เข้ามาตามเรียนกับ อ.เทาชุมพูครับ ขอเสริมในเรื่องของ 'ขุนหลวง' หน่อยนะครับ
ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจกับชื่อบรรดาศักดิ์อันฟังประหลาดไม่คุ้นหูของ "ขุนหลวงพระยาไกรสี" เสียก่อนนะคะ
คำนี้ ไม่ได้แยกออกมาเป็น ขุน+หลวง+พระยา(หรือพระ) ราวกับว่าตัวท่านรวบบรรดาศักดิ์เอาไว้หมด เหมารวมเป็นทั้งท่านขุน คุณหลวง และเจ้าคุณ ในเวลาเดียวกัน
แต่คำว่า "ขุนหลวง" เป็นคำเดียว มี 2 พยางค์ หมายถึงตำแหน่งลูกขุน ณ ศาลหลวง มีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในอาณาจักรอยุธยา อยู่ในสังกัดพระมหาราชครู ตำแหน่งนี้มีระบุไว้ในพระไอยการนาพลเรือน คนที่จะเป็นลูกขุน ณ ศาลหลวงได้คือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ซึ่งก็มีอยู่หลายคนด้วยกัน แต่คนที่จะได้เป็นขุนหลวงพระไกรสีนั้นถือว่าเป็นผู้แม่นยำทางตัวบทกฎหมายเหนือกว่าลูกขุนอื่นๆ มี 2 คนคู่กันในระดับ "พระ" คือขุนหลวงพระไกรสี และขุนหลวงพระเกษม
คำว่า 'ขุนหลวง' ในสมัยโบราณอาจจะไม่ได้เป็นเฉพาะตำแหน่งของลูกขุน ณ ศาลหลวงอย่างเดียวครับ เพราะมีปรากฏตำแหน่งอื่นๆที่ใช้คำว่า 'ขุนหลวง' ประกอบอยู่ด้วยครับ
สำหรับพระมหากษัตริย์ในยุคอยุทธยาตอนต้น มีปรากฏใช้คำว่าขุนหลวงพระองค์เดียวคือ ขุนหลวงพ่องั่ว หรือสมเด็จพระบรมราชาธิราช จากนั้นมาจึงไม่ปรากฏการเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า ขุนหลวง อีกจนถึงสมัยอยุทธยาตอนปลาย
คำว่าขุนหลวงมีปรากฏใช้สำหรับขุนนางที่ไม่ใช่ลูกขุน ณ ศาลหลวง แต่น่าจะเป็นขุนนางระดับเสนาบดีทั่วไปหรือลูกขุน ณ ศาลา อย่างในประกาศพระราชบัญญัติของพระอัยการเบดเสรจเมื่อปีกุน พ.ศ.๑๙๐๓ สมัยสมเด็จพระเจ้ารามาธิบดี(อู่ทอง) ระบุบรรดาศักดิ์เสนาบดีนครบาลในยุคนั้นใช้คำว่า
'เจ้าขุนหลวง' ครับ
"ศุภมัศดุ ๑๙๐๓ ศุกรสังวัชฉะระ วิสาขมาศ กาลปักขตติยดิถีระวิวาระปริเฉทกำหนด พระบาทสมเดจ์พระเจ้ารามาธิบดีศรีบรมจักรพรรดิราชาธิราชบรมบาทบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัวเสดจ์ในพระธินั่งรัตนสิงหาศน จึ่งเจ้าขุนหลวงสพฤานครบาลบังคัมทูลพระกรรุณา ดว้ยผู้ชิงที่แดนรั่วเรือนไร่สวนพิภาษว่าที่เดิมแแก่กัน แลผู้หนึ่งว่าที่นั้นเปนมรฎกจะเอาที่นั้น"เข้าใจว่าเป็นตำแหน่งในรูปแบบเก่าก่อนที่จะมีการตราพระไอยการนาพลเรือนและนาทหารหัวเมืองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถครับ
คำว่า
'เจ้าขุนหลวง' ยังพบในพระตำราบรมราชูทิศ เรื่องกัลปนาวัดในเมืองพัทลุง เมื่อปีจอ พ.ศ.๒๑๕๓ รัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมครับ
โดยมีการระบุชื่อขุนนางที่ได้ปรากฏตัวอยู่ตอนทำพระตำรา ซึ่งกล่าวถึงบรรดาศักดิ์ของสมุหพระกลาโหมว่า
เจ้าขุนหลวงมหาอำมาตยาธิบดีศรีรักษาองคสมุหพระกลาโหม
และบรรดาศักดิ์ของสมุหนายกคือ
เจ้าขุนหลวงมหาเสนาบธิดีศรีองครักษสมุหนายก (บางฉบับเขียนแค่ เจ้าขุน เข้าใจว่าน่าจะเขียนตกไป)
'สํมเด็จบรมบพิตร(มี)พระราชบันทูล ตรัสแก่ออกพระศรีภูริปรีชญาธิราชเสนาบดีศรีสาลักษณ์ ให้ทำพระดำราแลตราพระราชโองการนี้ต่อหน้าออกพระเสดจสุรินทรราชาธิบดีศรีสุปราช เจ้าขุนหลวงมหาอำมาตยาธิบดีศรีรักษาองคสมุหพระกลาโหม เจ้าขุนหลวงมหาเสนาธิบดีศรีองครักษสมุหนายก ออกพระอินทราธิราชภักดีศรีธรรมราชพระนครบาล ออกพระบุรินายกราชภักดีศรีรัตนมณเทียรบาล ออกพระพลเทพราชเสนาบดีศรีไชยนพรัตนเกษตราธิบดี ออกพระศรี(อัค)ราชอำมาตยานุชิตพิพิทรัตนราชโกษาธิบดี ออกพระธรรมราชภักดีศรีสมุหสังการีย ออกพระศรีพิพัทราชโกษาธิบดี พขุนสุเรนธรเทพเสนาบดีศรีกาลสมุดสมุหพระดำรวจ พขุนสุรินทรราชเสนาบดีศรีเทพณรายสมุหพระดำรวจ พขุนธรเนนทราเทพพระดำรวจ พขุนเทเพนทรเทพพระดำรสจ พขุน(พิศ)นูเทพพระดำรวจ พขุนภาสุเทพพระดำรวจ พขุนมหามนตรีศรีองครักสมุหพระดำรวจ พขุนมหาเทพเสบกษัตรพระดำรวจ พขุนมงคลรัตนราชมนตรีศรีสมุหพระสรรพากร พขุนอินทรมนตรีศรี(จัน)ทรกุมารสมุหพระสรรพากร พขุนอินทราทิตยพิพิทรักษาสมุหพระสนม พขุนจันทราทิพพิพิทรักสาสมุหพระสนม หัวหมีนหัวพันนายแวงกรมแดงนักมุขทังหลายนงงในวันเดียวนั้น'พิจารณาจากบรรดาศักดิ์ของขุนนางคนอื่นที่สูงสุดแค่ 'ออกพระ' เข้าใจว่า 'เจ้าขุนหลวง' ในพระตำรานี้ซึ่งมีปรากฏใช้เฉพาะอัครมหาเสนาบดีสองตำแหน่งคือสมุหนายกกับสมุหพระกลาโหม คิดว่าน่าจะเป็นตำแหน่งเสมอกับ 'เจ้าพระยา' ครับ
แต่ก็ดูแปลกที่ไม่ใช้ 'เจ้าพระยา' ทั้งๆที่ก็มีปรากฏใช้อยู่ในพระราชกำหนดเก่าๆที่ออกก่อนสมัยพระเจ้าทรงธรรม และในสมัยพระเจ้าทรงธรรมแม้แต่ตำแหน่งสูงๆอย่าง เจ้าพระยามหาอุปราช สมัยนั้นก็มีบรรดาศักดิ์สูงสุดเป็นแค่ 'พญา' อย่างที่ปรากฏในพระไอยการลักษณมรดก พ.ศ.๒๑๕๕ ว่า 'พญามหาอุปะราชชาติวงวงษพงษภักดีบดินสุรินทเดโชไชยมไหยสุรศักดิแสนญาธิราช' ผมเลยลองคิดอีกแง่หนึ่งว่า บรรดาศักดิ์ 'เจ้าขุนหลวง' สำหรับเสนาบดีผู้ใหญ่อาจจะเป็นบรรดาศักดิ์ที่มอบให้เป็นกรณีพิเศษเพื่อเป็นการยกย่องก็เป็นได้ครับ
นอกจากนี้ในพระตำรายังเรียกเจ้าเมืองพัทลุงว่า
เจ้าพขุนหลวง(เจ้าพ่อขุนหลวง) ด้วยครับ
ต่อมาในสมัยหลังๆเท่าที่ทราบก็ไม่ปรากฏการใช้บรรดาศักดิ์แบบนี้กับขุนนางที่ไม่ใช่ลูกขุน ณ ศาลหลวงอีกครับ