willyquiz
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 18 มิ.ย. 11, 06:44
|
|
ถ้าจะเอาของเก่ามาสอน ครูก็ต้องหาตัวอย่างมาให้ดูให้ได้ อย่างกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ล่าเตียงเป็นไง มัศกอดเป็นไง ต้องหาสูตรออกมาให้เห็นกันเลยว่า เขาทำกันอย่างไร จะได้โยงไปสู่คำถามว่า มันมีส่วนคล้ายอาหารอะไรที่นักเรียนรู้จักบ้างไหม อย่างน้อยมันก็ต้องมีส่วนผสมอะไร ที่เด็กรู้จักสักอย่างสองอย่างบ้างละ เป็น การจุดประกายต่อไปให้นักเรียนคิด และสนใจใคร่รู้
สวัสดีครับ อ. เทาชมพู ผมกลับมาแสดงความเห็นต่างดังที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วครับ ข้อความเกือบทั้งหมดที่อาจารย์ได้แสดงไว้ ผมเห็นด้วยเกือบทั้งสิ้นยกเว้นส่วนนี้ เพราะผมคิดว่าส่วนนี้ไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุดของบทเรียนที่นักเรียนจะต้องเรียนรู้ แต่เป็นเพียง ส่วนประกอบที่จะดึงไปหาส่วนที่สำคัญกว่า เปรียบได้กับกระพี้ที่ห่อหุ้มแก่นเอาไว้ ครูคงไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้นักเรียนเป็นพ่อครัว-แม่ครัว หรือเมื่อเรียนนิราศ ครูก็คง ไม่ได้มุ่งหวังให้นักเรียนไปเป็นมัคคุเทศก์เป็นแน่ หัวใจของบทเรียนนี้อยู่ที่ใด? จริงอยู่นักเรียนที่รู้จักส่วนประกอบของอาหารอาจจะเรียนได้เข้าใจรวดเร็วกว่า แต่นักเรียนที่ไม่รู้ จักอาหารชนิดนี้ก็เข้าถึงหัวใจของเรื่องได้เช่นกัน แต่ผมขอพักส่วนนี้เอาไว้ก่อน ในราวปีที่ผ่านมาก่อนหน้าที่ผมจะเป็นสมาชิกของเรือนไทย ผมจำได้ว่าเคยอ่านพบข้อเขียนของอาจารย์ในกระทู้หนึ่งซึ่งกล่าวไว้ว่าเคยถูกครูบังคับให้ท่องบทกลอน (คงเป็น อาขยาน) จนจำได้ขึ้นใจ ผมก็เช่นกัน ได้เรียนบทกลอนดอกสร้อย-สักวาจนจำไม่ได้แล้วว่ามีมากสักกี่บท อาจารย์เคยสังเกตุหรือไม่ว่า กลอนดอกสร้อยชั้นต้นๆ จะไม่ซับซ้อนนัก เด็กสามารถคิดได้สมวัย (ถ้าได้ครูที่สอนเก่งๆ) คิดเพียงสองชั้น โจทย์บทแรกจะเป็น สัตว์ สิ่งของ สถานที่ คน...สัตว์ก็อย่างเช่น นกเอ๋ยนกเขา, สิ่งของก็อย่างเช่น โพงเอ๋ย โพงพาง, สถานที่ก็อย่างเช่น เท้งเอ๋ยเท้งเต้ง, คนก็อย่างเช่น เด็กเอ๋ยเด็กน้อย เป็นต้น บทแรกนี้จะนำไปหาบทที่สองที่เป็นหัวใจของเรื่องคือแก่นซึ่งเป็นคติสอนใจ วนเวียน อยู่อย่างนี้ เด็กไม่จำเป็นต้องรู้จักสัตว์ สิ่งของ สถานที่ ก็สามารถเข้าใจบทเรียนได้ดี ผมขออนุญาตยกตัวอย่างเพิ่มอีกสักบทครับ นกเอ๋ยนกเขา ขันแต่เช้าหลายหนไปจนเที่ยง สามเส้ากุกแกมแซมสำเนียง เสนาะเสียงเพียงจะรีบงีบระงับ อันมารดารักษาบุตรสุดถนอม สู้ขับกล่อมไกวเปลเห่ให้หลับ พระคุณท่านซาบซึมอย่าลืมลับ หมั่นคำนับค่ำเช้านะเจ้าเอย ฯ (ถ้าผิดพลาดต้องขออภัย)
นักเรียนไม่จำเป็นต้องรู้จักนกเขา หรือสามเส้าซึ่งเป็นนกเขาอีกประเภทหนึ่ง นักเรียนก็สามารถเข้าใจได้ถึงความรักของแม่โดยผ่านคำอธิบายของครูผู้สอน นักเรียนอาจลืม นกเขาที่เป็นส่วนประกอบได้ แต่จะลืมแม่ที่เป็นส่วนสำคัญไม่ได้
เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อยก็จะเริ่มเรียนบทกลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า คราวนี้ก็จะซับซ้อนขึ้นอีกนิดตามวัยที่เติบใหญ่ขึ้นของเด็ก แต่ก็ยังไม่พ้น สัตว์ สิ่งของ สถานที่ คน เป็นโจทย์อยู่นั่นเอง เช่น นกเอ๋ยนกแสก, ดวงเอ๋ยดวงมณี, ป่าเอ๋ยป่าละเมาะ, ชาวเอ๋ยชาวนา โจทย์เหล่านี้ก็จะดึงไปถึงหัวใจของเรื่องที่สอนให้เด็กใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เห่อเหิมทะเยอทะยาน รู้จักเคารพสถานที่บางแห่งเช่นอนุสาวรีย์ หลุมฝังศพ เป็นต้น
คราวนี้ย้อนกลับมายังจุดที่พักเอาไว้ เมื่อมาถึงชั้นมัธยม โจทย์ก็ยังคงที่อยู่นั่นเอง แต่คราวนี้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น นักเรียนจะต้องคิดหาเหตุผลที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่นแต่งขึ้นใน โอกาสใด มีจุดมุ่งหมายอะไร ยกย่องชมเชยใครหรือเปล่า เอ่ยถึงใคร ส่วนใดที่เป็นจุดเด่น เป็นต้น ในบทเห่แต่ละชุดแต่ละตอนมีอาหารมากมายไม่ต่ำกว่าสิบอย่าง ถ้าครูมัวแต่ไปสอนสูตรอาหารละก็เป็นอันไม่ไปถึงไหนกันละครับ ยิ่งถ้าเป็นนิราศละก็เสร็จกันพอดี ถ้ายก ล่าเตียง มัศกอด เป็นตัวอย่างออกจะดูยากไป ลองบทใหม่ดู มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา ถ้าครูให้ความสนใจกับสูตรการปรุงมัสมั่น อาจจะมีปัญหาขึ้นได้ อย่างน้อยที่สุดก็มีบุคคลแตกต่างกันแล้วหลายกลุ่ม คือเคยกิน ไม่เคยกิน ชอบกิน ไม่ชอบกิน เคยทำ ไม่เคยทำ พวกที่ไม่ชอบกินจะมีปัญหามากที่สุดเพราะเหมือนถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ก็ฉันไม่กินจะให้ฉันรู้สูตรไปทำไมอะไรทำนองนี้ และถ้าผมจำไม่ผิด บทเห่บทนี้มีอาหารอยู่สิบห้าอย่าง จบชั่วโมงแล้วผมว่าสูตรอาหารที่ครูจะอธิบายคงไปไม่ถึงครึ่ง แต่ถ้าครูมุ่งประเด็นไปที่ให้นักเรียนไปลองค้นคว้าดูว่าใครเป็นผู้ปรุงอาหารจานนี้ที่อร่อยจนถึงขั้น "แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา" ปัญหาเรื่องมัสมั่นก็จะหมดไป ผมจึงบอกว่าผมมีความเห็นแตกต่างในส่วนนี้ครับ
|