เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 08, 11:02



กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 08, 11:02
          ท่องเน็ทรวบรวมเรื่องรักแท้ รักประทับใจ ได้อยู่หลายเรื่องครับ
          กะว่าจะนำลงกระทู้ต่อกันรวดเดียวหลายเรื่อง แต่
วันนี้ขอนำเรื่องรักจากจีนแผ่นดินใหญ่เรื่องนี้มาเสนอก่อนครับ เพราะเริ่มเป็นที่กล่าวถึงมากขึ้น
ทั้งในเว็บ และในทีวี

Love Ladder of China

                  ด้วยแรงแห่งรัก เขาสลักสร้างหกพันขั้นบันไดหินบนภูเขาเพื่อเธอ   
                  Man Carves Wife A 6,000 Granite Path in Mountain.

         ตำนานรักสุดประทับใจในหุบเขาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ได้ถูกเปิดเผยออกสู่สาธารณชนภายนอก
เมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้ว
           คือ  เรื่องราวความรักต่างวัยของชายหนุ่มกับหญิงม่ายผู้สูงวัยกว่า
   
           ย้อนอดีตไปกว่าครึ่งศตวรรษ หลิว (Liu) ชายหนุ่มวัย ๑๙ ปี มอบหัวใจให้ม่ายหญิง ซู (Xu)
ผู้มีอายุ ๒๙ ปี
           ในช่วงเวลานั้นความรักต่างวัยที่ชายอายุน้อยกว่าหญิงถือเป็นสิ่งต้องห้าม สังคมไม่ยอมรับ 
ทั้งสองจึงตัดสินใจออกจากหมู่บ้านของตน หลีกเลี่ยงคำติฉินนินทา ไปอาศัยอยู่ในถ้ำบนเขาที่ Jiangjin County
ทางตอนใต้ของ ChongQin 
          (เรื่องราวคล้ายกับ รักต่างชนชั้นของรุ่นพ่อและแม่ในนิยายเรื่อง ดรรชนีนาง ของ อิงอร -
ชายหนุ่มสามัญชนเด็ดดอกฟ้าสละศักดิ์ฐานันดร หนีหน้าวงศ์ญาติไปด้วยกัน - จากเมืองกรุงมุ่งสู่เวิ้งอ่าวสงขลา) 


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 08, 11:16
          ชีวิตสองครองคู่อยู่อย่างยากลำบาก ไม่ต้องนึกถึงไฟฟ้าแค่อาหารหารกินก็แทบจะไม่มี
ทั้งสองต้องอาศัยหญ้าและรากไม้ที่ขึ้นอยู่ตามเขาประทังชีพ
         หลิวทำตะเกียงน้ำมันก๊าดจากขวดหมึกไว้จุดไฟเพื่อให้แสงสว่างแก่ชีวิตคู่
         
         ซูรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้หลิวต้องมาทุกข์ยากอยู่กับตน เฝ้าถามหลิวเสมอว่า เธอเสียใจไหม
         หลิวตอบไปเช่นเคยว่า ตราบใดที่เราขยันขันแข็งการงาน ชีวิตของเราต้องดีขึ้น
         
         ในปีที่สองของการครองคู่กัน หลิวเริ่มต้นงานสร้างอันยาวนานต่อเนื่องนับ ๕๐ ปี ก่อขั้นบันไดหินเพื่อให้ซูเดินขึ้นลงเขา
ได้อย่างสะดวกสบาย

          ปี ค.ศ. 2001 กลุ่มนักสำรวจธรรมชาติเดินท่องป่าเขา ได้เข้ามาพบกับอัศจรรย์น้ำมือมนุษย์ - บันไดหินหกพันกว่าขั้น
บนขุนเขา และคู่รักสองตายายที่อาศัยอยู่คู่กันบนนั้นมานานกว่ากึ่งศตวรรษ

          และในปี 2006 เรื่องราวความรักยืนยงของสองตายาย ได้รับการจัดอันดับเป็นที่หนึ่งแห่งเรื่องรัก
ของจีนแผ่นดินใหญ่ รวบรวมโดย Chinese Women Weekly รัฐบาลท้องถิ่นได้ตัดสินใจที่จะรักษาบันไดรักและ
ที่พักอาศัยไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้เรื่องราวความรักที่ยืนยงคงอยู่ต่อไป


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 08, 11:26
          ในพิธีมอบรางวัล คุณตาคุณยายซึ่งชราภาพมากแล้วไม่สามารถมารับรางวัลได้  ลูกชาย หลิวมิงเช็ง (Liu Mingsheng)
จึงเป็นผู้แทนมารับรางวัล เขานำตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ส่องสว่างให้แก่ชีวิตรักของพ่อและแม่แต่แรกเริ่มมาด้วย

             "My parents have lived in seclusion for more than 50 years because of
their love for each other. They had no electricity and my father made kerosene lamps
to lighten our lives," he said.

           "My mother seldom goes down the mountain, but my father cut the 6,000-plus
stairs for her convenience," Liu said. "It's a ladder of love."

            Dai Rong, a local official of Jiangjin County, said, "We're glad to see the story of
two senior citizens won and the local government will try to connect them to the electricity supply
as soon as possible."

            วันหนึ่ง หลิวในวัย ๗๒ ปี กลับจากงานในไร่มาถึงที่พักแล้วก็ล้มพับลง ซูตะกองกอดหลิวไว้ในสองแขนและสวดมนต์
จนกระทั่งหลิวจากเธอไปในขณะที่มือของเขายังกำมือของเธอไว้แน่นไม่ยอมคลาย
            วันแล้ววันเล่า ซูเฝ้ากระซิบข้อความนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ข้างโลงศพบรรจุร่างของเขา น้ำตานองอาบสองแก้มคุณยาย

              “You promised me you’ll take care of me, you’ll always be with me until the day I died,
now you left before me, how am I going to live without you?” .........

ในที่สุด - Life is not much, just a few fotos.

(ยังมีเรื่องรักประทับใจ ให้ติดตามต่อไป ครับ)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 08, 14:57
Life is not much, just a few fotos.


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 08, 15:17
       ด้วยแรงแห่งบุพเพสันนิวาส มัจจุราชยังต้องเปิดทางรัก

คราวนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องรักยืนยงครึ่งศตวรรษจากอีกฟากฝั่งทวีป ครับ

           นำเสนอโดยสาวคนดัง ผู้ทรงอิทธิพล  Oprah Winfrey
         ผู้เลือก Love in the Time of Cholera ของนักประพันธ์รางวัลโนเบล  Gabriel Garcia Marquez
เป็นหนึ่งในนิยายรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
(หนังที่สร้างจากนิยายเรื่องนี้เข้าฉายในโรงบ้านเราไปเมื่อไม่นานนัก ตัวหนังไม่ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้
และคำวิจารณ์ บางท่านกล่าวไว้ประมาณว่านิยายเรื่องนี้มีไว้ให้เสพโดยการอ่าน ไม่อาจแปลงมาเป็นหนัง
      เนื้อเรื่องเล่าถึงรักแรกฝังใจแต่ไม่สมหวังของชายหนุ่มที่มีต่อสาวงาม ผ่านห้วงกาลเวลานานนับครึ่งศตวรรษ
จวบจนทั้งสองล่วงสู่ปัจฉิมวัย)

      เรื่องรักต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยาย Oprah กล้ารับประกันว่าเป็นหนึ่งแห่งเรื่องรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เท่าที่เธอเคยนำเสนอออกอากาศในรายการของเธอตลอดช่วงเวลา ๒๒ ปีที่ผ่านไป

ปกสวย หนังไม่สนุก


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 08, 15:23
          เหตุการณ์ย้อนกลับไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒  Herman Rosenblat วัย ๑๒ ปี และครอบครัวถูกกวาดต้อน
จากโปแลนด์ไปสู่ค่ายกักกันในเยอรมันนี
            ด้วยวัยเยาว์ เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ตักขนศพเข้าเตาเผา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า วันหนึ่งข้างหน้าเขาก็จะต้องกลาย
เป็นหนึ่งในร่างเหล่านั้น

            สองปีผ่านไปในค่ายกักกัน วันนั้นยังคงมาไม่ถึง วันหนึ่งเขาเดินไปที่รั้วลวดหนามและได้พบกับเด็กสาวข้างนอกรั้ว
           "เธอพูดว่า - เธอไปทำอะไรอยู่ในนั้น, ผมถามเธอไปว่า เธอมีอะไรให้ฉันกินบ้างมั้ย แล้วเธอก็หยิบแอ็ปเปิ้ลลูกหนึ่ง
ออกมาจากแจ็คเก็ท"
          เด็กสาวคนนั้นนำแอ็ปเปิ้ลมาให้เขาวันละผลทุกวัน ติดต่อกันเป็นเวลานานถึง ๗ เดือน
            จนถึงวันหนึ่งซึ่งเขาต้องบอกกับเธอว่า อย่ามาที่นี่อีก เพราะเขากำลังจะถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น
   
            "หยาดน้ำจากตาเธอรินไหล ในขณะที่ผมหันหลังกลับก้าวเดินไปจากเธอ น้ำตาผมก็เอ่อนอง ผมร้องไห้เพราะรู้ดีว่า
ผมคงไม่ได้พบเธออีกแล้ว" 

              Herman ถูกส่งไปอยู่ในค่ายที่เช็คโกสโลวเกีย และวันสุดท้ายวันนั้นของเขาก็มาถึง


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 08, 15:30
        สองชั่วโมงก่อนที่เขาจะถูกส่งเข้าห้องรมแก๊ส  กองทหารรัสเซียได้บุกมาถึงค่ายนั้น เขาจึงรอดตายได้รับอิสรภาพ

         เกือบ ๑๕ ปีต่อมา Herman ได้งานทำอยู่ในนิวยอร์ก เพื่อนของเขาได้จัดการนัดบอดให้พบกับหญิงสาวนามว่า
Roma Radzika
        เขารู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดระหว่างกันในทันทีที่แรกเจอ เมื่อเริ่มการสนทนาถึงเรื่องราวชีวิตของแต่ละคน เธอถามว่า
เขาอยู่ที่ไหนในช่วงสงครามโลก

          "ผมบอกว่า - ผมอยู่ในค่ายกักกัน, เธอบอกว่า - ฉันเคยไปที่ค่าย และฉันได้พบกับเด็กชายคนหนึ่ง
ฉันได้ส่งแอ็ปเปิ้ลข้ามรั้วกั้นให้เขาอยู่หลายครั้ง"

        "วินาทีนั้น พลันผมรู้สึกเหมือนถูกทุบด้วยอิฐหนักนับตัน ผมถามเธอว่า
      - เด็กชายคนหนึ่ง ตัวสูงๆ ใช่ไหม, เธอตอบว่า
      - ใช่, ผมถามต่อไปว่า
      - แล้ววันหนึ่งเด็กคนนั้นบอกคุณว่า อย่ากลับมาอีกเพราะเขากำลังจะไปจากที่นี่แล้ว ใช่ไหม, เธอตอบว่า
      - ใช่, ผมจึงบอกเธอไปว่า
      - เด็กชายคนนั้นคือผมเอง

           Roma และครอบครัวได้ย้ายออกจากโปแลนด์มาอยู่ที่เยอรมันนีโดยใช้เอกสารปลอมปิดบังความเป็นยิว
และทำตัวเป็นคริสเตียนเพื่อจะได้ไม่โดนจับ ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ในฟาร์มข้างค่ายกักกันนั้น เธอเล่าว่า
เมื่อเธอนำแอ็ปเปิ้ลและขนมปังไปให้เขาๆ จะบอกเธอว่า พรุ่งนี้ ฉันจะมาพบเธออีกนะ 

            เชิญอ่านต่อครับ

            "Well, what can I tell you? I proposed right then and there," Herman says.
          "I said, 'Look, I'll never let you go anymore. … Now that we're free we're
going to be together forever.'"
           
           In 1996, on The Oprah Show stage, Herman and Roma gave Oprah a moment
she'll never forget.
           Herman stood and addressed his wife:
 
           "Darling, you've fed me when I was hungry. You fed me when we were married.
You fed me…until now. But now I'm not hungry anymore, and I'm hungry for your love!"


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 08, 15:40
           Herman และ Roma ครองคู่อยู่ยืนยาวมานานนับครึ่งศตวรรษ และต้นรักของทั้งสองยังคงงอกงามเติบโต
           ๑๑ ปีหลังจากที่ทั้งคู่ออกรายการของ Oprah ครั้งแรก  Herman ตั้งใจจะแสดงความยกย่องเธออีกครั้ง
คราวนี้เขาคุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า
             
           "Sweetheart, it was 64 years ago when I first saw you," he says to Roma.

           "My mother came to me and said to me, 'I'm sending you an angel.'
And a couple of days later you appeared at the other side of the fence while I was in
a concentration camp.
            Then in 1957, 14 years later, I had a blind date, and it was you.
            Now our 50th anniversary is coming up.

            With this ring, my dear, I pronounce my love for you forever.
            And as this ring has got no end, my love for you doesn't have any end."

            "You have become the beautiful metaphor for what love can be,"
Oprah says. "For endurance, and fate and destiny."


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 24 ก.ค. 08, 02:20
เคยได้ยินเรื่องของดาราหนุ่มชาวสิงคโปร์ที่ชื่อ ปิแอร์ ไหมครับ  เค้าตัดสินใจบริจาคตับให้คนรักที่ชื่อแอนเดรีย  ซึ่งการบริจาคตับนั้นไม่เหมือนไต  เพราะไตมี 2 ข้าง เราตัดออกข้างนึงและสามารถใช่อีกข้างได้โดยไม่อันตรายมากนัก  แต่ตับมีอันเดียวต้องรีบเฉือนออก 1/3  และอันตรายมาก  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาลังเลเลย  เพราะความรักที่มีต่อเธอนั่นเอง  และปาฏิหาริย์แห่งรักของเขาก็ทำให้เธอปลอดภัย  เรื่องจึงดังขึ้น  และคำให้สัมภาษณ์ของแม่เขาที่ให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่า "He makes us know what love is."   .......... :'(


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 ก.ค. 08, 12:01
          น่าจะเรียกว่าเป็นคู่สร้าง คู่สม กันนะครับ เพราะบริจาคอวัยวะให้กันได้
          กรณีบริจาคตับ แม้ว่าจะเฉือนตับออกไป แต่เซลล์ตับที่เหลือสามารถเจริญงอกงาม
กลับมาเท่าเดิมได้ ไม่เหมือนการบริจาคไตที่ผู้ให้จะเหลือไตข้างเดียว
          เคยได้ยินข่าว เด็กไทยลูกของอดีตดาราหญิงป่วยเป็นโรคความผิดปกติของท่อน้ำดี
ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับที่ต่างประเทศโดยมีผู้ให้เป็นบิดาของเด็กคนนั้น


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 ก.ค. 08, 12:08
       Fervent Love of Lives

          “ความมุ่งมั่นความรักต่อชีวิต  Fervent Love of Lives” เป็นรางวัลของมูลนิธิวัฒนธรรมและ
การศึกษาโจวต้ากวน ประเทศไต้หวัน ก่อตั้งโดย โจวจิ้นฮวา ในปี 2540 เพื่อเป็นการรำลึกถึง โจวต้ากวน
บุตรชายผู้มีจิตวิญญาณกล้าหาญต่อสู้กับโรคร้ายอย่างเข้มแข็ง ก่อนที่จะจากไปด้วยวัยเพียง 10 ขวบ

                โจวต้ากวนเขียนในบันทึกประจำวันว่า
      “หนูต้องกล้าผจญชีวิตต่อไป หนูจะต่อสู้กับมะเร็งเพื่อสุขภาพของหนู”
      “ชีวิตนี้สั้นนัก ควรหมั่นชื่นชมกับทุกสิ่งที่เรามีอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะคนที่เรารัก
เพราะเราอาจต้องเสียใจเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่มีวันหวนคืน”
 
               ความหวังของเด็กน้อยนักสู้ รวมถึงการประดิษฐ์ "เครื่องเร่งขจัดมะเร็งพลังแสงอาทิตย์"
ความหวังที่จะปลุกเร้าให้คนทั้งโลกประกาศสงครามกับมารร้ายมะเร็ง
หวังว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์ หมอผู้เชี่ยวชาญและนางพยาบาลมากกว่านี้
หวังให้ผู้ป่วยมะเร็งและครอบครัวเข้มแข็ง มีความมุ่งมั่นอย่างถึงที่สุด และ หวังว่าทุกคนบนโลกจะถนอมรัก
สุขภาพร่างกาย ศักดิ์ศรีของชีวิต และความสุขความปรองดองของครอบครัว
     
               มูลนิธิฯ  ส่งเสริมสนับสนุนการรณรงค์ความรักและมุ่งมั่นต่อชีวิตไปทั่วโลก เรียกร้องให้ทุกคนรักและ
ทะนุถนอมชีวิตของตน เคารพในชีวิตของผู้อื่น และร่วมจรรโลงชีวิต
              ทุกปีมูลนิธิคัดเลือกมอบรางวัลให้บุคคลประเทศต่าง ๆ ที่มีผลงานดีเด่นในการท้าทาย
ต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต
            รางวัลจากมูลนิธิฯ ประจำปี 2008 ได้มอบให้แก่ พญ.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ผู้ทุ่มเทให้งานชีวบำบัดและต่อสู้กับโรคร้าย
            โจวจิ้นฮวา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ เดินทางมามอบรางวัลนี้ให้แก่ พญ.รสสุคนธ์ ณ “บ้านสุขภาพ” อ.บ้านฉาง จ.ระยอง
ในวันที่ 22 ม.ค.นี้       
            พญ.รสสุคนธ์จัดตั้งบ้านสุขภาพ เพื่อให้คำแนะนำกับคนไทยเกี่ยวกับการปลูกผักอินทรีย์ และให้การปรึกษาการรักษาพยาบาล
กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยพิการทางสายตา ด้วยผลงานส่งเสริมการเพาะปลูกผักอินทรีย์ปลอดสารพิษ
อันโดดเด่น จึงได้รับรางวัลจากองค์การอาหารและเกษตร หรือ FAO สหประชาชาติ เมื่อปี 2546.

เว็บมูลนิธิฯ http://www.ta.org.tw/English/a2.html


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 ก.ค. 08, 12:11
             หนึ่งแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ คือ รักในสรรพชีวิต รักที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ทั้งชีวิตตนและคนอื่น ที่ใช่และไม่ใช่ญาติ
เรื่องรักเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นเพราะปราศจากนางเอก มีพระเอกเป็นเพียงเด็กชาย นักกวีตัวน้อยที่อาจหาญต่อกรกับ
ผู้ร้ายตัวฉกาจ เจ้าปีศาจมะเร็ง 

             พระเอก - เด็กชายโจวต้ากวน * ผู้ที่ถ้าวันนี้ยังมีชีวิตอยู่ เขาคือหนุ่มน้อยวัย 20 ปีเศษ ผู้มีจิตใจเข้มแข็ง
มองโลกในแง่งาม
             แต่ในความเป็นจริง เขาจากโลกนี้ไปเมื่อ 11 ปีที่แล้ว หลังจากต้องเผชิญกับโรคร้ายด้วยวัยเพียง 9 ขวบ

          โจวต้ากวนเกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1987 ที่ไทเป หลังจากที่พ่อและแม่ของเขาต้องพบสูติแพทย์ถึง 6 ปี
เพื่อทำกิ๊ฟท์ถึง 6 ครั้ง 
          เด็กน้อยจึงถือกำเนิดที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก เป็นบุตรคนหัวปีของครอบครัวโจว และเป้นเด็กที่ใครเห็นใครก็รัก
          เขาสามารถอ่านหนังสืออย่างคล่องแคล่วตั้งแต่อายุ 5 ขวบ หลงใหลในเสียงไวโอลิน และได้เป็นนักไวโอลินนำ
ของวงดนตรีประสานเสียงประจำโรงเรียนประถม     

          ชีวิตเป็นสิ่งเหนือจะคาด หลังกลับจากท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา ช่วงปิดเทอมฤดูหนาวพร้อมครอบครัว
เด็กชายวัย 9 ขวบผู้นี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งกล้ามเนื้อ (Rhabdomyosarcoma)
          เด็กน้อยต้องผ่านการผ่าตัดถึง 3 ครั้ง ทำเคมีบำบัด 7 ครั้ง ฉายรังสี 30 ครั้ง แล้วยังต้องตัดขาไปข้างหนึ่ง
เขาอดทนต่อสู้กับโรคร้ายอยู่นานเกือบ 1 ปี ก่อนที่จะจากไปเมื่อเช้ามืดของวันที่ 18 พฤษภาคม 2540 (1997)
ด้วยวัยเพียง 10 ขวบ
            ช่วงที่เด็กชายนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เขาได้เขียนบทกลอนรวม 42 บท บรรยายถึงการต่อสู้
เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ บอกเล่าความคิด ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งที่ทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวด
ทั้งร่างกายและจิตใจ
           โจวต้ากวนเผยความรู้สึกและประสบการณ์การต่อสู้กับโรคร้ายผ่านบทกวีง่าย ๆ ที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ
ไม่ตัดพ้อต่อโชคชะตากรรมของตัวเอง ด้วยดวงใจดวงน้อยบริสุทธิ์ มองโลกในแง่ดี แม้ในวันที่เขาเจ็บหนักเจียนขาดใจ
           


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 ก.ค. 08, 12:21
             เด็กน้อยเผชิญโรคร้ายอย่างกล้าหาญ เขาไม่ยอมปล่อยใจให้หม่นหมอง และไม่ยอมปราชัย
ด้วยการยอมรับความทุกข์ที่โรคนั้นนำมา ตรงกันข้ามเขารู้ดีว่า “สุขหรือทุกข์อยู่ที่การเลือกของเขาเอง”
           เมื่อจะเข้าห้องผ่าตัด เขาจึงเลือก “เด็กผู้หญิงสงบ” และ “คุณอามั่นคง” เป็นเพื่อนแทนที่จะเลือก
“เด็กชายกังวล” และ “คุณน้าหวาดหวั่น”
           เมื่อถูกผ่าตัดขาข้างหนึ่ง เขาจึงคิดใหม่ ทำให้รู้สึกดีด้วยซ้ำว่า “ฉันยัง(โชคดีที่)มีขาอีกข้างหนึ่ง”
เพราะยังมีคนอื่นที่ขาพิการทั้งสองข้าง
           ด้วยการเลือกของเขา ทำให้เขาสามารถมองมะเร็งด้วยสายตาที่เป็นมิตร
จนถึงกับคิดจะสอน “มารร้ายมะเร็ง” ให้รู้จักเล่นไวโอลิน ด้วยเหตุผลว่าคนที่เล่นไวโอลินเป็นย่อมทำตัวเลวไม่ได้

          บทกลอนของเขาได้รับการรวบรวมเป็นหนังสือบันทึกบทกวีของเด็กน้อยที่เปี่ยมด้วยความหวัง
ไม่ระย่อท้อต่อโรคร้าย  หัวข้อของบทกลอนเหล่านี้มีเรื่องที่บรรยายเกี่ยวกับแพทย์พยาบาล ประวัติการรักษา และ
ความอิ่มเอิบใจที่มีต่อชีวิต สุขภาพและเสรีภาพ ตลอดเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา

        รวมบทกวีของเขาเขียนเป็นภาษาจีน ได้รับการตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์หย่วนหลิวของไต้หวัน ก่อนจะมีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ
เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซียและอาหรับ มียอดขายกว่า 2 ล้านเล่ม


(* ชื่อโจวต้ากวน  ปรากฏในประวัติศาสตร์แถบบ้านเรา เป็นชื่อผู้บันทึกการเดินทางของคณะทูตในราชวงศ์หยวน
มาเยือนเขมรเมื่อประมาณเจ็ดร้อยปีที่แล้ว)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 ก.ค. 08, 14:19
        บางบทกวีของโจวต้ากวน แปลจากเว็บตามต้นฉบับภาษาอังกฤษ ครับ

Lonely Hospital Room

In a hospital, in the depths of the mountains,
there is a very small cancer room,
a child,
hoping desperately:
my illness quickly be healed,
quickly leave,
go home, go to school,
play the violin,
with everyone together,
everying would then be fine.

ที่โรงพยาบาล ในหุบเขาลึก
ยังมีห้องผู้ป่วยโรคมะเร็งห้องเล็กๆ
เด็กน้อยคนหนึ่ง
กับความหวังอย่างยิ่งว่า
อาการป่วยของผมจะหายวันหายคืน
หายโดยไว
จะได้กลับบ้าน ไปโรงเรียน
ได้สีไวโอลิน
อยู่กันพร้อมหน้าทุกคน
แล้วทุกอย่างก็กลับมาดีเหมือนเดิม

"นอกหน้าต่าง"

Outside the Window     ข้างนอกหน้าต่างห้องผู้ป่วยมะเร็ง
Outside the cancer room windows,
blue sky,     ท้องฟ้าสีฟ้าสวย
sun high,     ดวงตะวันลอยอยู่สูง
I so want to go out,     ผมอยากจะออกไปข้างนอกเหลือเกิน
Aunt nurse won't allow,      แต่คุณน้าพยาบาลไม่ยอม
Uncle doctor won't allow.     คุณอาหมอก็ไม่อนุญาต

Outside the cancer room window,     ข้างนอกหน้าต่างห้องผู้ป่วยมะเร็ง
stars twinkle,     ดาวกระพริบ
moonlight glows,     จันทร์กระจ่าง
I so want to go out,     อยากจะออกไปข้างนอกเต็มที
Aunt I.V. cuffs,     น้าสายน้ำเกลือล่ามไว้
Uncle Oxygen Tent covers.     อาอ็อกซิเจนขังไว้

        เด็กน้อยป่วยด้วยมะเร็ง ขณะได้รับการรักษาด้วยเคมีและรังสีบำบัด
เม็ดเลือดขาวจะลดต่ำลง ต้องอยู่ในห้องแยกคนเดียวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        หนูน้อยคงจะได้รับการให้ออกซิเจนโดยนอนในเต๊นท์พลาสติกใส
และมีท่อให้อ๊อกซิเจนเข้าไป


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 ก.ค. 08, 14:35
Cancer Devil Don't Be Proud

Cancer Devil is so proud,
in my body's every corner,
shouting loudly, yelling out,
I scream at Cancer Devil back:
Who fears you!
Don't be proud!
Soon you’ll beg for mercy!
I have Mum and Dad, nurses, doctors and faith backing me;
I also have:
Radiotherapy nuclear bombs,
chemotherapy missiles,
surgery guns.
Radiotherapy, chemotherapy, surgery, faith
together rush forward,
plop,
Cancer Devil goes 'bye-bye'.
 
    ปีศาจมะเร็งช่างหลงทะนงตน
เจ้าแพร่ไปทั่วร่างกายฉัน
ตะโกนก้อง เสียงร้องลั่น       
ฉันตะคอกเจ้าปีศาจมะเร็งกลับไป
ใครกลัวเจ้า               
อย่าทะนงไป
อีกไม่ช้าเจ้าจะต้องร้องขอความเมตตา
ฉันมีแม่ มีพ่อ คุณพยาบาล คุณหมอ และศรัทธามั่นเป็นกำลังหนุน
ฉันยังมี
ระเบิดนิวเคลียร์รังสีรักษา
จรวดเคมีบำบัด
ปืนศัลยกรรม
ศรัทธามั่น
พร้อมกันพุ่งปะทะ
ร่วงผล็อย
เจ้ามะเร็งถอย บ๊าย บาย

-----------------------------------------------------------
         เมื่อเขาต้องถูกตัดขา เขายอมรับชะตากรรม และบันทึกไว้ว่า

Beethoven, two deaf ears,
Jeng Lung Sheei*, two blind eyes,
I still have one leg
I want to stand on the Earth. 
 
Helen Keller**, two blind eyes,
Jeng Feng Syi***, two disabled legs.
I still have one leg,
I want to walk all over the beautiful world. 


เบโธเฟน หูหนวกทั้งสองข้าง
เจิ้งหลุงชิ ตาบอดทั้งสองข้าง
ตัวผมยังมีขาอีกหนึ่งข้าง
ผมอยากจะยืนบนพื้นโลก

เฮเลน เคลเลอร์ ตาบอดทั้งสองข้าง
เจิ้งเฟิงสี่ ขาพิการทั้งสองข้าง
ผมยังมีขาอีกหนึ่งข้าง
ผมจะเดินไปให้ทั่วบนโลกที่งดงามใบนี้

*A visually impaired Taiwanese congressperson.
***One of the 'Best Ten Youths of the Year'.
**Helen Adams Keller (June 27, 1880 – June 1, 1968) was an American author,
activist and lecturer. She was the first deafblind person to graduate
from college.


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 ก.ค. 08, 14:41
Go on Living

Doctor is the judge
sentencing to life imprisonment,
but I am a patient not a criminal,
I want to bravely walk out.
 
Doctor is the judge,
sentencing to death.
but I am a patient not a criminal,
I want to bravely go on living.
 

      คุณหมอคือผู้พิพากษา
ตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต
แต่ผมเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร
ผมจะเดินออกไปอย่างกล้าหาญ

       คุณหมอคือผู้พิพากษา
ตัดสินประหารชีวิต
แต่ผมเป็นผู้ป่วยไม่ใช่อาชญากร
ผมต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างกล้าหาญ

Needle Tracks   รอยเข็มพรุน

There remains:     ยังอยู่ตรงนั้น
the syringes from the 1st hospital visit,     รอยเข็มจากโรงพยาบาลแห่งแรก
mixed memories,     ความทรงจำปนเป
fever; whole body sweating,     ไข้ เหงื่อท่วมร่าง
chill; entire body trembling.     หนาว จนสั่นเทาทั้งร่าง
Blood in, blood out,     เลือดเข้า เลือดออก
blood out, blood in.     เจาะเลือด ให้เลือด
my whole body scarred,     รอยเข็มรอยแผลทั่วตัว
Mother’s warm hands holding,     มือแม่อบอุ่นเกาะกุม
Father’s firm hands caressing,     มือพ่อมั่นคงลูบไล้
little brother’s naughty hands touching,     มือซนน้องชายแตะต้อง
my brave tears dropping.     น้ำตาคนกล้าหยาดหยด

syringe - หลอดดูดเลือด และฉีดยา ในที่นี้น่าจะหมายถึงรอยเข็มจากการเจาะเลือด ฉีดยา
ด้วย syringe จากโรงพยาบาลแห่งแรก


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 ก.ค. 08, 14:51
          หนังสือ "ฉันยังมีขาอีกข้างหนึ่ง"   โดย โจวต้ากวน แปลโดย เรืองรอง รุ่งรัศมี
 
คำนิยม โดย พระไพศาล วิสาโล
 
     จะว่าไปแล้วเคราะห์กรรมไม่ทำให้เราทุกข์มาก
เท่ากับท่าที หรือความรู้สึกที่เรามีต่อมัน
     สุขหรือทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา
แต่อยู่ที่เรารู้สึกกับมันอย่างไรต่างหาก
 
      คนป่วยหลายคนพบว่า
ความทุกข์ลดลงเมื่อเห็นคนที่ทุกข์มากกว่าตน
น้อยคนที่ต้องเผชิญกับโรคมะเร็งตั้งแต่อายุ 9 ขวบ
และจากโลกนี้ไปก่อนอายุครบ 10 ขวบ
สุดท้ายก็ต้องตัดขาทิ้ง..
 
เด็กน้อย ก็ยังไม่ยอมปล่อยใจให้หม่นหมอง
กลับรู้สึกด้วยซ้ำว่า

   "ฉันยังโชคดีที่มีขาอีกข้างหนึ่ง
ที่จะเดินไปทั่วโลกที่งดงามนี้"
   

"คำจากพ่อและแม่..."

        ยามที่เราไม่ก่อกำแพงเพิ่ม แต่เพียรสร้างสะพานนั้น
โลกใบนี้ก็เปี่ยมด้วยความรื่นเริง
ลูกต้ากวนได้สร้างสะพานแห่งความปิติของชีวิตขึ้นอีกสะพานหนึ่ง...
พ่อแม่หาหมอนานถึง 6 ปี ทำกิ๊ฟถึง 6 ครั้ง ในที่สุดหนูก็ก่อเกิดกายมาในโลกมนุษย์
หนูนำพ่อแม่เดินสู่สะพานแห่งความปีติของชีวิต

          ลูกต้ากวนได้สร้างสะพานแห่งความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญขึ้นสะพานหนึ่ง...
การจู่โจมของมือสังหารในการทำเคมีบำบัด 7 ครั้ง การจู่โจมของมารน้อยรังสีบำบัด 30 ครั้ง
การจู่โจมของผีดูดเลือดในการผ่าตัดใหญ่ 3 ครั้ง ฉีดยา กินยา นับครั้งไม่ถ้วน
ให้เลือด ดูดเลือด ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย โดยเฉพาะยอมรับความจริงต่อการต้องตัดขาขวาอย่างไม่สะทกสะท้าน
พบกับใครก็พูดทุกครั้งว่า "ฉันยังมีขาอีกข้างหนึ่งที่จะยืนบนโลก"
เขานำพาเราเดินสู่สะพานแห่งความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ

           ลูกต้ากวนได้สร้างสะพานแห่งความหวังอันสว่างไสวขึ้นสะพานหนึ่ง...
ยามที่คุณหมออับจนหนทาง เขาเผชิญหน้ากับความตายอย่างไม่สะทกสะท้าน
ทั้งยังใช้ความเข้มแข็งทางจิตใจต่อกรกับสิ่งที่จะตามมา
เขาพูดว่า "คุณหมอคือผู้พิพากษา ตัดสินประหารชีวิต แต่ว่าฉันเป็นคนป่วยไม่ใช่นักโทษ ฉันจะมีชีวิตต่อไปอย่างกล้าหาญ"
ทุก ๆ วันเขาจะกุมเนื้องอกไว้ในมือแล้วพูดว่า
            "เนื้องอกคือราชาปีศาจวัวของชีวิต คุณอาหมอคือพระยูไลของชีวิต
             ราชาปีศาจวัวเอ๋ย ราชาปีศาจวัว ถึงแกจะมีฤทธิ์อย่างซุนหงอคง
ก็หนีออกไปจากกลางฝ่ามือของพระยูไลไม่พ้นหรอก
             เนื้องอกคือจูดาสทรยศของชีวิต ฉันคือพระยะโฮวาห์ของชีวิต
จูดาสเอ๋ย ข้าสร้างเจ้าด้วยมือข้าได้ ข้าก็ทำลายเจ้าด้วยมือของข้าได้"

และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ จิตใจอันเข้มแข็งของเขาทำให้เนื้องอกเล็กลง 2 ใน 3 ส่วน
เขายังคงคิดค้นโครงการ "เครื่องเร่งกำจัดมะเร็งพลังแสงอาทิตย์" หวังว่าจะทำสำเร็จร่วมกับน้องชาย
เขานำพาพวกเราก้าวขึ้นสู่สะพานแห่งความหวังอันสว่างไสว


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 25 ก.ค. 08, 21:55
ตามอ่านๆๆ  ;)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ค. 08, 17:07
ขอเสริมด้วยเรื่องเบาๆสักเรื่อง   ของหนุ่มสาวที่สานสัมพันธ์กันในยุคโลกไร้พรมแดน

http://www.rd.com/your-america-inspiring-people-and-stories/what-they-did-for-love-true-love-stories/article51952.html
หนุ่มอเมริกันขี้อาย วัย ๒๑   เจอนางในฝันเข้าอย่างจังในรถใต้ดิน   แค่เห็นเขาก็รู้ว่าเธอคนนี้แหละ..ใช่เลย
พอจะก้าวเข้าไปทำความรู้จัก  ก็ถึงสถานีที่เธอลงพอดี    คนกรูกันเข้ามาในรถ  นางในฝันก็กลืนหายไปในฝูงชน
เขาจะวิ่งไล่กวดไปก็ไม่เข้าที  ต่อให้หาเจอ    สาวน้อยอาจจะนึกว่าเป็นไอ้โรคจิตตามเกาะแกะลวนลามก็เป็นได้ 
เขาก็เลยกลับบ้าน  สร้างเว็บไซต์ขึ้นมา ชื่อ nygirlofmydreams.com  บรรยายถึงหญิงสาวในรถใต้ดินที่เขาพบ     ตลอดจนความประทับใจของเขา  ที่อยากรู้จักเธอ
เว็บไซต์ของเขา เรียกความสนใจจากคนทั่วโลก  มีอีเมล์นับพันๆส่งเข้ามาหา  ในจำนวนนี้มีคนที่บอกเขาว่านางในฝันคนนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร
ในที่สุดเขาก็หาเธอพบ   รายการ Good Morning, America ปิ๊งกับเรื่องนี้มาก    เลยจัดหนุ่มสาวให้นัดพบกันครั้งแรกต่อหน้ากล้องทีวีเสียเลย
เรื่องนี้จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง   สองคนนี้ก็เลยได้เป็นแฟนกันจริงๆ


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 ก.ค. 08, 18:03
        เป็นเรื่องรักที่ตรงตามหัวข้อกระทู้ - รักแรกพบประทับใจจากรถไฟใต้ดิน แล้วตามหาเธอได้จากในเน็ท
โด่งดังเมื่อตอนปลายปีที่แล้ว - ต้นปี
          วันนี้พอเปิดข้อความที่อาจารย์นำมาเล่าแล้ว อีกไม่นานก็ได้พบตอนต่อของเรื่องนี้จากเว็บ yahoo
เมื่อ sign out จาก yahoo mail  ครับ
          ปรากฏว่า เรื่องนี้จบลงเสียแล้ว และอย่างไม่สมหวังด้วย

      New York subway romance hits end of the line

     Hayton told Australian newspaper The Sunday Telegraph that she dated Moberg
for about two months but it just didn't work out.

     "I say we dated for a while but now we're just friends,"

      Moberg, however, was still refusing to comment on the relationship.

http://news.yahoo.com/s/nm/20080729/od_nm/subway_dc;_ylt=AlGqH24pBzNADpfcz_BwwRUuQE4F

         


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ค. 08, 19:36
จบกัน 
ลงท้าย  อกหักรักสลายเสียแล้ว  แสดงว่าสัญชาตญาณของเจ้าหนุ่มไม่แม่นจริง  :-\


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 31 ก.ค. 08, 12:08
      แม่ม่ายวินเซอร์  The Widow of Windsor

คือ เรื่องราวความรักไม่รู้คลาย แม้ความตายมาพราก ระหว่าง  Queen Victoria และ Prince Albert
แห่งสหราชอาณาจักร

           ควีนวิคทอเรีย ( Alexandrina Victoria ๒๔ พ.ค. ๑๘๑๙ - ๒๒ ม.ค. ๑๙๐๑)
ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรเกรทบริเทนและไอร์แลนด์ตั้งแต่ปี ๑๘๓๗ และ
ทรงเป็นจักรพรรดินีองค์แรกแห่งอินเดียในปี ๑๘๗๖

      ช่วงเวลาแห่งการครองราชย์ของควีนยาวนานถึง ๖๓ ปี ๗ เดือน (มิ.ย. ๑๘๓๗ - ม.ค. ๑๙๐๑) เรียกกันว่า
      Victorian era (age) คือช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองร่ำรวยของอังกฤษ อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และทรัพยากรที่กอบโกยมาจากอาณานิคม เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว สังคมในประเทศ
เกิดความเปลี่ยนแปลงจากการเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลางผู้มีการศึกษา ในขณะที่สังคมโลกถูกจักรวรรดิอังกฤษแผ่อำนาจ
ไพศาลครอบครองจนกลายเป็นมหาอำนาจแห่งยุค ถึงกับได้รับการขนานนามว่า ตะวันไม่เคยตกในดินแดนจักรวรรดิบริเทน
the sun never sets on the British Empire

(แต่แรกวลี "The Empire on which the sun never sets" หมายถึง จักรวรรดิสเปนในศตวรรษที่ ๑๖
     ศตวรรษที่ ๑๙ วลีนี้ได้ถูกนำมาใช้กับจักรวรรดิบริเทน โดยเฉพาะในยุควิคทอเรีย
     สุดท้าย ถูกนำไปใช้หมายถึงทั้งบริเทนและอเมริกา ในช่วงกลางศตวรรษที่ ๑๙)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 31 ก.ค. 08, 12:28
            ควีนวิคทอเรียขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง ๑๘ พรรษา และ เมื่อพระชนมายุ ๒๑ พรรษา (ปี ๑๘๔๐)
ได้ทรงเสกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ทซึ่งเป็นพระญาติใกล้ชิด (first cousin - พระบิดาของเจ้าชายเป็นพี่น้องกับพระมารดาของควีน)
ด้วยความรัก หลังจากที่สองพระองค์ได้พบกัน(ด้วยแผนการจับคู่ของ uncle Leopold) ควีนทรงมีจิตปฏิพัทธ์ และทรงกล่าวถึง
เจ้าชายด้วยความชื่นชมในพระรูปโฉม   
           สองพระองค์ทรงครองคู่ด้วยความสนิทเสน่หาอย่างยิ่ง ต่างทรงอุทิศองค์เพื่อกันและกันเสมอมา ควีนทรงฟังคำแนะนำ
จากพระสวามีก่อนจะหารือกับที่ปรึกษาทางการ ทำให้เจ้าชายทรงมีศัตรูทางการเมืองอยู่หลายคนตลอดช่วงเวลา ๒๑ ปีที่ทรงครองคู่กัน
           ในยุค(วิคทอเรีย)ของควีนนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมถือว่า เรื่องเพศเป็นสิ่งที่ต้องสำรวมเก็บไว้
และการคุมกำเนิดเป็นสิ่งต้องห้าม  ควีนทรงมีประสูติการโอรสธิดาถึง ๙ องค์

            เจ้าชายทรงเป็นทั้งคู่ชีวิตและที่ปรึกษาทางการเมืองการปกครองคนสำคัญตราบจนพระองค์สิ้นพระชนม์โดยไม่คาดคิด
ด้วยไข้ไทฟอยด์ในปี ๑๘๖๑ ทิ้งให้ควีนจมอยู่ในห้วงแห่งความอาดูรอ้างว้างอย่างยิ่ง ทรงโทษพระราชโอรส Prince of Wales
ว่าเป็นสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ของพระบิดา เนื่องจากทรงก่อเรื่องอื้อฉาวร้อนถึงพระบิดาต้องเสด็จไปที่ Cambridge
ทำให้ทรงติดไข้ไทฟอยด์ (ติดต่อโดยทางเดินอาหาร)
          ควีนทรงฉลองพระองค์ในชุดสีดำเป็นการไว้ทุกข์ตลอดพระชนม์ชีพ และทรงหลีกเลี่ยงการเสด็จออกปรากฏพระวรกาย
นอกวัง(ทั้งที่ปกติแล้วทรงโปรดอากาศธรรมชาติสดชื่น) จนแทบจะมิได้ย่างพระบาทเสด็จไปกรุงลอนดอนเลย
       
           การเก็บตัวอยู่กับความโศกเศร้าของควีนทำให้ได้รับกล่าวถึงว่าทรงเป็น  Widow of Windsor และมีผลทำให้
ความนิยมชื่นชมในควีนจากปวงประชาลดลงอย่างมาก ทั้งยังก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวทางฝ่ายรีพับลิกัน แม้ว่าจะทรงปฏิบัติภารกิจ
ทางการ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะประทับเก็บองค์อยู่ในที่ประทับ ที่สก็อตแลนด์, Isle of Wight และพระราชวัง Windsor   

( Mrs. Brown เป็นตอนต่อไปครับ)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 31 ก.ค. 08, 18:12
widow of windsor เหมือนจะดูน่าประทับใจในความรักอย่างสุดซึ้ง
แต่รู้สึกไม่น่าประทับใจเอาซะเลย 555+
(สับสนๆ)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ส.ค. 08, 09:35
        ก่อนที่จะเสนอเรื่องราวต่อไปของควีนวิคทอเรีย วันนี้เปิดนสพ. เห็นข่าวเบาๆ เกี่ยวกับควีน
จึงนำมาคั่นตอนก่อน ครับ

          ข่าวการประมูล Queen Victoria`s bloomers

        Barbara Rusch จาก Toronto ได้ไปในราคาเกือบ ๔,๕๐๐ ปอนด์ (เธอเป็นนักสะสม
สิ่งของที่เกี่ยวกับควีนมานานร่วม ๒๕ ปี)

          ฉลองพระองค์ชิ้นนี้ที่มีลายโมโนแกรม VR (Victoria Regina) เก่าเก็บมานานร้อยกว่าปี
(ช่วงทศวรรษ ๑๘๙๐)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 08, 10:35
ไม่ชอบเรื่อง Mrs. Brown ค่ะ  รับไม่ได้  เพราะเชื่อไม่ลง

เคยเห็นฉลองพระองค์ของควีนวิคตอเรียที่แสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์เสื้อผ้าใน Bath  รอบเอวกว้างมาก คงเป็นยุคที่ทรงพระชราแล้ว


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ส.ค. 08, 13:35
    คุณนายบราวน์  Mrs. Brown 

         ภาพยนตร์อังกฤษปี ๑๙๙๗  เล่าเรื่องราวปมปริศนาในพระประวัติต่อมาของควีนวิคทอเรีย
เมื่อทรงได้รับการเรียกขานใหม่จาก แม่ม่าย(วินเซอร์)กลายเป็นคุณนายบราวน์

          เรื่องราวดำเนินต่อจากข้างบนครับ
         
อ้างถึง
การเก็บตัวอยู่กับความโศกเศร้าของควีนทำให้ได้รับการกล่าวถึงว่าทรงเป็น  Widow of Windsor และมีผลทำให้
ความนิยมชื่นชมในควีนจากปวงประชาลดลงอย่างมาก ทั้งยังก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวทางฝ่ายรีพับลิกัน แม้ว่าจะทรงปฏิบัติภารกิจ
ทางการ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะประทับเก็บองค์อยู่ในที่ประทับ ที่สก็อตแลนด์, Isle of Wight และพระราชวัง Windsor

         เหตุการณ์ในภาพยนตร์เริ่มเมื่อเหล่าข้าราชบริพารพยายามหาหนทางที่จะทำให้พระอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง
ของควีนอันเนื่องมาจากการสูญเสียเจ้าชายอัลเบิร์ทดีขึ้น
           หัวหน้าข้าราชบริพารของควีนได้เสนอความเห็นว่า นายบราวน์ซึ่งเป็นข้าเก่าจากสก็อตแลนด์ผู้ได้รับความไว้วางพระทัย
เคยเป็นคนสนิทในเจ้าชายอัลเบิร์ท น่าจะเป็นบุคคลที่ควีนทรงพอพระทัยและไว้วางพระทัยยอมเชื่อคำแนะนำกราบบังคมทูล
           เขาผู้นี้น่าจะสามารถช่วยให้ควีนมีพระอาการดีขึ้นจากความโศกเศร้าอาดูร เพื่อที่ควีนจะได้ทรงเลิกเก็บพระองค์ แล้ว
เสด็จออกงานปฏิบัติพระกรณียกิจและปรากฏพระวรกายต่อสาธารณชน
          แผนการเริ่มต้นด้วยดี เมื่อควีนทรงยอมเสด็จไปทรงม้า (กีฬาที่ทรงโปรดพร้อมกับเจ้าชายอัลเบิร์ท เมื่อครั้งที่ประทับ
ณ Balmoral castle สก็อตแลนด์) โดยมีนายบราวน์ถวายการดูแล เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศนอกสถานที่หลังจาก
ที่ทรงเก็บองค์อยู่แต่ภายในเป็นเวลานาน และเป็นการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ควีนทรงกลับไปเป็นควีนพระองค์เดิม

          แต่แล้วในที่สุด ทุกคนก็เริ่มตระหนักว่าแผนการที่วางไว้นี้บรรลุผลดีเกินคาด-มากเกินไป เหล่าข้าราชบริพารเริ่มรู้สึกเสียใจ
ที่คิดผิดเลือกใช้นายบราวน์ เพราะถึงแม้ว่านายบราวน์จะสามารถทำให้ควีนทรงพอพระทัย ทรงพระสำราญมากขึ้น เลิกเก็บพระองค์
และหลายคนยอมรับในความสามารถ ความจงรักภักดีที่นายบราวน์มีต่อควีน 
           แต่หลายคนก็รู้สึกไม่พอใจในกิริยามารยาทและการปฏิบัติต่อควีนอย่างไม่ค่อยถูกต้องตามระเบียบแบบแผน ที่สำคัญคือ
ยิ่งควีนพอพระทัยในตัวเขามากขึ้น บราวน์ยิ่งมีอิทธิพลต่อควีนและเริ่มมีบทบาทก้าวก่ายเกินหน้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ
           บางคนถึงกับเรียกควีนว่า คุณนายบราวน์

หนังสนุก และ เดม จูดิ เดนช์สวมบทควีน Victoria ได้อย่างยอดเยี่ยม (ไม่น้อยไปกว่าเมื่อครั้งที่สวมบทเป็นควีน Elizabeth)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ส.ค. 08, 13:51
      John Brown (December 8, 1826 – March 27, 1883)

ผู้ที่มีรูปลักษณ์ตามคำบรรยายรวมความได้ว่า
       ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าราวสะกัดจากหินแกรนิต ผมและหนวดเคราสีแดงทอง รูปหล่อ ตัวโต สมเป็นชาว Highlander
ดวงตาจ้องเขม็ง แลดูดุและใจดี

        เมื่อครั้งที่ควีนเสด็จไปประทับที่ปราสาท Balmoral กับเจ้าชายอัลเบิร์ท กิจกรรมอย่างหนึ่งที่ทรงโปรดคือ
การเต้นรำกับเด็กหนุ่ม ในงาน Ghillie Ball (a man or boy who helps sb who is shooting or fishing
for sport in Scotland)
       ในบรรดาเด็กหนุ่ม ghillie ทั้งปวง นายบราวน์นี้ หน้าตาดีที่สุด เขามีอายุน้อยกว่าควีน ๕ ปี เคยถวายการรับใช้เจ้าชายอัลเบิร์ท
เป็นข้าคนสนิท ต่อมาเจ้าชายทรงโปรดให้เขาเป็น ghillie ในควีนเมื่อ ๓ ปี ก่อนที่เจ้าชายจะสิ้นพระชนม์

         หลังจากเจ้าชายสิ้นพระชนม์ดังที่ได้กล่าวแล้ว บราวน์ก็ได้กลายมาเป็น Queen's Highland Servant
ควีนไม่ทรงถือว่าเขาเป็น คนรับใช้ ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นข้ารับใช้ควีน

         ยิ่งเวลาผ่านไป ควีนก็ยิ่งวางพระทัยในตัวข้าราชบริพารจากสก็อตแลนด์ผู้นี้มากขึ้น และนายบราวน์ก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อควีน
และแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ตลอดจนปฏิบัติภารกิจก้าวก่ายฝ่ายอื่น

         ควีนเสด็จไปไหนโดยมีบราวน์คนโปรดติดตามถวายการรับใช้ใกล้ชิดตลอด ทรงให้ความสนิทสนมมากเป็นพิเศษ
จนบางครั้งเมื่อบราวน์ซึ่งมีอาการมึนเมาเพราะชอบดื่มสุราปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่ควีนก็มิได้ทรง
ถือสา หากกลับทรงพระสรวลต่อพฤติกรรมที่ไม่สุภาพเรียบร้อยของนายบราวน์
          บราวน์เป็นบุคคลเพียงผู้เดียวที่สามารถสูบบุหรี่ได้ในขณะที่ควีนทรงประทับอยู่ในบริเวณนั้น
         
          มีบันทึกเหตุการณ์ยามเมื่อควีนทรงอยู่เพียงลำพังกับบราวน์ โดยที่(ทรงคิดว่า)ไม่มีใครเห็น  เล่าว่า
ในปี 1875 แถบปราสาท Balmoral สามีภรรยาคู่หนึ่งได้เห็น
                 Brown, pinning a plaid round the Queen's shoulders, apparently
scratched her; she squealed and protested.
              "Brown offered no apology. He gave the Queen a kind of shake,
clutched her more tightly and snapped: 'Hoots, then, wumman—can ye no hould
yere heid up?'       


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ส.ค. 08, 14:04
       บรรดาพระญาติและข้าราชบริพารทั้งหลาย ไม่มีใครชอบบราวน์ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครกล้ากราบทูล
แต่ควีนก็ทรงทราบถึงเรื่องราวความไม่สบายใจในราชสำนักที่มีต่อเรื่องของพระองค์กับบราวน์
         เมื่อคราวจะเสด็จในพิธีสวนสนาม ณ ไฮด์ ปาร์ค โดยมีบราวน์ตามเสด็จ ทรงทราบว่าเหล่ารัฐมนตรีไม่พอใจ
ควีนจึงทรงประกาศว่า

         "If the government wants me, they have to put up with John Brown."

        วันปีใหม่ที่ 1 ม.ค. 1877  หญิงรับใช้นำการ์ดมามอบให้บราวน์ การ์ดนี้มีข้อความว่า

    I send my serving maiden
With New Year letter laden,
My words will prove my faith and love.
To you my heart’s best treasure,
Then smile on her and smile on me and give me pleasure.

      การ์ดนี้ลงท้ายด้วยลายพระหัตถ์ของควีนว่า: To my best friend J.B from his best friend V.R.I

      เนื่องจากบราวน์ครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิต จึงเป็นช่องทางสำหรับข่าวลือว่า ควีนทรงมีความสัมพันธ์ฉันคนรัก
ถึงขนาดทรงมีการเสกสมรสกันอย่างลับๆ หากแต่ไม่มีหลักฐานพยานยืนยันได้ ส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าเป็นข่าวเท็จ
       หนังส์อพิมพ์ แม็กกาซีนลงข้อเขียนและการ์ตูนล้อเลียนเรื่องนี้ โดยมีการเรียกขานควีนในนามว่า  Mrs. Brown
หรือ Mrs. John Brown
       นักเขียนเรื่องเกี่ยวกับควีนผู้หนึ่ง อ้างว่า เหนือที่บรรทมของควีนปรากฏพระฉายาลักษณ์ของเจ้าชายอัลเบิร์ทติดวางเรียงราย
และเขาตั้งข้อสันนิษฐานว่า พื้นฐานความผูกพันระหว่างควีนกับบราวน์นี้อาจอยู่ที่บราวน์ทำหน้าที่เป็นสื่อทางจิตวิญญาณให้ควีน
ได้ติดต่อกับพระสวามีผู้เป็นที่รัก

        จากเรื่องราวพระราชประวัติของควีนในช่วงนี้ที่มีผู้สืบค้นข้อมูล บันทึกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างควีนกับนายบราวน์
สิ่งที่สรุปได้แน่นอนคือ นายบราวน์นี้เป็นคนพิเศษ คนโปรดที่ควีนทรงพอพระทัยและให้ความสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง
         นอกจากนั้นเป็นข้อสันนิษฐานที่ล่วงเลยมานานจนปัจจุบันนี้ (คง/ยัง)ไม่มีใครสามารถค้นพบหลักฐานที่เชื่อถือได้
มาสนับสนุนยืนยันว่าเป็นความจริง


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ส.ค. 08, 14:25
        หลังจากถวายการรับใช้เป็นเวลา 20 ปี บราวน์ป่วยและเสียชีวิตในปี 1883 ยังความเศร้าโศกมาสู่ควีนเป็นอันมาก
ทรงมีลายพระหัตถ์ว่า    "I am sorely stricken."
       ทรงกล่าวที่หลุมฝังศพของเขาว่า   "Yes byegone days were bright and happy and it seems to me
that life is without light now."
       นอกจากนี้ยังมีจดหมายที่ค้นพบเมื่อไม่นาน มีข้อความแสดงความเสียพระทัย ความว่า
(Queen Victoria wrote - characteristically in the third person)

       "The Queen has let her pen run on... The Queen is not ill,
but terribly shaken and quite unable to walk... missing more than ever
her dear faithful friend's strong arm."

       "Perhaps never in history was there so strong and true an attachment,
so warm and loving a friendship between the sovereign and servant...
        Strength of character as well as power of frame - the most fearless
uprightness, kindness, sense of justice, honesty, independence and
unselfishness combined with a tender, warm heart... made him one of
the most remarkable men."

        เมื่อควีนเสด็จสวรรคต ข้างพระวรกายในหีบพระศพมีสิ่งของส่วนพระองค์ที่ควีนโปรดให้วางไว้
          ด้านหนึ่งเป็นฉลองพระองค์ของเจ้าชายอัลเบิร์ท ส่วนทางด้านซ้ายเป็นรูป และปอยผมของบราวน์
          มีข้อมูลที่เปิดเผยในปี ๒๐๐๘ นี้ว่า แหวนแต่งงานของมารดาบราวน์ได้ถูกนำมาวางไว้ในพระหัตถ์ของควีนด้วย

young John Brown as sketched by Queen Victoria     


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 01 ส.ค. 08, 16:03
เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ
รออ่านต่อเรื่อยๆค่ะ


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ส.ค. 08, 10:49
ปิดท้ายด้วยอีกเรื่องหนึ่งที่มักจะนึกถึงเมื่อคุยเรื่องควีนวิคทอเรีย ครับ

        Royal Disease from The Grandmother of Europe

        อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับควีนวิคทอเรียที่หลายคนกล่าวถึง คือ Royal Disease - พระโรคพันธุกรรม
ที่ถ่ายทอดสู่เหล่าลูกหลานของควีนร่วมครึ่งร้อยที่ได้ไปเสกสมรสกับราชวงศ์ต่างๆ ในยุโรป จนเป็นที่มาของอีกหนึ่งนาม
เรียกควีนว่า  "The Grandmother of Europe"
       และยังมีผลเป็นปัจจัยหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสำคัญถึงขนาดพลิกแผ่นดินรัสเซีย นั่นคือ
โรคโลหิตไม่แข็งตัว เนื่องจากการขาดหนึ่งในตัวประกอบการแข็งตัวของเลือด เรียกว่าโรค Haemophilia

        โรคนี้ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์โดยโครโมโซมเพศ X* ชนิดด้อย แบบที่เรียกว่า X-linked recessive gene
ผลของการถ่ายทอดโครโมโซมไปยังลูกหลานจะเป็นดังนี้
       
         ลูกหลานหญิง(โครโมโซมเพศคือ XX) หากได้รับ X* มาทางเดียวจากพ่อหรือแม่ ได้เป็น X*X จะไม่มีอาการ
(เพราะ X ปกติจะข่ม X*ด้อยไม่ให้แสดงอาการ) แต่เธอคนนี้จะเป็นพาหะส่ง X* นี้ต่อไป 
         ลูกหลานหญิงต้องได้ X*X* จากทั้งพ่อและแม่ เธอจึงจะแสดงอาการของโรค       
         แต่ลูกหลานที่เป็นชาย (โครโมโซมเพศคือ XY - โดยได้ Xจากแม่ และYจากพ่อ)
        ถ้าได้รับ X*นี้จากแม่ ที่แม้จะเป็นลักษณะด้อยมาก็จะแสดงอาการของโรค เพราะเขามี X* นี้คู่กับโครโมโซม Y
(ไม่มี X ปกติมาข่ม X*)
       
       โรคนี้แรกปรากฏในโอรสองค์ที่แปดของควีน Prince Leopold ผู้สิ้นพระชนม์ด้วยวัย 31 พรรษา
จากภาวะเลือดออกไม่หยุดหลังจากที่ทรงบาดเจ็บจากการล้มเพียงเล็กน้อย

         เชื่อกันว่า ยีนนี้คงเป็นผลจากการผ่าเหล่า (mutation) ในยีนของควีน หรือ ของพระราชบิดาควีน - Duke of Kent
(ราชวงศ์อังกฤษปัจจุบันปลอดจากโรคนี้เพราะสืบสายพระโลหิตจากพระโอรสองค์แรกของควีน - Edward VII
ซึ่งไม่เป็นโรคนี้ - นั่นคือ มี XYปกติ)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ส.ค. 08, 10:57
        Alexandra (Alix) พระราชนัดดาของควีน ทรงเป็นพาหะนำโรคนี้สู่ราชวงศ์รัสเซีย เมื่อพระองค์เสกสมรสกับ
Tsar Nikolas II  โดยมีโอรส Alexis เป็นผู้แสดงอาการของโรคนี้ที่ไม่มีทางรักษาในสมัยนั้น
         พระองค์จึงต้องหันไปพึ่งวิธีการอื่นที่นอกเหนือวิชาการทางวิทยาศาสตร์จากรัสปูติน ผู้ที่พระองค์ทรงเชื่อว่า
เขามีอำนาจวิเศษ และรัสปูตินผู้นี้ก็คือเหตุปัจจัยหนึ่งที่นำพาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนถึงกับสิ้นราชวงศ์ในเวลาต่อมา

        เคยอ่านบทความจากนิวสวีคนานมากแล้ว ตั้งข้อสันนิษฐานว่าควีนวิคทอเรียอาจเป็นพระธิดาที่ไม่ได้เกิดจาก
พระบิดา Duke of Kent ผู้ซึ่งสมรสกับพระมารดาเมื่อมีอายุมากแล้ว (๕๐ ปี) ลองค้นจากเน็ทได้ความว่า

       เป็นบทความ     “Was Queen Victoria a bastard?” Newsweek July 24 1995.

       This article gives a commentary about the book entitled Queen Victoria's Gene,
which was published in 1995.
       This book proposes the argument that Queen Victoria was an illegitimate child.
       They mention problems that could arise in the current monarchs' claim to the crown
if the theory about Victoria's illegitimacy were true...

        อีกที่หนึ่งซึ่งมีรายละเอียดมากขึ้นครับ
   
          Finally, our speculative natures compel us to mention that in 1995
two British brothers produced a new book (Queen Victoria’s Gene) with
a breathtaking suggestion.
        Professors Malcom Potts, an embryologist at Berkeley, and William Potts,
a zoologist at Britain’s Lancaster University, suggest that Queen Victoria might
have been illegitimate.
       They point out that neither her father nor her husband was a hemophiliac.
       So either there was a spontaneous mutation - a one-in-50,000 chance -
or     Victoria is the daughter of someone other than the Duke of Kent.

       Think of the possible consequences to European history: no Victoria,
and the current Prince of Hanover, Ernst (descendent of the brother of Victoria’s father),
would be King of England today.
       More importantly, no Victoria would mean no hemophilic son of the Czar of Russia,
no Rasputin, and no revolution?
       What are the chances of this scenario?


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 02 ส.ค. 08, 22:46
55+ อ่านแล้วสนุกดี สงสารท่านๆที่ต้องเป็นฮีโมฟีเลีย แต่ก็ไม่ได้ความจะถ้าไม่มีควีนวิคทอเรีย หรือควีนไม่มียีนพาหะดังกล่าว จะไม่เกิดหลายๆเรื่องต่อมานี่หน่า ถ้าคิดตามคนพุทธก็กัมมุนา วัตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แต่เอ...พวกเขาต้องนับถือคนละศาสนากับเรานี่หน่า 55+ ;D ;D


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 08, 15:01
             แม้สูญเสียผู้เป็นที่รักด้วยโดนคนทำร้าย ยังไม่คลายศรัทธาในความดี
                ยังมีความรัก ความเมตตามอบให้คนอื่นต่อไป

ข่าวจาก msn ๒ ส.ค. ๐๘ครับ

       โศกนาฏกรรมกรีก   Greek Tragedy - Mum's final goodbye for slain son

          แม่ของเด็กหนุ่มจากซิดนีย์ ที่มีอาการโคม่าหลังจากมีเรื่องทะเลาะแล้วถูกทำร้ายโดยคนเฝ้าประตูบาร์ในกรีซ
ได้กล่าวคำอำลาลูกชายผ่านสายโทรศัพท์ก่อนที่แพทย์จะปิดเครื่องช่วยพยุงชีวิตเขา

          ที่บ้านในซิดนีย์ แม่ของ Doujon Zammit ฟังเสียงพระสวดให้ลูกชายวัย ๒๐ ปีจากข้างเตียงผู้ป่วย
ในโรงพยาบาลที่กรุงเอเธนส์ 
          เมื่อคุณแม่ Zammit เอ่ยคำลาผ่านทางโทรศัพท์แล้ว พวกเขาจึงปิดเครื่องช่วยพยุงชีวิต  ชีพเขาก็ปลิดจากร่าง

          แพทย์บอกว่า Zammit อยู่ในภาวะ(สมอง)ตายแล้วตั้งแต่วันพฤหัสบดี (๓๑ ก.ค.) หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ
อย่างรุนแรงทางสมอง จากการถูกทำร้ายข้างนอกไนท์คลับบนเกาะ Mykonos เมื่อสองวันก่อนนั้น

( - จากข้อมูลสรุปได้ว่า สมองของเขาบอบช้ำรุนแรง น่าจะมีเลือดคั่ง สมองบวม ทำให้ไม่รู้ตัว-โคม่า ไม่มีการตอบสนอง
ไม่หายใจเอง อยู่ด้วยเครื่องช่วยพยุงชีพ)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 08, 15:15
         รายงานข่าวทางโทรทัศน์กล่าวว่า คุณพ่อปิดเครื่องช่วยพยุงชีวิตเมื่อบ่ายวันศุกร์ ในขณะที่คุณแม่ไม่สามารถเดินทาง
มาเอเธนส์ได้ เนื่องจากล้มป่วยที่สนามบิน

ผู้อำนวยการทั่วไปของโรงพยาบาลกล่าวว่า ครอบครัว Zammit ได้อุทิศอวัยวะของเขาให้แก่ผู้ป่วยรายอื่น
           *หัวใจของเขามอบให้แก่ผู้ป่วยชาวออสเตรเลียที่พักรักษาตัวอยู่ในศูนย์ศัลยกรรมหัวใจโอนาซิส ในกรุงเอเธนส์
           อวัยวะส่วนอื่นมอบให้เพื่อช่วยเหลือประชาชน(ผู้ป่วย)ชาวกรีก*

         Zammit เป็นหนึ่งในชาวออสเตรเลียหกคนที่เกิดเรื่องปะทะกับพนักงานสี่คนที่ Tropicana club เมื่อเช้าตรู่วันอังคาร
สัปดาห์ที่แล้ว   
         พวกเขาถูกกล่าวหาว่าขโมยกระเป๋าเงินจากไนท์คลับนั้น (ข้อกล่าวหานี้ตกไปเมื่อตำรวจได้ทำการสอบสวนแล้ว) 
         Zammit ถูกตีที่ศีรษะด้วยท่อนไม้ แล้วถูกนำส่งสถานพยาบาลบนเกาะ ก่อนที่จะนำส่งต่อมากรุงเอเธนส์     

คุณพ่อให้สัมภาษณ์ด้วยความพยายามกลั้นน้ำตาว่า

        "I would like you to know that this is going to tie myself and my family...
to Greece"

          และขอขอบคุณกำลังใจที่ได้รับขณะที่อยู่ในกรีซ


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 08, 15:20
                  อัลบั้มรัก
จาก MailOnline Oct 07
 
        เปลี่ยนอารมณ์มาชมอัลบั้มรักของอดีตหวานใจวัยดรุณที่เติบโตและครองรักยาวนานเกือบ ๘๐ ปี
ทั้งคู่ฉลอง ๕ รอบสมรส(๖๐ ปี) ไปเมื่อปีที่แล้วครับ

         ปี ๑๙๓๐ - หนุ่มน้อย Bill Cocks วัย ๒ ขวบ กับสาวน้อย Jessie Fright วัย ๓ ขวบ
พ่อแม่ของเด็กทั้งสองเป็นเพื่อนสนิท บ้านก็อยู่ติดกันที่ Margate, Kent
        เมื่อโตขึ้นทั้งสองต้องแยกย้ายจากกันไป แต่ยังคงส่งจดหมายรักติดต่อกันทุกวัน
        ทั้งสองหมั้นกันในปี ๑๙๔๗ เมื่ออายุได้ราว ๑๙ ปี


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 08, 15:23
       ๘  พ.ย. ๑๙๔๗ ปีเดียวกันนั้น ทั้งสองเข้าพิธีแต่งงานที่ St Peter's Church ในหมู่บ้าน  St Peter's
ใกล้กับ Broadstairs, Kent 
      ๓ วันหลังพิธีมงคลฝ่ายชายถูกส่งไปปฏิบัติราชการทหารที่เยอรมัน
       ไม่นานนักรักคืนเรือน ทั้งสองครองรักสร้างครอบครัวอยู่ที่ Bishopstoke ใกล้กับ Eastleigh
มีลูกสี่ หลานแปด และ เหลนสาม


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 08, 15:26
          คู่รักยืนยงคงมั่น ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในพิธีฉลอง Queen and Prince Philip's diamond wedding
ที่ Winchester Cathedral ในเดือนพฤศจิกายน ๒๐๐๗


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 06 ส.ค. 08, 21:38
ว้าวววว...รักแท้ยืนยาวจริงๆ
เค้าว่ากันว่า คนที่รักกันที่ยืนยาว เพราะความรักแบบบ่าวสาว ได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน...
แต่แบบนี้เริ่มจากเพื่อน เป็นความผูกพันธ์ที่นิรันดร์แน่ๆเลย


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 08, 10:39
         Edward VIII & Wallis Simpson รักพร้อมยอมสละราชบัลลังก์
               
            วันหนึ่งในเดือนธันวาคมปี 1936 หนังสือพิมพ์ทั่วโลกต่างพาดหัวข่าว พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด
ทรงประกาศสละราชบัลลังก์ หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงหนึ่งปี (325 วัน) เพื่อที่จะ
เสกสมรสกับหญิงม่ายชาวอเมริกันผู้ผ่านการหย่าร้างมาหนึ่งครั้งและกำลังดำเนินการหย่าครั้งที่สอง       
              พระองค์ได้พบและคบหาแล้วทรงตกหลุมรัก นางวอลลิส ซิมป์สันมาเป็นเวลา 6 ปี
(ทั้งที่ในขณะนั้นเธอยังไม่ได้หย่าสามีคนที่สอง) ก่อนที่พระองค์ในวัย 42 ชันษาจะเสด็จขึ้นครองราชย์
หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้ปรากฏพระวรกายต่อสาธารณชนเคียงคู่นางซิมป์สัน เผยให้โลกได้รับรู้ถึงแรงปรารถนา
ที่จะครองคู่กันโดยไม่หวั่นต่อแรงเสียดทานรอบด้าน
     
             สิ่งที่ต้องสูญเสียไปเพื่อความรักของคู่รักสะเทือนบัลลังก์อังกฤษนี้ ยังคงเป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้ง่ายๆ
สำหรับใครคนอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลชั้นราชวงศ์ลงมาถึงสามัญชนตราบจนทุกวันนี้
           ดังคำตรัสของพระมารดา ควีนแมรีที่ว่า  To give up all this for that.

(คุณ WIWANDA เขียนไว้ว่า
              "ลูกยอมสละทุกอย่างเพื่อแลกกับ..ผู้หญิงพรรค์นี้..เนี่ยนะ??"
ในขณะที่ท่านนายกรัฐมนตรีถึงกับพูดตามอย่างตัวตลกในโรงละคร..ที่ประชดได้อย่างสะใจว่า..
            "เป็นจอมทัพเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินดีๆ ไม่ชอบ..กลับมาชอบ..ตำแหน่งผัวรายที่สามของหญิงเหลือเดน")
             
             สำหรับบางคน นี่คือเรื่องรักแห่งศตวรรษ บางคนเห็นเป็นเรื่องของราชาผู้ปรารถนาจะครองคู่
กับคนรักเหมือนเช่นชายสามัญชนคนหนึ่งที่สามารถทำตามที่หัวใจต้องการ
              แต่นักวิพากษ์บางคนกลับมองพระองค์ว่าเป็น เพลย์บอยเอาแต่ใจตัว ผู้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่จะเป็นคิง

( โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ประทับใจในรักนี้ ครับ แม้ว่าค่าของความรักจะสูงนักเมื่อมองจากสิ่งที่ต้องเสียไป
เพื่อให้ได้ครองรักคู่กัน
              มีภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องรักนี้อยู่หลายเรื่อง นำขบวนโดย Faye Dunaway และ
Ricaherd Chamberlain ใน The Woman I Love (1972)
           ถ้าหากได้ดูอาจจะเกิดความเห็นใจอยู่บ้าง แต่คงไม่เศร้าสะเทือนอารมณ์.. )

เจ้าแม่มินิซีรีส์ Jane Seymour รับบทนางซิมป์สันใน The Woman He Loved


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 08, 10:44
             เริ่มเรื่อง ที่งานประมูลสมบัติล้ำค่า (เหมือนตอนเปิดเรื่องในหนัง Red Violin)

        เดือนเมษายน ปี 1987 ผู้คนประมาณ 1,000 คน ประกอบไปด้วยบุคคลระดับผู้นำประเทศ
คนดัง ดารา มหาเศรษฐี จากต่างเมืองและต่างภาษา ต่างมาชุมนุมกันจนเต็มเต๊นท์ใหญ่ริมทะเลสาบ
กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ในงานประมูลสมบัติเครื่องประดับของท่านดยุค(อดีตคิงเอ็ดเวิร์ด) ที่ได้ประทาน
ให้แก่ดัชเชสผู้เป็นที่รัก - วอลลิส ซิมป์สัน
         งานนี้จบลงด้วยยอดประมูลเป็นจำนวนเงินถึงกว่า 50 ล้านดอลลาร์ มอบให้สถาบันปาสเตอร์ ฝรั่งเศส
ตามจุดประสงค์ของดัชเชส
         หนึ่งในผู้ประมูลเป็นสุภาพสตรีจากญี่ปุ่น เธอประมูลแหวนทองคําเกลี้ยงวงหนึ่งไปด้วยราคาสูงถึง
105,000 ดอลลาร์ จนเพื่อนของเธอตกใจถามว่า ทําไมจึงยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อแหวนทองที่ดูธรรมดา
ในราคาที่แพงอย่างนี้ สุภาพสตรีผู้ประมูลตอบว่า
         “เพราะความรักของคิงเอ็ดเวิร์ดที่มีต่อวอลลิสนั้น มีค่า มีความหมายยิ่งนัก”

         พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ในดยุคแห่งยอร์ค(ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ายอร์ชที่ห้า) และ
ดัชเชช (พระนามเดิม Princess Victoria Mary of Teck ต่อมาทรงเป็นพระราชินีแมรี่) ประสูติเมื่อ 23 มิ.ย. 1894
สืบสายพระโลหิตควีนวิคทอเรีย(เป็นพระอัยยิกา)
         พระบิดาทรงเข้มงวด เฉยเมย และไม่ค่อยโปรดเด็กเล็ก พระองค์เคยตั้งข้อสังเกตว่า
          “ทําไมเดวิด(พระนามเล่นของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด) ถึงพูดอยู่ได้ตลอดเวลา...ลูกคนนี้พูดมาก หนวกหู”
           พระราชินีแมรี่ก็ทรงเห็นด้วย “การพูดมากอาจจะเป็นความสุขของเด็ก แต่หม่อมฉันคิดว่าเด็กที่ดีควร
เป็นเด็กเงียบ เรียบร้อย และแข็งแรง”
          (คงจะทรงเชื่อตามคติแต่ดั้งเดิมที่ว่า Children should be seen but not heard.)

          ตั้งแต่ยังเยาว์เจ้าชายทรงรู้สึก"ห่าง" ไม่สนิทกับพระบิดา ทรงหวาดวิตกเมื่อถูกเรียกหาเพราะเกรงว่า
นั่นหมายถึง การเรียกไปเพื่อทำโทษ กับพระมารดาก็มีความห่างอยู่บ้างเช่นกันเพราะทรงได้รับการอภิบาลจาก
คณะพระพี่เลี้ยงเป็นหลัก โดยมีพี่เลี้ยงคนหนึ่งปฏิบัติต่อพระองค์และพระอนุชาถัดจากพระองค์(Prince Albert)
อย่างไม่ถูกต้อง เหมาะสม(abuse) โดยพี่เลี้ยงคนนั้นจะหยิกเจ้าชายก่อนที่จะพาเข้าเฝ้าพระบิดามารดา และ
เมื่อเจ้าชายกรรแสงจ้า ทั้งสองพระองค์ก็จะโปรดให้พี่เลี้ยงพาพระโอรสออกไป


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 08, 10:59
ในบันทึกความทรงจำพระองค์ได้ทรงเขียนถึงพระมารดาอย่างชื่นชมไว้ว่า -

          "Her soft voice, her cultivated mind, the cosy room overflowing with
personal treasures were all inseparable ingredients of the happiness associated
with this last hour of a child's day…
           Such was my mother's pride in her children that everything that happened
to each one was of the utmost importance to her.
         With the birth of each new child, Mama started an album in which she
painstakingly recorded each progressive stage of our childhood".

แต่จากจดหมายที่มีไปยังนางซิมป์สันภายหลังที่พระมารดาสิ้นพระชนม์ ทรงเขียนว่า

             "My sadness was mixed with incredulity that any mother could have been
so hard and cruel towards her eldest son for so many years and yet so demanding
at the end without relenting a scrap.
            I'm afraid the fluids in her veins have always been as icy cold as
they are now in death."       

              แม้พระมารดาจะปฏิเสธทั้งความรักและหญิงคนรักของพระองค์ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นวัตถุพยานถึงความรักและ
ความผูกพันที่พระองค์มีต่อพระมารดาเสมอมาก็คือ สิ่งของส่วนพระองค์ชิ้นหนึ่ง(ที่ได้ถูกนำออกประมูลในเวลาต่อมา)
นั่นคือ ตุ๊กตาเก่าๆ ที่พระมารดาทรงประดิษฐ์ขึ้นประทานให้พระองค์เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ แล้วพระองค์ยังทรงเก็บรักษาไว้
โดยวางบนโต๊ะข้างที่บรรทมเพื่อเป็น good-luck charm


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 08, 11:03
          ปี 1907 เมื่อพระชนมายุ 12 ชันษา พระองค์ถูกส่งไปรับการศึกษาใน Naval College ที่ Osborne
และ Dartmouth Royal Naval College ในปี 1909 ก่อนที่จะดำรงพระยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลซ์ในปี  1911
และสุดท้ายทรงเข้าศึกษkที่ Magdalen College, Oxford University ในปี 1912

          ครั้นสงครามโลกอุบัติขึ้นในปี 1914 เจ้าชายมีพระประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในสงครามนี้ ทรงถูกส่งไปประจำการ
ในกองทหาร Grenadier Guards ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ในสมรภูมิรบ ทำให้ทรงรู้สึกผิดหวัง แม้ว่าจะได้ทรงแสดง
ความจำนงจะเสด็จไปในแนวหน้าแล้วก็ตาม โดยทรงอ้างว่ายังมีพระอนุชาอีกถึงสี่พระองค์ที่จะสืบทอดเป็นรัชทายาทแทน
พระองค์ได้หากทรงเป็นอะไรไปในสงคราม
            เมื่อเจริญพระชันษาขึ้น ทรงเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงาม พระพักตร์อ่อนเยาว์ สาวๆ ต่างชื่นชมพระองค์ทั่วทั้งเกาะ
หากแต่พระองค์กลับทรงโปรดสาวที่มีเจ้าของแล้ว หนึ่งนางนั้นคือ Mrs. Winifred ("Freda") Dudley Ward
ที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าชายยาวนานถึง 16 ปี
            ในฐานะเจ้าชายแห่งเวลซ์ พระองค์เสด็จไปในที่ต่างๆ ทั้งอาณานิคมนอกอาณาจักร และถิ่นที่ยากไร้ในอังกฤษ
ในขณะเดียวกันก็โปรดที่จะคบหาสมาคมกับพระสหายชนชั้นสูง ร่ำรวย ชีวิตส่วนพระองค์คงวนเวียนอยู่กับงานบอลล์
ค็อกเทลปาร์ตี้ และคันทรีเฮาส์วีคเอนด์ ปรากฏเป็นภาพของเจ้านายทันสมัย "ออกงาน" ซึ่งแตกต่างไปจากรูปแบบเดิมที่
เจ้านายจะเก็บพระองค์อยู่"ข้างใน"


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 08, 11:47
ข้อความจากที่คุณ WIWANDA เคยเล่าไว้ มีความว่า

- พระนามเล่นๆ ในครอบครัวนั้น คือ เดวิด.. ที่นำมาจากสร้อยพระนามสุดท้าย..ดังนี้..
HRH Prince Edward Albert Christian George Andrew Patrick David (ชื่อนะเนี่ย)
       พระองค์เมื่ออยู่ในวัยหนุ่ม..นับว่าเป็นเจ้าชายที่ทรงพระสิริโฉมอย่างยิ่ง  พระเกศาสีบลอนด์  พระเนตรสีฟ้า
มีแววอ่อนหวานปนโศกนิดๆ มีเสน่ห์ในองค์เอง ไม่ว่าเสด็จไปไหนผู้คนต่างรักใคร่  เอ็นดู ชื่นชม กับเจ้าฟ้าชายองค์นี้นัก
ยิ่งสาวๆ นั้นไม่ต้องพูดถึง พระองค์ได้ครองใจผู้หญิงทั้งประเทศเลยก็ว่าได้

- หนึ่งในนั้น..คือ สาวร่างป้อม หน้าหวาน..ธิดาของท่านเอิร์ลแห่งสก็อตแลนด์ เธอมีนามว่า..
Lady Elizabeth Angela Marguerite Bowes-Lyon
     จากการที่เป็นลูกสาวเกือบสุดท้อง เลดี้ อลิซาเบธ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างทนุถนอมราวกับใข่ในหิน
จนอายุเข้า ยิ่สิบสามปี ยังไม่มีแฟน.. เพื่อนๆต่างก็ออกเรือนกันไปหมดแล้ว เลดี้ อลิซาเบธ ได้พบกับมกุฏราชกุมาร
เจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ด ปริ๊นซ์ ออฟ เวลส์ เพียงครั้งเดียว ผู้คนก็เริ่มจับตา.. หนังสือพิมพ์ เดลี่ นิวส์ ได้นำข่าวไปลง
ในหน้าซุบซิบไฮโซ

- (หมายเหตุ..ในช่วงที่ควีนมัมเจริญพระชันษามากแล้ว พระองค์เคยเล่าให้นักข่าวฟัง โดยทรงยอมรับว่า..
เมื่อครั้งนั้นพระองค์ก็เป็นคนหนึ่งที่"คลั่ง" ปริ๊นซ์ ออฟ เวลส์เหมือนกับสาวคนอื่นๆทั้งเกาะ และตรัสว่า
"พระองค์น่ะ ดูดีไปหมด" และต่ออีกด้วยว่า.."หมายถึงตอนนั้นนะ" )

- และสาวงามอลิซาเบธคนนี้ก็ไม่ได้เป็นที่ต้องพระทัยต่อองค์มกุฏราชกุมารสักนิด ในยามนั้น พระองค์ทรงโปรด
แต่หญิงที่มีร่างโปร่งบาง  เข้าข่ายผอมแห้ง แรงน้อย มิหนำซ้ำ..หลังจากที่ได้อภิเษกกับหม่อมวอลลิสแล้ว
ทั้งคู่ยังแอบนินทา เรียกพระราชินีว่า.. แม่คุ๊กกี้ อีกต่างหาก เนื่องจากพระองค์ทรงออกท้วมนิดๆ
และชอบเสวยจุบจิบ

- ต่อมาไม่กี่เดือน คือ เมษายน 1923  เลดี้ อลิซาเบธ ได้ตัดสินใจตกลงยอมแต่งงานกับ เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต
หรือ "เบอร์ตี้" ดยุค ออฟ ยอร์ค พระอนุชาของเจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ด

- นอกเหนือจากการที่จะได้เป็นสมาชิกคนแรกในพระราชวงค์ที่มาจากพื้นฐานของเป็นสามัญชนแล้ว เลดี้ อลิซาเบธ
จำเป็นต้องคว้ารถด่วนขบวนสุดท้ายนี่ไว้ เนื่องจากอายุเริ่มมากขึ้น (สมัยนั้น สาวๆที่มีอายุในวัยทีนก็เริ่มมีคู่หมายกันแล้ว)..
จึงนับว่าเป็นการได้ทั้งเงินและกล่องราวกับรับโชคสองชั้น ส่วนว่าที่พระสวามี..จะหน้าตา"ขึ้นกล้อง"หรือไม่อย่างไร 
ค่อยมาแก้ใขกันทีหลัง

      เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด..ได้ยอมสละราชบัลลังค์เพื่อหญิงที่รักในปี 1936 นั้น..โชคไม่ใช่สองชั้นแล้วสำหรับ
เลดี้ อลิซาเบธ ที่ตอนนั้นดำรงฐานะคือ ดัชเชส ออฟ ยอร์ค เพราะ พระสวามี ดยุค ออฟ ยอร์ค ได้เลื่อนขึ้นมาจ่อ
ครองบัลลังก์ต่อไปจากพระเชษฐา นั่นเท่ากับว่า ดัชเชสกำลังจะกลายเป็นพระราชินีแห่งอังกฤษ ที่มาจากสามัญชน
อย่างนี้ต้องเรียกว่าโชคมหาโชค..


  --- เพิ่มเติมครับ หม่อมวิลลิสเรียก เจ้าหญิงอลิซเบธ(-ควีนอลิซเบธในปัจจุบัน) ว่า Shirley มาจาก
Shirley Temple ดาราเด็กชื่อก้องชาวอเมริกัน แล้วเลยเรียกพระราชินีว่า Mrs. Temple ตามลักษณะรูปร่าง
ของพระองค์ และนอกจาก Cookie แล้วยังมีเรียก The Dowdy Duchess ด้วย ---


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ย. 08, 10:09
        ขยับเวลามาปี 1930 พระบิดา(พระเจ้ายอร์ชที่ห้า) ประทานที่ประทับแก่เจ้าชายที่ Fort Belvedere
และนี่คือสถานที่เจ้าชายทรงมีความสัมพันธ์กับหญิงแต่งงานแล้วมากหน้าหลายนาง หนึ่งนางนั้น (Lady Furness)
ได้แนะนำให้พระองค์รู้จักกับหญิงอเมริกันนาม วอลลิซ ซิมป์สัน (19 June 1895 or 1896 – 24 April 1986)
ผู้ผ่านการหย่าร้างมาหนึ่งครั้งก่อนที่จะมาแต่งงานกับสามีนักธุรกิจ - นายเออร์เนสท์ ซิมป์สัน  ในงานปาร์ตี้ เมื่อ
วันที่ 10 มกราคม 1931
        เมื่อแรกเจอเจ้าชายไม่ได้ทรงสนพระทัยหรือประทับใจในตัวนางเป็นพิเศษ จนเมื่อได้พบกันอีกครั้ง
หลังจากนั้น 4 เดือน ความพึงพอใจระหว่างกันจึงกำเนิดขึ้น ถึงเดือนมกราคมปีต่อมาพระองค์ได้เสด็จมาเสวยดินเนอร์
ที่แฟลตของนางและประทับอยู่จนถึง 4 นาฬิกาวันรุ่งขึ้น

เหตุการณ์เมื่อแรกพบกันมีบันทึกความว่า

Wallis was suffering from a head cold. He asked if she missed American central heating.

   'I'm sorry, Sir,' she said, 'but you have disappointed me.'

   'In what way?'
 
   'Every American woman who comes to your country is always asked that
same question. I had hoped for something more original from the Prince
of Wales.'
 
  Edward later wrote: "In character, Wallis was, and still remains, complex
and elusive, and from the first I looked upon her as the most independent
woman I had ever met. This refreshing trait I was inclined to put down
as one of the happiest outcomes of 1776."


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ย. 08, 10:26
              ต้นปี 1934 เลดี้เฟอร์เนส เดินทางไปอเมริกาและเอ่ยปากฝากเจ้าชายไว้กับนางซิมป์สัน
         "Look after the little man. See that he does not get into any mischief." 

เพื่อที่จะกลับมาพบว่าตัวเธอได้ถูกตัดออกจากรายชื่อผู้หญิงของเจ้าชายแล้ว รวมทั้งอีกหนึ่งนางที่มีความสัมพันธ์ยาวนาน
- Mrs. Ward เหลือนางซิมป์สันครองตำแหน่งผู้หญิงของเจ้าชายแต่เพียงผู้เดียว

          เมื่อพระองค์จัดปาร์ตี้ล่องเรือไปตามชายฝั่งสเปนและ ปอร์ตุเกส นางซิมป์สันได้ร่วมเดินทางไปด้วยโดย
ปราศจากสามีซึ่งติดธุระต้องไปอเมริกา ทริปนี้เองที่นางซิมป์สันเล่าว่า ทั้งเธอและเจ้าชายได้
           crossed the line that marks the indefinable boundary between
friendship and love.
         ต่อมาพระองค์ก็ได้เคยตรัสว่า ได้ทรงตัดสินพระทัยที่จะเสกสมรสกับนางมาตั้งแต่ปี 1934 นี้
          ปลายปีนั้นนางซิมป์สันได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่พระราชวังบัคกิงแฮม เจ้าชายทรงพานางมาแนะนำต่อพระมารดา
ในขณะที่พระเจ้ายอร์ชไม่พอพระทัยอย่างยิ่งและทรงปฏิเสธที่จะให้นางเข้าเฝ้า
     
          ความประพฤติของพระโอรสได้สร้างความผิดหวังให้กับพระเจ้ายอร์ชเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงรังเกียจความสัมพันธ์
ของพระโอรสกับบรรดาหญิงม่ายเหล่านี้ ทรงกังวลที่จะเห็นเจ้าชายขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ ถึงขนาดทรงมีรับสั่ง
กับพระโอรสองค์ที่สอง (Albert-Bertie) และพระนัดดา (Elizabeth-Lilibet ควีนอลิซเบธองค์ปัจจุบัน) ว่า
          พระองค์ทรงสวดอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อให้เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดไม่ได้เสกสมรสและไม่มีทายาท ทั้งขออย่าให้มีสิ่งใด
มากั้นกางระหว่างเบอร์ทีและลิลิเบทกับราชบัลลังก์

         นับวันความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายกับนางซิมป์สันก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นสวนทางความสัมพันธ์กับพระบิดา
ที่เสื่อมลง ทั้งสองพระองค์ทรงปฏิเสธการเข้าเฝ้าครั้งต่อไปของนาง
         ทว่าเจ้าชายได้ทรงตกหลุมรักนางซิมป์สันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว ยิ่งได้รับการปฏิเสธทั้งสองก็ยิ่งรู้สึกว่า
มีเพียงเราสอง จึงผูกพันใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ย. 08, 10:29
มาดูประวัติของนางเอกแห่งเทพนิยายในฝัน ผู้ชนะใจเจ้าชายทั้งที่เป็นแม่ม่ายผู้นี้กัน 

           เกิดในเพนซิลวเนีย เติบโตที่แมรี่แลนด์  เธอกำพร้าบิดาตั้งแต่ยังเล็ก ฐานะทางบ้านไม่ดีแต่มีลุงช่วยเจือจุน
เมื่อเข้าโรงเรียน เธอเริ่มฉายแสงโดดเด่น brighter กว่าใครๆ ในชั้นเรียน ด้วยมาดและท่วงท่าที่สง่า ดวงตาเป็น
ประกาย และผมสีดำสลวย
           แต่งงานครั้งแรกกับนักบิน ชีวิตสมรสเจ็บระบมเมื่อเขาดื่มจัดและทำร้ายเธอ สถานการณ์เหมือนจะดีขึ้นเมื่อทั้งสอง
เดินทางไปเมืองจีนที่ซึ่งเขาถูกส่งไปประจำการ แต่แล้วก็กลับเลวร้ายลงเมื่อเขากลับไปดื่มอีก เธอจึงฟ้องหย่า

          (ที่เมืองจีนนี้ มีข่าวลือว่าเธอมีความสัมพันธ์กับลูกเขยมุสโสลินีจนตั้งครรภ์ แล้วทำแท้งซึ่งมีผลทำให้เธอ
ไม่สามารถมีลูกได้อีก และยังลือกันด้วยว่า เธอได้ไปเรียนวิชาทางเพศจากสำนักโคมเขียว และได้นำวิชานี้มาใช้อย่างได้ผล
กับเจ้าชายจนพระองค์ไปไหนไม่รอด)
        หลังหย่าสามีคนแรก เธอมีความสัมพันธ์กับนายซิมป์สันและได้แต่งงานกันหลังจากที่เขาหย่าจากภรรยาเดิม
          เธอได้พบกับเจ้าชายในปี 1931 และได้กลายมาเป็นผู้หญิงของพระองค์ในเวลาต่อมา
          ถึงปี 1934 เจ้าชายก็ติดอยู่ในบ่วงใยแมงมุมแม่ม่ายจนไปไหนไม่รอด ทรงพอพระทัยในบุคคลิกของนางที่วางท่าที
เป็นฝ่ายที่เหนือกว่า โดยไม่ยำเกรงในพระยศอันสูงส่งของพระองค์ ทำให้เจ้าชายกลายเป็นดั่งทาสเทวีอยู่ใต้อำนาจเธอ
ทรงปรนเปรอด้วยแก้วแหวนเงินทอง พาท่องยุโรปอย่างสำราญจนลืมพระราชภารกิจ

--ขึ้นปก TIME ด้วยตำแหน่ง Woman(แทนที่ Man) of the Year คนแรก   


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 08, 11:07
             พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาเมื่อ 20 ม.ค. 1936 ด้วยสถานภาพทรงเป็นโสด
แต่ก็ได้ทรงควงนางซิมป์สัน ม่ายชาวอเมริกันออกงานส่วนพระองค์เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว และหลังจากที่พระองค์
ขึ้นครองราชย์ไม่กี่วัน พระองค์ก็ทรงควงนางออกงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการสร้างความตกตะลึงแก่แวดวงสังคม
และการเมืองโดยถ้วนทั่ว
           พ.ค. 1936 นายกรัฐมนตรีสแตนลีย์ บอลด์วิน ได้พบนางเป็นครั้งแรกในงานเลี้ยงพระราชทาน
งานนี้เธอพาสามีออกงานด้วย ท่านนายกยังไม่ทราบว่าเธอเป็นคนสำคัญอย่างไร
          สองเดือนต่อมา สามีตัวจริงของนางซึ่งมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นเช่นกัน ได้ย้ายออกจากที่พักของทั้งสอง
          ในช่วงฤดูร้อนปีครองราชย์นั้น พระองค์เสด็จไปพักผ่อนกับนางที่เมดิเตอร์เรเนียนแถบตะวันออก โดยมีหนังสือพิมพ์
อเมริกาและยุโรปเสนอข่าว ยกเว้นนสพ. อังกฤษ
          ต.ค. 1936 นางย้ายมาอยู่ในบ้านใหม่ที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเช่าไว้ให้นาง

          (ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับม่ายอเมริกันนี้ได้สร้างความกังวลให้กับคณะรัฐบาลอย่างสูง พฤติกรรมของทั้งสอง
ได้ถูกเฝ้าติดตามโดยหน่วยตำรวจพิเศษ ซึ่งได้เคยรายงานไว้ว่า - 
           ดูเหมือนว่าสุภาพสตรีจะมี "POW" อยู่ใต้หัวแม่มือโดยสมบูรณ์, POW - Prince of Wales)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 08, 11:27
           ในมี่สุดความสัมพันธ์ก็ถึงจุดที่เป็นที่รับรู้กันว่า พระองค์มีพระประสงค์จะเสกสมรสกับนางในทันที
ที่นางได้ทำการหย่าร้างเรียบร้อย
           หนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวว่า - จะมีพิธีเสกสมรสในเวลาไม่นานนี้
        20 ต.ค. 1936 -  วันแรกของเผชิญหน้ากัน เมื่อท่านนายกฯ เข้าเฝ้าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเพื่อขอให้พระองค์
คบหานางอย่างไม่เปิดเผยเพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นข่าว และขอให้นางหยุดดำเนินการเรื่องขอหย่าร้างจากสามี
        13 พ.ย. ราชเลขาส่วนพระองค์มีหนังสือกราบทูลถึงพระองค์ว่า สื่อหนังสือพิมพ์ที่ยังคงเงียบอยู่นั้นคงเงียบอีกไม่นาน
และถ้าพิจารณาจากจดหมายที่มีมาจากชาวบริทิชที่อาศัยอยู่ต่างแดนและได้รับรู้ข่าวนี้จากสื่อชาติอื่น พอจะบอกได้ว่าผลที่ตามมา
นั้นน่าจะเข้าขั้นหายนะ 

         เพียงเท่านี้หรือจะอาจต้านทานแรงรัก
         16 พ.ย. พระองค์ทรงเรียกนายกรัฐมนตรี สแตนลีย์ บอลด์วินเข้าเฝ้า และ แจ้งพระประสงค์ที่จะเสกสมรส
กับนางซิมป์สันให้ทราบ
         ครั้งนี้เองที่พระองค์เองได้ทรงตระหนักถึงแรงต้านที่ทรงพลังจากปากของท่านผู้นำ
         เมื่อนายกฯ กราบทูลว่า พสกนิกรจะไม่ยอมรับการเสกสมรสนี้ และในกรณีที่คู่ครองของพระองค์คือผู้ที่จะขึ้นดำรง
ตำแหน่งราชินีของประเทศ ดังนั้น การเลือกผู้ที่จะมาเป็นควีนย่อมต้องฟังเสียงประชาชนด้วย

          ด้วยสารพัดแรงต้านทั่วทิศ ถึงขนาดที่คณะรัฐบาลกราบทูลว่าจะลาออกทั้งคณะ พระองค์ทรงออกแรงโต้กลับด้วย
พระดำรัสที่ก่อให้เกิดความความตกใจว่า

              "I intend to marry Mrs. Simpson as soon as she is free to marry
... if the Government opposed the marriage, as the Prime Minister had given me reason
to believe it would, then I was prepared to go."


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 08, 11:33
           ด้วยแรงโต้กลับจากเบื้องบนเช่นนี้ ท่านบอลด์วินจึงจัดการถามความเห็นจากนายกรัฐมนตรีของประเทศในเครือจักรภพ
ผลออกมาเป็นว่า ทางออกในกรณีนี้คือ การสละราชสมบัติ
         24 พ.ย. ท่านบอลด์วินได้ปรึกษาหารือกับหัวหน้าฝ่ายค้านทั้งสาม สองในสามมีความเห็นไม่แตกต่างไป
จากคนอื่นๆ ที่เหลืออีกหนึ่งเดียวคือ วินสตัน เชอร์ชิลนั้นอยู่ฝ่ายพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด

           พระองค์ทรงถือว่าเชอร์ชิลผู้นี้คือมิตรแท้ ดังปรากฏในบันทึกว่า
      I am proud . . . that of all Englishmen it was Mr. Churchill who spoke up to the last
for the king, his friend.

          ด้วยแรงต้านทานที่มากมายแต่แรงสนับสนุนแทบไม่มี ทางออกเดียวสำหรับพระองค์ที่จะได้เสกสมรส
กับนางซิมป์สันนั่นก็คือ การสละราชสมบัติ และ
            นั่นก็เป็นทางที่พระองค์ได้ตัดสินพระทัยเลือกอย่างแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน แม้ว่านางซิมป์สันจะได้แสดงความจำนง
เป็นฝ่ายก้าวออกไปเสียเองเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงครองบัลลังก์ต่อไป


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 08, 11:35
          25 พ.ย. พระองค์ทรงพยายามหาทางต่อรองกับท่านนายกฯ  ทรงยอมรับที่นางซิมป์สันจะไม่ได้ขึ้นเป็นควีน
อีกทั้งทายาทของทั้งสองจะไม่ได้เป็นรัชทายาทสืบไป
          27 พ.ย. ข้อเสนอนี้ได้รับการปฏิเสธทั้งจากคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศเครือจักรภพอย่าง
Australia, Canada, South Africa
          2 ธ.ค. ท่านนายกฯ กราบทูลมติของคณะรัฐบาล และเสนอทางเลือก 3 ประการคือ
ยุติความสัมพันธ์ หรือ เสกสมรสโดยขัดกับมติคณะรัฐมนตรีอันจะมีผลทำให้คณะรัฐมนตรีลาออก หรือ สละราชบัลลังก์
         3 ธ.ค. เป้าสำคัญของสื่อคือนางซิมป์สัน ตัดสินใจจำเดินทางออกจากเกาะอังกฤษไปฝรั่งเศสเพื่อหลีกเลี่ยง
การทำข่าวของนักหนังสือพิมพ์ ทั้งสองร่ำลาน้ำตาริน พระองค์ประทานคำมั่นโดยตรัสกับนางว่า -
               I shall never give you up.

         ความพยายามอีกครั้ง(สุดท้าย)ของพระองค์คือ พระประสงค์ที่จะมีพระดำรัสออกอากาศ ด้วยทรงหวังว่าพสกนิกร
จะเข้าใจและเห็นใจ ยอมรับให้พระองค์เสกสมรสและยังคงเป็นกษัตริย์ต่อไป แต่ท่านนายกปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้
ในระบอบรัฐธรรมนูญ
         ในที่สุด ด้วยรักพร้อมยอมสละ พระองค์จึงตัดสินพระทัยสละราชบัลลังก์ในวันที่ 9 ธ.ค. 1936
และทรงลงพระนามในประกาศในวันที่ 10 ธ.ค.


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 08, 11:52
           วันรุ่งขึ้น 11 ธ.ค. อดีตพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดในพระอิสริยยศ His Royal Highness The Duke of Windsor
ได้ทรงมีรับสั่งออกอากาศทั่วอาณาจักรและจักรวรรดิ มีข้อความสำคัญว่า 
 
              "I have found it impossible to carry the heavy burden of responsibility and
to discharge my duties as king as I would wish to do without the help and
support of the woman I love." 

             เจ้าชายอัลเบิร์ทพระอนุชาถัดจากพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์แทนเป็นพระเจ้ายอร์ชที่หก ทรงเฉลิมพระอิสริยยศ
ใหม่ให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเดิมเป็นดยุคแห่งวินเซอร์ พร้อมคำนำหน้า His Royal Highness
             พระองค์เสด็จไปพำนักที่ออสเตรีย โดยไม่ได้พบนางซิมป์สันด้วยเกรงว่าอาจมีผลกระทบต่อการหย่าของนาง
             เดือนพ.ค. ปีถัดมาการหย่าร้างของนางซิมป์สันสำเร็จเสร็จสิ้นขบวนการโดยปราศจากการแทรกแซง
พระองค์ได้เข้าพิธีเสกสมรสกับนางในวันที่ 3 มิ.ย. 1937 ที่ฝรั่งเศส
             นางซิมป์สันจึงกลายเป็น ดัชเชสแห่งวินเซอร์ แต่ไม่ได้รับคำนำหน้าว่า Her Royal Highness
สร้างความไม่พอพระทัยแก่ท่านดยุคเป็นอย่างยิ่ง (แต่ในที่ประทับและหมู่คนใกล้ชิดสนิทสนมแล้วต่างก็กล่าวถึงเธอ
โดยใข้ Her Royal Highness)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 08, 12:17
เหตุการณ์ช่วงนี้คุณ WIWANDA เล่าไว้ดังนี้ครับ

        - พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ที่มีพระชนมายุได้ 41 ชันษา กำลังทรงระดมใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี
เพื่อที่จะทำการอภิเษกสมรสกับนางวอลลิส ซิมปสันให้ได้ แต่ทว่า นางยังไม่เสร็จสิ้นจากการหย่าร้างจากสามีอันดับสอง
        - ... พระองค์ได้ทรงแจ้งพระราชประสงค์กับคณะรัฐบาลว่า ในพิธีราชาภิเษกที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า
พระองค์ต้องการให้นางวอลลิสได้รับการสถาปนาเป็นพระราชินีเสียในคราวเดียวกัน..
        เล่นเอาท่านนายกรัฐมนตรี สแตนลีย์ บอลด์วิน เหงื่อกาฬแตกพลั่ก..เรียกประชุมคาบิเน็ตด่วน...
        นักการเมืองรุ่นเก๋าอย่าง วินสตัน เชอร์ชิลล์ กลับเห็นว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลก ท่านจะทำอะไรก็ตามพระทัยท่าน
จะเอาอีหนูมาเป็นราชินีก็เรื่องของท่าน (เชอร์ชิลล์..คิดไม่เหมือนคนอื่น  ไม่ขัดขวาง ออกจะสนับสนุนด้วยซ้ำ
เพราะ ท่านมีมารดาเป็นชาวอเมริกัน)
        แต่..ทั่นนายก..บอกว่า จะบ้าหรือไง..อังกฤษไม่ต้องการพระราชินีที่มาจากผู้หญิงต่างชาติที่ไม่มีหัวนอนปลายต..
เท่านั้นไม่พอ ยังเป็นแม่ม่ายสองครั้งสองครา โอย..ไม่เอา..
      แต่ทว่า..ความเห็นของ พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ หรือในพระนามว่า.. พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด กลับทรงดื้อรั้น..
และทรงคิดไปเองว่า ประชาชนคงต้องเห็นพระทัย และเข้าใจในความรักของพระองค์
        สรุปคือ..ให้ประชาชนลงคะแนนเสียง  ผลคือ...เสียงออกมาเป็นสองฝ่าย..
หนึ่งคือ ทิ้งนังแม่ม่ายคนนั้นซะ... สอง...ถ้าไม่ทิ้ง ก็ต้องสละราชบัลลังค์ และนั่นคือ..คำตอบสุดท้าย..จากมหาชนชาวบริเตน


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 08, 12:19
คุณ WIWANDA เล่าต่อ -

       เสียงตอบกลับคืน..จากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียงสิบเดือน ว่า..
ถ้า...ปราศจากหญิงที่รักอยู่เคียงข้าง.. บัลลังค์ก็ไม่มีความหมายใดๆ  พระองค์ตัดสินพระทัย..สละราชสมบัติ
        และคำแถลงการณ์ที่ออกอากาศไปทั่วในทุกประเทศ(ที่ใช้ภาษาอังกฤษ) นั้นได้กระทำขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม 1936
จากสถานีในพระราชวังวินเซอร์  พระสุรเสียงนั้นดังก้องกังวานไปทั่ว ไม่ว่าจะในมหานครนิวยอร์ค ที่แม้กระทั่ง
คนขับรถแท๊กซี่ก็ต้องยอมนำรถเข้าจอดข้างทางเพื่อที่จะได้รับยินรับฟังอย่างชัดๆ
        ชาวอังกฤษที่อยู่นอกประเทศ..ต่างระดมส่งโทรเลข วิงวอน ขอร้อง ขอให้ทรงคิดใหม่..และ..
อย่าทรงละทิ้งประชาชน แต่พระองค์ได้ตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาด เพื่อ ความรัก..
       และหกเดือนต่อมา..พระองค์ก็ได้สมรสกับนางซิมปสันสมใจ...       

       คณะฝ่ายสำนักพระราชวัง..และ รัฐบาล ต้องวิ่งวุ่นหาพระยศที่เหมาะสมและลงตัวให้อย่างทุลักทุเล..
ในที่สุดก็ได้ดีสุดมาที่  ตำแหน่ง ดยุค ออฟ วินเซอร์ ส่วนหม่อมวอลลิส ก็ดำรงตำแหน่ง ดัชเชส ไปตามระเบียบ..


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 08, 10:36
มาดูสารพัดแรงต้านการเสกสมรสที่มีมากมายหลายกระแสจนนำไปสู่วิกฤตการณ์สละราชบัลลังก์ ได้แก่

สังคม   แม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นที่ชื่นชมของพสกนิกรหลายเหล่าถึงขนาด popular แต่บรรดาคนหัวเก่าต่างก็รู้สึกหวั่นๆ
         กับพระราชดำริที่จะทำให้ราชวงศ์ทันสมัย พวกชนชั้นสูงรู้สึกผิดหวังที่พระองค์แสดงท่าทีเหยียดหยันกับขนบธรรมเนียม
ประเพณีที่มีมาแต่เดิม และเรื่องความสัมพันธ์ของพระองค์กับนางซิมป์สันก็ยิ่งทำให้ความนิยมชื่นชมในพระองค์เสื่อมลง

ศาสนา    Church of England ไม่อนุญาตให้บุคคลที่ผ่านการหย่าร้างโดยที่คู่คนเก่ายังมีชีวิตอยู่สมรสใหม่ในโบสถ์
            (จนกระทั่งปี 2002) และโดยตำแหน่ง Supreme Governor แห่งเชิร์ชออฟอิงแลนด์ของพระองค์
ทำให้ไม่สามารถเสกสมรสกับหญิงม่ายได้
            กรณีของพระองค์นี้แตกต่างจากสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่ทรงจัดการให้การแต่งงานครั้งก่อนนั้นโมฆะ 

กฎหมาย  การหย่าครั้งแรกของนางซิมป์สัน(ด้วยเหตุผล เข้ากันไม่ได้ทางอารมณ์) ไม่ได้รับการยอมรับโดยเชิร์ชออฟอิงแลนด์ 
           และอาจรวมถึงกฎหมายของอังกฤษด้วย ทำให้การแต่งงานครั้งต่อมาอาจเป็นความผิดจากการสมรสซ้อน

ศีลธรรมจรรยา   หากว่าเหล่าที่ปรึกษาของพระองค์ต่างเห็นพ้องว่านางซิมป์สันมีคุณสมบัติพร้อมคู่ควร พวกเขาคงหาทางออก
                  ให้กับปัญหานี้ได้ แต่ทว่าบรรดารัฐมนตรีต่างได้รับรู้ถึงเบื้องหลังและพฤติกรรมของนางซิมป์สันที่พวกเขา
รับไม่ได้ ข่าวลือที่ไม่มีหลักฐานยืนยันแพร่กระจายไปทั่วแวดวง ถึงขนาดที่ควีนแมรี่พระมารดาทรงได้รับการกราบทูลว่า
นางซิมป์สันอาจมีวิชาสามารถทางเพศที่ช่วยรักษาอาการผิดปกติของพระองค์แล้วใช้ความสามารถทางนี้ควบคุมพระองค์ในเวลาต่อมา
           
                      ข้อความของ   Philip Ziegler ผู้เขียนพระประวัติอย่างเป็นทางการกล่าวว่า
                  ทั้งสองน่าจะมีความสัมพันธ์ผูกพันกันแบบ sadomasochistic โดยมีเจ้าชายเป็นฝ่าย masochist พอใจที่
จะให้นางซิมป์สันข่ม นอกจากนี้นักสืบของกรมตำรวจยังสืบพบด้วยว่า นางยังมีความสัมพันธ์กับชายอื่นนอกจากเจ้าชายด้วย
                   Joseph kennedy เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งท่านทูตของอเมริกาเรียกเธอว่า a tart และคุณนายท่านทูต
ก็ปฏิเสธที่จะร่วมโต๊ะอาหารกับเธอ
           ภาพของนางซิมป์สันในสายตาคนอื่นจึงปรากฏเป็นหญิงมักใหญ่ใฝ่สูงที่ไม่ได้รักเจ้าชาย หากแต่หมายปอกลอกพระองค์


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 08, 10:42
การเมือง    พระองค์ทรงทำให้ฝ่ายการเมืองรู้สึกว่าถูกก้าวก่าย เช่น เมื่อครั้งที่มีพระดำรัสในคราวเสด็จไปยังหมู่บ้านเหมืองถ่านหิน
             ในเวลซ์ ซึ่งแม้ว่าพระองค์ทรงได้รับความชื่นชมจากชาวเวลซ์จากพระดำรัสของพระองค์ในครั้งนั้น แต่สำหรับ
ชาวสก็อตแล้ว พระองค์ทรงพลาดไปเมื่อทรงปฏิเสธที่จะเสด็จไปในงานพิธีหนึ่งโดยทรงอ้างว่าเพราะอยู่ในช่วงถวายอาลัย
แด่พระราชบิดา ทว่าในวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์กลับลงภาพข่าวพระองค์เสด็จไปพักผ่อนสำราญพระอิริยาบถกับนางซิมป์สัน
             นอกจากนี้ยังทรงมีและทรงแสดงความเห็นขัดแย้งกับคณะรัฐมนตรีในบางเรื่อง
             และด้วยพระประสงค์จะพัฒนาราชวงศ์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น พระองค์ก็ทรงขัดแย้งกับที่ปรึกษาหัวเก่าจน
ทรงปลดออกจากตำแหน่งหลายคนและยังทรงลดเงินเดือนเหล่าข้าราชบริพาร
             เพราะความลุ่มหลงในตัวนางซิมป์สันทำให้พระองค์ทรงเลื่อนหรือเสด็จมาที่ประชุมสายบ่อยครั้ง     
             เท่านั้นยังไม่พอ สมาชิกคณะรัฐบาลยังได้รับข้อมูลมาว่านางซิมป์สันนั้นเป็นสายของนาซี ข่าวลือบางกระแสยัง
กล่าวว่านางคือผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้นำข้อมูลลับของคณะรัฐบาลที่ส่งมาถวายพระองค์แล้วทรงละเลยลืมวางทิ้งไว้ไปให้เยอรมัน

     (จากแฟ้มบันทึกเอฟบีไอในทศวรรษ 1940 ที่เพิ่งเปิดเผยเร็วๆ นี้ - ตามกฎหมายใหม่ - America's Freedom of
Information Act - ให้ข้อมูลที่สนับสนุนเรื่องสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างนางซิมป์สันกับนาซี)

ชาตินิยม   ในช่วงระหว่างมหาสงครามโลกทั้งสองนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาเสื่อมลง
             ชาวอังกฤษส่วนใหญ่ไม่อาจยอมรับหญิงอเมริกันในฐานะควีนได้ เหล่าผู้ดีอังกฤษชั้นสูงในยุคนั้นมองชาวอเมริกัน
ว่าเป็นพวกที่มีฐานะทางสังคมด้อยกว่า


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 08, 10:45
         หลังมีพระดำรัสสละบัลลังก์ออกอากาศ ท่านดยุคเสด็จไปประทับที่ออสเตรีย และต้องรออยู่หลายเดือนจนกว่า
การหย่าร้างของนางซิมป์สันสมบูรณ์ จึงจะได้พบกันในพิธีสมรสที่จัดขึ้นในเดือน มิ.ย. 1937 ที่ฝรั่งเศส พระอนุชาซึ่ง
ขึ้นครองราชย์ต่อเป็นพระเจ้ายอร์ชที่หกทรงห้ามพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จไปร่วมงาน   

          หลังสมรสท่านดยุคใช้ชีวิตส่วนพระองค์ในฝรั่งเศส ไม่สามารถกลับเกาะอังกฤษได้หากพระเจ้ายอร์ชไม่ทรงเชิญ
พระองค์มีรายรับจากเงินที่พระเจ้ายอร์ช(พระอนุชา)ประทานให้ใช้สอย และเงินจากกการขายสมบัติส่วนพระองค์ คือ
ที่ประทับในอังกฤษให้พระเจ้ายอร์ช นอกจากนั้นยังทรงค้าเงินนอกกฎหมาย และต่อมาทรงได้รับค่าลิขสิทธิ์จากงานเขียน
บันทึกความทรงจำของพระองค์
       
           ในปี 1937 ทรงขัดคำแนะนำของรัฐบาลอังกฤษเสด็จไปพบฮิทเลอร์ที่เยอรมัน
           พระองค์ทรงถูกมองว่าเป็นฝ่าย โปร-นาซี จากการเสด็จไปเยอรมันครั้งนั้น และจากการพูดถึงหรือให้สัมภาษณ์
โดยเข้าข้างเยอรมัน ซึ่งมีส่วนทำให้บางคนเชื่อว่าเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทรงถูกแรงต้านทานจนทำให้ต้องสละบัลลังก์เพื่อ
ที่พระอนุชาซึ่งมิได้มีพระดำรินิยมเยอรมันขึ้นครองราชย์แทน


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 08, 10:49
--- คุณ WIWANDA เล่าการเยือนเยอรมันว่า

        ในการเยือนเยอรมันครั้งนั้น พระองค์มีพระประสงค์แอบแฝงอยู่บ้างนั่นคือ การที่จะเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้นิยมลัทธิฟาสซิสต์
ที่มีอยู่เพียงหยิบมือในอังกฤษ หัวหน้าและมือขวาของพระองค์ในกลุ่มนี้ นั่นก็คือ เซอร์ ออสวัลด์ มอสลีย์ แต่ต่อมาในปี 1937
กลุ่มนี้ก็ได้ขยับขยายมีผู้คนมาสมทบมากขึ้น เพราะเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ปัญหาการว่างงานเพิ่มพูนขึ้น
       พระเจ้าจอร์จที่หกได้พยายามขอร้องและทัดทานในการเสด็จ ถึงกับส่ง ท่านลอร์ด บีเว่อร์บรุ๊ค ไปพบที่ฝรั่งเศส
เพื่อขอร้องให้ระงับการเสด็จเยอรมัน แต่..การเจรจานั้นได้ถูดสกัดกั้นจากหม่อมวอลลิส และมาถึงตอนนั้น ใครต่อใครจึง
ได้ทราบว่า หม่อมช่างมีอานุภาพเหนือท่านดยุคในแทบทุกเรื่อง..

       ส่วนทางเยอรมัน..ฮิตเล่อร์ได้เตรียมการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ โดยให้ ด๊อกเตอร์ ลีย์ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานนาซี
เป็นผู้คอยถวายการรับใช้ให้ความสะดวก ในตอนนั้น ถึงกับมีการวางแผนกันว่า ฮิตเล่อร์จะ "คืน" บัลลังก์ให้กับพระองค์
เมื่อยามที่เข้าครอบครองอังกฤษได้แล้ว และเมื่อทันทีที่ท่านดยุคและหม่อมได้มาถึงยังเบอร์ลินโดยขบวนรถไฟในวันที่ 11 ตุลาคม
ผู้ที่เข้าถวายการต้อนรับก็มี อุปทูต (อันดับสาม) ของสถานทูตอังกฤษ ที่ได้เข้ามากราบทูลหน้าตาเฉยว่า..
       ท่านเอกอัครราชทูต เซอร์ เนวิลล์ เฮนเดอร์สัน มิได้อยู่ในกรุงเบอร์ลินในขณะนี้ (นี่คือการตอกกลับอย่างเจ็บแสบที่สุด)
       ส่วนอีกทางหนึ่งของสถานี นั่นก็คือ ด๊อกเตอร์ลีย์ และขบวนวงดุริยางค์ทหารที่ยกมาทั้งกรม อีกทั้งขบวนผู้แหนแห่อีกหนาแน่น..
ราวกับการต้อนรับพระเจ้าแผ่นดินและพระราชินีอย่างไงอย่างงั้น..

       ท่านดยุคและหม่อมได้เดินทางไปเกือบทั่วในเยอรมัน เข้าเยี่ยมชมกิจการ โรงงาน และ ศูนย์เยาวชนนาซี อีกทั้งฮิตเล่อร์
ได้สั่งให้บุคคลสำคัญต่างๆเช่น เกอริง,เฮสส์, เกิบเบิลส์, ฮิมม์เล่อร์ คอยเข้าประกบเคียงข้างอย่างไม่ให้คลาดสายตา
ที่ นูเรมเบอร์ก ท่านดยุคแห่งโคเบอร์ค (พระญาติสายเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีของพระนางวิคตอเรีย) ได้จัดงานเลี้ยง
รับรองถวาย ซึ่งแขกเชิญในค่ำคืนนั้น ล้วนแล้วแต่มาด้วยชุดเครื่องแบบนาซี พร้อมกับปลอกแขนตราสวัสดิกะ ซึ่งท่านดยุค
และหม่อมกับเห็นเป็นเรื่องปรกติ ไม่ว่าจะหันไปข้างไหน การต้อนรับได้จัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติให้กับหม่อม ซึ่งท่านดยุคถึงกับ
เพิ่มความปลาบปลื้มเป็นทวีคูณให้กับรัฐบาลนาซีของฮิตเล่อร์สหายรัก

         ...แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่าท่านดยุคได้เสด็จไปร่วมในพิธีศพของนายทหารระดับสูงของนาซีคนหนึ่ง เมื่อยามที่ขบวนรถ
นำศพได้ผ่านตรงที่ประทับ พระองค์ได้ยกแขนออกไปทำ นาซีสลุต อันเป็นสิ่งที่สร้างความอับอายขายหน้าสำหรับชาวอังกฤษยิ่งนัก !!


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ย. 08, 11:48
        เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นในปี 1939 ทั้งสองจึงได้กลับเกาะอังกฤษโดยการจัดการของ
ท่านลอร์ดเมานท์แบทเทน ต่อมาเมื่อเยอรมันรุกคืบในสงคราม ทั้งสองจึงได้อพยพไปสเปน และปอร์ตุเกส
        เนื่องจากความสัมพันธ์ของพระองค์กับฝ่ายเยอรมันถึงขนาดมีข่าวว่าท่านทรงเผยแผนการลับของฝ่ายพันธมิตร
ในการป้องกันเบลเยี่ยมแก่เยอรมัน ในที่สุดรัฐบาลอังกฤษจึงจัดการส่งท่านไปดำรงตำแหน่ง governor
ในดินแดนห่างไกล - บาฮามาส   
        แม้ว่าท่านดยุคจะมิได้ทรงยินดีกับตำแหน่งนี้เลย ทั้งยังมองว่าหมู่เกาะนี้เป็น อาณานิคมบริทิชชั้นสาม
แต่ท่านก็ได้รับความชื่นชมอย่างมากจากความพยายามของท่านที่จะช่วยเหลือประชากรบนเกาะต่อสู้กับความยากจน
ทรงดำรงตำแหน่งนี้จนสงครามโลกสิ้นสุดลงในปี 1945

---- ช่วงนี้ คุณ WIWANDA เล่าว่า

             ในขณะที่ทั้งพระราชินี และพระเจ้ายอร์จที่หก ได้ทรงปักหลักสู้ตายกับฮิตเล่อร์อยู่นั้น..
ฝ่ายทางอดีตพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด หรือ ปัจจุบัน คือ ดยุค ออฟ วินเซอร์  กับ หม่อม  ทั้งสองเอาใจช่วยฝ่ายศัตรู
อย่างไม่อ้อมค้อม.. ในเดือนเมษายน 1941 ท่านดยุคได้กล่าวว่า..
         "ถ้าอเมริกาจะมาร่วมรบในสงครามครั้งนี้ ก็นับว่าไม่ฉลาดเลย เพราะยังไงๆ ยุโรปก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี"
ส่วนหม่อมวอลลิส หรือ ดัชเชส ออฟ วินเซอร์ ได้กล่าวเสริมขึ้นว่า
          "ถ้าอเมริกา..เข้ามาร่วมจริงๆ ก็บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ได้เลย..ว่า ประเทศนี้"เสียรู้" และ
ถูกเขา"เอาเปรียบ" ไปได้ทั้งปีทั้งชาติ"
   
         มาถึงตรงนี้ต้องเล่าถึงสัมพันธภาพของสองครอบครัวนี้หน่อยเป็นไร..ว่า..ไม่ลงรอยกันอย่างแรง..
เพราะ..หลังจากที่การสละราชสมบัติของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปดผู้อื้อฉาวอย่างกระทันหันนั้น..
ทางฝ่ายพระราชวัง(ที่นำทีมใหม่โดยพระราชินีอลิซาเบธ) ได้สร้างกระแสกีดกันทุกทางเพื่อไม่ให้ ดยุค ออฟ วินเซอร์
อยู่ในประเทศหรือได้รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง เพราะ พระราชินีไม่ต้องการให้มี"หอกข้างแคร่" อยู่ใกล้พระองค์
เนื่องจากยังทรงเกรงกระแสในอดีตที่ประชาชนทั้งรักและคลั่งใคล้อดีตประเจ้าแผ่นดินนั้นอาจยังมีอยู่อีกมากมาย และ
เพื่อไม่ต้องการให้ข้าแผ่นดินยังฝักใฝ่ พะวักพะวงเป็นสองฝักสองฝ่ายราวกับมีระบบ "วังหน้า"  "วังหลัง"
ให้เกิดการมีข้าสองเจ้า บ่าวสองนายให้เป็นที่วุ่นวายไป จึงมีพระราชดำริให้ดยุค ออฟ วินเซอร์ออกไปให้พ้นๆ
จากอังกฤษจะเป็นการดีที่สุด..


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ย. 08, 11:51
           วินสตัน เชอร์ชิลล์ ได้เสนอความเห็นให้ท่านดยุคออกไปปฏิบัติการต่างพระเนตรพระกรรณในตำแหน่ง
อุปราชแห่งหมู่เกาะบาฮามัส คาริบเบียน แต่..ข้อเสนอนี้ถูกระงับไปด้วยความไม่ต้องพระประสงค์ของสมเด็จพระราชินี
ที่ทรงเล็งเห็นว่าตำแหน่งอุปราช นั้นยัง"หรูเกิน" สำหรับครอบครัวนี้  เพราะนั่นเท่ากับว่า เป็นการยกฐานะของหม่อมวอลลิส
ให้สูงขึ้นไปกว่าเดิม พระองค์ต้องการให้คนทั้งคู่หลุดโผไปจากฐานันดรอย่างไม่มีวันผุดวันเกิด และเท่านั้นไม่พอ..
พระองค์ได้ส่งจดหมายไปยัง ลอร์ด ลอยด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศด้วยข้อความว่า..
         "ในความเห็นที่รัฐบาลจะยกตำแหน่งอุปราชแแห่งบาฮามัส ให้ท่านดยุค ออฟ วินเซอร์นั้น ฉันว่ามันออกจะดีเกินไป
สำหรับที่นังผู้หญิง ที่มีผัวถึงสามคนจะขึ้นมาเป็นชายาแห่งพระอุปราช..เธอมีความคิดเห็นว่าอย่างไร มันไม่กลายเป็น
การยกย่องกันมากไปหน่อยหรือ?"
        ท่านเซอร์ วอลเตอร์ มอนค์ตัน เสนาบดีฝ่ายอาลักษณ์ได้บันทึกเหตุการณ์ตรงนี้ไว้ว่า
         "เราคิดว่าสมเด็จพระราชินีไม่ทรงต้องการให้ท่านดยุคได้มีโอกาสที่จะกลับมาครองใจประชาชนได้อีกต่อไป และ
พระองค์เฝ้าจ้องติดตามการเคลื่อนไหวในแทบทุกขณะจิต เพราะท่านดยุคเป็นคนที่มีเสน่ห์แพรวพราว บุคลิคภาพยอดเยี่ยม
เหนือบุรุษใดๆ อันอาจจะให้เป็นข้อเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนในระหว่างสองพี่น้อง ในขณะที่พระเจ้าแผ่นดินของเรานั้น
"ด้อย"กว่าในทุกทาง"
   
          แต่อย่างไรก็ตาม..ตำแหน่งอุปราชแห่งบาฮามัสได้ตกอยู่ในมือของดยุคจนได้..ด้วยเหตุผลทางการเมือง
ที่สำคัญเหนืออื่นใด.. แต่สมเด็จพระราชินีก็ไม่ได้ทรงลดลาวาศอกเช่นเดียวกัน
            พระองค์ได้ทรงประกาศกฏเกณฑ์ในการทำความเคารพ ท่านดยุค และดัชเชส ออฟ วินเซอร์
(หรือ ที่จะเรียกว่า หม่อมวอลลิสในการเขียนถึงต่อไป.. เพื่อไม่ให้เป็นการสับสน) ว่า สำหรับท่านดยุคยังคงดำรง
ฐานะเฉกเช่นเดียวกับพระเจ้าบรมวงค์เธอ และใช้ราชาศัพท์ รวมทั้งการต้องได้รับความเคารพอย่างถูกต้อง
ทั้งการคำนับ และการถอนสายบัว
           แต่สำหรับ..หม่อม แล้ว..ทุกอย่างไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์  แค่..คำว่า..Your Grace
ก็เพียงพอ หม่อมวอลลิส..ถูกเรียกโดยพระเจ้าอยู่หัวว่า..นางซิมปสัน แต่สำหรับพระราชินีแล้ว..เธอถูกเรียกว่า "นางคนนั้น"

--เพิ่มเติมครับ นอกจากนี้ยังตรัสถึงดัชเชสว่า the "lowest of the low" ด้วย -- 

          ทันทีที่ข้อความนี้แพร่หลายออกไป..ท่านดยุคได้ส่งจดหมายต่อว่ามาทางเชอชิลล์ทันทีว่า..
          "ฉันต่อต้านความเห็นของพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องการปฏิบัติต่อเมียฉัน..เอ..หรืออาจจะเป็นความเห็น
ของสมเด็จพระราชินีกระมัง.. ฉันเชื่อว่า ถ้าใครมาจ้องจงเกลียดจงชังเมียของเธอบ้าง เธอก็คงไม่อยาก
จะเป็นญาติดีกับพวกเขาเหมือนอย่างที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่.."
          และผลสะท้อนนั้นก็คือ เป็นการประกาศให้คนนอกได้รู้ด้วยว่า..หม่อมวอลลิส..เป็นที่รังเกียจต่อพระราชวงค์
ดังนั้น..ไม่ว่าหม่อมจะย่างกรายไปไหน ผู้คนต่างแสดงความรังเกียจตามไปด้วยจนออกนอกหน้าไปบางครั้ง

            หลายสิบปีต่อมา..ยามที่มีนักข่าวไปสัมภาษณ์ท่านดยุคถึงเรื่องการไม่ลงรอยระหว่างพระองค์และสมเด็จพระราชินี..
ว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านดยุคตอบได้อย่างทันควันว่า..
         "ก็จะมีอะไร..นอกจากอิจฉาจนตัวสั่นละซิ หรือจะพูดให้สุภาพนะ หล่อนน่ะอยากจะแต่งงานกับฉันจะตาย" 
ข้อความนี้ได้ประทานให้สัมภาษณ์ก่อนที่ท่านดยุคจะสิ้นพระชนม์ไปไม่นาน

            และทุกครั้งที่มีข่าวบันทึกเป็นภาพยนตร์ออกมาฉาย..ฟ้องให้เห็นว่า..หม่อมวอลลิสเดินทางอย่างหรูหรา
ไปยังที่โน่นที่นี่ด้วยเรือสำราญ ในมือถือกระเป๋าแอร์เมส ในขณะที่ภาวะของประเทศกำลังคับขันไปด้วยสงคราม
ประชาชนต้องใช้บัตรปันส่วนอาหาร แต่...หม่อมยังเจิดจ้าไปด้วยประกายของเข็ดกลัดมรกตที่เม็ดโตเท่าใข่ไก่
รวมทั้งเสื้อคลุมขนสัตว์ผืนโตขนาดเอามาทำพรมปูห้องได้ ทั้งที่ประชาชนชาวอังกฤษแร้นแค้นแทบจะไม่มีเสื้อผ้าใส่
            เท่านั้นไม่พอ..ข่าวว่า..หม่อมต้องใช้เครื่องบินเฟิร์ส คลาส บินไปมาระหว่าง บาฮามัส กับ นิวยอร์ค
เพื่อไปทำผม เล่นเอาพระราชินีแทบจะประชวรพระวาโย..!!   


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ย. 08, 14:22
เล่าต่อจากคุณ WIWANDA ครับ
 
         หลายฝ่ายต่างเชื่อว่า ท่านดยุคและโดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชเชสนั้นนิยมในระบบฟาสซิสม บ้างเชื่อว่า
หากฮิทเลอร์มีชัยพระองค์ก็จะได้กลับมาครองอังกฤษในระบบฟาสซิสม
         ท่านดยุคเคยส่งโทรเลขถึงฮิทเลอร์อย่างน้อยหนึ่งฉบับ มีข้อความว่า

           "my entirely personal, simple though very earnest appeal for your utmost
influence towards a peaceful solution of the present problems".

         นอกจากนี้ยังมีผู้กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางชู้สาวของดัชเชสกับทูตเยอรมันประจำอังกฤษ เท่านั้นไม่พอ
ยังมีอีกหนึ่งข้อหาว่าดัชเชสนำข้อมูลที่เป็นความลับของทางการไปมอบให้ด้วย
         หลังสงครามโลก ท่านดยุคยอมรับว่า ท่านนิยมเยอรมัน แต่ปฏิเสธว่า ท่านไม่ได้โปร-นาซี
         จากบาฮามาส ทั้งสองเดินทางกลับไปฝรั่งเศสและใช้ชีวิตแบบการพักผ่อนในวัยเกษียณ ท่านไม่รับตำแหน่ง
ทางการใดๆ อีกเลย ทรงมีเงินรายได้มาจากรัฐบาลและการค้าเงินนอกกฎหมาย และรายได้จากหนังสือบันทึกความทรงจำ
ของท่านชื่อ A King's Story ในปี 1951 ในขณะที่ดัชเชสก็มีหนังสือเรื่อง The Heart Has Its Reasons
ในปี 1956
         ทั้งสองยังมีบทบาทเป็นดั่งเซเล็บออกงานสังคมในช่วงทศวรรษ 1950-1960 ออกรายการทีวี และได้รับเชิญ
เป็นแขกเกียรติยศของทำเนียบขาวเป็นการตอบแทนเมื่อคราวที่ให้การต้อนรับประธานาธิบดีนิกสันเยือนกรุงปารีส
ในช่วงกลางทศวรรษ 1960
         แต่ภายในราชวงศ์แล้ว ยังคงไม่ให้การยอมรับดัชเชช ควีนแมรี่ทรงปฏิเสธที่จะให้เธอเข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการด้วย
ไม่พอพระทัยการสละบัลลังก์ของพระโอรสเพื่อที่จะได้แต่งงานดังที่ทรงกล่าวไว้ว่า
            "To give up all this for that".


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ย. 08, 14:34
        ในปี 1952 พระบิดาสวรรคต ท่านดยุคเสด็จกลับเกาะอังกฤษเพื่อร่วมงานพระราชพิธีเพียงลำพัง
ท่านยังได้เสด็จมาเพื่อร่วมงานพระศพอีก ในปี 1952 เมื่อพระเจ้ายอร์ชที่หกสวรรคต(พระอนุชาซึ่งครองราชย์ต่อจากพระองค์)
และงานพระศพพระมารดา ในปี 1953       
   
        ทศวรรษ 1950 นี้เป็นช่วงแห่งวิกฤตชีวิตสมรสของคู่วินเซอร์ด้วย เมื่อมีหนุ่มน้อย Jimmy Donahue
เข้ามาเป็นบุคคลที่สาม
          เขาผู้นี้มีคุณสมบัติครบถ้วนแห่งการเป็นบุคคลที่น่าคบหาของท่านดยุคและดัชเชส นั่นคือ รูปงาม
โดดเด่นในวงสังคม และร่ำรวย ข้อหลังนี้สำคัญมากเพราะหมายถึงการเป็นสปอนเซอร์สำหรับค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิต
อย่างหรูหราของท่านดยุค
          ทั้งสามคบหากันกลายเป็น "สามคนชำรุด" - dysfuctional trio มีแม่ของจิมมี่คอยชำระบิลล์ และออกเงิน
จัดปาร์ตี้ให้ ท่านดยุคยอมเปิดโอกาสให้หนุ่มน้อยได้คบหากับดัชเชสอย่างสนิทสนมจนมีทีท่าว่าจะเกินเลยความสัมพันธ์
ในระดับเพื่อนต่างเพศ ต่างวัย จนทั้งสองวินเซอร์เกือบจะหย่าจากกัน
          แต่ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้การหย่าไม่เกิดขึ้น และความสัมพันธ์ของทั้งสามไปไม่รอดก็คือ
จิมมี่นั้นเป็นรักร่วมเพศ ผู้ชอบเล่นตลกร้ายกับผู้คนอย่างห่ามและทะลึ่งโดยไม่ความเกรงใจหรือเกรงใคร
       
         ในที่สุดเรื่องความสัมพันธ์สามคนที่ยาวนานอยู่หลายปีก็จบลงเมื่อหนุ่มน้อยจิมมี่แสดงกิริยาไม่เหมาะสม
ด้วยการแสดงทีท่าดูถูกคู่วินเซอร์ต่อหน้าผู้คน
           คืนหนึ่งเมื่อจิมมี่ดื่มจนเมามาย เขาได้เตะดัชเชสที่หน้าแข้งจนถึงกับเป็นแผลเลือดออก ท่านดยุคพิโรธจัด
จึงไล่จิมมี่ออกไปจากห้องและจากชีวิตของทั้งสองทันที     
               
ปกหนังสือ Dancing with the Devil: the Windsors and Jimmy Donahue 


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ย. 08, 10:44
        ช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 สุขภาพของท่านดยุคทรุดเสื่อมลง ในปี 1965 ท่านดยุคได้เข้า
รับการผ่าตัดพระเนตรในโรงพยาบาล King Edward VII กรุงลอนดอน ทำให้ไม่สามารถร่วมในรัฐพิธีศพ
ของสหายรัก - เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลได้
          เดือนพ.ค. 1972 ควีนอลิซเบธ(องค์ปัจจุบัน) ประพาสฝรั่งเศสและได้เสด็จมาเยี่ยมท่านดยุค
ณ ที่ประทับในกรุงปารีส พร้อมด้วยพระสวามีและเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และได้ทรงสนทนากับ "ลุงเดวิด"
ผู้มีสุขภาพทรุดโทรมโดยลำพังเป็นเวลา 15 นาที
        วันที่ 28 พ.ค. 1972 ท่านดยุคสิ้นชีพเนื่องจากป่วยด้วยโรคมะเร็งหลอดคอ อันเป็นผลจากการสูบบุหรี่
เป็นเวลานาน ณ ที่ประทับในกรุงปารีส พระศพได้ถูกอัญเชิญกลับอังกฤษและเก็บไว้ที่ St George's Chapel แล้ว
นำมาฝังไว้ข้างพระอนุชาดยุคแห่งเคนท์ ด้านหลังต่อที่ฝังพระศพควีนวิคทอเรีย และเจ้าชายอัลเบิร์ท ณ สุสานหลวง
Royal Burial Ground ที่ Frogmore พิธีศพจัดขึ้นโดยมีควีนและพระราชวงศ์เสด็จมาร่วม ตัวดัชเชสนั้น
ได้พักที่พระราชวังบัคกิงแฮมในช่วงพิธีนี้
   
        ดัชเชสใช้ชีวิตช่วงต่อมาอยู่ตัวคนเดียว ด้วยทรัพย์สมบัติของท่านดยุคและเงินพระราชทานจากพระราชินี
ด้วยวัยที่ร่วงโรยและสุขภาพที่เสื่อมลง  14 ปีต่อมาดัชเชชซึ่งใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอยู่แต่บนเตียงก็ถึงแก่กรรมลง
ร่างของนางได้ถูกฝังไว้เคียงข้างท่านดยุค โดยจารึกนามว่า Wallis, Duchess of Windsor
        ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของเธอดดยเฉพาะเครื่องประดับเพชรพลอยได้ถูกนำออกประมูลแล้วมอบรายได้
ให้แก่สถาบันปาสเตอร์ ของเก่าพวกเครื่องใช้ ของตกแต่งบ้านมอบให้รัฐบาลฝรั่งเศส - ประเทศที่ให้ที่พักพิงจวบจน
วาระสุดท้าย


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ย. 08, 10:46
--- อาจารย์เทาชมพูเล่าเรื่องเมื่อควีนอลิซาเบธและเจ้าฟ้าชายชารลส์เสด็จฝรั่งเศส

        มาถึงปี 1972 คือปีที่แสนบังเอิญ..ที่สมเด็จได้ทรงประพาสประเทศฝรั่งเศสห้าวันตามคำเชิญของรัฐบาล
และในโอกาสเดียวกันนั้น คืออาการร่อแร่ของท่านดยุค ออฟ วินด์เซอร์ วัย เจ็ดสิบเจ็ด
       ที่ทรงตัดสินพระทัยที่จะเสด็จเข้าเยี่ยมเยียน พระปิตุลา เนื่องจากว่า แพทย์ประจำตัวของท่านดยุค
ได้ส่งรายงานไปกราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่า
        "คราวนี้ เห็นทีจะไม่รอดพะยะค่ะ" ซึ่งวันต่อมา..ท่านทูตอังกฤษ นาย นิโคลาส โซเมส รีบติดต่อแพทย์
เจ้าของรายงานด่วนว่า..
       "ฟังนะ คุณหมอ คุณจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของคุณ แต่..ท่านดยุคจะต้องตายก่อน หรือ ตายหลังจาก
ที่ได้เสด็จเยือนฝรั่งเศสแล้ว.. ไม่ใช่ในช่วงระหว่าง..เข้าใจไหม?"

        การเสด็จฝรั่งเศสครั้งนี้ เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้โดยเสด็จไปด้วย และได้เข้าทำความเคารพต่อพระอัยกา
ถึงที่บ้านพักตำบล Bois de Boulogne ชานกรุงปารีส ที่นั่น พระองค์ได้ทรงพบกับพระญาติที่มิเคยได้ทรงรู้จัก
มาก่อน เขาคือชายชราที่มีสภาพทรุดโทรมไปด้วยอาการของมะเร็งในปอดระยะสุดท้าย

-คุณวิวันดาได้เล่าถึงเจ้าฟ้าชายชารลส์เมื่อยังทรงพระเยาว์เป็นนักเรียนกับวิชาประวัติศาสตร์ว่า

       เรื่องประวัติศาสตร์นี้ เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงสร้างความตื่นตะลึงให้กับโรงเรียนอย่างเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ
กล่าวคือ ไม่เคยทรงรู้มาก่อนว่า..
       ครั้งหนึ่งของบัลลังค์วินเซอร์ได้มี ปริ้นซ์ ออฟ เวลส์ ที่ต่อมาคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด และได้สละราชสมบัติ
จนมาเป็น ดยุค ออฟ วินด์เซอร์ ... -


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ย. 08, 10:48
           ชายชราคนนั้นพยายามยันกายลุกขึ้นเพื่อมายืนถวายความเคารพ..ก่อนที่จะสิ้นใจไปในเวลาไม่กี่วันต่อมา..
ภาพที่ทรงเห็น..ทำให้เจ้าฟ้าชายถึงกับสงสารพระอัยกาผู้อาภัพคนนี้นักหนา..
      หม่อมวอลลิส สะใภ้จงชังของวินด์เซอร์ขนานแท้และดั้งเดิมนั้น ได้รู้สึกตัวทันทีว่า สมเด็จพระราชินีนั้น ทรงชาเย็น
อย่างเหลือเชื่อ และ พอเข้าใจในการเสด็จเยี่ยมในครั้งนี้ว่าเป็นการเมืองมากกว่าการมีแก่ใจที่จะอยากเสด็จมาเอง..
      เจ้าฟ้าชายชารลส์ ก็รู้สึกสงสารหม่อมสุดหัวใจเช่นกัน ที่ต้องโดนการกีดกันสารพัดมาตลอดชีวิต ถึงกับเสนอว่า
จะทรงไปรับที่สนามบินยามที่หม่อมไปร่วมในพิธีพระศพของท่านดยุค
        แต่..ข้อเสนอนี้"ไม่ผ่าน"ความเห็นชอบจากรัฐสภา ที่ลงมติว่า เป็นการไม่สมควรที่เจ้าฟ้าชายมกุฏราชกุมาร
จะต้องเสด็จไปรับหญิงม่ายสามัญชน.. และมตินี้..เจ้าฟ้าชายทรงทรงทราบซึ้งในพระทัยเป็นอย่างดีว่า...มาจากใคร
ถ้าไม่ใช่จากควีนมัม พระอัยยิกาเจ้า..
       ผู้ที่ต้องเสนอตัวไปรับแทน..นั่นคือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน
และในพิธีพระศพครั้งนี้ หม่อมวอลลิส ได้รับการอนุญาตให้พำนักในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมได้ แต่..
แค่เฉพาะระหว่างวันงานพิธีเท่านั้น.. ทันทีที่หม่อมวอลลิสได้มาถึง..เข้าพำนักตามที่ได้จัดให้ คณะเดอะ เฟิร์ม ทั้งหมด
ได้ต่างพากันผันผายไปอยู่กันในพระราชวังวินเซอร์จนหมด ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวอย่างอ้างว้างในบั๊คกิ้งแฮมนั่นเอง


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 08, 10:20
เกร็ดเรื่องราวของดัชเชส

           เธอเข้มงวดเรื่องความสะอาดถึงขนาดว่าธนบัตรจะต้องใหม่เอี่ยมจากธนาคาร ไม่เช่นนั้นก็ต้องได้รับ
การทำความสะอาดและรีดก่อน

           เธอยังช่างจด ช่างบันทึกลงโน้ตบุ๊คเล่มเล็กๆ เกี่ยวกับไอเดียของงานเลี้ยงมื้อค่ำ รวมทั้งความเห็นต่อบริการ
ที่ได้รับ เช่น ร้อนไป เย็นไป ซิการ์ถูกนำมาให้ผิดเวลา

           อ่อนเรื่องการบ้าน(การวัง) การเมือง ตอนที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงประกาศสละบัลลังก์ มีคนเล่าว่าเธอได้ทูลถาม
พระองค์ว่า   
                 "But, David, can't you remain Emperor of India even if you are no longer
King of England?"

           เมื่อเธอได้ข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระนางแมรี่ (แม่สามีที่แสนจะชังเธอ) เธอร้องไห้น้ำตานองในทันที
เธอได้วางพระรูปของพระนางแมรี่ไว้บนโต๊ะในห้องนอนเสมอมาตราบจนสิ้นชีวิต

           มีข่าวลือใต้ดินว่า ความจริงแล้วเธอเป็นผู้ชาย บ้างว่าเธอเป็นโรค Testicular Feminization
คือโรคที่ทารกชายในครรภ์ ไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชายที่มากระตุ้นให้ร่างกายมีลักษณะเป็นชาย
เมื่อคลอดออกมาจึงมีลักษณะภายนอกเป็นหญิง ภายในไม่มีมดลูก ไม่มีรังไข่  แต่ยังคงมีลูกอัณฑะซึ่งอาจอยู่ใน
ช่องท้องหรือในแถบบริเวณนั้น

           ท่านดยุคโปรดประทานเครื่องเพชรน้ำหนึ่งให้เธอเสมอ ในพินัยกรรมของพระองค์ระบุว่า เมื่อเธอเสียชีวิตแล้ว
ให้แกะเอาเพชรออก เพราะไม่โปรดที่จะให้ชุดเครื่องเพชรเหล่านี้ถูกนำไปสวมโดยหญิงอื่นที่ไม่ทัดเทียมเธอ
         แต่นี้คือพระประสงค์เดียวที่เธอขัด เพราะในพินัยกรรมของเธอ ๆได้มอบเครื่องเพชรให้นำไปประมูลเพื่อการกุศล
ดังกล่าวแล้ว
 
           ตอนเป็นเด็กทั้งที่ฐานะครอบครัวไม่ดี แต่เธอก็ยังได้รับการสปอยล์อยู่บ้าง มีคำกล่าวอ้างว่าคำแรกที่เธอพูดได้
แทนที่จะเป็น Ma Ma กลับเป็น Me Me

           ทั้งสองไม่มีทายาทด้วยกัน จึงเลี้ยงสุนัข pug หลายตัวเหมือนลูก ๆ ได้กินอาหารดีๆ จากภาชนะทำด้วยเงิน 


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 08, 10:24
            ปีวิกฤตสละบัลลังก์เธอได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น the most romantic figure of all times
ในเวลาต่อมาเธอสารภาพกับเพื่อนของเธอว่า
              "You have no idea how hard it is to live out a great romance."

ภาพดัชเชสวาดโดย Drian (Adrian Desire Etienne, 1885-1961) ผู้มีผลงานในยุคแรกส่วนใหญ่เป็น
ภาพแฟชั่นหญิงที่นักวิจารณ์ไม่ปลื้ม ต่อเมื่อเขาเติบใหญ่ ฝีมือได้พัฒนาแก่กล้าขึ้นมาเป็นนักวาดภาพเหมือนบุคคล
ที่มีชีวิตชีวา

หนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงคือ ภาพดัชเชสที่วาดในปี 1940


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ย. 08, 11:22
       เกร็ดบางเรื่องราวท่านดยุค

         ทรงเป็นคิงและเอ็มเพอเรอร์แห่งบริเทนพระองค์เดียวที่สมัครพระทัยเลือกสละบัลลังก์

         เป็นหนึ่งในสามกษัตริย์แห่งบริเทนที่ไม่ได้เข้าพิธีราชาภิเษก และครองราชย์สั้นที่สุดเป็นลำดับที่สาม
(อีกสองได้แก่ - Lady Jane Grey และ Edward V)

        เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอังกฤษที่ทรงเป็นนักบินที่ได้รับการฝึกอบรมรับรอง (qualified pilot)

        ความสัมพันธ์อันดีที่เข้าใจว่ามีให้เสมอมาระหว่างพระองค์กับท่านเชอร์ชิลนั้น แท้ที่จริงแล้ว ไม่ดีจริง
         จากจดหมายของท่านเชอร์ชิลที่เคยถูกเก็บไว้เป็นความลับและได้ถูกนำมาเปิดเผยในเวลาต่อมา
ปรากฏข้อความบาดหมางระหว่างทั้งสอง
         ท่านดยุคได้มีจดหมายโต้ตอบและชี้แนะท่านนายกเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ในจดหมายฉบับหนึ่งท่านนายก
ได้ตอบกลับว่า ท่านไม่อาจรับคำแนะนำจากบุคคลที่  "had given up the greatest throne
in world history." ได้
        ความร้าวฉานรุนแรงขึ้นเมื่อท่านนายกจัดการให้ท่านดยุครับตำแหน่ง  Governor ของ Bahamas แล้ว
ท่านต้องทนกับข้อเรียกร้องไม่มีสิ้นสุดของท่านดยุคในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ การจัดคณะผู้ทำงานจนถึงการนัดพบทันตแพทย์
        ผู้ที่ได้อ่านจดหมายเหล่านี้แล้วอาจจะเปลี่ยนใจจากเดิมที่คิดว่าท่านนายกได้ให้อภัยท่านดยุคในเรื่องสละบัลลังก์

         ทรงเป็นเจ้านายที่มี "ลุค" ดารา โปรดการแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นพิเศษ ทรงสร้างความตะลึงให้กับ
แวดวงผู้ใกล้ชิดด้วยแนวเสื้อผ้าสีสดใส เส้นสายลายตาราง ครั้งหนึ่งมีบันทึกไว้ว่า
               ในสวนของพระองค์ ณ กรุงปารีส ท่านดยุคทรงชุดกางเกงสีแดงเลือดหมู เชิร์ทสีฟ้าอ่อน รองเท้าสีแดงขาว
วันต่อมาทรงกางเกงสีฟ้าสด เชิร์ทสีเหลืองเรืองรอง รองเท้าสีน้ำเงิน
          นอกจากนี้ยังทรงนำความนิยมมาสู่แฟชั่นรองเท้าหนังกลับ ทรงคิดแบบเสื้อ backless tuxedo vest
และการผูกไทที่ต่อมาเรียกกันว่า Windsor knot


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ย. 08, 11:26
       พระดำรัสของท่านดยุค

        เปลี่ยนพระนามทั้งสิ้น 7 ครั้ง -

        I have changed my name seven times in my life: I was born Prince Edward
of York, I then became Prince Edward of Cornwall and York,
I then became Prince Edward of Wales, I then became The Duke of Cornwall,
I then became Prince of Wales, I then became King Edward VIII, and
now I'm The Duke of Windsor.

       "The thing that impresses me most about America is the way parents
obey their children."

และ     ข้อความในพระดำรัสที่โดนตัดออก In the banned speech he wrote:

        "It has taken me a long time to find the woman I want to make my wife.
Without her I have been a very lonely man."


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ย. 08, 11:06
            หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทุกคนได้รับรู้เรื่องราวของพระองค์คือ
                  ทำไมพระองค์จึงตัดสินพระทัยสละบัลลังก์เพื่อหญิงคนนี้

และ       แน่นอนที่หนึ่งในคำตอบนั้น คือความรัก ที่ไม่ใช่แค่ความรักอย่างธรรมดาสามัญเท่านั้น หากเป็น
            ความรักล้นใจ มีอำนาจเหนือความคิด กอปรไปด้วยความผูกพันอย่างตรึงแน่น อย่างยอมจำนน
อย่างไม่อาจขาดกันได้ถึงขนาดเข้าข่ายเสพติด
            ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคือความสยบยอมของชายต่อหญิงผู้มีอำนาจเหนือกว่า เหมือนดั่งว่าต้องมนต์สะกด
ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นภาพลักษณ์ของชายที่ไม่สมชาย แต่เมื่อมองด้วยแง่มุมทางจิตวิทยาในยุคหลังก็จะได้ภาพของ
ชายที่เติบโตมาอย่างขาดความรักในวัยเด็ก


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ย. 08, 11:10
          ส่งท้ายด้วยข้อความวิเคราะห์ มองเรื่องราวด้วยแง่มุมทางจิตวิทยาถึงที่มาแห่งการกระทำของพระองค์
(ซึ่งอาจมีส่วนถูกบ้าง หรือผิดอย่างจังได้)   
 
          ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพระบิดา ส่วนพระมารดาก็ทรงมีความห่างกันบ้าง
เนื่องจากทรงได้รับการอภิบาลจากพระพี่เลี้ยงที่หนึ่งในนั้นยัง abuse พระองค์ด้วย
            เมื่อมองพฤติกรรมของพระองค์ด้วยแนวทางจิตวิทยาพลวัต (dynamic psychology)
          พบว่าลักษณะทางจิตวิทยาของพัฒนาการของพระองค์ที่ชัดเจนก็คือปมปัญหาอีดีปุสที่ไม่คลี่คลาย
(ปมอีดีปุส - รักแม่ แต่ไม่ชอบพ่อ) ปมนี้เองที่ควบคุมความสัมพันธ์ของพระองค์กับผู้หญิง และกำหนดชนิดของผู้หญิง
ที่พระองค์เลือกมาเป็นคู่ครอง

            เมื่อยังเยาว์พระองค์ไม่แสดงความสนพระทัยในงานบ้านการเมือง ทรงเห็นพระยศเจ้าชายแห่งเวลซ์เป็นสิ่งน่าขัน
การแสดงออกเหล่านี้ อาจ มีความหมายถึงการขบถของพระองค์ต่อความเข้มงวดของพระบิดา
            พระองค์เสด็จเยือนต่างประเทศหลายครั้ง และผลข้างเคียงอย่างหนึ่งจากการเสด็จนี้คือความนิยมอเมริกา
ที่นั่นพระองค์ทรงได้รับการยอมรับอย่างที่พระองค์ทรงเป็น พระองค์สามารถตรัสในสิ่งที่ตรงกับพระทัย ทรงเกษมสำราญ
ในขณะที่กลับทรงรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในประเทศของพระองค์เอง ซึ่งมีผลทำให้พระองค์รู้สึกห่างจากพระบิดาออกไปยิ่งขึ้น


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 29 ก.ย. 08, 11:22
เป็นไปได้ไหมคะที่ทรงเห็นว่า การเป็นกษัตริย์ที่ไม่สามารถกำหนดชะตากรรมของพระองค์ได้นั้นเป็นเรื่องน่าสมเพชสิ้นดี
ทรงฉลาด และเข้มแข็ง
ทรงขบถ และเป็นตัวของตัวเอง
มิสซิสซิมป์สัน เป็นทั้งม่าย และไม่ได้สวยสะ
เป็นเพียงอุปกรณ์ที่ใช้แสดงการขัดขืนของพระองค์ต่อระบบกษัตริย์ที่มีแต่กรอบ
ทรงคิดล่วงหน้าไปเลยว่า อิสรภาพจากการดำรงชีวิต มีค่ากว่าการมีมงกุฎสวมหัว
..
ดิฉันรู้สึกว่า ทรงสร้างประวัติศาสตร์
ที่ทรงยอมๆมิสซิสซิมป์สัน ก็เป็นเรื่องของการพึ่งพาอาศัยกัน
นายแบบเจอนางแบบโดยสไตล์
เท่านั้นเอง
เหมือนชาร์ลส์ ที่ตั้งอกตั้งใจแต่งตั้งคามิลลา ทั้งๆที่ ไดอานา นั้นใครๆว่าดีกว่า
ก็ข้าพเจ้าจะเอาอย่างนี้นี่
ใครหือ มีเรื่อง


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ย. 08, 11:29
         การที่พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์กับหญิงหลายนาง คือ การพยายามแสวงหาความรักมาชดเชยความรัก
ที่ทรงขาดในวัยเยาว์ หรือไม่

          หญิงแต่ละนางที่ทรงโปรดต่างเป็นหญิงที่แต่งงานมีคู่ครองแล้ว คือ ตัวแทนมารดา (mother figure)
สำหรับพระองค์ หรือไม่
          
          การถูก abuse ในวัยเด็กมีผลต่อความสัมพันธ์ของพระองค์กับนางซิมป์สัน กล่าวคือ ทำให้ทรงพอใจ
ในบทผู้ยอมต่อท่าทีของนางที่รับบทผู้มีอำนาจข่มพระองค์ (sado-masochist relationship) หรือไม่

           มีข่าวลือว่าสมัยที่คบกับหนุ่มน้อยจิมมี่เป็น dysfunctional trio นั้น ในงานปาร์ตี้ครั้งหนึ่ง
ท่านดยุคได้แสดงบทเด็กน้อยนุ่งผ้าอ้อม โดยมีดัชเชสรับบทเป็นคุณแม่
           การที่ทรงผูกพันติดบ่วงเสน่หานางซิมป์สันผู้มีลักษณะมาดมั่นเหนือกว่า มีบุรุษลักษณะอยู่ในตัวนาง
เช่นนี้ ทำให้บางคนตั้งข้อสงสัยว่าพระองค์ทรงเป็นรักร่วมเพศที่เก็บกด เช่นนั้นหรือ
  
และ     การสละบัลลังก์ก็คือการกระทำอันเป็นที่สุดของการแสดงออกของความพยายามที่จะปกป้องการครองไว้ซึ่ง
          หญิงผู้เปรียบเหมือนตัวแทนของแม่ (mother figure) ผู้ที่พระองค์สามารถสร้างความพึงพอใจให้ได้ (รักแม่)
และ     ในขณะเดียวกันการสละบัลลังก์ก็คือสัญญลักษณ์แห่งชัยชนะเหนือพระบิดา (ไม่ชอบพ่อ)

(ประมาณอย่างที่คุณกุ้งแห้งว่า)


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ย. 08, 11:37
        ราชาโรแมนติคแห่งศตวรรษ ผู้ใช้หัวใจแทนสมองในการตรองตัดสินปัญหาความรัก
หรือ   ราชาผู้สร้างบันทึกอันน่าอับอายบนหน้าประวัติศาสตร์ของชาติอังกฤษ 

          ไม่ว่าใครๆ จะมองพระองค์เป็นเช่นไร แม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนศตวรรษใหม่แล้ว แต่เรื่องและภาพ
ของพระองค์คงจะยังปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ และบันทึกความทรงจำของหลายคนต่อไปอีกนาน


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ย. 08, 11:47
ปิดท้ายด้วยภาพนี้ ครับ

         ท่านดยุคเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลซ์เสด็จออกซาฟารี โดยมี Bror Blixen และ
Denys Finch Hatton (อดีตสามี และคนรักของ Karen Blixen ผู้เล่า Out of Africa) ถวายการต้อนรับนำเสด็จ



กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ย. 08, 12:28
       รักที่ริมขอบฟ้า - Out of Africa - พรากจากแสงตะวัน


กระทู้: รักประทับใจ หาได้จากในเน็ท
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 ธ.ค. 08, 10:46
           อ่านกระทู้เรื่อง Out of Africa ที่นี่ ครับ

           http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2696.0   และ     

           เมื่อวานนี้ได้พบข่าวคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งในกระทู้นี้ ครับ -

          เรื่องรักประทับใจของชายหญิงที่พบรักครั้งยังเยาว์วัยในค่ายกักกันนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ได้กลับกลายเป็นเรื่องรักที่หักหลังคนทั้งโลกในที่สุด 

            It's the latest story that touched, and betrayed, the world.

          สำนักพิมพ์ Berkley Books ได้ประกาศงดการพิมพ์ออกจำหน่ายหนังสือบันทึกความทรงจำของ  Rosenblat -
Angel at the Fence ที่แต่เดิมกำหนดออกวางขายในเดือนกุมภาพันธ์ศกหน้า
            เนื่องจาก เรื่องราวมิตรภาพข้ามรั้วลวดหนาม ณ ค่ายกักกันนั้น ไม่เป็นความจริง

            Rosenblat อ้างว่า เขากุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะนำความสุข และความหวังมายังผู้คนทั้งหลาย 

http://news.ninemsn.com.au/entertainment/704575/anger-sadness-over-fake-holocaust-story

Anger, sadness over fake Holocaust story