กษัตริย์ที่ขึ้นครองบัลลังก์อยุธยาต่อจากพระเพทราชา คือพระเจ้าเสือ(ในละครรับบทโดยเจมส์ เรืองศักดิ์) เดิมเป็นขุนนางบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรศักดิ์ บุตรชายของพระเพทราชา เมื่อบิดาขึ้นครองราชย์ ก็ได้รับการสถาปนาเป็นวังหน้า
พระเจ้าเสือมีพระนามเป็นทางการว่าสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือคำให้การชาวกรุงเก่าเรียกว่า สมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี ประวัติศาสตร์เล่าว่าโปรดปลอมพระองค์เป็นชาวบ้าน ไปชกมวยกับชาวบ้านเพราะโปรดปรานกีฬาชนิดนี้มาก
พระนามที่เรียกขานกันว่า "สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘" นั้น เป็นพระนามที่เพิ่มเรียกขานกันในสมัยหลังโดยไม่พบในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นใดเลยครับ เช่นเดียวกับกษัตริย์อยุทธยาอีกหลายพระองค์ที่ถูกเรียกว่าสมเด็จสรรเพชญ์ ที่มีหลักฐานจริงๆ ว่าถูกเรียกด้วยพระนามดังกล่าวใน ๙ พระองค์นั้นมีเพียง ๓ พระองค์คือสมเด็จพระมหาธรรมราชา สมเด็จพระเอกาทศรถ และสมเด็จพระเจ้าท้ายสระครับ
ที่มาของการเรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุทธยาในยุคปัจจุบันว่า “พระสรรเพชญ์” มีที่มาจากหนังสือเรื่อง “พระราชกรัณยานุสร” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ โดยพระราชประสงค์จะให้มีตำราราชประเพณีไว้สำหรับพระนคร
ซึ่งในหนังสือเล่มนี้เองพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าได้ทรงมีพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์ว่าพระนามกรุงศรีอยุทธยาแต่ละพระองค์น่าจะควรมีพระนามอย่างไรบ้างด้วย แต่ก็ไม่ได้ทรงระบุว่าพระนามตามพระราชวินิจฉัยเป็นพระนามที่ถูกต้อง เป็นเพียงการคาดคะเนส่วนพระองค์และไม่สามารถยืนยันได้
“ความซึ่งเพ้อเจ้อแล้วมานี้ เปนข้อสาธกยกมาให้เห็นว่าแต่ในเร็วๆนี้ ยังเลอะเทอะเปรอะเปื้อนกันมาก พระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนครั้งกรุงทวาราวดี ฤๅจะไม่เลอะเทอะยิ่งกว่านี้ ผู้ใดจะทรงจำไว้ได้ยืดยาวต่อมาหลายชั่วอายุ ด้วยนิไสยชาวเราเปนดังนั้นอยู่เองแล้ว ก็แต่ถ้าจะคิดสืบเสาะค้นคว้าเอาพระนามที่แท้ที่จริง อันได้จารึกในพระสุพรรณบัตรนั้นก็เห็นจะพอได้รูปอยู่บ้าง แต่ถ้าจะให้ยืนยันแล้ว ก็ยืนยันไม่ได้ จะยกแต่เหตุอ้างอิงขึ้นตามแต่ผู้อ่านจะคิดเห็นเอาเอง ว่าจะถูกฤๅผิด ขออย่าให้ว่าอวดรู้เกินผู้ใหญ่ เปนการคาดคเนทั้งสิ้น”
โดยเหตุที่ทรงวินิจฉัยว่าพระเจ้าเสือทรงใช้พระนามว่าสรรเพชญ์นั้น เพราะพระเจ้าท้ายสระที่เป็นพระโอรสทรงมีพระนามในจารึกวัดป่าโมกข์ว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ จึงทรงมีพระวินิจฉัยว่าพระเจ้าเสือที่ทรงเป็นพระราชบิดาก็น่าจะใช้พระนามแบบเดียวกัน
"ที่ ๒๙ สมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี พระนามนี้ในพงษาวดารมอญว่ามีนิมิตร เมื่อราชาภิเศก แสงส่องว่างไปทั้งปราสาท จึงถวายพระนามว่าพระสุริเยนทราธิบดี แต่ที่จริงนั้น เห็นท่านจะยกย่องปู่ท่านมาก น่ากลัวจะออกจากสุรศักดิ์นั้นเอง เพราะถ้าจะคอยนิมิตรเวลาราชาภิเศกแล้วจึงจารึกพระสุพรรณบัตรเห็นจะไม่ทัน ไม่มาแต่อื่น เปนคำเรียกให้เพราะขึ้นสมควรกับที่เปนพระเจ้าแผ่นดิน เพราะในพระราชพงษาวดารนั้น ไม่ปรากฏว่าพระนามที่จารึกในพระสุพรรณบัตรนั้นอย่างไร คนทั้งปวงก็เรียกเสียว่าพระพุทธเจ้าเสือ เพราะพระองค์ท่านดุร้ายหยาบช้านัก ราษฎรก็เรียกเอาตามที่กลัวฤๅที่ชังตามชอบใจ แต่พระนามที่จารึกในพระสุพรรณบัตรนั้น เห็นจะใช้นามอย่างเช่นพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง จะว่าด้วยเรื่องพระนามนี้ต่อไปข้างหลัง
ที่ ๓๐ สมเด็จพระภูมินทรมหาราชา พระนามนี้มาจากพงษาวดารมอญอิก ว่าเรียกพระภูมินทราชาก็เรียก พระบรรยงก์รัตนาศน์ก็เรียก แต่พระภูมินทราชานั้นเห็นจะถวายเอาเอง ในพระราชพงษาวดารเรียกว่าพระพุทธเจ้าอยู่หัวท้ายสระ อธิบายว่าท่านเสด็จอยู่ที่พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาศน์ข้างท้ายสระ ก็ตรงกันกับความที่เรียกว่าพระบรรยงก์รัตนาศน์ ไนยหนึ่งเรียกว่าขุนหลวงทรงปลา จะเปนด้วยท่านทรงโปรดตกเบ็ด แลโปรดปลาตะเพียนฤๅกระไร แต่พระนามซึ่งจารึกในพระสุพรรณบัตรนั้นไม่ปรากฏ ยังได้พบพบเห็นเปนพยานอยู่แห่งเดียวแต่วัดปากโมกข์ มีอักษรจารึกในแผ่นศิลาว่า ลุศักราช ๑๐๘๗ ฤๅ ๘๘ จำไม่ใคร่ถนัด สมเด็จพระสรรเพชญ์มีสร้อยพระนามออกไปอีกมาก ได้ทรงสถาปนาก่อกู้วัดปากโมกข์นี้ไว้มิให้เปนอันตรายด้วยอุทกไภยดังนี้เปนต้น ควรเห็นว่า พระนามที่จารึกในพระสุพรรณบัตรนั้นเปน สมเด็จพระสรรเพชญ์เปนแน่ไม่ต้องสงไสย
ก็พระพุทธเจ้าเสือนั้น ท่านจะทรงพระนามสรรเพชญ์ด้วยดอกกระมัง พระราชโอรสจึงได้ทรงพระนามดังนี้ เพราะไม่มีปรากฏในพระราชพงษาวดารเลย จะจารึกกันต่อๆมาไม่ได้ผลัดเปลี่ยน ถ้าเปนดังนั้น จะคิดต่อขึ้นไปอิกชั้นหนึ่ง ว่าพระเจ้าปราสาททองนั้น ท่านก็เปนพระไอยกาของพระพุทธเจ้าเสือ ท่านจะมิใช้พระนามสรรเพชญ์ดังนี้ก่อนฤๅ จึงได้ใช้กันมา แต่พระนารายน์นั้นท่านไม่ยอมตาม เพราะพระนามเดิมของท่านเปนพระนารายน์อยู่แล้ว เปนรามาธิบดีถูกต้องกว่า ก็ถ้าจะเถียงอิกคำหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าเสือท่านจะเปนรามาธิบดี ตามพระราชบิดามาแต่ก่อน ไม่ได้เปนนารายน์ก็มี แต่เห็นว่าถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าเสือเปนรามาธิบดีแล้ว พระพุทธเจ้าอยู่หัวท้ายสระคงเปนรามาธิบดีด้วยเปนแน่ นี่ท่านกลับเปนสรรเพชญ์ไปอย่างหนึ่ง ชรอยพระนามรามาธิบดีนั้น จะยกไว้เฉภาะพระนารายน์ดังเช่นว่ามาแล้ว ถ้าเห็นดังนี้ พระเจ้าปราสาททองต้องเปนสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๕ พระพุทธเจ้าเสือเปนสรรเพชญ์ที่ ๖ พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระนี้เปนสรรเพชญ์ที่ ๗” (ในเวลานั้นยังไม่ได้นับเจ้าฟ้าไชยเป็นสรรเพชญ์ที่ ๖ และพระศรีสุธรรมราชาเป็นสรรเพชญ์ที่ ๗)
จึงเห็นได้ว่าพระนาม “พระสรรเพชญ์” แต่ละพระองค์นั้นมาจากพระวินิจฉัยส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นหลัก โดยอาศัยข้อที่ว่าผู้ที่เป็นเครือญาติก็น่าจะใช้พระนามเดียวกัน ซึ่งไม่ปรากฏว่าทรงใช้หลักฐานใดๆ ในการอ้างอิง ต่อมาปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงใช้พระนามตามพระราชวินิจฉัยของพระองค์ใน
"พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิจารณ์เรื่องพระราชพงศาวดารกับเรื่องประเพณีการตั้งพระมหาอุปราช" ซึ่งได้พระราชนิพนธ์ขึ้นใน พ.ศ.๒๔๒๐ (แต่พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๗๙) โดยทรงเปลี่ยนให้เจ้าฟ้าไชยเปนสรรเพชญ์ที่ ๖ พระศรีสุธรรมราชาเป็นสรรเพชญ์ที่ ๗ เป็นเหตุให้พระเจ้าเสือซึ่งเดิมเป็นสรรเพชญ์ที่ ๖ ถูกเลื่อนเป็นสรรเพชญ์ที่ ๘ และพระเจ้าท้ายสระกลายเป็นสรรเพชญ์ที่ ๙ ครับ
พระนามเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ไม่ได้ทรงชี้ขาดว่าเป็นพระนามที่ถูกต้อง ดังที่ทรงมีพระราชนิพนธ์ไว้แล้วว่า
“แต่ถ้าจะให้ยืนยันแล้ว ก็ยืนยันไม่ได้ จะยกแต่เหตุอ้างอิงขึ้นตามแต่ผู้อ่านจะคิดเห็นเอาเอง ว่าจะถูกฤๅผิด ขออย่าให้ว่าอวดรู้เกินผู้ใหญ่ เปนการคาดคเนทั้งสิ้น”พระนามบางองค์อย่างสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ที่ทรงนับว่าเป็นพระสรรเพชญ์ที่ ๕ นั้น ก็ยังทรงเห็นด้วยว่าที่มาของพระนามที่ว่าพระองค์เป็นโอรสลับของพระเอกาทศรถ (ซึ่งขัดกับหลักฐานร่วมสมัยที่ว่าพระองค์เป็นโอรสของออกญาศรีธรรมาธิราช) จึงใช้พระนามอย่างพระบิดา
“เปนเรื่องเกร็ดไป” เมื่อเทียบกับพระนามอื่นๆ ที่ทรงสันนิษฐาน
แต่สันนิษฐานว่าในสมัยหลังคงมีผู้นำพระวินิจฉัยของพระองค์ในพระราชกรัณยานุสรที่ทรงระบุว่า “คาดคะเน” ไปยึดถือว่าเป็นพระนามจริง แล้วบัญญัติใช้เป็นพระนามพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุทธยาโดยที่ยังไม่พบหลักฐานใดๆ ยืนยันเลยครับ
และจากการศึกษาในปัจจุบัน ทำให้มีการพบหลักฐานใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการวินิจฉัยเดิมได้ อย่างเช่นการพบหลักฐานการใช้พระนามว่า “พระศรีสรรเพชญ์” ของพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุทธยาพระองค์อื่น ซึ่งไม่เคยถูกนับรวมใน ๙ องค์ที่กล่าวมา ได้แก่
- สมเด็จพระรามาธิบดี (เชษฐาธิราช) พบหลักฐานคือจารึกเจ้าเถรพุทธสาคร ๒ มหาศักราช ๑๔๒๖ (พ.ศ. ๒๐๔๗) ระบุพระนามในภาษาขอมว่า
"วฺรศิรสวฺวิชสตจปฺวิตฺร (พระศรีสรรเพชญบพิตร)"
- สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พบหลักฐานคือพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนา พ.ศ.๒๑๕๓ ระบุพระนามว่า
“พระศรีสรรเพชญสมเด็จบรมบพิตร”
- สมเด็จพระนารายณ์ พบหลักฐานคือศิลาจารึกวัดจุฬามณี พ.ศ. ๒๒๒๔ ระบุพระนามว่า
"พระศรีสรรเพชญสมเดจพระรามาธิบดีศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศวรราชาธิราชเมศวรธรรมิกราชเดโชชัยบรมเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศรโลกเชษฐวิสุทธิ มกุฎพุทธางกูรบรมจักรพรรดิศวรธรรมิกราชาธิราช"- สมเด็จพระเพทราชา พบหลักฐานคือพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนา พ.ศ.๒๒๔๒ ระบุพระนามว่า
“พระศรีสรรเพชญสํมเดจพระรามาธิบดีศรีสีนทรบรํมมหาจักรพรรดิษรวรราชาธิราชราเมศวรธรรมิกราชเดโชไชยพรรมเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศรโลกเชษฐ วิสุทธมกุฎพุทธางกุรบรมจุลจักรพรรดิษรธรธรรมิกราชาธิราช”สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พบหลักฐานคือสำเนากฎ เรื่องตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชครั้งกรุงเก่า ออกพระนามว่า
"พระบาทพระศรีสรรเพช สมเด็จเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว คือองค์สมเด็จพระนารายน์เปนเจ้า พระเจ้าปราสาททอง พระเจ้าช้างเนียม พระเจ้าช้างเผือก ทรงทศพิธราชธรรม์ ราชอนันตสมภาราดิเรก เอกอุดมบรมจักรพรรดิสุนทรธรรมมิกราชบรมนารถ บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว"จึงเห็นได้ว่าเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ที่เรายึดถือกันมาตลอด ในบางทีอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งถูกต้องตายตัวเสมอไปแต่เปลี่ยนแปลงไปได้ตามหลักฐานที่ค้นพบ ซึ่งในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักแม้จะมีหลักฐานใหม่ๆ ที่สามารถหักล้างความเชื่อเดิมได้ก็ตาม
เรื่องพระนามของพระเจ้าแผ่นดินก็เช่นเดียวกัน พระนามที่เราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หลายๆ พระนามก็ไม่มีหลักฐานชัดเจน ในอนาคตอาจจะพบหลักฐานพระนามใหม่ๆ มากขึ้นไปอีกโดยอาจจะพบหลักฐานพระเจ้าแผ่นดินที่ใช้พระนามว่า "พระศรีสรรเพชญ์" มากขึ้น หรืออาจจะพบพระนามอื่นๆ ที่มาหักล้างก็เป็นไปได้ทั้งนั้นครับ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1110226359040833:0