เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 13:57



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 13:57
นิวยอร์คไทม์ ฉบับลงวันที่๒๔ กุมภาพันธุ์ ๑๘๘๐ ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๒๒ เป็นรัชสมัยของรัชกาลที่ ๕ ปีที่ ๑๑ หรือ หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่๒ ได้ ๘ปี โปรยพาดหัวในสารคดีข่าวสำคัญในเล่มดังนี้

เรื่องเศร้าอันน่าสพรึงกลัวที่สยาม


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 14:01
การประหารชีวิตพระปรีชา

ขุนนางไทยผู้ถูกกุดหัวเพราะแต่งงานกับลูกสาวข้าราชการอังกฤษ—พระราชาใจร้ายทนเก็บความขุ่นแค้นไว้นานนับปีๆ—เรื่องสยองขวัญแบบยุคกลางในศตวรรษที่สิบเก้า


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 14:05
เนื้อในข่าวเป็นอย่างนี้ครับ

กรุงเทพ , สยาม ๒๔ กุมภาพันธุ์ ทางราชการได้กระทำการประหารชีวิตพระปรีชา ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอิทธิพลและหน้าที่สำคัญ สาเหตุของโทษนั้นยังเป็นที่วิจารณ์กันอยู่ทั้งในกรุงเทพและสิงคโปร์ รวมถึงทุกภาคส่วนอาณานิคมอังกฤษในเอเชียตะวันออก การตัดศีรษะนักโทษผู้นี้อาจกระตุ้นความสนใจผู้คนได้น้อยมาก หากชายผู้นั้นจะไม่ได้เป็นบุตรเขยของโทมัส จอร์จ น๊อกซ์ อดีตข้าราชการในตำแหน่งกงสุลใหญ่อังกฤษประจำสยาม และหากมันจะเป็นแบบที่คนในประเทศราชาธิปไตยที่มีอะไรแปลกๆนี้ จะเห็นว่าเป็นเรื่องสามัญธรรมดา


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 14:08
ไม่ว่าจำเลยจะได้รับการพิพากษาอย่างยุติธรรมหรืออยุติธรรม นั่นเป็นเรื่องความเห็นของแต่ละบุคคล  ชาวต่างประเทศในสยามและมะละกาอาจเห็นว่าเขาสมควรตาย แต่อีกมากที่แม้จะเชื่อว่าเขาได้กระทำความผิดจริง แต่โทษก็ไม่น่าจะถึงประหารชีวิต หากไม่มีอิทธิพลไปกดดันศาลด้วยความแค้นส่วนตัว เพราะคดีที่จำเลยเป็นขุนนางระดับนั้น หรือคดีอื่นๆก่อนหน้า มีน้อยมากที่จะลงโทษกันถึงประหารชีวิต
ผลพวงแห่งความเจริญที่เด่นชัดในประเทศนี้ คือ สิบปีมาแล้วที่ผู้มีตำแหน่งสูงและเงินถึง ว่ากันว่า จะสามารถหลุดคดีอาญาได้ด้วยการติดสินบนผู้พิพากษา และผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ในแผ่นดิน  แต่ทว่า พระปรีชาผู้ถึงแม้จะเคยเป็นคนโปรดของพระเจ้าแผ่นดิน และมีมิตรผู้ทรงอำนาจช่วยเหลือ กลับมิอาจหลุดรอด 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 14:11
การประหารชีวิตเช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย พิสูจน์จากความสับสนวุ่นวายที่ติดตามมา ไม่มีอะไรที่สยดสยองเช่นนี้เกิดขึ้นมานานกว่าเสี้ยวศตวรรษแล้ว ท่านสามารถเข้าใจผลกระทบของมันได้จากการจินตนาการ แบบว่านายจอห์น เชอร์แมน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐถูกจับกุมไปอย่างลึกลับ แล้วถูกหิ้วข้ามรัฐไปอย่างลึกลับยิ่งกว่า เพื่อถูกแขวนคออย่างลึกลับที่สุด

ถ้าท่านจะบอกว่าที่สหรัฐเขาไม่แขวนคอเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐกันแล้วไซร้ ที่ประเทศนี้เขาก็ไม่ตัดหัวข้าราชการะดับสูงเช่นนั้นเหมือนกัน กรณีย์ของพระปรีชาจะหาคดีใดมาเปรียบมิได้ อย่างน้อยก็ในชั่วอายุคนนี้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 14:14
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นหาความจริงแท้ของคดีสะเทือนขวัญนี้  และความยากสุดๆที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงนี้เองที่กระตุ้นความสนใจ
มันมีอยู่ด้วยกันสองด้าน หากจะบรรยายให้เข้าใจแล้วก็จำเป็นที่ต้องมีพื้นฐาน  เรื่องราวแบบแรก พระปรีชาถูกจับกุมพร้อมกับบิดาผู้ชราและน้องชายสองคนด้วยข้อหาว่าร่วมกันกระทำการฉ้อฉล เพื่อเบียดบังทรัพย์ของหลวง มีหลักฐานว่าพวกนี้ได้ซื้อเงินเป็นล้านๆดอลลาร์ด้วยกลโกงอย่างเป็นระบบ ยักยอกทองคำจากเหมืองที่กบินทร์บุรีของพระราชาไปจนเกือบหมดภายในระยะเวลาสามปี  โดยลวงพระองค์ว่าเหมืองนั้นมีสินแร่ทองคำน้อยเกินกว่าจะทำกำไร แต่ในขณะที่พวกของตนกลับร่ำรวยขึ้นจากทองคำ

เดี๋ยวนี้บิดาและน้องชายยังอยู่ในคุก รอการสอบสวน หากพบว่ามีความผิดทั้งหมดจะโดนโทษจำคุกยาว พร้อมกับต้องทำงานกรรมกรในโรงสีของหลวง  หรือบางทีอาจจะโดนประหารชีวิตเช่นกัน ตัวบิดานั้นคงไม่มีอายุอยู่ยาวในคุก เพราะความชราและโรครุมเร้า  สมบัติทั้งหมดของตระกูลรวมถึงคฤหาสน์ริมแม่น้ำ ตรงข้ามเรือนรับรองอาคันตุกะของกระทรวงการต่างประเทศถูกริบราชบาทว์  พร้อมสมบัติอื่นๆเช่นม้า รถม้า บ้าน จานชาม เครื่องเพชรพลอย เรือกลไฟ ประมาณว่ามีมูลค่าหกเจ็ดแสนเหรียญที่โดนยึดเป็นของหลวงหมด  เพื่อชดใช้สิ่งที่พระราชากล่าวหาว่าพวกนั้นโกงกินไปจากเหมืองแร่ทองคำ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 14:59
ส่วนเรื่องราวอีกแบบหนึ่งต่างกันออกไป ที่ว่าข้างต้นอาจจะจริง โดยทั่วไปก็สามารถยอมรับได้ แต่ท่านคงจะทราบว่า ในประเทศนี้มีพระราชาสองพระองค์ พระองค์แรกคือผู้ถืออำนาจอธิปไตย และพระองค์ที่สอง จะขึ้นครองราชย์แทนหากพระราชาพระองค์แรกสวรรคตก่อน  หากพระราชาองค์ที่สองทิวงคต ตำแหน่งนั้นก็จะว่างไปจนกว่าพระราชาพระองค์แรกจะสวรรคต บรรดาเสนาบดีหรือสภาสูงก็จะลงมติเลือกพระราชาพระองค์แรกขึ้นใหม่ แล้วพระราชพระองค์ใหม่ก็จะแต่งตั้งพระราชาพระองค์ที่สอง ซึ่งมักจะเป็นพระอนุชาพระราชชนกชนนีเดียวกัน หรือพระราชโอรสของพระองค์ที่ประสูติจากพระราชินี

พระราชาองค์ที่สองในรัชกาลก่อนสวรรคตก่อนพระราชาพระองค์ที่หนึ่ง ผู้ซึ่งก็ได้เสด็จสรรคตตามในปี ๑๘๖๘ เหล่าเสนาบดีได้ประชุมกันเพื่อเลือกผู้ที่จะสืบพระราชบัลลังก์แทน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ผู้ซึ่งมีอิทธิพลมากในสภา ได้แนะนำให้ผู้เข้าประชุมเลือกเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชโอรสของพระราชาพระองค์ที่แล้วกับพระราชินี ขึ้นเป็นพระราชาพระองค์ที่หนึ่งต่อไป สำหรับพระราชาพระองค์ที่สองให้เลือกพระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน(ผู้ซึ่งได้พระนามนี้ เพราะความชื่นชมที่มีต่อบิดาของประเทศอเมริกา) ท่านเป็นพระราชโอรสของพระราชาองค์ที่สองในรัชกาลที่แล้ว ดังนั้นบรรดาเสนาบดีจึงเห็นชอบหรือถูกบังคับ ให้ลงมติในสิ่งที่ควรจะเป็นพระราชกรณียกิจของพระราชาพระองค์ปัจจุบัน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 25 มี.ค. 15, 15:04
เอาคดีนี้ยกขึ้นมา......คงจะมีอะไรใหม่ๆ มาแน่เลย รอติดตามอ่านครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:06
มีอุบัติเหตุนิดหน่อย รอแก้ไข


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 มี.ค. 15, 15:21
ระหว่างรอคุณนวรัตนดำเนินรายการต่อ ขออนุญาตลงต้นฉบับภาษาอังกฤษไปพลาง ๆ  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:28
ท่านที่อ่านต้นฉบับที่คุญเพ็ญชมพูเอามาลงแล้วก็ลองแปลดู ถ้าเห็นว่าผมแปลผิดก็บอกด้วยแล้วกัน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 25 มี.ค. 15, 15:29
มาลงชื่อเข้าห้องเรียนครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:32
มาสายไปนิด ไม่ทันเขาฉะกันไปรอบนึงแล้ว เกือบบ่อนแตก


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:34
และเนื่องจากตอนนั้นเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ยังมีพระชนมายุน้อย เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงถูกเลือกหรือว่าเลือกตนเองขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แล้วไม่ยอมให้เสียเวลาแม้น้อยที่จะเสริมสร้างอำนาจของตระกูลที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว  เขาได้ลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมเพื่อแต่งตั้งบุตรชายคนโตให้เป็นแทน และแต่งตั้งน้องชายต่างมารดาให้เป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ  โยกย้ายเจ้านายอันเป็นที่เคารพและมีความสามารถในราชการตำแหน่งต่างๆมานมนานอย่างมีเลศนัย  แล้วยกตำแหน่งเงินๆทองๆที่สำคัญให้แก่พวกพ้องเครือญาติผู้ใกล้ชิด โดยเล็งที่ผลประโยชน์เป็นเป้าหมาย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:37
เนื่องจากพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงพระเยาว์มีพระราชประสงค์จะเสด็จประพาสต่างประเทศ ผู้สำเร็จราชการจึงได้จัดการถวายอย่างเยี่ยมยอดให้เสด็จชวาในปี ๑๘๗๐ และอินเดียในปี ๑๘๗๑-๗๒ ซึ่งโทมัส จอร์จ น๊อกซ์ขณะนั้นเป็นกงสุลใหญ่อังกฤษได้ตามเสด็จพระราชาหนุ่มไปด้วยในฐานะที่ปรึกษา แต่เป็นที่ทราบกันว่าในการถวายการปรึกษานั้นมีบางอย่างที่ไม่ทรงโปรด อย่างน้อยหลังจากที่เสด็จกลับมาแล้วความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ไม่เป็นมิตร และเมื่อน๊อกซ์กลับไปอังกฤษในสี่ปีต่อมา พระจุลจอมเกล้าฯทรงมีพระอักษรไปถึงลอร์ดดาร์บี้ รัฐมนตรีการต่างประเทศ ขอร้องไม่ให้ส่งกงสุลผู้นี้กลับมาสยามอีก แต่เนื่องจากพระราชสารดังกล่าวไม่ได้ผ่านไปจากสถานกงสุลสยามในกรุงลอนดอน ตามมารยาททางการทูตอันพึงปฏิบัติ  ลอร์ดดาร์บี้จึงไม่ใส่ใจในเรื่องนี้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:39
พระจุลจอมเกล้าฯบรรลุนิติภาวะในเดือนกันยายน ๑๘๗๓ และมีพระบรมราชภิเษกขึ้นอีกครั้งหนึ่งตามพระราชประเพณี มีการเฉลิมฉลองประดับโคมไฟในกรุงเทพและปริมณฑลตลอดสามคืน ท่ามกลางคำกล่าวถวายพระพรจากตัวแทนของชาติคู่สนธิสัญญาทางพระราชไมตรี มีความเชื่อกันว่ายุคใหม่ของเสรีภาพและความก้าวหน้าได้ถูกกำหนดไว้แล้วในประเทศที่ประหลาดและเป็นเผด็จการนี้  เครื่องแต่งกายแบบชาวยุโรปบางส่วนถูกนำมาใช้ พระเจ้าแผ่นดินออกพระราชกำหนดยกเลิกการหมอบคลาน ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ผู้น้อยต้องปฏิบัติต่อหน้าผู้มีอำนาจมากกว่า  ออกประกาศยกเว้นความสำคัญบางมาตราในกฎหมายเกี่ยวกับทาส  สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อถวายข้อแนะนำแก่พระเจ้าแผ่นดิน

แต่วัตถุประสงค์อันดีเหล่านั้นได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นประสงค์ร้าย  พระราชดำริที่จะปฏิรูปสู่ความก้าวหน้าปรากฏต่อมาว่าเป็นแค่กลลวง  เพียงปีเดียวหลังจากเถลิงพระราชอำนาจสมบูรณ์แบบ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการก็ถูกจับกุมข้อหายักยอก เฉื่อยชาในการทำงาน และโดนประนาม ชายผู้นี้อาจจะเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ แต่ทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของเขาถูกริบราชบาทว์เข้าหลวง ภรรยาและลูกๆถูกนำตัวไปเป็นทาส ตัวเขาถูกถอดยศและโดนเฆี่ยนอย่างโหดร้าย น่าจะโดนโทษประหารหรือจำคุกตลอดชีวิตด้วยซ้ำ แต่รอดไปเพราะการวิงวอนของอดีตผู้สำเร็จราชการ ผู้ซึ่งเป็นคนโปรด  ได้ออกรับหน้าแทนเพื่อช่วยผู้รับเคราะห์


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:45
การที่พระราชาพระองค์ที่หนึ่งมิได้ทรงเป็นผู้เลือกพระราชาพระองค์ที่สอง ก็ด้วยว่าเหล่าเสนาบดีเห็นว่าพระราชาพระองค์ที่สองเป็นที่นิยมของสังคมมาก พระจุลจอมเกล้าฯจึงทรงเขม่นท่านมานาน  แล้วเพิ่งทรงมีโอกาสได้แสดงออกก่อนหน้านี้ โดยกล่าวหาว่าพระราชาพระองค์ที่สองคิดการกบฏและเรียกให้เข้าเฝ้า แต่ท่านทรงรู้ตนดีและเกรงจะถูกกำจัด จึงลอบหนีไปสถานกงสุลอังกฤษเพิ่อขอความคุ้มครอง แทนที่จะกระทำตามพระราชบัญชา

น๊อกซ์ขณะนั้นลางาน นิวแมนเพื่อนของยอร์ช วอชิงตันปฎิบัติหน้าที่แทนชั่วคราว ได้ให้การต้อนรับผู้ลี้ภัยอย่างดียิ่ง  พระราชาพระองค์ที่หนึ่งทรงเรียกประชุมสภาทันที และพวกนั้นมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าพระราชาพระองค์ที่สองขัดพระราชบัญชา หนีไปอาศัยความคุ้มครองของต่างชาติทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ พวกเขาถวายคำแนะนำว่า ควรให้พระราชาพระองค์ที่สองสละตำแหน่งหรือถวายตำแหน่งให้เจ้านายพระองค์อื่นที่เหมาะสมกว่า

พระจุลจอมเกล้าฯมิทรงกล้าจะกระทำการบังคับเช่นนั้น  ทรงเกรงว่าราษฎรส่วนใหญ่จะเห็นว่าทรงพาลหาเรื่อง ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ จึงทรงต้องการคำปรึกษาของอดีตผู้สำเร็จราชการ ผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับกงสุลอังกฤษเท่าๆกับยอร์ช วอชิงตัน เขาได้ถวายคำแนะนำให้ทรงมีพระอักษรถึงเจ้านายที่ไม่ทรงไว้วางพระทัยพระองค์นั้นให้เสด็จกลับคืนสู่พระราชวัง โดยพระองค์จะทรงรับรองความปลอดภัย พระราชาพระองค์ที่หนึ่งทรงกระทำตามคำแนะนำนั้น แต่พระราชาพระองค์ที่สองก็ยังทรงไม่ไว้พระทัย ทรงยืนยันว่าต้องการอยู่ที่สถานกงสุลก่อน เพื่อรอข้าหลวงใหญ่อังกฤษในสิงคโปร์ ที่คาดว่าจะมาถึงในไม่ช้า แล้วจะได้ไกล่เกลี่ยความเห็นต่างของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองพระองค์ให้สิ้นข้อกังขา  แต่เมื่อข้าหลวงใหญ่มาถึงก็ปรับเปลี่ยนเรื่องอย่างไม่เกรงใจ ให้พระจุลจอมเกล้าฯทรงแก้ไขคำมั่นสัญญาเสียใหม่ ซึ่งภายใต้สภาวการณ์นั้น คงจะไม่ทรงละเมิดแน่  เมื่อเป็นดังนั้น ยอร์ช วอชิงตันจึงเสด็จกลับวังด้วยชัยชนะที่ประจักษ์ชัด


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:50
น๊อกซ์กลับมากรุงเทพในเดือนเมษายน ๑๘๗๕ ได้รับการเลื่อนเป็นข้าราชการการเมืองของอังกฤษควบกับตำแหน่งกงสุลใหญ่ แต่ปฏิสัมพันธ์กับกษัตริย์พระองค์ที่หนึ่งยังคงไม่ดีตามเดิม ส่วนมิตรภาพกับกษัตริย์พระองค์ที่สองยังแน่นแฟ้น สร้างความขุ่นใจใหม่ๆขึ้นในพระราชหฤทัย รวมทั้งสัมพันธภาพระหว่างกงสุลกับอดีตผู้สำเร็จก็เป็นไปอย่างดี ในไม่ช้าพระจุลจอมเกล้าฯก็ทรงไม่ต่างกับหุ่นเชิดของอดีตผู้สำเร็จ นายน๊อกซ์กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในประเทศนี้จนถูกล้อว่าเป็นกษัตริย์พระองค์ที่หนึ่งแทน  ขุนน้ำขุนนางต่างปรารถนาที่จะคบหาสร้างมิตรภาพด้วย หนึ่งในนั้นคือพระปรีชา รักษาการข้าหลวงปราจินบุรี และผู้อำนวยการเหมืองทองคำหลวงที่กบินทร์


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:52
มีนาคมปีที่แล้วพระปรีชาได้แต่งงานกับแฟนนี น๊อกซ์ตามประเพณีที่กรุงเทพ แล้วรีบเดินทางไปปราจินโดยพลัน สองสามสัปดาห์ต่อมาเมื่อคู่บ่าวสาวกลับเมืองหลวง พระปรีชาก็ถูกจับกุมไปขังคุกทันที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าได้ฝ่าฝืนไปแต่งงานกับลูกสาวคู่อริของพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนข้อหาในการจับกุมตัวมีว่าเขาได้แต่งงานกับลูกสาวนายน๊อกซ์โดยไม่ได้รับคำยินยอมจากบิดาของฝ่ายหญิง การนี้พระปรีชาถูกนำไปเฆี่ยนแล้วคุมขังไว้ในคุกใต้ดินอันสุดแสนโสโครก

กงสุลน๊อกซ์เดือดดาลมากเท่าที่พ่อตาทั้งหลายจะพึงเป็น โดยเฉพาะเขามีเหตุผลพอที่จะเชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวตกอยู่ภายใต้อิทธิพลชักนำของอดีตผู้สำเร็จ ผู้ซึ่งเกลียดชังพระปรีชาเพราะเห็นว่าร่ำรวยและมีอำนาจมาก  น๊อกซ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาและเรียกร้องให้ปล่อยตัวลูกเขยของตนทันที  พร้อมกับต้องการคำขอโทษจากรัฐบาลสยามที่ลากชื่อของเขาเข้าไปเกี่ยวในคดี และสร้างผลกระทบเลวร้ายต่อลูกสาว 
รัฐบาลออกมาแสดงความเสียใจในสิ่งที่กระทำโดยมิได้ตั้งใจ จนเป็นเหตุให้นายน๊อกซ์ต้องออกมาปฏิเสธนั้น และได้ถอนข้อกล่าวหาพระปรีชาในประเด็นที่ไปแต่งงานกับลูกสาวนายน๊อกซ์ทั้งหมด  แต่ปฏิเสธที่จะปล่อยตัว เพราะยังยืนยันความผิดของพระปรีชาในฐานที่ยักยอก บีบบังคับผู้อื่น และฆาตกรรม

สวรรค์ทรงทราบดี  ทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:56
กงสุลน๊อกซ์เริ่มมองเห็นว่าพระปรีชาคงพบจุดจบแน่ ถ้าเขาไม่เข้าไปช่วยปลดข้อหาอันหนักหน่วงนั้น  เขาจึงเล่นนอกบทปกติของข้าราชการอังกฤษ ด้วยการขมขู่จะนำเรือรบเข้ามายิงถล่มกรุงเทพ พระจุลจอมเกล้าฯทรงกระทำตรงกันข้ามกับความคาดหมายทั้งปวง ทรงปฏิเสธที่จะเกรงกลัว กงสุลน๊อกซ์จึงขอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทูลว่าพระเจ้าอยู่หัวกำลังนำความเสื่อมมาให้พระราชอำนาจของพระองค์เอง เพราะยอมตกเป็นเครื่องมือให้อดีตผู้สำเร็จราชการและบุคคลในตระกูล ใช้ทำลายล้างพระปรีชาและวงศาคณาญาติอย่างเหี้ยมโหด 

น๊อกซ์ยกคุณความดีที่ลูกเขยได้ปฏิบัติทั้งอดีตและปัจจุบันในการอุทิศตน รักษาไว้ซึ่งประโยชน์ของพระองค์  และท้วงว่าฝ่ายอดีตผู้สำเร็จราชการก็เคยทำแบบเดียวกันนี้ แล้วปรากฏความจริงว่าได้กระทำความผิด คดีแล้วคดีเล่า แต่ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ
แม้นน๊อกซ์จะพูดเรื่องจริง แต่ความเกลียดชังที่พระองค์ทรงมีต่อพ่อตาทำให้ไม่ทรงนึกสงสารลูกเขยแม้น้อย น๊อกซ์จึงหมดปัญญา ทั้งขอร้องและข่มขู่อย่างไรก็ไร้ผล 

สองสามวันต่อมา เจ้าพระยาภาณุวงศ์น้องต่างมารดาของผู้สำเร็จราชการได้รับมอบหมายให้เดินทางไปลอนดอนเพื่อขอร้องมิให้รัฐบาลอังกฤษเข้าแทรกแซงขบวนการยุติธรรมของสยามในคดีพระปรีชา และขอให้ย้ายกงสุลน๊อกซ์ไปด้วย  เมื่ออัครราชทูตพิเศษกลับจากลอนดอนแล้ว เวลาใกล้เคียงกันนั้นกงสุลน๊อกซ์ก็หลุดจากหน้าที่ และหัวพระปรีชาหลุดจากบ่า

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นเพราะเขาบังอาจแต่งงานกับลูกสาวของบุคคลที่พระเจ้าอยู่หัวเกลียดชังนั่นเอง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 15:59
รัฐบาลสยามสมควรได้รับการพิพากษาจากกรณีย์อันน่าเศร้าสลดนี้ หากพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมจากวิธีการที่ประเทศนี้ปฏิบัติต่อคดีอื่นๆในอดีต  โดยที่ไม่จำเป็นต้องอ้างวิธีคิดของโลกในสมัยนี้ก็ได้

การตัดสินลงโทษพระปรีชากับครอบครัวอย่างป่าเถื่อนอย่างที่ปรากฏในขณะนี้ พวกสยามอาจอ้างว่าพระปรีชาให้การสารภาพ ว่าได้ขโมยทองคำของพระเจ้าอยู่หัวไปจริง  และญาติๆต่างรู้เห็นการยักยอกฉ้อฉลนี้  ทว่าคำสารภาพหรือปฏิเสธของชาวสยามก็เชื่อถือไม่ได้ จำเลยมักจะสารภาพในคดีอาชญากรรมซึ่งตนมิได้กระทำผิดแม้น้อย เพราะพวกเขารู้ดีว่าตนจะถูกกระทำทารุณกรรมอย่างสาหัสจนกว่าจะให้การรับสารภาพ 

การสอบสวนพระปรีชาได้รับการยอมรับจากผู้รู้เห็นเหตุการณ์ทุกคนว่าเป็นเรื่องตลกร้าย เพราะศาลไม่ยอมให้จำเลยซักค้านพยานโจทก์ผู้กล่าวหาเขาในเรื่องการฆาตกรรม หรือห้ามมิให้เขาอ้างความในสมุดเอกสารของตนเอง เมื่อให้การถึงบัญชีที่แสดงยอดรวมค่าใช้จ่ายในการทำเหมือง ความรู้สึกโดยทั่วไปของคนอังกฤษและอเมริกันที่นี่ก็คือ พระเจ้าอยู่หัวทรงอ่อนแอ โหดร้าย เป็นทรราชย์ที่ขี้ขลาด พระราชอำนาจก็เสื่อมไปเกือบสิ้นแล้ว และคงจะรักษาราชบัลลังก์ต่อไปได้อีกไม่กี่มากน้อย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 16:01
มีรายงานว่านางปรีชากลการหรืออดีตแฟนนี น๊อกซ์ ปลอดภัยดีอยู่ในอังกฤษพร้อมกับลูกและลูกๆของพระปรีชาซึ่งเกิดจากการสมรสครั้งก่อน โดยมีทรัพย์สินประมาณ๑๒๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ ที่สามารถนำไปอังกฤษได้ในทันทีที่ทราบว่าตนตกเป็นหม้าย นางเป็นลูกครึ่ง มารดาเป็นชาวสยาม แต่ด้วยความฉลาดเฉลียว นางจึงเหมือนจะเป็นคนอังกฤษได้อย่างกลมกลืน มีข่าวแพร่ที่นี่ว่า อดีตกงสุลน๊อกซ์จะได้เป็นท่านเซอร์โทมัส จอชจ์ น๊อกซ์ในเร็วๆนี้ โดยมิได้กล่าวถึงว่านั่นเป็นการชดเชยกับการที่ถูกโยกย้ายในครั้งนี้หรือไม่
 
เรื่องทั้งหมดนี้แน่นอนว่าดูแปลก และโหดร้ายในความคิดของพวกแองโกลแซกซอน ยิ่งไปกว่านั้นยังเชื่อกันโดยทั่วไปว่าการประหารพระปรีชาครั้งนี้จะส่งผลกระทบทางลบกับพระจุลจอมเกล้าฯ

หลายหน้าจากจดหมายเหตุที่ไม่เป็นทางการในเรื่องการปกครองแบบเถื่อนๆของชาวตะวันออกนี้ อ่านแล้วอาจขำกลิ้งกับความไม่มีเหตุผลบนฐานของความยุติธรรม ถ้ามันไม่มีเลือดสาดกระเซ็นมาจากฉากอันน่าสพรึงกลัวเช่นนี้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 มี.ค. 15, 16:02
ต้นฉบับภาษาอังกฤษสามารถอ่านได้ที่ลิงก์ข้างล่างนี้  ;D

http://query.nytimes.com/mem/archive-free/pdf?res=9402EEDB1F31EE3ABC4A52DFB266838B699FDE (http://query.nytimes.com/mem/archive-free/pdf?res=9402EEDB1F31EE3ABC4A52DFB266838B699FDE)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 16:07
ผมคงไม่ต้องลงระโยงอ้างอิงอะไรอีกต่อไป เพราะแพ้จังหวะคุณเพ็ญชมพู เสือปืนไวประจำห้อง

เรื่องราวของพระปรีชากลการเป็นที่รู้จักกันในวงเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พอสมควร โดยเฉพาะในเรือนไทยดอทคอม ที่เคยมีกระทู้เรื่องเกี่ยวกับพระปรีชากลการหลายหน จนบางท่านอาจเบื่อ  

ฉะนั้นเมื่อท่านอ่านเรื่องที่ฝรั่งในเมืองไทยเขียนแล้วส่งไปพิมพ์ในอเมริกา สำนวนแปลของผมข้างบนแล้ว ยังไม่ต้องตีโพยตีพายนะครับ  ถ้ามองข้ามถ้อยคำรุนแรงที่ผมพยายามเจือจางลงเยอะแล้วบ้าง ก็จะเห็นหลายประเด็นในสารคดีนั้นที่น่าติดตามกันต่อ อย่างน้อยขอให้อ่านข้างล่างนี้ก่อน เป็นคำแปลหนังสือถวายรายงานของลอร์ดซอลสบรี ยังสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร ในเรื่องเกี่ยวกับกงสุลน๊อกซ์  ตามที่เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) อัครราชทูตพิเศษของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เดินทางจากกรุงเทพไปเพื่อขอเข้าเฝ้าถึงกรุงลอนดอน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 16:13
Knox story as told by Lord Salisbury to the Queen

……มีอีกตำแหน่งหนึ่งซึ่งต้องหาคนมาแทนโดยเร็ว คือกงสุลใหญ่ประจำสยาม เกิดมีปัญหาที่ชวนสงสัยขึ้นในกรุงเทพ ซึ่งทำให้ราชทูตคณะเล็กๆต้องเดินทางมาเฝ้าใต้ฝ่าละอองพระบาทเมื่อสองสามวันที่แล้ว

นายน๊อกซ์กงสุลใหญ่ผู้มีธิดาซึ่งเกิดจากภรรยาคนไทย ชื่อนางเฟนนีผู้ซึ่งโดยเต็มใจ และด้วยความรักที่มีต่อขุนนางสยามชื่อพระปรีชา ข้าหลวงจังหวัดหนึ่งผู้ยักยอกทองคำจากเหมืองทองภายใต้ความรับผิดชอบ มูลค่าประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ปอนด์  แล้วมีความวิตกกังวลว่าจะถูกจับได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็คงจะถูกตัดศีรษะ  จึงคิดว่าสิ่งที่จะทำให้ตนหลุดรอดก็คือแฟนนี เขาจึงได้เสียกับเธอและรับจะเลี้ยงดู แต่นายน๊อกซ์ปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงโน้มน้าวให้เธอให้หนีตามเขาไปโดยเรือยอร์ชกลไฟ โดยให้นอนกับภรรยาอื่นที่เขามีอีกจำนวนมากหนึ่งคืน หลังจากนั้นนางก็ขอประนีประนอมกับบิดา และนายน๊อกซ์ก็ถูกบีบให้ยอมรับลูกเขย

(ล่าง-เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ อัครราชทูตพิเศษ ตีพิมพ์ในวารสารVanity ที่ออกในอังกฤษช่วงนั้น)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 16:15
รัฐบาลสยามไม่ยอมรับการกระทำแบบชายชู้ต่อผู้แทนของต่างประเทศ พระปรีชาจึงถูกเฆี่ยนในที่สาธารณะ ๓๐ที  แต่นายน๊อกซ์กลับไม่ยอมรับการชดเชยต่อการเสื่อมเสียเกียรติยศนี้อย่างที่ควร  ตรงกันข้าม เขาแสดงความเดือดดาลที่รัฐบาลสยามไม่ให้ความเคารพ ๑ ไม่สอดส่องดูแลทำให้เกิดปัญหาขึ้นในบ้านของเขา ๒ แล้วยังเฆี่ยนลูกเขยเขาเสียอีก

เขาเรียกร้องคำขอโทษโดยทันที และให้ปล่อยตัวพระปรีชา ผู้ซึ่งกำลังถูกดำเนินคดีเรื่องเหมืองทองคำและถูกคุมขังอยู่  เมื่อรัฐบาลสยามปฏิเสธ เขาได้สั่งการให้เรือรบหลวงเข้าไปกรุงเทพ แต่ยังโชคดี หากลอร์ดซอลสบรีมิได้ทราบเรื่องนี้อย่างทันท่วงที และได้สั่งการทางโทรเลขให้ระงับเสีย เขาก็อาจจะดำเนินการต่อไปถึงขั้นรุนแรง
 คณะราชทูตสยามจึงได้มาประท้วงในเรื่องนี้และนายน๊อกซ์ก็จะต้องกลับบ้านมาอธิบายด้วยตนเอง แต่ดูเหมือนเขาจะมีโอกาสน้อยมากที่จะได้กลับไปกรุงเทพอีกภายหลังโดนข้อกล่าวหา 

สุดท้ายที่ได้รับรายงานเรื่องนี้คือ พระปรีชาได้มอบเอกสารที่อาจจะทำให้ประนีประนอมยอมความกันได้นั้น ให้นางแฟนนีเก็บไว้ แล้วนางปฏิเสธที่จะนำให้ศาลพิจารณา โดยอ้างเอกสิทธิ์ว่าตนอยู่ในความคุ้มครองของประเทศอังกฤษ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 16:17
อ่านแล้วเห็นไหมครับว่า สายข่าวของฝรั่งด้วยกันแท้ๆยังมีมุมมองที่ต่างกัน แล้วรายงานกลับไปประเทศต้นสังกัดด้วยรายละเอียดที่ไม่เหมือนกันแทบจะเป็นคนละเรื่อง  ส่วนที่คนไทยก็พอกัน เขียนหลายสำนวน จนอ่านแล้วไม่ทราบว่าตกลงเรื่องราวจริงๆมันอะไรเป็นอะไร

อันที่จริง ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติมีเอกสารข้อมูลชั้นต้นครบ เป็นบันทึกพระราชกรณีย์กิจสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งมีอยู่ค่อนข้างจะสมบูรณ์มากโดยเฉพาะเรื่องราวของพระปรีชากลการ แต่ต้องนำมาปะติดปะต่อกันหลายฉบับหน่อย เพราะเป็นจดหมายเหตุบ้าง พระราชหัตถเลขาถึงคนโน้นคนนี้บ้าง การเรียบเรียงเรื่องราวจากเอกสารขั้นปฐมภูมินี้ จะได้ความใกล้เคียงความจริงที่สุด เพราะไม่มีใครจะสามารถประดิษฐ์เรื่องเท็จขึ้นได้ในเอกสารนับสิบๆฉบับที่เขียนขึ้นโดยบุคคลต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่ต่างกันเป็นปีๆ

ดังนั้น คดีพระปรีชาที่ผมจะนำเสนอใหม่ในเรือนไทยดอทคอมในอันดับต่อไป น่าจะมีอะไรๆที่แตกต่างจากที่คนอื่น รวมทั้งตัวผมเองที่เคยเขียนๆไว้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 16:19
เชิญทุกท่านร่วมสนทนาครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 25 มี.ค. 15, 17:13
ถึงแม้มีศัตรูไม่มากแต่ถ้าท่านผู้นั้นคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 20:15
เห็นด้วยครับ

ผมได้บรรเลงโหมโรงจบไปแล้ว ต่อไปจะเข้าเนื้อเรื่องโดยจะไปช้าๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านผู้อ่านเข้ามาในกระทู้ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการขัดจังหวะ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 20:20
การเมืองภายในของสยามสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ เป็นเรื่องที่พระเจ้าอยู่หัวหนุ่มทรงพยายามจะเรียกคืนพระราชอำนาจที่ถูกนำไปใช้โดยผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน  แล้วทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น นอกจากที่เกิดขึ้นระหว่างวังหลวงกับวังหน้า ผู้ที่ทรงตั้งข้อรังเกียจว่าผู้สำเร็จราชการเป็นผู้ตั้ง หาใช่โดยพระองค์ท่านเองไม่ บรรดาขุนนางต่อขุนนางด้วยกันก็แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เรียกขานคนอื่นว่าเป็นกลุ่มวังหน้าบ้าง กลุ่มของสมเด็จเจ้าพระยาบ้าง เรียกพวกตนว่าเป็นฝ่ายพระเจ้าอยู่หัว จนกลายเป็นเรื่องบาดหมางระหว่างสมเด็จเจ้าพระยา กับขุนนางสายพระยากระสาปนกิจ (ตระกูลนี้ได้รับพระราชทานนามสกุลในสมัยรัชกาลที่ ๖ ว่า “อมาตยกุล”)

ตระกูลอมาตยกุล เป็นตระกูลขุนนางเก่าที่มีชื่อเสียงทางด้านการช่าง โดยเฉพาะนายโหมด ผู้นำตระกูลมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เวลานั้นนับว่าเป็นหนึ่งในปัญญาชนสยามที่มีกันอยู่เพียงไม่กี่คน เพราะมีความคิดก้าวหน้า ใฝ่ใจศึกษาวิชาการแบบตะวันตก อาศัยการเรียนรู้จากตำรับตำราภาษาอังกฤษวิชาช่างกลด้วยตนเอง ถึงขั้นประดิษฐ์เครื่องกลึงเกลียวโลหะได้ และยังมีความสามารถทางด้านไฟฟ้า เป็นช่างชุบโลหะรายแรกๆ เป็นผู้ผลิตเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับหลอดไฟ และเป็นผู้ที่วางเครื่องจักรกลไอน้ำในเรือกลไฟสยามอรสุมพล


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 มี.ค. 15, 20:26
ขอพาเข้าซอยนิดนึงครับ
 
ความสามารถทางด้านการช่างของนายโหมด ปรากฏแววมาตั้งแต่ยังเป็นมหาดเล็กผู้น้อยในสมัยรัชกาลที่ ๓  คราวหนึ่งมีหน้าที่ตรวจงานซ่อมอุโบสถวัดพระเชตุพน แต่ได้หาญไปทักท้วงพระยาศรีพิพัฒน์โกษาธิบดี (ทัศ บุนนาค)แม่กองก่อสร้างว่า ติดรอกกว้านยาวเกินไป เกรงว่าเชือกแกว่งแล้วจะดึงขื่อให้ถล่มใส่กำแพง โดนพระยาศรีพิพัฒน์สวนว่าเป็นเด็กทะลึ่งมาสอนผู้ใหญ่ แต่แล้วขื่อก็ถล่มลงมาจริงๆทับคนตายไปหลายศพ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงตรัสชมนายโหมดกระทบท่านเจ้าคุณว่า เป็นคนฉลาดหลักแหลมกว่าผู้ใหญ่บางคน แล้วยังโปรดเกล้าฯให้ตั้งศาลเพียงตาสังเวยเทวดาอารักษ์ในจุดเกิดเหตุ  ให้นายโหมดนำหัวหนูไปสังเวยแทนหัวหมู  เป็นการประชดพระยาศรีพิพัฒน์ ไม่ทราบจะทรงหมายความว่า เพราะงานนี้เก่งเล็กเก่งกว่าเก่งใหญ่ หรือเพราะพวกบุนนาคมีต้นตระกูลเป็นมุสลิม


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 05:28
มาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ หลังจากนายช่างที่ตามมาติดตั้งเครื่องจักรผลิตเหรียญกระษาปณ์ที่สั่งมาจากอังกฤษ เกิดเป็นอหิวาต์ตายลง ทั้งๆที่ยังไม่ได้งานได้การ นายโหมดได้แสดงความสามารถทำงานนั้นต่อจนสำเร็จ  เป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นพระวิสูตรโยธามาตย์ จางวางกรมกระษาปณ์สิทธิการ ต่อมายังไปควบตำแหน่งผู้บังคับการโรงหล่อเหล็กในกรมทหารเรือ และผู้บังคับการโรงหุงลมพระประทีปหรือโรงผลิตแก๊สอะเซทิรีนสำหรับไฟส่องสว่างในวังหลวงอีกด้วย
 
ดูเหมือนนายโหมดจะเป็นประเภทสารพัดช่างแบบอ๊อดจ๊อบ คืองานจิปาถะทุกชนิด หลอดไฟสำหรับจุดด้วยแก๊สตอนหลังก็ประดิษฐ์ได้เอง กล้องถ่ายรูปที่พระนางเจ้าวิกทอเรียส่งมาถวายพระเจ้าอยู่หัว จับกังทำตกน้ำที่สิงคโปรตอนเปลี่ยนเรือ นายโหมดก็ซ่อมจนใช้การได้ แล้วเลยกลายเป็นช่างภาพประจำพระองค์ไปอีกตำแหน่งหนึ่ง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 05:37
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พระวิสูตรโยธามาตย์ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นพระยากระสาปนกิจ หลายครั้งที่หนังสือพิมพ์ของฝรั่งที่ออกในกรุงเทพเวลานั้น เช่น สยามวีคลีแอดเวอร์ไทเซอร์ (The Siam Weekly Advertiser) และสยามรีพอซิทอรี (Siam Repository) ของพวกมิชชันนารี ได้เขียนถึงนายโหมด ยกย่องต่างๆนาๆ เราจึงได้ทราบว่านอกจากเรื่องงานช่างแล้ว นายโหมดเป็นคนไทยคนแรกที่พยายามจะเผยแพร่หนังสือประมวลกฎหมายของสยาม และมีโรงงานผลิตยา เมื่อครั้งที่เกิดอหิวาตกโรคระบาดผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมากคราวโน้น  นายโหมดได้ผลิตยารักษาอหิวาต์ออกมาจำหน่าย ช่วยชีวิตผู้คนได้มาก   
เสียดายตอนนั้นนายช่างฝรั่งไม่ยอมกินยาของนายโหมด หรือกินแล้วเลยตายข่าวก็นั้นมิได้แจ้ง

สรุปแล้วนายโหมดผู้นี้ก็คืออัจฉริยะบุคคล ผู้รับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาแล้วถึงสามแผ่นดิน  ก่อนจะเกิดเรื่องที่ไม่แฮปปี้ เอนดิ้งขึ้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มี.ค. 15, 08:59
มาช้าไปหน่อย  ค่อยๆย่องมานั่งแถวหลังค่ะ
ชีวิตพระยากสาปฯ  เป็นชีวิตขุนนางที่ดราม่าที่สุดคนหนึ่งของรัตนโกสินทร์     ขอนั่งฟังคุณนวรัตนบรรเลงต่อเงียบๆค่ะ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 26 มี.ค. 15, 09:23
ผมแอบฟังอยู่ห้องข้างๆครับ
กำลังคิดตามไปว่า สำหรับชาวยุโรป การลงข่าวคดีเกิดขึ้นในประเทศที่ห่างไกลเช่นนั้น จะให้คนที่ติดตามอ่านไปหาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงคงทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว เขาเสนอข่าวนี้เพื่อวัตถุประสงค์ใดกัน เป็นเพียงข่าวซุบซิบไฮโซสมัยโน้น หรือว่า มีจุดมุ่งหมายทางเรื่องอื่น

งืม.. แอบฟังต่อครับ 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 มี.ค. 15, 11:42
ปูเสื่อรอ  ;D 

(http://ptcdn.info/emoticons/catcity/catcity001.png)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 12:05
ผมแอบฟังอยู่ห้องข้างๆครับ
กำลังคิดตามไปว่า สำหรับชาวยุโรป การลงข่าวคดีเกิดขึ้นในประเทศที่ห่างไกลเช่นนั้น จะให้คนที่ติดตามอ่านไปหาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงคงทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว เขาเสนอข่าวนี้เพื่อวัตถุประสงค์ใดกัน เป็นเพียงข่าวซุบซิบไฮโซสมัยโน้น หรือว่า มีจุดมุ่งหมายทางเรื่องอื่น

งืม.. แอบฟังต่อครับ 

น่าคิดทีเดียวครับ แต่หลังจากนั้นพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสุขุมขึ้นกว่าเดิมมาก วัตถุประสงค์ของฝรั่งเมืองไทยที่เขียนไปอาจจะหวังแค่นี้ก็ได้ เพราะเหตุร้ายลำดับต่อไปก็อีกหลายปี  เป็นเรื่องทะเลาะกับฝรั่งเศสในร.ศ. ๑๑๒ ไม่เกียวกับคดีนี้แล้ว ต่อจากนั้นจึงถึงคิวทะเลาะกับคนอเมริกัน

ไอ้เสดฟัน ไอ้กันขวิด ไอ้กิดเฉือน เหตุต่อจาก ร.ศ. ๑๑๒


http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5721.0 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5721.0)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 13:06
ปูเสื่อรอ  ;D 

(http://ptcdn.info/emoticons/catcity/catcity001.png)

ต้องรีบต่อก่อนคนสำคัญจะหลับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 13:10
ตระกูลของพระยากระสาปนกิจโกศลเป็นช่าง จึงมิได้มีบทบาทสำคัญในด้านการเมืองการปกครองเช่นตระกูลบุนนาค  แต่ความที่มีชื่อเสียงกว้างขวางในหมู่ชาวตะวันตก และลูกชายคนโตไปเรียนวิชาช่างในอังกฤษจบมา ทำให้ตระกูลอมาตยกุลก้าวขึ้นมามีบทบาทเด่นในต้นรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นระยะที่การเมืองของไทยเกิดความตึงเครียดสูง พระยากระสาปน์ฯเป็นขุนนางอีกผู้หนึ่งที่ขณะนั้น ได้แสดงตัวอย่างเปิดเผยว่าเป็นฝ่ายเดียวกับพระเจ้าอยู่หัว

ย้อนไปเมื่อปลายรัชกาลที่ ๔ หลังสิ้นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ กษัตริย์วังหน้าแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มีอำนาจมาก นายเฟร์เดอริก การ์นิเยร์ ผู้ซึ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งกงสุลฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๕ ได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองไทยอย่างใกล้ชิดและได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงนั้นบางตอนไว้ว่า

"พระบรมวงศานุวงศ์รู้สึกอับอายและไร้ศักดิ์ศรีอย่างยิ่งที่ต้องก้มหน้าให้อำนาจอันยิ่งใหญ่ของสมุหพระกลาโหม และต้องยอมให้ตำแหน่งสำคัญต่างๆ ตกอยู่ในมือของครอบครัว 'บุนนาค' และ 'คนใกล้ชิดกับครอบครัวบุนนาค' กรมขุนวรจักรธรานุภาพ พระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งกรมท่า(กระทรวงต่างประเทศ)แทนน้องชายของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ [เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)] เพียงไม่กี่เดือนก่อนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต แต่ด้วยพระอัธยาศัยทำอะไรตามสบาย ทำให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ไม่พอใจและได้ให้น้องชายอีกคนของท่าน (เจ้าพระยาภาณุวงศ์) ดำรงตำแหน่งนี้แทน"

กลุ่มคนชั้นสูงพากันวิพากษ์วิจารณ์กันว่าถ้าในหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหมอาจจะแย่งชิงราชสมบัติ ตามรอยพงศาวดารสมัยกรุงศรีฯ พระวิสูตรโยธามาตย์(โหมด) พร้อมกับเจ้าหมื่นสรรเพชรภักดี (เพ็ง) และเจ้าหมื่นเสมอใจ (เอม) ได้ทำสัญญากันว่าคอยปกป้องคุ้มครองสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์อย่างถึงที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆจะไม่ใช่อย่างที่กลัวกัน แต่ความรู้สึกที่เป็นอคติต่อท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดินก็มิได้หายไป  ในต้นรัชกาลขณะที่พระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์นั้น แม้ขุนนางส่วนมากจะเป็นพรรคพวกของผู้สำเร็จ แต่ก็ยังมีขุนนางระดับสูงบางคน รวมทั้งพระยากระสาปน์ฯด้วย  ที่ร่วมมือร่วมใจกันเคียงข้างพระเจ้าอยู่หัว เพื่อหาทางคานอำนาจของสมเด็จเจ้าพระยา ตามแต่โอกาสจะอำนวย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 13:14
เป็นโชคดีของเมืองไทยที่ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ส่วนตัวท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เมื่อขึ้นหิ้งแล้วก็สละตำแหน่งสมุหพระกลาโหม เปลี่ยนมือให้เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) บุตรชายคนใหญ่ดำรงตำแหน่งแทน ตรงนี้มีข่าวเล็กๆว่าเจ้าพระยาภาณุวงศ์ น้องชายไม่พอใจพี่คนโต  หาว่าย้ายตนจากปลัดกลาโหม ไปเป็นเสนาบดีเกษตร เพราะมีวาระซ่อนเร้นที่จะเอาลูกชายเสียบแทนนั่นเอง และรอยร้าวของตระกูลบุนนาคก็ปรากฏชัดในเกมการเมืองลำดับต่อไป

ความอึดอัดของพระเจ้าอยู่หัวที่สุดก็มาลงที่เรื่องเงิน ทรงเรียกผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปต่อว่าครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงพบว่ารายได้ของพระคลังข้างที่มีแต่จะลดลงๆ เมื่อเปรียบเทียบกับรัชกาลก่อน จนปีหนึ่งถึงกับไม่พอจ่ายค่าเบี้ยหวัดเจ้านายและข้าราชสำนัก ต้องผลัดชำระเจ้าหนี้บางรายไปก่อน ทำให้ทางวังเสียหน้าเสียตามาก เรื่องนี้ผู้สำเร็จฯกราบบังคมทูลเสียงเข้มว่า “..เงินพระคลังข้างที่จะเอาเต็ม เงินที่ขาดค้างจะให้ตกอยู่กับพระคลังมหาสมบัติ….”

พระคลังมหาสมบัติเดี๋ยวนี้ก็คือกระทรวงการคลังนั่นเอง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 13:23
แต่เรื่องนี้พระเจ้าอยู่หัวหนุ่มทรงเห็นว่ามันมั่วๆชอบกล 

รายได้แผ่นดินตอนนั้น ทางวังหลวงกับวังหน้าแบ่งพื้นที่เก็บภาษีกันเป็นสามส่วน วังหลวงสอง วังหน้าหนึ่ง สมัยพระปิ่นเกล้าฯก็โอเค เพราะพระองค์เป็นกษัตริย์ และวังหน้ามีทั้งทัพเรือทัพปืนใหญ่จะต้องทำนุบำรุง ครั้นมาเป็นวังหน้าสมัยกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ความจำเป็นของชาติมิได้มีขนาดนั้น ซ้ำการมีกองทัพที่แยกผู้บังคับบัญชาสูงสุด ก็คือระเบิดเวลาของประเทศอย่างหนึ่ง ซึ่งตูมตามขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์  ระเบิดลูกนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลดชนวน

ทรงเห็นว่า รายได้ของแผ่นดินควรจะนำมารวมที่เดียวกันก่อน แล้วจัดสรรกันใหม่ตามความจำเป็น แต่เรื่องนี้ผู้สำเร็จราชการยังปฏิเสธ ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย แต่มันจะส่งผลกระทบกระเทือนไปทั่วแผ่นดิน เพราะสยามใช้ระบบจตุสดมภ์ เงินหลวงที่จ่ายไปยังข้าราชการทั้งประเทศแบบไม่พอกินพอใช้ แต่เปิดโอกาสให้ขุนนางไปหาเพิ่มเอาเองจากราษฎรเพื่อเลี้ยงคนในสังกัดเป็นทอดๆ ในรูปแบบของส่วยต่างๆ และการค้าผูกขาด เสมือนมาเฟีย มือใครยาวสาวได้สาวเอา มันยากยิ่งที่จะรื้อทั้งระบบ

ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ท่านอาจจะบอกว่า เห็นมั้ย เป็นไงล่ะ เดี๋ยวนี้พวกเจ้าก็ยังแก้กันไม่ได้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 13:57
แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงมุ่งมั่นแบบคนหนุ่มใจร้อน เมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้วกระทำพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกครั้งที่สอง เป็นพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจอันสมบูรณ์  พร้อมๆกับการหมดหน้าที่ผู้รักษาราชการแผ่นดินของสมเด็จเจ้าพระยา พระราชกรณียกิจสำคัญเริ่มแรกก็คือ การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินให้ไปสู่ความทันสมัย

ตระกูลอมาตยกุลเป็นผู้มีบทบาทและเป็นกำลังสำคัญในปฏิบัติการดึงอำนาจจากขุนนางให้คืนสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้สภาขุนนางที่ทรงตั้งขึ้นแบบหนามยอกเอาหนามบ่ง เป็นเครื่องมือ

พระเจ้าอยู่หัวยังทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ขึ้นสองสภา ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นขุนนางทั้งหมด และในบรรดาสมาชิกที่มีเพียงไม่กี่คน พระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด) พระยาเจริญราชไมตรี (ตาด) น้องชาย ได้เป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ส่วนสภาที่ปรึกษาในพระองค์ พระปรีชากลการ(สำอาง) และหลวงพิจารณ์จักรกิจ(เจิม) บุตรชายสองคนของพระยากระสาปน์ฯ ก็ได้รับแต่งตั้งให้ร่วมเป็นสมาชิก

ตระกูลอมาตยกุลที่ได้รับตำแหน่งสมาชิกทั้งสองสภา มีมากเป็นอันดับสองคือ ๔ คน รองลงมาจากตระกูลบุนนาค ซึ่งมีจำนวน ๖ คน ถือได้ว่าไม่ห่างชั้นกัน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 13:59
๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๗  ปรากฏนิตยสารฉบับแรกของไทย ชื่อว่า "ดรุโณวาท" โดยพระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ พระอนุชาองค์หนึ่งเป็นบรรณาธิการ  ทรงแถลงว่าได้รับพระบรมราชานุญาตให้ออกหนังสือเล่มนี้ แล้วยังทรงช่วยอุดหนุนให้ทำสำเร็จด้วย  "ดรุโณวาท" แปลตรงตัวว่า 'โอวาทของเด็ก'   สื่อความหมายแฝงว่าเป็นคำสอนของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการให้คนรุ่นเก่าได้รับรู้ไว้ซะบ้างว่าโลกเขาไปถึงไหนๆกันแล้ว ในเล่มมีเจ้านายหนุ่มๆและข้าราชการหัวก้าวหน้าเรียกตัวเองว่า “กลุ่มสยามหนุ่ม” ช่วยกันเขียนบทความสนับสนุนแนวพระราชดำริในการปฏิรูป พระปรีชากลการก็ปรากฏบทบาทอยู่ในกลุ่มสยามหนุ่มนี้
แต่ที่เจ็บก็คือบทความประจำของดรุโณวาทที่จะเล่านิทานการเมือง กระแนะกระแหนติเตียน“กลุ่มสยามเก่า” อันได้แก่พวกขุนนางผู้ใหญ่ที่ศัพท์การเมืองสมัยนี้เรียกว่าพวกไดโนเสาเต่าล้านปี  พุ่งเป้าไปที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้พยายามรักษาสถานภาพของตระกูลบุนนาค  และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญผู้พยายามรักษาสถานภาพของวังหน้า


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 14:01
เมื่อสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินจับงานการปรับปรุงแก้ไขการเก็บภาษีอากรที่อยู่ในความควบคุมของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์  ก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เมื่อพระยาอาหารบริรักษ์(นุช) เสนาบดีกรมนา ผู้เป็นญาติของตระกูลบุนนาค ประกาศจุดยืนคัดค้านนโยบายจัดเก็บภาษีนาแบบใหม่ ว่าปฏิบัติจริงไม่ได้ เลยโดนข้อหาไม่ร่วมมือกับสภาที่ปรึกษาฯ แล้วถูกตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบัญชีของกรม เจอข้อบกพร่องเข้าจังเบ้อเร่อ เลยเจอข้อหาคอร์รัปชั่นเข้าให้เต็มพิกัด

งานสำคัญชิ้นนี้ พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งให้พระยากระสาปนกิจโกศล เป็นประธานคณะตุลาการศาลรับสั่ง(คือศาลพิเศษ) ชำระความกรมนา มีอมาตยกุลอีก ๒คน ร่วมเป็นกรรมการ ทั้งพระยาเจริญราชไมตรี และหลวงพิจารณ์จักรกิจ รับสั่งให้คณะตุลาการสอบสวนให้จริงจัง โดยไม่ต้องคำนึงถึงหรือเกรงกลัวอิทธิพลของผู้ใด  แม้จะเป็นคนของพระองค์เองก็ตาม

พระเจ้าอยู่หัวตั้งพระทัยจะใช้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง ให้เห็นว่าพระองค์มีความตั้งพระทัยมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการแผ่นดินเสียใหม่ ด้วยเหตุผลตามสำนวนที่ทรงมีพระอักษรว่า “จะได้ไม่เสียที่ปลายมือ”

พระยากระสาปน์ ประธานตุลาการศาลรับสั่ง จึงตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษในการสอบสวนจำเลยและพยานต่างๆอย่างเข้มข้น  จนได้ความว่า พระยาอาหารร่วมมือกับเสมียนตราและเจ้าพนักงานในกรมนา ฉ้อราษฎร์บังหลวง ปลอมแปลงบัญชีและยักยอกเงินค่านาไปเป็นส่วนตัว และยังได้พาดพิงสมเด็จเจ้าพระยาว่า พระยาอาหารได้ยักยอกข้าวสารจากฉางหลวงไปกำนัลสมเด็จเจ้าพระยาปีละ ๑๑-๑๓ เกวียน  และนำข้าวเปลือกมอบให้ท่านผู้หญิงพันผู้เป็นภรรยา ปีละ ๗๐-๙๐ เกวียนทุกปี ซึ่งในที่สุดของคดี พระยาอาหารได้รับการลงพระราชอาญา ปลดออกจากราชการ ถูกริบราชบาทว์ ถูกเฆี่ยน แต่โทษประหารพอถึงพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกไว้ คงเป็นจำคุกตลอดชีวิต  

ถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูแบบเลือดสาด  กระเซ็นเข้าตาลิงทั้งหลายจนช๊อค แทบจะตกต้นไม้ไปตามๆกัน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มี.ค. 15, 14:18
ขอสลับฉากหน้าม่าน

เชิญท่านนวรัตนจิบชาแก้คอแห้งก่อน    ดิฉันมีเวลาแป๊บก่อนลงเรือนไปงาน ขอเล่าถึงท่านโหมด พระยากระสาปนกิจโกศลอีกสักเล็กน้อย

ท่านผู้นี้เป็นคนเปรื่องปราดอย่างที่ฝรั่งเรียกว่าเป็นพวก was born before the time  คือเป็นพวกล้ำสมัย   เห็นอะไรที่คนร่วมสมัยไม่เห็น ทำอะไรที่คนร่วมสมัยไม่ทำ

ย้อนหลังกลับไปสมัยรัชกาลที่ 1    หนังสือหนังหาต่างๆไม่ได้พิมพ์ขายกันอย่างสะดวกเหมือนสมัยนี้    แม้แต่ตำรากฎหมายซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งหลายควรรู้  ทางการก็ไม่ได้ให้คัดลอกเผยแพร่ให้รู้กันอย่างแพร่หลายเหมือนยุคนี้       เมื่อก่อนมีโรงพิมพ์เกิดขึ้นในสยาม ก็เป็นที่เข้าใจถึงความยากลำบากที่จำนวนหนังสือมีอยู่จำกัด
แต่เมื่อหมอบรัดเลย์ตั้งโรงพิมพ์    หนังสือต่างๆก็เริ่มขยายวงกว้างขึ้น    ข้าราชการหนุ่มคนหนึ่งชื่อนายโหมด ไปหาสำเนากฎหมายตั้งแต่รัชกาลที่ 1 มาได้ ครบ 1 ชุด  เห็นว่าเป็นประโยชน์ที่ประชาชนจะมีความรู้ทางกฎหมาย  ก็ไปจ้างโรงพิมพ์พิมพ์ขึ้นโดยไม่ได้ขออนุญาตจากทางราชการ 
กลายเป็นเรื่องใหญ่  สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ กริ้วว่า ถ้าใครๆ มีกฎหมายอยู่ในมือไม่เลือกหน้า พวกเจ้าถ้อยหมอความก็จะเอาไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับคดโกงให้ยากแก่กระบิลเมือง จึงดำรัสสั่งให้ริบหมดทั้งฉบับเขียนและฉบับพิมพ์  และให้เอาไปเผา


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มี.ค. 15, 14:23
แต่หนังสือส่วนหนึ่งที่พิมพ์แล้วยังเหลือรอดเป็นหนังสือต้องห้าม เก็บไว้ในหอพระสมุด      ต่อมาในรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นประโยชน์ของการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายพระจอมเกล้าฯ  ทรงเห็นว่านายโหมดตีพิมพ์กฎหมายเป็นคุณต่อแผ่นดิน ไม่ควรจะริบมาเก็บเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดเห็น ก็เลยทรงมีพระบรมราชานุญาตให้เผยแพร่ได้   ทรงซื้อแจกทุกโรงทุกศาล ที่เหลือก็ขายเล่มละ 10 บาท
ทางโรงพิมพ์จึงได้มีโอกาสจำหน่ายหนังสือกฎหมายให้แก่ประชาชนทั้งเล่ม 1 และเล่ม2  นายโหมดก็รอดตัวไป   

ก็ยังไม่พบว่านายโหมดโดนพระราชอาญาในรัชกาลที่ 3 ด้วยหรือเปล่า  ต้องส่งไม้คืนซายานวรัตน   ถึงเวลาลงจากเรือนแล้วค่ะ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 14:43
เยี่ยมเลยครับ

ขอบพระคุณที่อุตสาห์ปลีกเวลามาสลับฉาก อยากได้อย่างนี้เยอะๆ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 มี.ค. 15, 14:54
คดีพระยาอาหารได้ผลตามคาด  เพราะเป็นเรื่องกระเทือนศักดิ์ศรีของตระกูลบุนนาคมาก เพราะนอกจากเกี่ยวดองนับญาติกันแล้ว พระยาอาหารยังเป็นพ่อตาของพระอมรวิไสยสรเดช (โต บุนนาค) บุตรของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ สมุหกลาโหม ผู้เป็นบุตรคนโตของสมเด็จเจ้าพระยาโดยตรงอีกที

แม้เรื่องที่พระยาอาหารพาดพิงถึงสมเด็จเจ้าพระยา  เช่นนำเงินอากรค่านาที่เสนาบดีกรมนาคนก่อนเคยถวายเป็นเงินพระคลังข้างที่ ปีละ ๒,๐๐๐ ชั่ง ไปมอบให้กับสมเด็จเจ้าพระยา และเรื่องใช้อำนาจที่มีอยู่นำข้าวเปลือกข้าวสารในความดูแลซึ่งเป็นของหลวงไปกำนัลแก่สมเด็จเจ้าพระยาและท่านผู้หญิง พระเจ้าอยู่หัวจะไม่ทรงติดใจ เพราะท่านก็ว่าท่านนำไปเลี้ยงดูคนในสังกัด ซึ่งถือว่าเป็นคนของทางราชการเช่นกัน แต่ถึงตอนนี้ การโจมตีของกลุ่มสยามหนุ่มก็เพิ่มกระแสรุนแรง  ทั้งข่าวเต้าข่าวลือข่าวใต้ดิน

ที่เล่นแบบจะๆบนดินนั้น ดรุโณวาทลงบทความของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค)น้องชาย โจมตีฝ่ายสยามเก่าว่าทำงานล้มเหลว แล้วยังหวงอำนาจ โฉบมาจบที่วังหน้าว่าคณะที่ปรึกษาจะถวายความจงรักภักดีต่อผู้สืบราชสมบัติที่เป็นโอรสของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น

เจอหมัดชุดนี้ของบุนนาคหัวก้าวหน้าผู้น้องชายคนเล็กต่างมารดาของตนเองเข้า สมเด็จเจ้าพระยาท่านถึงกับต้องเซเข้ามุม  หลบไปให้น้ำยังจวนที่ราชบุรี ถิ่นอิทธิพลเก่าของตนเองเลยทีเดียว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 มี.ค. 15, 15:20
ระหว่างคุณนวรัตนพักยก ขอเข้ามาเสริมที่มาของนามสกุล "อมาตยกุล" และ "บุนนาค"

และในบรรดาสมาชิกที่มีเพียงไม่กี่คน พระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด) พระยาเจริญราชไมตรี (ตาด) น้องชาย ได้เป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน

พระยาเจริญราชไมตรี (ตาด) ต่อมาได้เป็น พระยาธรรมสารนิติพิพิธภักดี ผู้พิพากษาศาลต่างประเทศ  มีบุตรธิดากับคุณหญิงอิ่ม  ๖ ท่านชื่อคล้องจองกันไพเราะทีเดียวคือ แสนถนอม-จอมถวิล-ปิ่นอนงค์-พงษ์ประวัติ-ถัดประคอง-รองจรูญ บุตรคนที่สองต่อมาได้เป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ (ถวิล) มีบุตรกับคุณหญิงทรามสงวน ๖ ท่าน

คุณหญิงทรามสงวน  มีบุตรกับพระยาอภัยรณฤทธิ์ (ถวิล  อมาตยกุล)  ดังนี้

๑.พระยาอภัยรณฤทธิ์ (เกษียร  อมาตยกุล)  

๒.พระยาวิชิตสรสาตร์ (อำนวย  อมาตยกุล)

๓.พระยาอรรถกลยวทาวัท  (กระแส  อมาตยกุล)

๔.ท่านผู้หญิงนงเยาว์ ภรรยาเจ้าพระธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม  มาลากุล)

๕.คุณหญิงชลอ  ภรรยาพระยาสรกิจพิศาล (ดำริห์)

๖.พระยารักษาเทพ  (เชาวน์  อมาตยกุล)

๗.ญ ชื่อ สนาน

บุตรคนแรกนี้แหละเป็นผู้ขอพระราชทานนามสกุล "อมาตยกุล" ตามราชทินนามของพระยามหาอำมาตย์ (ป้อม) ผู้เป็นบิดาของ พระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด) และ พระยาธรรมสารนิติพิพิธภักดี (ตาด)  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 มี.ค. 15, 15:41
ที่เล่นแบบจะๆบนดินนั้น ดรุโณวาทลงบทความของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค)น้องชาย โจมตีฝ่ายสยามเก่าว่าทำงานล้มเหลว แล้วยังหวงอำนาจ โฉบมาจบที่วังหน้าว่าคณะที่ปรึกษาจะถวายความจงรักภักดีต่อผู้สืบราชสมบัติที่เป็นโอรสของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น

เจอหมัดชุดนี้ของบุนนาคหัวก้าวหน้าผู้น้องชายคนเล็กต่างมารดาของตนเองเข้า สมเด็จเจ้าพระยาท่านถึงกับต้องเซเข้ามุม  หลบไปให้น้ำยังจวนที่ราชบุรี ถิ่นอิทธิพลเก่าของตนเองเลยทีเดียว

ผู้ขอพระราชทานนามสกุล "บุนนาค" ก็คือ "บุนนาคหัวก้าวหน้า" คนนี้นี่เอง  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 26 มี.ค. 15, 22:22
เว้นจากการเข้าเรือนไทยเพียงแค่วันเดียว มาวันนี้ก็มีเรื่องยาวให้ติดตามอีกแล้ว ชอบค่ะชอบ ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 07:48
เว้นจากการเข้าเรือนไทยเพียงแค่วันเดียว มาวันนี้ก็มีเรื่องยาวให้ติดตามอีกแล้ว ชอบค่ะชอบ ;D

 :D ขอบคุณครับ ขอบคุณคุณเพ็ญด้วย

เช้านี้ มาต่อกันในเหตุการณ์หลังจากนั้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 07:49
พระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งให้พระยาราชวรานุกูล(รอด) สมาชิกสภาที่ปรึกษาราชการ แผ่นดินและที่ปรึกษาในพระองค์ ให้เข้าดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมนาแทน ผลประโยชน์จากกรมนั้นจึงถ่ายเทจากสมเด็จเจ้าพระยา กลับมาสู่พระราชอำนาจ

แม้ว่าสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จะมิได้คัดค้านหรือแสดงความไม่พอใจในเรื่องนี้อย่างออกนอกหน้า แต่คนทั่วไปทั้งไทยและเทศต่างตั้งข้อสังเกตว่า ท่านใช้น้ำอดน้ำทนรอเวลาถึง ๕ ปี พระปรีชากลการบุตรชายคนโตของพระยากระสาปนกิจโกศลก็พลาดบ้าง โดนข้อหาเดียวกัน คือฉ้อโกงของหลวงเข้าให้มั่ง ทำให้ตัวพระยากระสาปน์ผู้บิดาและครอบครัวอมาตยกุลคนสำคัญๆทั้งหมดต้องตกเป็นจำเลย โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาและคนใหญ่คนโตในตระกูลบุนนาค เป็นผู้ที่มีบทบาทร่วมเป็นพระเอกของคดี

ผลของคดีจบลงไม่เหมือนกัน  ตอนนั้นยังไม่มีใครคิดคำว่าสองมาตรฐาน มิฉะนั้น บทความของนิวยอร์คไทม์ฝรั่งคงเล่นคำว่า double standard


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 07:57
ก่อนจะถึงเรื่องดังกล่าว สยามต้องผ่านเรื่องใหญ่ทางการเมืองอีกเรื่องหนึ่งก่อน คือ หลังจากที่ได้สยบสมเด็จเจ้าพระยาไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็ถึงคิวกระพระราชวังบวรวิไชยชาญ แล้วเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า วิกฤตวังหน้า

ผมได้เขียนเรื่องนี้ไว้แล้วในกระทู้เรื่อง “  นิราศกรมหมื่นสถิต ว่าด้วยวิกฤตวังหน้า” ท่านที่สนใจสามารถย้อนกลับไปอ่านได้ตามระโยงข้างล่าง

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4297.0 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4297.0)

ผมจะไม่เขียนเรื่องซ้ำๆกันอีก นอกจากจะขอนำใจความที่ผมเจอใหม่ในเว็บ อ้างถึง พ.อ.รศ.ดร.พีรพล สงนุ้ย อาจารย์ประจำกองวิชาประวัติศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ผู้เคยศึกษาเอกสารชั้นต้นของกองจดหมายเหตุกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส   ได้เขียนบทความเปิดเผยเรื่องที่กงสุลการ์นิเยร์ ( Frederic Garnier) เขียนรายงานจากกรุงเทพส่งไปปารีส เริ่มตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์วังหน้าจนจบ ซึ่งท่านเห็นว่ามีความน่าเชื่อถือ เพราะเอกสารมีความสมบูรณ์มาก และฝรั่งเศสในช่วงนั้นอยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ไม่มีส่วนได้เสียโดยตรงกับการเมืองไทย  

นายการ์นิเยร์ได้บันทึกเหตุการณ์กรณีวังหน้าในช่วงนั้นไว้ดังนี้

"ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีสิ่งบอกเหตุหลายอย่างทำให้คิดว่า (autorisent a penser) พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๑ ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าพระองค์ไม่ทรงโปรดกษัตริย์พระองค์ที่ ๒ เลย ได้ทรงร่วมกันวางแผนกับคนสนิท (ses plus intimes confidents) เพื่อหาทางถอดถอน แล้วจะโปรดเกล้าฯให้พระอนุชาร่วมพระชนนีทรงเป็นวังหน้าแทน หรือยุบวังหน้าไปเลยเพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดิน แต่กระทำการสำคัญนี้จะต้องไม่ใช้ความรุนแรง  วังหน้าต้องทรงกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิดอย่างมหันต์ก่อน จึงจะขอให้ที่ประชุมเสนาบดียอมรับการถอดถอนวังหน้าได้  แต่ด้วยพระชนมายุ ๔๐ เศษและพระประสบการณ์ที่สั่งสม  ทำให้วังหน้าค่อนข้างเก็บพระองค์ ไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับใคร และทรงระมัดระวังพระองค์อย่างมากในทุกโอกาส ทำให้จับผิดพระองค์ได้ยาก เมื่อวังหน้าไม่ทรงมีข้อบกพร่อง ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ใดๆ ที่สามารถใช้เป็นข้ออ้างได้ พวกเขาจึงไม่พลาดโอกาสที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์"  


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 08:02
"คืนวันที่ ๒๘ ธันวาคม เกิดไฟไหม้ (บางทีวางเพลิงเพื่อเหตุผลดังที่กล่าวแล้ว) ในเขตพระบรมมหาราชวัง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับวังหน้า กรณีเช่นนี้ ตามโบราณราชประเพณี เป็นหน้าที่โดยตรงของวังหน้าที่ต้องดับไฟ ด้วยเสียงกลองฆ้องให้สัญญาณเตือนภัย

พระมหาอุปราชซึ่งกำลังประชวรด้วยโรคไขข้อ(rhumatisme) ทำให้เสด็จพระดำเนินไม่ได้นับเดือนแล้ว (qui un rhumatisme empechait de marcher depuis un mois) เจ้าหน้าที่เวรยามของวังหน้า รีบวิ่งไปดับเพลิงแต่ลำพังโดยทุกนายมีถังน้ำอยู่ในมือ ไม่ช้าเพลิงจึงสงบ ทันใดนั้นเองพวกที่หลบอยู่คอยโอกาสจะให้โทษวังหน้าก็ออกมากล่าวหาว่า พระมหาอุปราชทรงส่งทหารมาเพื่อยึดวังหลวงและเพื่อจับพระมหากษัตริย์ (Immediatement, les gens qui quetaient une occasion d'incrimer le Wangnah l'accuerent d'avoir envoye ses soldats pour envahir le palais et saisir du Premier Roi) มีคนยืนยันแม้กระทั่งว่า ได้เห็นวังหน้าเสด็จฯ ตรวจการณ์รอบพระบรมมหาราชวังบนหลังม้า ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงขยับเขยื้อนไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องที่กล่าวมานี้จะจริงหรือเท็จ ความวิตกกังวลเรื่องการยึดอำนาจโดยวังหน้าก็ได้แผ่ขยายออกไปแล้ว

พระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการให้ระดมกำลังไพร่พลในเขตพระนครและติดอาวุธให้ รวมทั้งอาสาสมัครจากบริเวณปริมณฑล ข่าวการระดมไพร่พลนี้ ทำให้วังหน้า ซึ่งทรงมีกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือตลอดเวลา ๔๐๐ นาย จึงจัดกำลังเพื่อป้องกันพระบวรราชวังจากการโจมตี เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในวันที่ ๒๙ ธันวาคม..."


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 08:32
แม้สาเหตุของเพลิงไหม้จะไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า เป็นเพราะเหตุใด แต่สุดท้ายกรมพระราชบวรได้เสด็จลี้ภัยไปอยู่สถานกงสุลอังกฤษ ตามข้อความในบทโหมโรงของผมข้างบนของกระทู้นี้

รายงานของนายการ์นิเยร์ ไม่ได้เอ่ยถึงอุบัติเหตุ แต่ก็ไม่กล้าระบุลงไปตรงๆว่าเป็นฝีมือของใครที่ทำให้เพลิงเกิดลุกขึ้น
แต่แก๊สมันลุกเป็นไฟด้วยตัวมันเองไม่ได้ ต้องมีคนกระทำ จะทำด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผมขอตั้งข้อสังเกตว่าไม่มีเอกสารฝ่ายไทยที่กล่าวถึงสาเหตุ และการลงโทษผู้ที่ประมาทเลินเล่อจนทำให้เกิดไฟไหม้  หากใช้พื้นฐานเดียวกับที่ เดวิด บี. เจ. อดัม (David B.J. Adams) เขียนไว้ว่า ได้พบเอกสารของกงสุลฝรั่งเศสที่รายงานไปยังกรุงปารีสก่อนเหตุไฟไหม้จะเกิดขึ้น มีความว่า ได้มีประกาศข้อความคิดอยู่ในที่สาธารณะ เป็นเชิงล้อเลียนกระทบถึงท่าทีของสมเด็จเจ้าพระยาที่มีต่อปฏิกิริยาของกลุ่มสยามหนุ่ม ผู้ต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยท่านระบุว่าคนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่ก่อกวนความสงบสุข เป็นตัวทำลายชาติบ้านเมือง ถ้าดังนั้นก็ขอให้ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินกวาดล้างคนพวกนี้ พร้อมทั้งล้มล้างสภาที่ปรึกษาไปด้วยเลย ท้ายประกาศแม้จะไม่ลงชื่อผู้เขียน แต่การ์นิเยร์ระบุว่า ผู้ที่เขียนข้อความดังกล่าวคือบุตรชายของพระยากระสาปนกิจโกศล คือ พระปรีชากลการ หลวงพิจารณ์จักรกิจ และหลวงพินิจจักรภัณฑ์

ถ้าข้อมูลของฝรั่งเศสเป็นความจริง ผมก็กล้าที่จะพูดว่า พี่น้องสามใบเถาเป็น activist ในความขัดแย้งทางการเมืองขณะนั้น
แล้วโรงแก๊สในวังหลวงซึ่งควบคุมดูแลโดยตัวบิดา นายช่างใหญ่เมืองสยามผู้มีชื่อเสียง และลูกๆที่ได้ชื่อว่าหัวรุนแรง การระเบิดแล้วเกิดเพลิงไหม้ภายใต้ภาวะที่ควบคุมได้ เพลิงลุกในวงจำกัด และสามารถดับลงอย่างรวดเร็วก่อนจะลุกลามไปที่อื่นนั้น คือข้อพิรุธ
 
แล้วหลังจากนั้นก็ยังโปรดเกล้าให้หลวงพินิจจักรภัณฑ์ ผู้รับผิดชอบ  ย้ายโรงผลิตแก๊สไปอยู่แถวหน้าวัดสุทัศน์ เมื่อทำเสร็จแล้วทรงเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เป็นพระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน และเป็นผู้บังคับการโรงแก๊สแทนบิดาด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง แถมด้วยเหรียญบุษปมาลาเป็นบำเหน็จ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 08:47
ความไว้วางพระราชหฤทัยพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อครอบครัวพระยากระสาปนกิจโกศลนั้นลึกซึ้งมาก  จนกระทั่งเรื่องเงินๆทองๆ เห็นได้จากการที่พระยากระสาปน์ฯและบุตรทั้งสาม ได้รับราชการมีตำแหน่งใหญ่ๆ กระจุกตัวอยู่ในกรมกระษาปณ์สิทธิการทุกคน  มีหน้าที่ผลิตเหรียญบาทที่มีส่วนผสมของเงินแท้ออกสนองตลาดเศรษฐกิจ  แต่มีหลักฐาน ฝรั่งเคยต่อว่าๆเหรียญบาทไทยไม่มีมาตรฐานเท่าที่ควร เพราะพบว่ามีจำนวนมากที่มีสินแร่เงินน้อยกว่าที่รัฐบาลกำหนด  เรื่องเช่นเดียวกันนี้ ครั้งหนึ่งสมเด็จเจ้าพระยาก็เคยตั้งข้อสังเกตในปี ๒๔๑๗ว่า มีเหรียญเงินปลอมที่ผลิตออกไปจากแท่นของโรงกระษาปณ์เอง แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงแสดงความสงสัยว่า พวกของพระยากระสาปน์เป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องการผสมเงินผสมทอง จะเป็นผู้ทำของปลอมออกมาให้ถูกจับได้ง่ายๆได้อย่างไร ปรากฏในพระราชหัตถเลขาถึงกรมพระยาบำราบปรปักษ์
 
แม้กระนั้น เมื่อพระองค์โปรดให้ตั้งเจ้าพนักงานคนอื่นในโรงกระษาปณ์ เป็นคณะกรรมการพิสูจน์เงินปลอมนั้น ก็ได้ความจริงว่า เป็นเหรียญเงินที่ผลิตจากโรงกระษาปณ์จริง แต่เป็นเหรียญมีตำหนิที่จะต้องคัดทิ้งตามระบบตรวจสอบ ทว่าบางส่วนเกิดหลุดออกไปได้ด้วยมือที่มองไม่เห็น 
ต่อเรื่องนี้ พระเจ้าอยู่หัวก็เพียงทรงมีพระราชหัตเลขาถึงเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ว่า เหรียญบาทที่ผลิตออกมามีเป็นจำนวนมาก ก็ย่อมจะต้องหลงหูหลงตาเจ้าพนักงานไปบ้างเป็นธรรมดา แล้วมีพระราชบัญชาให้เจ้าพระยาสุรวงศ์ออกประกาศ ให้ผู้ที่มีเงินปลอมเหล่านั้นนำมาแลกของใหม่

เรื่องนี้ก็เป็นอันปิดฉาก


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 มี.ค. 15, 09:31
นึกถึงเรื่องเพลิงไหม้  นึกถึงสงครามข่าวกรองที่ดำเนินมาระยะหนึ่งก่อนเกิดเหตุวิกฤตวังหน้า   เมื่อเกิดเหตุตูมตามขึ้นมา   ทำให้วังหน้าตัดสินพระทัยหนีมากกว่ามอบตัว 
แล้วนึกถึงกลศึกในเรื่องพระอภัยมณี

จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ         ประหารบุตรเจ้าลังกาให้อาสัญ

สงครามมีหลายรูปแบบ มากกว่าที่พงศาวดารหรือประวัติศาสตร์บันทึกไว้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 10:22
เห็นจะจริง

ถ้าอ่านสามก๊ก จะเห็นว่าสงครามไม่จำเป็นต้องประดาบเพื่อเอาชนะ รอยหยักในสมองนั่นแหละที่สำมะคัญ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 13:11
สุดท้ายวิบากกรรมก็นำไป

เพราะทรงเห็นว่าครอบครัวนี้มีความชำนิชำนาญเรื่องเล่นแร่แปรธาตุเงินๆทองๆ  แล้วใครเล่าจะเหมาะสมเท่า สำหรับความไว้วางพระราชหฤทัยที่จะส่งไปทำเหมืองแร่ทองคำ ซึ่งหลวงตกลงจะลงทุนเองที่กบินทร์ แขวงเมืองปราจีนบุรี

ก่อนหน้านั้น ทรงยกเลิกสัมปทานของหลวงนาวาเกนิกร(ซิวเบ๋ง - ต่อมาได้รับพระราชทานนามสกุล “โปษยะจินดา”ในรัชกาลที่ ๖)ก่อนถึงกำหนด  หลังจากได้ยินคำร่ำลือ และส่งคนไปสำรวจแล้ว เชื่อว่ามีสินแร่ทองคำอยู่ใต้ดินเป็นจำนวนมหาศาล  ขนาดราษฎรไปบุกเบิกที่ดินทำนา พอไถแรก ก้อนทองยังลอยตามคันไถขึ้นมาให้แย่งกันเก็บ ทำท่าว่าสยามจะโชติช่วงชัชวาลไปด้วยสีแสงอร่ามของทองคำ 
จึงทรงมีพระราชบัญชาให้พระคลังข้างที่ลงทุน ให้พระยากระสาปน์สั่งเครื่องจักรมาจากอังกฤษ แล้วเป็นแม่กองนำไปติดตั้ง ซึ่งพระยากระสาปน์ก็ได้มอบให้เป็นหน้าที่ของพระปรีชากลการบุตรชายคนโต


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 13:15
พระปรีชากลการ(สำอาง อมาตยกุล) เป็นบุตรที่เกิดกับคุณหญิงพลอย ธิดาพระยาโชดึกราชเศรษฐี(ทองจีน ไกรฤกษ์) ได้เคยไปศึกษาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลที่ประเทศอังกฤษแต่ครั้งไหนผมหาไม่เจอ แต่เห็นว่าเป็นทุนเล่าเรียนหลวง ไปเรียนที่สก๊อตแลนด์สำนักไหนก็ไม่ปรากฏ แต่ข่าวว่ามีความรู้ความสามารถทางเครื่องจักรเครื่องยนต์ และถือเป็นคนหนุ่มที่ได้รับการศึกษา และนิยมแนวคิดแบบตะวันตกเช่นเดียวกับพระเจ้าอยู่หัว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 13:17
เมื่อคราวเสด็จประพาสอินเดียในปี ๒๔๑๕ ทรงคัดเลือกคนหนุ่มที่ฉลาด น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในอนาคตให้ตามเสด็จ พระปรีชากลการ(1 – ในภาพ) และหลวงพิจารณ์จักรกิจน้องชาย ก็ได้รับการคัดเลือกให้ไปด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 13:22
การเสด็จประพาสอินเดียเมืองขึ้นของอังกฤษครั้งที่ผู้ว่าราชการแผ่นดินจัดถวายนั้น กงสุลน๊อกซ์ได้ตามเสด็จไปด้วยในฐานะที่ปรึกษาส่วนพระองค์   สัมพันธภาพระหว่างพระปรีชากับกงสุลน๊อกซ์(2)ก็เริ่มขึ้น ณ กาลครั้งนั้น

แต่ตัวน๊อกซ์เองโชคไม่ดี พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงโปรด เพราะทรงเห็นว่าไม่มีมารยาท พยายามจะสอดตนเข้ามาสั่งสอนพระองค์ตลอดเวลาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ กระทั่งสุดท้ายความไม่ชอบหน้าก็พัฒนาเป็นความเกลียด เมื่อนายแอชลีย์ อีเดนข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำกัลกัตตาได้กราบทูลพระองค์ ให้จัดการกับปัญหาที่เจ้านายเมืองเชียงใหม่มีข้อขัดแย้งกับคนอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่ากระทำไปตามคำขอของนายน๊อกซ์ แบบไม่มีกาละเทศะ
เมื่อเดินทางกลับสยามแล้ว ทรงรับสั่งกับผู้สำเร็จราชการ แนะนำให้ทำหนังสือขอให้รัฐบาลอังกฤษย้ายกงสุลคนนี้ออกไปเสีย แต่คราวนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษเห็นว่า ไม่เป็นไปตามระบบราชการ จึงไม่ได้ปฏิบัติตาม

กงสุลน๊อกซ์ทราบเรื่องนี้อยู่ แต่ก็คงลอยตัวอยู่ในฐานะตัวแทนของชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่ง ท่ามกลางแวดวงสังคมชั้นสูงของคนกรุงเทพ ที่พระปรีชาเป็นดาวรุ่งพรุ่งนี้รวมอยู่ด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 27 มี.ค. 15, 15:26
นายโหมด ช่วงต้นรัชกาลนั้นมีหน้าที่เป็นถึง ปรีวิลคอนซิล หรือ กลุ่มคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน มีหน้าที่สำคัญและใหญ่โตไม่น้อย เมื่อเกิดคดีเกี่ยวกับบุตรของท่านและตัวท่าน ย่อมเป็นคดีที่ข้าราชบริพารทั้งหลายย่อมให้ความสนใจไม่น้อยเลย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 15:46
เราจะไปดูกันนะครับ ว่าเหตุของมันเป็นอย่างไร จึงมีผลออกเช่นนั้น :)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 15:54
เมื่อมีโอกาสได้รับมอบหมายจากบิดาให้ไปจัดการตั้งเครื่องจักรทำเหมืองทองครั้งนี้ พระปรีชากลการก็ได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็ง หวังจะให้ถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้าอยู่หัว สะสมคะแนนนิยมสำหรับยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงขึ้นในอนาคต

ตามแผนงานโครงการที่วางไว้แต่แรกนั้น จะก่อสร้างโรงถลุงแร่และตากแร่ขึ้นในเมืองปราจีนบุรี โดยขนส่งก้อนแร่มาจากเหมืองที่เมืองกบินทร์ทางเรือ  โดยไม่มีกูเกิลเอร์ธดูว่าแม่น้ำปราจีนนั้นคดเคี้ยวยิ่งกว่างูเลี้อยนัก จากกบินทร์นับคุ้งน้ำได้เป็นร้อยกว่าจะไปถึงโรงถลุง หน้าน้ำก็พอว่าเพราะเรือไม่ติดสันดอน แต่ถ้าบริเวณใดมีตอไม้อยู่ใต้น้ำกีดขวาง พวกกรรมกรก็ต้องดำน้ำลงไปขุดตอในน้ำ บางคนถูกบังคับให้ดำลงไปทำจนขาดใจตาย  เพราะคนแถวนั้นมาจากป่าดงพงไพร ไม่ชำนาญเรื่องน้ำ
 
พอฝนเริ่มน้อย เรือที่ขนก้อนแร่จนเพียบแปล้ก็ท้องครูดเลน กว่าจะไปถึงที่หมายก็สุดจะลำบากลำบน เกิดความล่าช้า โรงถลุงก็ไม่ค่อยมีงานเข้า หรือเข้ามากระปริบกระปรอยเดินเครื่องได้ไม่เต็มที่  โสหุ้ยเริ่มกินตัว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 27 มี.ค. 15, 16:03
เมื่อมีโอกาสได้รับมอบหมายจากบิดาให้ไปจัดการตั้งเครื่องจักรทำเหมืองทองครั้งนี้ พระปรีชากลการก็ได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็ง หวังจะให้ถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้าอยู่หัว สะสมคะแนนนิยมสำหรับยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงขึ้นในอนาคต

ตามแผนงานโครงการที่วางไว้แต่แรกนั้น จะก่อสร้างโรงถลุงแร่และตากแร่ขึ้นในเมืองปราจีนบุรี โดยขนส่งก้อนแร่มาจากเหมืองที่เมืองกบินทร์ทางเรือ  โดยไม่มีกูเกิลเอร์ธดูว่าแม่น้ำปราจีนนั้นคดเคี้ยวยิ่งกว่างูเลี้อยนัก จากกบินทร์นับคุ้งน้ำได้เป็นร้อยกว่าจะไปถึงโรงถลุง หน้าน้ำก็พอว่าเพราะเรือไม่ติดสันดอน แต่ถ้าบริเวณใดมีตอไม้อยู่ใต้น้ำกีดขวาง พวกกรรมกรก็ต้องดำน้ำลงไปขุดตอในน้ำ บางคนถูกบังคับให้ดำลงไปทำจนขาดใจตาย  เพราะคนแถวนั้นมาจากป่าดงพงไพร ไม่ชำนาญเรื่องน้ำ
 
พอฝนเริ่มน้อย เรือที่ขนก้อนแร่จนเพียบแปล้ก็ท้องครูดเลน กว่าจะไปถึงที่หมายก็สุดจะลำบากลำบน เกิดความล่าช้า โรงถลุงก็ไม่ค่อยมีงานเข้า หรือเข้ามากระปริบกระปรอยเดินเครื่องได้ไม่เต็มที่  โสหุ้ยเริ่มกินตัว


ยินว่า มีการใช้ไม้ง่าม กดคอให้ดำน้ำลงไป จนขาดใจตายนะครับ


เส้นทางสาขาของแม่น้ำบางปะกงนี้เป็นเส้นทางแต่โบราณ จำได้ว่ามิศเตอร์ทอมสัน เดินทางไปยังเสียมราฐก็ใช้แม่น้ำสายนี้เมาที่เมืองกบินทร์


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 16:07
เมื่อไม่ส่งทองคำเข้ากรุงเทพนานเข้า ก็มีพระบรมราชโองการเร่งรัดมา  พระปรีชาจึงได้ระดมแรงงานโดยเกณฑ์ราษฎรจากแขวงเมืองปราจีนบุรีทั้งหมด คือ ประจันตคาม อรัญญประเทศ วัฒนานคร และกบินทร์บุรี เป็นจำนวนหลายร้อยคนมาเป็นกรรมกรทาษ  ไม่มีค่าแรงแต่ทำงานแบบเหนื่อยยาก  เมื่อเข้าหน้าแล้ง แม่น้ำตื้นเขินก็มีหน้าที่ขุดทรายให้เป็นร่องพอเรือเดินได้ พอเรือติดแห้งก็ต้องขนถ่ายก้อนแร่ ซึ่งความจริงเป็นก้อนหินทั้งนั้น มีทองเท่าเม็ดทรายผสมอยู่ในก้อนตรงไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าโคตรหนักแบกกันหลังแอ่น  จากเรือใหญ่ไปถ่ายใส่เรือเล็ก เพื่อลำเลียงเป็นทอดๆไป
   
พอแล้งหนักเข้า เรือบรรทุกก้อนแร่ก็แล่นมาโรงถลุงไม่ได้ พระปรีชาจึงสั่งให้เกณฑ์คนไปสร้างทำนบขวางแม่น้ำ ปักเสาใหญ่กรุกระดานแล้วถมดินข้างใน บดอัดให้คนเดินข้ามไปมาได้ เมื่อน้ำจากต้นน้ำไหลมาเอ่อขึ้น เรือบรรทุกแร่ล่องมาได้แล้วก็ขนแร่ถ่ายลงเรือตอนใต้ทำนบอีกทอดหนึ่ง แต่อยู่ได้ประมาณสักสองอาทิตย์ น้ำก็เซาะทำนบพัง ต้องเกณฑ์คนมาทำใหม่อีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบไม่สิ้น
 
เมื่อได้รับความทุกข์ยากเช่นนี้ราษฎรจึงหนีเกณฑ์ เจ้าหมู่นายหมวดกลัวพระปรีชาจะเอาโทษ จึงต้องจ้างคนมาแทน ครั้นพอถึงเดือนก็ไปเรียกเก็บเอาเงินจากครอบครัวคนที่หนีงานนั้น ราษฎรยากจนไม่มีเงินจะให้  ก็พากันอพยพหนีไปตายเอาดาบหน้าหลายร้อยคน 

เหมืองทองของพระเจ้าอยู่หัวโดนพระปรีชาเปลี่ยนเป็นนรกบนดินไปแล้ว ทุกคนคิดหนีจากถิ่นฐานหมด เพราะอยู่ต่อไปชีวิตไม่รุ่งแน่นอน ถ้าเหมืองอยู่คนก็คงตาย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 16:41
เมื่อการขนส่งทางน้ำถึงทางตัน พระปรีชาจึงตัดสินใจให้ย้ายเครื่องจักรไปตั้งโรงถลุงแร่ที่ใกล้ๆบ่อทองเมืองกบินทร์เลย  คราวนี้ระดมเกณฑ์ผู้คนขนเครื่องจักรและสัมภาระต่างๆ จากปราจีนไปขึ้นที่ปากน้ำเมืองกบินทร์ แล้วบรรทุกเกวียนส่งไปบ่อทอง แต่ช้าเกินไปไม่ทันใจ พระปรีชาจึงจ้างคนจีนถมถนนจากปากน้ำไปถึงบ่อทอง แล้ววางรางเหล็กใช้รถรางบรรทุกของได้สะดวกรวดเร็วขึ้น การก่อสร้างโรงจักรถลุงแร่ทองคำจึงแล้วเสร็จในปีพ.ศ. ๒๔๑๘

ถนนนี้ปัจจุบันยังมีอยู่ ชาวบ้านเรียกถนนเจ้าพ่อสำอาง

ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ถือว่าพระปรีชากลการได้แสดงความสามารถและประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ที่สามารถก่อสร้างโรงจักรถลุงแร่ทองได้จนสำเร็จ ได้รับพระราชทานตราภัทราภรณ์ และตรามัณฑนาภรณ์ ให้ประดับอกเป็นบำเหน็จความชอบ

เมื่อพระยาปราจีน(ขลิบ) ซึ่งถึงแก่กรรมเมือ พ.ศ. ๒๔๑๙  พระปรีชาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปราจีนบุรี สืบแทน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 17:31
ว่างๆก็ขอเชิญตามเข้าไปชมนะครับ


พิพิธภัณฑ์เหมืองทองคำบ้านบ่อทอง

http://www.sac.or.th/databases/museumdatabase/review_inside_image.php?id=876 (http://www.sac.or.th/databases/museumdatabase/review_inside_image.php?id=876)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 27 มี.ค. 15, 19:09
ให้ภาพอาคารบ้านหลังงามของพระปรีชากลการที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา หลังจากถูกยึดทรัพย์และทางการได้นำอาคารไปใช้ในกิจการไปรษณีย์ไทย พ.ศ. ๒๔๒๖

ภาพซ้ายมือเป็นอาคารบ้านเดิมก่อนที่จะถูกปรับปรุงเป็นภาพขวามือ จะเห็นว่ามีการดัดแปลงรูปแบบหลังคาและโครงสร้างช่วงบน ตลอดจนสร้างโดมขี้น

อาคารหลังนี้อยู่รอดมาจนถึง พ.ศ. ๒๕๒๕ และถูกรื้อทิ้งไป


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 มี.ค. 15, 19:51
ขอบคุณที่นำมาลงไว้นะ เดี๋ยวเรื่องดำเนินไปถึงตรงนั้นแล้วผมจะขออนุญาตยกไปวางที่โน่นอีกที


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 มี.ค. 15, 05:29
เบื้องหลังความสำเร็จเสร็จงานการก่อสร้างของพระปรีชา ก็ดังที่ผมได้กล่าวมาแล้วคือเคี่ยวเข็ญแรงงานเอาจากผู้คน แม้แต่ตัวเจ้าเมืองเอง ถ้าเกณฑ์คนหรือจัดส่งไม้ก่อสร้างมาให้ช้า พระปรีชาก็จะกราบบังคมทูลฟ้องอย่างไม่ละเว้น เช่น พระกำแหงมหิมา เจ้าเมืองกบินทร์บุรี ถูกฟ้องว่ามัวแต่กินเหล้าไม่เอาใจใส่ในราชการ ไม่เกณฑ์คนมาให้ครบตามที่ตนร้องขอไป  ก็รับสั่งให้สมเด็จเจ้าพระยาเดินทางไปสอบสวนที่ปราจีนบุรี เมื่อพบว่าเป็นความจริง ก็โดนถอดออกจากตำแหน่ง เฆี่ยน ๖๐ที แถมขังคุกอีก ๑ปี พระยาปราจีน(ขลิบ) ซึ่งเป็นลุงของพระปรีชากลการเองแท้ๆ ก็ยังถูกฟ้องว่าไม่อำนวยความสะดวกในการก่อสร้างและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระปรีชา ต้องรอให้มีใบบอกจากสมุหนายกเสียก่อนถึงจะยินยอม
 
แต่ผู้ถูกกล่าวหารายนี้รอดพระราชอาญาไปได้ เพราะเมื่อสมเด็จเจ้าพระยาออกไปตัดสินคดี ท่านคงเจ็บป่วยในระดับที่ไม่กลัวอะไรแล้ว จึงได้พูดตรงๆถึงปัญหา การเกณฑ์แรงงานมาใช้ในกิจการเหมืองได้สร้างความเดือดร้อนให้ราษฎรอย่างแสนสาหัส ผู้คนล้มตายในขณะปฏิบัติหน้าที่ก็มี เจ็บตายไปก็มาก ถูกลงโทษเฆี่ยนตีกักขังจำคุกก็ไม่น้อย บ้านเมืองเริ่มระส่ำระสาย เพราะราษฎรพากันหลบหนีไปจังหวัดอื่นเป็นจำนวนมาก จะให้เจ้าเมืองทำตัวอย่างไร

สมเด็จเจ้าพระยากลับมาเมืองกรุงจึงได้รายงานทำถวาย  กราบบังคมทูลเป็นทำนองเตือนพระเจ้าอยู่หัวให้ทราบถึงความทุกข์ยากลำบากของราษฎร ที่ได้ถูกเกณฑ์แรงงานมาทำงานแบบไม่มีเวลาทำมาหากินของตนเอง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 มี.ค. 15, 05:42
แต่พระปรีชากลการกลับได้ดิบได้ดียิ่งขึ้น  กลายเป็นข้าหลวงปราจีนบุรีคนใหม่แทนลุงที่ถึงแก่กรรม อำนาจราชศักดิ์จึงยิ่งมากกว่าเดิม แสดงให้เห็นถึงความไว้วางพระราชหฤทัยและให้น้ำหนักพระปรีชามากกว่าสมเด็จเจ้าพระยา ทำให้ท่านผู้เฒ่าต้องถอยตัวออก

เมื่อเป็นทั้งเจ้าเมืองและผู้จัดการกิจการบ่อทองของหลวง มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ไม่มีใครกล้ามาคอยกำกับดูแล ทำให้ทางราชการไม่มีโอกาสล่วงรู้จำนวนทองที่ขุดได้อย่างแท้จริง นอกจากทองคำบริสุทธิ์ที่พระปรีชาจะจัดส่งเข้าไปถวายเป็นครั้งคราวเท่านั้น

การมีตำแหน่งหน้าที่ราชการคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว ร่ำรวยและพูดภาษาอังกฤษกลมกลืน ชาวต่างประเทศจึงรู้จักและนิยมชมชื่นพระปรีชากลการ  กงสุลน๊อกซ์ที่คุ้นกันแต่ครั้งตามเสด็จไปอินเดีย ถึงตอนนั้นลูกสาวคนโตก็เป็นสาวแล้ว เคยขี่ม้าเที่ยวเล่นกับพ่อในยามเย็น เจอขบวนเสด็จของพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงม้านำข้าราชบริพารเที่ยวเล่นเหมือนกัน ลือว่าพระปรีชาเกิดปิ๊งกับลูกสาวกงสุลเข้าในตอนขี่ม้าตามเสด็จนี่แหละ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 มี.ค. 15, 05:50
อยู่มาคราวหนึ่งได้เกิดเรื่องขึ้น  นายเกิด เสมียนคนสนิทพระปรีชาเองถูกพระปรีชาลงโทษ เพราะไปยุ่งกับผู้หญิงในจวนถึงกับท้องโตขึ้นมา พระปรีชาโกรธมากสั่งเฆี่ยนนายเกิด แล้วนำตัวไปขังไว้ นายเกิดคุมแค้น จึงขียนหนังสือฟ้องไปยังญาติผู้ใหญ่ของตนว่า พระปรีชายักยอกทั้งเงินหลวง และทองคำจากเหมืองเป็นส่วนตน  ฝากนายสายไปให้พระโทรเลขธุรานุรักษ์ให้นำทูลเกล้าถวาย ให้แต่นายสายกลับเอาหนังสือนั้นไปให้พระปรีชาเสียก่อน นายเกิดจึงโดนหนักกว่าเดิม

ครั้นพระปรีชาเข้ากรุงเทพ นายเกิดหนีคุกไปได้แต่ถูกตามจับกลับมา พระปรีชาเลยให้ใส่ขื่อคา ผูกเอว ผูกเท้า แล้วยังให้ผู้คุมเอาเหล็กตีข้อเท้าให้แตกอีกด้วย วันๆหนึ่งให้ข้าวกินแค่สองปั้น นายเกิดได้รับทุกข์เวทนาสาหัส แต่ยังอุตสาห์เขียนหนังสือฟ้องได้อีก คราวนี้ฝากนายจุ้ยไปถึงมือพระโทรเลขสำเร็จ เมื่อพบกัน พระโทรเลขจึงต่อว่าพระปรีชา แต่แล้วก็เหมือนยิ่งยุ พอกลับมาถึงปราจีนอีกครั้ง  นายเกิดจึงถูกพระปรีชากลการเฆี่ยนซ้ำ แล้วทรมานให้อดอาหารจนถึงความตาย 

แต่เรื่องนี้หาได้เงียบไปอย่างที่พระปรีชาหวังไม่ มีผู้นำกระดาษเขียนข้อความไปปิดที่กำแพงเมืองว่า “พระปรีชาลูกพระยากระสาปน์ หลานเจ้าคุณปากกระสอบ ออกมาตั้งทำทองที่ปากคลองดักลอบ ไม่ได้ทองสักกอบ หัวจะกุด”  เมื่อพระปรีชารู้เรื่องก็เรียกกระดาษนั้นไปดูแล้วประกาศให้สินบนนำจับคนที่นำหนังสือมาปิด ๖๐ บาท แต่ก็จับมือใครดมไม่ได้

เรื่องราวทั้งหมดนั้น พระโทรเลขธุรานุรักษ์นำไปรายงานเจ้าพระยาภาณุวงศ์พร้อมหนังสือของนายเกิด แล้วจึงถึงหูถึงตาสมเด็จพระยาในที่สุด


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 มี.ค. 15, 06:02
สัมพันธภาพของพระปรีชาและแฟนนี นายน๊อกซ์คงจะรู้ๆอยู่ แต่เมื่อพระปรีชาเป็นCEO ของเหมืองทองคำหลวง ฐานะร่ำรวย มีรถม้าเก๋งเรือยนต์เก๋ง ปลูกคฤหาสน์ใหญ่โตเทียมวังดังภาพของคุณหนุ่มรัตนะสยาม นายน๊อกซ์ก็หยวนๆให้คบกัน
หลังๆพระปรีชาอาจจะชวนนายน๊อกซ์คุยเชิงปรึกษาในเรื่องเหมืองทองคำด้วย ไม่ทราบว่าจะเป็นการขอความเห็นหรือกระตุ้นให้เกิดความโลภ แต่นายน๊อกซ์ก็หลงคาถาถึงกับพาแฟนนี ไปเที่ยวเมืองปราจีนบุรีในพ.ศ. ๒๔๒๑ เพื่อชมโรงถลุงทองคำแล้วค้างที่จวนเจ้าเมืองของพระปรีชากลการหนึ่งคืน บ่าวไพร่ก็คาบข่าวไปลือกันในตลาดปราจีนว่า พระปรีชากลการกับแหม่มแฟนนีเป็นแฟนกัน แบบไม่เกรงใจภรรยาใหญ่น้อยบ้างเลย

ต่อมา พระปรีชาและบิดาจึงได้เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลว่า นายน๊อกซ์จะช่วยหานายช่างชาวอังกฤษมาทำงานในเหมืองทอง เพราะเห็นคนไทยทำงานอย่างขาดประสบการณ์ทางด้านนี้ ทำให้ส่งทองคำมาถวายได้ไม่มากเท่าที่ควร พร้อมทั้งทูลเกล้าถวายหนังสือของนายน๊อกซ์ แต่พระเจ้าอยู่หัวเพียงแต่ทรงรับไว้พิจารณา

เวลานั้น เสียงลือกันสะพัดหนาหูขึ้นในกรุงทุกทีว่าพระปรีชายักยอกทองในหลวง พระปรีชาเองก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ  เหตุว่าทองคำบริสุทธิ์ที่ส่งมาถวายยังต่ำกว่าเป้าหมายมาก จึงนำตนเองเข้าไปใกล้ชิดกับนายน๊อกซ์จนถึงขั้นขอแต่งงานกับแฟนนี  แต่ก็ผิดหวัง ได้รับการปฏิเสธ แล้วนายน๊อกซ์ผู้เป็นบิดายังห้ามมิให้พระปรีชาเข้าบ้านตนหลังจากนั้นอีกด้วย
สงสัยว่าจะเป็นเพราะไปเห็นบรรดาเมียๆของพระปรีชาที่ปราจีนแล้วปลงไม่ตก  หรือเห็นว่าทองคำที่โรงถลุงไม่น่าประทับใจดังที่โม้ไว้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง

และแล้วกรรมหรือเวรอันใดมิทราบที่เปิดประตูนรกบนโลกให้กับชายหญิงทั้งสอง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 มี.ค. 15, 06:52
เหตุเกิดที่บางปะอิน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 มี.ค. 15, 06:54
ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๑ พระเจ้าอยู่หัวมีหมายกำหนดการ จะเสด็จพระราชพิธีฉลองวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ ที่เพิ่งสร้างเสร็จ บรรดาขุนนาง ข้าราชการชั้นสูงได้รับหมายไปห้เข้าเฝ้าตามหน้าที่ กงสุลประเทศต่างๆได้รับเชิญไปในงานฉลองครั้งนี้ด้วย โดยทางสำนักพระราชวังจะจัดเรือนรับรองสำหรับแขกต่างประเทศที่ไปร่วมงานทุกคน
กงสุลน๊อกซ์เกิดติดธุระจึงมอบหมายให้แฟนนีไปแทน  แล้วตนจะรีบตามไปสมทบในวันต่อไป ส่วนพระปรีชาที่ต้องไปตามหน้าที่ ก็ไปโดยเรือกลไฟส่วนตัวชื่อ Rising Sun หรือในพากษ์ภาษาไทยว่า อัษฎางค์ อันหรูเริ่ด

หลังเช็กอินแล้ว วันรุ่งขึ้นทั้งคนไทยและต่างชาติที่ไปร่วมงานซุบซิบกันว่า แฟนนี น๊อกซ์ บุตรสาวกงสุลใหญ่อังกฤษ ไม่ได้ค้างคืนในบ้านรับรองที่ทางการจัดไว้ให้ แต่กลับไปค้างบนเรือของพระปรีชากลการ ขุนนางไทย พฤติกรรมดังกล่าว ได้ถูกรายงานให้สมเด็จเจ้าพระยารับทราบด้วย ซึ่งท่านก็แสดงความสนใจเป็นพิเศษ ถึงกับตามขึ้นไปเยี่ยมแฟนนีบนเรืออัษฎางค์ของพระปรีชา เพื่อให้ประจักษ์ความจริงด้วยตาตนเอง

ในวันต่อมาเมื่อนายน๊อกซ์ได้นำกัปตันฮิล (Captain Hill) หัวหน้าคณะสำรวจการทำแผนทีระหว่างบางปะอินถึงทวาย ไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังบางปะอิน สมเด็จเจ้าพระยาจึงแจ้งให้นายน๊อกซ์ทราบเรื่องแฟนนีกับพระปรีชา นายน๊อกซ์โกรธมาก และกลับกรุงเทพในทันทีที่เสร็จธุระ
วันรุ่งขึ้น นายกูลด์ (E.E. Gould) ผู้ช่วยกงสุลถูกส่งให้ไปตามตัวแฟนนีกลับ พระปรีชาร้อนใจเรื่องว่าที่พ่อตากับแฟนตนเองมาก  ถึงกับนำเรือตามแฟนนีกลับกรุงเทพด้วย  ทั้งๆที่พระราชพิธียังไม่เสร็จสิ้น และไม่ได้เข้าไปกราบถวายบังคมลากลับตามธรรมเนียมอีกด้วย



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 มี.ค. 15, 07:00
ถึงกรุงเทพแล้ว นายน๊อกซ์ได้ส่งนายกูลด์ไปเป็นทนายหน้าหอ เพื่อเจรจากับพระปรีชาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งพระปรีชายอมรับผิดทุกอย่าง และขอแต่งงานกับแฟนนีโดยเร็วที่สุด 
นายน๊อกซ์จึงตั้งเงื่อนไขว่าถ้าจริงจังดังนั้น พระปรีชาจะต้องยกย่องแฟนนีให้เป็นภรรยาหลวง พร้อมทั้งต้องจ่ายเงินค่าสินสอด ๕,๐๐๐ ปอนด์ นำฝากธนาคารที่กรุงลอนดอนในนามของแฟนนี ส่วนในการแต่งงานนั้นให้ทำพิธีแบบไทยที่บ้านของพระปรีชากลการเอง ไม่อนุญาตให้ใช้สถานกงสุลอังกฤษ อันจะทำให้การสมรสได้รับการรับรองตามกฏหมายของอังกฤษ ตามที่พระปรีชาร้องขอ  หลังจากแต่งงานกันแล้ว ก็ห้ามบุคคลทั้งสองไปมาหาสู่กับตนที่บ้านกงสุลเป็นอันขาด พร้อมกันนี้ นายน๊อกซ์ ได้ระบุว่าถ้าพระปรีชากลการมีความผิดได้รับพระราชอาญาไม่ว่าเรื่องใด ก็จะไม่ยอมให้ความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น
   
พระปรีชากลการจำต้องยอมตามเงื่อนไขทุกประการ พิธีแต่งงานมีขึ้นในวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๑ โดยมีฝรั่งมาร่วมงานเพียงคนเดียวคือ นายกูลด์ ในฐานะตัวแทนของนายน๊อกซ์  วันรุ่งขึ้นพระปรีชาได้พาแฟนนีนั่งเรือ Rising sun, Honeymoon กันไปยังปราจีนบุรี และได้จัดงานเลี้ยงฉลองเพื่อแนะนำคุณนายแฟนนีแก่บรรดาข้าราชการ พ่อค้าอาเสี่ย พร้อมรับของขวัญในเมืองนั้นด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 มี.ค. 15, 09:20
หลังเช็กอินแล้ว วันรุ่งขึ้นทั้งคนไทยและต่างชาติที่ไปร่วมงานซุบซิบกันว่า แฟนนี น๊อกซ์ บุตรสาวกงสุลใหญ่อังกฤษ ไม่ได้ค้างคืนในบ้านรับรองที่ทางการจัดไว้ให้ แต่กลับไปค้างบนเรือของพระปรีชากลการ ขุนนางไทย พฤติกรรมดังกล่าว ได้ถูกรายงานให้สมเด็จเจ้าพระยารับทราบด้วย ซึ่งท่านก็แสดงความสนใจเป็นพิเศษ ถึงกับตามขึ้นไปเยี่ยมแฟนนีบนเรืออัษฎางค์ของพระปรีชา เพื่อให้ประจักษ์ความจริงด้วยตาตนเอง

เรือของพระปรีชากลการที่สร้างขึ้นที่ปราจีณนั้น ยาวประมาณ ๑๕๐ ฟุต  เป็นที่สนใจมีเอ่ยไว้ในบันทึกราชการ
หลายครั้ง  ชื่อไทย ชื่ออัษฎางค์

เรือลำนี้พระปรีชากลการพาแฟนนี น้อกซ์ไปเที่ยวบางปะอิน  ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า ฟุ้งซ่านนัก
หนังสือประวัติศาสตร์บางเล่มบอกว่าไปเสพมธุจันทร์รส(ภาษาโบราณ)
มีเรื่องที่อ่านมาว่า ที่จริงภรรยาสองคนของพระปรีชากลการอยู่ในเรือด้วย
แต่ถ้าจะคิดอย่างสิวิไลซ์  หญิงสองคนนั้นไม่มีเกียรติหรือวัยหรือสกุลสูงพอที่จะเป็นชาเปอโรนของธิดากงสุล

...

มีคำให้การของภรรยาคนหนึ่งของพระปรีชากลการว่า  พระปรีชากลการกับแฟนนีรักกันที่ปราจิณ  พี่น้องก็ถูกกัน
(อ่านมาจากเล่มอื่นว่า    ตอนนั้นนอกซ์พาลูกไปเที่ยวและพักอยู่กับพระปรีชากลการ  ถ้าจำไม่ผิดเป็นเวลาสองอาทิตย์)

ในหนังสือลูกท่านหลานเธอ ของคุณศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย พูดถึงเรื่องนี้ในอีกทางหนึ่ง

คุณศันสนีย์เธอว่าทั้งสองชอบกีฬาขี่ม้าเหมือนกัน วันหนึ่งในเวลาเช้า ฝ่ายชายอยู่ในกลุ่มข้าราชบริพารที่ทรงโปรดปราน  ขี่ม้าตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝ่ายหญิงก็ขี่ม้าเล่นกับบิดา แม้ว่าฝ่ายชายจะมีภรรยาและบุตรชายหญิงอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสรู้จักกันครั้งแรกจึงอยู่ในฐานะมิตรสหาย ต่อมาเมื่อภรรยาฝ่ายชายถึงแก่กรรม ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนจึงพัฒนาเป็นความรักในที่สุด

ส่วนเรื่องเหตุการณ์ที่บางปะอิน คุณศันสนีย์เธอเล่าว่าเป็นเหตุการณ์ก่อนการแต่งงาน มิใช่ไปเพื่อเสพมธุจันทร์รส (honeymoon) ไม่ ครั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๑ พระปรีชากลการได้พาแฟนนี่นั่งเรือส่วนตัวไปในงานฉลองพระราชวังบางปะอินและค้างแรมด้วยกันบนเรือ มีบ่าวไพร่อยู่บนเรือด้วยกันหลายคน แต่ทั้งคู่มิได้อยู่ร่วมห้องกัน และกลับกรุงเทพฯในขณะที่งานฉลองยังไม่เสร็จสิ้น โดยไม่ได้กราบบังคมทูลลาให้ทรงทราบ

เหตุการณ์ที่บางปะอินจึงเป็นเหตุให้ทั้งสองต้องจัดงานแต่งงานโดยเร็วเพื่อกันข้อครหา


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 มี.ค. 15, 10:28
ขอบคุณครับคุณเพ็ญ
ที่ยกขึ้นมาลอยๆคงต้องการให้ผมอธิบาย

ข้างบนนั่นเป็นเรื่องราวบรรดามีในเน็ทที่เราๆท่านๆเล่นกันมาแต่เก่าก่อน  ก็ดังที่ผมบอกไปแล้วตอนต้นๆของกระทู้นี้  เอกสารไทยชั้นปฐมภูมิของประวัติศาสตร์ช่วงนี้หาดูได้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ มีให้ค้นคว้าเยอะทีเดียว แต่ตอนนั้นไม่มีใครเข้าถึง
 
ตามความที่ปรากฏในเอกสาร “บันทึกการเข้าเฝ้าของมิสเตอร์น๊อกซ์” ซึ่งเจ้าพระยาภาณุวงศ์มีไปยัง พระยาอัศดงคต กงสุลสยาม ณ สิงคโปร์ ๔ เมษายน ค.ศ. ๑๘๗๙ ไม่ได้ระบุว่าแฟนนีเดินทางไปบางปะอินอย่างไร ผมจึงไม่ได้สนใจจะกล่าวถึง
 
อ้างถึง
เรือของพระปรีชากลการที่สร้างขึ้นที่ปราจีณนั้น ยาวประมาณ ๑๕๐ ฟุต  เป็นที่สนใจมีเอ่ยไว้ในบันทึกราชการ
หลายครั้ง  ชื่อไทย ชื่ออัษฎางค์

เรือลำนี้พระปรีชากลการพาแฟนนี น้อกซ์ไปเที่ยวบางปะอิน  ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า ฟุ้งซ่านนัก
หนังสือประวัติศาสตร์บางเล่มบอกว่าไปเสพมธุจันทร์รส(ภาษาโบราณ)
มีเรื่องที่อ่านมาว่า ที่จริงภรรยาสองคนของพระปรีชากลการอยู่ในเรือด้วย
แต่ถ้าจะคิดอย่างสิวิไลซ์  หญิงสองคนนั้นไม่มีเกียรติหรือวัยหรือสกุลสูงพอที่จะเป็นชาเปอโรนของธิดากงสุล

พอได้อ่านที่คุณเพ็ญยกข้อความที่คุณwandeeเคยเขียนไว้มาแปะข้างต้น เลยอยากอธิบายว่า เรือของสถานกงสุลอังกฤษนั้น แม้น๊อกซ์จะใช้เป็นพาหนะนำกัปตันฮิลมาเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้น แต่ถ้าวันนั้นจะนำนางมาส่งในฐานะที่ลูกสาวเป็นตัวแทนของกงสุลใหญ่อังกฤษมาร่วมในพระราชพิธี  แล้วกลับไปกรุงเทพในวันนั้นเพื่อไปรับนายน๊อกซ์ที่จะตามมาสมทบในวันต่อมา ก็ยังทันถมถืด  หรือจะให้เรือลำอื่นๆของสถานกงสุลมาประจำไว้เลย ก็จะสมเกียรติยศของชาติมหาอำนาจ  ไม่ใช่ฝากผู้แทนรัฐบาลอังกฤษมากับเรือส่วนตัวของขุนนางไทย ประหนึ่งฝรั่งสะพายเป้อย่างนั้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 มี.ค. 15, 10:33
“บันทึกการเข้าเฝ้าของมิสเตอร์น๊อกซ์” ของเจ้าพระยาภาณุวงศ์ เขียนไว้ละเอียดลออ เพราะต้องการให้กงสุลสยามนำความไปแจ้งให้รัฐบาลอาณานิคมอังกฤษทราบโดยปราศจากข้อสงสัย  ท่านไม่ได้บอกว่านางแฟนนีไปถึงบางปะอินด้วยเรือของใคร  เพราะไม่จำเป็น

เรื่องเล่าแบบไทยๆที่กล่าวว่าพระปรีชากลการพาแฟนนี น้อกซ์ไปเที่ยวบางปะอิน  ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า ฟุ้งซ่านนัก
หนังสือประวัติศาสตร์บางเล่มบอกว่าไปเสพมธุจันทร์รส(honeymoon) ก็ไม่จริง  เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องไป แล้วเผอิญไปเจอกันที่นั่น หรืออาจจะนัดหมายกันแบบว่า ไปเจอกันที่นั่นนะที่รัก มากกว่า

ส่วนเรื่องที่ว่า ภรรยาสองคนของพระปรีชากลการอยู่ในเรือด้วยนั้น สลับสับสนแล้ว  ไปราชการในพระราชพิธีอย่างนี้ใครเขาเอาภรรยาไปถึงสองคนให้ถูกนินทา 

แต่หลังจากแต่งงานแล้วไปปราจีน ขากลับนางแฟนนีต้องนอนมากับภรรยาอื่นๆของพระปรีชา(ฝรั่งเติม s ให้ด้วย)นั้น นิวยอร์กไทม์ได้กล่าวไว้แล้ว ย้อนกลับไปอ่านได้ครับ 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 มี.ค. 15, 10:36
อ้างถึง
ในหนังสือลูกท่านหลานเธอ ของคุณศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย พูดถึงเรื่องนี้ในอีกทางหนึ่ง

ส่วนเรื่องเหตุการณ์ที่บางปะอิน คุณศันสนีย์เธอเล่าว่าเป็นเหตุการณ์ก่อนการแต่งงาน มิใช่ไปเพื่อเสพมธุจันทร์รส (honeymoon) ไม่ ครั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๑ พระปรีชากลการได้พาแฟนนี่นั่งเรือส่วนตัวไปในงานฉลองพระราชวังบางปะอินและค้างแรมด้วยกันบนเรือ มีบ่าวไพร่อยู่บนเรือด้วยกันหลายคน แต่ทั้งคู่มิได้อยู่ร่วมห้องกัน และกลับกรุงเทพฯในขณะที่งานฉลองยังไม่เสร็จสิ้น โดยไม่ได้กราบบังคมทูลลาให้ทรงทราบ

นี่ก็เหมือนกัน ถูกครึ่งนึงไม่ถูกสองครึ่ง ถ้าหากท่านเชื่อเอกสารของทางราชการที่ผมนำมาเขียน ไม่ใช่เรื่องที่เขียนจากที่เล่าต่อๆกันมา


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 29 มี.ค. 15, 12:13
ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๑ พระเจ้าอยู่หัวมีหมายกำหนดการ จะเสด็จพระราชพิธีฉลองวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ ที่เพิ่งสร้างเสร็จ บรรดาขุนนาง ข้าราชการชั้นสูงได้รับหมายไปห้เข้าเฝ้าตามหน้าที่ กงสุลประเทศต่างๆได้รับเชิญไปในงานฉลองครั้งนี้ด้วย โดยทางสำนักพระราชวังจะจัดเรือนรับรองสำหรับแขกต่างประเทศที่ไปร่วมงานทุกคน
กงสุลน๊อกซ์เกิดติดธุระจึงมอบหมายให้แฟนนีไปแทน  แล้วตนจะรีบตามไปสมทบในวันต่อไป ส่วนพระปรีชาที่ต้องไปตามหน้าที่ ก็ไปโดยเรือกลไฟส่วนตัวชื่อ Rising Sun หรือในพากษ์ภาษาไทยว่า อัษฎางค์ อันหรูเริ่ด

หลังเช็กอินแล้ว วันรุ่งขึ้นทั้งคนไทยและต่างชาติที่ไปร่วมงานซุบซิบกันว่า แฟนนี น๊อกซ์ บุตรสาวกงสุลใหญ่อังกฤษ ไม่ได้ค้างคืนในบ้านรับรองที่ทางการจัดไว้ให้ แต่กลับไปค้างบนเรือของพระปรีชากลการ ขุนนางไทย พฤติกรรมดังกล่าว ได้ถูกรายงานให้สมเด็จเจ้าพระยารับทราบด้วย ซึ่งท่านก็แสดงความสนใจเป็นพิเศษ ถึงกับตามขึ้นไปเยี่ยมแฟนนีบนเรืออัษฎางค์ของพระปรีชา เพื่อให้ประจักษ์ความจริงด้วยตาตนเอง

ในวันต่อมาเมื่อนายน๊อกซ์ได้นำกัปตันฮิล (Captain Hill) หัวหน้าคณะสำรวจการทำแผนทีระหว่างบางปะอินถึงทวาย ไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังบางปะอิน สมเด็จเจ้าพระยาจึงแจ้งให้นายน๊อกซ์ทราบเรื่องแฟนนีกับพระปรีชา นายน๊อกซ์โกรธมาก และกลับกรุงเทพในทันทีที่เสร็จธุระ
วันรุ่งขึ้น นายกูลด์ (E.E. Gould) ผู้ช่วยกงสุลถูกส่งให้ไปตามตัวแฟนนีกลับ พระปรีชาร้อนใจเรื่องว่าที่พ่อตากับแฟนตนเองมาก  ถึงกับนำเรือตามแฟนนีกลับกรุงเทพด้วย  ทั้งๆที่พระราชพิธียังไม่เสร็จสิ้น และไม่ได้เข้าไปกราบถวายบังคมลากลับตามธรรมเนียมอีกด้วย



ตรงนี้ก็น่าจะเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้วนะคะ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 มี.ค. 15, 12:32
อ้างถึง
ตรงนี้ก็น่าจะเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้วนะคะ

ช่ายแร๊ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 29 มี.ค. 15, 17:08
สมาชิกกลุ่มสยามหนุ่มเปลี่ยนไป?..!!!


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 มี.ค. 15, 06:50
ครับ การเมืองเปลี่ยน คนก็ต้องเปลี่ยน

หลังที่วิกฤตวังหน้าจบ โดยพระเจ้าอยู่หัวทรงได้สิ่งที่พึงได้ไปเกือบหมด ทั้งอำนาจการเก็บภาษีที่มารวมไว้กับส่วนกลาง และการโอนแสนยานุภาพของทหารวังหน้ามาขึ้นกับวังหลวง เหลือไว้ให้เป็นทหารรักษาวังเพียงสองร้อยตามคำแนะนำของเซอร์แอนดรู  เรื่องก็จบ กรมพระราชวังบวรท่านก็ไม่ยุ่งกับราชการบ้านเมืองอีกต่อไป

พระเจ้าอยู่หัวทรงมีโอกาสปรับความเข้าใจกับสมเด็จเจ้าพระยาเรื่องการรีบร้อนเลือกวังหน้า ซึ่ง “วังหน้าเป็นคนไม่คุ้นเคย ไม่มีความไว้ใจ” โดยไม่รอไว้ให้พระองค์เป็นผู้เลือก จนสุดท้ายได้เกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่วิกฤตการณ์ในที่สุด โชคดีที่จบลงได้โดยบ้านเมืองไม่เสียหาย เพราะอังกฤษไม่ได้ต้องการเราไปเป็นเมืองขึ้นเลย ตามที่กลัวๆกัน

ต่อเรื่องนี้ สมเด็จเจ้าพระยาได้กราบบังคมทูลว่า ในเวลานั้นพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์ และตนเห็นว่ากำลังทรงพระประชวรหนักมาก เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น กรมขุนวรจักรานุภาพที่มุ่งหมายจะเป็นวังหน้า และในระหว่างนั้น พรรคพวกของสมเด็จพระปิ่นเกล้าก็ยังมีอยู่มากมาย  ซึ่งก็คงไม่พอใจถ้าเจ้านายของตนมิได้เป็นวังหน้า จึงต้องคิดหาทางออกในลักษณะนี้  ความนี้ปรากฏในพระราชหัตถเลขา วันพฤหัสขึ้น๑ค่ำเดือน๘ จศ ๑๒๓๖ “รัชกาลที่ ๕ ถึงสมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์” ผมไม่ได้แต่งขึ้นเอง

แปลว่า หลังเกิดวิกฤตวังหน้าแล้ว พระเจ้าอยู่หัวน่าจะทรงเข้าใจอะไรๆดีขึ้น และคงจะทรงหยุดระแวงในความซื่อสัตย์จงรักภักดีของสมเด็จเจ้าพระยาแล้ว  บทบาทของกลุ่มสยามหนุ่มก็หมดไป เพราะที่ผ่านมาคนก็เห็นแล้วว่าพวกนี้คือคนที่สร้างปัญหา ส่วนพวกขุนนางตระกูลบุนนาคเองก็ต้องปรับตัวในระหว่างกัน ซึ่งถึงยังไงๆ เลือดก็ข้นกว่าน้ำ

แต่ก็ยังมีพวกลูกหลานของเจ้านายวังหลวงบางสายราชกุล ที่ยังไม่ค่อยจะหยุดซ้ำเติมวังหน้า หรือสมเด็จเจ้าพระยาอยู่  ซ้ำคนใกล้ชิดพระองค์บางคนก็คอยหาข่าวเน่าแบบเดิมๆมาเติมเชื้อให้เสมอตามธรรมชาติมนุษย์  เดี๋ยวหากมีอารมณ์จะเขียนถึง ผมจะทำมาเล่าต่อในตอนท้ายๆของกระทู้  จะพาเข้าซอยตอนนี้ไม่ได้  มันลึก เดี๋ยวจะหลงทางพาไปโผล่ออกทะเล


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 มี.ค. 15, 07:56
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงมีพระวัยวุฒิในช่วงเพลานั้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 มี.ค. 15, 08:02
เรื่องพระปรีชาแต่งงานกับแฟนนี พระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงทราบโดยพลัน เพราะทรงพระประชวรอยู่มิได้เสด็จกลับกรุงเทพ สมเด็จเจ้าพระยาเป็นผู้ทำหนังสือกราบบังคมทูลขึ้นไปเมื่อตัวท่านได้รับรายงาน พร้อมกับขอให้ทรงทำโทษพระปรีชาที่แสดงความกระด้างกระเดื่อง บังอาจหลบหนีหน้าที่ตามผู้หญิงไปโดยมิได้กราบบังคมทูลลา และฝ่าฝืนแต่งงานกับชาวต่างชาติ  ข้ดต่อข้อห้ามของข้าราชการ โดยมิได้มีพระบรมราชานุญาต

สมเด็จเจ้าพระยาเลยกราบบังคมทูลต่อไปว่า คงจะเนื่องจากมีราษฎรมาฟ้องร้องพระปรีชากลการหลายราย แต่ทางราชการยังรีรอมิได้จัดการดำเนินคดีแต่อย่างใด ดังนั้น การที่พระปรีชากลายเป็นบุตรเขยของกุลสุลอังกฤษไปเช่นนี้แล้ว น่าจะเป็นการส่อเจตนาของพระปรีชาที่หวังพึ่งอิทธิพลชาติมหาอำนาจ  หากพระปรีชาต้องคดีความ จะสร้างปัญหายากลำบากแก่ทางราชการแน่นอน

สุดท้าย ได้ถวายคำแนะนำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงป้องกันพระเกียรติยศ โดยรีบจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เพื่อจะได้เป็นตัวอย่างต่อคนอื่นๆ ที่อาจกระทำการอันภัยต่อชาติบ้านเมืองเช่นนี้อีกในกาลข้างหน้า

พระเจ้าอยู่หัวทรงมีหนังสือตอบ เห็นด้วยที่จะต้องรักษาพระเกียรติยศและอำนาจของแผ่นดิน  จึงทรงมอบหมายให้สมเด็จพระยาปรึกษากับเจ้าพระยาภาณุวงศ์ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ  และเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ สมุทพระกลาโหม เพื่อดำเนินการในเรื่องนี้

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ทำหนังสือกราบบังคมทูลต่อ มีความอันสำคัญตอนหนึ่งว่า “..คนตระกูลนี้ พระองค์ได้ทรงอุปการะเลี้ยงดูและไว้วางพระทัยให้ใช้สอยพระราชทรัพย์หลวงอย่างฟุ่มเฟือยยิ่งกว่าขุนนางทั้งปวง ถ้ายังทรงพระอาลัยอยู่ จะคิดให้เต็มสติปัญญาก็ยาก กลัวจะเป็นการตีงูให้หลังหักไป...”


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 มี.ค. 15, 08:10
พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหะตถเลขายืนยันกลับมาว่า พระองค์ทรงตั้งพระทัยมั่นที่จะรักษาอำนาจและเกียติยศของแผ่นดินให้ยั่งยืนตลอดไป ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์จะรักมากกว่าแผ่นดิน ขอให้จัดการเรื่องนี้โดยเร็วให้ทันการ

เมื่อทรงแน่วแน่ในพระราชหฤทัยเช่นนั้น สมเด็จเจ้าพระยาเห็นได้ที จึงได้กราบบังคมทูลแนวทางในการดำเนินคดีกับพระปรีชาด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และดูหมิ่นกงสุลอังกฤษ เป็นเรื่องแรก

และขอแถมเรื่องที่สอง คือ จะขอรวบยอดชำระความในเรื่องที่สงสัยว่าพระปรีชากระทำการทุจริตในกิจการบ่อทอง ที่บุคคลนั้นควบคุมดำเนินการตามพระราชประสงค์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗  เพราะเห็นว่ามีการเบิกเงินหลวงไปเป็นจำนวนมากจนผิดสังเกต ทั้งที่ได้ข่าวมาว่าพระปรีชาฉ้อโกงเงินทองในความรับผิดชอบดังกล่าวนั้น
ส่วนผู้ที่จะทำหน้าที่พิจารณาดีนี้ ขอให้เป็นหน้าที่โดยตรงของสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาในพระองค์

ฝรั่งแปลความบิดเบือนไปว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงอ่อนแอ และตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสมเด็จเจ้าพระยาจึงต้องทรงจำยอม 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 มี.ค. 15, 08:27
ครั้นเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพแล้ว จึงมีรับสั่งเรียกตัวพระยากระสาปนกิจโกศล ให้เข้าเฝ้าในวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๑
พระยากระสาปน์ได้กราบบังคมทูลว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจในเรื่องการแต่งงานของบุตรชายในครั้งนี้ด้วย และได้ห้ามปรามแล้ว ในพิธีแต่งงานก็มิได้มีญาติผู้ใดไปร่วม เรื่องที่เกิดตนเห็นว่าพระปรีชามีความผิดจริง ถ้าพระองค์จะทรงทำโทษก็จะไม่เสียใจเลย และจะไปตามตัวพระปรีชาให้มาเข้าเฝ้าโดยเร็ว

พระปรีชาคงได้รับข่าวจากพ่อและทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตัวเองอาจจะหลุดจากตำแหน่งเจ้าเมืองก็เป็นได้ จึงพาครอบครัวอพยพกลับโดยเรืออัษฎางค์  ที่ว่ายาวตั้ง๑๕๐ฟุต(๔๕เมตร) ผมก็สงสัย ถ้าเรือขนาดนั้นก็คงมีห้องหับมากมาย ไฉนแฟนนีจึงต้องนอนมาในห้องเดียวกับภรรยาคนอื่นๆของพระปรีชา แล้วตัวพระปรีชาไปนอนร่วมห้องกับผู้ใด สงสัยเรือลำนี้คงใหญ่(หรือเล็ก)พอๆกับเรือข้ามฟากสมัยนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อเรือมาถึงกรุงเทพในเช้าวันที่ ๑๗ มีนาคมนั้น  สายสืบที่เฝ้าอยู่ก็รายงานสมเด็จเจ้าพระยาทันที  ท่านจึงได้ส่งคนไปกราบบังคมทูลเตือนพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงมีรับสั่งเรียกตัวมาเฝ้าโดยด่วน เพราะเกรงว่าพระปรีชาจะหลบหนีไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษเสียก่อน ความจริงถ้าทำได้พระปรีชาก็คงทำเช่นนั้นไปแล้ว  แต่นี่พ่อตาสั่งห้ามไว้ ส่วนแฟนนีคงบากหน้ากลับบ้านไปง้อพ่อ

ดังนั้นเมื่อพระปรีชากลการมาถึงพระบรมมหาราชวังจึงถูกจับกุมตัวทันที พร้อมกันนั้นก็มีรับสั่งเป็นการภายในให้ทหารรักษาวังเตรียมพร้อมเป็นกรณีพิเศษ เพื่อป้องกันเหตุร้ายอันอาจจะเกิดจากกงสุลอังกฤษ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 มี.ค. 15, 08:49
สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ ได้ทำการพิจารณาคดีของพระปรีชาเป็นครั้งแรกในวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๑ โดยมีเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเป็นประธาน ตามที่มีพระบรมราชโองการให้ที่ประชุมพิจารณาการกระทำของพระปรีชากลการ เรื่องที่พาบุตรสาวกงสุลอังกฤษไปอยู่ด้วยกันบนเรือ โดยมิได้รับอนุญาตจากบิดาของฝ่ายหญิง เพราะถือปฏิบัติตามกฏหมายอังกฤษที่ว่า หญิงสาวอายุเกิน ๒๐ ปี ย่อมมีสิทธิในตัวเอง เมื่อกงสุลอังกฤษรู้เรื่องก็มีความอับอายและเสียใจ ต้องจำใจยกบุตรสาวให้

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงขอให้ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นต่อไปนี้คือ

เรื่องที่หนึ่ง การที่พระปรีชากลการพาบุตรสาวกงสุลอังกฤษไปอยู่ด้วยกันบนเรือที่หน้าพระราชวังบางปะอินอย่างเปิดเผย โดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศกงสุลอังกฤษ และยังทำให้กงสุลอังกฤษมีความอับอายต้องจำใจให้ทั้งสองแต่งงานกันเช่นนี้ จะถือได้ว่าพระปรีชากลการทำการดูหมิ่นตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษหรือไม่
   
เรื่องที่สอง พระปรีชากลการเป็นขุนนางที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชุบเลี้ยงมา เมื่อจะมีภรรยาเป็นบุตรขุนนางต่างประเทศ โดยมิได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตและมิได้บอกเสนาบดีผู้ใหญ่ให้รับรู้มาก่อน การกระทำเช่นนี้จะถือได้ว่าเป็นการกำเริบดูถูกดูหมิ่นแก่เจ้านายและบ้านเมืองของตนหรือไม่

เรื่องที่สาม พระปรีชากลการได้รับทำกิจการบ่อทองที่เมืองกบินทร์บุรี เบิกเงินหลวงไปเป็นจำนวนถึง ๑๕,๕๐๐ ชั่งเศษ แต่ส่งทองเข้าหลวงเพียง ๑๑๑ ชั่ง ๘ ตำลัง กึ่ง ๓ หุน จะมีความผิดหรือไม่

ที่ประชุมมีมติเห็นว่าสองเรื่องแรกนั้น พระปรีชาละเมิดหมิ่นประมาท มีความผิดจริง
ส่วนเรื่องเหมืองทองกับเงินหลวงนั้น ยังไม่สามารถตัดสินในตอนนี้ได้ ขอให้ตั้งคณะตุลาการเฉพาะกิจขึ้นเพื่อตรวจสอบบัญชีที่พระปรีชาเบิกจ่ายไปให้เห็นชัดเจนก่อน  ตามมาตรฐานเดียวกับคดีพระยาอาหารคร้้งที่ผ่านมา

เมื่อทูลเกล้าถวายรายงานผลการประชุมขึ้นไป  พระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการให้ลงพระราชอาญา เฆี่ยนพระปรีชา ๓๐ ที เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่น แล้วให้จองจำไว้ที่ทิมดาบ เพื่อรอการสอบสวนชำระความต่อไป

ส่วนเรื่องที่ฝรั่งเขียนว่าเฆี่ยนในที่สาธารณะคงไม่ถึงกับไปเฆี่ยนประจารกันหน้าตลาดหรือทางสามแพร่ง  คงเฆี่ยนหน้าทิมดาบนั่นแหละ แต่คนที่รู้คงมาดูกันแยะ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มี.ค. 15, 20:01

ครั้นพระปรีชาเข้ากรุงเทพ นายเกิดหนีคุกไปได้แต่ถูกตามจับกลับมา พระปรีชาเลยให้ใส่ขื่อคา ผูกเอว ผูกเท้า แล้วยังให้ผู้คุมเอาเหล็กตีข้อเท้าให้แตกอีกด้วย วันๆหนึ่งให้ข้าวกินแค่สองปั้น นายเกิดได้รับทุกข์เวทนาสาหัส แต่ยังอุตสาห์เขียนหนังสือฟ้องได้อีก คราวนี้ฝากนายจุ้ยไปถึงมือพระโทรเลขสำเร็จ เมื่อพบกัน พระโทรเลขจึงต่อว่าพระปรีชา แต่แล้วก็เหมือนยิ่งยุ พอกลับมาถึงปราจีนอีกครั้ง  นายเกิดจึงถูกพระปรีชากลการเฆี่ยนซ้ำ แล้วทรมานให้อดอาหารจนถึงความตาย 

ถึงไม่อดอาหารก็น่าจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ตายอยู่แล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 มี.ค. 15, 07:32
ตายแน่ครับ แต่คงไม่ทันใจพระเดชพระคุณท่าน กลัวว่าจะแผลงฤทธิ์เปิดเผยความลับตะแกเข้าอีก เลยต้องจัดการให้ไปสู่ที่ชอบๆเร็วๆหน่อย

เจ้าเมืองยุคใหม่สมัยโน้นลงโทษประหารใครไม่ได้เสียแล้ว เป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะ มีตอนต้นรัชกาลที่มอบให้ผู้สำเร็จราชการนำไปใช้แทนพระองค์เป็นการชั่วคราวเท่านั้น

พระปรีชาจึงต้องพยายามให้การตายของนักโทษเป็นธรรมชาติที่สุด คือป่วยตายโดยทำให้ร่างกายขาดอาหาร แบบหัวหมอ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 มี.ค. 15, 07:36
ในการประชุมครั้งนั้น นายกูลด์ ผู้ช่วยกงสุลอังกฤษได้เข้ามาจะฟังการตัดสินของสภาที่ปรึกษาฯด้วย โดยไม่มีสิทธิ์ แต่เมื่อการประชุมแล้วเสร็จใกล้จะเลิกอยู่รอมร่อ จึงไม่มีผู้ใดอยากเสียเวลาที่จะทักท้วง

เรื่องไม่เป็นเรื่องจึงเกิดขึ้น เมื่อพระยากระสาปน์และเห็นนายกูลด์เข้ามานั่งงงๆ ก็ร้องขอต่อประธาน ให้มีการอ่านพระบรมราชโองการกล่าวฟ้องใหม่ตั้งแต่ต้น ตลอดจนผลการประชุมของสภาที่ปรึกษาฯ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้นายกูลด์ได้รู้เรื่อง โดยมีเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์แถลงสนับสนุน ประธานก็อนุญาต

การกระทำดังกล่าวทำให้สมาชิกหลายคนไม่พอใจ จึงได้ทำบันทึกความเห็นถวายพระเจ้าอยู่หัวให้ปลดคนทั้งสองออกไป รวมทั้งพระปรีชาด้วย
หลังจากได้ทรงหารือกับสมเด็จพระยาแล้ว เกรงว่าเรื่องจะลุกลามใหญ่โตมากไป พระเจ้าอยู่หัวจึงขอให้ระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 มี.ค. 15, 07:55
การกระทำของพระยากระสาปน์ตรงนี้ อาจจะหวังผลให้นายกูลด์นำไปรายงานนายโดยพลัน เพื่อจะได้เย็นๆลงแล้วจบๆเรื่องกันไป  เพราะถือว่าพระปรีชาจะได้รับโทษเฆี่ยน ชดเชยความผิดฐานหมิ่นนายน๊อกซ์ไปแล้ว

แต่หลังถูกเฆี่ยนไปแล้ว พระปรีชายังจะต้องถูกขังเพื่อสอบสวนเรื่องอื่นๆต่อไปอีก ทำให้นายน๊อกซ์มีความไม่พอใจ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่ชอบหน้าพระปรีชาเอามากๆหลังจากไปดูเหมืองทองและค้างคืนที่จวนพระปรีชาที่ปราจีนบุรีด้วยกัน แล้วกลับมาขอแต่งงานกับลูกสาว 
ความเป็นไปของนายน๊อกซ์ในช่วงนี้ปรากฏในหลักฐานไทย ตามเอกสาร “วังหน้าถึงสมเด็จเจ้าพระยา” ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เป็นหนังสือของกรมพระราชวังบวรทรงเล่าความตามที่สมเด็จเจ้าพระยาทำหนังสือทูลถามไปภายหลังที่นายน๊อกซ์ชวนทะเลาะไปแล้ว เพราะเห็นว่าทั้งสองสนิทกัน อาจจะเล่าอะไรสู่กันฟังบ้าง

เนื้อหาในหนังสือตอบของวังหน้านอกจากจะเล่าความตามเรื่องตั้งแต่เหตุที่เกิด ณ บางปะอิน ตามที่ผมเล่าไปแล้ว จนถึงนายน๊อกซ์อับอายที่บุตรเขยของตนถูกทางการลงโทษอย่างไม่ไว้หน้า จึงคิดจะหาทางช่วยพระปรีชากลการให้พ้นโทษ  นายน๊อกซ์จึงเริ่มด้วยการไปชักชวนกงสุลฝรั่งเศสและคิดจะรวมกลุ่มกงสุลหลายๆชาติในกรุงเทพให้มาช่วยต่อรองกับรัฐบาล แต่กงสุลฝรั่งเศสไม่เห็นด้วยเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับราชการ และพระปรีชาก็เป็นคนไทยที่อยู่ใต้กฏหมายไทย ไม่ใช่คนในบังคับของอังกฤษ อีกทั้งข่าวคราวก็ยังสับสน เนื่องจากตอนนั้นพระปรีชาเพิ่งถูกจับกุมเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

แต่ผมจึงมีความเห็นส่วนตัวว่า นายน๊อกซ์อาจจะเกรงว่า หากพระปรีชาถูกสอบสวนแบบไทยๆแล้ว อาจมีคำให้การอะไรที่พาดพิงไปถึงตน จนทำให้ต้องติดชนักเข้าไป ด้วยเป็นเรื่องใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในความคิด


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 มี.ค. 15, 08:07
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กรมพระราชวังบวรทรงรายงานความเคลื่อนไหว และแนวความคิดของนายน๊อกซ์ให้สมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องถึงพระเจ้าอยู่หัวด้วยตั้งแต่ต้นจนจบ
นี่ก็อีกบทพิสูจน์บทหนึ่งในเรื่องความจงรักภักดี ที่วังหน้าเลือกข้างพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ต้นจนจบ มิได้เป็นไปดังที่ว่ากันว่า นายน๊อกซ์กับวังหน้าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พยายามที่จะโค่นล้มพระเจ้าอยู่หัวเพื่อสถาปนากรมพระราชวังบวรขึ้นครองแผ่นดินแทน

เรื่องย้อนหลังที่ถวายรายงานไปยังพระเจ้าอยู่หัว ว่านายน๊อกซ์พยายามจะยัดเยียดแฟนนีให้เป็นเจ้าจอมของกรมพระราชวังบวร และท่านก็มีใจด้วย พาไปเมืองกาญจน์กระริกกระรี้กันจนทรงหมั่นไส้ขนาดหนักนั้น เป็นเรื่องถูกใส่ไข่จากผู้ที่หวังคะแนนเสน่หาอามิสทั้งสิ้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 มี.ค. 15, 08:32
แต่คงจะทนเว้าวอนของนายน๊อกซ์ไม่ไหว กงสุลฝรั่งเศสจึงมีหนังสือไปถึงสมเด็จเจ้าพระยาว่า เวลานี้คนทั่วไปเข้าใจว่าพระปรีชากลการถูกกลั่นแกล้ง ถ้าจะมีการตัดสินอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาก็คงจะถูกเพ่งเล็งมากกว่าคนอื่น จึงขอให้ยุติการทำโทษที่พระปรีชาเพียงเท่านี้
สมเด็จเจ้าพระยาได้ทำหนังสือตอบกลับไปว่า สภาที่ปรึกษาทั้งสองต่างหากที่เป็นผู้พิจารณา หาเกี่ยวกับตัวท่านไม่  เรื่องดังกล่าวเมื่อพระปรีชามีความผิดก็ย่อมถูกลงโทษ การกระทำของฝ่ายไทยในครั้งนี้ก็เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของสยามเอาไว้ มิได้เกี่ยวข้องกับผู้ใด
   
ท่าทีของนายน๊อกซ์ที่เป่าประกาศไปตามสังคมของฝรั่งในครั้งนี้ มีแรงกระเพื่อมพอสมควรเพราะชาวต่างชาติทั่วไปมิได้รู้ความจริงทั้งหมด คงรู้เท่าที่นายน๊อกซืต้องการจะให้รู้ นายเฮนรี่ อาลาบาสเตอร์ อดีตรองกงสุลอังกฤษที่ลาออกเพราะทะเลาะกับนายน๊อกซ์ แล้วพระเจ้าอยู่หัวทรงจ้างไว้ทำหน้าที่เป็นผู้แปลหนังสือติดต่อกับต่างประเทศ ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลขอให้พระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระสติปัญญาให้มากๆ เพราะรู้มาว่าชาวต่างประเทศส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการทำโทษพระปรีชากลการ

เมื่อถูกชาวต่างประเทศตั้งข้อสงสัยเช่นนี้ พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จเจ้าพระยาจึงเห็นพ้องกันว่า การกล่าวโทษใดๆในคดีพระปรีชา จะต้องมีหลักฐานทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมั่นคง เพื่อแสดงให้ชัดเจนในความผิดของจำเลย ว่ามิใช่เป็นการกลั่นแกล้งดังที่นายน๊อกซ์กล่าวหา และชาวต่างประเทศในสยามเข้าใจ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 มี.ค. 15, 08:35
เอาละครับ ถึงตอนนี้คดีพระปรีชาได้ลุกลามจากเป็นการเมืองภายใน ไปเป็นการเมืองระหว่างประเทศแล้ว และจะทวีความเข้มข้นขึ้นอีก ขอโฆษณาล่วงหน้า


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 มี.ค. 15, 08:50
ด้วยหนังสือของผู้ตายที่เคยร้องเรียนแล้วถูกดองไว้  สมเด็จเจ้าพระยาท่านได้เรียกมาปัดฝุ่น  ให้คนไปนำตัวนายรักมาเป็นโจทก์รายแรก เพื่อกล่าวหาพระปรีชากลการว่ากระทำทารุณกรรมนายเกิด พี่ชายของตนจนถึงแก่ความตายที่เมืองปราจีนบุรี

หากเอาผิดในเรื่องนี้ได้ ก็จะเกิดภูมิคุ้มกันต่อรัฐบาลและตัวสมเด็จเจ้าพระยา เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยประเดิมให้นานาชาติได้เห็น หากว่ากงสุลอังกฤษยังไม่เลิกที่จะยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายในคดีสำคัญอันเป็นเป้าหมาย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 มี.ค. 15, 18:26
สมเด็จเจ้าพระยาได้ให้ทางราชการจัดส่งข้าหลวงพิเศษออกไป ๒ คณะเพื่อหาพยานหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุ คือ เมืองปราจีนบุรีและเมืองกบินทร์บุรี

ข้าหลวงคณะแรกมีพระยาจ่าแสนบดีเป็นหัวหน้า มีจุดมุ่งหมายเพื่อสืบหาพยานหลักฐานในเรื่องคดีที่นายรักเป็นโจทก์ กล่าวหาพระปรีชาว่ากระทำทารุณกรรมนายเกิดจนถึงแก่ความตาย โดยได้เรียกกรรมการเมืองมาหาข้อมูล และนำนักโทษจากที่คุมขังมาสอบสวน นอกจากนั้น ยังปรากฏว่ามีราษฎรอื่นๆ ถีอโอกาสมาร้องทุกข์กล่าวโทษพระปรีชาอีกมากมาย สรุปเฉพาะเรื่องที่สำคัญได้ดังนี้คือ

เรื่องที่หลวงจ่าเมือง(อิ่ม) เป็นผู้กล่าวหาว่าพระปรีชาขาดถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา โดยไม่เข้าร่วมพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาติดต่อกันเป็นเวลา ๓ ปี ผิดขนบธรรมเนียมที่ขุนนางข้าราชการทั้งปวงพึงจะต้องปฏิบัติ

เรื่องที่หมื่นลาดภักดี นายคุ้ม นายเหม อำแดงมี ร่วมกันเป็นโจทก์ กล่าวโทษพระปรีชาว่ายึดที่นามีโฉนดเกือบ ๒๐๐ ไร่ ตั้งอยู่หลังโรงจักรถลุงแร่ทองที่ปราจีนบุรีของพวกตนไป  ด้วยว่าพระปรีชาอ้างว่าจะใช้ตากแร่ แต่ปรากฏว่าพระปรีชากลับให้นายเอี่ยม ซึ่งเป็นพี่ภรรยาคนหนึ่งของตนทำนาโดยใช้แรงงานนักโทษและราษฎรที่เกณฑ์มา เมื่อพวกตนเห็นว่าที่ดินไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์ในเรื่องบ่อทองตามประกาศ จึงมาขอที่ดินคืนเพื่อจะได้ใช้ทำมาหากินต่อไป แต่กลับถูกพระปรีชาลงโทษด้วยเหตุผลทว่า มาร้องบ่อย ๆ กวนใจ

เรื่องที่หมื่นอัศนี จีนฉาย นายสา นายใย กล่าวหาว่าพระปรีชารับซื้อของโจร โดยระบุว่าพระปรีชาใช้นักโทษให้ออกไปลักขโยมยกระบือและม้าของพวกตน เมื่อติดตามมาพบว่ากระบือและม้าเหล่านั้นอยู่ในคอกของพระปรีชา จึงได้ติดต่อขอคืน ซึ่งกว่าจะได้ก็ยากลำบาก เพราะพระปรีชาก็จะคัดเลือกตัวที่แข็งแรงเอาไว้ ที่เหลือจึงจะคืนให้เจ้าของ  ถ้าอยากได้ตัวที่ยึดไว้คืนก็ต้องนำตัวอื่นๆมาแลกเปลี่ยน หรือไม่ก็ต้องนำมาเงินมาไถ่
 
อนึ่ง เจ้าทุกข์เหล่านี้ล้วนแต่ตั้งบ้านเรือนอยู่นอกอาณาเขตปราจินบุรีที่พระปรีชาเป็นเจ้าเมืองทั้งสิ้น  เรื่องนี้พระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งข้อสังเกตว่า พระปรีชาก็ได้เคยขอให้ขยายเขตแดนเมืองปราจินไปครอบคลุมพื้นที่ตำบลเหล่านั้นๆบ่อยๆ โดยอ้างว่าเจ้าเมืองทั้งหลายไม่มีความสามารถจะปกครองให้สงบสุขได้ เช่นเมืองที่ตนกำกับดูแล ซึ่งไม่ปรากฏคดีความในลักษณะดังกล่าวเลย แต่ทรงไม่เห็นด้วยเพราะปราจินใหญ่กว่าเมืองข้างเคียงมากโขอยู่แล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 มี.ค. 15, 19:02
เรื่องไม่เป็นเรื่องจึงเกิดขึ้น เมื่อพระยากระสาปน์และเห็นนายกูลด์เข้ามานั่งงงๆ ก็ร้องขอต่อประธาน ให้มีการอ่านพระบรมราชโองการกล่าวฟ้องใหม่ตั้งแต่ต้น ตลอดจนผลการประชุมของสภาที่ปรึกษาฯ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้นายกูลด์ได้รู้เรื่อง โดยมีเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์แถลงสนับสนุน ประธานก็อนุญาต

อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าคุณท่านหวังว่า นายกูลด์จะเป็นคนใหญ่คนโตที่ผู้ใหญ่ไทยเกรงใจอยู่บ้าง    เผื่อมีโทษเพิ่มกว่านี้ นายกูลด์จะได้ผ่อนหนักเป็นเบาให้ลูกเขยท่านกงสุล ได้รอดปลอดภัย
เพราะท่านก็คงเดาได้ว่า โทษคงไม่มาหนเดียว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 มี.ค. 15, 19:42
การกระทำดังกล่าวทำให้สมาชิกหลายคนไม่พอใจ จึงได้ทำบันทึกความเห็นถวายพระเจ้าอยู่หัวให้ปลดคนทั้งสองออกไป รวมทั้งพระปรีชาด้วย
หลังจากได้ทรงหารือกับสมเด็จพระยาแล้ว เกรงว่าเรื่องจะลุกลามใหญ่โตมากไป พระเจ้าอยู่หัวจึงขอให้ระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน

ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ คนในห้องประชุมก็คงอ่านเกมออกเช่นเดียวกันนี้ จึงได้เกิดเรื่องลงบัญชีหางว่าว ถวายหนังสือฟ้องพระเจ้าอยู่หัว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 06:49
ในระหว่างที่ข้าหลวงคณะแรกกำลังสืบคดีอยู่ที่ปราจีนบุรีนั้น นายน๊อกซ์ซึ่งได้รับหนังสือจากรัฐบาลว่าได้ทำโทษพระปรีชา เนื่องจากเห็นว่าได้กระทำให้นายน๊อกซ์เสื่อมเสียเกียรติยศเป็นประการหนึ่งด้วยนั้น กลับทำหนังสือตอบคัดค้านว่า พระปรีชามีความผิดที่ไม่ได้กราบถวายบังคมลากลับจากบางปะอินดังว่า ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น ไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่มายืนยัน  จึงเรียกร้องให้รัฐบาลสยามขอโทษที่นำชื่อของนายน๊อกซ์เข้าไปเกี่ยวในคดี และสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ลูกสาว กับทั้งให้ปล่อยตัวลูกเขยของตนทันที 

รัฐบาลโดยเจ้าพระยาภาณุวงศ์ได้ตอบหนังสือขอแสดงความเสียใจในสิ่งที่กระทำลงไปโดยมิได้ตั้งใจ ด้วยเห็นว่าการแต่งงานครั้งนั้น ทั้งบิดามารดาของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ไม่มีใครไปร่วมงาน จึงเห็นว่าเป็นความจำใจ เมื่อเป็นการเข้าใจผิดดังนั้นก็ขออภัย อย่างได้มีความหมองใจในทางราชการต่อไปเลย 
แต่รัฐบาลขอปฏิเสธที่จะปล่อยตัวจำเลย เพราะยังยืนยันความผิดของพระปรีชาในฐานที่ยักยอก บีบบังคับผู้อื่น และฆาตกรรม

ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงจำเป็นต้องรีบส่งข้าหลวงคณะที่สอง ให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเป็นหัวหน้าไปเมืองประจีนบุรี โดยมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อสืบหาพยานหลักฐานที่จะมัดพระปรีชาในคดียักยอกเรื่องเหมืองทองของหลวงโดยเฉพาะ  กับให้สำรวจว่ายังมีสินแร่ทองคำพอที่จะดำเนินกิจการทำเหมืองต่อไปได้หรือไม่ 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 07:12
กงสุลใหญ่อังกฤษ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 07:15
ระหว่างการสืบสวนคดีความโดยมีโจทก์และพยาน แม้มีพยานเอกสารและพยานบุคคลเป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม  ทางราชการก็ยังมิได้นำตัวจำเลยที่ถูกขังคุกอยู่ออกมาสอบสวนสักครั้ง  จึงถูกนายน๊อกซ์ร้องเรียนว่าไม่เป็นธรรม ขอให้ขอให้ปล่อยตัวพระปรีชาโดยด่วน  เมื่อไม่ได้ผลจึงได้ติดต่อขอเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวแบบไม่เป็นทางการ

เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้ว นายน๊อกซ์ก็ให้นายกูลด์อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุด ที่รายงานว่าอังกฤษได้ส่งกองทัพเข้าไปจัดการกับพม่าแล้ว เนื่องจากไม่พอใจการกระทำของพระเจ้าแผ่นดินและรัฐบาลพม่า  นายน๊อกซ์ได้ขยายความเพื่อข่มขู่พระเจ้าอยู่หัวว่า อังกฤษได้แสดงความไม่พอใจที่พระเจ้าแผ่นดินจับเจ้านายหลายพระองค์สำเร็จโทษอย่างโหดเหี้ยม และคุกคามเจ้านายและสามัญชนหลายคนที่หลบหนีไปอยู่ภายใต้บังคับของอังกฤษ แต่พระเจ้าแผ่นดินพม่าตอบว่าเป็นเรื่องภายในของตนที่ไม่เกี่ยวกับคนอื่น  พม่าจึงจะได้รับบทเรียนต่อไป ส่วนสยามก็เช่นกัน ตัวเขามีสิทธิ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องดูแลความเป็นธรรมในคดีพระปรีชา ถ้าไม่ยอมตามที่เขาเรียกร้องแล้ว นายน๊อกซ์จะถือว่ารัฐบาลสยามดูถูกดูหมิ่นรัฐบาลอังกฤษและตัวกงสุลใหญ่

พระเจ้าอยู่หัวทรงนิ่งมาก ทรงถามกลับว่าแล้วจะให้พระองคท่านทำอะไร นายน๊อกซ์ทูลว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความแค้นสะสมของสมเด็จเจ้าพระยา ที่ต้องการขจัดคู่อริทางการเมือง  จึงขอถวายคำแนะนำให้พระเจ้าอยู่หัวปลดทั้งสมเด็จเจ้าพระยา และเจ้าพระยาภาณุวงศ์เสีย  แล้วนายน๊อกซ์จะเข้ามาเป็นพวกด้วย และจะช่วยเหลืองานส่วนพระองค์เอง อย่าได้ทรงเป็นห่วง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 07:21
นายน๊อกซ์สารภาพกับพระเจ้าอยู่หัวว่า  ตนเกลียดสมเด็จเจ้าพระยามานานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าทำหนังสือไปลอนดอน เพื่อขอให้เปลี่ยนตัวกงสุลที่กรุงเทพ ส่วนเจ้าพระยาภานุวงศ์ก็ไม่ชอบกันมาตั้งแต่โดยเสด็จไปเมืองอินเดียด้วยกัน  เห็นจะมีกรมพระราชวังบวรพระองค์เดียวเท่านั้น ที่เขารักและไว้ใจที่สุด

ถึงตรงนี้พระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสว่า ใครจะชอบหรือไม่ชอบพระองค์นั้น ทรงรู้ดี แต่ก็ยังคงสามารถประคองพระองค์เองมาได้จนทุกวันนี้  จึงไม่เรื่องที่จะมาเป็นทุกข์เป็นร้อนว่าจะมีพรรคพวกช่วย ส่วนเรื่องการสอบสวนเอาโทษพระปรีชา พระองค์เห็นพ้องกับเสนาบดีผู้ใหญ่ทั้งสอง ถ้าพระปรีชาไม่ผิดก็ไม่จำเป็นต้องกลัว

เพื่อเจราจาไม่ได้ผล นายน๊อกซ์ก็ยื่นหนังสือถวาย เสนอข้อเรียกร้องสามประการ คือหนึ่ง ให้รัฐบาลสยามทำหนังสือขอโทษเขาให้ชัดเจน ไม่ใช่ใช้คำแค่ขอแสดงความเสียใจ สอง การพิจารณาคดีพระปรีชาให้เลือกตุลาการที่เป็นธรรม และสาม ขอให้ปล่อยพระปรีชาระหว่างการสอบสวน  ถ้ารัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัวไม่ทำตามแม้แต่เพียงข้อเดียว ก็ขอให้เตรียมตัวรับความเดือดร้อน เพราะตนได้เรียกเรือรบของอังกฤษเข้ามากรุงเทพแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 07:41
พระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาภานุวงศ์เป็นผู้ตอบหนังสือดังกล่าว ซึ่งมีความว่า ที่รํฐบาลใช้คำว่าขอแสดงความเสียใจ เพราะเป็นคำพูดของผู้ที่มีวุฒิภาวะพึงใช้ระหว่างกัน มีความหมายว่าขอโทษอยู่แล้ว  ส่วนเรื่องตุลาการก็ได้ค้ดเลือกแต่คนที่มีความยุติธรรม มีสมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ประธานของพระบรมวงศานุวงศ์  ผู้ที่คนทั่วไปให้เคารพนับถือเป็นองค์หัวหน้าคณะ ก็คงจะเป็นที่พอใจ ส่วนเรื่องขอให้ปล่อยตัวพระปรีชาในขณะนี้นั้น กระทำไม่ได้เพราะกำลังอยู่ในขบวนการสอบสวน

เมื่อได้รับแล้ว นายน๊อกซ์ทำหนังสือตอบว่า ตนจะรับคำขอแสดงความเสียใจแทนคำขอโทษก็ได้ แต่ถ้าไม่ยอมปล่อยตัวพระปรีชาตามหลักมนุษยธรรมที่ใช้ในบ้านเมืองที่เจริญแล้ว เขาก็จะไม่ถือว่าคำขอโทษนั้น สามารถลบล้างความผิดที่รัฐบาลได้กระทำการละเมิดต่อตัวเขา

มาถึงตอนนี้ พระเจ้าอยู่หัวและเสนาบดีผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเห็นพ้องกันว่า ป่วยการที่จะทำความเข้าใจกับนายน๊อกซ์เสียแล้ว จึงตัดสินใจส่งคณะทูตพิเศษรีบเดินทางออกไปชี้แจงกับรัฐบาลอังกฤษในทันที  เมื่อทูตออกไปแล้วจึงทำหนังสือถึงนายน๊อกซ์ว่า รัฐบาลสยามได้ส่งคณะทูตไปลอนดอน เพื่อชี้แจงต่อกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษในกรณีย์ที่รัฐบาลและกงสุลใหญ่อังกฤษมีความเห็นไม่ตรงกัน สุดแล้วแต่รัฐบาลอังกฤษจะมีควมเห็นควรประการใด

นายน๊อกซ์คาดไม่ถึงว่ารัฐบาลสยามจะทำอะไรได้เร็วขนาดนั้น เมื่อไม่สามารถจะคัดค้านได้ทันการ ก็ต้องเลยตามเลย โดยทำหนังสือตอบไม่ขัดข้องกลับมา แต่ยังไม่วายที่จะขู่ว่า ไม่แน่ที่รัฐบาลอังกฤษจะต้อนรับคณะทูตสยามก็ได้ เพราะรัฐบาลกระทำข้ามขั้นตอนข้ามหัวเขา โดยไม่ทำหนังสือถึงกงสุลใหญ่ให้เห็นชอบและเสนอเรื่องไปที่รัฐบาลอังกฤษก่อน  ต่อเมื่อทางลอนดอนตอบรับแล้วค่อยไป พร้อมกันนั้น นายน๊อกซ์ได้ขอสำเนาหนังสือราชการที่คณะทูตได้นำไปอังกฤษให้เขาได้ทราบความด้วย  แต่รัฐบาลตอบปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า เมื่อเกิดคดีความพระปรีชาขึ้นมาในตอนแรก แล้วนายน๊อกซ์ทำรายงานไปยังกระทรวงต่างประเทศอังกฤษนั้น รัฐบาลสยามก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเช่นกัน

ช่างโต้ตอบได้ถึงพริกถึงขิงดีแท้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 07:43
พระปรีชากลการ(สำอาง) และนางปรีชากลการ(แฟนนี นอกซ์)

ลูกเขยและลูกสาวกงสุลใหญ่อังกฤษ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 01 เม.ย. 15, 11:13
ยังแอบฟังอยู่ห้องข้างๆ นะครับ
คราวนี้ แอบไม่พอใจอยู่ในใจว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นข้าราชการ ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็น่าจะเหมือนกัน คือ ทำการเกินอำนาจหน้าที่ของตนเองไม่ได้ ขึ้นทำลงไป ก็อาจจะมีความผิดเสียเองได้ เช่นนี้แล้ว ตำแหน่งกงศุลใหญ่ ในสมัยนั้น มีอำนาจหน้าที่อย่างไรกัน หรือเขามีอำนาจบารมีขนาดไหนกัน ถึงได้สามารถเจรจาข่มขู่พระเจ้าแผ่นดินได้

 ???
 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 14:20
อ้างถึง
ยังแอบฟังอยู่ห้องข้างๆ นะครับ
คราวนี้ แอบไม่พอใจอยู่ในใจว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นข้าราชการ ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็น่าจะเหมือนกัน คือ ทำการเกินอำนาจหน้าที่ของตนเองไม่ได้ ขึ้นทำลงไป ก็อาจจะมีความผิดเสียเองได้
ยังไม่แน่ใจว่าที่กล่าวนี้หมายถึงข้าราชการไทย เช่นพระปรีชากลการด้วยหรือเปล่า  แต่จะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม มันมีทั้งทำเกินหน้าที่ และทำน้อยกว่าหน้าที่ที่ควรจะทำ ไอ้ที่พอดีๆนั้น ส่วนน้อย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 14:28
อ้างถึง
เช่นนี้แล้ว ตำแหน่งกงศุลใหญ่ ในสมัยนั้น มีอำนาจหน้าที่อย่างไรกัน หรือเขามีอำนาจบารมีขนาดไหนกัน ถึงได้สามารถเจรจาข่มขู่พระเจ้าแผ่นดินได้
นายน๊อกซ์เป็นทหารอังกฤษประจำการอยู่ในอินเดีย คงมีวิญญาณนักเผชิญโชคเช่นฝรั่งสะพายเป้ทุกยุคทุกสมัย  จึงเดินทางมาสยามแล้วได้งานทำเป็นครูฝึกทหารให้วังหน้า
ต่อมาเกิดชอบพอกับอำแดงปราง สาวปากลัด นางข้าหลวงของพระองค์เจ้าวงจันทร์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าก็สมรสพระราชทานให้
ต่อมาเมื่ออังกฤษมาตั้งสถานกงสุลหลังสนธิสัญญาเบาวริ่ง ได้พักหนึ่ง ร้อยเอกน๊อกซ์ก็ลาออกจากข้าราชการวังหน้า ไปเป็นล่ามให้สถานกงสุล แล้วไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆจนได้เป็นกงสุล และกงสุลใหญ่ตามลำดับ

การที่กงสุลน๊อกซ์มีประสบการณ์มากมายในเมืองไทย และพูดภาษาไทยได้ จึงทำให้เขาดูน่ากลัวเพราะรู้เรื่องของเรามากเกินไป ไม่ค่อยมีผู้หลักผู้ใหญ่อยากคบกับเขา มีแต่กรมพระราชวังบวร เพราะทรงถือว่าเป็นเพื่อนเก่าเพือนแก่ และพระองค์เองก็เป็นคนน่ารัก เข้ากับคนง่าย ในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวหนุ่ม ทรงระแวงไปทุกคนนอกจากพระอนุชาและเจ้านายใกล้ชิด นายน๊อกซ์นั้นเข้าไม่ติด ตั้งแต่ทรงคิดว่าเขาทะลึ่งที่พยายามจะสอนพระองค์ต่อหน้าคนอื่นในคราวเสด็จเมืองอินเดีย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นายน๊อกซ์ก็จะไม่ชอบพระเจ้าอยู่หัวเช่นกัน แล้วยิ่งเพิ่มความสนิทสนมกับวังหน้าจนทำให้ทรงเขม่นทั้งคู่หนักเข้าไปอีก

หลังวิกฤตวังหน้าจบลงเพราะอิทธิพลของอังกฤษ พระเจ้าอยู่หัวทรงลดอำนาจของวังหน้าได้แต่ไม่สามารถลดบทบาทของขุนนางตระกูลบุนนาคได้ และดูเหมือนว่าอังกฤษจะยังมีอิทธิพลสืบเนื่อง คงจำบทความของนิวยอร์คไทม์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า ตอนนั้นกงสุลน๊อกซ์เสมือนเป็น The first king of Siam เพราะสามารถเข้ากันได้กับทุกกลุ่มการเมือง พูดอะไรใครก็ฟัง และทำให้คิงจุฬาลงกรณ์เป็น King of the palaceไป

บทความในนิวยอร์คไทม์สะท้อนให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของนายน๊อกซ์ ที่เห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวยังเด็ก(หมายความว่าประสบการณ์ยังน้อย) จึงควรจะต้องเชื่อฟังเขา โดยเฉพาะหากคิดว่าสยามยังจะต้องพึ่งอิทธิพลของอังกฤษในการคานอำนาจกับฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นกลืนเขมรและลาว เมืองขึ้นของสยามไปแล้ว

สำหรับเรื่องพระปรีชา เมื่อพระเจ้าอยู่หัวไม่นำพาต่อข้อเรียกร้องของเขา จึงอดกลั้นไม่ได้ที่จะแสดงสันดานดิบออกมาบ้างตามนั้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 01 เม.ย. 15, 20:00
นายน๊อกซ์สารภาพกับพระเจ้าอยู่หัวว่า  ตนเกลียดสมเด็จเจ้าพระยามานานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าทำหนังสือไปลอนดอน เพื่อขอให้เปลี่ยนตัวกงสุลที่กรุงเทพ ส่วนเจ้าพระยาภานุวงศ์ก็ไม่ชอบกันมาตั้งแต่โดยเสด็จไปเมืองอินเดียด้วยกัน

ดูจากตรงนี้ เห็นว่านายคนน๊อกซ์หาได้ฉลาดล้ำลึก ทำไมถึงได้เป็นใหญ่เป็นโต มีตัวช่วยอะไรหรือเปล่าคะ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 20:35
ฝรั่งไม่เหมือนไทยที่ตัวช่วยคือเส้นสาย แต่ตัวช่วยของนายน๊อกซ์ก็คือความรู้ความเข้าใจในประเทศนี้มากกว่าคนอังกฤษอื่นๆ นอกจากจะพูดภาษาไทยได้แล้ว เขายังได้ชื่อว่าเป็นคนของในวัง แม้จะในวังหน้าก็ตาม แต่นั่นก็มีประโยชน์มากในหน้าที่การงานของกงสุล

อนึ่ง การหาคนแบบที่กระทรวงการต่างประเทศต้องการมาทำงานนานๆในสยามก็หายากอยู่ เพราะฝรั่งไม่ค่อยทนกับอากาศร้อนชื้น ยิ่งน้ำบริโภคด้วยแล้ว ถ้าไม่ต้มให้เดือดจริงๆฝรั่งกินเข้าไปจะจู๊ดๆทุกราย  เผลอๆก็ตายไปเลย  ฝรั่งมาเมืองไทยจึงเหมือนเดินเข้าสมรภูมิ ทุกคนคิดว่าถ้ารอดกลับไปก็ต้องมีอะไรติดมือกลับไปแบบคุ้มค่า  จึงทำทุกทางเพื่อการนั้น
กงสุลคนแรกของอังกฤษก็ตายด้วยโรคท้องร่วงอย่างแรง แต่นายน๊อกซ์อยู่นานจนมีภูมิคุ้มกัน ทนอยู่ได้จนสามารถไต่ระดับจากตำแหน่งล่าม ไปจนเป็นเบอร์หนึ่งของสถานกงสุลในที่สุด

ผมเห็นด้วยว่านายน๊อกซ์ไม่ได้ฉลาดล้ำลึก เขาเล่นเกมผิดตลอด และโฉ่งฉ่างเกินไปจนสุดท้ายก็จบไม่สวย นายน๊อกซ์ต้องกลับไปอังกฤษคนเดียว ลูกเมียไม่ยอมตามไปอยู่ด้วย  เขาได้เป็นท่านเซอร์ แต่ก็คงกลายเป็นตาแก่เซ่อๆคนนึงในบ้านเกิด หาร่องรอยไม่ได้ว่ามีบทบาทอะไรอีก จนกระทั่งตายไปอย่างเงียบๆ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 เม.ย. 15, 21:42
ได้ประวัติสั้นๆของน๊อกซ์มาค่ะ  รวมทั้งเครื่องราชฯของเขาด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 เม.ย. 15, 22:05
นำประวัติสั้น ๆ ของแฟนนีและพระปรีชากลการมาร่วมด้วย  ;D

ข้อมูลจาก
http://thepeerage.com/p33215.htm#i332146 (http://thepeerage.com/p33215.htm#i332146)


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3248.0;attach=9274;image)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 เม.ย. 15, 22:20
เข้าใจว่า Prang Yen หมายถึงชื่อตัวชื่อปราง บุตรีของนางเย็น แบบชื่อชาวมุสลิม หรือเขมร ในสมัยที่คนไทยยังไม่มีนามสกุล ชื่ออย่างเป็นทางการก็เป็นไปตามลักษณะเดียวกันนั้น

อนึ่ง อำแดงหมายถึงนางสาวนะครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 เม.ย. 15, 22:23
ค่ะ  Sum Aang Maude  หรือ สำอาง(บุตรนาย)โหมด  ก็แบบเดียวกัน 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 เม.ย. 15, 07:26
ผมเห็นด้วยว่านายน๊อกซ์ไม่ได้ฉลาดล้ำลึก เขาเล่นเกมผิดตลอด และโฉ่งฉ่างเกินไปจนสุดท้ายก็จบไม่สวย นายน๊อกซ์ต้องกลับไปอังกฤษคนเดียว ลูกเมียไม่ยอมตามไปอยู่ด้วย  เขาได้เป็นท่านเซอร์ แต่ก็คงกลายเป็นตาแก่เซ่อๆคนนึงในบ้านเกิด หาร่องรอยไม่ได้ว่ามีบทบาทอะไรอีก จนกระทั่งตายไปอย่างเงียบๆ

ที่ว่านายน๊อกซ์อ่านเกมผิดนั้น ดูได้จากหนังสือที่นายน๊อกซ์ทำรายงานเรื่องพระปรีชาฉบับแรกไปยังกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ  ซึ่งนายน๊อกซ์คงจะให้คนเขียนบทความที่ส่งไปตีพิมพ์ในนิวยอร์คไทม์ได้ดูสำเนานั้นด้วย ใจความบางอย่างจึงคล้ายกัน  ที่สำคัญคือ ไปฟันธงว่าพระเจ้าอยู่หัวนั้นอ่อนแอ หลังวิกฤตวังหน้าแล้ว ทรงอยู่ภายใต้ครอบงำของสมเด็จเจ้าพระยา โดยพระองค์ทรงอยู่ในภาวะจำยอมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะขุนนางสำคัญๆเป็นคนในตระกูลบุนนาคทั้งนั้น
คดีพระปรีชานี้  เกิดขึ้นเพราะคำกล่าวหาของสมเด็จเจ้าพระยาที่หวังแก้แค้นนายโหมด และด้วยความอิจฉาของเจ้าพระยาภานุวงศ์ในตัวพระปรีชา  แม้พระเจ้าอยู่หัวจะไม่เต็มพระทัย ก็ทรงจำต้องปล่อยเลยตามเลย

ความจริงนายน๊อกซ์ก็รู้มาก แต่รู้ไม่หมด วันที่เขาเข้าเฝ้าแล้วพลาดไปกราบบังคมทูลว่า ตนไม่ชอบสมเด็จเจ้าพระยาและเจ้าพระยาภานุวงศ์ หวังจะให้พระเจ้าอยู่หัวเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน และทูลเสนอให้พระเจ้าอยู่หัวปลดสมเด็จเจ้าพระยา กับเจ้าพระยาภานุวงศ์  โดยเขาอาสาจะเสียบเข้ามาเป็นที่ปรึกษา เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปสยามต่อโดยไม่ต้องเกรงใจผู้ใดอีกแล้ว เพราะจะมีอังกฤษให้พิงหลังประกันความปลอดภัยนั้น  นายน๊อกซ์คิดว่าเป็นข้อเสนอวิเศษสุดที่พระเจ้าอยู่หัวจะทรงพึงพอพระทัย แต่สิ่งที่นายน๊อกซ์ไม่รู้นั่นเองที่ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธด้วยความรู้สึกแบบติดลบ  นั่นก็คือ เหนือบุคคลอื่นใดที่พระองค์ทรงเกลียด ก็เป็นตัวนายน๊อกซ์เอง

ดังนั้นก็ไม่แปลกที่นายน๊อกซ์สอบตกครั้งสำคัญของชีวิตในครั้งนี้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 เม.ย. 15, 08:02
มาถึงตอนนี้ พระเจ้าอยู่หัวและเสนาบดีผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเห็นพ้องกันว่า ป่วยการที่จะทำความเข้าใจกับนายน๊อกซ์เสียแล้ว จึงตัดสินใจส่งคณะทูตพิเศษรีบเดินทางออกไปชี้แจงกับรัฐบาลอังกฤษในทันที  เมื่อทูตออกไปแล้วจึงทำหนังสือถึงนายน๊อกซ์ว่า รัฐบาลสยามได้ส่งคณะทูตไปลอนดอน เพื่อชี้แจงต่อกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษในกรณีย์ที่รัฐบาลและกงสุลใหญ่อังกฤษมีความเห็นไม่ตรงกัน สุดแล้วแต่รัฐบาลอังกฤษจะมีความเห็นควรประการใด

นายน๊อกซ์คาดไม่ถึงว่ารัฐบาลสยามจะทำอะไรได้เร็วขนาดนั้น เมื่อไม่สามารถจะคัดค้านได้ทันการ ก็ต้องเลยตามเลย โดยทำหนังสือตอบไม่ขัดข้องกลับมา แต่ยังไม่วายที่จะขู่ว่า ไม่แน่ที่รัฐบาลอังกฤษจะต้อนรับคณะทูตสยามก็ได้ เพราะรัฐบาลกระทำข้ามขั้นตอนข้ามหัวเขา โดยไม่ทำหนังสือถึงกงสุลใหญ่ให้เห็นชอบและเสนอเรื่องไปที่รัฐบาลอังกฤษก่อน  ต่อเมื่อทางลอนดอนตอบรับแล้วค่อยไป พร้อมกันนั้น นายน๊อกซ์ได้ขอสำเนาหนังสือราชการที่คณะทูตได้นำไปอังกฤษให้เขาได้ทราบความด้วย  แต่รัฐบาลตอบปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า เมื่อเกิดคดีความพระปรีชาขึ้นมาในตอนแรก แล้วนายน๊อกซ์ทำรายงานไปยังกระทรวงต่างประเทศอังกฤษนั้น รัฐบาลสยามก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเช่นกัน

ช่างโต้ตอบได้ถึงพริกถึงขิงดีแท้

นายน๊อกซ์คงลืมไปว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเตรียมการที่จะส่งคณะทูตให้นำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปถวายพระนางเจ้าวิกตอเรียมานานพอสมควร โดยทีแรกกะจะออกเดินทางตั้งแต่เดือนเมษา แต่ต้องเลื่อนเพราะทางอังกฤษแจ้งว่าพระนางเจ้าทรงพระประชวร ไม่พร้อมที่จะเสด็จออกรับคณะทูต ในเมื่อคณะทูตพร้อมที่จะเดินทางอยู่แล้ว จึงโปรดเกล้าให้ออกไปเลย ให้กงสุลสยามในลอนดอนแจ้งกระทรวงการต่างประเทศว่า จะไปหารือถึงกำหนดการใหม่ที่จะนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปถวาย  ซึ่งรัฐบาลอังกฤษยินดีต้อนรับ แล้วจะถือโอกาสหารือกันเรื่องนายน๊อกซ์ด้วย
 
ดังนั้น เพื่อให้เหตุผลของฝ่ายไทยหนักแน่นที่จะไม่ปล่อยตัวพระปรีชา และลงโทษตามความผิด ก็จะต้องรีบทำการสอบสวนคดีความโดยเร็ว ให้ได้ผลก่อนที่คณะทูตจะเดินทางถึงกรุงลอนดอนได้ก็ยิ่งดี
ดังนั้น หลังจากนายน๊อกซ์เข้าเฝ้าได้เพียงวันเดียว ก็ได้มีพระบรมราชโองการให้คณะตุลาการ เบิกตัวพระปรีชาออกมาขึ้นศาลเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๒๒ ประเดิมในข้อหาเรื่องขาดถือน้ำพระพิฒน์สัตยาก่อน เพราะทุกคนคิดว่าเป็นคดีที่ง่ายที่สุดที่จะเอาผิดได้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 เม.ย. 15, 08:09
คดีนี้หลวงจ่าเมือง (อิ่ม) เป็นผู้กล่าวหาว่าพระปรีชากลการไม่ได้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นเวลา ๓ ปี

หลังจากรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว พระปรีชาได้ให้การปฏิเสธทันทีว่าไม่เคยขาดการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแม้แต่เพียงปีเดียว บางปีก็รับน้ำพระราชทานที่ปราจีนบุรี บางปีก็รับที่กรุงเทพ มีอยู่ปีเดียวคือ เมื่อพ.ศ.๒๔๑๙ พระปรีชากลการไม่ได้เข้าร่วมพิธีที่เมืองปราจีนเพราะต้องไปต้อนรับกงสุลฝรั่งเศส และกงสุลโปรตุเกสที่เดินทางไปปราจีนบุรี แต่ก็ได้สั่งให้กรมการเมืองนำน้ำพระพิพัฒน์สัตยาไปให้ที่จวน พร้อมกับอ้างพยานของตน คือ พระปลัด หลวงยกกระบัตร หลวงวัง และหลวงบรรเทาทุกข์ราษฎร

เมื่อเรียกพยานทั้ง ๔ คนมาสอบสวนหลังไมค์  คำตอบก็ตรงตามคำให้การของพระปรีชา ทำให้คณะตุลาการเกิดความวิตกกังวลว่า ถ้าจะมีการเบิกความกันอย่างเป็นทางการในศาลแล้ว พระปรีชาก็จะต้องเป็นฝ่ายชนะแน่นอน จะเป็นการประเดิมด้วยความพ่ายแพ้ของรัฐบาล เข้าทางนายน๊อกซ์ที่จ้องจับผิดอยู่พอดี ดังนั้น คณะตุลาการจึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลว่า จะยังไม่เบิกตัวพยานฝ่ายผู้ต้องหามาให้การในศาลก่อน  เนื่องจากได้รับหนังสือจากปราจีนบุรีขอให้รีบส่งตัวกรมการเมืองทั้ง ๔คน กลับไปช่วยราชการด่วน

เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับพระปรีชามากถึงกับทำหนังสือถวายฎีกา กล่าวหาว่าคณะตุลาการไม่มีความยุติธรรม ที่ไม่นำสืบพยานฝ่ายพระปรีชาหลังจากที่ตนเบิกความไปแล้ว แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการไต่สวนคดีต่อ หรือมีคำสั่งศาลแต่ประการใด เพราะหลังฉากนั้นตุลาการกลัวว่าโจทก์จะแพ้น็อคจำเลยในยกแรก


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 เม.ย. 15, 10:17
แ อ่ น  แ อ น แ อ๊ น น น น น น น

BOAT AHOY !

เรือรบอังกฤษ ม า แ ล้ ว ว ว ว ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 02 เม.ย. 15, 16:22
อ้างถึง
ยังไม่แน่ใจว่าที่กล่าวนี้หมายถึงข้าราชการไทย เช่นพระปรีชากลการด้วยหรือเปล่า 
หมายถึง นายน๊อกซ์ ครับอาจารย์
คือ ด้วยความที่เขาดำรงตำแหน่ง กงศุล ซึ่งคงจะมีอำนาจหน้าที่อยู่ระดับหนึ่ง ในฐานะตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ แต่อย่างไรเสีย ตัวแทนก็ต้องมีบางเรื่องที่ตัดสินใจโดยพลการไม่ได้บ้างเป็นแน่ การที่เขาไปเจรจากับพระเจ้าอยู่หัวว่า จะให้การสนับสนุนในเรื่องต่างๆ นั้น ผมรู้สึกว่าเกินอำนาจที่เขาจะทำได้หนะครับ

ขอบคุณครับ   


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 เม.ย. 15, 17:41
ปกติ เบอร์หนึ่งของสำนักงานตัวแทนทางการทูต ไม่ว่าจะเป็นระดับทูตหรือกงสุล หรือหัวหน้าสำนักงานก็ตาม แม้จะมีอำนาจหน้าที่เท่าที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลของตน แต่ก็สามารถปฏิบัติเกินกว่านั้นได้โดยความรับผิดชอบของตนเอง

ยกตัวอย่างกงสุลฝรั่งเศส นายปาวีคราว ร.ศ.๑๑๒ เขาขอเรือรบมาข่มขู่สยาม โดยจะให้เข้ามาจอดในแม่น้ำเจ้าพระยารวม ๓ลำ แต่ฝ่ายไทยไม่อนุญาต เพราะขณะนั้นมีลำหนึ่งจอดอยู่หน้าสถานทูตแล้ว เขาก็ดื้อรั้นจะให้เข้ามาให้ได้ ฝ่ายไทยจึงขอร้องไปทางกระทรวงต่างประเทศที่ปารีส ให้ระงับ รัฐบาลฝรั่งเศสเห็นด้วยจึงโทรเลขแจ้งมาทางกงสุลแต่เช้าตรู่ ให้นำไปมอบให้ผู้บังคับการกองเรือที่กำหนดจะมาถึงนอกสันดอนในตอนเย็น ว่าให้ทอดสมอรออยู่นอกสันดอนก่อน  แต่นายปาวีก็ใช้เลห์เหลี่ยมเอาคำสั่งสำคัญนั้นใส่ถุงเมล์ ปนกับจดหมายอื่นๆเป็นร้อย ให้ทหารนำไปให้บนเรือรบโดยไม่บอกสักคำว่าในถุงนั้นมีคำสั่งจากปารีส เรือรบฝรั่งเศสจึงแหกด่านเข้ามาแล้วเกิดปะทะกับฝ่ายไทยที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า เมื่อเรือรบเข้าไปจอดที่หน้าสถานทูตแล้ว รัฐบาลฝรั่งเศสก็ปล่อยให้เลยตามเลย

การปฏิบัติตามคำสั่งแบบเจ้าเลห์นี้ ถือว่านายปาวีเสี่ยง เพราะถ้ารัฐบาลฝรั่งเศสเอาเรื่อง เขาก็ผิดเต็มประตู

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทยประจำวอชิงตัน ดีซี ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ไปยื่นหนังสือประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา แต่ท่านไปบอกว่าท่านจะฝ่าฝืนคำสั่งรัฐบาลโดยไม่ประกาศ รัฐบาลมองว่าท่านเป็นกบฐ  บังเอิญญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม อเมริกันชนะ ม.ร.ว.เสนีย์จึงกลายเป็นฮีโร่

กลับมาที่นายน๊อกซ์ เขาก็ทราบว่าเขาทำเกินอำนาจ แต่ถ้าเขาบลั๊ฟพระเจ้าอยู่หัวสำเร็จ รัฐบาลอังกฤษก็คงตกรางวัลให้เขา เขาจึงยอมเสี่ยง เมื่อเสี่ยงแล้วผลไม่เป็นไปตามที่คาด เขาก็ต้องรับชะตากรรม
อย่างไรก็ดี ถือว่าเขาก็ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง ถึงหมดหน้าที่ รัฐบาลอังกฤษก็จ่ายเงินบำนาญให้เขาถึงสองในสามของเงินเดือนสุดท้ายที่ได้รับไปตลอดชีวิต ส่วนกล่องก็เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นอัศวิน ทำให้เขาได้รับคำหน้านามว่าท่านเซอร์อย่างโก้หรู


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 เม.ย. 15, 06:27
เรือรบหลวงฟ๊อกซ์ฮาวด์(H.M.S.Foxhound)ของอังกฤษได้มาถึงปากน้ำเจ้าพระยาในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๒๒ ซึ่งฝ่ายไทยได้รับรายงานให้ทราบล่วงหน้าแล้วจากกงสุลสยามที่ประจำอยู่ในสิงคโปร์ จึงได้เตรียมแผนรับอยู่  ตามประเพณีนั้น เมื่อเรือรบเข้ามาแล้วกัปตันเรือจะต้องเข้าเยียมคำนับเสนาบดีกรมท่า แต่คราวนี้นายน๊อกซ์ได้ห้ามไว้ ความรู้ถึงพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาภาณุวงศ์จัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไปเยี่ยมกัปตันถึงในเรือแทน พร้อมกับจัดส่งผลหมากรากไม้หลายเข่งไปให้บรรดาลูกเรือตามน้ำใจไมตรีที่ฝ่ายไทยเคยปฏิบัติกับแขกเมือง และเจ้าพระยาภาณุวงศ์ยังได้ขออนุญาตกัปตัน เชิญนายทหารเรือคนอื่นๆไปเลี้ยงที่เรือนรับรองของท่านเป็นการผูกมิตร อิ่มหนำสำราญแล้วก็บ่นๆให้ฟังว่าการที่กงสุลใหญ่เรียกเรือรบมาครั้งนี้ ก็เพื่อจะให้สนับสนุนข้อเรียกร้องส่วนตัวของตนเอง ตอนแรกพวกนั้นก็รับฟังไว้เฉยๆ แต่พอมีคำสั่งจากกงสุลใหญ่ไม่ให้พูดคุยกับคนไทยเป็นอันขาด  พวกทหารเรืออังกฤษก็เลยเข้าใจเหตุผลที่ซ่อนอยู่ว่าทำไมพวกตนจึงถูกเรียกมา  หายมึนว่าทำไมคนไทยไม่เห็นจะมีท่าทีเป็นศัตรู  แถมดูเป็นมิตรยิ่งกว่าชาวพื้นเมืองใดๆที่พวกเขาไปเล่นเกมGunboat diplomacyมา  นี่ ..กงสุลสั่งทหารเรือมาจะให้เข่นฆ่าผู้ใด

นายน๊อกซ์ยังช๊อกอยู่ที่ไทยสามารถส่งคณะทูตไปอังกฤษได้อย่างรวดเร็วจนตนตั้งตัวไม่ทัน จึงไม่กล้าออกคำสั่งให้เรือรบดำเนินการตามแผนที่คิดไว้เดิม  พอดีทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้รับรายงานเรื่องเรือรบที่นายน๊อกซ์สั่งเข้าไปสยาม ได้ถึงที่หมายแล้ว จึงมีโทรเลขถึงผู้บังคับการเรือมิให้กระทำการรุนแรงใดๆ  หากไม่มีคำสั่งโดยตรงจากรัฐบาลอังกฤษ

ทหารเรืออังกฤษมานอนตบยุงเมืองไทยอยู่ได้ประมาณสองอาทิตย์  เมื่อไม่เห็นกงสุลใหญ่ขยับอย่างไร ก็ขออนุญาตบ๋ายบายกลับไปฐานทัพที่ฮ่องกง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 เม.ย. 15, 11:07
ตั้งแต่ก่อนที่เรือรบจะเข้ามา พระเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าแต่งตั้งคณะตุลาการเพิ่ม เพื่อเร่งสอบปากคำพยานโจทก์ในคดีลักโคกระบือ๑๐คน ที่พามาจากปราจีนบุรี แบบตัวต่อตัว พวกนี้เป็นนักโทษที่การตรงกันว่าติดคุกอยู่ในข้อหาเป็นผู้ร้ายลักโคกระบือ แต่ได้รับโทษอยู่ได้ไม่นาน พระปรีชาได้ปล่อยให้ไปทำนาอยู่กับนายเอี่ยมที่หลังโรงถลุงทองพักหนึ่ง แล้วก็สั่งให้นายเอี่ยมปล่อยพวกตนให้ไปขโมยกระบือและม้านำมาขายให้กับพระปรีชา

ตุลาการจึงได้นำตัวนายเอี่ยมมาสอบสวน นายเอี่ยมได้ให้การชัดเจนว่า ได้ทำทุกอย่างตามคำสั่งของพระปรีชา ที่สั่งให้ถอดตรวนนักโทษ ๑๗ คน พร้อมด้วยกระบือของหลวง ๓๐ตัว ส่งมาให้นายเอี่ยมใช้ทำนา ต่อมาพระปรีชาก็สั่งให้นายเอี่ยมปล่อยนักโทษเหล่านั้นไปขโมยกระบือและม้ามาขายให้ตัวเอง แล้วตบรางวัลให้เป็นกระบือบ้าง นายเอี่ยมให้การแบบละเอียดถึงการรับซื้อของโจรดังกล่าวแก่ตุลาการจนหมดสิ้น แม้กระทั่งเมื่อพระปรีชาแต่งงานแล้วพาแฟนนีไปฉลองที่ปราจีนบุรี ก็สั่งให้นายเอี่ยมนำกระบือที่รับซื้อเอาไว้ไปขายให้หมด เพื่อเอาเงินมาทุ่มจัดงาน

นอกจากคนพวกนั้นแล้ว คณะตุลาการยังได้สอบถามพยานอีกหลายคน ซึ่งให้การตรงกันและยืนยันว่าได้เห็นพระปรีชาจ่ายเงิน เมื่อซื้อของจากคนร้ายเหล่านั้นด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 เม.ย. 15, 11:08
ในวันเดียวกับที่เรือรบมาถึงเมืองสยาม คณะตุลาการได้เบิกตัวพระปรีชากลการออกมาแจ้งข้อกล่าวหารวม ๒ เรื่อง คือ เรื่องฉ้อโกงที่นาของหมื่นอาทภ้กดี นายตุ้ม นายเหม อำแดงมี ไปใช้ในประโยชน์ส่วนตัว และเรื่องนายเอี่ยมให้การซักทอดว่า พระปรีชาสั่งให้ปล่อยนักโทษออกไปขโมยกระบือและม้าของราษฎร

พระปรีชาให้การว่า เมื่อครั้งที่ได้รับพระราชโองการให้ออกไปจัดการทำเหมืองทองนั้น ทางราชการได้มีท้องตราให้เจ้าเมืองปราจีนบุรีคนก่อนจัดหาที่ดินหลังโรงถลุงแร่ให้ใช้กิจการ ถ้าที่ดินนั้นมีเจ้าของก็ให้หาที่ดินแปลงอื่นให้ไปแทน ครั้นเมื่อติดประกาศให้เจ้าของที่นานั้นมาแสดงตน ก็มีเพียงอำแดงมีมาคนเดียว พระปรีชาเห็นว่าที่ดินผืนนั้นยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรในเวลานั้น จึงได้ออกตราจองให้แก่นายเอี่ยม และได้สั่งให้หลวงประจนผู้คุมถอดตรวนนักโทษที่มีประกันจำนวน ๑๗ คน พร้อมกระบือ ๓๐ตัว ส่งไปให้นายเอี่ยมทำนาจริง ครั้นพอได้ข้าวมาก็ได้แบ่งข้าวนั้นให้ไปใช้เลี้ยงนักโทษในที่คุมขัง ซึ่งตรงกับคำให้การของนายเอี่ยมและพยานอีกหลายคน แต่อย่างไรก็ตามพระปรีชากลการไม่ยอมให้การถึงเรื่องปล่อยนักโทษไปลักขโมยเพื่อมาขายให้กับตน

พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสเรื่องคำให้การในเรื่องที่ดินว่า “...เขาให้การพอมีเหตุผลฟังได้...เราจะจับก็ไม่สู้มั่น...”
แต่เรื่องที่พระปรีชาปล่อยผู้ร้ายไปลักขโมยราษฎรนั้น ทรงเห็นว่า “ถึงพระปรีชากลการจะไม่รับก็ไม่สำคัญเพราะมีพยานยืนยันให้เห็นชัดแจ้ง ขณะนี้ยังมีข้อกล่าวหาที่มีความสำคัญและรุนแรงอยู่อีก ๒เรื่องคือ เรื่องฆ่าคนตาย และเรื่องฉ้อโกงพระราชทรัพย์ของหลวงในบ่อทอง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความมั่นคงมากกว่าทุก ๆ เรื่องที่ผ่านมา”


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 เม.ย. 15, 15:32
ระหว่างที่คุณนวรัตนพักยก มีนิยายเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนนี้มาให้อ่านสนุก ๆ  ;D

แม้เรือหลวง Foxhound ยังเดินทางจากฮ่องกงมาไม่ถึง ข่าว “บอมบาร์ด” กรุงเทพฯ สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วกรุงอีกครั้ง บรรดาห้างร้านโรงสีทยอยปิดกิจการ กรมทหารหน้าต้องรับภาระหนักเพื่อออกตระเวนสร้างความมั่นใจ ยอดถูกเรียกพบจมื่นสราภัยฯ ทันที เพราะท่านอยากขอยืมเสื้อโค้ดกันหนาวเพื่อเดินทางไปลอนดอนด่วนจี๋ในคณะทูตพิเศษ เพื่อชี้แจงความจริงแก่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ

“ฮึ่ม... นุ่มแล้วก็อุ่นดี นี่ทำจากหนังควายป่าอเมริกันที่ยิงเองเชียวหรือ”   ท่านจมื่นชอบใจเพราะพวกอังกฤษคงไม่เคยเห็นเป็นแน่   “ฉันฝากบ้านฝากเมืองกับพี่นะ เพราะพระปรีชาฯอยากมีเมียแหม่มแท้ ๆ เลยเป็นชนวนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถ้ายิงกันขึ้นแล้วเขาหาเรื่องยึดไปครึ่งเมืองอย่างที่พม่าเห็นจะต้านลำบาก อย่าลืมที่เคยคุยกันเรื่องป้อมปืนบนภูเขาทองล่ะ”

“แต่ดูท่านไม่ค่อยกังวลเลยทั้ง ๆ ที่เรือปืนคงมาถึงนี่ก่อนท่านทันเข้าคลองสุเอซเสียอีก”

“นายอาลาบาสเตอร์เขาทูลแนะว่า ฉันไปถึงสิงคโปร์แล้วส่งโทรเลขไปลอนดอนเสียก่อนก็ยังทัน อังกฤษไม่โง่หาเรื่องปวดหัวขณะนี้หรอก ไหนจะรบกับพวกซูลู แล้วก็แขกอาฟกานิสถาน เสียรี้พลใช่น้อย *   ขนาดยื่นอัลติเมตัมที่พม่าเมื่อเดือนก่อน พม่าเขาทำเฉยเสียก็ยังเงียบอยู่”

“กระผมภูมิใจที่ท่านได้ไปอังกฤษ เหมือนครั้งเจ้าคุณสุรศักดิ์มนตรีคุณพ่อของท่านไปดูปืนใหญ่อาร์มสตรองให้สมเด็จพระจอมเกล้านะขอรับ แต่ เอ...คราวนี้เชื่อว่าสมเด็จเจ้าพระยาฯ ท่านอาจยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

“ฮึ ๆ พี่ยอดว่านกตัวแรกคือ พ่อตา ตัวที่สอง คือ ลูกเขยละซิ”

“ถ้าจริงก็เสี่ยงเอาบ้านเมืองเป็นเดิมพันนะขอรับ จริงอยู่นายน็อกซ์ข่มเหงทำความรำคาญมามาก ปีก่อนเอะอะจนได้ตั้งกงสุลที่เชียงใหม่ ก็น่าจะโดนท่านศอกกลับเอาบ้าง แต่รายพระปรีชาฯนี่กระผมไม่แน่ใจว่าทำไม”

“พี่ยอดไปเชื่อข่าวลือทำไมว่าท่านอาฆาตต้องการแกล้งพ่อของพระปรีชาฯ ซึ่งเคยสาบานร่วมกับเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงค์ว่าจะป้องกันสมเด็จเจ้าพระยาฯ มิให้คิดเอาราชสมบัติด้วยชีวิต ญาติผู้ใหญ่ของฉันก็เป็น ๑ ใน ๓ ผู้ร่วมสาบานไม่เห็นท่านว่าอะไร กลับเมตตาฉันมาแต่เล็กแต่น้อย ถ้าเอามาโยงเป็นนิทานกับท่าน ๆ ก็เสียหายทั้งที่ทำคุณแก่แผ่นดินมามาก รอดูผลการสอบก่อนเถิด”

ก่อนล่ำลา ท่านทักว่า   “ถูกข่มเหงคราวนี้ คงมีคนเฝ้าจับตากลุ่มวังหน้าที่เข้าข่ายน่าสงสัยอีกหน คนที่หลุดไปคราวก่อนอาจไม่รอด ถ้ายังคิดเข้ากับต่างชาติอยู่”


พอคณะทูตไปแล้ว เรือหลวง Foxhound ก็มาอย่างสันติจริงในวันที่ ๑๒ เมษายน ดังคาด แม้ว่าจะดันจอดผิดที่ไปทอดสมออยู่หน้าวังหลวงจนชาวบ้านหนีกันอลหม่าน ผู้บังคับการเรือเข้าใจแล้วว่าถูกหลอกมาด้วยเรื่องส่วนตัวของกงสุล จึงปฏิเสธที่จะรับคำสั่งใด ๆ จากมิสเตอร์น็อกซ์โดยตรง ราชการในกรุงเทพฯกลับสู่ภาวะปกติ ตลอด ๒๙ วัน ที่เรือถูกรั้งเอาไว้ที่นี่


* อังกฤษไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของนายน็อกซ์ในกรุงเทพฯนัก เพราะติดพันกับ ๒ ศึก ศึกแรก ศึกอาฟกานิสถานครั้งที่ ๒ (The 2nd Afghan War) เริ่มในเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๗๘ คาบต่อถึงปี ค.ศ. ๑๘๗๙ เพื่อแก้ตัวที่เคยเสียฟอร์ม พ่ายหมดรูป ในปี ค.ศ. ๑๘๔๑ ครั้งก่อนนั้นทหาร ๑๖,๕๐๐ คน ในสังกัดห้างอินเดียตะวันตก ถอยจากกรุงคาบูล ถูกซุ่มยิงในช่องเขาไคเบอร์ทีละคน เหลือแต่หมอสนามชื่อ  Dr. Brydon ที่ชาวอาฟกานแกล้งไว้ชีวิตกลับไปเล่าตำนานสยองที่อินเดียเพียงคนเดียว เรื่องนี้พวกรัสเซียคงลืมทำการบ้าน แล้วก็เป็นอีกมหาอำนาจที่แตกทัพแพ้ไปอีกใน ๑๐๐ ปีถัดมา การพ่ายทัพคราวนั้นทำให้ทหารแขกสีป่ายในสังกัด เรรวนก่อกบฏขึ้น นายน็อกซ์มาทำงานในสยามหลังจากเหตุการณ์นี้สงบราบคาบแล้ว

        
จาก สุดสองทวีป โดย จ่าน้อม ทหารหน้า (http://www.thailandoutdoor.com/OriginOfVolunteer.html)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 เม.ย. 15, 16:47
คุณจ่าน้อม ทหารหน้าแต่งนิยายอิงประวัติศาสตร์สนุกของท่าน ปนเรื่องจริงกับเรื่องไม่จริงอย่างไรก็ไม่มีใครว่า แต่คนอ่านๆแล้วอย่าเผลอนำไปอ้างอิงเข้านะครับ สอบตกไม่รู้ด้วย

เรื่องนี้มีหม่อมเจ้าฉวีวาด ปราโมชเข้าฉากลงเรือสำเภาหนีไปเขมรตอนที่วังหน้าเสด็จลี้ภัยไปอยู่สถานกงสุลอังกฤษด้วย เพราะไปเอานิยมนิยายที่เขียนขึ้นมาให้คนเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาแต่งต่อลงไปอีก ติดสมองคนอ่านไปอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

ที่ผมเขียนอาจไม่สนุกเท่าของเขา แต่มันเป็นเรื่องจริง มีอ้างอิงทั้งนั้น แต่ไม่ได้มาลงไว้เพราะไม่อยากให้กลายเป็นหนังสือตำราประวัติศาสตร์ กลัวคนอ่านจะเบื่อ ทว่าหากมีท่านใดสงสัยตรงไหนขอให้บอกนะครับ จะแถลงแบบเข้าซอยเป็นประเด็นๆไปให้หายข้องใจ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 เม.ย. 15, 07:18
ในวันที่เรือรบขึ้นจากสมุทรปราการเข้ามาจอดที่หน้าสถานกงสุลอังกฤษ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ได้ประชุมร่วมกัน เมื่อถึงวาระการรายงานผลของการส่งข้าหลวงพิเศษไปสืบคดีที่ปราจีนบุรีว่า ได้พยานเอกสารและพยานบุคคลในเรื่องฆ่าคนตาย ๒ คดีด้วย สภาที่ปรึกษาฯ จึงมีความเห็นว่า ถึงข้อกล่าวหามีมูล แต่คณะตุลาการต้องทำการสอบสวนให้ได้ความแน่ชัดก่อนจึงจะพิพากษาลงโทษได้

เนื่องจากความฆ่าคนตายเป็นเรื่องสำคัญมีโทษสถานหนัก จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะตุลาการเพิ่มขึ้นเป็น ๘ คนสำหรับคดีนายเกิด ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเด็จเจ้าพระยาแนะนำให้นายรักได้ยื่นเรื่องราวกล่าวโทษไว้แล้วตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๒๒ คณะตุลาการได้เบิกตัวพระปรีชาออกมาให้การในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม เพื่ออ่านข้อกล่าวหาของนายรักน้องชายของผู้ตาย และคำให้การของหลวงประจนหาญกล้า ผู้คุมใหญ่ที่ยอมรับสารภาพและให้การซักทอดว่าพระปรีชาเป็นผู้สั่งตนให้จัดการทรมานจนนายเกิดตาย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 เม.ย. 15, 07:39
ครั้งนี้ก็อีก พระปรีชาได้แสดงความเก๋าในการต่อสู้ทางกระบวนการยุติธรรม สงสัยจะได้แอดไวเซอร์กฏหมายไทยชั้นดีจากสถานกงสุลอังกฤษ เปิดฉากขึ้นก็ลุกขึ้นกล่าวกับคณะตุลาการว่าจะไม่ยอมให้การใดๆทั้งสิ้น จนกว่าจะมีการสืบพยานต่อหน้าตน ตุลาการจึงต้องนำตัวนายรัก และหลวงประจนหาญกล้าออกมาให้การต่อหน้าจำเลย  เมื่อถึงตอนซักค้าน พระปรีชาบังคับให้หลวงประจนลูกน้องเก่าระบุวันและเดือนที่ตนสั่งให้ทรมานนายเกิด ครั้นหลวงประจนหาญกล้าประจนความหาญกล้าของพระปรีชาเข้า ก็เงอะๆงะๆ ตอบอย่างลังเลว่าประมาณเดือน ๙ ตุลาการจึงพูดนำว่า เดือน ๘ หรือเดือน ๙ จำให้แน่ พระปรีชาก็โวยขึ้นทันทีว่าตุลาการแนะพยานผิดจรรยาบรรณ ไร้ความยุติธรรมต่อจำเลย และไม่ยอมให้มีการสืบพยานต่อไป
 
เพื่อแก้ปัญหานี้ ตุลาการจึงให้พระปรีชาทำหนังสือร้องเรียน เรื่องที่จำเลยต้องการให้พยานผู้นี้กำหนดวันเดือนปีที่เห็นจำเลยกระทำความผิดให้แน่นอน แล้วนำเสนอสมาชิกสภาที่ปรึกษา ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่สำคัญ เพราะในหลักฐานคำให้การของพยานหลายๆคน ก็ได้ระบุวันเดือนไว้มั่นคงแล้ว แต่พระปรีชายืนกรานไม่ยินยอม ตุลาการจึงบอกว่าถ้ายังไม่ยอมก็ขอให้ทำเรื่องขึ้นกราบบังคมทูล พระปรีชาจึงได้ยอม

หลังจากนั้นจึงมีการนำพยานโจทก์อีก ๖คน มาให้การต่อหน้าพระปรีชา สอดคล้องเป็นเรื่องเดียวกันเป๊ะตามข้อกล่าวหาทุกประการ เมื่อมีพยานยืนยันต่อหน้าเช่นนี้ พระปรีชาจึงต้องยอมจำนน โดยให้การยอมรับว่าได้สั่งให้เฆี่ยนและจองจำนายเกิดจริง แต่ปฏิเสธเรื่องที่สั่งการให้หลวงประจนหาญกล้าทรมานนายเกิดจนตาย

ถึงแม้พระปรีชาจะไม่ยอมรับสารภาพตลอดข้อหา แต่ตุลาการก็มีความเห็นว่า พยานโจทก์ที่มาให้การล้วนแล้วแต่เป็นผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์เกือบทั้งหมด คำให้การของพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักเชื่อถือได้ ความผิดของพระปรีชาปรากฏเป็นที่แน่ช้ด

อนึ่งโปรดสังเกตบทความในนิวยอร์คไทม์ที่ระบุว่า ขบวนการศาลของไทยไม่เปิดโอกาสให้พระปรีชาซักถามพยานที่ให้การปรักปรำตน จึงไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลในเรื่องความยุติธรรม
เรื่องนี้ ท่านก็วินิจฉัยเองก็แล้วกัน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 เม.ย. 15, 12:58
คดีจับจีนช่างทำหมันทิ้งน้ำให้ตาย 

หมันในที่นี้หมายถึงวัสดุที่นำมาทำเป็นเส้นยาวๆแบบเชือก สำหรับตอกอัดเข้าไปในร่องกระดานของเปลือกเรือเพื่อกันไม่ให้น้ำเข้าท้องเรือ ไม่ใช่หมายถึงการทำหมันคุมกำเนิดคนหรือสัตว์นะครับ

เมื่อพระปรีชาสั่งให้เจ้าเมืองโค่นต้นไม้และแปรรูปเป็นไม้กระดานมาใช้งาน ก็เบียดบังเอาไม้ตะเคียนงามๆมาต่อเรือไรสซิ่งซันของตน  แล้วจ้างคนจีนมาทำหมันตอกเรือ ๒คน   จากคำให้การตอนหนึ่งของหลวงสะท้านราชกิจ และขุนชำนาญอักษร ได้กล่าวพาดพิงไปถึงเรื่องที่พระปรีชาทำโทษจีนสองคนนั้น ข้าหลวงที่ลงไปสืบคดีให้ความสนใจเพราะเห็นว่าเป็นการกระทำนอกอำนาจและขาดมนุษยธรรม และเข้าข่ายฆ่าคนตาย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 เม.ย. 15, 13:04
ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤษภาคม ๒๔๒๒ ตุลาการได้กระทำการสอบสวนพระปรีชาในข้อหากระทำการอันเป็นเหตุให้ชาวจีน ๒คนถึงแก่ความตาย ตามฟ้องของนายยิ้ม โดยมีนายนวน นายชื่น และนายหลง เป็นพยาน 
เรื่องนี้มีว่า เมื่อจีนทั้งสองทะเลาะวิวาทกับนายอ้น ลูกจ้างของพระปรีชาด้วยเรื่องสัพเพเหระ เมื่อนายชื่น นายนวน ซึ่งเป็นตำรวจได้ไปห้ามปราม จีนทั้งสองขัดขืนและต่อสู้ จึงได้ทำการจับกุมตัว พระปรีชาสั่งให้ตัดผมเปียของจีนทั้งสองออก แล้วสั่งเฆี่ยนคนละ ๓๐ ที และให้นายสาย นายเริก จับทั้งสองคนมัดมือไพล่หลัง เอาลงเรือไปผลักลงน้ำที่ปากคลองบางหอย ซึ่งเป็นแหล่งที่มีจระเข้ชุกชุม ทำให้จมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตาคนบนเรือทั้งหมดนั้น

นายยิ้มซึ่งยังคงเป็นทาสอยู่แม้จะหลังหลังประกาศเลิกทาษแล้วเนื่องจากยังใช้หนี้ไม่หมด  เป็นผู้หนึ่งที่ถูกใช้ให้ไปกับเรือและรู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ  ได้กลายมาเป็นผู้กล่าวโทษพระปรีชาในเรื่องนี้ เพราะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระปรีชา
คือว่าหลังจากคนจีนถูกผลักตกน้ำจมหายไปแล้ว นายยิ้มได้หลบหนีไปเพราะกลัวจะมีความผิดถึงตน ภายหลังได้นำเงินมาไถ่ค่าตัวหลุดจากความเป็นทาษแล้ว มีคนเอาจดหมายของนายเกิดมาไหว้วาน ให้ช่วยนำไปให้พระโทรเลขธุรานุรักษ์  ภายหลังได้รู้ข่าวว่านายเกิดถูกพระปรีชาทนมานจนตาย จึงตั้งใจว่าถ้าญาติพี่น้องของนายเกิดฟ้องพระปรีชาเมื่อไร นายยิ้มก็จะถือโอกาสฟ้องเรื่องของจีนช่างทำหมันด้วยเช่นกัน ส่วนนายนวน นายชื่นซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมชาวจีนทั้งสองก็ได้ร่วมมือให้การเป็นพยาน ต้องกันกับคำกล่าวหาของนายยิ้มด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 เม.ย. 15, 13:12
หลังตุลาการอ่านข้อกล่าวหาจบ พระปรีชาให้การรับว่า ได้สั่งให้นายชื่นจับชาวจีนทั้งสองลงเรือไปปล่อยที่อื่นเพราะก่อการวิวาทจริง แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งให้มัดมือไพล่หลัง และไม่ได้สั่งให้ผลักตกน้ำ
และเช่นเดียวกับคราวก่อน พระปรีชาได้ร้องคัดค้านการสอบสวนของคณะตุลาการว่า พยานโจทก์เป็นคนของพระปรีชาทั้งสิ้น และมีพิรุธว่าพยานเหล่านี้ก็ได้ให้การเรื่องนี้ไว้แล้ว ก่อนที่นายยิ้มจะมายื่นเรื่องกล่าวฟ้องตน

คณะตุลาการได้มีหนังสือขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว ว่าถึงแม้พระปรีชาจะไม่ยอมรับผิด และคัดค้านพยานบุคคลฝ่ายโจทก์ก็ตาม แต่ก็เห็นว่าพยานเหล่านี้ต่างก็เป็นญาติ และบ่าวทาษของพระปรีชาทั้งสิ้น ถือว่าเป็นองค์พยานตามลักษณะกฎหมายไทยได้ พยานทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ เช่นนายนวน นายชื่น เป็นคนตัดเปียและเฆี่ยน นายยิ้มผู้กล่าวหาและนายหลงก็เป็นผู้อยู่ในเรือลำนั้นด้วย ขาดตัวการสำคัญที่เป็นผู้ลงมือผลักชาวจีนทั้งสองทิ้งน้ำ คือ นายสาย นายเริก ซึ่งได้ตายไปเองตามธรรมชาติก่อนหน้าที่จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ ตุลาการจึงลงความเห็นว่า ด้วยพยานบุคคลที่สำคัญเช่นนี้ จึงเชื่อได้ว่าพระปรีชาได้กระทำความผิดจริงตามข้อกล่าวหา


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 เม.ย. 15, 07:05
ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงจำเป็นต้องรีบส่งข้าหลวงคณะที่สอง ให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเป็นหัวหน้าไปเมืองประจีนบุรี โดยมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อสืบหาพยานหลักฐานที่จะมัดพระปรีชาในคดียักยอกเรื่องเหมืองทองของหลวงโดยเฉพาะ  กับให้สำรวจว่ายังมีสินแร่ทองคำพอที่จะดำเนินกิจการทำเหมืองต่อไปได้หรือไม่  

เมื่อเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเดินทางมาถึงเมืองปราจีน  ก็ได้เรียกนายสุดใจเสมียนคนสนิทของพระปรีชามาสอบสวน โดยขอดูบัญชีใช้จ่ายและให้ทำการขัดและถลุงแร่ให้ดูเพื่อจะได้รู้ข้อมูลที่ถูกต้อง แต่นายสุดใจอ้างว่าบัญชีทั้งหมดพระปรีชานำไปเก็บไว้เอง ไม่ได้อยู่ที่ตน  ส่วนการทดลองขุดแร่นั้นไม่สามารถทำในเวลานั้นได้ เพราะเป็นช่วงฤดูฝน ทั้งยังปฏิเสธไม่รู้จำนวนทองที่พระปรีชาทำได้เมื่อก่อนอีก

เมื่อนายสุดใจไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์จึงควบคุมตัวไว้ แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาเป็นการส่วนพระองค์ ให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์หาทางเกลี้ยกล่อมให้นายสุดใจบอกความจริงให้ได้ เพราะนายสุดใจจะเป็นพยานปากสำคัญในเรื่องบัญชีบ่อทอง และถ้าสามารถทำให้นายสุดใจเป็นโจทก์ได้ก็จะยิ่งดี แต่จะต้องทำให้แนบเนียน

เจ้าพระยามหินทรศักดิ์จึงทั้งปลอบทั้งขู่ รวมทั้งรับปากว่าจะหาทางช่วยเหลือถ้านายสุดใจจะติดร่างแห ต้องได้รับโทษไปด้วย และเมื่อเห็นมิสเตอร์ปูล นายช่างที่พระปรีชาจ้างมาได้มอบบัญชีค่าจ้างคนงานให้กับเจ้าพระยามหินทรศักดิ์แล้ว นายสุดใจจึงยอมรับให้การว่าตนเป็นคนจ่ายเงินให้แก่พนักงานและคนงานทั้งที่เมืองกบินทร์ และปราจีนบุรี โดยได้รับเงินจากพระปรีชาครั้งละประมาณ ๔๐-๘๐ ชั่ง เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนและวัสดุต่างๆ เงินที่เหลือก็จะนำส่งคืนพระปรีชา พร้อมกับนำบัญชีรายจ่ายของตนไปตรวจสอบกับบัญชีของพระปรีชาให้ตรงกันอยู่เสมอ
ก่อนที่พระปรีชาจะถูกเรียกตัวเข้ากรุงเทพครั้งหลังนี้ พระปรีชาได้สั่งให้นายสุดใจเผาบัญชีนั้นเสีย โดยอ้างว่านายสุดใจเป็นเพียงลูกจ้างไม่ควรมีเก็บไว้ และได้ถามว่าผู้ใดมีบัญชีอีกก็ให้นำมาคืนพระปรีชาให้หมด เรื่องนี้ทำให้นายสุดใจเกิดความสงสัยขึ้นมา จึงได้แอบซ่อนบัญชีของตนเอาไว้ก่อน พอพระปรีชาถามก็บอกว่าได้เผาไปหมดตามคำสั่งแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 เม.ย. 15, 07:20
พร้อมคำสารภาพดังกล่าว นายสุดใจได้ส่งมอบบัญชีที่ว่าให้กับเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ แสดงรายจ่ายตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๑๗ จนถึง พ.ศ. ๒๓๒๑ เป็นจำนวนเงิน ๔,๑๔๘ ชั่ง ๑ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง ๒ ไพ จากรายละเอียดในบัญชีพบว่า นอกจากพระปรีชาจะใช้เงินไปในกิจการของเหมืองแล้ว ยังมั่วไปใช้ในกิจการส่วนตัวอีกด้วย ที่ใหญ่ๆก็มีเอาไปสร้างบ้าน ต่อเรือ ซิ้อโน่นซื้อนี่ฟุมเฟือยเป็นเศรษฐี  เบิกเงินหลวงไป ๑๕,๕๐๐ ชั่งเศษ มีหลักฐานการใช้จ่ายทำเหมืองแค่นั้นเอง นายสุดใจยืนยันว่าบัญชีทั้งหมดของพระปรีชาถูกนำติดตัวกลับไปกรุงเทพ และยังให้นางสุ่นภรรยาน้อยอีกคนนึง ตามมาเก็บที่ตกค้างไปจนหมดแล้ว

นอกจากนั้น นายสุดใจยังได้มอบทองปนปรอทหนักประมาณ ๓๔ ชั่ง ที่เหลืออยู่ในโรงจักรซึ่งพระปรีชาเก็บเอาไว้ยังไม่ได้ทูลเกล้าถวาย ทั้งที่เลยกำหนดส่งมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ความจริงหลังจากนายสุดใจให้การแล้ว เจ้าพยายามหินทรศักดิ์ธำรง และคณะกรรมการเมืองยังได้ทำการสอบสวนปากคำผู้รู้เห็นเหตุการณ์อีกหลายคน ซึ่งให้การตรงกันกับคำให้การของนายสุดใจทุกประการ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 เม.ย. 15, 07:21
การหลอมทอง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 เม.ย. 15, 07:22
อีกหนึ่งภารกิจที่ข้าหลวงชุดนี้จะต้องดำเนินการคือ การทดลองขัดและถลุงแร่ทอง เพื่อเอาจำนวนทองที่ได้มาคำนวณต้นทุนโดยประมาณการ หลังจากที่ได้ทดลองทำอยู่ ๔ วัน ได้ทองปนปรอทหนัก ๔๒๓ บาท
เมื่อหักค่าแรงงานและค่าใช้จ่ายแล้ว เจ้าพระยามหินทรศักดิ์จึงกราบบังคมทูลรายงาน สรุปความว่า การทำกิจการเหมืองทองมีกำไร มิได้ขาดทุนดังที่พระปรีชากราบบังคมทูล แสดงว่า ทั้งพระยากระสาปนกิจโกศล และพระปรีชากลการคิดทุจริตต่อแผ่นดิน จากนั้นจึงขอพระบรมราชานุญาตกลับกรุงเทพ พร้อมกับนำนายสุดใจและพยานต่าง ๆ เข้ามาพร้อมกันด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 05 เม.ย. 15, 08:47
พระปรีชากลการ ท่านใช้อำนาจทั้งทางตรงทางลับเต็มรูปแบบ ---------- ชีวิตชาวปราจีนเข้มข้นขึ้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 เม.ย. 15, 09:04
ชีวิตชาวปราจีนเข้มข้นขึ้น

ศูนย์ข้อมูลทางวัฒนธรรมของปราจีนบุรีบันทึกไว้ว่า
"เจ้าพ่อสำอาง คือ พระปรีชากลการ เดิมชื่อ สำอาง อมาตยกุล เมื่อปี พ.ศ. 2419 ได้เป็นเจ้าเมืองปราจีนบุรี ได้ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดิน จังหวัดปราจีนบุรี เช่น การสร้างถนน สถานที่ราชการ อาคารต่างๆ โรงงานเครื่องจักรสำหรับ ทำทอง บูรณะและสร้างอุโบสถวัดหลวงปรีชากูล และถึงแม้ว่าดวงชะตากรรมของท่าน จะต้องโทษทัณฑ์ด้วยการถูกประหารชีวิต แต่ประชาชนชาวจังหวัดปราจีนบุรีก็ยังเคารพบูชา จนถึงทุกวันนี้"

ขออนุญาตฮัมเพลง

ถึงร้ายก็รัก ก็รัก ก็รัก  ;)

http://youtube.com/watch?v=bQqQgCI14_s#ws (http://youtube.com/watch?v=bQqQgCI14_s#ws)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 เม.ย. 15, 09:19
ชีวิตชาวปราจีนเข้มข้นขึ้น

ถึงร้ายก็รัก ก็รัก ก็รัก  ;)

ศูนย์ข้อมูลทางวัฒนธรรมของปราจีนบุรีบันทึกไว้ว่า
"เจ้าพ่อสำอาง คือ พระปรีชากลการ เดิมชื่อ สำอาง อมาตยกุล เมื่อปี พ.ศ. 2419 ได้เป็นเจ้าเมืองปราจีนบุรี ได้ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดิน จังหวัดปราจีนบุรี เช่น การสร้างถนน สถานที่ราชการ อาคารต่างๆ โรงงานเครื่องจักรสำหรับ ทำทอง บูรณะและสร้างอุโบสถวัดหลวงปรีชากูล และถึงแม้ว่าดวงชะตากรรมของท่าน จะต้องโทษทัณฑ์ด้วยการถูกประหารชีวิต แต่ประชาชนชาวจังหวัดปราจีนบุรีก็ยังเคารพบูชา จนถึงทุกวันนี้"

ยัง ยังครับ เจ้าพ่อสำอางยังไม่ตาย ต้องสู้กันอีกพักใหญ่ โปรดอดใจรอ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 เม.ย. 15, 09:32
รอติดตามความร้ายของเจ้าพ่อ  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 เม.ย. 15, 11:05
กล้าทำขนาดนี้ ไม่ได้ลงมือคนเดียวแน่นอน    ต้องมีแบ๊คดี   คนหนุ่มอย่างพระปรีชาถึงมีความมั่นใจในตัวเองพอจะคอรัปชั่นได้ระดับชาติ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 เม.ย. 15, 11:49
ผมก็ตั้งใจจะเปิดโปงให้หมด :-X


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 เม.ย. 15, 12:56
เปิดโปงเลยค่ะ ซายานวรัตน
แฟนคลับเกาะเชือกกั้น  รอด้วยใจระทึก


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 เม.ย. 15, 13:35
โอ้โห ธุระกำลังยุ่งมากมายเลยครับ เดี๋ยวซาๆแล้วจะจัดให้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 05 เม.ย. 15, 13:54
วัยรุ่นใจร้อนรอไม่ได้ >:( >:( >:( ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 เม.ย. 15, 14:10
บังอาจเร่งท่านอาจารย์ใหญ่กว่า   โทษถึงประหารในศาลไคฟงนะ  คุณประกอบ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 เม.ย. 15, 05:35
ก่อนที่ผมจะเล่าการต่อสู้คดีฉ้อโกงเหมืองทองคำของพระปรีชาในศาล ผมจะสลับฉากนั้นไปยังบทบาททางการทูตเหนือชั้นของสยามก่อน อย่าลืมว่าคดีของนายน๊อกซ์กลายเป็นประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศไปแล้ว ทำดีไม่ดีไปรีบตัดสินพระปรีชาในคดีนี้เข้า อาจทำให้สยามเสียอธิปไตยทางการศาลมากขึ้นไปกว่าที่เสียอยู่แล้ว

บุคคลสำคัญทุกท่านได้ตระหนักดีในเรื่องนี้ จึงได้ร่วมมือร่วมใจที่จะต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าพระยาและเจ้าพระยาภาณุวงศ์เสนาบดี กรมท่าที่มีหน้าที่เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ที่บทบาทอย่างสำคัญในการคิดวางแผนการดำเนินงานการทูต นับตั้งแต่การตัดสินใจส่งคณะทูตเดินทางออกไปยังกรุงลอนดอนอย่างฉับพลันก่อนที่เรือรบจะมาถึง ทำให้เกมการรุกของนายน๊อกซ์ต้องชะงักงันอยู่กับที่

ครั้นเมื่อเรือรบเข้ามาถึงกรุงเทพแล้วก็เจอลูกเล่นแบบไทยๆ แม้นายน๊อกซ์จะไม่ยอมให้กัปตันเรือเข้าพบเสนาบดีกรมท่าตามธรรมเนียม ฝ่ายไทยก็แสร้งทำตีมึน จัดข้าราชการกรมท่าให้ไปเยี่ยมเยือนกัปตันเรือพร้อมผลหมากรากไม้ ลูกเรือกินกันเพลินไปได้หลายวัน ตัวเจ้าพระยาภาณุวงศ์ก็เชิญนายทหารเรือไปเลี้ยงอาหารที่บ้าน ถึงกัปตันจะปฏิเสธเพราะไว้หน้ากงสุลใหญ่ แต่ก็อนุญาตให้ลูกน้องไปได้ ลูกน้องกลับมาเล่าอะไรต่อมิอะไรให้นายฟัง แล้วต่างก็นินทากงสุลใหญ่กันทั้งลำ เพียงสองสัปดาห์เรือรบอังกฤษก็จากไปด้วยโล่งอกของคนไทย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 เม.ย. 15, 05:37
นอกจากนั้น ก็เร่งรัดกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีไม่ให้เนิ่นช้า เร่งการหาพยานหลักฐานให้เพียงพอ ด้วยการใช้จิตวิทยา เกลี้ยกล่อม ขู่ขวัญ แม้กระทั่งกักขังหน่วงเหนี่ยว คนใกล้ชิดกับพระปรีชา เพื่อให้ยอมคายความเป็นจริง จนเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก  ถ้าสามารถหลอกล่อให้จำเลยยอมรับสารภาพในศาลได้เมื่อไหร่  ก็จะรายงานไปให้ทางรัฐบาลอังกฤษได้รับรู้ผ่านกงสุลไทยในลอนดอนโดยตรง  เพื่อให้คณะทูตใช้ประโยขน์ในการเจรจากับรัฐบาลในครั้งนี้

ตัวสมเด็จเจ้าพระยาเองนอกจากจะออกแรงช่วยเหลือทางด้านคดีความอย่างเต็มที่แล้ว ยังได้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีกับชาวต่างชาติ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ  ให้เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลสยาม ส่วนบางคนที่มีช่องทาง ก็ขอให้ช่วยแสดงความคิดเห็นส่วนตัวไปยังบุคคลสำคัญอังกฤษ ดังเช่น กรณีของนายฮิกส์ (Mr. F.C Hicks) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้มีจดหมายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปถึงกงสุลไทยประจำลอนดอนซึ่งเป็นคนอังกฤษ ในฐานะที่เขาเป็นผู้ประสานการติดต่อระหว่างสมเด็จเจ้าพระยากับนายน๊อกซ์ ในเรื่องของพระปรีชากับแฟนนีครั้งนี้ โดยนายฮิกได้ยืนยันว่า สมเด็จเจ้าพระยามีเจตนาดีต่อนายน๊อกซ์ แต่นายน๊อกซ์กลับแปลเป็นตรงกันข้าม ทำให้กงสุลมั่นใจที่จะยืนข้างคนไทยในการต่อสู้ครั้งนี้

ในส่วนราชการนั้น รัฐบาลยังได้ให้กงสุลสยามที่สิงคโปร์และลอนดอนรวบรวมข่าวที่แสดงความคิดเห็นในคดีนี้จากหนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนายน๊อกซ์ส่งไปให้คณะทูตไทยที่ลอนดอน เพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ ส่วนหนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่เข้าข้างนายน๊อกซ์ ก็ส่งบทความไปลงแก้ข่าว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 เม.ย. 15, 05:45
แต่ในบรรดาขุนนางตระกูลบุนนาคทั้งหมดที่ผนึกกำลังสติปัญญารับใช้ชาติและพระเจ้าแผ่นดินในคราวนี้ ต้องยกเครดิตให้พระยาภาษกรวงศ์ หัวหน้าคณะทูตผู้ชาญฉลาด ซึ่งใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตศึกษาเล่าเรียนอยู่ในอังกฤษ สืบหาข่าวและหยั่งท่าทีของรัฐบาลอังกฤษก่อนจะเดินหมากทุกกระดาน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 เม.ย. 15, 09:35
ภาพล้อ (caricature) พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ในตำแหน่งราชทูตพิเศษ (Special Envoy)  ในนิตยสาร "Vanity Fair"  (http://en.wikipedia.org/wiki/Vanity_Fair_(British_magazine))ของอังกฤษ ฉบับวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๒


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 เม.ย. 15, 13:54
ในระหว่างที่คดีพระปรีชาฯดำเนินอยู่ เป็นเวลาเดียวกับที่นายพลแกรนท์อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเดินทางมาเยือนสยาม หลังจากที่ท่านเดินทางกลับไปแล้ว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชหัตถเลขาพระราชทาน ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า

I am very glad to be able to inform you that the diplomatic troubles which was vaxing us at the time of your visit is now at an end. His excellency Phya Bhaskarawongse my private secretary was sent to England as my Envoy and was well received by H.B.M. government which gave careful consideration to his representations, acknowledged the right of Siam as an independent Kingdom to deal with its own people according to its own laws, and has replaced Mr. Knox by another Political Agent. Phya Bhaskarawongse is now on his return journey. I know that you who saw and knew our trouble will be very glad to hear that we are now clear of all difficulty.

จาก http://books.google.co.th/books?id=3zBLjHeAGB0C&pg=PA129&lpg=PA129#v=onepage&q&f=false (http://books.google.co.th/books?id=3zBLjHeAGB0C&pg=PA129&lpg=PA129#v=onepage&q&f=false)

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3254.0;attach=9448;image)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 เม.ย. 15, 17:03
บรรยากาศเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอกของอังกฤษขณะนั้น กำลังมีความยุ่งยากกับการเมืองระหว่างประเทศทั้งในยุโรป แอฟริกา และเอเซีย กล่าวคือ ในพ.ศ. ๒๔๑๘ อังกฤษเริ่มเข้าไปมีบทบาทในอียิปต์ ด้วยการทุ่มเงินซื้อหุ้นกิจการคลองสุเอชจำนวนมหาศาล เพราะต้องการควบคุมเส้นทางสำคัญของโลกเส้นนี้ จนก่อให้เกิดความขัดแย้งกับเจ้าของประเทศ ปะทะกันด้วยกำลังทหารหลายครั้ง จนถึงขั้นยึดอียิปต์เป็นเมืองในอารักขา
ขณะเดียวกัน อังกฤษยังต้องพยายามขัดขวางอิทธิพลของรัสเซียที่กำลังแผ่ขยายเข้าสู่อาฟกานิสถาน เพราะเกรงจะลามเข้าไปอินเดียที่เป็นอาณานิคมของตนเอง และรัสเซียยังพยายามขยายอิทธิพลลงมาในเตอรกี สร้างความขัดอกขัดใจให้อังกฤษอีกด้วย
ส่วนที่แอฟริกาใต้ อังกฤษกำลังปะทะกับชนเผ่าซูลู และพวกบัวร์ ซึ่งคอยเข้าโจมตีแคว้นทรานสวาลที่อังกฤษพยายามจะเข้าครอบครอง

ที่สำคัญที่สุดในท้องเรื่องก็คือเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อังกฤษกับฝรั่งเศสกำลังแข่งขันกันครอบครองอาณานิคม จนดินแดนที่ทั้งสองประเทศยึดไว้มีอาณาเขตชนกันแล้วทางตอนเหนือของสยาม ซึ่งอาจเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่แล้วในเวลานั้น อังกฤษจึงไม่ปรารถนาที่จะทะเลาะกับฝรั่งเศส  แต่ผลประโยชน์ของอังกฤษในสยามก็มีอยู่มากเกินกว่าที่จะปล่อยให้ประเทศอื่นมาฮุบเอาไป อังกฤษจึงต้องพยายามให้สยามสามารถคงเอกราชไว้ เพื่อเป็นรัฐกันชน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 เม.ย. 15, 18:35
คณะทูตไปถึงลอนดอนในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๒๒ พระนางเจ้าวิกตอเรียยังทรงประชวรอยู่ และพอสืบได้ว่า คนในกระทรวงต่างประเทศอังกฤษมีท่าทีจะเชื่อตามรายงานของนายน๊อกซ์ เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศยังปฏิเสธที่จะให้เข้าพบ อ้างว่าสภาใกล้จะปิดสมัยประชุมแล้ว ไม่สะดวกในตอนนั้น และขอให้คณะทูตรอไปก่อน พระยาภาสกรจึงเดินทางต่อไปยังเยอรมันเพื่อถวายพระราชสาส์นเจริญพระราชไมตรีแต่พระเจ้าไกเซอร์ แล้วรีบกลับมารอ

ระหว่างนั้นนาย ดี เค เมสัน กงสุลไทยที่เป็นคนอังกฤษในพระราชทินนามพระสยามธุระพาหะ ได้ล๊อบบี้ผ่านเพื่อนสนิทชื่อ เซอร์จูเลียน เพาส์โฟต ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ ทำให้ในที่สุดลอร์ด ซอลส์เบอรี รัฐมนตรีก็เปิดโอกาสให้พระยาภาสกรเข้าพบได้ในวันที่ ๒๘มิถุนายน ๒๔๒๒

การสนทนากันในวันดังกล่าวมีประเด็นต่างๆ ๓เรื่องคือ

เรื่องแรก ประเด็นที่ต้องการให้เข้าใจว่ารัฐบาลสยามมิได้ประสงค์จะดูถูกหรือทำให้กงสุลใหญ่อังกฤษเสื่อมเสียเกียรติ เรื่องความเข้าใจทีไม่ตรงกันนี้รัฐบาลก็เสียใจและทำหนังสือขอโทษ ชึ่งนายน๊อกซ์เองได้ยอมรับแล้ว แต่ที่จะขอให้ปล่อยตัวพระปรีชาโดยอ้างว่าให้เห็นแก่มนุษยธรรมนั้น  รัฐบาลคิดว่าแปลก เพราะการลงโทษเช่นนี้ตามกฏหมายสยามนั้น นายน๊อกซ์ก็เคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยแสดงท่าทีอะไร อีกทั้งพระปรีชาเป็นคนโหดร้าย ข่มเหงราษฎร ผิดกฏหมายชัดเจน ถ้าไม่สอบสวนลงโทษโดยเสมอภาคแล้ว จะเป็นที่หวาดหวั่นแก่ราษฎรได้

เรื่องที่สอง ขอให้อังกฤษเคารพการธำรงรักษาพระเกียรติและอำนาจแผ่นดิน ในการปกครองอาณาประชาราษฎรในสยามต่อไป

เรื่องที่สาม การที่นายน๊อกซ์มีข้อบาดหมางกับรัฐบาลสยาม และมีความโกรธเคืองเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ระดับนี้แล้ว ถ้านายน๊อกซ์ยังคงเป็นกงสุลใหญ่ต่อไปก็อาจจะกระทบกระทั่งกันอีก


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 เม.ย. 15, 06:10
รายงานที่พระยาภาสกรวงษ์ส่งกลับมากรุงเทพตั้งขอสังเกตุว่า ลอร์ด ซอลส์เบอรีตั้งคำถามในแนวเดียวกับความคิดเห็นของนายน๊อกซ์  สุดท้ายก็เลียบๆเคียงๆจะขอให้ปล่อยพระปรีชากลการ เรื่องนี้ต้องชมความสามารถของพระยาภาสกร ที่ได้ยืนยันเสียงหนักแน่นที่จะไม่ปล่อยพระปรีชา โดยยึดหลักการอย่างมั่นคง ไม่ได้ห้าวกับเขา แต่อ่อนนอกแข็งใน กล่าวอย่างซื่อๆว่า ขอให้อังกฤษช่วยพิจารณาไต่ตรองดู แล้วช่วยแนะนำด้วย หากจะปล่อยแล้ว จะใช้วิธีใดที่จะไม่เป็นการลบล้างอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน และกฏหมายตลอดจนขนบธรรมเนียมของคนไทย  เจอคำถามนี้ทีไร ลอร์ด ซอลส์เบอรีก็ไปต่อไม่เป็น บอกว่าไอก็คิดไม่ออก  บอกขอให้เป็นเรื่องที่แล้วแต่สมเด็จพระราชินีนารถจะทรงโปรดก็แล้วกัน ยูจะได้เฝ้าท่านเร็วๆนี้

พระยาภาสกรแสดงความรู้สึกกลับมาในรายงานว่า ลอร์ด ซอลส์เบอรีมีท่าทีที่ไม่ต้องการแทรกแซงกิจกรรมภายในของสยาม แต่การที่กงสุลอังกฤษรายงานกลับไปว่าพระปรีชาถูกกลั่นแกล้งนั้น ก็อยากจะดูผลของการสอบสวนและตัดสินคดีก่อน เขาจึงจะสามารถชี้ขาดลงไปได้

เมื่อพระยาภาสกรขอให้ทางกรุงเทพเร่งตัดสินคดีแล้วส่งผลไปให้ตนนั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสกลับไปว่า ที่พระองค์ส่งทูตไปครั้งนี้ก็เพื่ออธิบายกับอังกฤษในเรืองคดีความพระปรีชาที่มีชื่อนายน๊อกซืไปพัวพันด้วยเท่านั้น ว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะไปหมิ่นเขา ทรงมีพระราชประสงค์ให้จบกันไป ส่วนคดีอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอังกฤษ หากเขาจะขอดูสำนวนสอบสวนทุกคดี ทรงเกรงว่าถ้าเขาขอแก้แล้วต้องแก้ ก็จะเป็นการเสียเกียรติของชาติเป็นอย่างมาก ไม่ใช่วัตถุประสงค์ในครั้งนี้  จึงโปรดเกล้าให้สรุปสำนวนคดีเพียงสั้นๆ ส่วนการตัดสินนั้นยังไม่มี ให้บอกไปว่าสยามจะรอดูความเห็นของอังกฤษในคดีที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวนายน๊อกซ์ก่อน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 เม.ย. 15, 06:31
การดำเนินการเจรจาทางการทูตครั้งนี้ พระยาภาสกรวงษ์ได้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า การเจรจากับกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษที่หลายๆฝ่าย ทั้งไทยและต่างชาติแนะนำนั้น ไม่ได้ใช้เลย “ข้าพระพุทธเจ้าต้องใช้ปัญญาใหม่ให้ต้องความกับกาละที่นี่ทั้งนั้น”

เห็นจะจริงตามที่ท่านกราบังคมทูล ขณะนั้นการเมืองภายในของอังกฤษใกล้จะถึงฤดูการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ฝ่ายค้านกำลังหาเรื่องโจมตีรัฐบาลในทุกประเด็น เรื่องที่กงสุลน๊อกซ์เรียกเรือรบเข้าไปในสยามเป็นข่าวใหญ่ที่นั่น และคนอังกฤษกำลังสนใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรแล้วจะจบอย่างไร ซึ่งนายเมสันบอกว่า เป็นเรื่องน่าอับอายที่กงสุลน๊อกซ์เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับราชการ จะเสื่อมเสียไปถึงกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลด้วย กระทรวงจึงอยากให้เรื่องนี้เงียบๆ เมื่อปิดสภาแล้วจึงจะเรียกนายน๊อกซ์กลับมาคุย แต่พระยาภาสกรไม่ต้องการให้ยืดเยื้อขนาดนั้น อยากให้รัฐบาลอังกฤษแสดงท่าทีที่ชัดเจนก่อนปิดสมัยประชุมของสภา เพราะหากสยามไม่ได้รับความเป็นธรรม ตนจะเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมของกงสุลอังกฤษต่อสาธารณะชน  ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลอังกฤษจะต้องเดือดร้อนแน่

คงไม่มีใครเตี๊ยมกับท่านมาก่อนเรื่องการแถลงข่าวที่อาจกระทบกระเทือนรัฐบาลอังกฤษ ท่านคงจะได้รับฟังความเห็นของนายเมสันที่นั่น

เพื่อให้เป็นการกระตุ้นรัฐบาลอังกฤษว่าสยามก็มีเส้นมีสายเหมือนกัน นายเมสันจึงขอร้องให้ส.ส.ไรแลนด์(Ryland) เพื่อนของตนซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลถึงเหตุผลที่กงสุลอังกฤษเรียกเรือรบเข้าไปจอดในเมืองไทย  ซึ่งตัวแทนรัฐบาลอังกฤษขึ้นมาตอบแบบขอไปทีว่ารัฐบาลยังไม่ทราบรายงานทั้งจากกงสุลและกัปตัน แต่จะชี้แจงให้ทราบในการประชุมสภาสมัยหน้า


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 เม.ย. 15, 07:19
ภาพล้อ (caricature) พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ในตำแหน่งราชทูตพิเศษ (Special Envoy)  ในนิตยสาร "Vanity Fair"  (http://en.wikipedia.org/wiki/Vanity_Fair_(British_magazine))ของอังกฤษ ฉบับวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๒

ในเหตุการณ์นี้พระยาภาสกรวงศ์ ได้เดินทางไปอังกฤษเพื่อดำเนินการเจรจากับทางรัฐบาลอังกฤษ ยังมีพยานหลักฐานอย่างหนึ่งคือ ปรากฏเหรียญที่ระลึกด้านหน้าเป็นเป็นภาพพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค)ด้านหลังเป็นอักษรว่า "Mission To England"
เหรียญนี้ทำด้วยเนื้อเงินแท้ อยู่ในมือนักสะสมเหรียญระดับแนวหน้าเมืองไทย ไว้จะหาภาพมาให้ชมนะครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 เม.ย. 15, 08:28
ดังนั้น หลังจากพระยาภาสกรวงษ์ทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๒๒ ว่า ได้รับเรื่องมาจากเสนาบดีกรมท่าของสยาม การสอบสวนพระปรีชาเสร็จสิ้นลงแล้ว ผลปรากฏว่าจำเลยมีความผิดจริง และจำเลยยอมรับสารภาพ  กับการที่พระเจ้าอยู่หัวจะทรงเรียกให้คณะทูตเดินทางกลับ จึงต้องการขอร้องอีกครั้งหนึ่งว่า อย่าให้นายน๊อกซ์มีโอกาสขัดขวางหรือข่มขู่รัฐบาลสยาม และพระเจ้าอยู่หัวอีก ขอให้อังกฤษรักษาสัมพันธไมตรีระหว่างสยาม โดยการเรียกตัวกงสุลผู้นี้กลับมาด้วย

อังกฤษจึงทำหนังสือตอบกลับมาในวันที่ ๒๕ สิงหาคม แจ้งความตกลงใจของรัฐบาลว่า คดีความพระปรีชานั้น สยามควรพิจาณาด้วยตนเอง อังกฤษจะไม่แนะนำใดๆ แต่เรื่องย้ายกงสุลนั้น (อ่านสำนวนโบราณดีๆนะครับ) “รัฐบาลอังกฤษมิได้ตรองเห็นว่า ตามการที่ได้เป็นมาในเรื่องนี้ พอควรที่สยามจะขอให้เรียกขุนนางผู้นั้นกลับ แต่นายน๊อกซ์ได้ขอลากลับมาเมืองนี้โดยเร็ว อังกฤษจะขอตัดสินด้วยเรื่องความที่นายน๊อกซ์ทำเอง และจะรอฟังคำของนายน๊อกซ์”
 
สำนวนภาษาทูตของอังกฤษข้างต้นมีความหมายว่า เหตุผลของไทยไม่พอที่จะให้ประเทศอย่างอังกฤษเรียกกงสุลกลับ แต่อังกฤษจะทำให้นายน๊อกซ์ลากลับมาเอง ดังนั้นนายน๊อกซ์จึงมีเหตุจะต้องกลับบ้าน โดยเดินทางออกจากสยามในวันที่ ๒๙ กันยายน ด้วยความอาลัยอาวรณ์ และไม่ได้กลับไปอีกเลย

วันที่ ๓ ตุลาคม รัฐบาลอังกฤษทำหนังสือแจ้งว่า ได้ส่งนายพัลเกรฟ (Mr. William Gifford Palgrave) ไปเป็นกงสุลอังกฤษประจำสยามแทนนายน๊อกซ์

สุดท้าย วันที่ ๔ ตุลาคม พระยาภาสกรวงษ์นำคณะทูตเดินทางออกจากลอนดอนกลับสู่สยาม


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 เม.ย. 15, 08:41
Knox story as told by Lord Salisbury to the Queen

……มีอีกตำแหน่งหนึ่งซึ่งต้องหาคนมาแทนโดยเร็ว คือกงสุลใหญ่ประจำสยาม เกิดมีปัญหาที่ชวนสงสัยขึ้นในกรุงเทพ ซึ่งทำให้ราชทูตคณะเล็กๆต้องเดินทางมาเฝ้าใต้ฝ่าละอองพระบาทเมื่อสองสามวันที่แล้ว

นายน๊อกซ์กงสุลใหญ่ผู้มีธิดาซึ่งเกิดจากภรรยาคนไทย ชื่อนางเฟนนีผู้ซึ่งโดยเต็มใจ และด้วยความรักที่มีต่อขุนนางสยามชื่อพระปรีชา ข้าหลวงจังหวัดหนึ่งผู้ยักยอกทองคำจากเหมืองทองภายใต้ความรับผิดชอบ มูลค่าประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ปอนด์  แล้วมีความวิตกกังวลว่าจะถูกจับได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็คงจะถูกตัดศีรษะ  จึงคิดว่าสิ่งที่จะทำให้ตนหลุดรอดก็คือแฟนนี เขาจึงได้เสียกับเธอและรับจะเลี้ยงดู แต่นายน๊อกซ์ปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงโน้มน้าวให้เธอให้หนีตามเขาไปโดยเรือยอร์ชกลไฟ โดยให้นอนกับภรรยาอื่นที่เขามีอีกจำนวนมากหนึ่งคืน หลังจากนั้นนางก็ขอประนีประนอมกับบิดา และนายน๊อกซ์ก็ถูกบีบให้ยอมรับลูกเขย

รัฐบาลสยามไม่ยอมรับการกระทำแบบชายชู้ต่อผู้แทนของต่างประเทศ พระปรีชาจึงถูกเฆี่ยนในที่สาธารณะ ๓๐ที  แต่นายน๊อกซ์กลับไม่ยอมรับการชดเชยต่อการเสื่อมเสียเกียรติยศนี้อย่างที่ควร  ตรงกันข้าม เขาแสดงความเดือดดาลที่รัฐบาลสยามไม่ให้ความเคารพ ๑ ไม่สอดส่องดูแลทำให้เกิดปัญหาขึ้นในบ้านของเขา ๒ แล้วยังเฆี่ยนลูกเขยเขาเสียอีก

เขาเรียกร้องคำขอโทษโดยทันที และให้ปล่อยตัวพระปรีชา ผู้ซึ่งกำลังถูกดำเนินคดีเรื่องเหมืองทองคำและถูกคุมขังอยู่  เมื่อรัฐบาลสยามปฏิเสธ เขาได้สั่งการให้เรือรบหลวงเข้าไปกรุงเทพ แต่ยังโชคดี หากลอร์ดซอลสบรีมิได้ทราบเรื่องนี้อย่างทันท่วงที และได้สั่งการทางโทรเลขให้ระงับเสีย เขาก็อาจจะดำเนินการต่อไปถึงขั้นรุนแรง

คณะราชทูตสยามจึงได้มาประท้วงในเรื่องนี้ และนายน๊อกซ์ก็จะต้องกลับบ้านมาอธิบายด้วยตนเอง แต่ดูเหมือนเขาจะมีโอกาสน้อยมากที่จะได้กลับไปกรุงเทพอีกภายหลังโดนข้อกล่าวหา  

สุดท้ายที่ได้รับรายงานเรื่องนี้คือ พระปรีชาได้มอบเอกสารที่อาจจะทำให้ประนีประนอมยอมความกันได้นั้น ให้นางแฟนนีเก็บไว้ แล้วนางปฏิเสธที่จะนำให้ศาลพิจารณา โดยอ้างเอกสิทธิ์ว่าตนอยู่ในความคุ้มครองของประเทศอังกฤษ

(ล่าง-ภาพเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ อัครราชทูตพิเศษ ตีพิมพ์ในวารสารVanity ที่ออกในอังกฤษช่วงนั้น)


เรื่องที่ผมหาไม่เจอในบรรดาเอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ คือรายงานการเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียของพระยาภาสกรวงศ์ เพื่อทูลเกล้าฯถวายเครื่องราชอิสิยาภรณ์สยามจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งหลังจากถวายแล้ว พระยาภาสกรต้องหาทางกราบบังคมทูลเรื่องการเมืองแน่ๆ แต่มีเนื้อความเป็นเช่นไรขนาดที่รัฐมนตรีใช้คำว่าประท้วง และทรงมีพระราชกระแสตอบว่าอย่างไร เราไม่ทราบเลย
 
หากไม่มีเอกสารข้างบนที่ผมหาเจอในอินเทอเน็ท โดยคนอังกฤษได้นำมาลงไว้ ผมเองก็เกือบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าท่านทูตได้แสดงบทบาทอันสำคัญยิ่งใหญ่ไว้ที่พระราชสำนักของอังกฤษด้วย จนทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษต้องทำหนังสือกราบบังคมทูลถวายรายงาน
 
และแม้จะไม่ทราบวันที่เข้าเฝ้า แต่ก็ทราบว่าจะอยู่ในช่วงก่อนที่คณะตุลาการจะพิพากษาโทษจำเลยแน่นอน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 เม.ย. 15, 08:51

ขอบพระคุณคุณเทาชมพูค่ะ
พยายามจะเก็บประวัติ จาก Siam Repository 1 and 2  สำหรับรายนี้ วิกิพีเดียมีอยู่พอใช้เลยค่ะ

กระทรวงต่างประเทศอังกฤษแปลกมากที่ส่งพัลเกรฟ (Willlilam Gifford Palgrave) มาสยามในตอนนั้น  เพราะเป็นข้าราชการฝีมือดีเยี่ยมในด้านอาหรับ
รู้ภูมิประเทศและเคยเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนตะวันออกกลางทำงานให้องค์การทางศาสนาและจักรวรรดิฝรั่งเศส  โดยปลอมตัวเป็นมุสลิม เพราะคนที่ไม่ใช่มุสลิมจะไม่สามารถผ่านทางไปได้เลย  ตอนที่อยู่ซีเรียก็ปลอมเป็นแพทย์ไซเรียน  มียาติดตัวและมีสินค้านิดหน่อย

อาจจะเป็นการสลับตำแหน่ง เพราะเมื่อ ๓ ปีก่อนเขาประจำอยู่มะนิลา  

เป็นบุคคลมีชาติตระกูลเเมื่อเปรียบเทียบกับผู้สอนศาสนาและทหารประจำการในบริติชอินเดียในตอนนั้น บิดาเป็นเซอร์ ฟรันซิส พัลเกรฟ  แม่ชื่ออลิซาเบธ เทอร์เนอร์ เคยบันทึกไว้ว่าตานั้นเป็นนายธนาคาร เรียนหนังสือจบอ็อกซ์ฟอร์ด
พัลเกรฟเป็นลูกคนที่สอง  จึงต้องมาผจญภัยต่างแดนเพื่อสร้างตัว  ไม่เช่นนั้นก็ต้องไปเป็นทหาร หรือ รับใช้ศาสนา

หลังจากเขาเดินทางกลับจากซีเรีย เขียนหนังสือเรื่องการผจญภัยไว้เล่มหนึ่ง ขายดีมากและพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง
ในเรื่องนี้  คงไม่มีบทบาทมาก แต่ก็น่าสนใจอยู่ดี ว่าในเวลานั้น อังกฤษมีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาหลายคน
การเป็นนักเรียนล่ามนั้น เด็กอังกฤษที่การศึกษาครึ่งๆกลางๆ  ก็ได้ดีกันมาหลายคน เพราะราชการอังกฤษอนุโลมให้เรียนเพิ่มเติมและสอบเลื่อนขั้นไปเรื่อย ๆ
     
นายพัลเกรฟนั้น ลอร์ด ซอลส์เบอรีมีบันทึกว่า เขายั๊วะมากที่อยู่ๆตนจะถูกย้ายจากบุลกาเรียไปเป็นกงสุลใหญ่ในประเทศสยาม แต่ท่านลอร์ดก็ปลอบว่า เอาน่า เมืองนี้ดีออก คุณไปแล้วจะชอบ (แต่อย่าเผลอไปกินน้ำดิบให้จู๊ดๆเข้าก็แล้วกัน)  
ส่วนนายน๊อกซ์หลังจากกลับไปถึงลอนดอนเพื่อฟังเทศนาของนายได้ไม่นานก็บรรลุความเข้าใจอันประเสริฐ ยอมเลือกการลาออกจากราชการก่อนกำหนดเกษียณอายุตามข้อต่อรอง ซึ่งกระทรวงก็ได้ตอบแทนด้วยการขอเครื่องราชย์ ที่ทำให้เขาได้เป็นเซอร์โทมัส ยอร์จ น๊อกซ์ กินเงินบำนาญถึงสองในสามของเงินเดือนที่ได้รับขั้นสุดท้าย
ซึ่งก็เยอะอยู่จนนายอาลาบาสเตอร์แอบอิจฉา

นอกจากนั้น ท่านลอร์ดคงจะประทับใจในกิริยาวาจาของท่านทูตไทย จึงยังได้สั่งกำชับให้นายนิวแมน ขณะรักษาการณ์กงสุลในสยามให้แสดงกิริยาที่ดีต่อคนไทยหน่อย อย่าขี้เบ่งนัก และให้นำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ซึ่งพระนางเจ้าวิคตอเรียพระราชทานไปให้สมเด็จเจ้าพระยาตั้งแต่วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๒๑ แล้วถูกนายน๊อกซ์ดองไว้ไม่ยอมนำไปมอบให้นั้น ขอให้นายนิวแมนไปจัดการส่งมอบและให้ขออภัยต่อสมเด็จเจ้าพระยาอย่างเป็นทางการด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 เม.ย. 15, 08:55
วิกฤติการณ์กับอังกฤษครั้งนี้จึงถือว่าผ่านพ้นไปด้วยความโล่งอก ถือเป็นสำเร็จทางการทูตอันน่าภูมิใจของสยาม 

ทำให้สยามเป็นอิสระในการตัดสินคดีตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศนี้



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 เม.ย. 15, 10:10
ก่อนจะกลับไปเล่าเรื่องการพิพากษาโทษของพระปรีชากลการในศาล ผมอยากจะของย้ำอีกสักนิดนะครับว่า การทูตของประเทศไทยซึ่งมีประวัติอันงดงามมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ไม่เคยทำงานพลาดเป้าแม้ครั้งเดียว รวมถึงในเหตุการณ์ร.ศ.๑๑๒ ที่สยามต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเงินค่าปรับจำนวนมหาศาลให้ฝรั่งเศส ทั้งๆที่ในทางการทูตนั้น เราได้รับความสำเร็จในการร้องขอกระทรวงการต่างประเทศในปารีส ให้ระงับการล่วงล้ำลำน้ำเจ้าพระยาเข้ามาของกองเรือรบ ที่นายปาวี กงสุลฝรั่งเศสเรียกมาข่มขู่สยามได้  
แต่สุดท้ายแล้ว การก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะอะไร ท่านสามารถกลับไปอ่านจุดนี้ได้ที่เรือนไทย ตามระโยงข้างล่าง

ริชลิว-นักธุรกิจข้ามชาติในมาดนายพลเรือสยาม

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5686.150 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5686.150)

ปัจจุบัน เรื่องนี้ไปลงโรงเป็นบิ๊กซีรีส์อยู่ในสกุลไทยในเวอร์ชั่นที่ต่างกันไปตามลักษณะของสื่อ แต่นิตยสารฉบับนี้จะหาซื้ออ่านยากหน่อยนะครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 เม.ย. 15, 10:26
เห็นหน้าปกหนังสือสกุลไทยฉบับล่าสุด (ฉบับ ๓๑๔๙ วันจันทร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) โปรยชื่อเรื่อง ริชลิวนักธุรกิจข้ามชาติในมาดนายพลเรือสยาม  (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5686.0) ก็ทราบแล้วว่าเป็นผลงานมาจากเรือนไทยของคุณนวรัตนนั่นเอง   ;D

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6208.0;attach=54688;image)

ส่งใบเตือน ว่าคุณหมอเพ็ญนำโฆษณามาลง..
ดีมั้ยเนี่ย

เรื่องนี้รับรองไม่นำไปฟ้องท่านเจ้าเรือน  ;)  ;D  ;)  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 เม.ย. 15, 10:29
วิกฤติการณ์กับอังกฤษครั้งนี้จึงถือว่าผ่านพ้นไปด้วยความโล่งอก ถือเป็นสำเร็จทางการทูตอันน่าภูมิใจของสยาม  

ทำให้สยามเป็นอิสระในการตัดสินคดีตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศนี้

ตรงกับบทสรุปใน พระราชหัตถเลขา  (http://books.google.co.th/books?id=3zBLjHeAGB0C&pg=PA129&lpg=PA129#v=onepage&q&f=false)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 เม.ย. 15, 11:31

ส่งใบเตือน ว่าคุณหมอเพ็ญนำโฆษณามาลง..
ดีมั้ยเนี่ย

เรื่องนี้รับรองไม่นำไปฟ้องท่านเจ้าเรือน ;)  ;D  ;)  ;D

!


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 เม.ย. 15, 19:03
เหรียญ Mission to England รูปเจ้าคุณภาส

(ขอขอบคุณเจ้าของเหรียญมา ณ ที่นี้)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 เม.ย. 15, 19:17
ด้านหน้าเหรียญชัด ๆ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 07 เม.ย. 15, 20:40
หน้าบนเหรียญ ไม่เหมือนกัน
อันล่างคงไม่ใช่เหรียญ เป็นแผ่นใหญ่


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 เม.ย. 15, 21:10
คมชัด สวยงามมาก คงสั่งทำจากที่อังกฤษหลายสตางค์เป็นการส่วนตัว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 เม.ย. 15, 07:28
เจ้าพระยาภาณุวงศ์(พร บุนนาค)เกิด พ.ศ. ๒๓๙๒ และได้ไปเรียนอังกฤษระหว่างอายุ ๑๕-๑๙ ปี กลับมาแล้วเข้ารับราชการในตำแหน่งราชเลขานุการตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๔
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เป็นราชเลขานุการส่วนพระองค์ จางวางมหาดเล็ก และสมาชิกสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน  แล้วก็เล่นบทสยามหนุ่มดุเดือดไปหน่อยจนมีเรื่อง  

หลังจากนั้นท่านก็ถูกเบรกให้อยู่เฉยๆ จนกระทั่งได้รับบทพระเอกในประวัติศาสตร์ท่อนนี้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 เม.ย. 15, 07:32
คณะทูตพิเศษกลับถึงกรุงเทพในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๒๒ พระยาภาสกรวงศ์ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวทันทีเพื่อกราบบังคมทูลถึงความสำเร็จในการทำงานของคณะทูตว่า รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจที่จะไม่เข้าแทรกแซงกิจการภายในของสยามตามที่กงสุลน๊อกซ์เสนอ เมื่อแน่ชัดอย่างนี้แล้ว จึงโปรดเกล้าให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง ทำสำนวนการสอบสวนคดีเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะลูกขุน เพื่อตัดสินโทษของจำเลยทั้งหมดโดยเร็ว

เรื่องเดิมที่ถูกขึ้นหิ้งค้างไว้ตั้งแต่ช่วงโน้นมีอยู่ว่า  แม้ข้าหลวงพิเศษที่ไปสืบคดีในปราจีนจะสามารถรวบรวมพยานหลักฐานและพยานบุคคลได้แน่นหนาแล้วก็ตาม แต่พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จเจ้าพระยาก็ยังไม่มั่นใจ เพราะสืบรู้มาว่าพระปรีชาและนายน๊อกซ์ได้คิดวางแผนหาทางไว้สู้คดีในเรื่องบัญชีเหมืองทองไว้แล้ว โดยประสานงานกับข้างนอกผ่านนายหนูน้องชายต่างมารดา และบ่าวไพร่ที่มาส่งปิ่นโตทุกวัน เนื่องจากทางราชการไม่ได้ห้าม เพียงแต่ให้อยู่ในสายตาเท่านั้น
พระพิเรนทรเทพ ผู้คุมที่ได้รับมอบหมายให้คอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของพระปรีชา ได้รายงานไว้ฉบับหนึ่งว่า พระปรีชาคุยโม้กับผู้คุมว่าตนไม่มีความหวาดหวั่นในเรื่องนี้

กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ซึ่งได้พบกับนายน๊อกซ์อยู่เสมอก็ทิ้งเพื่อนมาถือข้างพระเจ้าอยู่หัวในการต่อสู้เพื่อแผ่นดิน  โดยมีพระอักษรให้สมเด็จเจ้าพระยาทราบความคิดของนายน๊อกซ์ที่เผยต่อพระองค์  ล่าสุดทรงกล่าวว่า ถ้าจะสู้เรื่องบัญชีเห็นจะไม่ได้ ด้วยเขาตระเตรียมไว้แล้ว
พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงรู้สึกหนักพระทัยถึงกับตรัสว่า “...ด้วยเขาไม่โง่ การสิ่งใดก็คงตระเตรียมหาช่องทางไว้ทุกอย่าง จะจับต้องให้มั่น...”


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 เม.ย. 15, 10:08
เมื่อเรือรบอังกฤษเข้ามานั้น ญาติโกโหติกาของพระปรีชาต่างกระดิ๊กกระดี้เหมือนปลากะดี่ได้น้ำ นำข้าวปลาอาหาร พืชผักผลไม้ พร้อมบุหงามาลัยไปเซ่นสังเวยทหารบนเรือรบเสมอ ฝรั่งเหล่านั้นจึงอิ่มเอมเปรมปรีดิ์มาก
ในเวลาเดียวกัน เจ้าพระยามหินทรศักดิ์อธิบดีคณะตุลาการ และหลวงสรจักรานุกิจต่างทำหนังสือถวายรายงานว่า มีการยักย้ายถ่ายเทเงินทองจากบ้านพระปรีชาไปไว้ที่สถานกงสุลอังกฤษ และที่ห้างมาแลบยุเลียนของชาวฝรั่งเศส และตามบ้านญาติ ในระหว่างนี้

ระหว่างการสอบสวน พระปรีชาขณะนั้นก็แสดงความฮึกเหิม ไม่เคารพศาล พูดจาทำนองข่มขู่ตุลาการ แทนที่จะยอมตอบคำถาม และตั้งตนเป็นทนายซักถามโจทก์และพยานโจทก์ ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นคนรับใช้ของตนอย่างดุดัน จนบางครั้งทำให้การสอบพยานต้องชะงักลง

ช่วงนี้พระปรีชาได้ให้นางแฟนนีทำหนังสือร้องเรียนไปยังกรมพระบำราบปรปักษ์ว่าตุลาการไม่มีความยุติธรรม เพราะเอาพยานที่ล้วนแต่เป็นบริวารที่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับตนมาก่อน มาให้การเข้าข้างโจทก์เท่านั้น  แต่ทางราชการปฏิเสธที่จะรับเรื่องเพราะนางแฟนนีไม่ใช่ตัวการโดยตรง ชอบที่จะให้พระปรีชาทำหนังสือด้วยตนเองเท่านั้น พระปรีชาจึงคิดจะทำหนังสือถวายฎีกาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ก็ล้มเลิกความตั้งใจ เพราะอันที่จริงศาลก็ให้สิทธิ์จำเลยนำสืบพยานฝ่ายตน แต่พระปรีชาสละสิทธิ์เอง

ความรู้ถึงพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสว่า วิสัยคนๆนี้กำเริบนัก ขนาดอยู่ในตรวนยังฮึกเหิมมาก ถ้าออกจากตรวนได้คงจะถือว่าเพราะกลัวพ่อตา พูดจาหรือทำกิริยาเหลือเกินมาก


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 เม.ย. 15, 10:36
เจ้าพระยาภาณุวงศ์(พร บุนนาค)เกิด พ.ศ. ๒๓๙๒ และได้ไปเรียนอังกฤษระหว่างอายุ ๑๕-๑๙ ปี กลับมาแล้วเข้ารับราชการในตำแหน่งราชเลขานุการตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๔

เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) กระมัง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 เม.ย. 15, 11:26
เออนะคนเรา แก่แล้วก็เสื่อมอย่างนี้ เรื่องยาวๆทั้งอ่านทั้งพิมพ์ลงกระทู้อินเทอเน็ทอย่างนี้หนักหน่อย ไม่มีคนช่วยตรวจทานเหมือนพิมพ์หนังสือ ผมก็หลุดได้บ่อย กำลังกล่าวถึงพระยาภาสกรวงศ์อยู่แท้ๆ มือไปพิมพ์เป็นเจ้าพระยาภาณุวงศ์ และอ่านทวนสองสามเที่ยวก็หาเห็นที่ผิดไม่

คุณเพ็ญชมพูมีคุณอันประเสริฐกับผมตรงที่คอยตามล้างตามเช็ดแบบไม่ลดละเลิก ;D ต้องขอขอบคุณมากครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 เม.ย. 15, 11:34
คณะตุลาการขอให้พระยากสาปน์ส่งมอบ นางจีน นางสุ่น นายหวาด นายใหญ่ที่ถูกพยานพาดพิงมาให้ปากคำ แต่พระปรีชาบ่ายเบี่ยงให้ไปขอกับนางแฟนนี ซึ่งนางแฟนนีตอบว่า จะยอมส่งให้ก็ต่อเมื่อได้รับพระราชหัตถเลขาของพระเจ้าอยู่หัว เออ เอากับนางสิ เจอไม้นี้เข้าคณะตุลาการก็ต้องเฉย

อย่างไรก็ดี เกมนี้สมเด็จเจ้าพระยาแก้ได้ โดยใช้พระยาเจริญราชไมตรี( ตาด ) น้องชายแท้ๆของพระยากสาปน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลต่างประเทศ ซึ่งเดินทางไปปฏิบัติราชการที่เชียงใหม่แล้วกลับมาโดยไม่ขออนุญาตต้นสังกัดก่อน สมเด็จเจ้าพระยากราบบังคมทูลว่า เพราะพระยาเจริญเป็นผู้รู้กฏหมายดี จึงเป็นห่วงครอบครัวเพราะทราบเรื่องที่พระปรีชานำตระกูลไปพัวพันกับคดีอุฉกรรจ์ ระดับท้าทายกับพระราชอำนาจ  จึงขอให้พระเจ้าอยู่หัวทรงหยั่งท่าทีว่าพระยาเจริญจะเห็นแก่ญาติพี่น้องหรือจะเจ็บร้อนกับแผ่นดิน

พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงให้คนนำหมายไปตามพระยาเจริญราชไมตรีมาเฝ้า ทรงถามว่า การกระทำผิดธรรมเนียมทางราชการเช่นนี้มีความผิดหรือไม่ พระยาเจริญกราบบังคมทูลว่า ก่อนเดินทางไปเชียงใหม่ในเรื่องที่รัฐบาลอาณานิคมของอังกฤษในอินเดียส่งคนมาสอบสวนคดีความที่เชียงใหม่นั้น ตนได้กราบทูลกรมพระบำราบปรปักษ์ไว้ว่า ถ้าพันตรีสตรีทส์ผู้แทนอังกฤษกลับเมื่อไหร่ตนจะขอกลับกรุงเทพด้วย ก็ทรงอนุญาตไว้แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตนขอยอมรับผิดที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือขอมาตามธรรมเนียม และขอพระราชทานอภัยโทษ

ความอ่อนน้อมยอมรับผิดทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเมตตาพระราชทานอภัยโทษ แม้ว่าสมเด็จเจ้าพระยาจะมีความเห็นว่า อย่างไรก็ต้องลงโทษบ้าง จะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่น แต่ทรงมีพระราชดำริว่า พระยาเจริญเพิ่งปฏิบัติราชการได้เป็นผลสำเร็จ ความดีกับความผิดก้ำกึ่งกัน ครั้งนี้จึงให้ภาคทัณฑ์ไว้ก่อน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 เม.ย. 15, 11:40
สมเด็จเจ้าพระยาจึงอ้างพระมหากรุณาธิคุณนี้ ขอให้พระยาเจริญร่วมมือตามตัวนางจีน นางสุ่น ผู้ช่วยพระปรีชาในการกลั่นทอง ซึ่งหลบหนีไปอยู่บ้านกงสุลอังกฤษ และนายหวาด นายใหญ่ เสมียนบัญชีในกรุงเทพของพระปรีชามามอบตัวกับทางราชการได้สำเร็จ

และยังเป็นตัวแทนฝ่ายพระเจ้าอยู่หัว ไปเจรจาหว่านล้อมพี่ชายให้ร่วมมือกับสมเด็จเจ้าพระยา เพื่อบรรเทาโทษของตนเองและคนในตระกูลจากโทษริบราชบาทว์
นอกจากนั้น พระเจริญยังให้บุตรสะใภ้ซึ่งเป็นน้องสาวของพระปรีชา มายื่นเรื่องต่อทางราชการ ขอคืนทองคำแท่งและทองรูปพรรณ ซึ่งได้มาจากพระปรีชากลการ ซึ่งถึงแม้จะมีน้ำหนักรวมกันเพียง ๒ชั่ง ๑๙บาท แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพอพระทัย เพราะใช้เป็นหลักฐานเอาผิดพระปรีชาได้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 เม.ย. 15, 15:20
คณะตุลาการขอให้พระยากสาปน์ส่งมอบ นางจีน นางสุ่น นายหวาด นายใหญ่ที่ถูกพยานพาดพิงมาให้ปากคำ

นางจีนน่าจะเป็นภรรยาคนหนึ่งของพระปรีชาฯ

พระปรีชากลการสมรสครั้งแรกกับคุณพลับ ธิดาพระครูมหิธรผู้เป็นพราหมณ์หลวงผู้ทำพิธีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓ มีบุตรกับคุณพลับ ๑ คนเป็นชายชื่อประเสริฐ แต่ถึงแก่กรรมแต่ยังเยาว์ เมื่อคุณพลับถึงแก่กรรมจึงสมรสกับคุณลม้ายธิดาพระอินทราธิบาล (สุ่น) ซึ่งได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการมาอยู่บ้าน มีบุตรกับคุณลม้าย ๒ คนคือคุณหญิงตระกูลและพระยาพิศาลสารเกษตร (อรุณ) ต่อมามีบุตรกับคุณเหลี่ยม ๓ คน มีบุตรกับคุณสินเป็นชาย ๑ คน มีบุตรกับคุณจีนเป็นหญิง ๑ คน และมีบุตรกับคุณหลีเป็นชาย ๑ คน

จาก หนังสือบ่อทองและการทำเหมืองทองคำในสยามยุคใหม่ โดย วลัยลักษณ์ ทรงศิริ (http://issuu.com/walailaksongsiri/docs/borthong_s) หน้า ๓๕


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 เม.ย. 15, 16:48
แม่นแล้ว ! นางจีน เป็นเมียน้อยคนหนึ่งของพระปรีชา ซึ่งพระปรีชาใช้ให้ช่วยกลั่นทอง ถูกพาดพิงว่า เมื่อเรือรบเข้ามาแล้วพระเจ้าอยู่หัวก็ยังไม่ปล่อยพระปรีชาออกจากคุก จึงได้ใช้ไสยศาสตร์ ด้วยการนำหีบหมาก ซองบุหรี และเข็มขัดทองของนางแฟนนีไปให้นางปลั่ง หมอทำเสน่ห์ใช้ทำพิธีฝังรูปรอย เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวรักใคร่พระปรีชาจะได้ปล่อยตัวให้พ้นโทษ และทำให้ศัตรูของพระปรีชา ตั้งแต่กรมพระบำราบ สมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยาภาณุวงศ์ และเจ้าพระยามหินทร์ ให้มีอันเป็นไปด้วยประการต่างๆ แม้พิธีนี้จะแตกเพราะนางจีนจับได้ว่าหมอผีหลอกลวงหวังจะสับเปลี่ยนทองที่นำเข้าพิธีกรรมก็ตาม ก็ถือว่าความผิดที่คิดทำร้ายผู้อื่นสำเร็จแล้ว

แม้พระเจ้าอยู่หัวจะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล  แต่สมเด็จเจ้าพระยายืนยันว่าในรัชกาลก่อนผู้ทำความผิดในคดีเยี่ยงนี้มีโทษถึงตายอยู่ ถ้าไม่เอาเรื่องเสียเลยก็จะกำเริบมากไป ต้องสอบสวนเอาข้อเท็จจริงให้ได้  จึงทรงมีพระราชบัญชาให้ดำเนินคดีแยกกัน
ผลการสอบสวนผู้ต้องหาให้การสารภาพทุกประเด็น แต่จะให้คณะลูกขุนตัดสินโทษหลังจบคดีพระปรีชาแล้ว

(คดีนี้ ปรากฏในจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๕ เรื่อง คำตัดสินคดี อีจีน อีปลั่ง ผู้ทำกฤติยาคุณยาแฝดในหลวง ความโดยสรุปว่า ให้ประหารชีวิตผู้จ้าง และผู้รับจ้าง ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดทุกคนได้รับโทษเฆี่ยนหลังลายไปตามๆกัน)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 เม.ย. 15, 07:08
ครั้นเมื่อเรือรบได้รับคำสั่งจากรัฐบาลอังกฤษออกจากกรุงเทพไป ค่อยหายใจคล่องขึ้นหน่อยหนึ่งแล้ว คณะตุลาการจึงนำตัวพระปรีชากลการออกมาสอบปากคำอีก ในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๔๒๒

การสอบสวนจำเลยได้แบ่งเรื่องออกเป็น ๒ ประเด็นคือ

ประเด็นแรก เป็นเรื่องที่นายช่างชาวอังกฤษ ๒คน ที่ทำงานอยู่ที่เหมืองทองได้ร้องเรียนขอให้ทางราชการจ่ายเงินเดือนที่พระปรีชายังติดค้างอยู่อีก ๘เดือน เรื่องนี้ตุลาการได้สอบปากคำนายสุดใจ ผู้ทำบัญชีและจ่ายเงิน ได้ความสมจริงตามคำร้องเรียนนั้น  แต่พระปรีชาอ้างว่า ติดค้างอยู่เพียง ๒เดือนเท่านั้น  เมื่อตุลาการตรวจสอบจากฎีกาที่เบิกเงินจากพระคลังมหาสมบัติ แล้วปรากฏว่า พระคลังยังมิได้จ่ายให้ตามที่ตั้งเบิกเพียง ๔เดือน จึงเรียกทุกคนมาสอบใหม่ ทุกคนก็ยังยืนยันตามเดิม ดังนั้น ตุลาการจึงตัดสินใจโดยยึดฎีกาที่พระคลังจ่ายไปแล้วเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา แล้วมีมติให้พระคลังมหาสมบัติจ่ายเงินเดือนให้นายช่างทั้งสองไป ๔เดือน เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๘๘๐ เหรียญ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 เม.ย. 15, 07:15
ประเด็นที่สอง เป็นการสอบสวนเรื่องการใช้จ่ายเงินในการทำเหมืองทองคำที่พระปรีชารับผิดชอบควบคุมดูแลมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗
เริ่มการพิจารณาคดีด้วยการนำฎีกาเบิกเงินจากพระคลังมหาสมบัติมาเป็นหลักฐานในการตั้งข้อสงสัย เนื่องจากตรวจพบว่ามีรายชื่อผู้เบิก ๓ คน คือพระยากสาปน์โกศล พระปรีชากลการ และจมื่นศรีสรรักษ์ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๑๕๕๔๔ชั่ง ๑๙ตำลึง ๑บาท ๓สลึง แต่ยอดรายจ่ายของนายสุดใจมีเพียง ๔๖๔๗ชั่ง ๙ตำลึง ๓สลึง ขาดไป ๑๐๘๙๗ ชั่ง ๑๐ตำลึง ๑บาท จึงขอให้จำเลยชี้แจง และแสดงหลักฐานการจ่ายเงินทั้งหมด หากมีนอกเหนือไปจากบัญชีของนายสุดใจ ทางราชการก็จะปรับเปลี่ยนให้

พระปรีชาให้การแบบหัวหมอว่าตนได้ใช้จ่ายเงินในการลงทุนทำนั่นโน่นนี่นั้นโน้น และนู้น ผมขี้เกียจสาธยาย แต่ไม่ให้รายละเอียดเลย หลักฐานใดๆก็ไม่มี  แถมกล่าวว่าถ้าอยากรู้ก็ให้ไปค้นใบเสร็จที่พระคลังมหาสมบัติเอาเอง เพราะอะไรๆที่ตนเบิกในนามของพระยากสาปน์ผู้เป็นบิดาก็อยู่ที่นั่น  ส่วนบัญชีส่วนตัวของพระปรีชานั้น เคยมีอยู่แต่ทำหายไปแล้ว

เมื่อตุลาการตรวจสอบใบฎีกาดังกล่าว ยิ่งพบความไม่ตรงกันของบัญชีมากขึ้นแบบมั่วไปหมด จึงเปิดโอกาสอีกครั้งให้พระปรีชาแสดงความบริสุทธิ์โดยให้นำบัญชีรายรับรายจ่ายทุกประเภท รวมทั้งหลักฐานการซื้อของจากต่างประเทศ ที่พระปรีชาอาจเก็บไว้มาแสดง เพื่อประโยชน์ของตัวพระปรีชาเอง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 เม.ย. 15, 07:24
แต่แรกพระปรีชาปฏิเสธว่าตนไม่มีบัญชีดังกล่าว แต่ตุลาการให้เบิกพยานมายืนยัน นอกจากปากนายสุดใจแล้วยังมีเสมียนทำบัญชีของพระปรีชาที่กรุงเทพอีก ๒ ปากที่กล่าวไปแล้วด้วย นายหวาดพยานคนหนึ่งให้การว่า บัญชีที่พระปรีชาให้นายสุดใจทำนั้นเป็นสองเล่ม เล่มหนึ่งมีรายการและเงินที่จ่าย ส่วนอีกเล่มหนึ่งมีแต่รายการ พระปรีชาจะมาเติมตัวเลขที่จ่ายเอาเอง บางครั้งรวมตัวเลขแล้วยังขาดจากจำนวนเงินที่เบิกมาจากพระคลังมหาสมบัติ พระปรีชาก็สั่งให้นายหวาดมั่วรายการเท็จลงไปให้ครบจำนวนเงิน

เมื่อโดนยันเช่นนี้ พระปรีชาจึงเขียนจดหมายถึงแฟนนี ให้ส่งบัญชีและใบเสร็จต่างๆมาให้ แต่แฟนนีส่งมาให้แค่บัญชีคู่ร่างฎีกา ซึ่งบอกแต่ยอดรวมทั้งหมดโดยไม่ได้แสดงรายละเอียด จึงไม่มีประโยชน์อันใด ส่วนบัญชีที่ต้องการ แฟนนีอ้างว่าหาไปพบ ส่วนใบเสร็จต่างๆก็ทิ้งไปหมดเพราะเห็นว่าเก่าเกินปีหนึ่งแล้ว พระปรีชาเองก็ตกใจ เอะอะว่า อะไร บัญชีเล็กบัญชีน้อยก็หายหมดได้ไง ครั้งนี้สิฉิบหายจริง

เมื่อเป็นดังนี้ คณะตุลาการจึงหมดความพยายามที่จะให้โอกาสใดๆจำเลยอีก  และเห็นว่ากฏหมายไทยไม่สามารถจะไปบังคับนางแฟนนี ซึ่งอ้างตนเป็นคนในอารักขาของอังกฤษได้ จำเป็นต้องปล่อยให้เลยตามเลย

แต่บัญชีดังกล่าวอาจถูกทำลายไปจริงๆแล้วก็ได้  เพราะนายสุดใจเบิกความในศาลไว้ว่า ตอนที่พระปรีชาสั่งให้ตนเผาบัญชีที่มีอยู่นั้นให้สิ้นทรากให้หมด อย่าโง่เหมือนคราวพระยาอาหารที่สั่งการให้คนใช้เอาสมุดบัญชีไปทิ้งน้ำ  แต่กระดาษมันไม่จม ถึงลอยไปไกลเขาตามไปเก็บมาได้  เลยไม่ตายก็เหมือนตาย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 เม.ย. 15, 14:37
เรื่องบัญชีนี้ พระเจ้าอยู่หัวเองมีพระราชกระแสว่า หลวงพินิจจักรภัณฑ์น้องชายพระปรีชาได้กราบบังคมทูล ว่าตนเคยรักษาบัญชีคู่ร่างที่แฟนนียอมส่งให้ตุลาการ กับบัญชีรายจ่ายโดยละเอียด แต่หลังจากกลับมาจากปราจีนครั้งสุดท้ายก่อนโดนจับ พระปรีชาได้เรียกคืนไป บอกว่าจะมอบให้นางแฟนนีเป็นผู้เก็บรักษาไว้แทน ดังนั้นสมเด็จเจ้าพระยาจึงใช้ไม้ตาย ปล่อยข่าวไปว่า ถ้าพระปรีชายังปากแข็งไม่ยอมรับสารภาพ ก็จะเข้าตรวจค้นทุกบ้าน

คำขู่ดังกล่าวเป็นผลในวันรุ่งขึ้นทันที พระยากสาปนกิจโกศลได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๒๒ ฉบับหนึ่ง และอีก ๒วันต่อมาอีกฉบับหนึ่ง มีความรวมกันสรุปโดยย่อว่า ตนขอรับผิดที่ไว้วางใจให้ลูกชายไปทำบ่อทองแทน และยังยอมให้ใช้ตราประทับไปทำหนังสือในนามของตนเพื่อเบิกเงินจากพระคลังมหาสมบัติไปเป็นจำนวนมาก  แต่ได้ทองมาไม่คุ้ม ส่วนพระปรีชานำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้างนั้นไม่ทราบจริงๆ แต่เชื่อว่าคงได้นำไปใช้ประโยชน์ของตัวเองบ้าง นับว่าเป็นความผิดของตนที่มิได้ตรวจตรา ทำให้เงินหลวงตกหล่นเสียหาย และทำให้พระเจ้าอยู่หัวขุ่นพระทัย ซึ่งตนขอยอมรับผิดทุกประการ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 เม.ย. 15, 14:40
พระเจ้าอยู่หัวทรงนิ่งเฉยต่อหนังสือทั้งสองฉบับ จนพระยากสาปน์ร้อนใจ ขอให้พระยาเจริญราชไมตรีช่วยกราบบังคมทูลถาม พระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสตอบว่าหนังสือทั้งสองฉบับไม่มีข้อความใดยอมรับว่าพระปรีชากระทำการฉ้อโกงหลวงแม้น้อย เพียงแต่แสดงว่าพระยากสาปน์ยังมีความอ่อนน้อม เห็นแก่แผ่นดินมากกว่าลูกชายของตัวพระยากสาปน์เองเท่านั้น  แต่ถ้าจะให้ดีควรจะให้พระปรีชายอมรับสารภาพผิด

พระยากสาปน์เองเป็นบิดา อยู่ในครอบครัวเดียวกัน บัญชีก็อยู่ที่บ้าน คนที่จะใช้จะสอยให้ทำก็มี จึงควรจะเป็นผู้ตรวจดูว่าพระปรีชาฉ้อโกงอย่างไรไปบ้าง ถ้าสามารถจับได้แม้เพียงเรื่องเดียว ก็น่าจะหยิบยกขึ้นมาสารภาพได้ และพระปรีชาก็คงจะไม่กล้าดื้อดึงในศาลต่อไป


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 เม.ย. 15, 14:41
เมื่อฟังว่าพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสเช่นนั้น พระยากสาปน์ก็หมดทิษฐิมานะ ยอมเข้าหาสมเด็จเจ้าพระยาในวันที่ ๒ กรกฎาคม เพื่อขอคำแนะนำว่าตนควรจะทำอย่างไร สมเด็จเจ้าพระยาก็ยืนยันว่าต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้พระปรีชาสำนึกตัว และยอมรับสารภาพโดยดี เพราะหลักฐานมีครบไม่สามารถปฏิเสธความผิดได้อยู่แล้ว สารภาพเสียโทษก็จะลดหย่อนลงได้
 
และยังฝากบอกไปยังพระยาเจริญราชไมตรีอีกว่า ทางที่ดีควรช่วยกันนำทองที่ถูกฉ้อโกงไปมาคืนให้กับทางราชการ เพราะมีพยานเบิกความว่ามีทองของหลวงอีกจำนวน ๗๕ชั่ง ที่พระปรีชานำขึ้นมาจากปราจีนยังมิได้นำส่งพระคลัง แต่มีผู้เห็นนายกูลต์ผู้ช่วยกงสุลขนทองจากบ้านพระปรีชาไปไว้ที่สถานกงสุลอังกฤษ  ทองที่ว่าไม่ใช่สมบัติของพระปรีชา ถ้าช่วยกันนำมาคืนก็จะช่วยผ่อนโทษจากหนักเป็นเบาลงอีก ส่วนคำแนะนำเหล่านี้พระกสาปน์จะทำตามหรือไม่ก็ให้กลับไปคิดเอาเอง

จากนั้นพระกสาปน์ยังได้ไปหาเจ้าพระยาสุภานุวงศ์ ซึ่งก็โดนตอกย้ำกลับไปทำนองเดียวกันว่าสายเกินไปที่จะพูดแก้ตัวในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ให้เอาเรื่องที่ยังไม่เกิดดีกว่าว่าจะทำอย่างไรจะได้ทองคำของแผ่นดิน ที่ถูกยักย้ายไปอยู่ที่สถานกงสุลอังกฤษคืนมา


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 เม.ย. 15, 15:44
ประเด็นที่สอง เป็นการสอบสวนเรื่องการใช้จ่ายเงินในการทำเหมืองทองคำที่พระปรีชารับผิดชอบควบคุมดูแลมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗
เริ่มการพิจารณาคดีด้วยการนำฎีกาเบิกเงินจากพระคลังมหาสมบัติมาเป็นหลักฐานในการตั้งข้อสงสัย เนื่องจากตรวจพบว่ามีรายชื่อผู้เบิก ๓ คน คือพระยากสาปน์โกศล พระปรีชากลการ และจมื่นศรีสรรักษ์ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๑๕๕๔๔ชั่ง ๑๙ตำลึง ๑บาท ๓สลึง แต่ยอดรายจ่ายของนายสุดใจมีเพียง ๔๖๔๗ชั่ง ๙ตำลึง ๓สลึง ขาดไป ๑๐๘๙๗ ชั่ง ๑๐ตำลึง ๑บาท จึงขอให้จำเลยชี้แจง และแสดงหลักฐานการจ่ายเงินทั้งหมด หากมีนอกเหนือไปจากบัญชีของนายสุดใจ ทางราชการก็จะปรับเปลี่ยนให้

เงินที่ขาดไปถูกนำไปลงทุนดังรายละเอียดข้างล่างกระมัง

เงินก้อนใหญ่ พระปรีชาเอาเงินจากที่ไหนไม่ทราบไปลงทุนกับฝรั่งยิวชาวสวิส ที่เข้ามาค้าขายในกรุงเทพเป็นเงินรวมกันถึง 38000 เหรียญสหรัฐ ในลักษณะหุ้นกู้มีดอกเบี้ยรายเดือนๆละ 500 ปอนด์อังกฤษ รายละเอียดมากมายอยู่ในเอกสารข้างล่าง

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3248.0;attach=9622;image)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 เม.ย. 15, 20:21
ผมอยากให้คุณหมอเพ็ญช่วยหาอัตราแลกเปลี่ยนหน่อยน่ะครับ เพราะเงินหลวงขาดไปหมื่นกว่าชั่ง

ทำอย่างไรจะทราบได้ว่า เงินดอลลาร์ หรือเงินปอนด์ตอนนั้นมีค่าอย่างไรเทียบกับเงินไทยที่มีหน่วยเป็นชั่งเป็นบาท
บางทีก็เป็นชั่งบาทที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฏหมาย บางทีก็เป็นน้ำหนักทองคำ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 เม.ย. 15, 20:42
ระหว่างรอคุณหมอเพ็ญ  จำได้รางๆ(ซึ่งอาจผิดก็ได้)ว่าสมัยรัชกาลที่ ๔   ๑ ดอลล่าร์เท่ากับ ๔ บาทค่ะ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 เม.ย. 15, 20:50
อ่านเบื้องหน้าเบื้องหลังของคดีนี้ แล้วรู้สึกว่ามันก็เป็นเหตุการณ์ที่ทันสมัยแม้ว่าผ่านมาหนึ่งร้อยกว่าปี    ที่ว่าทัน(กับยุค)สมัยคือ เป็นคดีการเมืองที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังนุงนังไปหมด      มีบุคคลสำคัญที่หนุนหลังทั้งสองฝ่าย    น่าหนักใจมาก

แบ๊คของพระปรีชาไม่เบาเลย  ถ้านึกว่าสมัยนั้นเจ้าอาณานิคมมีอำนาจขนาดทุบปังเดียว  ยุบยวบหมดทั้งเอเชีย   อำนาจของกงสุลน๊อกซ์ก็ต้องถือว่าน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ายักษ์มารในสายตาของสยาม
การหักโค่นลูกเขยกงสุล  คือการโค่น 'บิ๊ก' ระดับชาติที่มหาอำนาจหนุนหลัง      ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวจะต้องผนึกกำลังกันหลายฝ่ายจึงจะแท็คทีมเอาผิดพระปรีชาได้ 
น่าชมเชยที่บุคคลสำคัญหลายท่านในที่สยามมีความแน่วแน่จะแก้ไขในสิ่งผิด     ไม่รวนเรกลับไปกลับมา  หลายท่านก็รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะพอเหมาะพอดี   ไม่ฉวยโอกาส ไม่แทรกเข้ามาให้ปั่นป่วน  และที่สำคัญคือไม่ทรยศหักหลัง

ทั้งหมดนี้ต้องถือว่าเป็นเพราะพระบารมีโดยแท้ 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 เม.ย. 15, 21:33
ผมอยากให้คุณหมอเพ็ญช่วยหาอัตราแลกเปลี่ยนหน่อยน่ะครับ เพราะเงินหลวงขาดไปหมื่นกว่าชั่ง

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๕๑ อัตราแลกเปลี่ยนคือ ๑ ดอลลาร์ = ๒.๖๙ บาท และ ๑ ปอนด์ = ๑๓.๑๒ บาท

เงินหลวงขาดไปมากกว่าหมื่นชั่งอยู่หลาย เอาแค่หมื่นชั่งมาคำนวณคูณด้วย ๘๐ ก็เท่ากับ ๘ แสนบาทแล้ว เงินลงทุน ๓๘,๐๐๐ ดอลลาร์ = แสนกว่าบาทเท่านั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเงินที่หายไป


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 เม.ย. 15, 21:47
ระบบเงินตราในช่วง พ.ศ. ๒๔๑๓-๒๔๕๗ เป็นระบบมาตรฐานทองคำ (The Gold Standard) โดยแต่ละประเทศที่อยู่บนระบบนี้ต้องมีกฎหมายกำหนดให้ใช้ทองคำเป็นมาตรฐานกำหนดค่าของเงินหนึ่งหน่วยเท่ากับทองคำบริสุทธิ์เป็นจำนวนที่แน่นอน ซึ่งเรียกว่า“การกำหนดอัตราค่าเสมอภาค” (Par Value)

อังกฤษ กำหนดอัตราค่าเสมอภาค ๑ ปอนด์ เท่ากับ ทองคำบริสุทธิ์หนัก ๗.๓๒๒๓๓ กรัม

สหรัฐอเมริกา กำหนดอัตราค่าเสมอภาค ๑ ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก ๑.๕๐๔๖๕ กรัม

สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. ๑๒๗ กำหนดให้เงินบาทมีราคาเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก ๐.๕๕๘ กรัม

ดังนั้น การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลปอนด์ต่อเงินตราสกุลบาท ก็คือ การเอาค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงินหนึ่งปอนด์ คือ ๗.๓๒๒๓๓ หารด้วยค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงินหนึ่งบาท คือ ๐.๕๕๘ (๗.๓๒๒๓๓ / ๐.๕๕๘ = ๑๓.๑๒)

ดังนั้นด้วย พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๑)  อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อเงินปอนด์จึงเท่ากับ ๑๓.๑๒ บาท ต่อ ๑ ปอนด์ในเวลานั้น

หรือ ถ้าจะคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อเงินตราสกุลบาท ก็คือ การเอาค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของเงินหนึ่งดอลลาร์ ซึ่งในเวลานั้นประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดอัตราค่าเสมอภาค (Par Value) ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ทองคำบริสุทธิ์หนัก ๑.๕๐๔๖๕ กรัม เมื่อนำมาหารด้วยค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงิน ๑ บาทคือ ๐.๕๕๘ กรัม ก็จะสามารถคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อเงินตราสกุลบาทได้ เท่ากับ ๑.๕๐๔๖๕ / ๐.๕๕๘ = ๒.๖๙  ทำให้ค่าเงิน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๒.๖๙ บาทตามที่กฎหมายกำหนด (พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. ๑๒๗) ณ เวลานั้น

ข้อมูลจาก ค่าเงินบาทของไทย โดย ธิติ สุวรรณธัต (http://www.naewna.com/politic/columnist/6511)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 07:36
^
รวดเร็วทันใจ
ขอบคุณครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 07:49
อ่านเบื้องหน้าเบื้องหลังของคดีนี้ แล้วรู้สึกว่ามันก็เป็นเหตุการณ์ที่ทันสมัยแม้ว่าผ่านมาหนึ่งร้อยกว่าปี    ที่ว่าทัน(กับยุค)สมัยคือ เป็นคดีการเมืองที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังนุงนังไปหมด      มีบุคคลสำคัญที่หนุนหลังทั้งสองฝ่าย    น่าหนักใจมาก

แบ๊คของพระปรีชาไม่เบาเลย  ถ้านึกว่าสมัยนั้นเจ้าอาณานิคมมีอำนาจขนาดทุบปังเดียว  ยุบยวบหมดทั้งเอเชีย   อำนาจของกงสุลน๊อกซ์ก็ต้องถือว่าน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ายักษ์มารในสายตาของสยาม
การหักโค่นลูกเขยกงสุล  คือการโค่น 'บิ๊ก' ระดับชาติที่มหาอำนาจหนุนหลัง      ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวจะต้องผนึกกำลังกันหลายฝ่ายจึงจะแท็คทีมเอาผิดพระปรีชาได้ 
น่าชมเชยที่บุคคลสำคัญหลายท่านในที่สยามมีความแน่วแน่จะแก้ไขในสิ่งผิด     ไม่รวนเรกลับไปกลับมา  หลายท่านก็รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะพอเหมาะพอดี   ไม่ฉวยโอกาส ไม่แทรกเข้ามาให้ปั่นป่วน  และที่สำคัญคือไม่ทรยศหักหลัง

ทั้งหมดนี้ต้องถือว่าเป็นเพราะพระบารมีโดยแท้ 

ครับ พระเจ้าอยู่หัวท่านทรง Mature ขึ้นมาก ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในความจงรักภักดีของพวกบุนนาค โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าพระยาผู้มีประสบการณ์เข้มข้นตามวัยวุฒิของท่าน ซึ่งก่อนหน้านั้น อดติและความระแวงที่คนโน้นคนนี้นำมาเติมถวายอยู่เรื่อยๆ ทำให้ไม่ทรงมั่นพระทัย

ความมั่นใจและพลังแรงกล้าของคนหนุ่ม บวกด้วย ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของคนแก่ ทำให้ทุกกิจการดำเนินไปข้างหน้า ไม่ว่าจะในบ้าน ในองค์กร หรืองานระดับประเทศ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 07:57
วันที่ ๔ กรกฎาคม พระกสาปน์ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมพระปรีชาเพื่อสนทนากันตามลำพัง ในขณะที่อยู่ต่อหน้าผู้คุม พระกสาปน์ได้กล่าวกับพระปรีชาว่า สมเด็จเจ้าพระยาให้พระปรีชาเอาทองมาคืนหลวง แต่พระปรีชาปฏิเสธว่าตนสุจริต ไม่ได้ฉ้อทองไว้ แต่พอผู้คุมออกไปแล้วทั้งสองจะพูดอะไรกันก็ไม่มีใครทราบ แต่หลังจากบิดากลับไปแล้ว พระปรีชากล่าวกับผู้คุมว่า พระกสาปน์บอกว่าจะให้แผ่นดินแพ้หรือ เอาทองคำไปไว้ที่ไหน ให้สารภาพออกมาโดยดี ตนเองนั้นบิดามาว่าแล้วก็ต้องเชื่อ บิดาจะให้ตายก็ต้องตาย

แต่พระปรีชาก็ยังปลงไม่ตก นั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวัน จนพระยากสาปน์ต้องส่งคนไปเตือนว่าให้เร่งเขียนหนังสือสารภาพโดยเร็ว  เพราะสมเด็จเจ้าพระยารับปากว่าจะช่วย พระปรีชาดูมีกำลังใจขึ้น บอกกับผู้คุมว่า ถ้าท่านรับเช่นนั้น ก็เห็นจะสำเร็จ จึงได้ยอมเขียนหนังสือสารภาพลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๒๒ พร้อมทั้งนำทองคำที่นางแฟนนีส่งมาให้ มอบให้ทางราชการ เมื่อรวมกับทองของพระปรีชาที่นางสงวนน้องสาวนำมามอบในครั้งที่แล้ว พระคลังมหาสมบัติได้ทองคืนไปรวมทั้งหมดเพียง  ๗ ชั่ง ๑๙ตำลึง ๑ เฟื้อง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 08:00
อย่างไรก็ดี พระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงเห็นว่าหนังสือดังกล่าวพระปรีชาเขียนขึ้นอย่างมีชั้นเชิง ทำนองจะบอกว่าตนบกพร่องโดยสุจริตนั่นแล ทองที่คืนมาคราวนี้ก็อ้างว่ากำลังจะนำไปส่งอยู่แล้ว แต่ถูกจับเสียก่อน การเขียนคราวนี้เพียงแต่แสดงความอ่อนน้อมต่อแผ่นดินเท่านั้น แต่ไม่ได้ยอมรับว่าตนกระทำทุจริต

สมเด็จเจ้าพระยากราบบังคมทูลว่าคนพวกนี้ถือตนว่าฉลาด จะเขียนหนังสือต้องมีชั้นมีเชิง จะให้เขียนสารภาพชัดๆอย่างที่ต้องการคงเป็นไปไม่ได้ 
เรื่องเดียวกันนี้ เจ้าพระยาสุภานุวงศ์เคยคิดดังๆออกมาว่า  หรือพระปรีชาจะกลัวภรรยาจะรู้ว่าตนทำผิด เพราะแฟนนีเคยทำจดหมายถึงพระปรีชาในคุกว่า “ถ้าคุณเป็นคนฉ้อในหลวงแล้ว ฉันก็ไม่อยู่กับคุณ จะกลับไปบ้านเสียไม่ขออยู่กับคนโกงเจ้านายของตนเอง”


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 08:21
ถึงตรงนี้ผมงงว่า น้ำหนักทองคำที่พระปรีชายอมคืนให้นั้นต่างกับที่สมเด็จเจ้าพระยากล่าวกับพระยากสาปน์มากหลายเท่าตัว ไม่ทราบว่าเป็นลูกเล่นที่ท่านบลัฟคู่เจรจา หรือมีจริงตามที่สายสืบรายงาน แต่ถูกนางแฟนนีกับพ่อขมายต่อไปอีกที  แล้วไปโผล่ร่องรอยให้เห็นในปารีสภายหลัง ตามที่คุณเพ็ญเอาเอกสารมาดักหน้าให้ดูกันแล้ว พระองค์เจ้าปฤศฎางค์ อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส ที่แฟนนีขอเข้าพบเพื่อขอความช่วยเหลือ ได้ทรงทำรายงานกลับมากรุงเทพ ซึ่งผมจะเล่าให้อ่านกันต่อไปตามลำดับ ไม่ให้เรื่องราวมันกระโดดไปกระโดดมา ท่านผู้อ่านจะเกิดความสับสน หรือผมนั่นแหละที่จะสับสน

ส่วนข้อความในจดหมายของแฟนนีที่กองเซ็นเซ่อร์หน้าคุกอ่านแล้วนำไปรายงานนายนั้น ก็คงเป็นแค่กลลวงธรรมดาๆเพื่อออกตัวไว้ก่อนว่า เดี๊ยนเป็นคนใสซื่อนะยะ ทองที่หายไปอย่าได้มาโทษเดี๊ยนกับแดดดี๋เป็นทีเดียวเชียวนะ ขอบอก 
เราๆท่านๆก็เคยอ่านเชอร์ล็อคโฮมส์กันมาแล้ว เรื่องยังงี้ก็ต้องเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกันไว้ก่อน

ผมเคยอ่านเจอ แต่คราวนี้หาไม่เจอแล้ว จำได้คร่าวๆว่านายน๊อกซ์เคยพูดว่า สยามเลี้ยงข้าราชการไม่พออยู่พอใช้ ให้เงินเดือนเพียงน้อยนิด เหมือนให้แต่ข้าว ส่วนกับข้าวให้ไปหาเอาเอง ข้าราชการที่เบียดบังราษฎร์ไม่ได้จึงต้องเบียดบังหลวง คอร์รัปชั่นกันทั้งระบบ ในหลวงก็ทรงทราบแต่ก็เลือกที่จัดการเฉพาะคน ที่พระปรีชาโดนเช็กบิลครั้งนี้อย่างไรเสียตนก็เห็นว่าไม่ยุติธรรม เพราะใครๆก็โกงกินกันทั้งนั้น

แหะ ๆ…เอื๊อกกกก
ตรรกะของนายน๊อกซ์ เดี๋ยวนี้คนในประเทศนี้ก็ยังนำมาอ้างอยู่เลยนะครับ เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนสำนวนซะใหม่นิดๆหน่อยๆ เพิ่มศัพท์สมัยใหม่เข้ามาบ้าง เช่นคำว่าสองมาตรฐานเป็นต้น เท่านั้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 เม.ย. 15, 10:09
เรื่องเดียวกันนี้ เจ้าพระยาสุภานุวงศ์เคยคิดดังๆออกมาว่า  หรือพระปรีชาจะกลัวภรรยาจะรู้ว่าตนทำผิด เพราะแฟนนีเคยทำจดหมายถึงพระปรีชาในคุกว่า “ถ้าคุณเป็นคนฉ้อในหลวงแล้ว ฉันก็ไม่อยู่กับคุณ จะกลับไปบ้านเสียไม่ขออยู่กับคนโกงเจ้านายของตนเอง”

เจ้าพระยาภาณุวงศ์  กระมัง



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 10:35
คราวนี้ คุณเพ็ญผิด


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 เม.ย. 15, 14:10
คราวนี้ คุณเพ็ญผิด

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley19.png)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 14:39
คราวนี้ คุณเพ็ญผิด

เอ้า แก้เป็นผมผิดก็ได้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 16:33
วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน คณะผู้พิพากษาประกอบด้วยคณะลูกขุน ๘คน และตุลาการศาลรับสั่ง ๗คน รวมเป็น ๑๓คน ได้นั่งบัลลังก์พิจารณาความผิดของพระปรีชากลการ ๒ ประเด็น คือเรื่องทุจริตเหมืองทองคำ และเรื่องฆ่าคนตาย ความว่า

ประเด็นเหมืองทองคำ 
ได้นำใบฎีกาเบิกเงินที่ได้สำเนามาจากพระคลังมหาสมบัติ มาหักกับบัญชีของนายสุดใจ แต่เนื่องจากพระปรีชาไม่สามารถนำบัญชีของตนมายืนยัน และไม่สามารถชี้แจงค่าใช้จ่ายสำหรับจำนวนเงินที่ขาดไปได้ ประกอบคำสารภาพว่าได้เบียดบังทองคำหลวงบางส่วนที่ถึงกำหนดส่งเข้าคลังแล้ว แต่ไม่ส่งไป จนเลยกำหนดจริง จึงพิจารณาว่าพระปรีชายังคงค้างเงินหลวงอยู่อีก เป็นการส่อเจตนาในการฉ้อบังเงินทองของหลวงไว้เป็นประโยชน์ของตน ถือว่าได้มีความผิดมหันตโทษ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 16:36
ประเด็นที่สอง เรื่องฆ่าคนตายมีสองคดี

คดีนายเกิดนั้น พระปรีชายอมรับว่าได้สั่งจำตรวน ใส่ขื่อคา เฆี่ยนตีและกักขังนายเกิดจริง แต่มิได้มีเจตนาจะให้ถึงตาย แต่มีพยานหลายปากให้การตรงกันว่า พระปรีชาได้สั่งให้เฆี่ยนและให้เอาเหล้กตีข้อเท้าทั้งสองของนายเกิดไม่ให้หนีไปได้อีก  แล้วยังสั่งทรมานให้นายเกิดอดข้าว วันรุ่งขึ้น หลวงประจนกล้าหาญ ผู้คุมได้รายงานว่า นายเกิดหิวข้าวเดินไม่ได้ใกล้จะตายแล้ว พระปรีชาได้กล่าวว่า  มันตายเสียก็ดี อาญาอุทธรณ์จะได้สูญ ตั้งแต่นี้อย่าให้มันกินข้าวกินน้ำอีกเลย  ครั้นเมื่อพระปรีชารู้ว่านายเกิดตายเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๔๒๑ ก็ได้แสดงความโล่งใจกับผู้คุมว่า ช่างมัน สิ้นทุกข์สิ้นร้อนไป

เรื่องนี้คณะตุลาการได้ให้ทั้งโจทก์และจำเลยนำสืบพยาน  แต่พระปรีชาไม่ติดใจที่จะนำสืบพยานฝ่ายตน จึงเห็นว่าพระปรีชาและหลวงประจนกล้าหาญ ผู้คุม มีควมผิดร่วมกัน เป็นมหันตโทษ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 เม.ย. 15, 16:39
ส่วนคดีจีนทำหมันนั้น พระปรีชายอมรับว่าเป็นผู้สั่งให้นายสาย นายเริก นำคนจีนทั้งสองไปส่งขึ้นฝั่งตรงข้ามให้กลับบ้าน  เพราะก่อการวิวาทจึงเลิกจ้าง แต่พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ให้การว่าพระปรีชาสั่งให้เอาผ้าขะม้ามัดมือไพล่หลัง พอเรือไปถึงกลางน้ำคนของพระปรีชาก็ผลักคนจีนทั้งสองลงจากเรือ ทั้งที่มือยังถูกมัดไพล่หลังอยู่ จึงไม่มีโอกาสช่วยตนเองให้รอดจากการจมน้ำตายได้ 

แม้พระปรีชาจะไม่ยอมรับผิด  แต่พยานที่เป็นเจ้าหน้าที่จับกุม คนแจวเรือ และพยานอีก ๔ปาก ซึ่งล้วนเป็นบ่าวทาษคนสนิทในบ้านของพระปรีชาจำเลย ต้องบทพระอัยการว่าด้วยองค์พยาน  เบิกความสมข้อกล่าวหาเอาเป็นความจริงได้ว่า พระปรีชากลการ นายยิ้ม นายหลง ผู้สั่งและผู้ร่วมกระทำการผลักคนจีนทั้งสองให้ตกน้ำตาย มีความผิดขั้นมหันตโทษ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 06:00
ลักษณะความผิดของจำเลยและผู้สมรู้ร่วมคิด ต้องตามกฏหมายว่าด้วยการทำร้ายฆ่าฟันกันถึงตาย หรือจ้างวานผู้อื่นไปทำร้าย การเบียดบังพระราชทรัพย์ ทรัพย์สมบัติ ช้างม้าวัวควาย ข้าทาษบริวารของพระคลังหลวง โดยปิดบังไม่ให้รู้บัญชีฎีกา  หรือรู้เห็นแต่มิได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ความผิดตามลักษณะนี้มีโทษรุนแรง  คือประหารชีวิต ตัดมือ ตัดเท้า และลดหลั่นลงไปถึงเฆี่ยน จองจำ และปรับโทษ

ด้วยเหตุนั้น คณะผู้พิพากษาจึงเห็นพร้อมกันว่า พระปรีชากลการ ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณทรงชุบเลี้ยงให้เป็นที่ปรึกษาในพระองค์ เป็นเจ้าเมืองปราจีนบุรี และผู้ดูแลบ่อทอง แต่กลับมาทำการฉ้อโกง มิหนำซ้ำยังได้พยายามปกปิดความผิดโดยทรมานนายเกิดที่นำเรื่องมาฟ้องจนถึงตาย และยังบังอาจบันดาลโทสะจับจีนช่างหมันโยนลงน้ำจนตาย แสดงว่าจำเลยเป็นคนปราศจากความเมตตา ทำการเกินอำนาจโดยไม่เกรงกลัวพระราชอาญา
พระปรีชากลการจึงมีความผิดเป็นอุกฤษโทษ ให้ริบราชบาทว์ ถอดยศบรรดาศักดิ์  ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๓ ยก แล้วนำตัวไปประหารชีวิต ให้ตายตกไปตามกัน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

นายสุดใจผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำบัญชีลับ  มีความผิดด้วย แต่เนื่องจากสารภาพและให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงได้รับลดหย่อนโทษเป็นถูกจำคุก
สำหรับบุคคลรายนี้นั้น เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้นายสุดใจออกจากคุกก่อนกำหนด และรับกลับเข้าทำงานในกรมพระสุรัสวดีที่ท่านเองเป็นเจ้ากรม


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 06:04
หลวงประจนหาญกล้าผู้คุมซึ่งได้รับคำสั่งให้เฆี่ยนและทรมานนายเกิดจนตาย ต้องได้รับโทษประหารชีวิตเช่นกันกับพระปรีชากลการ แต่เนื่องจากหลวงประจนหาญกล้าได้ให้การเป็นประโยชน์แก่การสอบสวน และเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้  จึงเห็นควรได้รับการผ่อนผันให้มีโทษปรับเป็นสินไหมพิไน พร้อมทั้งให้มอบเงินเป็นค่าทำศพให้กับญาติพี่น้องของนายเกิดผู้ตาย

ส่วนนายสาย นายเริก ผู้สมรู้ร่วมคิด ซึ่งเป็นผู้ผลักจีนช่างหมันลงน้ำตาย จะต้องมีโทษถึงประหารชีวิตเช่นเดียวกับพระปรีชาผู้ออกคำสั่ง แต่บุคคลทั้ง ๒ได้ตายไปแล้วก่อนหน้านี้ สำหรับนายหลง นายยิ้ม คนแจวเรือมีความผิดเป็นมหันตโทษ แต่นายยิ้มได้เป็นผู้มายื่นเรื่องราวรับสารภาพและกลับเป็นโจทก์ฟ้องพระปรีชากลการ นายยิ้มมีความผิดระคนชอบ จึงเห็นควรให้ยกโทษ กับให้เฆี่ยนนายหลง ๒ ยก แล้วจำคุกไว้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 08:17
พระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ทำตามคำขอของคณะลูกขุน แต่ในเมื่อจะต้องตายแล้วก็ทรงมีพระกรุณาเป็นครั้งสุดท้าย ให้งดโทษเฆี่ยน และให้นำตัวพระปรีชาไปประหารชีวิต ณ สถานที่เกิดเหตุ จังหวัดปราจีนบุรี

กลางดึกของคืนวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๒๒  เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง ประธานในการประหารชีวิตไอ้สำอางที่ถูกถอดบรรดาศักดิ์จากที่พระปรีชากลการ รับพระบรมราชโองการแล้วนำตัวไอ้สำอางออกจากที่คุมขัง โดยนักโทษยังไม่รู้ตัวว่าจะถูกนำไปประหารชีวิต เพราะมีความมั่นใจในความที่บิดาของตนบอกว่าสมเด็จเจ้าพระยารับปากแล้วว่าจะช่วย ถ้าได้รับหนังสือสารภาพผิด  ส่วนพระบาทเจ้าอยู่หัวนั้น น่าจะทรงนึกถึงความหลังที่เคยสนองพระเดชพระคุณ และทรงมีพระเมตตาต่อตนเป็นพื้นอยู่แล้ว ครั้นถูกนำมาเข้าเครื่องจองจำ ๕ ประการ คือเอาตรวนเหล็กคล้องคอ สวมกุญแจมือ ตีตรวนใส่เท้า ล่ามโซ่ที่เอว ใส่คาที่คอ  ก็ชักรู้ชะตากรรม  ถูกเขาจูงไปลงเรือที่มีทหารคุ้มกันแข็งแรง เรือที่นำนักโทษไปประหารนั้นเป็นเรือรบ เมื่อพร้อมแล้วก็ยิงปืนข่มขวัญ แล้วออกเดินทางไปปราจีนบุรีอย่างรวดเร็ว

จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๔๑ หน้า ๑๑๔ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๓๒๒ บันทึกไว้ดังนี้

เวลายามหนึ่ง สั่งให้จำไอ้สำอางปรีชา ๕ประการเต็มที่
เวลาสองยาม เจ้าพระยามหินธร พระยามหามนตรี พระยารองเมือง และนายพธามรงค์(พะทำมะรง)ทหาร  เอาตัวไอ้สำอางไปออกประตูรัตนพิศาล แลประตูสุนทรทิศ พาไปออกประตูลงท่าพระ ลงเรือหาญหักศัตรู
เวลาออกเรือยิงปืนหาญหักศัตรู ต่อสู้ไพรีทั้งสองลำ กับเรือราชสีห์ลำหนึ่ง  ผู้ที่ไปนั้น เจ้าพระยามหินทร พระยารองเมือง พระพิเรนทรเทพ จมื่นวิไชยยุทธ พระศักดิเสนี หลวงสุริยามาตย์ นายพธำรงค์ ตำรวจ ทหาร มาก
เมื่อลงเรือ เจ้าพระยามหินธร พระยารองเมืองขัดดาบด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 08:50
ไอ้สำอางได้อ้อนวอนถามคนโน้นคนนี้ว่าตนจะต้องตายด้วยเรื่องอะไร แต่ก็ไม่มีใครเปิดปากเพราะกลัวว่าจะมีความผิด คงปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านไป ไอ้สำอางก็พล่ามไปเรื่อยว่าคงจะเป็นเรื่องนายเกิดบ้าง เปลี่ยนเป็นเรื่องที่แต่งงานกับลูกสาวกงสุลน๊อกซ์บ้าง แต่ไม่ยักคิดว่าเป็นเรื่องฉ้อราชบังหลวง  แถมน้อยใจพระเจ้าอยู่หัวเสียอีก โดยกล่าวกับผู้คุมว่า ถ้าผู้ใดจะคิดทำราชการต่อไป ก็ให้ดูตนเป็นตัวอย่าง เคยทำความดีความชอบมามากมาย แต่ก็ต้องมาตายเยี่ยงนี้
   
ครั้นเดินทางมาถึงปราจีนบุรี ในเวลาประมาณ ๔โมงเช้าของวันที่ ๒๔ พฤศจิกายนแล้ว เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง ประธานในพิธีได้เรียกประชุมกรมการเมืองในเวลาบ่าย ๔โมง  ให้มีการอ่านท้องตราประกาศความผิดของพระปรีชากลการให้ทุกคนได้ยิน ขณะอ่านพระบรมราชโองการให้ประหารชีวิต ไอ้สำอางได้โวยวายขึ้นแบบไม่หยุดว่า ไม่ได้คุมเหงราษฏรผู้หนึ่งผู้ใดให้เดือดร้อน …..ตายครั้งนี้ความไม่จริง แล้วเปลี่ยนเป็นคร่ำครวญว่า... โบสถ์สร้างขึ้นยังไม่ทันแล้ว…..เพราะมีเมียฝรั่งตัวจึงตาย...แดดร้อนดังนี้ทำไมจะได้สติ 

หนังสืออนุสรณ์ คุณหลวงบำรุงรัฐนิการ ญาติรุ่นหลัง  ตีพิมพ์ในปี ๒๔๘๓ มีแถมว่า “เมื่อตายแล้ว  เราจะไปอยู่ที่หลังคาแดงโน้น” พอพูดแล้วได้สักครู่หนึ่ง  ก็เผอิญมีก้อนเมฆลอยมาบังพระอาทิตย์ กระทำให้บริเวณเหล่านั้นร่มครึ้ม  ปราศจากแสงแดด มีละอองน้ำโปรยลงมาจากอากาศเป็นฝอยเยือกเย็นไปทั่ว  แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ไม่ปรากฏในสำนวนของผู้อื่นทั้งที่เป็นทางการและบันทึกส่วนตัว         


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 08:56
พระปรีชาถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะในขณะที่อายุได้ ๓๘ปี ศรีษะของไอ้สำอางถูกนำไปเสียบประจานไว้หน้าป้อม เมืองปราจีนบุรีได้ติดประกาศความผิดของพระปรีชากลการเอาไว้ให้ราษฎรอ่าน พร้อมจัดทหารรักษาการอยู่รอบบริเวณนั้นอีก ๓วัน เป็นอันเสร็จพิธีการ

คนอย่างพระปรีชากลการไม่มีทางจะเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงได้ว่า ทำไมตนจึงต้องมาจบชีวิตลงอย่างนั้น

คนบางคนหลอกตัวเองมาตลอดว่าความเลวที่ตนทำนั้น ไม่ได้ผิดมากมายอะไรเพราะใครๆเขาก็ทำกัน เพียงแต่ความซวยเท่านั้นที่ทำให้ตนถูกจับลงโทษ โดยที่คนอื่นไม่ถูกจับ

พระปรีชาไม่มีสำนึกในความเลวที่ตนก่อขึ้นซ้ำซ้อนหลายคดีเลย  ที่ชั่วที่สุด คือไปดึงเอาต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของสยาม ข่มขู่ท่านผู้นำประเทศ ส่งผลกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงของชาติบ้านเมือง เพียงเพื่อจะหาทางให้ตนได้ทรัพย์ที่ฉ้อโกงไป  แล้วลอยตัวเป็นอิสระ สุขสำราญในชีวิตที่เหลือท่ามกลางพวกสอพลอที่หวังเศษเงินเล็กๆน้อยๆในกระเป๋า คนอย่างนี้ไม่สมควรที่จะตายดี การประหารชีวิตพระปรีชากลการตามกฎหมายบ้านเมืองถือว่าเป็นธรรมที่สุดแล้วที่คนพรรค์นี้พึงจะได้รับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 เม.ย. 15, 09:24
ขณะอ่านพระบรมราชโองการให้ประหารชีวิต ไอ้สำอางได้โวยวายขึ้นแบบไม่หยุดว่า ไม่ได้คุมเหงราษฏรผู้หนึ่งผู้ใดให้เดือดร้อน …..ตายครั้งนี้ความไม่จริง แล้วเปลี่ยนเป็นคร่ำครวญว่า... โบสถ์สร้างขึ้นยังไม่ทันแล้ว…..เพราะมีเมียฝรั่งตัวจึงตาย...แดดร้อนดังนี้ทำไมจะได้สติ  

"เพราะมีเมียฝรั่งตัวจึงตาย" ก็จริงอย่างที่คุณพระว่า ถ้าไม่มีเมียเป็นฝรั่ง ไม่มีพ่อตาที่ชื่อว่า "น็อกซ์" ก็คงไม่ชักพาให้คดีนี้เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ โทษของคุณพระอาจไม่ถึงประหารชีวิต


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 09:35
การมีเมียฝรั่งไม่ได้เกิดจากความรักบริสุทธิ์  แต่เป็นเพราะมีแผนลับลมคมนัย จะใช้อิทธิพลต่างชาติมาคุ้มครองผลประโยชน์ที่จำเป็นจะต้องแบ่งกันทั้งสองฝ่าย การกล่าวเพียงว่า เพราะมีเมียฝรั่งตัวจึงตาย เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นไปโทษกฏหมายล้าสมัยของสยาม

ติดไว้ก่อนครับ แล้วผมจะมาอธิบายอีกทีว่ามันไม่ใช่ประเด็นนั้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 09:37
เมื่อเรื่องสงบลง ชาวบ้านได้ตั้งศาลเจ้าพ่อสำอางให้ใหญ่โตที่ลานประหาร คนคงไปขอหวยกันตรึม

คนไทยบางจำพวกก็ประหลาดอยู่  ประเภทที่บูชาชูชก ทำเป็นรูปหล่อมาห้อยคอแทนพระก็มี ทั้งๆที่ชูชกนั้นเมื่อตายแล้วได้กลับชาติไปเกิดเป็นเทวทัต ตั้งตนเป็นศัตรูคู่อาฆาตพระพุทธเจ้าแท้ๆ ผมถามเหตุผลว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น ได้คำตอบว่าชูชกมันขี้ขอดี  บูชาแล้วเวลาไปขออะไรใครก็มักจะได้ …เออนะคนเรา  นี่พวกบูชาเจ้าพ่อสำอางคงหวังถูกหวย หรืออยากรวยทางลัด  แต่จะรวยด้วยวิธีใดไม่สำคัญ  ขอให้รวยไว้ก่อนก็แล้วกัน

ปัจจุบันศาลเจ้าพ่อสำอางได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม  เขาว่าย้ายสถานที่มาตั้งอยู่ด้านข้างของสถานีตำรวจภูธรประจำจังหวัด ศูนย์ข้อมูลทางวัฒนธรรมของปราจีนบุรีในเว็บบันทึกไว้ว่า

"เจ้าพ่อสำอาง คือ พระปรีชากลการ เดิมชื่อ สำอาง อมาตยกุล เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๙ ได้เป็นเจ้าเมืองปราจีนบุรีอยู่ ๔ปี ได้ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินจังหวัดปราจีนบุรี เช่น การสร้างถนน สถานที่ราชการ อาคารต่างๆ โรงงานเครื่องจักรสำหรับ ทำทอง บูรณะและสร้างอุโบสถวัดหลวงปรีชากูล และถึงแม้ว่าดวงชะตากรรมของท่าน จะต้องโทษทัณฑ์ด้วยการถูกประหารชีวิต แต่ประชาชนชาวจังหวัดปราจีนบุรีก็ยังเคารพบูชา จนถึงทุกวันนี้"

นักการเมืองไทยทุกระดับของยุคนี้ก็ใช้งบประมาณหลวงไปสร้างโน่นสร้างนี่  แจกบ้างให้กู้แบบไม่สนใจจะได้คืนบ้าง ส่วนหนึ่งก็ยักย้ายถ่ายเทเข้ากระเป๋าตนเองและพวกพ้องกันร่ำรวย บางคนกินกันชั่วลูกชั่วหลานไม่หมดแล้วก็ยังไม่หยุดโกง  แต่ชาวบ้านก็ชื่นชมยกย่องว่าฯพณฯท่านเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดิน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 09:43
ศาลเจ้าพ่อสำอางในภาพที่ฝรั่งเอาไปตีพิมพ์ในหนังสือ กับภาพที่ถ่ายปัจจุบัน อ้างว่าเป็นศาลเก่าของพระปรีชาที่อยู่ในบริเวณวัดหลวงปรีชานุกูล ถ้าจริงก็คงเป็นตรงลูกศรชี้  ส่วนศาลที่ว่าอยู่ข้างสถานีตำรวจเป็นอย่างไร ต้องพึ่งคุณเพ็ญชมพูอีกแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 เม.ย. 15, 09:47
นักการเมืองไทยทุกระดับของยุคนี้ก็ใช้งบประมาณหลวงไปสร้างโน่นสร้างนี่  แจกบ้างให้กู้แบบไม่สนใจจะได้คืนบ้าง ส่วนหนึ่งก็ยักย้ายถ่ายเทเข้ากระเป๋าตนเองและพวกพ้องกันร่ำรวย บางคนกินกันชั่วลูกชั่วหลานไม่หมดแล้วก็ยังไม่หยุดโกง  แต่ชาวบ้านก็ชื่นชมยกย่องว่าฯพณฯท่านเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดิน

แถว ๆ บ้าน ก็มีถนนทางเข้าเขาใหญ่ตั้งชื่อเป็นอนุสรณ์เจ้าพ่อที่มีพฤติกรรมแบบเดียวกับที่คุณนวรัตนว่า  ;)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 09:47
เยอะครับคุณเพ็ญ เยอะ บรรยายไม่หมด ที่ยังไม่ตายก็อีกมาก

นี่คือภาพจวนเจ้าเมืองที่พระปรีชาเคยอยู่ จากหนังสิอฝรั่งเช่นกัน คุณไกรฤกษ์ นานาได้เอามาลงพิมพ์ในหนังสือของท่าน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 10:10
เอาวัตุดิบจากเว็บนี้มาทำภาพขึ้นใหม่

http://www.amatyakulfamily.com/2011/index.php?option=com_content&view=article&id=39:2012-08-02-06-15-32&catid=1:amatyakul-photo-gallery&Itemid=3 (http://www.amatyakulfamily.com/2011/index.php?option=com_content&view=article&id=39:2012-08-02-06-15-32&catid=1:amatyakul-photo-gallery&Itemid=3)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 เม.ย. 15, 10:33
คุณพระปรีชาฯ กลายเป็นหม่อมเจ้าไปแล้ว  ;D

จาก http://www.amphoe.com/menu.php?mid=1&am=345&pv=29 (http://www.amphoe.com/menu.php?mid=1&am=345&pv=29)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 เม.ย. 15, 10:39
ข้างบนนี่เว็บของส่วนราชการจังหวัดปราจีณบุรีหรือเปล่าคะ?
ถ้าใช่  ข้าราชการหรือคนชาวปราจีนเข้ามาอ่าน กรุณาบอกเวบมาสเตอร์ให้แก้ไขด้วยนะ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 เม.ย. 15, 13:23
คุณ Wandee เคยเล่าไว้ในนี้แหละว่า “พระยาภาษจดหมายไปรเวตถวายด้วยเส้นดินสอเข้ามาฉบับ ๑ ว่าเมื่อคืนนี้   มีเรือโบตเก๋ง ๔ แจว  ผู้หญิงอยู่ในนั้น  ร้องสักรวา  แจวขึ้นข้างบน ตั้งแต่ปากคลองโอ่งอ่าง  ไปจนหน้าบ้านเจ้าพระยามหินทร แล้วกลับมาอีก  แล้วล่องลงไปล่างผู้ฟังเขาจำไว้ได้”
สงสัยว่าจะเป็น Caroline บุตรสาวมิสเตอร์นอกซ์ ความว่า
              
                          สักรวาวันนี้พระปรีชา
                          ต้องรับอาญาพระเจ้าอยู่หัว
                          กำเริบจิตรคิดการห่ามเกินตัว
                          ทั้งพันพัวราชทรัพย์ก็นับพัน
                          กลับออกไปก็มิได้บังคมบาท
                          ถืออำนาจผู้ใดกระไรนั่น
                          ทรงการุณชุบเลี้ยงถึงเพียงนั้น
                          หรือหมายมั่นพึ่งใครให้ว่าเอย

     นักประวัติศาสตร์ก็มิได้บันทึกที่มาที่ไปของสักรวาเรื่องนี้ไว้ แต่รูปการณ์ไม่น่าเชื่อว่าเป็นคาโรไลน์ น๊อกซ์  บ้านอยู่ถึงสี่พระยา  มันเรื่องอาไร้ของนางถึงต้องลงทุนขนาดน้าน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 เม.ย. 15, 20:11
ลองแกะรอยเล่นๆ
สาวนักร้องที่นั่งเรือโบต 4 แจว เห็นทีจะมีนายที่บุญหนักศักดิ์ใหญ่ไม่เบา   มีเรือหลายลำพอจะแบ่งเรือโบต มาให้ลูกน้องสาวนั่งขึ้นล่องแม่น้ำ ส่งเสียงร้องสักรวามาตามทางโดยไม่มีเรือของใครกล้าไปจับกุม   
ถ้าไม่ใช่ว่าร้องประสานเสียงกันหลายสาว   ก็ต้องเป็นคนเดียวที่มืออาชีพ ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วกังวานได้ยินไปสองฟากฝั่งน้ำ
เพราะถ้าได้ยินแค่กลางแม่น้ำ ชาวบ้านไม่ได้ยิน   ก็ไม่รู้จะร้องไปทำไม

เพลงนี้ มีเป้าหมาย จงใจให้ได้ยินถึงบ้านเจ้าพระยามหินทรฯ  เพราะเรือล่องจากคลองโอ่งอ่างไปหยุดแค่นั้น ก่อนจะวกกลับตามทางเดิม
keyword น่าจะอยู่ในวรรคสุดท้ายของสักรวา

"หรือหมายมั่นพึ่งใครให้ว่าเอย"


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 เม.ย. 15, 20:17

     นักประวัติศาสตร์ก็มิได้บันทึกที่มาที่ไปของสักรวาเรื่องนี้ไว้ แต่รูปการณ์ไม่น่าเชื่อว่าเป็นคาโรไลน์ น๊อกซ์  บ้านอยู่ถึงสี่พระยา  มันเรื่องอาไร้ของนางถึงต้องลงทุนขนาดน้าน

   เนื้อหาของสักรวา ตำหนิพระปรีชาเต็มๆ   ย่อมไม่ได้มาจากฝ่ายเครือญาติพวกพ้องของพระปรีชา  จึงไม่เชื่อว่าคาโรไลน์จะเกี่ยวอะไรด้วย
   นอกจากตำหนิพระปรีชา  ยังพุ่งเป้าไปที่ "ขาใหญ่" ที่ในกลอนบอกว่าพระปรีชาหวังพึ่ง
                          กลับออกไปก็มิได้บังคมบาท
                          ถืออำนาจผู้ใดกระไรนั่น
                          ทรงการุณชุบเลี้ยงถึงเพียงนั้น
                          หรือหมายมั่นพึ่งใครให้ว่าเอย
   ถ้าไม่ใช่กงสุลน๊อกซ์   ก็ต้องมีคนใหญ่โตฝ่ายสยามอีกคนหนึ่งสนับสนุนพระปรีชาอยู่    เจ้านายของสาวนักร้องจึงส่งลูกน้องมาว่ากระทบกระแทกแดกดันเข้าให้   
   แต่จะเป็นใครนั้น คงจะต้องใช้ verb to เดา  เดากันไปเอง

     


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 06:59
ถ้าไม่ใช่กงสุลน๊อกซ์   ก็ต้องมีคนใหญ่โตฝ่ายสยามอีกคนหนึ่งสนับสนุนพระปรีชาอยู่    เจ้านายของสาวนักร้องจึงส่งลูกน้องมาว่ากระทบกระแทกแดกดันเข้าให้  
แต่จะเป็นใครนั้น คงจะต้องใช้ verb to เดา  เดากันไปเอง


มีรายชื่อที่เข้าข่ายปรากฏในประวัติศาสตร์ให้เดาเพียงสองคนครับ  คนแรกคือนายน๊อกซ์ผู้มีอำนาจในฐานะกงสุลใหญ่ของชาติมหาอำนาจ ผู้ที่กราบทูลพระเจ้าอยู่หัว อ้างตนว่ามีความชอบธรรมที่จะแทรกแทรงกิจการภายในของประเทศอนารยะอย่างสยาม  อีกคนหนึ่งนั้นคือ พระยากสาปนกิจ ประมุขตระกูลขุนนางใหญ่อันดับสอง รองจากบุนนาค และทุกคนเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท นอกนั้นแล้ว ส่องอินทรเนตรหาใครอีกไม่เจอ

แต่ในตอนเช้าของวันเดียวกันที่พระปรีชาถูกนำตัวไปประหารชีวิต และมีการลอยเรือร้องสักวาในตอนกลางคืนนั้น พระยากระสาปนกิจโกศล เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ และหลวงพินิตจักรภัณฑ์ ได้ถูกเรียกมาสอบสวนในฐานะเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจ และเบิกเงินร่วมกับพระปรีชากลการในคดีทุจริต

ตามพระกระทู้ที่ทรงตั้งถาม ทั้งสามยอมรับว่า ถึงจะมิได้กระทำเอง หรือสนับสนุนให้พระปรีชาทำความชั่วดังที่เกิดขึ้น แต่การที่รู้เรื่องแล้วมิได้กราบบังคมทูลถือว่ามีความผิดตามกฎของสภาที่ปรึกษาในพระองค์ ด้วยเหตุนี้คณะตุลาการจึงกราบบังคมทูลให้ถอดยศถาบรรดาศักดิ์ และปลดออกจากการเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาทั้งสองคณะไว้ก่อน แล้วจำขังไว้สอบสวนพิจารณาคดีต่อไป



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 07:37
ระหว่างที่พระยากระสาปน์และบุตรชายทั้งสองถูกจองจำอยู่นั้น ตุลาการได้ตรวจสอบทรัพย์สินเงินทองที่ริบราชบาทว์จากบ้านพระปรีชา ไม่พบเงินทองของมีค่าที่น่าจะต้องมีอยู่ นอกเหนือจากบรรดารถเรือ เครื่องปืนพร้อมกระสุน รวมทั้งโต๊ะเก้าอี้ เครื่องถ้วยกะลาแตก ซึ่งไม่มีมูลค่ามากนัก เมื่อเรียกสอบบุคคลในบ้านเพิ่มเติมก็ได้ความว่า ได้มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สมบัติเงินทองไปฝากไว้บ้านญาติและที่สถานกงสุลอังกฤษก่อนหน้านี้มานานแล้ว

แต่เรื่องใหม่ที่โผล่ขึ้นในการสอบพยานครั้งนี้ปรากฏว่า  บ่าวไพร่และคนในครอบครัวของพระยากระสาปน์ได้ให้การว่า พระยากระสาปน์และบุตรชายทั้งสองร่วมกันทำการทุจริตในโรงกษาปณ์สิทธิการมานานหลายปี เนื่องจากได้มีการขนทองแดงใส่หีบจากบ้านไปโรงกระษาปณ์ ขากลับก็ขนเงินมาบ้านเป็นประจำ แล้วก็แบ่งกันในระหว่างพ่อลูกซึ่งรวมทั้งพระปรีชาด้วย
เรื่องนี้พระยากระสาปนกิจโกศล เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ และหลวงพินิตจักรภัณฑ์ ยอมรับในศาลว่าได้เก็บเศษเงินที่ตกค้างอยู่ในเบ้าหลอมครั้งละประมาณ ๔๐-๕๐ ชั่ง แล้วหลอมให้เป็นลิ่ม นำไปแลกเป็นเหรียญบาทกลับมาแบ่งปันกันที่บ้าน จริงตามข้อกล่าวหา

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความผิดของบุคคลทั้งสาม จึงมิใช่เพียงสมรู้ร่วมคิดกับพระปรีชาเท่านั้น หากแต่ยังมีความผิดในการทุจริตในกิจการโรงกระษาปณ์สิทธิการอีกกระทงหนึ่งด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 08:21
เรื่องนี้ สมเด็จเจ้าพระยาได้เคยตั้งข้อสงสัยเรื่องเหรียญเงินที่ผลิตจากโรงกษาปณ์สิทธิการว่ามีทองแดงปนมากเกินกว่าเนื้อเงินมาแล้วครั้งหนึ่งในพ.ศ. ๒๔๑๙ หรือประมาณ ๔ ปีที่ผ่านมา แต่เรื่องนี้ก็มิได้รับความสนพระทัยจากพระเจ้าอยู่หัวที่จะลงโทษทัณฑ์ตามที่สมเด็จเจ้าพระยาถวายคำแนะนำ ทรงเชื่อใจคนพวกนี้ว่ากระทำการบกพร่องในขบวนการผลิตโดยสุจริต ความย่ามใจจึงเกิดขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องโดยสมเด็จเจ้าพระยาต้องยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

การพิจารณาตัดสินคดีของพระยากระสาปน์และบุตรชายสองคนในเรื่องนี้ ไม่เยิ่นเย้อเหมือนคดีบุตรชายคนโตที่มีอิทธิพลต่างชาติเข้ามาแทรกแซง และจำเลยทั้งสามก็ยอมร่วมมือกับคณะตุลาการให้ปากคำและรับสารภาพโดยดี แต่ให้เหตุผลว่าการตรวจสอบเนื้อเงินในเหรียญกระทำโดยเจ้าพนักงานจากพระคลังมหาสมบัติทุกครั้ง จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าฉ้อโกง หากแต่เนื้อเงินที่เก็บมาเป็นประโยชน์ส่วนตัวนั้น เป็นเพียงผลพลอยได้เล็กๆน้อยๆ (เหมือนเงินทิปบ๋อย ชดเชยกับเงินเดือนที่น้อยนิด แบบว่าเศรษฐีอย่างพวกตนไม่พอใช้)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 08:42
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาได้กราบบังคมทูลเร่งให้การตัดสินโทษแล้วเสร็จก่อนที่กงสุลอังกฤษคนใหม่จะเดินทางมาถึง ซึ่งเผลอๆอาจจะเกิดประเด็นยุ่งยากลำบากใจมาให้สยามได้อีก  ดังนั้น ในวันที่ ๒๔มกราคม ๒๔๒๒ คณะลูกขุนจำนวน ๑๐ คน จึงได้ประชุมตัดสินว่า พระยากระสาปนกิจโกศล มีความผิดในฐานะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับพระปรีชากลการ เพราะมีชื่อเป็นผู้ประทับตราในฎีกาตั้งเบิกจากพระคลังมหาสมบัติ จึงต้องได้รับโทษเสมอกับพระปรีชากลการ คือ ให้ริบราชบาทว์ เฆี่ยน ๓ ยก และประหารชีวิต ส่วนเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ และหลวงพินิตจักรภัณฑ์ ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเบิกและลงชื่อเบิกเงินไปจากพระคลังมหาสมบัติและแสดงพฤติกรรมที่รู้เห็นเป็นใจกับพระปรีชากลการนั้น มีความผิดเป็นมหันตโทษ ให้ลงโทษริบราชบาทว์ เฆี่ยนคนละ ๓ ยก แล้วเอาเข้าคุก

ส่วนการยักยอกเงินจากโรงกระษาปณ์สิทธิการ เนื่องจากข้อแก้ตัวของพระยากระสาปน์และบุตรชาย ได้อ้างเจ้าพนักงานจากพระคลังมหาสมบัติเป็นผู้รับรองมาตรฐานของเหรียญที่พวกตนรับผิดชอบในการผลิตและส่งมอบ ถ้าเอาผิดตรงนี้เดี๋ยวจะลามไปกันใหญ่ ดังนั้นคณะตุลาการจึงตัดสินคดีในความผิดเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองของพระปรีชาเท่านั้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 09:56
ครั้งนี้พระเจ้าอยู่หัวก็ยังคงทรงมีพระเมตตา ทรงใช้พระราชอำนาจวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง โปรดเกล้าฯ ให้งดโทษประหารชีวิตและโทษเฆี่ยนให้จำเลยทั้งสาม คงไว้แต่โทษจำคุก และให้ริบราชบาทว์แต่เพียงพระยากระสาปนกิจโกศลเพียงคนเดียว เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ และหลวงพินิตจักรภัณฑ์ไม่ต้อง

เมื่อคดีพระปรีชากลการสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ ตระกูลอมาตยกุลสายพระยากระสาปน์ก็สิ้นบทบาท คนในตระกูลต้องความมัวหมอง ถูกถอดยศถาบรรดาศักดิ์ ให้ออกจากราชการทุกคนตามองค์ประกอบของโทษริบราชบาทว์ แต่สมาชิกตระกูลอมาตยกุลสายอื่นที่ยังคงรับราชการอยู่ต่อไปตามเดิมก็มี ที่สำคัญได้แก่ พระยาเจริญราชไมตรี น้องชายแท้ๆของพระยากระสาปน์ที่กลับไปเป็นนายโหมดดังเดิมแล้ว พระยาเจริญเป็นผู้ที่กลับตัวได้ทันต่อเหตุการณ์ โดยร่วมมือช่วยเหลือทางการอย่างเต็มที่จึงรอดตัวไป

นายโหมดติดคุกอยู่ถึงแปดปี พ้นโทษในพ.ศ. ๒๔๓๐ และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๖สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๙ อายุ ๗๘ ปี


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 10:04
ส่วนบุตรทั้งสอง ประวัติของหลวงพิจารณ์จักรกิจนั้นผมหาไม่พบ แต่หลวงพินิจจักรภัณฑ์(แฉล้ม  อมาตยกุล) ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ๒๔๒๖ ข้อมูลในเรือนไทยนี้แหละที่นำข้อความในหนังสือที่ระลึกงานศพมาให้ทราบดังนี้

พระยาอภิรักษ์ราชอุทยานถวายตัวเปนมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๐๙   เมื่อเปนมหาดเล็กเปนแต่ช่วยบิดาทำราชการในโรงกระสาปน์ แลการตั้งโรงแก๊ส  คือประทีปลม การถ่ายรูปแลทำโคมลอยอย่างฝรั่งอันอยู่ในวิชาสำหรับสกุลนี้ในครั้งนั้น  ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานสัญญาบัตรเปนหลวงพินิจจักรภัณฑ์ปลัดกรมโรงกระสาปน์ เมื่อปีมเสง  พ.ศ. ๒๔๑๖  เปนผู้ซึ่งอยู่ในชั้นหนุ่มที่ทรงใช้สอยใกล้ชิดติดพระองค์ผู้หนึ่ง รับราชการเบ็ดเสร็จในการอย่างใหม่ๆ ต่างๆ  เช่นแต่งพระที่นั่งแลตำหนักรักษาเปนต้น
ในเวลานั้น   สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าน้องยาเธอแลข้าราชการที่รับราชการใกล้ชิดติดพระองค์ ได้สมาคมคุ้นเคยกับพระยาอภิรักษ์ฯ  มีหลายพระองค์หลายท่าน จึงเปนมิตรสนิทสนมต่อมาจนตลอดอายุของพระยาอภิรักษ์ฯ

พระยาอภิรักษ์ฯ ได้พระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์มงกุฎสยามชั้นที่ ๕ วิจิตรราภรณ์  ในปีแรกที่สร้างเครื่องราชอิศริยาภรณ์นั้น
เมื่อปีจอ  พ.ศ. ๒๔๑๗  ทรงสร้างสวนสราญรมย์  โปรดให้พระยาอภิรักษ์ราชอุทยานแต่ยังเปนหลวงพินิจจักรภัณฑ์  เปนผู้ดูแลการมาแต่แรกสร้าง   ในปีนั้นมีเหตุถังที่โรงทำไฟแก๊สในพระบรมมหาราชวัง  อยู่ตรงพระที่นั่งภาณุมาศจำรูญทุกวันนี้  ลุกขึ้น  โปรดให้ย้ายโรงแก๊สไปสร้างใหม่ที่น่าวัดสุทัศน์  ตรงที่สร้างตลาดเสาชิงช้าทุกวันนี้  แลฝังท่อใช้ไฟแก๊สทั้งในพระบรมมหาราชวังแลถนนในพระนครด้วย  จึงโปรดให้พระยาอภิรักษ์ราชอุทยานเปนผู้บังคับการโรงแก๊สด้วยอิกอย่าง ๑   ได้พระราชทานเหรียญบุษปมาลาเปนบำเหน็จในวิชาช่าง  เมื่อปีกุญ พ.ศ ๒๔๑๘

ถึงปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๒๒  เกิดอุปัทวเหตุขึ้นในสกุล  บิดาแลพี่ชายทั้งตัวพระยาอภิรักษ์ฯต้องรับพระราชอาญา  พระยาอภิรักษ์ฯเองถูกถอดจากยศบันดาศักดิแลตำแหน่ง  ไม่ได้ทำราชการอยู่  ๑๙ปีในเวลาระหว่างนี้  พระยาอภิรักษ์ฯ ประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการต่างๆ  แต่เปนผู้มีนิไสยอยู่ในทางวิชาจึงคิดตั้งบริษัทไฟฟ้าขึ้นเปนทีแรก  ซึ่งภายหลังได้โอนมาเปนบริษัทไฟฟ้าสยามทุกวันนี้ ต่อมาพระยาอภิรักษ์ฯ ตั้งโรงทำน้ำแขงขึ้นขายได้ประโยชน์ยืดยาวมาหลายปี

มาถึงปีจอ พ.ศ.๒๔๔๑   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นพระยาอภิรักษฯในโอกาศอันใดอันหนึ่ง   ทรงพระปรารภสงสาร   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับไปรับราชการเปนเจ้ากรมพระราชอุทยานสราญรมย์ดังแต่ก่อน แล้วพระราชทานสัญญาบัตรเปนพระยาอภิรักษ์ราชอุทยานเมื่อปีกุญพ.ศ. ๒๔๔๒  ครั้นต่อมาเมื่อทรงสร้างพระราชวังดุสิต   โปรดให้ไปดูการทำสวนในบริเวณพระราชวัง แล้วเปนผู้จัดการโรงทำโซดาดุสิตมาจนตลอดรัชกาล....


ครับ ทรงรักทรงโปรดของพระองค์จริงๆ ลึกๆแล้วคงจะทรงใช้สอยเรื่องสำคัญได้สมดังพระราชหฤทัยไว้ พระเมตตาจึงมากมายประดุจสายน้ำ ฟันอย่างไรก็มิขาด


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 12 เม.ย. 15, 11:13
ในหนังสือ-ขุนนางสยาม -ของคุณเอนก

....นายเจิม(เจิม ศรีสรรักษ..เติมเอง)กับนายแฉล้มได้รับอิสรภาพก่อนบิดา ซึ่งถูกคุมขังต่อไป
นายเจิมเป็นบุตรคนที่สี่(ส่วนนายแฉล้มเป็นบุตรคนที่6..... เติมเอง)ของนายโหมดเกิดปี 2390
เมื่อถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4แล้ว ได้ไปช่วยงานบิดาที่โรงกษาปณ์
หลังจากพ้นโทษ  ได้กลับเข้ารับราชกาลอีก
จนได้เป็นพระยาอภิรักษราชอุทยาน   (ไม่แน่ใจว่าจะสับสนกับ คนน้องหรือไม่   ..ความเห็นผม) เจ้ากรมพระราชอุทยานสราญรมย์
ได้เป็นพระยายืนชิงช้าหนหนึ่ง
และในที่สุดได้เป็นพระยาเพชรพิไชย สมัย ร6
ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พศ 2465


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 12:29
น่าจะสับสนครับ

ข้างล่างนี้มาจากหนังสือประวัติการไฟฟ้าของไทย

…นายเลียว มาดี ผู้ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของจมื่นไวยวรนาถ และเป็นผู้ที่รู้แบบแปลน มีตำราจัดการจัดทำไฟฟ้าอยู่ในมือ เมื่อเห็นจมื่นไวยวรนาถไปทัพ จึงได้ไปปรึกษากับนายแฉล้ม ซึ่งเคยรับราชการในตำแหน่งหลวงพินิจจักรภัณฑ์และในเวลานั้นว่างงานอยู่

นายแฉล้มรู้เรื่องไฟฟ้ามาจากบิดา (พระยากษาปนกิจโกศล) บ้างแล้ว เห็นว่ากิจการไฟฟ้าน่าจะเป็นประโยชน์ยึดเป็นอาชีพได้ จึงตกลงตั้งบริษัท บางกอกอิเล็กตริกไลท์ ซินดีเคต (Bangkok Electric Light Syndicate) ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2440 นายแฉล้มจึงเป็นคนไทยคนแรกที่ตั้งบริษัทจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชน
บ้านของนายแฉล้ม อยู่ตรงข้ามกับวัดราชบูรณราชวรวิหาร (วัดเลียบ)  ฉะนั้น เมื่อจะตั้งโรงไฟฟ้า จึงได้ขอเช่าที่ดินวัดซึ่งว่างอยู่ สร้างโรงงานติดตั้งเครื่องจักรผลิตกระแสไฟฟ้าเรียกว่า “โรงไฟฟ้าวัดเลียบ”

ในชั้นแรก นายแฉล้ม ได้รวมหุ้นในบรรดาญาติพี่น้องและมีเจ้านายกับขุนนางหลายคนร่วมหุ้นด้วย มีสัญญาจ่ายไฟฟ้าตามท้องถนนหลวงและสถานที่ราชการต่างๆ รวมทั้งจำหน่ายให้แก่ประชาชนโดยทั่วไป มีการแก้ไขสัญญาหลายครั้ง

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายว่ากิจการดำเนินอยู่ไม่นานก็ต้องเลิก  เพราะรายได้กับรายจ่ายไม่คุ้มกัน  ในที่สุดได้โอนกิจการให้ นายเวสเตน โฮลซ์ ชาวเดนมาร์ก (บริษัท ไฟฟ้าสยาม จำกัด) รับไปดำเนินการต่อ ส่วนนายแฉล้มได้กลับเข้ารับราชการ และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น พระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน

ปี พ.ศ. 2440 หลวงพินิจจักรภัณฑ์ (นายแฉล้ม) ร่วมกับ นายเลียว นาดี ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของเจ้าหมื่นไวยวรนารถ ได้ก่อตั้งบริษัท บางกอก อิเล็กตริกไลท์ ซินดิเคท (The Bangkok Electric Light Syndicate) ผลิตไฟฟ้าและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชน

ปี พ.ศ. 2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้โปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาล ดำเนินการสร้างการประปาและโรงไฟฟ้า ที่สามเสนไปพร้อมๆกัน โดยโรงไฟฟ้าสามเสนได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเดินเครื่องจำหน่ายไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2457 ใช้ชื่อว่า “ การไฟฟ้าหลวงสามเสน ” เป็นรัฐพาณิชย์ ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ กองไฟฟ้าหลวงสามเสน ”


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 12:45
ที่ดินที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าสามเสนนั้นก็มีที่มาที่ไปดังนี้

ในปี ๒๔๒๐ เมื่อความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัวว่า มงซิเออร์ ยุคเกอร์ ชาวฝรั่งเศสที่ทำธุรกิจในสยามมาช้านานหลายปี ได้ขยายกิจการไปซื้อที่ดินไว้ที่สามเสน และบัดนี้กำลังก่อสร้างจะทำโรงสี  ทรงมีพระราชดำริว่าผิดธรรมเนียมที่โรงสีจะไปตั้งเหนือพระบรมมหาราชวัง โรงสีอื่นๆล้วนสร้างทางใต้ลำน้ำลงไปทั้งสิ้น จะเกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในทางการค้า เพราะอยู่ในทำเลที่จะดักซื้อข้าวได้ก่อนผู้อื่น และการที่ห้ามโรงสีไปตั้งอยู่เหนือวังนั้น ก็เพื่อจะไม่ให้พวกเรือข้าวเกะกะกีดขวางเส้นทางพระราชดำเนินโดยชลมารค เมื่อทางการทำหนังสือไปแจ้งว่าห้ามก่อสร้าง นายยุคเกอร์ก็ไปร้องเรียนกับกงสุลฝรั่งเศส ซึ่งทำความเห็นคัดค้านรัฐบาลว่า เรื่องนี้ไม่มีกฏหมายของสยามห้ามไว้ และตามข้อตกลงนั้นถ้านายยุคเกอร์ได้อยู่เมืองไทยครบสิบปีแล้ว ก็สามารถซื้อหรือเช่าที่ดินได้ แต่ทางการก็ยืนยันที่จะห้ามไปทางนายยุคเกอร์ๆก็ดื้อตาใสเพราะแบ็กค์ดี ดำเนินการก่อสร้างไปเรื่อยๆโดยไม่นำพา

พระเจ้าอยู่หัวทรงขัดพระทัยยิ่งนัก ให้คนไปต่อว่าสมเด็จเจ้าพระยา และเสนาบดีกรมท่าผู้ดำเนินการเรื่องนี้ 

สมเด็จเจ้าพระยาทำหนังสือกราบบังคมทูลตอบด้วยอารมณ์ว่า รัฐบาลได้ทำการตามพระราชประสงค์ของพระองค์ไปแล้ว ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีข้อกฎหมายและสัญญาที่จะห้ามปรามเขาได้ แต่ก็ดำเนินการรักษาพระเกียรติจึงได้มีประกาศห้ามปรามไปอีก เรื่องนี้เห็นจะมีทางเดียว คือให้ทางราชการเลิกซื้อของจากยุคเกอร์ ซึ่งจะตัดรายได้ของบริษัทพอที่บริษัทจะขาดเงินลงทุนก่อสร้างได้ แต่เรื่องนี้ได้กราบบังคมทูลนานแล้ว แต่ไม่เห็นพระองค์จะทรงดำเนินการประการใด ที่สำคัญคือคนของพระองค์เป็นตัวการคอยช่วยเหลือให้การสนับสนุน โดยการสั่งซื้อของและร่วมทุนกับนายยุคเกอร์  ถ้าพระองค์ไม่ห้ามปรามคนของพระองค์แล้ว ก็เหลือกำลังที่เสนาบดีจะทำการต่อสู้กับคนข้างนอกและข้างในได้

แรงส์ ส์ ส์ ส์

สุดท้ายเรื่องนี้จึงยุติลงโดยยอมให้นายยุคเกอร์ตั้งโรงสีได้ เพราะเหตุผลว่าได้ลงทุนไปมากแล้ว  แต่ต่อมารัฐบาลไทยได้ขอซื้อกิจการเพื่อตัดปัญหา

คำว่าคนของพระองค์นั้น สมเด็จเจ้าพระยาไม่ได้ระบุชื่อในหนังสือกราบบังคมทูลฉบับนั้น แต่ปรากฏในฉบับอื่นๆว่า  “ขอให้บังคับให้พระนายศรี(เจิม อมาตยกุล)ไปกล่าวห้ามปรามนายยุเกอให้หยุดก่อสร้างโรงสีให้จงได้” และ “ห้างยุเกอและห้างมาแลบยุเลียนของมองซิเออยุเกอ ชอบพอเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระปรีชา” เป็นต้น

ห้างมาแลบยุเลียนนี้ผมได้เอ่ยไว้ครั้งหนึ่งแล้วว่าเป็นที่ฝากเงินฝากทองของพระปรีชา ชื่อนายยุคเกอร์เองคุณเพ็ญชมพูก็เอามาลงล่วงหน้าไว้แล้วในเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปในปารีส ท่านผู้อ่านที่ติดตามประจำคงจำได้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 เม.ย. 15, 14:45
มงซิเออร์ ยุคเกอร์ ชาวฝรั่งเศสที่ทำธุรกิจในสยามมาช้านานหลายปี

มงซิเออร์ยุคเกอร์นี้คือ Albert Jucker นักธุรกิจชาวสวิส ผู้ก่อตั้งบริษัท "Jucker, Sigg & Co." ใน พ.ศ. ๒๔๒๕ ซึ่งต่อมาคือ บริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (http://en.wikipedia.org/wiki/Berli_Jucker) (Berli Jucker & Co.) ที่คนไทยปัจจุบันรู้จักกันดี


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 15:04
สมัยนั้นสวิตเซอรแลนด์ไม่มีสัมพันธภาพทางการทูตกับสยาม นายยุคเกอร์จึงต้องอยู่ในบังคับของกงสุลฝรั่งเศส คนสยามจึงเข้าใจว่าเขาเป็นคนฝรั่งเศสกระมัง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 16:45
อ้างถึง
ส่วนบุตรทั้งสอง ประวัติของหลวงพิจารณ์จักรกิจนั้นผมหาไม่พบ แต่หลวงพินิจจักรภัณฑ์(แฉล้ม  อมาตยกุล) ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ๒๔๒๖ ข้อมูลในเรือนไทยนี้แหละที่นำข้อความในหนังสือที่ระลึกงานศพมาให้ทราบดังนี้


เจอแล้วครับ จากหนังสือที่ระลึกงานศพของท่านเอง

ประวัติพระยาเพ็ชรพิไชย

มหาเสวกโท พระยาเพ็ชรพิไชย อธิปไตยพาหิรเขตร ราชนิเวศน์ สมันตารักษ์ วิบูลยศักดิอรรคมนตรี พิริยพาหะ (เจิม อมาตยกุล) ป ม, ท จ ว, ต ช, รัตน จ ป ร๓, ม ป ร๔, ร ร, รัฐมนตรี องคมนตรี เกิดในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันอังคาร เดือน ๕ แรม ๖ ค่ำ ปีมแมนพศก พ.ศ. ๒๓๙๐ เปนบุตรนายโหมด อมาตยกุล ฝ่ายมารดา เป็นสกุลไกรฤกษ์ ลำดับสุกลทั้ง ๒ ฝ่ายมีอยู่ในหนังสือ "ลำดับ สกุลเก่าบางสกุล" ซึ่งพิมพ์เปนภาคที่ ๒ นั้นโดยพิสดาร

พระยามหาอำมาตย์ (ป้อม) ผู้ต้นนามสกุลอมาตยกุลนั้น มีความชอบเมื่อเปนที่พระสุริยภักดีในรัชกาลที่ ๓ คิดอุบายเดินฝ่ากองทัพหลวงของเจ้าอนุเวียงจันท์ที่เปนขบถ ลงมาแจ้งข้อราชการถึงกรุงเทพ ฯ ได้ แล้วได้เข้ากองทัพไปทำการสงครามครั้งนั้น ได้เลื่อนยศบันดาศักดิ ต่อมาโดยลำดับจนถึงเปนที่พระยามหาอำมาตย์ แล้วจึ่งถึงอนิจกรรม นายโหมด อมาตยกุล บิดาของพระยาเพ็ชรพิไชยเปนบุตร พระยามหาอำมาตย์ (ป้อม) ได้ถวายตัวเปนมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๓ ประจวบสมัยเมื่อพวกมิชชันนารีอเมริกันเริ่มเข้ามาตั้งในประเทศนี้ รับ สอนภาษาและวิชาของฝรั่งให้แก่ไทยเปนทีแรกในชั้นกรุงรัตนโกสินทร มีเรื่องราวปรากฎอยู่ในจดหมายเหตุของพวกมิชชันนารีอเมริกันซึ่งหมอ บรัดเลได้พิมพ์ไว้ในหนังสือบางกอกคาแลนดา ว่าในสมัยนั้นมีไทย ๕ คน ที่เรียนวิชาความรู้ของฝรั่งจากพวกอเมริกันได้เปนอย่างเยี่ยมยอด คือ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงผนวชอยู่ ทรงศึกษาทางวิชาภาษาพระองค์ ๑ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาทางวิชาทหารพระองค์ ๑ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรง ศึกษาวิชาแพทย์พระองค์ ๑ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ตั้งแต่ยังเปนหลวงนายสิทธิ์ ศึกษาวิชาต่อเรือกำปั่นองค์ ๑ นายโหมด อมาตยกุล ศึกษาวิชาช่างกล คน ๑

หมอบรัดเลกล่าวว่านายโหมด อมาตยกุล มีความสามารถถึงคิดทำเครื่องมือกลึงเกลียวได้เอง ซึ่ง พวกอเมริกันเห็นว่าเปนอัศจรรย์ ความอันนี้ก็สมกับเรื่องที่ปรากฎต่อมา ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ให้สั่งเครื่องจักรเข้ามาตั้งโรงกระสาปน์ทำเงินเหรียญตราเปนทีแรกนั้น เผอิญช่างกลฝรั่งที่เข้ามาคุมเครื่องจักรมาตาย การคุมเครื่องจักรโรงกระสาปน์ก็เกิดขัดข้อง นายโหมด อมาตยกุลเข้า รับอาสาคุมเครื่องจักรสำเร็จได้โดยลำภังไทย ก็มีชื่อเสียงในครั้งนั้น โปรด ฯให้บัญชาการโรงกะสาปน์เปนต้นมา


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 16:48
เพราะเรื่องประวัติในสกุลเกี่ยวเนื่องด้วยการช่างกลดังกล่าวมา นายโหมด อมาตยกุล จึงให้บุตรของตนศึกษาวิชาช่างกล และวิชาแยกธาตุอันเนื่องในการโรงกระสาปน์  รู้มากบ้างน้อยบ้างทุกคน เปนเรื่องเนื่องมาถึงประวัติ ของพระยาเพ็ชรพิไชย ฯ ซึ่งบุตรจดหัวข้อส่งมาให้ดังนี้.

"ได้ถวายตัวเปนมหาดเล็กในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ ๔ เมื่อเดือน ๑๒ ปีระกาตรีศก พระพุทธศักราช ๒๔๐๔ โปรดเกล้าฯ ให้ไปช่วยบิดาทำงานที่โรงกระสาปน์ถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้า ฯ ให้เปนหลวงพิจารณ์จักรกิจ ปลัดกรมกระสาปน์สิทธิการ เมื่อณวันอาทิตย์เดือน ๘ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีมเสง พ.ศ. ๒๔๑๒ ใน พ.ศ. ๒๔๑๓ ได้รับพระราชทานเหรียญบุษปมาลา

ครั้นณวันพฤหัศบดี เดือน ๔ แรม ๔ ค่ำ ปีมเมียโทศก พ.ศ. ๒๔๑๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์ เมืองปัตเวีย เมืองสมารัง ในเกาะชวา โดยเรือรบพระที่นั่งพิทยัมรณยุทธ ได้โปรดเกล้า ฯให้ตามเสด็จในเรือพระที่นั่ง เปนสุปรินเต็นเด็น อินเยเนีย (ผู้กำกับตรวจเครื่องจักร) ไปในชุด (คือผู้ที่มีตำแหน่ง ประจำพระองค์ในกระบวนเสด็จ) ได้รับพระราชทานเครื่องยศเสื้อปักและกระบี่

ครั้น ณ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีมแมตรีศก พ.ศ. ๒๔๑๔ เสด็จพระราชดำเนินเมืองสิงคโปร์ เมืองปีนัง เมืองมลากา เมืองมรเมน เมืองร่างกุ้ง เมืองกาลกัตตา เมืองอาครา เมืองลักเนา เมือง เบนารีศ เมืองบอมเบ ในประเทศอินเดีย โดยเรือพระที่นั่งชื่อบางกอก ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ตามเสด็จไปในเรือพระที่นั่ง มียศเปนเตรเชอเรอ ยเนราล สำหรับจ่ายเงินในการเสด็จพระราชดำเนิน และได้พระราชทานเสื้อยศ กระบี่ หมวกยอดพระเกี้ยว ในตำแหน่งยศข้าราชการคลังเงิน
 
ครั้นณวันพฤหัศบดี เดือน ๙ แรม ๘ ค่ำ ปีระกาเบญจศก พ.ศ. ๒๔๑๖ ได้รับพระราชทานตราภัทราภรณ์ (มงกุฎสยามชั้นที่ ๔) ครั้นณวันอาทิตย์ เดือน ๙ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอฉอศก พ.ศ. ๒๔๑๗ โปรดเกล้า ฯ ให้เปนปรีวีเคาซิลและเพิ่มศักดินาขึ้นอิก ๑๐๐๐ ในปีจอนี้เองได้โปรดเกล้า ฯ พระราชทานเงินเปนบำเหน็จความชอบ ๔๐ ชั่ง ณวันศุกร เดือน ๑๒ แรม ๒ ค่ำ ปีจอฉอศก พ.ศ. ๒๔๑๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนเปนเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ หัวหมื่นมหาดเล็กเวรเดช
 
ณปีกุนสัปตศก พ.ศ. ๒๔๑๘ โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างโรงกระสาปน์และตั้งเครื่องจักรขึ้นใหม่ที่ข้างประตูสุวรรณบริบาลในพระบรมมหาราชวัง ณวันพุธ เดือน ๔ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีกุนสัปตศก พ.ศ. ๒๔๑๘ ได้พระ ราชทานสวนหลวง เดิมเรียกว่าสวนกาแฟและสวนท้าวเทพากร ด้านใต้ จดหลังโรงเรือคลองบางกอกน้อย ด้านเหนือบางยี่ขันขึ้นไปทางปลายสวนจดสวนอำแดงน้อยยาว ๒๔ เส้น ๙ วา ด้านตวันออกจดคลองขนมจีน ด้านตวันตกจดคลองคราม กว้าง ๕ เส้น ๕ วา ได้พระราชทานให้เปนสิทธิ์ขาด ครั้นปีชวดอัฐศก พ.ศ. ๒๔๑๙ เปิดโรงกระสาปน์สิทธิการ ได้ โปรดเกล้า ฯ ให้ทำเงินเหรียญบาท เหรียญสลึง เหรียญเฟื้อง ตรา พระบรมรูปและตราแผ่นดิน ณวันเดือน ๙ ปีฉลูนพศก พ.ศ. ๒๔๒๐ โปรดเกล้า ฯ ให้เปนข้าหลวงพิเศษออกไปว่ากล่าวกับเกาวนาเยเนราลเมืองปัตเวีย ด้วยเรื่อง มิศเตอรวันเบอรเคน กงสุลฮอลันดาในกรุงเทพฯ ได้ริบทรัพย์สมบัติของจีนหัวในบังคับสยาม


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 16:50
ครั้นมาภายหลังใน พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้รับพระราชทานเหรียญรัชฎาภิเษก พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รับพระราชทานเหรียญประพาศมาลา ณวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ โปรดเกล้าฯให้เปนพระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน เจ้ากรมพระราชอุทยานสราญรมย์ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้รับพระราชทานตรา มัณฑนาภรณ์ (มงกุฏสยามชั้นที่ ๓) วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๓ โปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนเปนพระยาบำเรอภักดิ์ ปลัดทูลฉลองกระทรวงวัง ครั้นวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๒ โปรดเกล้า ฯ ตั้งให้เปนรัฐมนตรี วันที่ ๒๒ มินาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ โปรดเกล้า ฯ ให้เปนองคมนตรี เพิ่มศักดินา ๑๐๐๐ ในปีนั้นเองได้รับพระราชทานเข็มอักษรพระนาม จ ป ร ประดับเพ็ชร วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้รับพระราชทานพานหมาก คนโท กระโถน ทองคำ และตราทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และโปรดเกล้า ฯ พระราชทานตราตติยจุลจอมเกล้าฝ่ายในแก่ถนอมภรรยาด้วย วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้รับพระราชทานเหรียญ รัตนาภรณ์ ในรัชกาลที่ ๕ ชั้น ๓ วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้รับพระราชทานตรานิภาภรถ (ช้างเผือกชั้นที่ ๓) วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้รับพระราชทานเหรียญทวิธาภิเษกทองวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้รับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๔ ชั้นที่ ๔ และได้รับพระราชทานเหรียญราชรุจิทองด้วย วันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้รับพระราชทานตรามงกุฏ สยามชั้นที่ ๒ วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้รับพระราชทานตรามงกุฏสยามชั้นที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๔๙ โปรดเกล้า ฯ ให้เปนพระยายืนชิงช้าง พ.ศ. ๒๔๕๐ ได้รับพระราชทานเหรียญรัชมังคลทอง พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้รับพระราชทานเหรียญรัชมงคลาภิเษกทอง พ.ศ. ๒๔๕๒ ได้รับพระราชทานเข็มครุฑทอง ถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ โปรดเกล้า ฯ ให้เปน พระยาเพ็ชรพิไชย ฯ ออกรับพระราชทานเบี้ยบำนาญ

พระยาเพ็ชพิไชยได้ทำการวิวาหมงคลกับ นางสาวถนอม อมาตยกุล ธิดาพระยาธรรมสารนิติ (ตาษ) ผู้เปนอาว์ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ มีบุตรด้วยคุณหญิงถนอมเปนชาย ๔ หญิง ๓ ถึงแก่กรรมเสียแต่ยังเยาว์บ้างอยู่บ้าง ยังคงเหลืออยู่ ๓ คน คือพระยาภูบาลบรรเทิง (ประยูร) ๑ เยาวเรศ ๑ พระยาปฏิภาณพิเศษ (อาเลกซานเดอร) ๑ มีบุตรธิดาด้วยภรรยาอื่น คือ พระยาเจริญราชไมตรี (จำนง) ๑ พระยาประชากรกิจวิจารณ์ (โอ) ๑ ขุนรักษระเบียบกิจ (อ้วน) ๑ หลวงจันทรามาตย์ (บุญรอด) ๑ นายร้อยโทอั้น ๑ นายสมจิตร ๑ และธิดาคือ สมบุญ ๑ เอม ๑ แจ่ม ๑ นพคุณ ๑ สงบ ๑"

พระยาเพ็ชพิไชยป่วยเปนโรคชรา ถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๕ เวลา ๑๑ นาฬิกาก่อนเที่ยง คำณวนอายุ ได้ ๗๕ ปีกับ ๒ เดือน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานโกษฐประดับศพเปนเกียรติยศ และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ ปลงศพณเมรุในที่สุสานวัดเทพศิรินทร์ด้วย สิ้นเนื้อความในเรื่อง ประวัติของพระยาเพ็ชร์พิไชย (เจิม อมาตยกุล) เพียงนี้. กรรมการหอพระสมุด ฯ ขออนุโมทนากุศลบุญราษีทักษิณา นุปทาน ซึ่งคุณหญิงถนอมพร้อมด้วยบุตรธิดาได้บำเพญ สนองคุณ พระยาเพ็ชรพิไชย ด้วยความกตัญญูกตเวที และได้พิมพ์หนังสือ เรื่องนี้ให้แพร่หลาย สภานายก หอพระสมุดวชิรญาณ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 16:54
ความนี้เช่นเดียวกับที่คุณvisitnaนำมาลงไว้

อ้างถึง
โปรดเกล้าฯให้เปนพระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน เจ้ากรมพระราชอุทยานสราญรมย์ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๒

และผมบอกว่าสับสนแน่

ตกลงเราก็สับสนกันต่อไปละกัน แต่เอาเป็นว่า บุตรชายทั้งสองของพระยากสาปน์หลังพ้นโทษแล้ว สุดท้ายก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้กลับเข้ารับราชการ เป็นใหญ่เป็นโตด้วยกันทั้งคู่


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 เม.ย. 15, 17:33
เรื่องนี้ สมเด็จเจ้าพระยาได้เคยตั้งข้อสงสัยเรื่องเหรียญเงินที่ผลิตจากโรงกษาปณ์สิทธิการว่ามีทองแดงปนมากเกินกว่าเนื้อเงินมาแล้วครั้งหนึ่งในพ.ศ. ๒๔๑๙ หรือประมาณ ๔ ปีที่ผ่านมา แต่เรื่องนี้ก็มิได้รับความสนพระทัยจากพระเจ้าอยู่หัวที่จะลงโทษทัณฑ์ตามที่สมเด็จเจ้าพระยาถวายคำแนะนำ ทรงเชื่อใจคนพวกนี้ว่ากระทำการบกพร่องในขบวนการผลิตโดยสุจริต ความย่ามใจจึงเกิดขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องโดยสมเด็จเจ้าพระยาต้องยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

การพิจารณาตัดสินคดีของพระยากระสาปน์และบุตรชายสองคนในเรื่องนี้ ไม่เยิ่นเย้อเหมือนคดีบุตรชายคนโตที่มีอิทธิพลต่างชาติเข้ามาแทรกแซง และจำเลยทั้งสามก็ยอมร่วมมือกับคณะตุลาการให้ปากคำและรับสารภาพโดยดี แต่ให้เหตุผลว่าการตรวจสอบเนื้อเงินในเหรียญกระทำโดยเจ้าพนักงานจากพระคลังมหาสมบัติทุกครั้ง จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าฉ้อโกง หากแต่เนื้อเงินที่เก็บมาเป็นประโยชน์ส่วนตัวนั้น เป็นเพียงผลพลอยได้เล็กๆน้อยๆ (เหมือนเงินทิปบ๋อย ชดเชยกับเงินเดือนที่น้อยนิด แบบว่าเศรษฐีอย่างพวกตนไม่พอใช้)

เรื่องนี้ผมไม่ได้กล่าวอย่างเลื่อนลอย แต่ก็เพิ่งจะไปเจอหลักฐานจากหนังสือของุณไกรฤกษ์ นานา เป็นพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีก่อนที่จะเกิดเรื่องเกิดราวประมาณ ๕ ปี ท่านก็ลองอ่านแล้วใช้วิจารณณาณเอาเอง แต่อย่าเพิ่งสรุปนะครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 07:21
๒๓ พฤศจิกายน ๒๔๒๒  พระปรีชาถูกประหารชีวิต

๒๔ พฤศจิกายน บิดาและน้องชายทั้งสองถูกจับกุมไปดำเนินคดี

๒๕ พฤศจิกายน แฟนนีหนีออกต่างประเทศ โดยพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ และโปรดเกล้าฯให้เปิดทางให้ไปโดยดี นางหอบข้าวของทั้งหมดเท่าที่จะนำไปได้ติดตัวไปพร้อมกับทารกเพศชายที่เพิ่งเกิดจากพระปรีชา และเด็กหญิงลม้ายกับเด็กชายอรุณที่ยังเล็กของพระปรีชาที่เกิดจากภรรยาหลวง โดยมีบ่าวไปด้วยอีกนางหนึ่ง

หามิได้ นางมิได้มุ่งหน้าไปอังกฤษเพื่อสมทบกับบิดา  แต่ไปขึ้นบกที่ฝรั่งเศสและนายน๊อกซ์เองได้เดินทางจากอังกฤษพบเธอที่เมือง Braritz ซึ่งเป็นเมืองชายทะเลเล็กๆ  พ่อลูกมิได้กลับไปอังกฤษด้วยกันนับว่าแปลกอยู่  ถึงแฟนนีจะถือว่าเป็นลูกนอกสมรสตามกฎหมายของอังกฤษ เพราะนายน๊อกซ์กับคุณนายปรางค์มิได้เข้าพิธีสมรสกันตามประเพณีศาสนา ก็มิใช่จะไปอยู่ที่นั่นไม่ได้ คงเป็นเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคงไม่สะดวกใจที่จะอยู่ด้วยกันอีกต่อไป

เมษายน ๒๔๒๗ หรืออีก ๕ ปีหลังจากนั้น  แฟนนีได้เดินทางไปปารีสเพื่อขอเข้าพบพระองค์เจ้าปฤศฎางค์ อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส เพื่อขอความช่วยเหลือให้ช่วยทวงเงินคืนจากฝรั่งขี้โกง เพื่อเอาเงินมาแบ่งกัน นี่ว่าตามสำนวนของพระองค์เจ้าปฤศฎางค์ที่ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือประวัติของท่าน  ส่วนที่คุณไกรฤกษ์เขียนในหนังสือศิลปวัฒนธรรม แล้วรวมพิมพ์เป็นสองตอนอยู่ในหนังสือพ๊อกเก็ตบุคเรื่อง ค้นหารัตนโกสินทร์ สิ่งที่เรารู้ แต่อาจไม่ใช่ทั้งหมด  ชื่อว่า “ฟื้นปริศนาคดีประวัติศาสตร์ นางแฟนนี น็อกซ์แก้ต่างความผิดให้พระปรีชากลการ” นั้น กลายเป็นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้สามี  เผยข้อมูลที่นางมิอาจเปิดเผยในกรุงเทพถึงตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการทุจริตอย่างมโหฬาร เพื่อชี้ช่องทางให้รัฐบาลสยามเรียกคืน โดยนางจะขอคืนแค่ทรัพย์สินส่วนตัวเพื่อเป็นทุนการศึกษาเลี้ยงดูลูกๆเท่านั้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 เม.ย. 15, 08:01
เผยข้อมูลที่นางมิอาจเปิดเผยในกรุงเทพถึงตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการทุจริตอย่างมโหฬาร เพื่อชี้ช่องทางให้รัฐบาลสยามเรียกคืน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 08:06
พระองค์เจ้าปฤศฎางค์ทรงรู้จักพระปรีชาดี  เพราะครั้งที่เป็นนักเรียนทุนส่วนพระองค์ จบวิศวกรรมศาสตร์จากอังกฤษแล้วเสด็จกลับไปกรุงเทพ พระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ให้ไปตรวจงานที่เหมืองทองของพระปรีชานี้ เพื่อทำรายงานถวาย  และเมื่อกลับไปเรียนต่อลอนดอนแล้ว  คราวหนึ่งได้ถูกใช้งานให้เป็นล่ามในคณะทูตที่พระยาภาสกรวงศ์  เป็นอัครราชทูตพิเศษไปร้องเรียนเรื่องกงสุลน๊อกซ์กับรัฐบาลอังกฤษ

ดังนั้นจึงทรงคิดว่า การที่แฟนนีนำความลับมาเปิดเผยเช่นนี้ อาจเป็นช่องทางให้รัฐบาลสยามติดตามทวงคืนพระราชทรัพย์ที่ถูกพระปรีชายักยอกไป โดยนำไปซื้อหุ้นกู้ในโรงสีที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นนั่นเอง
และสมเด็จเจ้าพระยาท่านก็ไม่ผิดอีก ที่กราบบังคมทูลว่าพระปรีชาไปมีส่วนร่วมลงทุนกับเขาด้วย

การลงทุนดังกล่าวเป็นการซื้อหุ้นกู้ (Debenture)ของบริษัท มีลักษณะต่างจากหุ้นสามัญ ที่ผู้ถือหุ้นจะไม่ได้รับเงินปันผลใดๆถ้าบริษัทดำเนินการแล้วขาดทุน แต่หากบริษัทมีกำไร ก็จะปันผลน้อยหรือมากตามผลกำไรในแต่ละปี  ส่วนหุ้นกู้นั้น ผู้ถือจะได้รับเงินปันผลทุกปี เป็นอัตราที่สม่ำเสมอ ปกติจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารนิดหน่อย แต่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารจะคิดจากลูกหนี้ เมื่อหมดอายุตามระบุในใบหุ้นแล้ว บริษัทก็จะไถ่ถอนเป็นเงินตามหน้าตั๋ว  หุ้นกู้จึงเป็นทางเลือกอีกอย่างหนึ่งของบริษัทในการหาเงินลงทุน  ส่วนผู้ซื้อหุ้นกู้ก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน มิใช่จะเห็นแก่ดอกเบี้ยที่เขาเสนอให้ว่าสูงกว่าเงินที่นอนอยู่ในธนาคาร เพราะหากบริษัทเจ๊งไป  เงินลงทุนนี้จะสูญ อย่างไรก็ดี หุ้นกู้นี้สามารถเปลี่ยนมือได้หากผู้ที่ซื้อไว้เดิม ขายหรือโอนให้ผู้อื่น

หุ้นกู้ที่พระปรีชาไปซื้อไว้ในกิจการโรงสีมียอด ๓๘๐๐๐ เหรียญสหรัฐ มีอัตราดอกเบี้ยกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปีไม่ทราบ แต่แฟนนีบอกว่าครั้งละ ๕๐๐ ปอนด์ จ่ายกี่เดือนครั้งก็ไม่ทราบเหมือนกัน ผมก็ยังหาทางเทียบไม่ถูกกับค่าเงินบาทของไทยในยุคนั้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 08:33
เมื่อเรือรบอังกฤษเข้ามานั้น ญาติโกโหติกาของพระปรีชาต่างกระดิ๊กกระดี้เหมือนปลากะดี่ได้น้ำ นำข้าวปลาอาหาร พืชผักผลไม้ พร้อมบุหงามาลัยไปเซ่นสังเวยทหารบนเรือรบเสมอ ฝรั่งเหล่านั้นจึงอิ่มเอมเปรมปรีดิ์มาก
ในเวลาเดียวกัน เจ้าพระยามหินทรศักดิ์อธิบดีคณะตุลาการ และหลวงสรจักรานุกิจต่างทำหนังสือถวายรายงานว่า มีการยักย้ายถ่ายเทเงินทองจากบ้านพระปรีชาไปไว้ที่สถานกงสุลอังกฤษ และที่ห้างมาแลบยุเลียนของชาวฝรั่งเศส และตามบ้านญาติ ในระหว่างนี้

ระหว่างการสอบสวน พระปรีชาขณะนั้นก็แสดงความฮึกเหิม ไม่เคารพศาล พูดจาทำนองข่มขู่ตุลาการ แทนที่จะยอมตอบคำถาม และตั้งตนเป็นทนายซักถามโจทก์และพยานโจทก์ ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นคนรับใช้ของตนอย่างดุดัน จนบางครั้งทำให้การสอบพยานต้องชะงักลง


การที่บริษัทหยุดส่งนั้น นางแฟนนีไม่เข้าใจว่า หุ้นกู้ที่ถือในนามพระปรีชาแต่แรกนั้น ถูกเปลี่ยนมือไปแล้วโดยเพื่อนฝรั่งอั้งม้อที่พระปรีชาไว้ใจ เอาใบหุ้นไปฝากเขาไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยหากตนไม่พ้นจากโทษนั่นเอง และการกระทำดังกล่าวนางก็ต้องรู้เห็นด้วย  เพราะแรกๆเขาก็จ่ายดอกเบี้ยให้และนางเป็นผู้ได้รับดีอยู่  แต่เมื่อเพื่อนคนนั้นเห็นว่าพระปรีชาตายสนิทแล้ว นางแฟนนีก็ไปอยู่ซะไกลถึงฝรั่งเศส  ก็โกงเสียตามสันดานของมนุษย์จำพวกนี้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 10:04
สมเด็จเจ้าพระยาจึงอ้างพระมหากรุณาธิคุณนี้ ขอให้พระยาเจริญราชไมตรีร่วมมือตามตัวนางจีน นางสุ่น ผู้ช่วยพระปรีชาในการกลั่นทอง ซึ่งหลบหนีไปอยู่บ้านกงสุลอังกฤษ และนายหวาด นายใหญ่ เสมียนบัญชีในกรุงเทพของพระปรีชามามอบตัวกับทางราชการได้สำเร็จ

และยังเป็นตัวแทนฝ่ายพระเจ้าอยู่หัว ไปเจรจาหว่านล้อมพี่ชายให้ร่วมมือกับสมเด็จเจ้าพระยา เพื่อบรรเทาโทษของตนเองและคนในตระกูลจากโทษริบราชบาทว์
นอกจากนั้น พระเจริญยังให้บุตรสะใภ้ซึ่งเป็นน้องสาวของพระปรีชา มายื่นเรื่องต่อทางราชการ ขอคืนทองคำแท่งและทองรูปพรรณ ซึ่งได้มาจากพระปรีชากลการ ซึ่งถึงแม้จะมีน้ำหนักรวมกันเพียง ๒ชั่ง ๑๙บาท แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพอพระทัย เพราะใช้เป็นหลักฐานเอาผิดพระปรีชาได้

หม่อมยี่สุ่นคงหมายถึงภรรยาหลวงของพระยาเจริญราชไมตรีผู้เป็นน้องชายพระยากสาปน์ ไม่ใช่ชายาเจ้านายองค์ไหน  สมัยก่อนเขาอนุโลมให้เรียกภรรยาหลวงของพระยาบางท่านที่ยังไม่ได้เป็นคุณหญิง หรือท่านผู้หญิง ว่าหม่อมได้เหมือนกัน

ส่วนคุณหญิงทรามสงวน ตอนที่เอาทองมาคืนนั้น ยังเป็นนางสงวนอยู่  ต่อมาสงสัยจะให้พระเกจิเปลี่ยนชื่อให้หายซวย จึงได้เป็นถึงคุณหญิงทรามสงวนได้ ทั้งๆที่เอาคำว่าทรามมาปะหน้าไว้แท้ๆ แปลกนิ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 10:16
หนังสือของนางแฟนนีนี้ ต้นฉบับดั้งเดิมจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่คำว่า ใบสำคัญผู้ถือหุ้นในข้อ ๑ และ ๔นั้น หมายถึงหุ้นสามัญที่ตราไว้หุ้นละ ๑๐๐ชั่ง อีกบริษัทหนึ่ง ๑๕๐ชั่ง  ราคาหุ้นแพงขนาดนี้คงจะมีผู้ถือหุ้นในบริษัทไม่กี่คน รวมถึงพระปรีชาซึ่งมีแค่ ๑ หุ้นนั้นด้วย

ส่วนคำว่าสัญญากู้เงินในข้อ ๒ และ ๓ ที่จริงต้องเรียกหุ้นกู้  ดอกเบี้ยที่นางแฟนนีงวดละ ๕๐๐ปอนด์ได้ก็คงได้จากหุ้นกู้   เพราะเงินปันผลจากหุ้นสามัญคงยังไม่มีจะมาจ่ายให้ผู้ถือหุ้น
รายการที่เหลือเราอย่าไปสนใจก็แล้วกัน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 10:35
หลวงพินิจจักรภัณฑ์ เป็นน้องชายไม่ใช่ทนายความของพระปรีชา คุณไกรฤกษ์เข้าใจผิด พระนายศรีก็ใช่

แต่ความสำคัญในหนังสือของแฟนนีช่วงนี้เปิดเผยชื่อยิวของเพื่อนฝรั่งของพระปรีชาคนนั้น เขาหาเงินมาจ่ายให้นางแฟนนีเพื่อที่จะได้ไปๆเสียจากสยาม เพราะหากไม่มีเงิน ๕๐๐ ปอนด์ก้อนนี้แล้วเกิดไปไม่ได้ขึ้นมา  ทางราชการอาจคุมตัวไว้แล้วนางก็อาจเผยอะไรต่อมิอะไรให้พัวพันมาถึงตัวเขาได้

ส่วนการที่บอกว่าบริษัทโรงสีเอาใบหุ้นของพระปรีชาไปขายทอดตลาดนั้น  คงจะเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรงของนางเอง หรือนายซิกก์จะหลอกนางไว้ก็ได้ เพราะพระปรีชาไม่ได้เป็นลูกหนี้บริษัท เป็นเจ้าหนี้ด้วยซ้ำ บริษัทจะเอาใบหุ้นไปขายทอดตลาดได้อย่างไร  นายซิกก์นั่นแหละที่เอาใบหุ้นไปเปลี่ยนเป็นชื่อตนเอง โดยอาจจะปลอมลายเซนต์หรือพระปรีชาเคยหลงเซนต์เอาไว้ตามคำแนะนำที่อ้างว่าปรารถนาดีก็ได้

เมื่อใบหุ้นถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของเขาแล้ว เรื่องอะไรที่เขาจะจ่ายดอกเบี้ยให้นางอีก


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 11:04
จะเห็นว่านางก็พยายามแล้วที่จะจัดการให้เงินที่สามีขโมยมาแล้วโดนขมายไป ให้กลับมาเป็นของนาง แม้ได้ไม่หมด สักครึ่งนึงก็ยังดี โดยมีนายกูลด์ อดีตรองกงสุลอังกฤษที่มีอาชีพทนายให้ความช่วยเหลือ แต่ค่าทนายก็คงแยะอยู่สำหรับเงินร้อนที่หลุดเข้าปากช้างไปแล้วอย่างนี้  

แต่สุดท้ายสัญญาที่แลกเปลี่ยนกันทำท่าจะเป็นกระดาษเปล่า นางแฟนนีคงหมดปัญญาทวงแล้ว จึงทำทีจะมามอบให้รัฐบาลสยาม

ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงแล้ว ไอ้ที่ผ่านมาหลายปีนั้นทำไมไม่คิดจะคืน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 11:18
เรื่องติดตามทรัพย์สินของพระปรีชาคืนนี้ ผมยังไม่มีเวลาจะไปค้นหาต่อ ท่านผู้อ่านก็ดูผ่านๆไปก่อนก็แล้วกันนะครับ

และให้สังเกตุด้วยว่าไม่พะยูงนั้น เป็นไม้มีราคาค่างวดสูงกว่าไม้สักหลายเท่าเพราะคนจีนเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์หรู  เดี๋ยวนี้พวกมอดไม้ปลวกป่าก็พยายามลักลอบโค่นตัดกันอยู่ให้จับได้ไม่เว้นแต่ละเดือน  ก่อนเข้าป่าไปกระทำโจรกรรมจะแวะไปบนบานที่ศาลเจ้าพ่อสำอางก่อนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  เพราะนั่นน่ะเจ้าพ่อตัวจริงตั้งแต่สมัยมีชีวิต สั่งให้เจ้าเมืองไปตัดโค่นป่าเอาไม้มาทำเรื่องเหมือง แต่ไม้พะยูงให้เอามาเซ่นข้านะโว้ย ข้าชอบ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 เม.ย. 15, 16:17
นี่ถ้าฮิตเลอร์เป็นคนไทย เมืองไทยคงมีศาลเจ้าพ่อฮิตเล่อร์   ไม่ก็ศาลเสด็จปู่สตาลิน  ศาลสมเด็จโตโจ  ศาลพ่อปู่มุสโสลินี  ศาลรอมเมล ฯลฯ แน่ๆ เอ หรือผมกลับไปตั้งสำนักเจ้าพ่อพวกนี้ดูบ้างดีไหมหว่า ท่าทางจะเงินดี  ;D  ;D  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 16:26
ดอกเตอร์ประกอบเล่นเป็นตัวเจ้าพ่อเลยดีกว่า เฮี๊ยนๆเข้าไว้หน่อยละกัน รับรองเครื่องเซ่น เหล้าโรงหัวหมูตรึม

ถ้าชอบแก้บนด้วยระบำโป๊ ก็จะมีให้ดูด้วยนะ แต่ต้องดึกๆหน่อย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 เม.ย. 15, 17:06
การลงทุนของพระปรีชาน่าจะมีปัญหากับนายซิกก์มานานแล้ว  เพราะเอกสารของแฟนนีอ้างถึงนายกูลด์ว่าเป็นทนายให้ตน แสดงว่าเกิดความกันแล้วแต่นายซิกก์คงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่  ทนายจึงแนะนำให้ยอมทำนิติกรรมตามข้อเสนอของนายซิกก์  ซึ่งนิติกรรมใหม่นี้ได้เป็นการฟอกตัวให้นายซิกก์ที่เข้าไปช้อนซื้อหุ้นของพระปรีชาไว้โดยมิชอบ   

แต่ถึงหลุดจากฉ้อโกงก็ยังผิดธรรมาภิบาลในฐานะเป็นผู้บริหารอยู่ดี  หากเป็นสมัยนี้(ในเมืองฝรั่ง)อาจติดคุก ในเมืองไทยมีผู้บริหารธนาคารที่โดนคดีนี้อยู่เหมือนกัน พอศาลชั้นต้นตัดสินให้แพ้ แต่เมื่อยอมใช้เงินคืนให้คู่กรณีย์ไปตามเรียกร้อง ก็ถือว่าเจ๊ากัน
 
แต่สัญญาที่นางแฟนนีได้มาเป็นแต่เพียงกระดาษ ตัวเงินจริงๆยังไม่ได้ และดูแล้วไม่ใช่ง่ายๆที่จะได้ นายซิกก์ขณะนั้นอยู่ที่ยุโรป ไปๆมาๆระหว่างฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ นายกูลด์ก็หายไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ อาจจะได้รับใต้โต๊ะจากนายซิกก์ด้วย นางแฟนนีจึงตามมาทวงหนี้ตามลำพัง หวังจะจบได้ที่ปารีสโดยต้องได้ความร่วมมือกดดันโดยรัฐบาลสยามผ่านท่านทูตด้วย

คำพูดที่ว่าได้เงินคืนมาแล้วจะเอามาแบ่งกัน เป็นการอ่อยเหยื่อให้สินบาทคาดสินบนต่อตัวท่านทูตแน่นอน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 เม.ย. 15, 06:35
ระบบเงินตราในช่วง พ.ศ. ๒๔๑๓-๒๔๕๗ เป็นระบบมาตรฐานทองคำ (The Gold Standard) โดยแต่ละประเทศที่อยู่บนระบบนี้ต้องมีกฎหมายกำหนดให้ใช้ทองคำเป็นมาตรฐานกำหนดค่าของเงินหนึ่งหน่วยเท่ากับทองคำบริสุทธิ์เป็นจำนวนที่แน่นอน ซึ่งเรียกว่า“การกำหนดอัตราค่าเสมอภาค” (Par Value)

อังกฤษ กำหนดอัตราค่าเสมอภาค ๑ ปอนด์ เท่ากับ ทองคำบริสุทธิ์หนัก ๗.๓๒๒๓๓ กรัม

สหรัฐอเมริกา กำหนดอัตราค่าเสมอภาค ๑ ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก ๑.๕๐๔๖๕ กรัม

สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. ๑๒๗ กำหนดให้เงินบาทมีราคาเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก ๐.๕๕๘ กรัม

ดังนั้น การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลปอนด์ต่อเงินตราสกุลบาท ก็คือ การเอาค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงินหนึ่งปอนด์ คือ ๗.๓๒๒๓๓ หารด้วยค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงินหนึ่งบาท คือ ๐.๕๕๘ (๗.๓๒๒๓๓ / ๐.๕๕๘ = ๑๓.๑๒)

ดังนั้นด้วย พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๑)  อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อเงินปอนด์จึงเท่ากับ ๑๓.๑๒ บาท ต่อ ๑ ปอนด์ในเวลานั้น

หรือ ถ้าจะคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อเงินตราสกุลบาท ก็คือ การเอาค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของเงินหนึ่งดอลลาร์ ซึ่งในเวลานั้นประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดอัตราค่าเสมอภาค (Par Value) ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ทองคำบริสุทธิ์หนัก ๑.๕๐๔๖๕ กรัม เมื่อนำมาหารด้วยค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงิน ๑ บาทคือ ๐.๕๕๘ กรัม ก็จะสามารถคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อเงินตราสกุลบาทได้ เท่ากับ ๑.๕๐๔๖๕ / ๐.๕๕๘ = ๒.๖๙  ทำให้ค่าเงิน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๒.๖๙ บาทตามที่กฎหมายกำหนด (พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. ๑๒๗) ณ เวลานั้น

ข้อมูลจาก ค่าเงินบาทของไทย โดย ธิติ สุวรรณธัต (http://www.naewna.com/politic/columnist/6511)

เงินที่พระปรีชาฉ้อฉลไปลงทุนทำโรงสีตามคำให้การของนางแฟนนี เป็นหุ้นกู้ ๒๔๐๐๐ และ ๑๔๔๐๐ ดอลล่าร์  อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลล่าร์เท่ากับ ๒.๖๗ บาท  จึงเท่ากับ ๓๘๔๐๐ X ๒.๖๗ = ๑๐๒๕๒๘ บาท
๑๐๒๕๒๘ บาท หารด้วย ๘๐ = ๑๒๘๑.๖๐ ชั่ง 
บวกด้วยหุ้นสามัญ ๑๐๐ ชั่งและ ๑๕๐ ชั่ง
รวมทั้งหมดได้ ๑๕๓๑.๖๐ ชั่ง
เงินหลวงที่พระปรีชาเบิกไป ๑๕๕๐๐ชั่ง  มีบัญชีรายจ่ายที่เป็นหลักฐานของนายสุดใจ ๔๑๔๘ ชั่ง
ขาดไป ๑๑๓๕๒ ชั่ง? ? ?

ยังงงอยู่ดีว่าทำไมตัวเลขยังห่างกันนัก  ใครมั่ว   มั่วอย่างไรกันแน่


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 เม.ย. 15, 08:52
ถ้าใครเคยอ่านบทความสารคดีที่คุณไกรฤกษ์เขียนไว้ดังกล่าวคงจะสับสนพอสมควร เพราะตั้งแต่โปรยหัวไปจนถึงเนื้อใน คุณไกรฤกษ์เสมือนจะตั้งใจมาเปิดเผยในประเด็นใหม่ของนางแฟนนี ที่ยอมให้การนอกศาลกับท่านทูตเพื่อฟอกความผิดให้สามี 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 เม.ย. 15, 08:54
แต่ผมอ่านแล้วทั้งสองตอนไปๆมาๆหลายเที่ยว นอกจากไม่เห็นว่าพระปรีชาจะบริสุทธิ์ขึ้นแล้ว ยังเป็นการย้ำอย่างชัดเจนถึงที่ไปของเงินฉ้อฉล ว่าเอาไปทำอะไรบ้าง ตัวไอ้โม่งตัวใหญ่ที่เปิดโปงมาครั้งนี้ก็คือนายซิกก์ ที่ว่าอยู่เบื้องหลังการโกงนั้นก็ไม่น่าจะถูกต้อง  นายซิกก์แม้จะรับซื้อของโจร  แต่เขาอาจจะไม่ทราบว่าเงินที่พระปรีชานำมาลงหุ้นกับเขาเป็นเงินที่ไปโกงใครมา ด้วยวิธีการอย่างไร 
เขาไม่จำเป็นต้องทราบในขณะแรก  ส่วนตอนหลังเมื่อทราบแล้วเขาทำอะไรบ้างนั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ชักใยอยู่เบื้องหลังการโกงเงินหลวงของพระปรีชาแน่นอน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 เม.ย. 15, 09:04
อ่านตรงนี้แล้วก็งงกันไปใหญ่ ข้อมูลที่นางแฟนนีนำไปเปิดเผยที่ปารีส สายเกินไปห้าปีหลังจากที่จำเลยโดนประหารไปแล้ว  ข้อความดังกล่าวสร้างความเข้าใจว่าคดียังอยู่ในการพิจารณาของคณะตุลาการ แล้วมีข้อหาใหม่ๆประดังเข้ามา

ความเป็นจริงในระหว่างสอบสวน คณะตุลาการก็พยายามจะให้นางแฟนนีมาให้การแล้ว แต่นางปฏิเสธโดยอ้างว่าเป็นสัปเยกของอังกฤษ (คือคนที่อยู่ในความคุ้มครองของรัฐบาลอังกฤษ)

ถึงตอนนี้ นางก็ไม่ได้มาเรียกร้องความเป็นธรรมใดๆให้สามี นางเพียงแต่จะมาขอให้ท่านทูตช่วยใช้อิทธิพล ทวงหนี้ให้นาง โดยนางจะขอเพียงส่วนหนึ่งบ้างเท่านั้น ที่เหลือยกให้รัฐบาลสยาม (เพราะนางจนปัญญาที่จะได้คืนแล้ว)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 เม.ย. 15, 09:07
เดี๋ยวผมจะกลับมาต่อในเรื่องนี้ครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 เม.ย. 15, 16:52
Malherby. Julien & Co. คือห้างมาแลบยุเลียนที่สมเด็จเจ้าพระยากล่าวถึง มีชาวฝรั่งเศสสองคนคือ นายมาแลบ(L. Malherbe) และนายยุเลียน(C. Jullien ) เข้าหุ้นกันตั้งกิจการที่ไซ่ง่อน ในอินโดจีนก่อน ทำการค้านำเข้าส่งออกละเป็นตัวแทนธนาคารในต่างประเทศ  ตามประวัติของบริษัทเบอรียุคเกอร์ในเว็บ บริษัทมาแลบยุเลียนได้ขยายสาขาเข้ามาสยามในปี ๒๔๐๙  ซึ่งยังเป็นสมัยรัชกาลที่ ๔อยู่  แล้วได้จ้างนายอัลเบิร์ต ยุคเกอร์ ซึ่งตอนนั้นอายุเพียง ๒๒ ให้เป็นพนักงานธรรมดาคนหนึ่ง  ต่อมานายคนนี้ได้ไต่ขึ้นมาเป็นผู้จัดการของบริษัทในปี ๒๔๑๕ และอีกปีหนึ่งต่อมาเขาก็ได้ชักชวนนายเฮนรี ซิกก์(Henry Sigg) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันให้เข้ามาทำงานด้วยในตำแหน่งผู้ช่วย

ช่วงนี้เองที่พระปรีชาได้ไปเป็นผู้จัดการเหมืองทองคำ และคงได้ติดต่อธุรกิจกันในปี๒๔๑๗ จนกระทั่งพระปรีชาโดนประหารชีวิตในปี ๒๔๒๒


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 เม.ย. 15, 16:54
ในปีพ.ศ. ๒๔๒๗ หุ้นส่วนชาวฝรั่งเศสทั้งสองได้ตกลงได้ขายกิจการทั้งหมดให้นายอัลเบิร์ต ยุคเกอร์ชาวสวิส ซึ่งลงทุนร่วมกับนายเฮนรี ซิกก์ โดยใช้ชื่อว่ายุคเกอร์ซิกก์ แอนด์โก(Jucker & Sigg & CO) ซึ่งนอกจากกิจการทั้งหลายแหล่ที่ผมเอ่ยไปแล้ว ยังมีกิจการโรงสีข้าวสามเสน ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพด้วย

มิถุนายน ๒๔๒๗ นางแฟนนีได้ทำหนังสือร้องเรียนกับท่านทูตตามเรื่องที่กำลังเขียนถึงอยู่นี้

นายอัลเบิร์ต ยุคเกอร์ตายในกรุงเทพในปี ๒๔๒๘ ด้วยโรคยอดนิยมของฝรั่ง คืออหิวาตกโรค มาดามเลยหอบลูกๆกลับไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ ทิ้งบริษัทไว้ให้นายซิกก์ดูแล จนมีนักธุรกิจสวิสอีกคนหนึ่งชื่ออัลเบิร์ต เบอรรี่ (Albert Berli) เข้ามาซื้อหุ้นของนายซิกก์ แล้วเข้าครอบครองกิจการในปี ๒๔๓๒
ลูกๆของนายยุคเกอร์เมื่อจบการศึกษาแล้วได้กลับมาดูแลกิจการของพ่อ และทำงานในฐานะหุ้นส่วนกับนายเบอรีในปี ๒๔๔๔ แล้วบริษัทได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเบอรียุคเกอร์ จนทุกวันนี้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 14 เม.ย. 15, 18:15
อาจารย์NAVARAT.Cขยันจริงๆ ช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ ก็ยังไม่ยอมห่างหายไปไหน
ขอบคุณครับที่นำความรู้มาให้ถึงหน้าจอ :)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 เม.ย. 15, 19:54
หนังสือของนางแฟนนีนี้ ต้นฉบับดั้งเดิมจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ

ต้นฉบับหนังสือของแฟนนีมีดังนี้

The property I had in my hands when my late husband was arrested was as follows :

1. One share in my late husband s name in the rice mill of the firm Malherbe, Jullien & Co., value 100 catties.
2. A receipt in the name of my late husband for $24,000 dollars lent by him to the firm Malherbe, Jullien & Co.
3. A receipt in the name of my late husband for $ 14,400 dollars lent by him to the Patriew Company Mill.
4. A share in the Patriew Mill, value 150 catties, in the name of my late husband.
5. A receipt signed by Nai Sin for Patriew Mill Company for 6286 ticals at 1 % per month, payable on demand, lent by my late husband.
6. A receipt from Nai Sin, manager of the above mill for 8000 ticals, due to my late husband for rice supplied by him.
7. A receipt from Chin Toh for 50 catties due to my late husband for money advanced by him to Chin Toh.
8. A boxful of documents in the Siamese language, some of which I believe were mortgages on landed property in Siam.

Patriew เข้าใจว่าคือ แปดริ้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 เม.ย. 15, 20:23
During the imprisonment of Phra Preecha, I offered to give up the keys and all possessions to Phya Krasarb, Phra Nai Sri and Luang Pinit. They refused to accept the offer -- Mr Gould being witness to this act.

On the night of 26th November 1879, soldiers came to the house to confiscate all the property. I left the house ten minutes before the said occupation, not. wishing to receive the insults of the people.

When money was required for my passage to Europe, Mr. Sigg wrote to ask Mr. Read to give me all I required, as he would pay the sum from moneys in his hand, the interest at the rate of 2 salung to the catti of the sum of $ 24, 000 dollars having not been paid since 1877. But on settling the account, I found that Mssrs. Malherbe, Jullien & Co, instead of paying Mr. Read with the balance of interest of 24, 000 dollars, had sold my late husband's share at their Rice Mill (see No. 1) and had bought it themselves without accounting for the interests during the two years. With the money for this share they paid Mr, Read and sent me the balance of £500. I never found out what this share was sold for although it was a paper-note share worth 100 catties.


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 เม.ย. 15, 20:26
In May 1879, Mr. Sigg  asked me to give him the receipt (see No 3) for money lent by Phra Preecha as working capital of Patriew, which receipt Phra Preecha had given me. When I handed over the receipt of $14, 400 dollars, Mr. Sigg took it as his loan to Patriew Mill and gave me a receipt in my name from the firm of Malherbe, Jullien & Co as having received the said sum from me. In June 1881, Mr. Sigg proposed to Mr. Gould, my attorney, that I should give up this receipt of $14, 400 to him in return for a receipt in my own name for the sum of $24, 000 (see No. 2) which the firm of Malherbe, Jullien & Co. then, held in the name of Phra Preecha. Seeing that the sum of 24, 000 dollars was more than $14, 400, Mr. Gould accepted the transaction and gave up the $14, 400 for the receipt in my own name of $24, 000 which I now have in Europe and which I am willing to give to the Siamese Government as their legal property confiscated from Phra Preecha.


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 เม.ย. 15, 20:29
To the best of my knowledge, the share in the Patriew Mill (see No. 4) was given to Malherbe, Jullien & Co by Mr. Gould. I do not know what has become of the receipt (see No. 6) which I gave to Mr. Sigg, and which I have asked him to collect for me. The receipt from Chin Toh (No. 7) was given by me to Mr. Gould, and as far as I know he has it. As for the box containing the mortgages (No. 8 ), I left it in Bangkok with my sister, Mrs. Leonowens, and she has it now.

In 1880, the Siamese Government asked Mssrs. Malherbe, Jullien & Co if they had any property of Phra Preecha for which they denied all knowledge and instead put in claims as creditors for merchandise supplied to Phra Preecha, and I believe the Siamese Government has paid the firm accordingly.

To my knowledge, there was a large quantity of rose-wood belonging to my late husband in the possession of Mssrs. Malherbe, Jullien & Co in their lower store. I do not know where all this went to. —

Fanny Preecha Koulakarn. Paris 12th June 1884.

rose-wood  อาจจะเป็นได้ทั้ง ไม้พะยูง และ ไม้ชิงชัน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 06:01
อาจารย์NAVARAT.Cขยันจริงๆ ช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ ก็ยังไม่ยอมห่างหายไปไหน
ขอบคุณครับที่นำความรู้มาให้ถึงหน้าจอ :)

ครับ ผมไม่ได้ไปไหนไกลๆ นอกจากออกไปนอกบ้านบ้าง เวลาที่มีเหลือก็นั่งหน้าจอ อ่านบ้างพิมพ์บ้างเป็นเครื่องอยู่

แต่ Fanny and the Regent ที่คุณหมอค้นหามาลงนี่น่ะ ไม่มีคำถามหรือความเห็นอื่น นอกจากต้องการจะให้ผมอ่านเท่านั้นหรือครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 07:26
เอาตรงนี้ก่อนแล้วกันนะครับ ทรัพย์สินที่นางแฟนนีบอกว่าอยู่กับนางตอนที่พระปรีชาถูกจับกุมน่ะ มีดังนี้
The property I had in my hands when my late husband was arrested was as follows :

1. One share in my late husband s name in the rice mill of the firm Malherbe, Jullien & Co., value 100 catties.
๑ หุ้นสามัญในชื่อสามีผู้ล่วงลับไปแล้วของดิฉัน ของโรงสีบริษัทมาแลบยุเลียนแอนด์โก มูลค่า ๑๐๐ชั่ง

2. A receipt in the name of my late husband for $24,000 dollars lent by him to the firm Malherbe, Jullien & Co.
๒ ใบรับเงินในชื่อสามีผู้ล่วงลับไปแล้วของดิฉันเป็นเงิน ๒๔๐๐๐ ดอลลาร์ ให้บริษัทมาแลบยุเลียนแอนด์โกกู้

อธิบายเสียเลยว่าทำไมผมจึงไม่แปลตามคุณไกรฤกษ์ที่ระบุว่าเป็นสัญญากู้เงิน ที่ผมอยากเห็นต้นฉบับคือตรงนี้เอง แฟนนีใช้คำว่าใบรับเงิน(ที่ให้กู้ไป) ซึ่งผมใช้คำที่ถูกต้องกว่า ว่า(ใบ)หุ้นกู้

หุ้นกู้(Debenture)นี้มีความหมายเดียวกับพันธบัตร(Bond) ผิดกันที่หุ้นกู้(Debenture)ใช้เรียกสำหรับกิจการบริษัท แต่พันธบัตร(Bond)ใช้เรียกกับกิจการของรัฐ
ทั้งหุ้นกู้กับพันธบัตรคล้ายกับสัญญากู้เงิน แต่ผิดกันตรงที่ทั้งหุ้นกู้กับพันธบัตรสามารถขายต่อหรือโอนให้ผู้อื่นได้โดยเพียงแต่ลงนามสลักหลังบัตร(ที่แฟนนีเรียกใบรับเงิน) และผู้นั้นนำไปให้ผู้ออกบัตรเปลี่ยนชื่อให้เป็นของตน แล้วรับดอกเบี้ยประจำงวดๆต่อไป และไปขึ้นเงินต้นคืนจากผู้ออกบัตรเมื่อครบอายุตามกำหนด

แต่การกู้เงินทำไม่ได้ด้วยเพียงแต่ผู้กู้ออกใบเสร็จรับเงินให้เท่านั้น ทั้งคู่ต้องกระทำเป็นสัญญากู้เงิน ผู้ให้กู้และผู้กู้จะสิ้นสภาพหนี้ต่อกันเมื่อมีการชำระหนี้เท่านั้น การเปลี่ยนชื่อผู้กู้หรือผู้ให้กู้ตามปกติจะเปลี่ยนได้หากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยินยอม หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียชีวิตหรือเลิกกิจการ แล้วมีคำสั่งศาลให้โอนสภาพหนี้ไปยังทายาท หรือนิติบุคคลอื่น โดยยกเลิกสัญญาเก่าแล้วทำสัญญาระหว่างกันขึ้นใหม่
ทุกกรณีย์ที่กล่าวมาถือว่ายุ่งยากมาก สัญญากู้เงินจึงกระทำกันระหว่างบุคคลกับบุคคลที่ไว้วางใจกันมากๆ หรือถ้าเป็นกับนิติบุคคลก็ต้องมีหลักทรัพย์ไปจำนำจำนองเพื่อค้ำประกันวุ่นวาย

ใบหุ้นกู้ที่นางแฟนนีอ้างถึง บริษัทปฏิเสธที่จะชำระคืนหนี้ เนื่องจากหุ้นกู้ตราไว้มีกำหนด ๑๐ปี นั่นยังไม่ครบกำหนด แต่บริษัทคงต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ทุกงวดแก่ผู้ถือใบหุ้นตามทะเบียนของบริษัท เพียงแต่เป็นใครก็ไม่ทราบ สันนิฐานไว้ก่อนว่าเป็นนายซิกก์ตามที่นางแฟนนีอ้างว่าเป็นผู้โอนไปเป็นชื่อของเขา


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 07:54
3. A receipt in the name of my late husband for $ 14,400 dollars lent by him to the Patriew Company Mill.
4. A share in the Patriew Mill, value 150 catties, in the name of my late husband.
๓ กับ ๔ ไม่แปลนะครับ ความคล้ายๆกันกับที่แปลไปแล้ว

5. A receipt signed by Nai Sin for Patriew Mill Company for 6286 ticals at 1 % per month, payable on demand, lent by my late husband.
๕ ใบหุ้นกู้(ใบรับเงิน)ลงนามโดยนายสินในนามของบริษัทโรงสีแปดริ้ว เป็นเงิน ๖๒๘๖บาท ดอกเบี้ยเดือนละ ๑%จ่ายเมื่อทวงถาม ออกให้ในชื่อสามีผู้ล่วงลับไปแล้วของดิฉัน

6. A receipt from Nai Sin, manager of the above mill for 8000 ticals, due to my late husband for rice supplied by him.
อันนี้น่าสนใจครับ
๖ ใบรับของลงนามโดยนายสิน ผู้จัดการของโรงสีข้างต้น มูลค่า ๘๐๐๐บาท ออกให้ในชื่อสามีผู้ล่วงลับไปแล้วของดิฉัน สำหรับข้าวที่ส่งขายให้
 
อ้าวๆๆๆ ข้าวที่ผลิตได้จากนาหลังโรงถลุงทองหรือเปล่า ไหนว่าเอาไปให้คนคุกกิน ยังแปลกใจอยู่ว่าสมัยโน้นพวกเจ้านายเขาใจดีกับนักโทษในคุกขนาดนั้นเชียวรื้อ นี่ไง หางโผล่มาแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 08:19
7. A receipt from Chin Toh for 50 catties due to my late husband for money advanced by him to Chin Toh.
8. A boxful of documents in the Siamese language, some of which I believe were mortgages on landed property in Siam.

๗ กับ๘ นี่ไม่แปลก็แล้วกัน เพราะคงคล้ายกับของคุณไกรฤกษ์


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 เม.ย. 15, 09:59
ใจจริงคุณนายแฟนนีก็รู้ใช่ไหมว่าสามีเธอขอรับฉันเงินและทองของรัฐบาลไปเยอะ   แต่เธออยากได้บางส่วนคืนเข้ากระเป๋าเท่านั้นเอง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 10:00
ไม่ต้องสงสัยเลยครับ รู้อยู่เต็มหัวอก ที่ยอมเป็นเมียคงจะเห็นว่ารวยมหาศาลนี่เอง แค่เศษเงินที่หลวงแบ่งให้ก็คุ้มแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 10:04
เอาของคุณเพ็ญชมพูมาแปลต่อ ดีกว่าอยู่เฉยๆ

During the imprisonment of Phra Preecha, I offered to give up the keys and all possessions to Phya Krasarb, Phra Nai Sri and Luang Pinit. They refused to accept the offer -- Mr Gould being witness to this act.
ระหว่างที่พระปรีชาถูกจำคุก ดิฉันออกปากขอมอบกุญแจและของในครอบครองแก่พระยากสาปน์ พระนายศรี และหลวงพินิจ  แต่ทุกคนปฏิเสธคำเสนอ นายกูลด์เป็นพยานรู้เห็นการกระทำนี้

ก็มันเรื่องอะไรที่ใครจะไปกล้ารับ ก็หลวงพินิจเองผู้รักษากุญแจไว้เดิมถูกพี่ชายเรียกคืนไปให้เมียแหม่มเก็บไว้แทนก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไปติดคุก  เมื่ออยู่ในมือนางแล้ว อะไรในนั้นจะถูกยักย้ายถ่ายเทไปที่ไหนบ้างแล้วก็ไม่รู้ ไปรับเข้าก็ซวยไม่เลิกแน่นอน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 10:06
On the night of 26th November 1879, soldiers came to the house to confiscate all the property. I left the house ten minutes before the said occupation, not. wishing to receive the insults of the people.

ในคืนของวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๒๒ ทหารได้เข้ามาใบน้านเพื่อริบราชบาทว์ทรัพย์สินทุกอย่าง  ดิฉันออกจากบ้านสิบนาทีก่อนที่จะถูกยึดครอง ด้วยไม่ประสงค์ที่จะถูกเหยียดหยามจากผู้คน

แสดงว่าแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว การออกจากบ้านของแฟนนีคงจะฉุกละหุกพอดู  และนี่คงมีเส้นมีสายดีอยู่ด้วย จึงได้รับการเตือนล่วงหน้าจากผู้(ที่นาง)ไม่ประสงค์จะออกนาม  น่าจะเป็นพวกที่เป็นสายลับให้อังกฤษมากกว่าสายลับทางฝ่ายครอบครัวพระปรีชา

และนางคงจะต้องไปหลบอยู่ที่กงสุลอังกฤษ ก่อนที่เรือจะออกเดินทางในอีกสองวันต่อมา และทางการเปิดทางสะดวกให้นางตามรับสั่งของพระเจ้าอยู่หัว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 10:09
When money was required for my passage to Europe, Mr. Sigg wrote to ask Mr. Read to give me all I required, as he would pay the sum from moneys in his hand, the interest at the rate of 2 salung to the catti of the sum of $ 24, 000 dollars having not been paid since 1877.

เมื่อดิฉันต้องการเงินเพื่อจะเดินทางผ่านเข้ายุโรป  นายซิกก์เขียนหนังสือถึงนายรีดให้ๆทุกอย่างที่ดิฉันต้องการ ซึ่งเขาจะก็จะได้จ่ายเงินที่เขาถือไว้ในมือ คือดอกเบี้ยในอัตรา ๒ สลึงต่อชั่ง ของเงินต้น ๒๔๐๐๐ ดอลลาร์ ซึ่งไม่เคยจ่ายมาเลยตั้งแต่ปี ๒๔๒๐

ดอกเบี้ยในอัตรา ๒ สลึงต่อชั่ง = ๐.๖๒๕% น่าจะต่อเดือน ไม่ใช่ต่อปี ดังนั้นดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นแล้วก็คงโขอยู่


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 10:17
But on settling the account, I found that Mssrs. Malherbe, Jullien & Co, instead of paying Mr. Read with the balance of interest of 24, 000 dollars, had sold my late husband's share at their Rice Mill (see No. 1) and had bought it themselves without accounting for the interests during the two years. With the money for this share they paid Mr, Read and sent me the balance of £500. I never found out what this share was sold for although it was a paper-note share worth 100 catties.

แต่เมื่อชำระบัญชีกัน ดิฉันพบว่า บริษัทมาแลบยุเลียนแอนด์โก แทนที่จะจ่ายเงินดอกเบี้ยคงค้างของเงิน ๒๔๐๐๐ ดอลลาร์คืนนายรีด กลับขายหุ้นสามัญของโรงสี(ในข้อ ๑)ของสามีผู้ล่วงลับไปแล้วของดิฉัน โดยบริษัทเป็นซื้อหุ้นนั้นไปเอง(ไม่มี s แปลว่าหุ้นเดียวนะครับ) โดยไม่มีรายการรับเงินดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นระหว่างสองปีนั้นในบัญชี  ด้วยเงินจาก(การซ้อขาย)หุ้นนี้ บริษัทได้จ่ายให้นายรีด และคืนเงินที่เหลือค้างอยู่ ๕๐๐ ปอนด์ให้ดิฉัน ดิฉันไม่เคยรู้เห็นว่าหุ้นนี้ถูกขายแม้มันจะเป็นใบหุ้นที่มีมูลค่า ๑๐๐ชั่ง

อึมม์ อ่านไปแปลไปคิดไป  ถึงตรงนี้ผมตีความว่า เมื่อนางร้อนเงินอยากได้สักก้อนใหญ่ๆเพื่อใช้ผ่านทางในยุโรปนั้น ได้ไปขอให้นายซิกก์ช่วย นายซิกซ์ก็จัดให้ โดยให้นายรีด(น่าจะอยู่ในอังกฤษ)จ่ายเงินให้(เพื่อความปลอดภัย เพราะถ้าจ่ายกันเมืองไทยอาจจับพลัดจับผลูถูกริบ) ส่วนที่มาของเงินจำนวนนี้นั้น นายซิกก์ได้ช่วยขายหุ้น(สามัญ)ให้ โดยประกาศขาย แต่เมื่อไม่มีผู้สนใจเพราะสถานะของบริษัทอาจจะยังไม่ดีไม่มีปันผล นายซิกก์จึงให้บริษัทรับซื้อหุ้นนั้นไว้เอง(ซึ่งทำได้ หากจดบริคณห์สนธิไว้อย่างนั้น) ได้เงินมาเท่าไหร่ก็ใช้คืนนายรีดไป ที่เหลือ ๕๐๐ ปอนด์ก็คืนนางแฟนนีที่นั่น
ที่นางอ้าง คือนางไม่เคยได้รู้ได้เห็นว่าเป็นหุ้นสามัญต่างหากที่ถูกขายไปเพื่อเอาเงินมาให้นาง ไม่ใช่เงินดอกเบี้ยค้างจ่ายจากหุ้นกู้มูลค่า ๒๔๐๐๐ ดอลลาร์ดังที่นางเข้าใจก่อนหน้านั้น

ผมคิดว่าโรงสีคงไม่ค่อยมีกำไร จึงไม่มีเงินพอจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้  แม้ขายหุ้น(พระปรีชา)ให้ใครก็ไม่มีคนอยากได้ อาจะเพราะกำลังมีปัญหากับรัฐบาลสยามด้วย แต่นายซิกก์ก็ยังอุตส่าห์หาทางออกให้โดยเจียดเงินหมุนเวียนของบริษัทที่ต้องมีไว้ซื้อข้าวเปลือก มารับซื้อหุ้นนี้ไว้

ไปๆมาๆ นายซิกก์ทำท่าจะเปลี่ยนบทจากผู้ร้ายในหมู่ผู้ร้าย มากลายเป็นพระเอกในหมู่ผู้ร้ายซะแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 11:41
กำลังมัน แต่ผมต้องออกไปเล่นสงกรานต์กับเขาซะหน่อยแล้ว เย็นๆค่ำๆคงกลับมาต่อได้ครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 11:51
ระหว่างรอคำสั่งให้ไปขึ้นรถเพื่อออกเดินทาง ยังต่อได้อีกสักหนึ่งคคห. ;D

In May 1879, Mr. Sigg  asked me to give him the receipt (see No 3) for money lent by Phra Preecha as working capital of Patriew, which receipt Phra Preecha had given me. When I handed over the receipt of $14, 400 dollars, Mr. Sigg took it as his loan to Patriew Mill and gave me a receipt in my name from the firm of Malherbe, Jullien & Co as having received the said sum from me.

ในเดือนพฤษภาคม ๒๔๒๒ นายซิกก์ขอให้ดิฉันมอบใบหุ้น(หุ้นกู้)ที่พระปรีชาให้กู้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทโรงสีแปดริ้ว ซึ่งใบหุ้นนั้นพระปรีชามอบให้เป็นของดิฉัน  เมื่อดิฉันส่งมอบใบหุ้นกู้จำนวนเงิน ๑๔๔๐๐ดอลล่าร์ที่ว่า นายซิกก์ก็เปลี่ยนชื่อในใบหุ้นกู้โรงสีแปดริ้วเป็นชื่อของเขา และออกใบหุ้นกู้ในนามของดิฉันให้ใหม่โดยบริษัทมาแลบยุเลี่ยน ระบุเงินจำนวนดังกล่าว

นายซิกก์ตอนนั้นยังทำงานในหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการอยู่ในบริษัทมาแลบยุเลี่ยน ปีต่อมาหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่ทราบ คงทะเลาะกันนัวเนียทางจดหมายเพราะดอกเบี้ยคงยังไม่ได้รับ  อาจเป็นเพราะบริษัทไม่มีปัญญาจ่ายเช่นเคย
 
นี่ก็เดาได้ไม่ยาก หลังจบคดีพระปรีชาแล้วสมเด็จเจ้าพระยาคงไล่บี้บริษัทนี้ แค่ให้รัฐบาลสยามเลิกทำมาค้าขายด้วยก็แย่แล้ว ฐานะการเงินจึงยอบแยบพัวพันกันไปหมด สุดท้ายบริษัทต้องยอมขายโรงสีข้าวให้รัฐบาล ในปี ๒๔๒๗ ตัวนายมาแลบและนายยุเลียนก็ยอมขายหุ้นของบริษัทให้นายยุคเกอร์กับนายซิกก์ ลูกจ้างทั้งสองคนที่เป็นผู้บริหาร พอถึง ๒๔๒๘ นายยุคเกอร์ก็เป็นอหิวาต์ตายไปเสียอีก นายซิกก์ได้ฉายเดี่ยว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 เม.ย. 15, 11:59
ผมต้องออกไปเล่นสงกรานต์กับเขาซะหน่อยแล้ว เย็นๆค่ำๆคงกลับมาต่อได้ครับ

ฝากคุณนวรัตนเล่นสงกรานต์เผื่อด้วย  วันสงกรานต์ของไทย = วันผู้สูงอายุ + วันครอบครัว ลูกหลานคงมากันเต็มบ้าน ปู่ย่าตายายยิ้มแย้มกันแก้มปริ

สุขสันต์วันสงกรานต์  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 เม.ย. 15, 14:11
ขอรดน้ำดำหัวท่านอาจารย์ใหญ่กว่าด้วยใจในวาระปีใหม่ไทยด้วยคนนะครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 เม.ย. 15, 16:58
สำหรับคุณเพ็ญชมพู คุณประกอบ และทุกๆท่านในเรือนไทย ตลอดจนแขกเรือนที่ผ่านมาเยือนครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 เม.ย. 15, 18:05
สาธุ  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 เม.ย. 15, 06:52
In June 1881, Mr. Sigg proposed to Mr. Gould, my attorney, that I should give up this receipt of $14, 400 to him in return for a receipt in my own name for the sum of $24, 000 (see No. 2) which the firm of Malherbe, Jullien & Co. then, held in the name of Phra Preecha. Seeing that the sum of 24, 000 dollars was more than $14, 400, Mr. Gould accepted the transaction and gave up the $14, 400 for the receipt in my own name of $24, 000 which I now have in Europe and which I am willing to give to the Siamese Government as their legal property confiscated from Phra Preecha.

มิถุนายน ๒๔๒๔ นายซิกก์ได้เสนอผ่านนายกูลด์ ทนายของดิฉันว่าดิฉันควรจะมอบใบหุ้นกู้จำนวนเงิน ๑๔๔๐๐ดอลล่าร์ในชื่อของดิฉันนั้นให้แก่เขา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่เขาจะออกใบหุ้นกู้ให้ใหม่ในนามของดิฉัน แทนใบหุ้นกู้ ๒๔๐๐๐ ดอลล่าของมาแลบยุเลียนแอนด์โก(ตามข้อ ๒ )ที่เดิมออกให้พระปรีชา เมื่อเห็นว่าเงิน๒๔๐๐๐ ดอลล่ามีค่ามากกว่า๑๔๔๐๐ดอลล่าร์ นายกูลด์ก็ยอมรับการโอนนั้น และคืนใบหุ้นกู้จำนวนเงิน ๑๔๔๐๐ ดอลล่าร์แลกกับใบหุ้นกู้ ๒๔๐๐๐ ดอลล่าซึ่งขณะนี้อยู่กับดิฉันในยุโรป ซึ่งดิฉันยินยอมที่จะมอบให้รัฐบาลสยามในฐานะที่เป็นทรัพย์สินที่พึงถูกริบตามกฏหมายจากพระปรีชา


เมื่อวานกลับมาถึงบ้าน นั่งแปลท่อนนี้เสร็จก็มึนๆเลยเข้านอนดีกว่า อะไรกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น นายซิกก์ซึ่งพอชมว่าเป็นพระเอกในหมู่ผู้ร้ายเข้าหน่อย ก็กลับเนื้อกลับตัวไปเป็นผู้ร้ายในหมู่ผู้ร้ายตามเดิมที่ผมเคยแสดงความเห็นไปก่อนหน้าโน้นเสียแล้ว

ถ้ามันไม่มีเหตุผลพิเศษใดอื่นที่นางไม่ได้เขียนบอกไว้ ผมดูว่าครั้งนี้นายซิกก์ไม่มีเหตุผลทางมนุษยธรรมใดๆเลยที่จะขอเปลี่ยนใบหุ้นกู้สองใบมาเป็นใบเดียว โดยจำนวนเงินรวมกันแล้วหายไปตั้งหนึ่งในสาม
 
นี่คงไปตั้งแง่เขาว่า ใบหุ้นที่ออกในนามพระปรีชาถ้าถูกตรวจบัญชีเจอ รัฐบาลคงริบเข้าหลวง แต่หากจะเปลี่ยนก็คงต้องยอมเสียอะไรให้เขาบ้างนะ เพราะเขาต้องไปแบ่งให้นายคนนั้นคนนี้อีกหลายคน  ส่วนทนายกูลด์ก็อาจจะบอกว่าให้พ้มด้วยฮิ๊ พ้มจะได้ไปเกลี้ยกล่อมให้อียอมง่ายๆไง ผลจึงออกมาเป็นอย่างนั้น
 
นายกูลด์ได้ใบหุ้นกู้ใบใหม่มาแล้วก็ส่งให้นางไปกอดเล่นเฉยๆ เพราะไม่มีดอกเบี้ยส่งมาให้ ขายคืนก็ไม่ยอมซื้อคืน ทะเลาะไปทะเลาะมาเปลืองแสตมป์ นางเลยเอาไปให้รัฐบาลสยามเอาหน้าเสียดีกว่า เผลอๆอาจจะได้แบ่งเงินไปยาไส้มั่ง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 เม.ย. 15, 07:13
To the best of my knowledge, the share in the Patriew Mill (see No. 4) was given to Malherbe, Jullien & Co by Mr. Gould. I do not know what has become of the receipt (see No. 6) which I gave to Mr. Sigg, and which I have asked him to collect for me. The receipt from Chin Toh (No. 7) was given by me to Mr. Gould, and as far as I know he has it. As for the box containing the mortgages (No. 8 ), I left it in Bangkok with my sister, Mrs. Leonowens, and she has it now.

ความจริงเท่าที่ดิฉันทราบนั้น หุ้นสามัญของโรงสีแปดริ้ว(ดูหมายเลข ๔) นายกูลด์ได้โอนให้มาแลบยุเลี่ยนแอนด์โกไปแล้ว และดิฉันไม่ทราบว่านายซิกก์ได้ทำอย่างไรกับใบรับของ(ที่พระปรีชาส่งมอบข้าวให้โรงสีแปดริ้ว ตามหมายเลข ๖)ที่ดิฉันมอบให้นายซิกก์ช่วยไปเก็บเงินให้ดิฉันด้วย ส่วนใบรับเงินของจีนโต(หมายเลข ๗)ดิฉันมอบให้นายกูลด์ไว้ และเท่าที่ทราบยังอยู่กับเขาจนบัดนี้  สำหรับหีบที่เก็บโฉนดที่ดินรับจำนองไว้ทั้งหลาย(ตามหมายเลข๘) ดิฉันทิ้งไว้ที่กรุงเทพโดยฝากกับนางลีโอโนแวนส์น้องสาว ซึ่งเธอยังเก็บไว้

ดูเอาเถิดครับ สมบัติโกงมาของสามีเหมือนปลาย่างร้อนๆ เอาฝากไว้กับแมวเจ้าเล่ห์ทั้งนั้น พอปลาเย็นลงมันก็เขมือบหมด ไปขอแล้วจะได้อะไร้

เท่าที่ผมอ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มา คนต่างด้าวที่เดินทางมาสยามในยุคโน้น ส่วนใหญ่(ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ)จะเป็นนักเผชิญโชค คือทำมาหากินอยู่ในประเทศของตนไม่รุ่งแล้ว มาตายเอาดาบหน้าดีกว่า จับพลัดจับผลูอาจมีเงินมีทองกลับไปสบายที่บ้าน  ดังนั้น คนพวกนี้จึงเห็นแก่เงินมากกว่ากฏหมายและศีลธรรม  โกงได้ก็โกง เลี่ยงได้ก็เลี่ยง เอาเปรียบได้ก็เอาเปรียบ แล้วมักจะรวยกว่าคนพื้นเมืองที่พวกเขาดูถูกว่าโง่กว่าเขา  


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 เม.ย. 15, 07:29
In 1880, the Siamese Government asked Mssrs. Malherbe, Jullien & Co if they had any property of Phra Preecha for which they denied all knowledge and instead put in claims as creditors for merchandise supplied to Phra Preecha, and I believe the Siamese Government has paid the firm accordingly.

To my knowledge, there was a large quantity of rose-wood belonging to my late husband in the possession of Mssrs. Malherbe, Jullien & Co in their lower store. I do not know where all this went to. —

Fanny Preecha Koulakarn.
Paris 12th June 1884.

ในปี ๒๔๒๓ รัฐบาลสยามได้สอบถามไปยังผู้บริหารของมาแลบยุเลี่ยนแอนด์โกว่าได้ถือทรัพย์สินของพระปรีชาไว้บ้างหรือไม่ ซึ่งพวกเขาปฏิเสธไม่ทราบเรื่องอะไรทั้งสิ้น แล้วกลับเรียกร้องว่าเป็นเจ้าหนี้ค้างจ่ายสำหรับสินค้าหลายรายการที่ส่งมอบให้พระปรีชาไปแล้ว ซึ่งดิฉันเชื่อว่ารัฐบาลสยามได้ชำระเงินให้ไปตามนั้น
เท่าที่ทราบ ยังมีไม้ชิงชันอีกจำนวนมหาศาลซึ่งเป็นของสามีผู้ล่วงลับของดิฉัน อยู่ในความครอบครองของมาแลบยุเลี่ยนแอนด์โกในคลังสินค้าล่าง ดิฉันไม่ทราบว่ามันถูกได้ถูกนำไปที่ใดต่อ

แฟนนี ปรีชากลการ
ปารีส ๑๒ มิถุนายน ๒๔๒๗


ครับ เพิ่งมายอมอ้าปากบอกในตอนนั้น  แล้วจะไปเหลืออะไร

อย่างที่ผมว่า อย่างไรๆก็มองไม่เห็นว่าการกระทำของนางแฟนนีครั้งนี้จะทำให้พระปรีชาดูเป็นคนดีขึ้นจากที่โดนประหารในข้อหาฉ้อโกงหลวง  และนางก็ไม่ได้เรียกร้องความเป็นธรรมอะไรเลยนอกจากจะพยายามรักษาผลประโยชน์ของตนในสมบัติโจร


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 เม.ย. 15, 06:54
พระองค์เจ้าปฤศฎางค์ ครั้นได้รับทราบเรื่องราวที่นางแฟนนีนำมาทูลขอให้ช่วยเหลือ ความที่ทรงทราบเรื่องเบื้องต้นดี และทรงเห็นเป็นโอกาสที่รัฐบาลสยามจะได้ทรัพย์สินที่ถูกพระปรีชาฉ้อไปกลับคืนมาบ้าง จึงทรงเอาเป็นธุระ มีหนังสือไปยังนายมาเลบเพื่อสอบถามในเบื้องต้น ซึ่งนายมาแลบก็ตอบบ่ายเบี่ยงว่าไอไม่ทราบเรื่องอะไรนี้เลย ผู้บริหารบริษัทซึ่งเป็นลูกจ้างของไอ เป็นผู้เป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด แล้วบัดนี้กลายเป็นเจ้าของบริษัท เปลี่ยนชื่อเป็นยุคเกอร์ ซิกก์ แอนโกไปแล้ว เรื่องที่ยัวไฮเนสถามนั้น นายซิกก์รู้ดี ต้องทรงไปถามหมอนั่นเอาเอง

พระองค์เจ้าปฤษฎางค์คงมีหนังสือไปถามนายซิกก์  ซึ่งขณะนั้นคงมาเรื่องธุรกิจหรือมาเยี่ยมบ้านในฝรั่งเศส  นายซิกก์ก็ยอมรับเรื่องใบหุ้นกู้ แต่ไม่ยอมที่จะให้มีการชำระเงินคืนกันที่ปารีส  ขอให้เป็นที่กรุงเทพ ทรงมีหนังสือไปอีก คงแย้งว่าหนทางไกลตัวนางแฟนนีคงลำบากที่จะไป ลูกเต้าก็อยู่ที่นี่  นายซิกก์ก็ยืนยันจะให้จบกันที่กรุงเทพ เพราะนายยุคเกอร์ก็อยู่ที่นั่นด้วย

จึงทรงรายงานเรื่องนี้ไปกราบทูลกรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ  เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศพระองค์ใหม่ ต่อจากท่านเจ้าคุณกรมท่า


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 เม.ย. 15, 07:17
จึงทรงรายงานเรื่องนี้ไปกราบทูลกรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ  เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ
และทรงได้รับหนังสือตอบกลับ แจ้งว่าไม่ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้คู่กรณีย์ไปชำระความกันที่กรุงเทพ ขอให้จบเรื่องเสียที่ปารีส

ส่วนนายซิกก์ได้เดินทางมาเฝ้าท่านทูตก่อนที่จะทรงได้รับหนังสือตอบดังกล่าว  น่าจะทรงตรัสว่าที่ทรงมาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ ก็เพราะสงสารเด็กๆด้วย ถ้านางแฟนนีหมดเงิน ชีวิตจะลำบาก  ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ(นายซิกก์ยอมใช้หนี้) ก็อาจจะทรงมีกระกรุณาพระราชทานเงินให้บ้าง  นายซิกก์เลยเสียงอ่อยๆ ว่าเป็นใครก็ต้องคิดเช่นนั้นเหมือนกัน อะไรประมาณนี้

แต่เมือได้ทรงทราบพระราชประสงค์ข้างต้นแล้ว  จะนำไปปรึกษากันดูว่า ถ้าจะให้จบกันที่ปารีสแล้วจะต้องทำอย่างไร


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 เม.ย. 15, 07:28
ตรงนี้ผมมีสะดุดตาสะดุดใจเล็กๆในความว่า (ราย ๒๔๐๐๐ เหรียญ)ใครมีใบรับให้เขาๆจะให้แก่ผู้นั้น

ขณะนั้นใบรับ(หรือใบหุ้นกู้)อยู่ในชื่อของนางแฟนนี ซึ่งนางคงยังไม่ยอมสลักหลังให้กับรัฐบาลไทยหรือผู้ใดง่ายๆ จนกว่านางจะพอใจว่าจะตอบแทนนางเป็นเงินเท่าไหร่

ขณะนั้นก็เช้าเกินไปที่จะตกลงกันให้จบในเรื่องนี้ แล้วคงต้องกราบบังคมทูลด้วย ซึ่งคงไม่มีพระราชประสงค์จะต่อรองอะไรกับนางแฟนนี  การเดินทางเข้ากรุงเทพมีปัญหาเบื้องต้นคือค่าใช้จ่ายในการเดินทางของนาง ใครจะเป็นผู้รับภาระ แล้วถ้าเรื่องไม่เป็นที่ตกลงกันได้ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 เม.ย. 15, 09:00
ข้อความตอนนึงที่เขียนโดยคุณไกรฤกษ์  เล่าถึงพฤติกรรมของนายซิกก์ที่มิได้ปรากฏในหนังสือกราบทูลของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์   น่าจะเอามาจากหนังสือ Fanny and the Regent เช่นกัน

ตรงที่ผมขีดเส้นใต้เอาไว้ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าความเห็นของผมไม่ผิด ที่เรียกกันว่าใบกู้เงินบ้าง เรียกลอยๆว่าใบหุ้นเฉยๆบ้างนั้น  ความจริงเข้าองค์ประกอบของหุ้นกู้ (Debenture)โดยสมบูรณ์ เพราะระบุเวลาไถ่ถอนไว้ด้วย คือ ๑๐ ปี  บริษัทไม่มีพันธะที่จะคืนเงินตามกฏหมายก่อนหน้านั้น  ก็ถูกของนายมาแลบ

แต่เนื่องจากหุ้นกู้ ผู้ถือครองอยู่อาจขายจำหน่ายจ่ายโอนไปยังผู้อื่นได้ โดยต้องสลักหลังยินยอมก่อนเท่านั้น  จึงอาจมีผู้ประสงค์จะซื้อต่อ แต่ราคาคงต้องถูกกว่าหน้าตั๋ว  เช่นระบุไว้ ๑๐๐ อาจซื้อแค่ ๘๐บาท แต่ถ้ากลิ่นไม่ดีมากๆ เช่นดอกเบี้ยไม่ยอมจ่าย หรือดูท่าบริษัทเจ๊งแน่ หนี้อาจสูญ ก็คงไม่มีบุคคลภายนอกต้องการ นอกจากบุคคลภายในเช่นผู้บริหารระดับสูงที่มั่นใจว่าถ้ากดราคาได้ต่ำๆแล้วคงไม่ขาดทุน ตรงนี้ผิดจรรยาบรรณหรือธรรมาภิบาลนะครับ แต่พวกขี้โลภขี้โกงก็ทำกัน

ในหนังสือของพระองค์เจ้าปฤศฎางค์ก็ไม่ได้กล่าวด้วยว่า ถ้าจะเอาเงินสดตอนนี้จะโดนลดเงินไปเท่าไร  มันยังไม่ถึงเวลาจะต่อรองแบบเชือดเฉือนกัน  ความไม่แน่นอนในเรื่องนี้คงมีอยู่ ทางกระทรวงจึงปฏิเสธนะ ผมว่า


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 17 เม.ย. 15, 12:35
เคยได้ยินเค้าว่าชีวิตพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ดราม่ามาก จะหาอ่านแต่ไม่ได้ทำซักที พอมาเห็นชื่อท่านในกระทู้นี้เลยรีบเสิร์ชหาอ่าน แล้วก็พบในเว็บนึง แค่เริ่มอ่านก็รู้เลยว่าใครเป็นคนโพสต์ เพราะชักคุ้นกับสำนวนลีลาการเล่าเรื่องสนุกมีเอกลักษณ์แบบนี้แล้ว ;D

เป็นไปได้มั้ยคะ ถ้าจะยกกระทู้ที่อาจารย์เคยโพสต์ไว้ในเว็บนั้น มาใส่ในเรือนไทย เพื่อที่ว่าเพื่อนๆในเว็บนี้จะได้อ่านด้วยน่ะค่ะ อีกอย่าง ท่านผู้รู้และอาจารย์ท่านอื่นๆจะได้ช่วยเสริม แยกย่อยเข้าซอยแตกแขนงขยายความต่อให้กลายเป็นมหากาพย์(อ่านกันตาแฉะอย่างที่เคยเป็นมาแล้ว ;D)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 เม.ย. 15, 13:08
หมายถึงสองเรื่องนี้หรือเปล่าครับ

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/07/K8075368/K8075368.html (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/07/K8075368/K8075368.html)

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/08/K8264362/K8264362.html (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/08/K8264362/K8264362.html)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 17 เม.ย. 15, 14:10
ใช่ค่ะ อ่านแล้วมีเรื่องที่อยากจะรู้อยากจะถามเพิ่มอีกเพียบเลยค่ะ 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 เม.ย. 15, 15:40
กลัวอยู่อย่างเดียว  มันจะกลายเป็นเดี่ยวกระทู้ไปหน่ะซี๊

 รู้สึกท่านเหล่านั้นจะเบื่อมุขผมกันหมดแล้ว :-\


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 17 เม.ย. 15, 15:50
กลัวอยู่อย่างเดียว  มันจะกลายเป็นเดี่ยวกระทู้ไปหน่ะซี๊

 รู้สึกท่านเหล่านั้นจะเบื่อมุขผมกันหมดแล้ว :-\

เข้ามายืนยันว่าไม่เบื่อครับไม่เบื่อ ;D ;D ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 เม.ย. 15, 16:08
ด็อกเตอร์ก็นานๆโผล่มาที  เขียนแค่คำสองคำ ไปแระ

เอาแบบว่า คุยกันหลังไม้ค์ดีกว่าม๊าง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 17 เม.ย. 15, 17:43
ผมเด็กไทยยุคใหม่ อ้าปากรอรับการป้อนอย่างเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือกินปูฟรี แต่ไอ้เรื่องให้ค้นคว้าเองหรือหาข้อมูลมาถกด้วยเหตุด้วยผมแบบวิชาการณ์นี่ไม่ถนัดเลย เพราะเป็นแค่ด็อก ยังไม่เตอร์ ต้องให้ครูบาอาจารย์ ซายาต่างๆท่านป้อนให้  แต่ถ้าให้ดราม่าวิพากษ์วิจารณ์ชาวบ้านนี่ค่อยพอไหว  ;D  ;D  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 เม.ย. 15, 18:52
^


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 เม.ย. 15, 19:02
ออกความเห็นหน่อยเถอะค่ะ  ว่าที่ด๊อกเตอร์
มีรางวัลให้นะ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 06:38
ย้อนพระประวัติท่านทูต พระองค์เจ้าปฤษฎางค์

สมัยทรงเป็นหม่อมเจ้าปฤษฎางค์สามารถสอบไล่ได้ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาช่าง ในปีพ.ศ.๒๔๑๙ แล้ว ได้เสด็จกลับมาเมืองไทยเพื่อเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พร้อมทั้งทูลเกล้าฯถวายรางวัลและประกาศนียบัตรต่างๆ  ได้รับพระราชทานทั้งเงินรางวัลและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นเครื่องหมายว่าทรงชื่นชมยินดี
ปีนั้นพระปรีชาได้เป็นเจ้าเมืองปราจีนบุรี ทรงโปรดเกล้าฯให้หม่อมเจ้าปฤษฎางค์ไปตรวจราชการที่เหมืองทองคำและทำรายงานถวาย ได้ความอย่างไรไม่ปรากฏ

งานฉลองปีใหม่ในวังปี ๒๔๑๙ นั้น ทรงแต่งแฟนซีล้อเลียนนายนอกซ์กับนางปรางภรรยาคนไทย ตามภาพข้างล่าง  ระยะนั้นนายน๊อกซ์กำลังซ่ามาก เป็นที่ทราบกันว่าใม่เป็นที่สบพระราชหฤทัยนัก

หลังประทับเมืองไทยได้ประมาณปีเดียว มีพระบรมราชานุญาตให้หม่อมเจ้าปฤษฎางค์กลับไปศึกษาต่อระดับปริญญาด้านวิศวกรรม  จบการศึกษาฝึกงานแล้วได้เข้าไปช่วยราชการในฐานะล่าม คราวพระยาภาสกรวงค์นำคณะทูตไปเจรจากับรัฐบาลอังกฤษเรื่องนายน๊อกซ์ที่ลอนดอน พระเจ้าอยู่หัวเลยโปรดเกล้าฯให้ทำงานด้านการทูตเลย ไม่นานก็ได้เป็นอัครราชทูต


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 07:22
อีกประมาณ ๑เดือนหลังจากหนังสือฉบับแรกที่กราบทูลไป ท่านทูตก็ได้มีหนังสืออีกฉบับหนึ่ง หลังจากทรงได้รบแจ้งว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ติดพระทัยเรื่องจะได้เงินที่ถูกยักยอกไปนั้นคืน จึงทรงทูลตอบไปตามสำเนาข้างล่าง ข้อความก็เดิมๆ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 เม.ย. 15, 07:39
โปรดสังเกตว่าจดหมายฉบับนี้เรียก "แฟนนี" ไม่ใช่ "อีแฟนนี"


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 09:23
นั่นซี โปรดสังเกตุ

เชิญคุณเพ็ญชมพูตีความก่อนครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 เม.ย. 15, 09:48
จดหมายฉบับ ๒๙ สิงหาคม "หม่อมเจ้าปฤษฎางค์" อ้างความในโทรเลขจาก "กรมหมื่นเทวะวงศ์ฯ" ซึ่งใช้คำเรียกผู้ต้องโทษตามธรรมเนียมไทยสมัยนั้นว่า "อ้าย" "อี"  ส่วนจดหมายฉบับ ๑๒ กันยายน เป็นคำที่ท่านใช้เรียกเองว่า "แฟนนี" น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลจากการศึกษาในอังกฤษซึ่งไม่มีธรรมเนียมเรียกคนโดยใช้ "คำเหยียด" นำหน้า ด้วยทุกคนมี "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" เสมอกัน

รอนักเรียนอังกฤษมายืนยัน  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 10:42
เอ...แล้วแต่แรกเรียกทำไม ? ???


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 เม.ย. 15, 11:32
ท่านอาจจะเห็นว่า "อี" เป็นคำหยาบ ไม่สมควรเขียนทูลเจ้านายชั้นผู้ใหญ่กระมัง?
อังกฤษมีบรรดาศักดิ์ขุนนางและเจ้านายคล้ายๆคนไทย  มีฐานันดรของชนชั้นแบ่งไว้ชัดเจนตั้งแต่ยุคกลาง   เห็นจะศักดิ์ศรีไม่เสมอกันเท่าไหร่ 


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 เม.ย. 15, 11:48
แนวคิดเรื่อง "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ถูกเน้นให้เห็นชัดขึ้นใน "คำกราบบังคมทูล ร.ศ. ๑๐๓" อันส่งผลให้ชะตาชีวิตท่านพลิกผัน

เนื้อความทั้งหมดอยู่ใน กระทู้ของคุณพวงร้อย (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=174.0) ความตอนหนึ่งมีดังนี้

...the establishment of "the law of equality" that would  "guarantee equal justice for all", the institution of a "fair system of taxation", a "gradual phasing-in of universal suffrage", the administrative system based on merit and not birth-right.

...ตั้ง "กฏหมายว่าด้วยความเท่าเทียมกัน" อันจะประกัน "ความเป็นธรรมอย่างเสมอภาคสำหรับทุกคน", การเก็บภาษีอย่างเท่าเทียมกัน, การให้สิทธิในการเลือกตั้งต่อประชาชนโดยค่อยเป็นค่อยไป, และระบบการบริหารบ้านเมืองที่ตั้งอยู่บนความสามารถมิใช่ชาติกำเนิด


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 18 เม.ย. 15, 11:52
กลัวอยู่อย่างเดียว  มันจะกลายเป็นเดี่ยวกระทู้ไปหน่ะซี๊

 รู้สึกท่านเหล่านั้นจะเบื่อมุขผมกันหมดแล้ว :-\

เห็นมั้ยคะว่าเรทติ้งยังแรงดีไม่มีตก อาจารย์เพ็ญฯ อาจารย์เทาฯมาหนับหนุนแล้ว ;D เดี๋ยวท่านอื่นๆก็คงตามมาบ้างละค่ะ




กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 12:01
แว๊บมาแล้วก็แว๊บไป เหมือนฟ้าแลบกลางฤดูร้อน :-\


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 เม.ย. 15, 13:40
อ้าว ท่านน้อยใจยาซะแล้ว    นักเรียนเข้าแถวด่วน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 14:12
นักเรียนมาเข้าแถวเร็วๆ อาจารย์ใหญ่เสียเวลาจะแว๊บ

เฮ้ออ อ  อ  สงสัยจะป่วยการครับท่านอาจารย์ใหญ่ นักเรียนชิงแว๊บไปก่อนหมดแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 18 เม.ย. 15, 14:28
มาครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 เม.ย. 15, 14:31
ในอังกฤษซึ่งไม่มีธรรมเนียมเรียกคนโดยใช้ "คำเหยียด" นำหน้า ด้วยทุกคนมี "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" เสมอกัน

รอนักเรียนอังกฤษมายืนยัน 


รอนักเรียนอังกฤษอยู่ทีเดียว  ;D


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 14:46
แว๊บไปแล้ว sorry


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 18 เม.ย. 15, 16:03
ต้องมาตอบก่อนท่านอาจารย์ใหญ่กว่าจะน้อยใจ  ;D  ;D  ;D

ปัจจุบันอังกฤษค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับการเหยียดกันมากครับ โดยเฉพาะตามกฏหมาย  เคยอ่านใน reader digest หลายปีมาแล้วบอกว่าอังกฤษเป็นประเทศที่มีสัดส่วนคนต่างสีผิวแต่งงานกันมากกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่นชายผิวดำแต่งกับสาวผิวขาว  นอกจากนั้นอังกฤษจะมีธรรมเนียมปฏิบัติแบบผู้ดีอยู่จริงๆ  คือมีอะไรก็ชมไว้ก่อน ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส โอบอ้อมอารีไม่แพ้คนไทย เพียงแต่รายละเอียดปลีกย่อยในการวิธีปฏิบัติต่อกันออกจะแตกต่างกัน

แต่ในเรื่องของชนชั้นนั้น จากประสบการณ์และการสังเกตส่วนตัว ผมคิดว่าแม้แต่ในปัจจุบันในสังคมคนฝรั่งอังกฤษเองยังมีการแบ่งชนชั้นอยู่  การแบ่งชนชั้นนั้นไม่ได้ออกเป็นลักษณะว่าชนชั้นสูงเหยียดชนชั้นล่าง แต่จะออกในลักษณะว่าแต่ละคนจะรู้ว่าตนมีกำพืดในชนชั้นใด ก็จะคงวิธีปฏิบัติแบบชนชั้นนั้นๆ ต่อไป โดยฐานะการเงินรายได้ดูเหมือนไม่ใช่ตัวที่จะบอกชนชั้น และแม้จะไม่แสดงออกตรงๆ แต่เหมือนทุกคนจะรู้สถานะว่าตนอยู่ในชนชั้นใด และแสดงออกถึงชนชั้นของตน

อย่างอาจารย์ที่ปรึกษาผม ชื่อลุงกอร์ดอน พื้นเพเป็นชาวสก็อตลูกชาวเหมืองถ่านหิน แม้ปัจจุบันแกจะเป็น Professor ระดับที่เรียกว่า Distinguished Professor ใหญ่เบ้อเริ่มแล้ว ก็ยังเห็นแกถ่อมตัวอยู่มาก และออกจะไม่ชอบชนชั้นสูงอยู่ไม่น้อย สังเกตจากลูกๆ แกไม่มีใครเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมเอกชนราคาแพงพวก public school เลย และพอไปมหาวิทยาลัยแม้คะแนนจะสูงพอไปเข้า OxBridge ได้ ลูกๆ แกก็ไม่เลือกไป ผมถามว่าทำไม แกบอกว่าลูกๆ ไม่ชอบเรื่องชนชั้น  อ้อ แกเป็นพวกไม่เอาสถาบันกษัตริย์อังกฤษด้วย

เพื่อนของครอบครัวอีกคน เป็นคุณยายวัยเกษียณ เคยเป็นครูมาก่อน ความรู้ดีมาก การศึกษาสูง เป็นนักอ่านตัวยงความคิดยังเฉียบแหลมแม้อายุ 80 แล้ว บางครั้งแกมักจะเล่าเรื่องเก่าๆ เกี่ยวกับครอบครัวแกให้ฟัง ก็จะบอกด้วยว่าเป็นครอบครัวของชนชั้นแรงงานเก่า ไม่ใช่พวกผู้ดี ทำให้สังเกตได้อีกว่าระบบความคิดเรื่องชนชั้นยังอยู่ในความคิดคนอังกฤษ  แม้จะไม่มีการพูดหรือแสดงออกตรงๆ คล้ายๆ กับที่คนไทยดูสายสกุลกันในปัจจุบัน ว่านี่เป็นราชสกุลนะ นี่นามสกุลพระราชทานนะ ใครผู้ดีเก่า ใครเศรษฐีใหม่ อะไรทำนองนั้น  พวกชนชั้นสูง หรือชนชั้นที่ต้องการ upgrade เป็นชนชั้นสูง จะดูได้จากวิธีชีวิตบางอย่าง เช่นส่งลูกๆ เข้าเรียนในโรงเรียน public school ที่มีชื่อเสียง  เข้าเรียนต่อ OxBridge อะไรแบบนี้  

ส่วนเรื่องการเหยียดผิว แม้จะไม่มีการแสดงออกตรงๆ แต่ก็ยังเห็นได้ว่ายังมีอยู่มาก โดยเฉพาะคนจนๆ ชีวิตไม่มีอะไร พวกนี่ยิ่งเหยียดมาก  แต่พวกคนมีการศึกษามีความรู้ มักจะสุภาพจนดูไม่ออกว่าเค้ารู้สึกยังไงกับเรา คนยิ่งกระจอกยิ่งเหยียด แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมรู้สึกว่าฝรั่งยังกฤษโดยภาพรวม ยุติธรรมและเคารพกฏเกณฑ์กว่าคนไทยอยู่มาก แต่เรื่องแปลกๆ อย่างที่เล่าเรื่องพิธีกร Top Gear ก็มีอยู่ อิหลักอิเหลื่อพิกล




กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 17:08
ความจริงแล้วทุกชาติมิได้ดีหรือเลวกว่ากันนักในเรื่องการแบ่งชนชั้นระหว่าคนชั้นสูงกับชนชั้นต่ำ คนป่าก็ยังแบ่งเลย อังกฤษนี่แหละตัวดี  ในอเมริกาที่เมื่อก่อน Dogs and Negros are not allowed ในสถานที่ต่างๆของคนขาวนั้น ก็คนอังกฤษข้ามน้ำข้ามทะเลไปตั้งหลักแหล่งที่นั่นทั้งนั้น  สมัยปกครองอาณานิคมอินเดีย อังกฤษทำตัวยิ่งกว่าจ้าวนาย ส่วนคนอินเดียก็พอใจที่จะเป็นผู้รับใช้ที่ดี  คำว่าบ๋อย ที่กลายมาเป็นคำเรียกบริกรตามร้านอาหารหรือสถานบริการนั้น เกิดจากคนอังกฤษจะเรียกคนรับใช้ชาวอินเดียว่า boy ทุกคนไม่ว่าหนุ่มว่าแก่  ผู้หญิงหรือผู้ชาย ในอังกฤษหากด็อกเตอร์ไปเรียกบ๋อยที่นั่นว่า boy แทนที่จะเรียกเขาว่า waiter คงจะโดนเชิดจมูกใส่  แถมมองด้วยหางตาอย่างเหยียดหยามสุดๆ  เผลอๆอาจมีมวยต่อ

ส่วนเรื่องที่เราหาเรื่องมาสลับฉากอภิปรายกันว่า ทำไมท่านทูตแต่แรกเรียกไอ้สำอางกับอีแฟนนี แต่เปลี่ยนtoneไปเรียกแฟนนีเฉยๆนั้น ผมไม่คิดว่าท่านจะคงคิดได้ถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อันสูงส่งอะไรนั่นหรอกครับ คือว่า ตอนที่ท่านเป็นล่ามนั้น คณะทูตที่มาคงจะใช้คำว่าไอ้สำอางอีแฟนนีกันตลอด  เผลอๆจะเรียกไอ้กงสุลน๊อกซ์ด้วย ท่านก็ทรงติดสมองอยู่ซิครับ

พอส่งหนังสือฉบับนั้นไป  หนังสือตอบที่ทรงได้รับ เราก็ไม่มีโอกาสได้เห็นนะครับ แต่พอเดาได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเคียดแค้นในเรื่องนี้  ไม่สู้จะสนพระทัยที่จะเอาเงินคืน อยากให้มันจบๆไปด้วยซ้ำ กรมหมื่นเทววงศ์คงมิได้เรียกไอ้สำอางกับอีแฟนนีกลับมา  แล้วท่านจะไม่เปลี่ยนท่วงทำนองตามได้อย่างไร


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 17:32
อ้างถึง
อย่างอาจารย์ที่ปรึกษาผม ชื่อลุงกอร์ดอน พื้นเพเป็นชาวสก็อตลูกชาวเหมืองถ่านหิน แม้ปัจจุบันแกจะเป็น Professor ระดับที่เรียกว่า Distinguished Professor ใหญ่เบ้อเริ่มแล้ว ก็ยังเห็นแกถ่อมตัวอยู่มาก และออกจะไม่ชอบชนชั้นสูงอยู่ไม่น้อย สังเกตจากลูกๆ แกไม่มีใครเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมเอกชนราคาแพงพวก public school เลย และพอไปมหาวิทยาลัยแม้คะแนนจะสูงพอไปเข้า OxBridge ได้ ลูกๆ แกก็ไม่เลือกไป ผมถามว่าทำไม แกบอกว่าลูกๆ ไม่ชอบเรื่องชนชั้น  อ้อ แกเป็นพวกไม่เอาสถาบันกษัตริย์อังกฤษด้วย

คือคนสก็อตส่วนหนึ่งไม่เอากษัตริย์อังกฤษอยู่แล้วครับ ถ้าเป็นกษัตริย์สก๊อตก็คงจะเอา แต่ตอนนี้ไม่รู้จะไปหาที่ไหนส่งเข้าประกวด ก็เลยพาลไม่เอาสถาบันกษัตริย์ไป

แต่คงไปเหมาหมดอย่างนั้นไม่ได้ อาจารย์ผมเป็นชาวสก๊อตเหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดอย่างที่ว่า


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 เม.ย. 15, 18:57
ส่วนเรื่องที่เราหาเรื่องมาสลับฉากอภิปรายกันว่า ทำไมท่านทูตแต่แรกเรียกไอ้สำอางกับอีแฟนนี แต่เปลี่ยนtoneไปเรียกแฟนนีเฉยๆนั้น ผมไม่คิดว่าท่านจะคงคิดได้ถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อันสูงส่งอะไรนั่นหรอกครับ คือว่า ตอนที่ท่านเป็นล่ามนั้น คณะทูตที่มาคงจะใช้คำว่าไอ้สำอางอีแฟนนีกันตลอด  เผลอๆจะเรียกไอ้กงสุลน๊อกซ์ด้วย ท่านก็ทรงติดสมองอยู่ซิครับ

คำที่ท่านทูตใช้เรียกว่า "อ้าย" "อี" นั้น ท่านอ้างคำที่ใช้ในโทรเลขจากท่านเสนาบดี  ซึ่งไม่ใช่เรียกตามอารมณ์แต่เป็นไปตามกฎหมายในรัชกาลที่ ๔

กฎหมายคำนำหน้าชื่อ รัชกาลที่ ๔ จากบล็อกของคุณกัมม์ (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&date=11-04-2007&group=2&gblog=56)

ประกาศพระราชบัญญัติให้ใช้คำนำหน้าชื่อชนต่าง ๆ

....ตัวแลลูกหมู่ไพร่หลวงมหันตโทษ แลนักโทษที่ไม่มีบรรดาศักดิ์ แลขาดบรรดาศักดิ์แล้ว แลตัวแลลูกหมู่ ทาส เชลย ทั้งปวงมีคำนำหน้าชื่อว่า อ้าย หญิงเช่นชายที่มีคำนำหน้าชื่อว่าอ้ายทั้งปวงนั้น ย่อมมีคำนำหน้าชื่อว่า อี ทั้งสิ้น....


ท่านทูตคงทราบความในกฎหมายนี้อยู่ แต่คงไม่เห็นด้วยตามเหตุผลที่อธิบายข้างต้น จดหมายฉบับต่อมาท่านใช้เรียกชื่อเฉย ๆ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 เม.ย. 15, 19:29
ก็ถูกน่ะซีครับ ไม่ได้เรียกตามอารมณ์หรอก แต่ทุกคนชินที่จะเรียกอย่างนั้นโดยปกติ

และจะไปเดาว่าท่านทูตคงจะไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนั้น ก็เดากันไป แล้วหนังสือฉบับก่อนทำไมจึงเรียกเล่า มโนสำนึกยังไม่เกิดหรืออย่างไร
ดังนั้นผมจึงเดาบ้างว่า พอพระเจ้าอยู่หัวท่านเบาลงแล้ว ท่านทูตก็เบาลงบ้าง คำนำหน้านามก็เปลี่ยนได้ด้วยประการฉะนี้






กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 เม.ย. 15, 05:53
ต่อครับ ต่อ
ไอ้สำอางกับอีแฟนนี บัดนั้นกลายเป็นสำอางและแฟนนีเฉยๆไปแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 เม.ย. 15, 06:41
สำหรับท่านที่ไม่ทราบนะครับ ทราบแล้วก็ผ่านไปได้

 “คนสัปเยก” มีชื่อตามภาษาอังกฤษว่า Subject หมายถึง คนในบังคับ เป็นคำเรียกกลุ่มคนที่ได้รับสิทธิพิเศษ เนื่องมาจากการทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างกรุงสยามกับต่างประเทศ ที่เรียกว่าสญธิสัญญาบาวริ่ง คำว่า สัปเยกนี้เดิมหมายถึง พลเมืองของประเทศของเขาที่ทำสัญญากับกรุงสยาม
ต่อมาคำว่า คนสัปเยก หรือคนในบังคับก็ได้กินความไปถึงคนชาวเอเชียชาติต่างๆ เช่น จีน ญวน แขก มอญ ที่อพยพเข้ามาทำมาหากินอยู่ในกรุงสยาม แต่หวังความคุ้มครองโดยเฉพาะทางศาล จากการได้รับสิทธิพิเศษตามสัญญาทางพระราชไมตรีดังกล่าว จึงได้สมัครเป็นคนในบังคับของประเทศมหาอำนาจ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา อเมริกา เป็นการทำให้อำนาจและอิทธิพลของชาวต่างชาติในกรุงสยามเพิ่มขึ้น มีผลกระทบต่อการปกครองและความมั่นคงของสยามประเทศอย่างยิ่ง รัฐบาลต้องเผชิญกับความยากลำบากทั้งทางด้านการปกครอง การค้าและการศาล ปัญหาคดีความ ปัญหาด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะคนในบังคับต่างชาติเมื่อกระทำความผิดก็ไม่ยอมมาขึ้นศาลไทย ไปขึ้นศาลกงสุล กฎหมายไทยจึงไม่สามารถควบคุมคนเหล่านี้ได้

กว่าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็ต้องปรับปรุงกฎหมายไทยและเปลี่ยนแปลงกระบวนการพิจารณาคดีด้านการศาลให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล  ซึ่งใช้เวลายาวนานมาก

แน่นอนว่าแฟนนี ลูกสาวกงสุลใหญ่อังกฤษ จะต้องเป็น British Subject แน่นอน  ส่วนลูกๆของพระปรีชาไม่น่าจะใช่


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 เม.ย. 15, 06:55
ท่อนนี้ แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของท่านทูตที่มีต่อนาง  ถ้าไม่เกรงว่าจะผิดคิว ก็น่าจะทรงเรียกอีไปแล้ว

ท่อนสุดท้ายนั้นสำคัญ นางคงไปทูลความจนท่านทูตเชื่อว่าได้ใช้เงินจนหมดไปแล้ว  แม้ว่าหนังสือโต้ตอบระหว่างสถานทูตไทยในกรุงปารีสกับกระทรวงการต่างเทศจะหาเจอเพียงเท่านั้น ทำให้เราไม่ทราบว่าเรื่องราวจะเป็นไปอย่างไร แต่แฟนนีนั้นกลับไปสยามแน่นอน รวมทั้งลูกๆของพระปรีชาด้วย ซึ่งต่อมาก็ทรงเมตตารับบุตรชายเข้าทำราชการ  ส่วนบุตรสาวก็ได้แต่งงานไปกับคนดีมีตระกูล

อยากรู้รายละเอียด ก็ให้ถามคุณหมอเพ็ญเองนะครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 เม.ย. 15, 07:11
     อนึ่งแฟนนีได้มาพูดขอให้ข้าพระพุทธเจ้าส่งตัวแลบุตรเข้าไปกรุงเทพ ฯ ว่าตัวและบุตรเปนไทย  ข้าพระพุทธเข้าต้องเปนธุระ

     ข้าพระพุทธเจ้าได้ตอบว่า บุตรสำอางทั้งสองนั้นข้าพระพุทธเจ้ารับส่งกรุงเทพ ฯ ได้ แต่ตัวแฟนนีกับบุตรของเขาแลอุ่นคนใช้ที่มาด้วยนั้น ข้าพระพุทธเจ้ารับส่งไม่ได้ ด้วยยังไม่ทราบแน่ว่าเกาเวนเมนต์อังกฤษจะว่าเขาเปนไทยหรือไม่ ถ้าแฟนนีได้หนังสือสำคัญมาว่า ตัวเธอมิใช่สับเยกต์อังกฤษแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจะส่งเปนคนไทย


บุตรสำอางหมายถึงบุตรกับคุณลม้ายภรรยาอีกคนหนึ่งคือ คุณตระกูล และ คุณอรุณ ซึ่งต่อมาคือ คุณหญิงตระกูล ภรรยาพระยาภูบาลบรรเทิง (ประยูร อมาตยกุล) สามารถพูดได้หลายภาษา  เมื่อกลับมาเมืองไทยได้ทำหน้าที่เป็นล่ามสตรีคนแรกของกรุงสยาม และ พระยาพิศาลสารเกษตร (อรุณ อมาตยกุล) ส่วนบุตรของแฟนนีชื่อ คุณจำรัส หรือ สเปนเซอร์ อายุสั้น เสียชีวิตเมื่ออายุ ๒๑ ปี


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 เม.ย. 15, 07:28
ถึงแม้ว่าท่านทูตจะมองคุณแฟนนีเป็นคนเหลวไหลอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งซึ่งต้องชมเชยคือคุณแฟนนีเป็นคนมีเมตตาพาลูกเลี้ยงไปฝรั่งเศสและให้การศึกษาอย่างดี

คุณหญิงเสมอใจ จินดารักษ์ (ซ้นฟลาวเว่อร์ นักแปลสตรีคนแรก) ธิดาของคุณหญิงตระกูล เขียนไว้ในเรื่อง "ภายใต้ความรักของแม่แฟน" ตอนหนึ่งว่า

แม่แฟนได้พาลูกเลี้ยงทั้งสองไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส ที่ วิลา เดส์ลอเรีย  ที่เมืองเบียร์ริตซ์ อันเป็นเมืองชายทะเลทางทิศใต้ของประเทศฝรั่งเศส เมื่อมาอยู่ฝรั่งเศส ก็ต้องเรียนภาษา จะส่งเข้าโรงเรียนก็ยังเล็กเกินกว่าโรงเรียนจะรับไว้  ภาษาฝรั่งเศสพื้นเมืองก็ยังรู้ไม่กี่คำ  มาดามแฟนนีจึงจ้าง Miss Gertrude Bindeloaa มาเป็น governess ให้ คุณตระกูล กับ คุณอรุณน้องชาย  ในที่นี้ใช้คำว่า ครูพี่เลี้ยง ในขณะเดียวกัน  มาดามก็สอนภาษาฝรั่งเศสให้ด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 เม.ย. 15, 08:10
ช่วยกรุณาต่อให้จบเรื่องแม่แฟนนีด้วยครับ สุดท้ายนางได้ทำงานประเภทสังคมสงเคราะห์ด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 19 เม.ย. 15, 08:25
ท่อนนี้ แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของท่านทูตที่มีต่อนาง  ถ้าไม่เกรงว่าจะผิดคิว ก็น่าจะทรงเรียกอีไปแล้ว

ท่อนสุดท้ายนั้นสำคัญ นางคงไปทูลความจนท่านทูตเชื่อว่าได้ใช้เงินจนหมดไปแล้ว  แม้ว่าหนังสือโต้ตอบระหว่างสถานทูตไทยในกรุงปารีสกับกระทรวงการต่างเทศจะหาเจอเพียงเท่านั้น ทำให้เราไม่ทราบว่าเรื่องราวจะเป็นไปอย่างไร แต่แฟนนีนั้นกลับไปสยามแน่นอน รวมทั้งลูกๆของพระปรีชาด้วย ซึ่งต่อมาก็ทรงเมตตารับบุตรชายเข้าทำราชการ  ส่วนบุตรสาวก็ได้แต่งงานไปกับคนดีมีตระกูล

อยากรู้รายละเอียด ก็ให้ถามคุณหมอเพ็ญเองนะครับ


'ฉิบหาย' ไม่ถือเป็นคำหยาบคายสำหรับสมัยนั้นหรือคะ ถึงใช้ในหนังสือกราบบังคมทูลได้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 เม.ย. 15, 08:36
เป็นศัพท์ปกติครับ เช่นเดียวกับตัวเหี้ย โรคห่า ซึ่งสมัยหลังๆถือว่าเป็นคำหยาบ

หนังสือที่ท่านทูตส่งไป ถวายเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศนะครับ ท่านเป็นพระองค์เจ้า ใช้คำว่ากราบทูล คำว่ากราบบังคมทูลใช้กับพระเจ้าอยู่หัวโดยเฉพาะ
แต่เรื่องอย่างนี้แน่นอนว่า กรมหมื่นเทววงศ์ต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลแน่นอน แต่อาจจะมิได้กระทำเป็นหนังสือ เพราะจะปรากฏหลักฐานเราอาจตามเจอที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ คงกราบบังคมทูลด้วยวาจามากกว่า


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 เม.ย. 15, 08:46
ขออนุญาตต่อเรื่อง "อุ่นคนใช้ที่มาด้วย"

เธอได้จัดให้เด็กผู้หญิงไทยคนหนึ่ง ชื่อ อุ๊น ผู้ต่อมาได้เป็นมารดาบุญธรรมของ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร  มาเป็นเพื่อนเล่นพูดภาษาไทยกับคุณตระกูลและคุณอรุณ

คุณ อุ๊น ต่อมาคือ คุณหญิง มหิบาลบริรักษ์ (สวัสดิ์  ภูมิรัคน์) อัครราชทูตสยามประจำพระราชสำนักเซนต์ปีเตอร์เบริก



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 เม.ย. 15, 08:52
ช่วยกรุณาต่อให้จบเรื่องแม่แฟนนีด้วยครับ สุดท้ายนางได้ทำงานประเภทสังคมสงเคราะห์ด้วย

มา: วิบูล วิจิตรวาทการ (น.พ.). สตรีสยามในอดีต. (พิมพ์ครั้งที่สี่). กรุงเทพฯ: บริษัทสร้างสรรค์บุ๊คส์ จำกัด. (2543).

           แฟนนี่เองนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่นอาฆาตพยาบาท ถึงแม้เธอจะมีเลือดไทยอยู่ครึ่งหนึ่ง ก็ประกาศตัวตัดขาดจากกรุงสยาม เข้าพบข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในประเทศอังกฤษ แนะนำยุยงให้อังกฤษส่งกองทัพบกและเรือเข้าโจมตีประเทศไทย เมื่อรัฐบาลอังกฤษไม่แสดงความสนใจที่จะมาตีกรุงสยาม เพราะในขณะนั้นก็ได้ครอบครองแหลมมลายูไว้ในอำนาจของตนแล้ว แฟนนี่จึงเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส พยายามหาโอกาสใกล้ชิดข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของฝรั่งเศส ยุยงให้ประเทศฝรั่งเศสรุกรานจากเขตญวนและเขมรเพื่อชิงประเทศไทยเป็นเมืองขึ้น เมื่อความพยายามนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะทางรัฐบาลฝรั่งเศสไม่คิดว่าเธอมีความสำคัญพอที่จะรับฟัง แฟนนี่จึงเดินทางกลับเข้าสู่ประเทศไทย
             
              ในหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่ง แต่งโดย R.J. Minney ชื่อ Fanny and the Regent of Siam ได้เขียนเล่าชีวิตตอนปลายของแฟนนี่ไว้ว่า เธออยู่ในกรุงเทพฯ อย่างยากจน ลูกติด 2 คนของพระปรีชาฯ นั้นได้ส่งกลับคืนให้ครอบครัวตระกูลอมาตยกุลนำไปเลี้ยงดูต่อไป ส่วนลูกชายที่ชื่อสเปนเซอร์นั้นเป็นคนอายุสั้น ถึงแก่ความตายเมื่ออายุเพียง 21 ปี เธอจึงต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่ผู้เดียว เพราะเซอร์ ทอมัส นอกซ์ บิดาของเธอก็ได้เดินทางกลับไปประเทศอังกฤษและตายในเมืองนอก ส่วนแคโรไลน์น้องสาวนั้นแต่งงานกับ หลุยส์ เลียวโนเวนส์ ลูกของนางแอนนา และไปดำรงชีพที่เชียงใหม่ เอาคุณปรางมารดาไปอยู่ด้วย

              แฟนนี่ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ทำงานสังคมช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบเคราะห์กรรมถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งกดขี่ เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ไทยและอังกฤษ ชี้แจงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนจนและคนรวย เจ้านายและชาวบ้านพลเมือง โดยมีจุดหมายให้ประชาชนชาวไทยตื่นตัวต้องการแก้ไขความไม่ยุติธรรมในระบบสังคมแห่งกรุงสยาม จนกระทั่งวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2468 เมื่ออายุได้ 69 ปี จึงตายอย่างเงียบๆ โดยไม่ผู้ใดสนใจเหลียวแล
             
            ชีวิตของแฟนนี่ นอกซ์ คิดดูแล้วก็น่าสงสาร เพราะเคราะห์กรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นต่อเธอนั้น มิได้มาจากความผิดของเธอเอง หากโชคชะตาโหดร้ายหลอกให้เธอเดินเส้นทางผิด ถึงแม้จะมีผู้สูงอำนาจวาสนาทั้งอังกฤษและไทยมารักใคร่ติดพัน เธอกลับเลือกแต่งงานกับพระปรีชากลการ ฝืนคำตักเตือนของบิดามารดา กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เซอร์ ทอมัส นอกซ์ โกรธถึงกับในวันแต่งงานของเธอนั้น ไม่ยอมเข้าร่วมพิธีด้วย การดื้อดึงปล่อยตนไปตามอารมณ์รักของชีวิตสาว ทำให้ต้องประสบเคราะห์กรรมใหญ่หลวง สามีถูกลงพระราชอาญาประหารชีวิต และตั้งแต่นั้นต่อไป ชีวิตของเธอก็ดับมืด ประทังอยู่ในความขมขื่นพยาบาท หวังร้ายต่อกรุงสยาม ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตน เมื่อไม่สามารถแก้แค้นแทนสามีได้ ก็ต้องอยู่แบบคนที่ไร้ความหมายจนกระทั่งสิ้นชีพ
           เรื่องของ แฟนนี นอกซ์ สาวสยามครึ่งอังกฤษครึ่งไทย ผู้มีชีวิตรุ่งโรจน์อยู่เพียงระยะเวลาอันสั้น จึงจบลงเพียงเท่านี้

ผมไม่เชื่อบทสรุปข้างบนนี้  Fanny and the Regent of Siam เป็นเพียงนิยายสารคดีอิงประวัติศาสตร์ ผู้เขียนมีอิสระที่จะแต่งเรื่องราวที่ตนพอใจเพื่อไม่ให้เรื่องจืดชืดได้ ดูเรื่อง Anna and The King เป็นตัวอย่าง

เรื่องที่นางแฟนนีจะไปยุยงรัฐบาลอังกฤษให้นำกองทัพบกและเรือเข้าโจมตีประเทศไทยนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่คนสำคัญใดๆจะให้เข้าพบ  พ่อของเธอเป็นกงสุลใหญ่แท้ๆไปรายงานที่กระทรวงการต่างประเทศแล้วยังถูกปลดออกจากตำแหน่งไปเลย และที่ว่าเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส พยายามหาโอกาสใกล้ชิดข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของฝรั่งเศส ยุยงให้ประเทศฝรั่งเศสรุกรานจากเขตญวนและเขมรเพื่อชิงประเทศไทยเป็นเมืองขึ้นก็คงไม่ใช่อีก คงระแคะระคายเรื่องที่นางพยายามหาโอกาสใกล้ชิดข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของสยามเพื่อหาทางที่จะได้เงินของพระปรีชามาใช้บ้างมากกว่า แล้วเอามาดัดแปลงปะติดปะต่อ

ยิ่งเรื่องที่กลับมาเมืองไทยแล้ว ทำงานสังคมช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบเคราะห์กรรมถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งกดขี่ เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ไทยและอังกฤษ ชี้แจงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนจนและคนรวย เจ้านายและชาวบ้านพลเมือง โดยมีจุดหมายให้ประชาชนชาวไทยตื่นตัวต้องการแก้ไขความไม่ยุติธรรมในระบบสังคมแห่งกรุงสยาม ยิ่งเป็นเรื่องที่ผมเห็นว่า ฝรั่งโม้ขึ้นเองเพื่อให้นางสมกับเป็นนางเอกของเรื่อง หลักฐานใดๆในเรื่องนี้ฝ่ายไทยไม่เคยมีใครกล่าวถึงเลย
สังคมในกรุงเทพเป็นสังคมเล็กๆ ในระดับปัญญาชนที่เขียนเรื่องสังคมการเมือง พระเจ้าอยู่หัวจะทรงรู้จักทุกคน และมักจะทรง”วิพากษ์”กลับไปบ้างเป็นครั้งคราว ในสมัยรัชกาลหก พระองค์มีพระทัยกว้างมากในการรับฟังความเห็นที่ใครจะเขียนลงหนังสือพิมพ์ บางครั้งจะทรงลงมาตอบเสียเองด้วยโดยใช้พระนามแฝง นางแฟนนีเป็นคนเคยดัง ถ้ามีบทบาทเช่นที่หนังสือเขียนไว้ มีหรือจะหายต๋อมไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไทยไปเฉยๆชนิดหาร่องรอยไม่เจอ

จนกว่าจะมีกูรูในเรือนไทยไปค้นบทความใน The Bangkok Times หรือ The Siam Observer หรือ The Siam Free Press สักเรื่องหนึ่งที่พอจะเข้าเค้าว่าจะเขียนโดยนางแฟนนี ผมจึงจะปลงใจเชื่อครับ



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 เม.ย. 15, 09:44
อ้าว แล้วกัน เวียนมาเข้าตัวผมซะอีกแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 19 เม.ย. 15, 14:27
อ้าว แล้วกัน เวียนมาเข้าตัวผมซะอีกแล้ว



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 เม.ย. 15, 14:48
แหะ ๆ ไม่ได้ผล


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 19 เม.ย. 15, 17:48
(http://www.craftsonsales.com/media/catalog/product/cache/1/image/500x500/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/TC-02.jpg)


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 15, 05:50
ขออนุญาตต่อเรื่อง "อุ่นคนใช้ที่มาด้วย"

เธอได้จัดให้เด็กผู้หญิงไทยคนหนึ่ง ชื่อ อุ๊น ผู้ต่อมาได้เป็นมารดาบุญธรรมของ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร  มาเป็นเพื่อนเล่นพูดภาษาไทยกับคุณตระกูลและคุณอรุณ

คุณ อุ๊น ต่อมาคือ คุณหญิง มหิบาลบริรักษ์ (สวัสดิ์  ภูมิรัคน์) อัครราชทูตสยามประจำพระราชสำนักเซนต์ปีเตอร์เบริก

คุณ Wandee ได้เขียนต่อจากข้อความนั้นไว้อย่างนี้ครับ

ในปี ๒๔๒๙   อาของคุณตระกูลและคุณอรุณ  ได้ไปกราบทูลเสนาบดีต่างประเทศ  พระยศในขณะนั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ  ผู้เสด็จไปงาน Gold Jubilee  ของ ควีนวิคตอเรียให้ส่งหลานทั้งสองกลับประเทศไทย คุณตระกูลและคุณอรุณ จึงกลับมาเมืองไทยในเดือนกันยายน ๒๔๓๐
เมื่อกลับถึงเมืองไทย  ญาติผู้ใหญ่จัดการให้คุณตระกูลเข้าทูลเกล้าฯถวายดอกไม้ธูปเทียนแด่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา  พระบรมราชเทวี ทำหน้าที่ล่ามพาหมอฝรั่งไปตรวจเจ้านายฝ่ายใน  ตลอดจนบรรดาเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๕  จนเป็นที่สนิทสนมคุ้นเคยกับทุกท่านโดยทั่วหน้า

คุณตระกูลทำราชการฝ่ายในอยู่ระหว่าง ๒๔๓๐ - ๒๔๓๓  ก็กราบลามาแต่งงานกับ คุณประยูร  อมาตยกุล  บุตรเจ้าคุณเพชรพิไชยและคุณหญิงถนอม ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอเอง
คุณวลี  ธิดาคนโต  แต่งงานไปกับพระยามหาเทพ(เชาวน์  อมาตยกุล)
คุณ เสมอ  แต่งงานกับ พระยาจินดารักษ์(จำลอง  สวัสดิ์ชูโต)
คุณหญิงภูบาลบรรเทิง  อายุยืนยาวมาจนถึง ย่าง ๘๑   ถึงแก่กรรมใน พ.ศ. ๒๔๙๕

คุณอรุณ  รับราชการและได้เป็นพระยาพิศาลสารเกษตร
ถึงแก่กรรมในปี ๒๔๘๓



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 15, 06:32
Wandee

อ้างถึง
ภายใต้ความรักของแม่แฟน

เขียนโดยคุณหญิงเสมอใจ จินดารักษ์(หรือ ซ้นฟลาวเว่อร์ นักแปลสตรีคนแรก)ธิดาของ คุณตระกูล อมาตยกุล(ต่อมาเป็นคุณหญิงภูบาลบรรเทิง)
เล่าโดย ลาวัณย์ โชตามระในหนังสือรัดเกล้า แพร่พิทยา พิมพ์  ๒๕๐๖  ราคา ๓๐ บาท   และ
แก้วชิงดวง  รวมสารคดีเรื่องเยี่ยม จัดพิมพ์โดย แพร่พิทยา ไม่ได้แจ้งปีพิมพ์ ราคา  ๓๗ บาท


คุณลาวัณย์ ไม่ได้เล่าว่าเธอพบข้อเขียนของคุณหญิงเสมอใจจากหนังสือเล่มใด แต่เธอเคยได้ไปสนทนากับคุณหญิงภูบาลบรรเทิงที่บ้านพัก มากกว่าหนึ่งครั้ง

ขออนุญาตเล่าเรื่องของคุณตระกูล สำหรับท่านที่สนใจ ถ้ามีโอกาสก็จะคุยกันในเรื่อง ซันฟลาวเว่อร์ นักแปลต่อไป เพราะเก็บงานของท่านไว้ได้ครบแล้ว
แม่แฟน ได้พาลูกเลี้ยงทั้งสองไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส ที่ วิลลาเดส์ลอเรีย ที่เมืองเบียร์ริตซ์  อันเป็นเมืองชายทะเลทางทิศใต้ของประเทศฝรั่งเศส
เมื่อมาอยู่ฝรั่งเศสก็ต้องเรียนภาษา จะส่งเข้าโรงเรียนก็ยังเล็กเกินกว่าโรงเรียนจะรับไว้ ภาษาฝรั่งเศสพื้นเมืองก็ยังรู้ไม่กี่คำ มาดามแฟนนีจึงจ้าง Miss Gertrude Bindeloaa  มาเป็น governess ในที่นี้ใช้คำว่าครูพี่เลี้ยง ให้คุณตระกูล กับ คุณอรุณน้องชาย    
ในขณะเดียวกัน  มาดามก็สอนภาษาฝรั่งเศสให้ด้วย

ไม่เคยเห็นเอกสารที่ยืนยันว่า ลูกสาวทั้งสองคนของน๊อกซ์นั้น ใครได้ส่งไปเรียนหนังสือที่อังกฤษกันแน่ มีแต่เล่าต่อกันมาว่า เมื่อแฟนนีกลับมาเมืองไทย มีงานต้อนรับใหญ่โต  การเล่าต่อกันมานี้เป็นเรื่องน่ากลัวมาก เพราะสามารถทำลายความมั่นใจของนักอ่านได้ง่ายๆ
แต่เท่าที่เห็นจดหมายที่น้องสาวแฟนนีเขียนถึงแม่ผัว ก็ดูงดงามและใช้ภาษาอังกฤษระดับดีมาก

มาดามยังจ้างครูมาสอนภาษาลาตินให้เป็นเวลาถึงสามปี
เมื่อมาดามจะกลับมาเยี่ยมเมืองไทย จึงนำคุณตระกูลไปเช้าโรงเรียนประจำที่กรุงปารีส
NAVARAT.C
อ้างถึง
อ่านแล้วรู้สึกว่า ที่เขียนๆไปนั้นผมจะประเมินค่าของคนต่ำไปแล้ว เพราะการอ่านเรื่องราวแต่ฝ่ายเดียวจากฝ่ายที่บันทึกไว้โดยมีอติต่อแม่แฟน (ตอนแรกงงกับศัพท์นี้อยู่ครู่นึง นึกว่าคือแม่ย่า หรือแม่ยายของใครสักคนนึง อ้าว..กลายเป็นแม่แฟนนีไป)

แสดงว่า การศึกษาอบรมที่เธอได้รับแต่เมื่อเยาว์วัยนั้นเป็นการศึกษาชั้นเลิศที่ให้เธอทั้งความรู้และคุณธรรม สมกับที่เติบโตอยู่ในรั้วในวังหน้า

เธอได้เลี้ยงดูบุตรของสามีเก่าเป็นอย่างดี ที่สำคัญ ยังทำให้เขาเหล่านั้นกลับมากู้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลในบ้านเกิดเมืองนอนของตนได้อย่างมีศักดฺิ์ศรี มิกลายเป็นโรบินฮู้ดร่อนเร่เป็นพลเมืองชั้นสองอยู่ในยุโรปไปเลย

ผมต้องขอคารวะเธอ และขอบคุณคุณวันดีสำหรับข้อมูลอันมีค่ายิ่งนี้ครับ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 15, 08:33
สรุปแล้ว รัฐบาลสยามได้หมดเงินไปกับคดีพระปรีชาเป็นจำนวนมาก จ่ายในเรื่องกิจการทำเหมืองทองก็เป็นเงินถึง ๑๕,๕๔๔ ชั่งเศษเข้าไปแล้ว ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งคณะทูตออกไปอังกฤษก็เป็นเงินไม่ต่ำกว่า ๘,๓๔๔ ปอนด์ บวกกับเงินไทยอีก ๕๐๐ ชั่ง แต่การริบราชบาทว์พระปรีชาเพื่อชดใช้เงินหลวงที่ฉ้อโกงไปนั้น นอกจากอาคารซึ่งต่อมาดัดแปลงไปใช้เป็นไปรษณียาคารแล้ว ก็ไม่ปรากฏสิ่งมีค่าใดพอที่จะเป็นเนื้อเป็นหนัง นำออกขายทอดตลาดก็ได้เงินคืนมาเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่รัฐเสียหาย

ส่วนที่เป็นกอบเป็นกำก็มีการยักย้ายถ่ายเทไปฝากไว้ตามสถานที่อื่นๆ ตั้งแต่ก่อนจะมีการตัดสินหมดแล้ว โดยเฉพาะแฟนนีได้ขนเงินทองของพระปรีชากลการติดตัวหนีออกไปอังกฤษเป็นจำนวนมาก มิฉะนั้นนางคงไม่กล้าไปอยู่วิลลา เดอ ลอเรีย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ผู้ดีมีเงินของยุโรปเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้นได้
และนางยังสามารถจ้าง governess มาเป็นครูพี่เลี้ยงเด็กๆ นี่คงรวม butler ที่เป็นหัวหน้าคนรับใช้ คอยดูแลเจ้านายทุกอิริยาบถ และกำกับพวก maid คนขับรถตลอดจนคนสวน อ้อ แล้วยังต้องมี chef และลูกมือที่คอยปรุงอาหารฝรั่งเศสบำเรอนายผู้หญิงและเด็กๆด้วย

ไม่ทราบว่านางได้ไปเที่ยวมอนาโคที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นหรือเปล่า  เงินทองจึงหมดไปอย่างรวดเร็วเกินควรในสถานคาสิโนกระมัง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 15, 08:35
ไปรณียาคาร ที่ดัดแปลงแต่งเสริมจากอดีตคฤหาสถ์ของพระปรีชากลการ ปัจจุบันอยู่ข้างๆสะพานพุทธฯ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 15, 09:36
แต่เรื่องเหมืองทองกบินทร์บุรีก็ยังไม่จบครับ อย่าเพิ่งเลิกอ่าน

การที่เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงได้ไปสืบราชการที่ปราจีนและกบินทร์บุรี ทำให้เห็นว่า พระปรีชาได้เอาเงินหลวงมาลงทุนทำอะไรๆไว้มากเหมือนกัน น่าเสียดายหากจะต้องทิ้งไว้ในคนมาลักโขมยขุดทองจากที่หลวง ท่านและบุตรชายจึงได้กราบบังคมทูล อาสาเป็นผู้ทำบ่อทองต่อจากพระปรีชา

เมื่อมีพระบรมราชานุญาตแล้ว ก็ได้ออกระเบียบข้อบังคับมิให้เกิดข้อบกพร่อง และยังขอให้พระยาไชยสุรินทร์ เจ้าพนักงานจากกรมพระคลังมหาสมบัติ เป็นผู้ทำบัญชีเบิกจ่ายและนำทองส่งท้องพระคลังหลวง  ให้พระยาสมบัติยาธิบาล เจ้ากรมพระคลังในขวาเป็นผู้จัดซื้อของที่จะต้องใช้ในกระบวนการผลิต

เรียกว่ารัดกุมเป็นกรณีย์ตัวอย่างทีเดียว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 15, 09:40
ตั้งท่าจะเป็นฟอร์มใหญ่บุกหนัก แต่เมื่อทำงานไปได้ไม่ถึงปีก็ต้องหยุดผลิต เพราะโรงถลุงขาดวัตถุดิบมาป้อน  สินแร่ที่ขุดไว้หมดสต๊อกแล้วต้องรอขุดใหม่แล้งหน้า
ในระหว่างที่งานหยุดชะงักอยู่นั้น พระยาไชยสุรินทร์ได้เขียนความเห็นทางบัญชีขึ้นกราบทูลสมเด็จกรมพระบำราบปรปักษ์ อธิบดีกรมพระคลังมหาสมบัติ เจ้าสังกัดบ่อทองว่า ดำเนินการมาได้ ๘ เดือน ยังไม่มีกำไร

เพราะการทำทองขึ้นอยู่กับโชค เหมือนคนเล่นหวย แม้กระนั้นก็ตามก็ยังเป็นที่ปรารถนาของคนหลายๆ คนที่อยากจะเสี่ยงโชค ทั้งนี้ เพราะทุนที่ลงไปเป็นของหลวง ถ้าขุดพบแร่ทองก็รวยไป ส่วนจำนวนทองที่ขุดได้ที่แท้จริงนั้นทางการไม่อาจรู้ได้ ถึงขุดได้มาก บอกว่าได้น้อยก็ได้ และยังได้ผลประโยชน์อย่างอื่นอีก เพราะถ้าส่งทองทูลเกล้าถวายปีละ ๘ ชั่งแล้ว ผู้นั้นก็ไม่ต้องจ่ายเงินแก่พวกเลก ในลักษณะนี้รัฐบาลมีแต่เสียขณะที่กำไรกลับตกเป็นของคนทำ จึงขอทูลเสนอให้เป็นการให้สัมปทานให้คนอื่นๆ ทำจะดีกว่าที่ทางการจะต้องลงทุนเอง

พร้อมกันนี้ ท่านเจ้าคุณก็ส่งหนังสือของหลวงนาวาเกนิกร นายอากรที่จะมาขอประมูลทำแทนเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง มาให้ทรงพิจารณาด้วย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 15, 09:45
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงหารือเรื่องนี้ไปยังเจ้าพระยามหินทร  ท่านก็กราบบังคมทูลว่า พระยาไชยสุรินทร์แสดงความดูถูกและไม่ไว้วางใจท่าน จึงขอให้ตั้งตุลาการสอบสวน เพราะท่านได้ปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต ส่วนเรื่องขาดทุนก็เพราะแร่ที่ขุดได้ไม่เพียงพอ ต้องหยุดเครื่องจักรรอการขุดแร่ขึ้นมาใหม่ ผลงานจึงได้น้อย และอีกประการหนึ่งก็ยังไม่ครบกำหนดที่ขอพระราชทานทำ ๓ ปี ก็มาด่วนติติงเสียก่อน

ว่าแล้วก็เกิดความน้อยใจ ทำหนังสือขอกราบถวายบังคมทูลลาออกจากการทำบ่อทงบ่อทอง ให้คนของมหาดไทยเป็นผู้ทำจะดีกว่า เพราะจะไม่เป็นการก้าวก่ายและเสียเกียรติพวกขุนนางในกรมมหาดไทย พร้อมทั้งขอคืนบรรดาศักดิ์ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง  ขอกลับไปใช้บรรดาศักดิ์“พระยาบุรุษรัตนราช” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ก็แล้วกัน

นี่เอารูปเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงกับลูกๆ มาให้ทั่นๆในเรือนไทยดูกัน เรื่องใจน้อยหรือน้อยใจนี่ ไม่เกี่ยวกับผมบนหัวคนเล้ย ผู้ที่ผมดกดำแน่นแทบจะหวีไม่ไปก็ใจน้อยได้นะขอรับ  ซิ๊บอกห่าย


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 15, 13:55
เรื่องนี้ผมเห็นใจเจ้าพระยามหินทร์นะครับ พวกนักบัญชีที่มิได้มีประสบการณ์ทางบัญชีโรงงานก็เป็นเช่นนี้แหละ มักจะโวยวายเมื่อลงทุนไปแล้วยังมีรายได้ห่างไกลกับจำนวนเงินที่ลง

การทำอุตสาหกรรมก็เหมือนลงทุนทำสวนผลไม้ยืนต้น เสียค่าหักร้างถางพงปลูกพันธุ์ไม้ไปแล้ว ต้องรอไปอีก๕ปี ๗ปี กว่าจะได้เก็บเกี่ยวผล แต่จากนั้นก็สบาย ทุกปีมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ต่างกับพวกปลูกพืชไร่ที่ให้ผลระยะสั้น ไม่กี่เดือนก็เก็บเกี่ยว แต่หักทุนแล้วกำไรแทบจะไม่มี เปรียบเหมือนธุรกิจซื้อมาขายไป  ลงทุนประเดี๋ยวเดียวก็ได้ขายแล้ว ถ้าถูกตลาดก็รวย ถ้าขายไม่ออกก็เป็นอีกเรื่อง

กว่าลูกๆของท่านเจ้าคุณจะไปติดเครื่องจักรที่ทิ้งอยู่เป็นปีให้ทำงานได้อีกครั้ง ก็คงหลายเดือนเข้าไปแล้ว   มันก็เหมือนรถเซกกั้นแฮนด์  ซื้อมาแล้วต้องซ่อมนั่นซ่อมนี่ หาอะไหล่กันเหงื่อตก กว่าจะได้ขับ ไม่เหมือนซื้อรถป้ายแดง กดปุ่มทีเดียวเครื่องก็ติดฉิว

เครื่องจักรโรงงานเมื่อติดเครื่องได้แล้วก็ต้องรันอิน  เอาสินแร่ที่กองอยู่ในสต๊อกมาทดลองผลิตก่อน ปรับปรุงแก้ไขไปเรื่อยๆจนกว่าขบวนการผลิตจะนิ่ง นิ่งได้ไม่นานวัตถุดิบก็หมด รอปีหน้าฟ้าใหม่จะเดินเครื่องให้เต็มพิกัด ไหนได้ แทนที่เพื่อนจะเอาค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปตั้งเป็นpre operating expense เพื่อทยอยตัดบัญชี กลับไปแสดงอยู่ในงบบัญชีกำไรขาดทุน แล้วไปฟ้องนายว่าติดลบแบบไม่มีอนาคต  อย่างนี้มันก็น่าฟาดปากกัน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 เม.ย. 15, 06:52
เรื่องนี้ได้ยุติลงเมี่อพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้กรมพระบำราบปรปักษ์ และเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ไปสอบถามเรื่องราวจากคู่กรณี ซึ่งพระยาไชยสุรินทร์ได้แก้ตัวว่า ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกเจ้าพระยามหินทร์ แต่กล่าวตามสำนวนของหลวงนาวาเกนิกรที่ขอจะเข้ามาทำบ่อทองอีกครั้งที่มาบอกว่า เปรียบเหมือนคนเป็นมวย ก็อยากจะชกอีกครั้ง

คือหลวงนาวาเกนิกรที่เคยได้รับสัมปทานที่ดินตรงนั้นเพื่อทำเหมืองทองมาก่อนไงครับ แล้วไปเลิกสัญญาแกเสียเพราะทางราชการจะทำเอง  บังเอิญคุณหลวงเป็นคนจีน ถ้าเป็นฝรั่งคงได้ยื่นฟ้องศาลกงสุล เอารัฐบาลเป็นจำเลยไปแล้ว (หลวงนาวาเกนิกร ชื่อตัวคือ ซิวเบ๋ง ต่อมาได้รับพระราชทานนามสกุล “โปษยะจินดา” เป็นตระกูลเจ้าสัวในสยามเหมือนกัน)

เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าพระยาสุรวงศ์จึงได้กราบบังคมทูลถวายคำแนะนำว่า ควรจะมีพระกระทู้ถามเจ้าพระยามหินทร์ว่า ได้ทรงชุบเลี้ยงมาจนเป็นถึงเจ้าพระยา เมื่อโกรธขึ้นมาแล้วจะมาแบ่งยศแบ่งแผ่นดินเช่นนี้ จะถือเป็นการดูถูกหรือไม่

เจ้าพระยามหินทร์เห็นพระกระทู้แล้วก็แทบสลบลงในบัดดล กราบบังคมทูลเหงื่อแตกขอยอมรับผิด ทรงว่ากล่าวตักเตือนแล้วทรงยินยอมให้ถอนตัวออกจากกิจการ เรื่องนี้ก็สงบกันไปพักหนึ่ง



กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 เม.ย. 15, 07:13
รัฐวิสาหกิจเหมืองทองคำดำเนินกิจการโดยข้าราชการก็ต้องล้มเหลวไปตามภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ แต่ก็แปลกนะ ไอ้เรื่องไปยึดสัมปทานที่เอกชนเขาดำเนินการมาดีๆมาทำเองเนี่ยะ รัฐบาลยุคประชาธิปไตยหลายรัฐบาลก็ชอบทำกัน แล้วก็เจ๊งทุกงาน ถึงไม่เจ๊งก็ดำเนินไปอย่างคนพิการ ถ้าไม่มีงบประมาณภาครัฐไปสนับสนุนก็คงพับฐานไปหมดแล้ว อย่าให้ผมต้องยกตัวอย่างเลย เดี๋ยวจะเคืองกันเปล่าๆ แต่เรื่องนี้แทนที่จะให้หลวงนาวาเกนิกร ประมูลสัมปทานไปตามที่ขอมา  พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้ากมลาศน์เลอสรรค์ ได้กราบบังคมทูลขอเป็นผู้ดำเนินการ โดยจะทรงเช่าบ่อทองและเครื่องมือที่มีเสียเอง

เรื่องเครื่องไม้เครื่องมือนี้ นายยุคเกอร์ ผู้จัดการห้างมาแลบยุเลียนแอนโก ได้ยื่นฟ้องให้ทางราชการใช้หนี้ที่พระปรีชาสั่งซื้อของนำเข้าจากต่างประเทศ  แล้วยังไม่ได้จ่ายเงินจำนวน ๒,๗๐๓ เหรียญ ๕๐ เซนต์  ซึ่งหลังจากยึกยักยืดยาดอยู่ตามระบบ ทางราชการก็ยอมชดใช้เงินในส่วนที่มีใบสั่งซื้อเป็นหลักฐาน เป็นจำนวน ๑๔๑ ชั่ง ๗๓ บาท แต่ให้คืนของบางอย่างไป

เมื่อเข้าไปทำแล้วไม่ได้ผลเท่าที่ควร เซลล์แมนก็มาทูลเสนอขายของที่หลวงคืนมานั้น แต่พระองค์เจ้ากมลาศน์ประสบปัญหาเงินทุนไม่พอเสียแล้ว ค่าเช่าก็ยังไม่ได้จ่าย กลับกลายเป็นว่าจะขอให้หลวงออกเงินซื้อเครื่องมือนั้นมาเพิ่มเติมให้ก่อน

พระเจ้าอยู่หัวทรงรำคาญพระทัยเป็นล้นพ้นจึงโปรดเกล้าฯให้เลิกทำไปเลย แล้วให้เจ้าเมืองปราจีนบุรีดูแลรักษาเครื่องจักรไว้ให้ดีจนกว่าเอกชนจะมาขอทำ จนพ.ศ. ๒๔๒๙โน่นแน่ะ จึงมีชาวอังกฤษมาขอรับสัมปทาน โดยให้ค่าธรรมเนียมร้อยละ ๑๒ ของราคาทองคำขุดขึ้นมาได้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 15, 06:27
ตามเอกสารเศรษฐกิจธรณีวิทยาเล่มที่ ๒๕ พบว่า การทำเหมืองที่กบินทร์บุรีเป็นการขุดหลุมตามสายแร่ไปทั้งความลึก และตามทางยาว
เหมืองทองคำแห่งนี้ถูกขุดจนกลายเป็นบ่อน้ำขนาดกว้าง ๒๐เมตร ยาว ๕๐ เมตร มีชื่อว่า "บ่อสำอาง" และเมื่อได้แร่ทองคำแล้วก็จะนำมาถลุงด้วยการเอาเข้าเตาหลอม ซึ่งยังปรากฏหลักฐานอยู่บริเวณบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดจนถึงปัจจุบัน

เมื่อพระปรีชากลการถูกประหารชีวิตแล้วมีเรื่องเล่ากันว่า คนของพระปรีชาได้นำแร่ทองคำบางส่วนหนีไปหล่อที่บริเวณเขาน้ำสร้างจั้น แต่ด้วยความเร่งรีบเบ้าหลอมจึงแตก ทำให้ทองคำไหลแทรกซึมไปทั่วบริเวณ
สิ้นยุคของพระปรีชากลการแล้ว ก็มีบริษัทต่างชาติ คือ The Kabin Syndicate of Siam และบริษัท Societe des Mines de Kabin เข้ามาทำเหมืองอุโมงค์เพื่อขุดหาทองต่อ โดยปัจจุบันยังคงปรากฏหลักฐานให้เห็น เช่น บ่อมะเดื่อ บ่อพอก เป็นต้น


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 15, 06:31
หนังสือรายงานการดำเนินการบริหารประเทศในสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ ชื่อTwentieth century impressions of Siam ซึ่งผมมีอยู่ที่บ้าน เอามาเปิดๆหาดู พบข้อความเล็กๆที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ดังนี้


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 15, 06:35
คำแปล

ทางตะวันออกของกรุงเทพมีเหมืองทองคำที่วัฒนานครและกบินทร์บุรี แห่งแรกนั้นบริษัทฝรั่งเศสเข้าไปดำเนินกิจการล้มเหลวสาปสูญไปแล้ว ส่วนแห่งหลังดำเนินกิจการจากเงินลงทุนของอังกฤษ ใน๑๙๐๐(๒๔๔๓) บริษัทชื่อ Kabin Gold Mines of Siam Ltd.,ได้เริ่มขึ้นด้วยเงินทุนจดทะเบียน ๒๕๐๐๐๐ ปอนด์  แต่ปีหนึ่งให้หลังก็ถูกซื้อกิจการไปโดยบริษัทใหม่ชื่อ New Kabin Gold Mines of Siam Ltd., ด้วยเงินลงทุนจดทะเบียนเท่ากัน สุดท้ายแล้วทรัพย์สินทั้งหมดก็ถูกโอนไปเป็นของ Siam Syndicate Ltd., ซึ่งกลุ่มทุนนี้ได้ประกาศเจตนาว่าจะเปิดเหมืองขึ้นใหม่ในเร็ววันนี้  ที่นั่นมีโรงงานขนาดใหญ่ตั้งอยู่  ประกอบด้วย แท่นอัดก้อนดิน  บอยเลอร์(เครื่องต้มไอน้ำ) เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ การเปิดทางรถไฟสายแปดริ้วน่าจะช่วยในด้านการบริหารจัดการเหมืองได้ เมื่อคำนึงถึงความสะดวกในการประสานงานกับสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพ


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 15, 07:16
ทั้งสองบริษัทหยุดทำเหมืองไปโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจจะเพราะสินแร่หมดไป ที่เหลือไม่คุ้มกับการดำเนินงาน ประกอบกับเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่นานต่อมา ตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก จนฝรั่งถังแตกไปตามๆกัน

แต่หลังจากนั้น รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามก็จัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๙๓ ชื่อว่า ศูนย์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ภายใต้การควบคุมของกรมโลหกิจ โดยกองอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่  และทำการผลิตแร่ทองคำอีกครั้งหนึ่งในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๙๓-๒๕๐๐ ได้ทองคำรวมทั้งสิ้น ๕๕ กิโลกรัม
พอจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติแล้ว ก็สั่งให้เลิกดำเนินการเพราะขาดทุนป่นปี้ ไม่เคยเห็นกำไร

แม้ทางการเลิกทำเหมืองไปแล้ว กิเลศตัวโลภะยังลอยฟ่องอยู่ในอากาศ  ข่าวชาวบ้านขุดพบทองคำยังปรากฏอยู่เป็นระยะๆ เช่น เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๒๔นายฉลอง เสนาะถ้อย ไปทำนาก็พบก้อนทองคำ และเมื่อลูกชายของเขาออกไปเลี้ยงควายที่กลางทุ่งก็ยังพบทองคำอีก ๑ ก้อน
นายทองพูล คำตา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๙ ต.บ้านนา อ.กบินทร์บุรี ไปตรวจสอบพบว่าเป็นความจริง ทำให้คนที่ทราบข่าวเกิดอาการตื่นทอง แห่มาขุดทองเป็นจำนวนมาก ได้กันมากบ้างน้อยบ้าง ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่เคยได้เลย จวบจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนขุดหาทองอยู่  สิ้นทุนหมดเนื้อหมดตัวแล้วจึงเลิกฝันหวานกันไปทุกคน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 15, 07:41
ถึงตรงนี้ ผมย้อนไปคิดถึงอาซิวเบ๋ง จะเรียกว่าเป็นคนมีมีทุกขลาภก็ไม่ตรงนัก ต้องบอกว่าอาเฮียแกซวยดี แม้ถูกยึดสัมปทานเหมืองทองไป แต่ก้อนที่ลอยอยู่ในชั้นดินตื้นๆเฮียคงได้ไปมากแล้วเพราะเป็นมือแรก  เมื่อโดนคนอิจฉาไปยุให้หลวงเลิกสัมปทาน ก็คงมีการชดเชยไม่ถึงกับขาดทุนจริงๆ  

ครั้งที่สองที่คันมือคันไม้อยากจะกลับมารวยอีกนี่ซี ดีนะครับที่ไม่ได้ ขืนได้ขึ้นมาตอนนั้นก็คงจบไม่สวยแน่  อาจไม่ได้เป็นหลวงนาวาเกนิกร เจ้าสัวเจ้าของกิจการไร่อ้อยและโรงหีบน้ำตาล ที่ทุกสถาบันอ้อยเรียกพ่อ โดยไม่ต้องไปเขียนสกปรกไว้ข้างกำแพง


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 15, 08:52
ส่วนร่องรอยของกิจการทำเหมืองทองคำก็ยังคงพบเห็นได้จากซากปรักหักพัง ในพื้นที่หมู่ ๕ ตำบลบ่อทอง โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ ร่วมกับจังหวัดปราจีนบุรี และ อบต.บ่อทอง ได้ฟื้นฟูสภาพขึ้นมาใหม่เพื่อจัดทำเป็น "พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ทองคำ" ปรับสภาพภูมิทัศน์ รวบรวมวัสดุ เครื่องมือเครื่องใช้ไว้ เพื่อเป็นแหล่งความรู้ และแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัด

ในพิพิธภัณฑ์จะมีตัวอย่างหินแร่ทองคำ หัวฉีดหาแร่ เครื่องร่อนทองแบบชาวบ้าน ชั้นดิน-ชั้นหินที่พบแร่ วิถีชีวิตชาวบ้านกับการร่อนหาแร่ จำลองแบบการทำเหมืองทองคำที่ขุดอุโมงค์หาสายแร่ที่บ้านบ่อทอง ก่อนจะใส่สายพานลำเลียงแร่มากองไว้ เพื่อส่งเข้าโรงโม่  เอาดินเอาหินที่มีสินแร่ทองคำอยู่ไปเข้าโรงงานถลุงต่อไป


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 15, 10:11
สมัยพระปรีชาทำเหมืองทอง จะใช้แรงงานกรรมกรขุดหน้าดินตามสายแร่ลงไปถึงชั้นหินที่มีทองคำเป็นส่วนประกอบ แล้วจึงชักรอกขึ้นมาบนดิน   หินที่นำขึ้นมาเหล่านี้จะถูกลำเลียงไปบดหยาบเพื่อให้มีขนาดเล็กลง แล้วต่อไปสู่กระบวนการบดละเอียด เพื่อให้แร่ทองคำเป็นอิสระจากแร่อื่นๆในหิน แล้วนำสินแร่ทั้งหมดที่ได้ไปผ่านกระบวนการแยกแร่เบื้องต้นด้วยการร่อน  ทองคำซึ่งหนักกว่าแร่อื่นๆมากจะแยกออกมา ส่วนสินแร่ทองคำที่อาจหลงเหลือหรือติดอยู่กับหินหรือแร่อื่น จะถูกนำไปแยกหรือสกัดอีกขั้นตอนหนึ่ง ในการทั้งหมดนี้ สินแร่ ๑ตันหรือ ๑๐๐๐กิโลกรัม จะให้ทองคำ ๑๐ กรัม เท่านั้น ๑ ต่อ ๑๐๐,๐๐๐ เท่า

ในการสอบสวนลูกน้องพระปรีชาได้พูดถึงทองที่ผสมปรอทแล้วไว้ด้วย  นั่นเป็นกระบวนการเก่าแก่ที่นำปรอทและสินแร่ทองคำที่เหลือจากการร่อนไปเผาให้ร้อน ตรงนี้ที่เรียกว่าหุงทอง ทำให้ทองคำละลายไปรวมกับปรอท เป็นโลหะเหลวเรียกว่าอะมัลกัม  เมื่อนำอะมัลกัมไปละลายกับโซเดียมไซยาไนด์เจือจาง แล้วเติมสังกะสีลงไปในสารละลาย ทองคำจะตกตะกอนอยู่ที่ก้นภาชนะ วิธีอะมัลกัมทำให้ได้ทองคำจากแร่ประมาณ ๒ ใน ๓  ที่เหลือต้องใช้วิธีทางเคมีอื่นๆสกัดต่อไป ซึ่งไม่ทราบว่าสมัยนั้นทำได้หรือเปล่า

อนึ่งโซเดียมไซยาไนด์นั้นได้ชื่อว่าเป็นสารพิษ เรียกมาแต่โบราณว่าสารหนู  คนกินไปแค่ปลายเล็บก็ถึงตายในไม่กี่นาที  หากรั่วไหลไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติแล้วจะอันตรายมาก ผมไม่แน่ใจว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ ๖ นั้น ทางราชการจะมีมาตรการในการควบคุมสิ่งแวดล้อมเป็นพิษอย่างไร

เอาละ ถือว่าเป็นโชคดีของคนในชุมชนแถวนั้นไว้ก่อน ที่กิจการเหล่านี้ไปไม่รอดในเวลาไม่ช้านาน


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 เม.ย. 15, 21:52
คิดแบบเอาใจช่วยชาวบ้านว่า สมัยนั้นป่ามีมากกว่าหมู่บ้านหลายสิบเท่า  แม่น้ำลำธารและน้ำตกมีเพียบ   ไซยาไนด์ไหลปนไปกับน้ำแรงจนอาจไม่เป็นอันตรายกับชาวบ้านที่ปลูกบ้านอยู่ริมลำธารห้วยหนองคลองละหาน
คิดอีกทางคือ ถึงตายกันไปบ้างก็ไม่มีใครสืบเสาะหาหลักฐานได้อยู่ดี ว่าลุงหรือพี่คนนี้ไปวักน้ำกินอยู่ดีๆทำไมล้มตายลงในพริบตาเดียว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: yanang ที่ 22 เม.ย. 15, 22:23
หายหน้าไปจากโรงเรียนนาน ขออนุญาตค่อย ๆ ย่องเข้าห้องเรียนมาเลคเชอร์เงียบ ๆ อยู่ด้านหลังนะคะอาจารย์


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 15, 05:42
หายหน้าไปจากโรงเรียนนาน ขออนุญาตค่อย ๆ ย่องเข้าห้องเรียนมาเลคเชอร์เงียบ ๆ อยู่ด้านหลังนะคะอาจารย์

หายไปนาน ความรู้คงอัดแน่นกลับมา แล้วจะมาเลคเซอร์เงียบๆอยู่ด้านหลังได้ไง  เชิญด้านหน้าเลยครับ ผมอยากฟัง








 ;D ล้อเล่นน่ะ  ดามสบายนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาทัก


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 15, 05:54
คิดแบบเอาใจช่วยชาวบ้านว่า สมัยนั้นป่ามีมากกว่าหมู่บ้านหลายสิบเท่า  แม่น้ำลำธารและน้ำตกมีเพียบ   ไซยาไนด์ไหลปนไปกับน้ำแรงจนอาจไม่เป็นอันตรายกับชาวบ้านที่ปลูกบ้านอยู่ริมลำธารห้วยหนองคลองละหาน
คิดอีกทางคือ ถึงตายกันไปบ้างก็ไม่มีใครสืบเสาะหาหลักฐานได้อยู่ดี ว่าลุงหรือพี่คนนี้ไปวักน้ำกินอยู่ดีๆทำไมล้มตายลงในพริบตาเดียว
มันไม่พริบตาน่ะซีครับ เพราะความที่มันเจือจางอย่างว่า แต่สารพิษที่เข้าไปในร่างกายจะไม่ถูกขับถ่ายออกไปได้โดยง่าย แต่จะเป็นพิษต่ออวัยวะภายในต่างๆ
ข้างล่างเป็นข้อมูลจากระโยงนี้ครับ

http://www.komchadluek.net/detail/20150123/199909.html (http://www.komchadluek.net/detail/20150123/199909.html)

........จากผลการสุ่มตรวจสารโลหะหนักในเลือดของประชาชนกว่า 600 คน ในพื้นที่ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตรพบว่า กว่า 200 ตัวอย่างหรือคิดเป็นร้อยละ 30 มีสารโลหะหนักในเลือด มีรหัสพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอบางส่วนหายไป หากเป็นส่วนโครโมโซมที่ควบคุมการเกิดมะเร็งและยังได้รับสารดังกล่าวอย่างต่อเนื่องยาวนานทั้งจากอาหาร อากาศ น้ำดื่มและจากห่วงโช่อาหารทุกชนิดที่เข้าสู่ร่างกาย ก็จะมีผลให้ป่วยเป็นมะเร็งได้ทั้งสิ้น สารโลหะหนักที่เป็นตัวร้ายของงานนี้คือ สารหนู แมงกานีส โดยเฉพาะสารหนู เพราะสารหนูถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งประเภทที่ 1 คือมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ มี 2 รูปแบบ คือสารหนูอินทรีย์และสารหนูอนินทรีย์ สารหนูอินทรีย์จะผ่านเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วและไม่ค่อยเป็นอันตราย แต่สารหนูอนินทรีย์มีอันตรายมากกว่า ถ้าได้รับในปริมาณมากจะมีอาการพิษเฉียบพลันคือ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง กล้ามเนื้อเกร็งและเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อยค่อยๆ สะสม จะมีอาการเรื้อรัง เช่น ผิวหนังเปลี่ยนสีเป็นจุดสีน้ำตาลกระดำกระด่าง มีตุ่มตามฝ่ามือฝ่าเท้า มีปัญหาทางระบบหลอดเลือด ระบบประสาท ระบบเลือด อวัยวะเป้าหมายที่สารหนูกระจายไปสะสมคือ เส้นผม ขน เล็บและสมอง ผู้ที่ได้รับสารหนูเข้าไปมักจะมีรอยแถบสีขาวบนเล็บมือและเล็บเท้า แสดงถึงการหยุดชะงักของการเจริญเติบโตของเล็บนั่นเอง สารหนูจะขับถ่ายทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ภายใน 2-8 ชั่วโมงหลังจากที่ได้รับเข้าไป แต่ถ้ามีการสะสมไว้นานและได้รับในปริมาณมากอาจจะใช้ระยะเวลานานถึง 70 วัน สารหนูจึงจะหมดไปจากกระแสเลือด และที่สำคัญสารหนูสามารถรบกวนการทำงานทางชีวเคมีของสารพันธุกรรมดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ สารหนูจึงเป็นทั้งสารก่อการกลายพันธุ์และสารก่อมะเร็งด้วย โดยมีหลักฐานทางการแพทย์ว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอดและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนั้นการทำเหมืองยังมีสารอื่นๆ แพร่กระจาย เช่น ฝุ่นซิลิก้า เรดอน ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปอดอีกด้วย

     ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่บริษัทได้รับสัมปทานเหมืองแร่ทองคำ ชาวบ้านได้รับผลกระทบด้านสุขภาพมาตลอด มีเรื่องมีราวถึงขั้นฟ้องศาลปกครอง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปแต่อย่างไร......


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 15, 06:14
แล้วคดีพระปรีชากลการที่กลายเป็นเรื่องการเมืองไปทั้งหมดก็มาถึงบทสุดท้าย

หลังคดีตระกูลอมาตยกุลสายนายโหมดจบ บทบาทของสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ก็แผ่วลง เพราะตั้งแต่ประสบความสำเร็จในการทำงาน และสร้างชื่อเสียงในคดีพระยาอาหารบริรักษ์แล้ว ก็สร้างปัญหามาตลอด ทั้งเรื่องวังหน้าและเรื่องพระปรีชา

คราวประชุมพิจารณาความผิดของพระปรีชาในครั้งแรกนั้น ที่ประชุมได้แสดงความไม่ไว้วางใจในพระยากระสาปนกิจโกศล และจมื่นศรีสรรักษ์ ที่ขอให้อ่านข้อกล่าวหาให้มิสเตอร์กูลด์ ทนายฝ่ายอังกฤษ ที่อ้างตำแหน่งผู้ช่วยกงสุลเข้ามาฟังการประชุมทั้งๆที่ไม่มีสิทธิ์  สมาชิกสภา๑๘ใน ๒๐ คน จึงร่วมลงนามทำหนังสือกราบบังคมทูลให้พระเจ้าอยู่หัวทรงปลดพระยากระสาปน์ จมื่นศรีสรรักษ์ และพระปรีชาออกจากการเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา แต่ข้อเสนอถูกแขวนไว้ ด้วยทรงเกรงว่าถ้าทำไปก็จะกระเทือนถึงอังกฤษเข้าไปอีก อาจโดนพาลให้เหตุการณ์ลุกลามออกไป

แต่เรื่องนี้ก็เกิดความกดดัน จนพระยากระสาปน์ต้องลาออกไปเอง โดยอ้างว่าสุขภาพไม่ดี


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 15, 06:22
และในการประชุมสภาที่ปรึกษาครั้งที่สอง เพื่อพิจารณาเรื่องเหมืองทอง ที่ประชุมมีมติให้ทำหนังสือกราบบังคมทูล ให้พระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนในเรื่องการใช้จ่ายเงินทองของพระปรีชา แต่แทนที่จะทำรายงานการประชุมเพียงฉบับเดียวแล้วเสร็จ กลับต้องทำถึง ๔ ฉบับ เพราะครั้งแรก ประธาน คือเจ้าพระยามหินทร์ทำการเกินอำนาจ ด้วยการทูลเกล้าเสนอแนะรายชื่อคณะตุลาการมาด้วย สมาชิกหลายคนไม่ยอมลงชื่อ จึงได้เขียนขึ้นอีกฉบับหนึ่ง แต่ก็โดนคนโน้นตินั่น คนนี้ตินี่ ในเรื่องถ้อยคำสำนวนเล็กๆน้อยๆ ไม่ยอมเซ็นต์กันอีก จึงได้แยกกันออกไปทำใหม่เป็นปรีวีเคาน์ซิลฉบับหนึ่ง สภาที่ปรึกษาก็แยกทำอีกฉบับหนึ่ง   

ความทราบถึงพระกรรณ พระเจ้าอยู่หัวทรงมองออกว่า สมาชิกสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ เริ่มมีการปีนเกลียวกันแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 เม.ย. 15, 06:30
ผลสรุปจากคดีพระปรีชา สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลและอำนาจของสมเด็จเจ้าพระยา ผู้ซึ่งแม้จะพ้นจากตำแหน่งผู้นำในการบริหารประเทศไปพักผ่อนที่ราชบุรี โดยวางมือจากงานราชการ ถวายคืนพระเจ้าอยู่หัวทุกอย่างแล้ว แต่ในที่สุดก็เป็นที่ประจักษ์ว่า ยังทรงขาดบุคคลอย่างสมเด็จพระยาผู้ที่มีมีประสบการณ์  และอิทธิพลในวงราชการ ตลอดจนการเมืองอย่างสูงมิได้ แม้จะเป็นช่วงที่ท่านชราภาพมากแล้วก็ตาม
 
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรัฐบาลไทยจะต้องเป็นฝ่ายชนะในคดีทุจริตของพระปรีชา ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงจำต้องร่วมมือกับสมเด็จเจ้าพระยาในการดำเนินกุศโลบายทีละขั้นตอน พร้อมๆกับกำหมดนโยบายทางการทูตควบคู่กันไป จนสำเร็จผลทั้งสองด้าน  ส่วนวังหน้า กรมพระราชวังบวรซึ่งเคยมีเรื่องขัดแย้งกับพระเจ้าอยู่หัวอย่างรุนแรง แม้จะเคยสนิทสนมเป็นพิเศษกับนายน๊อกซ์  ก็ยังทิ้งเพื่อนมาเป็นฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวในการต่อสู้เพื่อชาติ  แม้บทบาทจะทรงเป็นแค่ผู้คอยสืบข้อมูลจากปากนายน๊อกซ์โดยตรง รายงานให้สมเด็จเจ้าพระยา  แต่ก็มีผลด้านจิตใจต่อคณะทำงานมาก


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 เม.ย. 15, 06:58
คดีพระปรีชาที่สามารถหักอำนาจของกงสุลใหญ่อังกฤษลงได้สำเร็จครั้งนี้ ถือเป็นการพิสูจน์ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เป็นคนตระกูลบุนนาค เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี เสนาบดี และ (เจ้า)พระยาภาสกรวงศ์ ราชทูตผู้ไปเจรจาความเมืองครั้งสำคัญกับรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษก็ได้รับการยกย่องมากที่ทำงานสอดรับกันได้อย่างดี ไม่มีครั้งใดเลยที่มหาอำนาจจะต้องยอมเสียหน้าต่อประเทศเล็กๆอย่างสยาม แม้ผิดก็จะตะแบงเป็นถูกบนโต๊ะเจรจาเสมอ แต่ครั้งนี้ สุดท้ายเขาก็ยอมรับว่าคนของเขาผิดจริง และยอมเปลี่ยนตัวกงสุลใหญ่ให้ตามคำขอ ถือเป็นเกียรติประวัติของกระทรวงการต่างประเทศไทยอย่างมาก ตั้งแต่ครั้งนั้น

และเป็นโอกาสสุดท้ายในของชีวิตสมเด็จเจ้าพระยา ที่ได้ถวายการรับใช้งานใหญ่แด่พระเจ้าอยู่หัวและแผ่นดิน  ก่อนที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ถึงแก่พิราสัยในปี พ.ศ. ๒๔๒๕


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 เม.ย. 15, 07:21
และเมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเสด็จทิวงคตตามไปอีกในปี พ.ศ.๒๔๒๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพร้อมแล้วในฐานะทรงเป็นพระประมุขของประเทศ  ทรงมีพระราชอำนาจเด็ดขาดทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ ในการที่จะนำสยามไปสู่วิถีสากล

แต่การที่สมาชิกอาวุโสของสภาที่ปรึกษาทั้งสองต่างก็ล้มหายตายจากไปหลายคนเช่นเดียวกัน ที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติได้โดยอิสระ คอยแต่จะพยายามเงี่ยหูฟังกระแสจากในวัง ไม่ค่อยจะมีความคิดความอ่านเป็นตัวของตัวเอง ทำให้ขาดคุณสมบัติของสถาบันทางการเมืองในระบอบที่สามัญชนเข้ามาร่วมในการบริหารประเทศอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อเกิดข้อขัดแย้งในสภาก็มักจะหาข้อยุติกันเองไม่ได้ ต้องนำปัญหาขึ้นกราบบังคมทูลรบกวนเบื้องพระยุคลบาทบ่อยๆ

ดังนั้น สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์จึงหมดความจำเป็นลง พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงยุบเสีย แล้วโปรดที่จะใช้พระราชอนุชาที่เติบกล้าทางสติปัญญาแล้ว ให้ทรงเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ราชการแทนที่ขุนนางเก่าแก่เดิมๆ ที่ค่อยๆปลดระวางตัวเองไปทีละคนสองคนจนหมด


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 เม.ย. 15, 08:40
เมื่อประเมินบทบาทของสภาที่ปรึกษาทั้งสองในที่สุดแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับความล้มเหลวต่อความพยายามที่จะพัฒนาสภานิติบัญญัติในรูปแบบประชาธิปไตยในยกนี้  แล้วกลับเข้าไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชอีกครั้ง  สร้างความผิดหวังให้กับกลุ่มหัวก้าวหน้าทั้งในอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบันมาก

ส่วนเหตุผลของพระองค์ท่านนั้น จะเห็นได้จากพระราชหัตถเลขาที่ทรงตอบหนังสือกราบบังคมทูลถวายความเห็นที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์  ผู้นำคำปรึกษาที่ทรงมีไปถึงเป็นการส่วนพระองค์ ไปตีแผ่ให้ข้าราชการสถานทูตสยามในอังกฤษระดมความคิดเห็น แล้วทำเป็นหนังสือร่วมกันลงนามเป็นบัญชีหางว่าวส่งมากรุงเทพ

แต่ผมจะไม่นำทั้งหมดมาลงนะครับ เอาตรงที่เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังกล่าวถึงตรงนี้ก็เห็นจะพอ

เรามิได้จะเป็นผู้ขัดขวางในการซึ่งจะเสียอำนาจ ซึ่งเรียกว่าแอบโซลูดเป็นต้นนั้นเลย เพราะเราได้เคยทดลองรู้มาแล้ว ตั้งแต่เวลาเป็นตุ๊กตาซึ่งไม่มีอำนาจอันใดเลยทีเดียว นอกจากชื่อ จนถึงเวลาที่มีอำนาจขึ้นมาโดยลำดับจนเต็มบริบูรณ์ในบัดนี้  "ในเวลาที่มีอำนาจน้อยปานนั้นได้ความลำบากอย่างไร และในเวลาที่มีอำนาจมากเพียงนี้ ได้ความลำบากอย่างไรเรารู้ดี จำได้ดี"

พอนะครับ เดี๋ยวกระทู้นี้จะไม่จบทั้งๆที่ยาวมากแล้ว


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 เม.ย. 15, 08:47
“คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง” จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว หวังว่าผมคงจะพ้นข้อกังวลที่เคาะเข้ามาในตอนเปิดกระทู้  เกรงว่าผมจะเอาเรื่องซ้ำๆซากๆมาลงโดยไม่มีประเด็นใหม่  ส่วนท่านผู้ใดเห็นว่ายังมีอีก ไม่ควรจะจบ ถ้าอยากจะเขียนอยากจะระบายต่อก็เชิญนะครับ  แต่ขอร้องอย่าเอาเรื่องของพระองค์เจ้าปฤศฎางค์มาต่อในกระทู้นี้  ส่วนใครจะแยกเรื่องของท่านไปเปิดกระทู้ใหม่ก็จะเป็นการดี  ถ้าผมสมองผมตั้งหลักได้แล้วก็จะเข้าไปแจม  ไม่ขอรับเป็นเจ้าภาพครับ

อนึ่ง กระทู้ที่ผมเขียนทั้งหมดในเว็บใดก็ตาม ผมมักจะไม่สนใจจะให้เครดิตใครในเรื่องที่มาของข้อมูล เพราะผมเห็นว่ามันก็ลอกๆกันมาทั้งนั้น  นอกจากว่าผมจะเจอมือต้นจริงๆก็จะเอ่ยนามไว้แบบไม่เป็นทางวิชาการ (ก็เพราะผมไม่ใช่นักวิชาการไง)  แต่กระทู้นี้ ผมต้องขอให้เครดิต วิทยานิพนธ์ เรื่อง “คดีพระปรีชากลการ กับการเมืองภายในของไทย” เสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยปราณี ชวางกูร

ถ้าไม่ได้อ่านวิทยานิพนธ์ดังกล่าว ผมคงไม่มีความคิดที่จะเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา


กระทู้: คดีพระปรีชากลการ มโหฬารงานสร้างทางการเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 24 เม.ย. 15, 08:57
แต่กระทู้นี้ ผมต้องขอให้เครดิต วิทยานิพนธ์ เรื่อง “คดีพระปรีชากลการ กับการเมืองภายในของไทย” เสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยปราณี ชวางกูร

คดีพระปรีชากลการ (พ.ศ. ๒๔๒๑-๒๔๒๒) กับการเมืองภายในของไทย โดย นางปราณี ชวางกูร

วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ภาควิชาประวัติศาสตร์  บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๘

http://www.thapra.lib.su.ac.th/thesis/showthesis_th.asp?id=0000004161 (http://www.thapra.lib.su.ac.th/thesis/showthesis_th.asp?id=0000004161)