เรือนไทย

width="100%">

นอกเหนือจาก Cottingley fairies ในกระทู้ข้างล่างนี้   ดิฉันเจอภาพถ่ายที่เคยฮือฮาในสายตาชาวโลกอีกหลายภาพ /> ล้วนแล้วแต่ภาพหลอกกันทั้งนั้น /> ก็เลยรวบรวมบางภาพที่อาจผ่านสายตากันมาบ้าง   มาขยายรายละเอียดเบื้องหลังสู่กันฟังอีกครั้ง /> ประเดิมด้วยภาพ Nessie เจ้าอสุรกายแห่งทะเลสาบเนสส์ ของสกอตแลนด์   ซึ่งเคยโด่งดังทำรายได้แก่ประเทศมาเยอะแล้ว /> ภาพเนสซี่ที่ลงนี้เคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในภาพยืนยันตัวตนของเจ้าไดโนเสาร์หลงยุค ได้ดีที่สุดภาพหนึ่ง ชื่อ"The Surgeon's Photo ตามชื่อผู้ถ่ายภาพ นายแพทย์ เคนเนธ วิลสัน ที่ถ่ายไว้เมื่อปี ๑๙๔๓ /> เห็นเจ้าเนสซี่ชูหัวเหนือคลื่น ไม่กี่ปีมานี้เอง   ก็เป็นที่เปิดเผยจากคำสารภาพของผู้ร่วมแก๊งค์ตบตา  ว่าทำขึ้นมาเอง   มีนายแพทย์คนนั้นแหละอยู่ในกลุ่มด้วย ทำเพื่อความสนุก /> ภาพแพร่หลายไปทั่วโลกทำให้กลุ่มนึกสนุกปิดปากเงียบไม่กล้าสารภาพ   ตกลงกันว่าใครตายเป็นคนสุดท้ายคนนั้นค่อยบอก /> คุณตาคนสุดท้ายแกก็เพิ่งบอกก่อนตายไปในวัย ๙๐ นี่เอง src="rtimages/RW1157x0.jpg">

 ต้องศึกษากาลามสูตรเสียให้ดี

แล้วบั้งไฟพญานาคล่ะครับ
เมื่อไรจะมีคนมาเผยความจริง

 น่าสนใจครับ
แล้วอย่างภาพประหลาดที่ปรากฎในหนัง ที่เค้าบอกว่ายังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่รู้จนป่านนี้มีการพิสูจน์หรือยัง
อย่างหนังฝรั่งเรื่อง Three men and a baby ที่อยู่ ๆ มีรูปเด็กโผล่มาตรงขอบหน้าต่าง โดยที่ไม่มีใครรู้เนี่ย
จนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องแต่งหรือเปล่า
หรือในหนังไทยก็มีเรื่อง กลิ่นสีและกาวแป้ง หรือเปล่าไม่แน่ใจ
ที่ในหนังบอกว่า ในรูปถ่ายหมู่ อยู่ ๆ ก็มีคนนึงที่ไม่มีใครรู้จักเลยโผล่เข้ามาอยู่ในกล้องซะเฉย ๆ เป็นคนแก่สูงอายุซะด้วย
ผมเดาว่าทั้งสองกรณีคงเป็นความเข้าใจผิดมากกว่า
จะเป็นปรากฎการณ์ทางวิญญาณจริง ๆ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน

 แล้วภาพเจ้า Nessie นี่เขาทำไงครับ
เขาบอกไว้ด้วยรึเปล่าครับ

 ทำจากเรือดำน้ำของเล่นค่ะ คุณ Paganini
The photographer confessed, when he thought he was close to death, that it was a fake: it had been a toy submarine that he and a friend had rigged up as a hoax.

It is actually not a bad fake. It is impossible to identify the scale of the photo, so the object could have been small or huge. The use of a “real” shadowy object meant that the photograph could never be proved to have been touched up. There is good rippled wash around the “monster,” genuine reflection in the water, and an elongated neck reminiscent of a plesiosaur.

But there may be a major giveaway in this photo. Plesiosaurs and marine creatures generally have flippers or paddle-like limbs. The “monster” in this photo seems to have a cylindrical “paw” raised out the water … not really the right implement for surviving full-time in the loch!

ภาพทำนองนี้มีอีกเยอะ  หาดูได้ที่เว็บนี้ค่ะ
 http://www.museumofhoaxes.com/

 ขอบคุณ  คุณเทาชมพูมากครับทั้งคำตอบในหัวข้อนี้และอื่นๆ

เวปที่ให้ก็น่าสนใจมากครับ  อ่านแล้วจะได้รู้ไต๋พวกต้มตุ๋น
อ้อ  ผมว่าน่าจะเพิ่มกรณี  นายสมพงษ์ เลือดทหารเข้าไปด้วยนะครับ 555

 อ้าว   อย่านึกว่าไทยไม่ติดระดับนะคะคุณ paganini

เรื่องต้มตุ๋นของไทยก็โกอินเตอร์เช่นกันค่ะ   อยู่ในเว็บนี้ละ

เรื่องเปรตอาจารย์กู้ไงคะ

แต่เสียดายไม่มีภาพเปรตประกอบ

ลอกมาให้อ่านค่ะ



The Thailand Ghost Swindle



In late April and early May of 2000, TV news shows in Thailand repeatedly aired apparently authentic footage of a ghostly seance that had occurred deep in the heart of the Kham Chanot forest. The video had been shot at night using an infra-red camera, and it showed a man dressed as a Buddhist monk making contact with other-worldly spirits. One spirit appeared as an impossibly tall and skinny man who wore no shirt and ran through the forest, howling, screaming, and waving his arms. The shakiness of the footage, combined with its sounds of the night-time forest, produced an air of eerie authenticity.



Not only was the footage shown repeatedly on television, it was also the subject of a number of newspaper articles. Many people travelled to the area in which the video had been shot in north-east Thailand's Udon Thai province, 564 km from Bangkok, hoping to see the ghosts for themselves.



Police, however, were skeptical about the authenticity of the footage. At first they speculated that the video had been produced as an April Fool's joke. They reported that two groups of people had been seen leaving the Kham Chanot forest on April 1. One group, who was questioned leaving the forest at 3 a.m., had told the police they had been in the forest making an offering to the spirits.



Later, on May 24, the police arrested a local cult leader named Kitti Papasarobol whom they charged with creating the fake footage and defrauding one of his followers. Apparently Kitti had told one of his followers, a woman, that he could contact ghosts, and that if she gave him 300,000 baht ($7700) he would use his links with the spirit world to improve her fortunes. She gave him the money, and he then produced the video of the seance to demonstrate his ability to contact the spirit world.



The police identified the man dressed as the buddhist monk in the video as Kitti Papasarobol. They theorized that the ghost in the video was an acquaintance of his who was standing on a box.



Kitti denied the charges and maintained as his defense that he really could contact spirits. Police gave him a chance to prove this ability by requesting that he produce a Buddhist amulet from sand. He failed the test and was sent to jail.

 อ้อใช่ครับ  ลืมอาจารย์กู้ไป
ได้ข่าวว่าตอนที่ท่านทั้งสองอยู่ในคุกนี่อยู่แดนเดียวกันซะด้วยไม่รู้ริงรึงปล่าว  ถ้าจริงคงมันศ์พิลึกละครับ

 อาจล่าช้าไปเสียแล้ว(นิดหน่อย)นะครับ แต่บังเอิญไปอ่านต่วยตูน ฉบับล่าสุด และเห็นเรื่องราวอันคลับคล้าย คลับคลาจะลวงโลกเช่นกัน แต่ก็น่าสนใจมากทีเดียว เพราะภาพเหล่านั้นมิได้ปรากฎในลักกษณะของภาพถ่าย แต่เป็น "ภาพเขียน"  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นภาพเขียนทางศาสนาเสียด้วย เรื่องมีอยู่ว่า(จำไม่ได้ชัดเจนนักนะครับ)ภาพเขียนทางศาสนาคริสต์นั้น หลายภาพที่เมื่อมีแสงสว่างจากฟากฟ้า จะต้องมีภาพวัตถุทรงกลมปรากฎอยู่ใกล้  และหลายภาพที่แสงสว่างดังกล่าวฉายลงมาจากวัตถุทรงกลมนั้น เรื่องนี้น่าสงสัยมากว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นลำแสงจากพระเจ้า หรนือจากวัตถุแปลกปลอมนอกโลกกันแน่

แต่อย่างไรก็ดี ในทางพระพุทธศาสนาของเรา ก็มีเรื่องราวทำนองนี้ที่น่าสงสัย น่าคิดกันอยู่เหกมือนกัน นั้นคือเหล่าเทวดา และรวมถึงพระพุทธเจ้าเองก็ตาม เห่าเทวดาตามความเชื่อของทางอินเดียนี้มักมีกายสีต่างๆ และมีลำแสงปรากฎออกมาจากเศียร เหาะเหินเดินอากาศได้ ที่สำคัญในนิทานปรัมปราหลายเรื่องที่เกี่ยวกับเทวดานั้นก็ปรากฎว่าเมื่อท่านมายังโลกมนุษย์ท่านประทับบนราชยานที่เหาะได้ลงมา ตรงนี้น่าคิดว่า ที่จริงแล้วเทวดานั้นคือมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ และราชยานของท่านคือจานบินหรือไม่   ส่วนที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้านั้นก็พิจารณาจากลักษณะอันเรียกว่า "มหาบุรุษ" ของท่าน ซึ่งบางประการแปลกเกินกว่ามนุษย์จะมีได้  ทั้งนี้อันที่จริงก็มิใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะมนุษย์ต่างดาวก็ยังเป็นสัตว์ที่ยัคงอติดอยู่ในสังสารวัฏ หากจะมาเฝ้าฯพระพุทธเจ้าก็มิใช่เรื่องผิดอันได้ -- ข้อนี้ก็ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่าน

 ความเห็นที่ 15 เห็นทีจะเป็นไปได้น้อยนัก ลองๆใช้วิจารณญาณคิดดูเล่นๆ ในพระไตรปิฎกมีข้อความกล่าวถึงสัตว์ในภพภูมิต่างๆ บ่อยครั้ง รวมทั้งสัตว์ที่ถือกำเนิดบนสรวงสวรรค์ อย่างพวกเทวดาทั้งหลาย โดยไม่ได้กล่าวว่าเป็นสัตว์มาจากดาวดวงอื่นเลย
ถ้าพระพุทธเจ้าเห็นมนุษย์ต่างดาวแล้วเข้าใจผิดว่าเป็นเทวดาก็นับว่าพระองค์ยังแยกแยะไม่ออก แล้วจะนับว่ารู้แจ้งรู้ที่มาที่ไปของสัตว์นั้นได้อย่างไร หรือหากเห็นมนุษย์ต่างดาวแล้วโกหกชาวโลกว่าเป็นเทวดา ก็นับว่ามุสาฯ ซึ่งศีลห้าไม่บริสุทธิ์ก็ไม่ใช่พระอริยะแน่เทียว

 อุตส่าห์ปลีกมาอ่านกระทู้ดึกดำบรรพ์แต่โดยเดียว

 ตามมาติดๆ ค่ะ