มีเรื่องเล่าจากคุณเทาชมพูกันอีกแล้วเจ้าคะ สำหรับครานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับนิยายแปล ...
ท้องตลาดหนังสือในเมืองไทยนั้นเท่าที่ดูอย่างคร่าวๆ นวนิยายไทยส่วนใหญ่เป็นนวนิยายรัก ส่วนนวนิยายแปลส่วนใหญ่เป็นเรื่องนักสืบ หรือเรื่องสืบสวนผจญภัย อย่างเช่นเรื่องของนักเขียนขายดีมีชื่อ สตีเฟน คิง และอีกคนก็คือ คุณยาย อกาธา คริสตี ผู้เขียนมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ และถ้าเธอไม่ตายเสีย ก็คงจะเขียนไปจนถึงสงครามโลกครั้งที่ ๓ โดยมีแฟนอ่านกันหนาแน่นตามเคย
นิยายนักสืบเหล่านี้เข้าใจว่าเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ หรืออาจจะตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ และที่แน่ๆคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักแปลพระองค์แรกที่แปลเรื่องของ คุณยาย อกาธา คริสตี คือ ชุด Poirot Investigates อันเป็นชุดรวมเรื่องสั้นการสืบสวนของนักสืบ แอร์คูล ปัวโรต์ นักสืบเอกของคุณยายเจ้าของเรื่อง ใครสนใจก็จะไปหาอ่านได้ที่หอวชิราวุธานุสรณ์ ส่วนฉบับภาษาอังกฤษนั้น พิมพ์ซ้ำซากต่อมาหลายครั้งหลายคราว พอจะหาได้ตามร้านหนังสือใหญ่ๆบางแห่งในกรุงเทพฯ
คุณยายอกาธาผู้นี้สร้างนักสืบเอกขึ้นมาหลายคนด้วยกัน เท่าที่คนไทยรู้จักกันมากมีอยู่สองคนคือ อดีตนายตำรวจเบลเยี่ยมผู้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักสืบเอกชนชื่อ แอร์คูล ปัวโรต์ ส่วนคนที่สองนั้นเป็นสุภาพสตรีชราชื่อ นางสาวเจน มาร์เปิล อาศัยอยู่ที่ตำบลเล็กๆในชนบทอังกฤษชื่อตำบลเซนต์แม มี้ด ตำบลเจ้ากรรมนั้นมักจะมีฆาตกรรมเข้ามาพัวพันให้คุณป้าเจนต้องสืบสวนอยู่เรื่อยตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่๑ มาจนปัจจุบัน ถึงแม้ว่าคุณยายผู้เขียนเรื่องจะถึงแก่กรรมไปหลายปีแล้ว คุณป้านักสืบก็ยังอยู่ดีมีความสุขอยู่ที่เดิม ส่วนนักสืบคนอื่นๆที่คนไทยไม่ค่อยจะรู้จัก คือนักสืบหนุ่มสาวสามีภรรยากันคู่หนึ่งชื่อ ทอมมี่และทัพเพนซ์ คล้ายกับเรื่องนักสืบชุด ศุภวาระ-มาณะศรี ของ ว.ณ ประมวญมารคพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต แต่ว่า ว.ณ ประมวญมารค ทรงแต่งเอาไว้น้อยมาก เพียงไม่กี่ตอนตัวละครที่เป็นนักสืบหนุ่มสาวสองสามีภรรยาที่โด่งดังมาก ยังมีอีกคู่หนึ่งนอกเหนือจากคู่นี้ ได้แก่นักสืบหนุ่มชื่อ นิค ชาร์ลส์ และภรรยาสาวชื่อ นอรา อยู่ในชุดนักสืบ The Thin Man ของนักเขียนชาวอเมริกันชื่อ ดาชิลล์ แฮมเม็ตต์ นักสืบชุดนี้เคยทำเป็นภาพยนตร์และหนังชุดทางโทรทัศน์มาแล้ว ดาราหนุ่มผู้สวมบทบาท นิค ชาร์ลส์ ก็คือดารารูปหล่อในอดีต ปีเตอร์ ลอว์ฟอร์ด ซึ่งปัจจุบันแก่ชราลงไปกว่า เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ ผู้เคยเล่นเป็นนางเอกของเขาในภาพยนตร์คลาสสิคสำหรับเด็กเรื่อง สี่ดรุณี หรือ Little Women คนที่จำเรื่องนักสืบเรื่องนี้ได้ว่า ปีเตอร์ ลอว์ฟอร์ด แสดงมีอยู่ไม่น้อย
ส่วนนักสืบที่โด่งดังที่สุดในประวัติการเขียนนวนิยายนักสืบของอังกฤษ หรืออาจจะในโลกด้วยก็ได้คือนักสืบ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ นั้น เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ อีกเหมือนกัน แต่ไม่ได้เข้ามาเป็นที่รู้จักในนามของ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ หากแต่ในนามของ นายทองอิน และหมอวัตสันคู่หูของ เชอร์ล็อค โฮล์มส์นั้น กลายเป็นคนไทยชื่อ นายวัด เพื่อนสนิทของนายทองอิน ตัวละครทั้งสองตัวนี้อยู่ในชุดนิทานนายทองอิน ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ว่าพฤติกรรมสอบสวนของนายทองอินนั้นไม่ได้ดัดแปลงมาจากการผจญภัยของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ทุกตอน มีอยู่ตอนหนึ่งคือ คดีผู้ร้ายฆ่าคนที่บางขุนพรหม ทรงแปลงมาจากเรื่องสอบสวนคลาสสิคของเอ็ดการ์ อัลลัน โป ชื่อ The Murder in The Rue Morgue เรื่องสอบสวนของโปเรื่องนี้ทำเป็นหนังและหนังฉายทางโทรทัศน์กันมาหลายยุคอีกหลายสมัย จนกระทั่งหายลึกลับไปแล้วเนื่องจากคนดูจำได้ขึ้นใจ ผู้สร้างแข็งใจทำเรื่องนี้ต้องดัดแปลงเสียแทบไม่เหลือเค้าเดิม มีแต่ฆาตกรซึ่งเป็นลิงเท่านั้นยังคงยืนโรงอยู่พอให้นึกได้ว่าเป็นเรื่องของโป นักเขียนเรื่องลึกลับคนดังของอเมริกา
นิยายนักสืบเชอร์ล็อค โฮล์มส์ นี้ถือกันว่าเป็นเรื่องเด่นมาก จนกระทั่งว่าถ้าใครเขียนเกี่ยวกับเรื่องสืบสวนลึกลับแล้วไม่เอ่ยถึงเชอร์ล็อค โฮล์มส์ก็จะรู้สึกว่าขาดตอนสำคัญไปมาก เรื่องนี้ในฉบับภาษาไทยมีคนแปลมาแล้วหลายคน เช่น หลวงสารานุประพันธ์ แปลเรื่องยาวเรื่องสำคัญที่สุดของชุดนักสืบนี้คือเรื่อง The Hound of Baskerville ใช้ชื่อว่า ทุ่งร้างบาสเกอร์วิลล์ แต่ว่าผู้ที่แปลชุดนักสืบเชอร์ล็อค โฮล์มส์ไว้อย่างครบชุดนั้นคือ อ.สายสุวรรณ
เมื่อเปิดดูประวัติความเป็นมาของนิยายชุดนี้แล้วนับว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ในตอนแรกหมอหนุ่มชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ ซึ่งชอบขีดๆเขียนๆหนังสือแต่ว่าขายไม่ออกนั้น เขียนเรื่องนักสืบเชอร์ล็อค โฮล์มส์ขึ้นมาโดยไม่ได้หวังอะไรมาก เพียงแต่ทำเพื่อหารายได้พิเศษระหว่างที่เปิดคลีนิกใหม่ๆยังไม่ค่อยมีคนไข้เท่านั้น แต่ว่าเรื่องนี้กลับเป็นเรื่อง “ฮิท” ขึ้นมาอย่างประหลาด ชนิดที่ว่าตัวละครเชอร์ล็อค โฮล์มส์นั้นบดบังรัศมีงานอื่นๆที่ดอยล์บรรจงทำแทบล้มประดาตายเสียสิ้น เช่นงานเขียนประวัติศาสตร์ชี้นสำคัญของเขา แม้การที่เขาได้บรรดาศักดิ์เป็น “เซอร์” นั้น คนอ่านก็เชื่อว่าเป็นเพราะว่านิยายนักสืบชุดนี้เอง ไม่ใช่เพราะงานทางวิชาการอย่างที่น่าจะเป็น
จนกระทั่ง เซอร์ อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ ถึงแก่กรรมไปเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๓ ความนิยมเรื่องเชอร์ล็อค โฮล์มส์ก็ยังไม่เสื่อมคลาย ทั้งที่นิยายเรื่องนี้ลงตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๐ หรือว่าเมื่อ ๔๓ ปีก่อน ถ้าเป็นดาราก็คงแก่หง่อมเปลี่ยนบทจากชายหนุ่มมาเล่นเป็นบทคุณทวดแล้ว ความนิยมนี้มีมากจนกระทั่งบุตรชายของเซอร์ อาเธอร์เองชื่อ เอเดรียน โคแนน ดอยล์ และนักเขียนเรื่องสืบสวนอีกคนหนึ่งชื่อ จอห์น ดิกสัน คาร์ ต้องช่วยกันเขียนเรื่องชุดเชอร์ล็อค โฮล์มส์ขึ้นมาอีกเป็นเรื่องสั้นหลายเรื่องด้วยกัน สนองความประสงค์ของแฟนๆที่ตามอ่านกันไม่ลดละ หลังจากนั้นก็มีการตั้ง “แฟนคลับ” ของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ขึ้น มีใครต่อใครเขียนตำรับตำราเกี่ยวกับเชอร์ล็อค โฮล์มส์ วิเคราะห์กันออกมาเป็นการใหญ่ราวกับว่าเป็นเรื่องของบุคคลจริงๆมีตัวมีตนและนักเขียนบางคนก็ผูกเรื่องเชอร์ล็อค โฮล์มส์ตอนพิเศษขึ้นมาอีก ทำที่ว่าเป็นบันทึกของหมอวัตสันคู่หูของนักสืบที่ค้นหาพบกันภายหลัง กระทั่งการทำเป็นหนังในตอนที่นักสืบผู้นี้ยังเป็นวัยรุ่น คือ Young Sherlock Holmes เรื่องของนักสืบคนนี้ก็เลยออกจะเลอะเทอะนอกกรอบที่ เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์เขียนไว้แต่เดิมมากพอสมควร แต่ว่าแฟนๆดูเหมือนจะไม่สนใจเท่าไหร่ว่าจะเลอะเทอะออกไปแค่ไหน ตราบใดที่ตัวเอกยังชื่อ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ มีผู้ช่วยชื่อวัตสัน ยังคงคุณสมบัติในการมองคนปราดเดียวก็ระบุอาชีพในอดีตและปัจจุบัน ความเป็นมา โรคภัยไข้เจ็บประจำตัวหรือแม้แต่เรื่องราวเกี่ยวกับพ่อแม่ของคนๆนั้นได้อย่างแม่นยำ ด้วยวิธีการที่เจ้าตัวเรียกว่า “ศาสตร์แห่งการอนุมาน” หรือ The Science of Deduction
นักวิจารณ์ลงความเห็นกันว่าในบรรดาเรื่องของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ เรื่องที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องดั้งเดิมที่เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ เป็นคนแต่ง หากมิใช่ว่าเซอร์อาเธอร์นั้นแต่งดีจนไม่มีที่ติเอาเสียเลย ตรงกันข้ามความบกพร่องชนิดที่พอจะเรียกได้ว่าความชุ่ย หรือความสะเพร่าของท่านเซอร์ผู้นี้ก็มีมิใช่น้อย เช่น เมื่อพ.ศ.๒๔๓๗ ท่านแต่งให้หมอวัตสันได้แต่งงานแต่งการไปเรียบร้อยกับสตรีสาวชื่อ เมรี่ มอร์สแตน ในเรื่องยาวชื่อ The Sign of Four แต่ว่าพอมาถึงการผจญภัยในเรื่องสั้นหลังจากนั้นกลับเขียนว่าหมอวัตสันอยู่กับโฮล์มส์ตามเดิม แต่แล้วต่อมาอีกหลายปีก็ค่อยกลับไปเขียนว่าหมอวัตสันอยู่ดีมีสุขกับภรรยา ร้อนถึงนักเขียนยุคหลังเช่นเอเดรียน โคนแนน ดอยล์ ลูกชายต้องเขียนแก้ตัวให้พ่อเป็นพัลวันว่า การที่วัตสันไปอยู่กับโฮล์มส์หลังพ.ศ.๒๔๓๗ นั้นก็ไปอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะว่าภรรยามีธุระไปค้างต่างเมืองบ้างอะไรบ้าง เผอิญมีคดีเข้ามาให้สืบในตอนที่ไปค้างอยู่ ๒–๓ คืนนั่นก็เลยเหมือนกับว่ายังอยู่ที่เดียวกับเชอร์ล็อค โฮล์มส์ แต่คนอ่านก็ไม่ว่าอะไร รู้ว่าของพรรค์นี้เซอร์อาเธอร์มีสิทธิ์ที่จะลืมได้ เพราะว่าไม่ได้เขียนติดต่อกันรวดเดียวจบหมดทั้ง ๕๒ เรื่อง บางทีก็เว้นไปหลายปีถึงจะกลับมาเขียนอีก หรือบางทีเซอร์อาเธอร์อ้างถึงคดีบางเรื่องผิดๆพลาดๆไปบ้าง คนอ่านก็ให้อภัย ถือเสียว่าคนขี้ลืมนั้นคือหมอวัตสันผู้บันทึกคดีต่างหาก ไม่ใช่ตัวนักเขียนเอง
เสน่ห์ของนิยายนักสืบเชอร์ล็อค โฮล์มส์นั้น ไม่ได้อยู่การที่สร้างเนื้อเรื่องซึ่งลึกลับซับซ้อนซ่อนปมอย่างดีเยี่ยม อย่างความดีของนิยายนักสืบซึ่งมักจะยึดถือข้อนี้กันโดยมาก ตรงกันข้าม การสร้างเรื่องของเซอร์อาเธอร์นั้นไม่เด่นเท่าไหร่เลย แต่ว่าความเด่นนั้นกลับไปอยู่ที่การสร้างตัวละครเอก