^
^
ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับข้อความดังกล่าวข้างต้นที่เดี่ยวนี้มีผู้นำมากล่าวถึงกันมาก สำหรับผม ขอแก้ตามความเห็นดังนี้
เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก 2310 ข้าราชบริพาร สมณ ชีพราหมณ์ ไพร่ ต่างได้รับความเดือดร้อน ไม่มีแผ่นดินอยู่ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชจากพม่า ตลอด15 ปีต่อมา ทุกหมู่เหล่ายังไม่ทันกลับมาร่มเย็นเป็นสุข เพราะคนไทยยังแย่งชิงกันเป็นใหญ่ในแผ่นดิน บ้านเมืองยังมีศึกทั้งภายในภายนอก ก็กลับปรากฏว่า พระองค์ท่านหลง จิตไม่ปกติ ทำให้ข้าราชบริพาร สมณ ชีพราหมณ์ ฯ เดือดร้อน เป็นโทษหนักจนเป็นเหตุต้องถูกสำเร็จโทษ ท่านเป็นมหาราชที่อาภัพนักในสมัยที่อำนาจเป็นธรรม อ่านประวัติศาสตร์ให้มากๆเถอะครับ ไม่ว่าบ้านใดเมืองใด ผู้มีอำนาจก็รักษาอำนาจด้วยการฆ่าผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นเหตุสั่นคลอนอำนาจของตนทั้งนั้น บรรดาประเทศในเอเซียด้วยกัน พม่ายิ่งหนักกว่าเขาเพื่อน ผลัดแผ่นดินครั้งสุดท้ายก่อนตกไปเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษหมดทั้งประเทศ เมื่อพ.ศ.๒๔๒๑ ไทยเราตรงกับสมัยรัชกาลที่๕ ปีนั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ยังประสูติแล้ว พระเจ้าสีป่อกษัตริย์พระองค์ใหม่เชื่อพระมเหษี พระนางศุภยาลัต จับเจ้าพี่เจ้าน้องของตนเองทั้งหมดมาประหาร เพียงเพราะเกรงว่าจะเป็นเสี้ยนหนามแก่ราชบัลลังก์ในอนาคต
กรณีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มันเป็นวิบากของท่านเองที่เกิดผิดปกติทางจิต ผมไม่ทราบหรอกในทางแพทย์แผนปัจจุบันจะระบุว่าถึงขั้นไหน แต่เรียกแบบชาวบ้านว่าเกิดคุ้มดีคุ้มร้ายก็แล้วกัน อยากจะเฆี่ยนจะฆ่าใครก็มิได้ทรงมีสติยั้งคิด ถามว่า ถ้าเป็นตัวคุณเอง มีดาบ มีอำนาจด้วยกัน จะยอมเสี่ยงชีวิตรับใช้ใกล้ชิดเจ้านายแบบนี้หรือไม่
เมื่อเชิญลงจากอำนาจได้ก็ต้องทำตามโบราณประเพณี ขืนเอาไปปล่อยเกาะแบบนโปเลียน โบนาปาร์ต เดี๋ยวคงมีคนไปนำเสด็จกลับ ก่อให้เกิดการรบราฆ่าฟันระหว่างคนในชาติอีก สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯท่านไม่ทรงมีทางเลือกหรอกครับ
คนสมัยเราควรจะปลงใจ อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ปัจจุบันก็เปลี่ยนแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก ลองตามไปอ่านเรื่องของพม่าดู แล้วอาจเปลี่ยนทัศนคติ
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8387677/K8387677.htmlพองานพระบรมศพพระเจ้ามินดงเสร็จสิ้นลง ซึ่งก็ใช้เวลาเพียง๗วันก็บรรจุพระบรมศพแล้ว พระนางศุภยาลัตทรงโปรดให้จัดงานปอยหลวงขึ้นสามวันสามคืนอย่างครึกครื้น นัยว่าจะให้ชาวเมืองลืมความทุกข์โดยการมาเที่ยวงานให้สนุก อันที่จริงนั้นก็เพื่อจะกลบเกลื่อนกรรมพิธีที่จะเริ่มต้นการสังหารหมู่บรรดาเจ้าพี่และเจ้าน้องของตัวเองทั้ง๓๐ องค์ รวมถึงเจ้าจอมมารดา ขุนนาง และบริวารรวมทั้งสิ้น ๑๒๕ คนด้วย เจ้านายองค์ใดถูกปลงพระชนม์ เจ้าจอมมารดา พระภคินีขนิษฐาและบรรดาโอรสธิดาของเจ้านายองค์นั้นก็โดนประหารไปด้วย
ที่ต้องใช้เวลาอยู่ถึงสามวันในสังหารผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมด ก็เพราะต้องลงมือฆ่าเฉพาะในเวลากลางคืน เมื่อแดดร่มลมตกผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวงาน ละครเริ่มออกโรง ดนตรีปี่พาทย์บรรเลงดังที่เข้าที่แล้วก็จะช่วยกลบเสียงโหยหวลของมนุษย์ที่กำลังเผชิญกับความตาย พระเจ้าสีป่อเองก็ถูกมอมให้เสวยแต่น้ำจัณฑ์จนเมามายลืมโลก จะได้ไม่ต้องสนใจการสังหารหมู่ครั้งนั้น