NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 405 เมื่อ 22 ธ.ค. 17, 09:38
|
|
.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Koratian
|
ความคิดเห็นที่ 406 เมื่อ 22 ธ.ค. 17, 18:47
|
|
พระมังหละเจ้าจันทร์นรินทร์ พระราชกุมารกรุงศรีอยุธยานี่คือใครครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 407 เมื่อ 22 ธ.ค. 17, 20:44
|
|
น่าจะเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งในจำนวนนับพันที่ถูกนำไปพม่าด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Koratian
|
ความคิดเห็นที่ 408 เมื่อ 23 ธ.ค. 17, 07:48
|
|
ขอบคุณมากครับท่านอาจารย์ เป็นเอกสารที่น่าสนใจมากครับ
ผมตีความว่าเป็นบันทึกตั้งแต่สมัยอยุธยา ก่อนราชวงศ์อลองพญา สมัยที่พระมหามุนียังอยู่ที่ยะไข่ ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 409 เมื่อ 23 ธ.ค. 17, 08:44
|
|
ทำไมจึงตีความเช่นนั้นล่ะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Koratian
|
ความคิดเห็นที่ 410 เมื่อ 23 ธ.ค. 17, 09:53
|
|
มีพระราชา พระอุปราช พระราชบุตร ควรเป็นอยุธยาก่อนสมัยพระเจ้าอุทุมพรครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 411 เมื่อ 23 ธ.ค. 17, 10:37
|
|
ตอนนั้นพระราชาของกรุงศรีอยุธยาอยู่ในฐานะมิตรหรือศัตรูกับพม่าหรือครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Koratian
|
ความคิดเห็นที่ 412 เมื่อ 23 ธ.ค. 17, 11:09
|
|
ไทยไม่เคยรบกับยะไข่ครับ
ช่วงปลายอยุธยา พม่ากรุงอังวะอ่อนแอมากครับ จนสิ้นวงศ์แล้วอลองพญาได้อำนาจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 413 เมื่อ 23 ธ.ค. 17, 11:31
|
|
ผมก็เชื่อว่าอยุธยาไม่เคยรบกับยะไข่ และไม่คิดว่ามีความสำคัญพอที่พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจะส่งคนไปถึงที่โน่น โดยทางบกหรือทางทะเลก็ไม่ทราบ แต่จะพ้นหูพ้นตาพม่าได้อย่างตลอดปลอดภัยอย่างไร เสี่ยงชีวิตเจ้านายพระองค์หนึ่งกับข้ารับใช้สามสี่คน เพียงเพื่อเอาของไม่กี่ชิ้นไปถวายพระพุทธรูปสำคัญเพื่อเป็นพุทธบูชา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Koratian
|
ความคิดเห็นที่ 414 เมื่อ 23 ธ.ค. 17, 13:15
|
|
ไทยกับพม่ากลับเป็นไมตรีกันสมัยพระเจ้าปราสาททองครับ ราชวงศ์ตองอูอ่อนแอลงเรื่อยๆสูญเสียอำนาจควบคุมมอญ ไทยยึดมะริดเป็นเมืองท่าสำคัญนับแต่สมัยพระนารายณ์เป็นต้นมา เส้นทางการค้ามะริด พะโค อาระกัน เบงกอล รุ่งเรือง เดินเรือได้เป็นปกติ จนถึงสมัยพระบรมโกศ อนึ่งในบันทึกดังกล่าวพระราชบุตรเป็นผู้รวบรวมของถวาย มิได้กล่าวถึงการเสด็จฯโดยพระองค์อย่างชัดเจน ตามความเท่าที่ได้อ่านครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 415 เมื่อ 03 ม.ค. 18, 10:28
|
|
ขอโทษครับที่เพิ่งเข้ามาเห็น ผมยังไม่คล้อยตามคุณคนโคราชอยู่ดี อาระกันหรือยะไข่เวลานั้นไม่ค่อยจะญาติมิตรกับพม่า เพราะพม่าเองก็จ้องพระพุทธรูปทองคำนี้ตาเป็นมัน ในที่สุดก็ปล้นเมืองเขา เอาพระมหามุนีไปจนได้ เมื่อได้ไปแล้วก็เฉลิมฉลองกันใหญ่โต (เหมือนเมื่อไทยได้พระแก้วมรกตมาจากการตีเวียงจันทน์ แล้วนำมาเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง)
อ่านข้างล่างนี้อีกทีเถิดครับว่าอะไรจะสมเหตุสมผลกว่ากัน ระหว่างกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาที่หมายถึงพระเจ้าอุทุมพร หรือพระเจ้าปราสาททอง มีจัดของถวายให้พระมหาเถระผู้ดูแลซึ่งเป็นชาวพม่าด้วยนะครับ ถ้าพระองค์นี้ยังอยู่ในอาระกัน พระเถระพม่าจะไปเกี่ยวอะไรด้วย
แล้วพระเจ้าปราสาททองหรือจะมีพระราชศรัทธา ขนาดส่งพระราชบุตรเอาของถวายพระไปกับนายมอง นายท้วย นายกะลา ไม่มีขุนนางหรือขุนทหารไปถวายอารักขาสักคน การเดินทางไปมะริดสมัยนั้นต้องใช้เรือ จากอยุธยาเข้าแม่น้ำเพชรบุรีไปจนสุดสาย แล้วเดินเท้าข้ามเทือกเขาตะนาวศรี ถึงฝั่งโน้นก็นั่งแพ ถ่อตามลำธารไปลงเรือที่เมืองตะนาวศรี แล้วจึงจะถ่อบ้าง ใช้ใบบ้างจนถึงมะริด เปลี่ยนไปลงเรือใหญ่ของพ่อค้า ไม่แขกก็ฝรั่ง เพื่อเดินทางต่อ ในทะเลก็มีโจรสลัดมากมายกว่าจะถึงยะไข่ มันจะคุ้มค่ากับชีวิตของพระราชบุตรและพระราชทรัพย์ที่ต้องจ่ายหรือครับ สำหรับการนำของไปถวายพระแค่รายการที่พม่าบันทึก
และผมยังเดาว่าในบันทึกใบลานฉบับนั้น คงมีข้อความอื่นๆอีกมาก หากเป็นเรื่องของยักไข่แล้ว ผู้แปลชาวพม่าคงไม่นำมาสรุปความเห็นว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้าอุทุมพรแน่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 416 เมื่อ 03 ม.ค. 18, 14:28
|
|
ปีใหม่ศักราชใหม่ ในวันที่ 1 มกราคม 2561 เวลา 21:21 น. หน้าเฟซบุคของศิลปวัฒนธรรมก็ได้ปล่อยบทความเรื่อง สถูปเจ้าฟ้าอุทุมพร และลูกหลานชาวโยดะยาในพม่า “คุณหมอทิน มอง จี” ออกมาอีกเผยแพร่ครั้งหนึ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 417 เมื่อ 03 ม.ค. 18, 14:29
|
|
บทความนี้มีที่มาจากนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ ธันวาคม 2555 โดย วลัยลักษณ์ ทรงศิริ แห่งมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์เป็นผู้เขียนไว้นมนานกว่าห้าปีมาแล้ว และเฟซบุคของศิลปวัฒนธรรมเองก็เคยนำมาลงไว้ครั้งหนึ่ง เมื่อ วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2559 ซึ่งก็เป็นช่วงหลังที่อดีตอธิบดีกรมศิลปากรได้แสดงวาทกรรมจนเสียเรื่องเสียราว เสียไมตรีกับทางราชการของพม่าไปเรียบร้อย แต่ก็ยังเอาบทความเก่านั้นมาลงไว้ทั้งดุ้น สร้างความสับสนให้กับผู้อ่านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาก่อนไม่รู้ว่ากี่คน เฉพาะที่กด Like ให้ก็ ๑๗๐๐ รายเข้าไปแล้ว แต่ท่านลองดูความเห็นเหล่านี้สิครับว่า ได้สะท้อนความรู้ความเข้าใจอะไรที่คนเหล่านี้ได้ไปจากศิลปวัฒนธรรมบ้าง
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 418 เมื่อ 03 ม.ค. 18, 14:33
|
|
นั่นแสดงว่า คนในสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรมไม่ลืมหูลืมตาหาข้อมูลใหม่ๆที่ได้ปริวรรตอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา โดยกระทำตัวประหนึ่งแก้วที่มีน้ำเต็ม ไม่ยอมรับอะไรได้อีกแล้ว หรือหาไม่ก็ในปัจจุบัน สำนักพิมพ์นี้ขาดคนที่มีคุณภาพที่จะกำกับดูแลเรื่องนี้ เพราะสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจ จึงจำเป็นต้องตัดทอนทุกอย่างลง เพื่อดิ้นรนจะยืดวันดับออกไป
นี่คืออันตรายแท้จริงแห่งอนาคต เมื่อสื่อสิ่งพิมพ์ดีๆถูกสื่ออินเทอเน็ตทำลายย่อยยับไปแล้ว สิ่งที่มันจะทำลายให้สิ้นทรากต่อไปคือมันสมองของคนอ่าน มนษย์ยุคใหม่จะได้เสพย์เฉพาะเรื่องราวที่มักง่ายจากผู้เขียนไร้คุณภาพและความรับผิดชอบ ซึ่งสมัยก่อนนั้น ใครจะผ่านขึ้นเป็นนักเขียนในนิตยสารได้ก็ต้องเจอกับระบบคัดกรองหลายด่าน จนถึงสำนักพิมพ์และบรรณาธิการ ถ้าไม่ดีจริงก็ไม่มีทางเสนอผลงานออกสู่สาธารณะได้ หรือหากใครจะลงทุนพิมพ์หนังสือของตนเอง ก็ต้องลงทุนจ่ายค่าพิมพ์ไม่ใช่น้อยๆ ซึ่งก็ไม่แน่ไม่นอนว่าจะมีกำไรหรือขาดทุน แต่สมัยนี้ ใครคันไม้คันมือมือใคร่อยากจะเขียนอะไรก็ไม่ต้องลงทุนลงแรง สามารถจิ้มก๊อกๆแก๊กๆไปแปะไว้ในเฟซที่มีคนอ่านแยะๆได้เลย เราจึงได้พบเห็นบทความกเฬวรากเยอะมาก คนก็ชอบแห่เข้าไปเม้นต์ด้วยความเมามัน ไม่ได้อะไรติดสมองออกมาเลยนอกจากโทษะและโมหะ สังคมในอนาคตจะเป็นอย่างไรผมก็ไม่อยากจะคาดเดา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 419 เมื่อ 03 ม.ค. 18, 14:34
|
|
เนื่อเรื่องเต็มๆ ผมก็ได้ทำระโยงไว้ให้แล้วดังนี้ https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_5046แต่เพื่อความสะดวกในการวิจารณ์ ผมได้ถ่ายทอดบทความนี้มาเป็นรูปภาพ ซึ่งผมจะล้อมกรอบถ้อยความบางตอนไว้ด้วยสีแดง อันเป็นเรื่องที่ศิลปวัฒนธรรมควรจะปรับปรุงให้ทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|