่านความเห็นของอาจารย์หลายๆท่านมานานตั้งแต่ห้องสมุด (ซึ่งหลังๆไม่ค่อยได้เข้าแล้วเพราะเบื่อซ้ายสุดกู่) แต่ไม่เคยได้เข้ามาที่นี่ หลังจากอ่านแล้ว ต้องสมัครล็อค อินมาขอบคุณเลยละค่ะ  :)

ปวดตาไปหมด แต่คุ้มค่ามากๆค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ _/ \_


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ก.ย. 11, 21:57
ช่วยไปตามกันมาอีกแยะๆสิครับ ผมก็หนีมาจากที่นั่นเหมือนกัน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: smallhands ที่ 30 ก.ย. 11, 23:48
จริงๆแล้วไม่ได้รู้จักใครในนั้นเลยค่ะ แทบไม่เคยตอบด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่อ่านอย่างเดียว (ยกเว้นกรณีพาดพิงในหลวงแล้วอดใจไม่ตอบไม่ได้) เพราะแต่ก่อนพิมพ์ช้ามาก แต่คุ้นเคยชื่อของคุณนวรัตน์ คุณเทาชมพู คุณเพ็ญชมพู คุณ cvtบ้านโป่ง อีกคนที่แต่ก่อนอ่านบ่อย จำชื่อได้คือ คุณหนุ่ม รัตนะ


เพิ่งได้ลิงค์ของชะตากรรมพระยาทรงสุรเดชเมื่อวานนี้ วันนี้อ่านทั้งวันทั้งคืน งานการไม่ได้ทำเลยค่ะ ท่าทางจะเลิกยากกว่าฝิ่นเสียแล้วค่ะ  ;D

จะค่อยๆไล่อ่านกระทู้ไปนะคะ ขอปวารณาตัวเป็นนักเรียนอีกคนหนึ่งค่ะ :)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ต.ค. 11, 05:40
ยินดีครับ

ผมเองก็ได้เรียนรู้อะไรๆจากที่นี่เยอะเหมือนกัน


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: smallhands ที่ 01 ต.ค. 11, 10:38
ขอบพระคุณค่ะ  :D  :D  :D



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ต.ค. 11, 16:17
มาต้อนรับค่ะ
ประวัติศาสตร์มีเอาไว้ให้เรียนรู้ถึงความถูกต้องและผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต   อดีตเป็นที่มาของปัจจุบัน   ถ้ารู้ว่าเราเดินมาจากที่ไหน ก็จะรู้ว่าบัดนี้เราอยู่ตรงไหนและอนาคตจะไปที่ใด    แต่ถ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอดีตเสียเลย  ก็จะอยู่ไปวันๆกับปัจจุบัน  และเคว้งคว้างกับอนาคต

โดยส่วนตัว ดิฉันเห็นว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่ค่อยจะไปไหนไกลเลย   เหมือนเดินเป็นวงกลมกลับมาที่เดิม

คนที่ทำให้เกิดมหากาพย์ นับแต่พระยาทรงสุรเดช    หลวงอดุลเดชจรัส และจอมพลป. 1  กับป. 2  คือคุณ Navarat.C   ถ้าหากว่าท่านจะกรุณาเมื่อพอมีเวลาให้     ชาวเรือนไทยก็คงจะได้อ่านมหากาพย์สงครามอินโดจีนอีกสักกระทู้ค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: smallhands ที่ 01 ต.ค. 11, 19:43
คิดเหมือนอาจารย์เลยค่ะ ยิ่งกระทู้ชะตากรรมของพระยาทรงสุรเดช ยิ่งทำให้เห็นธาตุแท้ของการเมืองไทยตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งณ เวลานี้ ก็มีหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมแต่มีอาการหนักข้อขึ้นตามความป่วยของสังคมที่สะสมมา  :(

อาจารย์คะ ขอถามนอกเรื่องหน่อยค่ะ ทำไม หนูได้เป็นอสูรผัดล่ะคะ แล้วต้องทำยังไงถึงจะได้เลื่อนขั้นเป็นนิลพัทบ้าง  ;D  ;D  ;D



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ต.ค. 11, 21:48

อาจารย์คะ ขอถามนอกเรื่องหน่อยค่ะ ทำไม หนูได้เป็นอสูรผัดล่ะคะ แล้วต้องทำยังไงถึงจะได้เลื่อนขั้นเป็นนิลพัทบ้าง  ;D  ;D  ;D

ข้างใต้ชื่อมีตัวเลขบอกจำนวนที่คุณตอบ      ขยันเข้ามาตอบมากๆเข้าก็เลื่อนขึ้นโดยอัตโนมัติค่ะ   
คุณตอบมากเท่าคุณ Navarat.C  ก็ได้เป็นนิลพัทเช่นกันค่ะ   ถ้าคุณ Navarat  ตอบมากขึ้น จนเท่ากับดิฉัน ท่านก็ได้เป็นหนุมานค่ะ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: smallhands ที่ 02 ต.ค. 11, 20:49
งั้นขอรักษาการตำแหน่งอสูรน้อยไปก่อนละกันค่า  ;D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 06 ก.ค. 12, 06:49
ลงชื่อว่าอ่านจบแล้ว  พึ่งจะเข้าใจคำว่า กวดวิชา  ก็ตอนนี้นี่เอง ฮ่าๆๆๆ

ขอแสดงความชื่่นชมและเห็นด้วยกับความเห็นของท่าน อจ เทาชมพู และ อจ นวรัตน์ เกี่ยวกับเรื่อง "ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ"

หลายๆคนหลายๆกลุ่มยังโฆษณาชวนเชื่อกันด้วยความเห็นเช่นนี้อยู่ มิน่าถึงกล้าทำโน่นทำนี่โดยไม่กลัวเกรงประวัติศาสตร์จะจารึกยังไง นั่นเพราะพวกเขาคงเชื่อมั่นในวลีมิจฉาทิฏฐินี้นี่เอง


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: Almansos ที่ 11 เม.ย. 15, 16:39
ว่ากันว่าหลวงอดุลเป็นนายพลตำรวจผู้รักความยุติธรรม มือสะอาด แต่ไหงไปช่วยหลวงพิบูลปรักปรำผู้บริสุทธิ์ในคราวกบฏ18ศพ แถมยังหาพยานเท็จ หลักฐานเท็จต่างๆนาๆเสร็จสรรพ ข้อนี้ไม่เข้าใจจริงๆครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 18:22
ผมน่าจะแสดงความเห็นแล้วว่า คนอย่างหลวงอดุลเป็นพวก fixed idea หรือพวกที่ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นหนึ่งแบบไม่ยอมเปิดหูเปิดตา
ตอนนั้นท่านเชื่อว่าหลวงพิบูลเป็นผู้ที่นำชาติที่ประเสริฐสุด ดังนั้น ใครเป็นศัตรูทางการเมืองกับหลวงพิบูล ก็คือศัตรูของชาติ ผู้รักชาติอย่างท่านมีหน้าที่ต้องกำจัด ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม

มนุษย์ประเภทสมองสี่เหลี่ยมที่ fixed idea กับความเชื่อของตนเองเดี๋ยวนี้ก็มีแยะไป ใส่เสื้อแบ่งสีกันเสร็จสรรพ์ดูง่ายหน่อย เรื่องเดียวกันเหตุการณ์เดียวกันแท้ๆก็เชื่อแต่ข้อมูลที่ถูกจริตตนเอง ไม่เคยพิเคราะห์เรื่องที่ตนได้ยินได้เห็นมานั้น เกิดจากหลักฐานเท็จหรือพยานเท็จหรือไม่ มุ่งแต่จะคิดว่าผู้ที่คิดต่างกับตนเป็นศัตรูคู่อาฆาตเท่านั้น 


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 14:23
 (ftp://[/ftp)
สมัยรัฐบาลพล.ร.ต.ถวัลย์นั้น พล.ต.อ.อดุลได้ย้ายจากอธิบดีตำรวจไปเป็นผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.ต.ถวัลย์แต่งตั้งให้พล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพ(หลวงสังวรยุทธกิจ)เป็นอธิบดีตำรวจแทน นายตำรวจสันติบาลมือดีของพล.อ.อดุลก็ดมกลิ่นทหารจะก่อปฏิวัติมาได้ แล้วรายงานตรงยังอธิบดี แต่พล.ร.ต.สังวรกล่าวกับลูกน้องในเชิงว่า เรามันเป็นข้าราชการประจำ ทหารเขาจะเปลี่ยนตัวพวกนักการเมือง เราก็ไม่เกี่ยว จะเปลี่ยนกี่รัฐบาลเราก็ข้าราชการประจำอยู่นั่นเอง เรื่อยไปจนถึง ประชาชนเกลียดรัฐบาล หนังสือพิมพ์ด่าแม่อยู่เรื่อย ถ้าเรารบกับทหารเพื่อป้องกันรัฐบาล จะหาความนิยมจากประชาชนได้อย่างไร

ดังนั้นพล.อ.อดุล ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจึงได้ทราบเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

ก่อนหน้าปฏิวัติประมาณสามเดือน มีงานสังคมสวมหน้ากากงานหนึ่ง เปล่าครับ ไม่ใส่งานบันเทิงที่ต้องแต่งแฟนซีสวมหน้ากากอย่างที่ท่านเคยเห็นในละครทีวีหร็อก แต่เป็นงานพระราชทานเพลิงศพพระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตหัวหน้าคณะราษฎร จึงมีพวกผู้ใหญ่ๆที่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่องนี้ไปกันครบ ต่างฝ่ายต่างทักทายกันสนิทสนม ทั้งที่ข่าวลือเรื่องทหารจะปฏิวัติหึ่งไปหมด ทุกคนก็ซ่อนใบหน้าอันแท้จริงไว้ภายใต้หน้ากากเปื้อนรอยยิ้มจอมปลอม ที่เสแสร้งให้ดูจริงใจ ปากก็พล่ามคำพูดที่ฟังดูดี มีความสนิทสนม และมิตรภาพ หลังจากนั้น จอมพล ป.ก็ได้เจอกับพล.ร.ต.ถวัลย์อีกในงานเลี้ยงที่บ้านของขุนนิรันดรชัย เศรษฐีที่ดินรายใหญ่ จอมพล ป.ถามหยั่งเชิงว่า ท่านทราบข่าวมาว่าทหารจะปฏิวัติ แล้วนายกทราบบ้างหรือเปล่า พล.ร.ต.ถวัลย์ตอบว่าทราบอยู่เหมือนกัน กำลังคิดจะลาออกอยู่พอดี อาจจะเป็นหลังวันที่11พฤศจิกายนให้ลงนามแก้ไขสนธิสํญญาที่ทำกับอังกฤษเสร็จก่อน

การหยั่งเชิงกันเช่นนี้ มีผลทำให้เกิดปฏิวัติขึ้นจริงๆในสามวันต่อมา


เอาภาพยนต์ข่าวเหตุการณ์ตอนนั้นมาฝากครับ

https://www.youtube.com/watch?v=hpY4knTshLM (https://www.youtube.com/watch?v=hpY4knTshLM)



 (https://www.youtube.com/watch?v=hpY4knTshLM[/url)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 เม.ย. 15, 09:25
^

http://www.youtube.com/watch?v=hpY4knTshLM#ws (http://www.youtube.com/watch?v=hpY4knTshLM#ws)


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: Almansos ที่ 13 เม.ย. 15, 15:30
เหมือนคำโบราณว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" ใช่ไหมครับ ท่านจอมพลคิดว่าตนเหนือฟ้าแล้ว ก็เลยโดนจอมพลสฤษดิ์ที่ยังมีฟ้าโค่นล้มซะ ท่านจอมพลเลยหายสาบสูญไปเลย และก็เป็นทีของสายสฤษดิ์ที่หมุนเวียนกันมาปกครองราษฎรเสียยาวนาน แล้วก็โดน "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" โค่นลงอีกตามเคย อย่างนี้ที่เขาเรียกว่าเผด็จการต้องเจอกับเผด็จการกว่า ถูกไหมครับ


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 16:22
ไม่น่าจะใช่คำพังเพยนี้ ถ้าเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ทันคลื่นลูกเก่า หรือเสือแก่แพ้เสือหนุ่ม อะไรทำนองนี้น่าจะใช่กว่า

ใช้ได้กับการแย่งชิงอำนาจทั่วๆไปทุกองค์กร ตั้งแต่บ้าน บริษัท กรมกอง กองทัพ พรรคการเมืองและรัฐบาลที่ผูกขาดอำนาจโดยบุคคลคนเดียว



กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: otto t ที่ 29 เม.ย. 15, 17:35
นักเรียนใหม่มารายงานตัวค่ะ ติดเกาะมา23ปี (แถมที่เกาะก็ดันไม่มีร้านหนังสือให้หาซื้อมาอ่าน) โชคดีที่มีอินทรเนตรก็เลยย่องเงียบแอบเข้ามานั่งอยู่หลังห้อง แอบเข้ามาอ่านมาหาความรู้เกร็ดวิชาจากอาจารย์หลายๆท่าน ขอบพระคุณสำหรับความรู้และเรื่องราวในอดีตที่อาจารย์ได้เรียงร้อยให้ดิฉันได้อ่านมาเป็นความรู้ประดับตัวกราบขอบพระคุณค่ะ :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 เม.ย. 15, 18:59
ด้วยความยินดีอย่างมากเลยครับ :D


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 14 ก.ค. 16, 14:48
ชีวิตคุณหลวงทั้งสองเอาไปแต่งนิยายได้เป็นเล่มเลยค่ะ "เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด"ของจริง :-X :-X :-X

ขอตัวไปอ่านต่อให้จบก่อนค่ะและขอโทษที่ขุดกระทู้นี้ขึ้นมา