สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั้งชาวจุฬาฯ และสังคมทั่วไปก็คือ บริเวณที่เป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นมีต้นจามจุรีขึ้นอย่างหนาแน่น อาจารย์และนิสิตรุ่นเก่า ๆ เล่าให้ฟังว่า ในอดีตใครก็ตามประสงค์จะไปติดต่อราชการหรือธุระส่วนตัวที่ “โรงเรียนมหาวิทยาลัย” หรือ ”โรงเรียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ซึ่งค่อย ๆ สั้นลงมาเป็น “โรงเรียนจุฬาฯ” และเหลือแต่ “จุฬาฯ” นั้น จะมีผู้แนะนำให้สังเกตว่าที่ใดเป็นโรงเรียนมหาวิทยาลัยนั่นคือไปที่ประทุมวัน
บริเวณที่มีถนนผ่านต้นจามจุรีมาก ๆ พอไปถึงจะเป็นตึกเรียน นักเรียนและอาจารย์เส้นทางที่จะไปสถานที่ซึ่งมีจามจุรีมาก ๆ คือ ถนนพระราม 1 ถนนพระราม 4 และถนนพญาไทนิสิตรุ่น พ.ศ.2460 กว่า ๆ เล่าให้ฟังว่า บริเวณที่เป็นส่วนหนึ่งของสนามศุภชลาศัยและที่เป็น “เชียงกง” และร้านค้าใกล้สี่แยกเจริญผลเป็น
สวนผัก ซึ่งนิสิตจะแอบมองและเกี้ยวพาราสี “หมวยสาว” โดยเฉพาะผู้ที่อยู่หอพักหลังวังวินด์เซอร์ ส่วนบริเวณที่เป็น Siam Square ในปัจจุบันเป็นสวนหย่อมซึ่งทางราชการใช้เป็นแหล่งทดลองปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เส้นทางถนนพญาไท ทางเดินและทางรถยนต์เลี้ยวเข้าวังวินด์เซอร์แถวหน้าโรงเรียมเตรียมอุดมศึกษาในปัจจุบันนั้น เป็นเส้นทางซึ่ง
สมเด็จพระบรมราชชนกทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านเพื่อไปสอนหนังสือที่วังวินด์เวอร์ นิสิตคณะแพทยศาสตร์คงจำกันได้แม่นยำว่าจะพากันเดินช้า ๆ (กะว่าเวลารถยนต์พระที่นั่งผ่าน) พระองค์ท่านจะทรงหยุดรถและรับนิสิตขึ้นรถยนต์พระที่นั่งเพื่อให้ไปเรียนทัน บ่อยเข้าก็รับสั่งอย่างรู้ทันว่าหากอยากนั่งรถยนต์พระที่นั่งก็รอปากทางก็แล้วกัน ไม่ต้องเดินทอดน่องให้เห็นหรอก เล่นเอานิสิตผู้วางแผน “มาสาย” เขินไปตาม ๆ กัน นิสิตรุ่นนั้นต่างเล่าตรงกันว่าต้นจามจุรีให้ร่มเงาในเวลาเดินทางไปมา และเดินทางจากวังวินด์เซอร์ไปเรียนที่อาคารตึกบัญชาการ (ตึกอักษรศาสตร์ 1 ในปัจจุบัน) และได้อาศัยโคนต้นจามจุรีเป็นที่นั่งพักผ่อนตลอดจนดูหนังสือนิสิตรุ่น พ.ศ. 2470 กว่า ๆ ต่างก็ให้ข้อมูลตรงกัน เช่น ศาสตราจารย์ ม.ล.จิรายุ นพวงศ์ องคมนตรี คุณเกรียง กีรติกร อดีตอธิบดีกรมสามัญศึกษา (ถึงแก่กรรมมาหลายปีแล้ว) เล่าให้ฟังว่าคุณเกรียงกับศาสตราจารย์ ม.ล. จิรายุ นพวงศ์ เป็นคู่หนึ่งในหลาย ๆ คู่ ที่ซ้อนท้ายจักรยานจากวังวินด์เซอร์ไปเรียนที่ตึกบัญชาการเวลาเปลี่ยนชั่วโมงเรียนเพื่อไปเรียนภาษาอังกฤษ ได้อาศัยร่มเงาของจามจุรีเดินทางทั้งตามถนนโรยกรวด หรือถ้าไม่มีฝนตกก็ลัดเลาะผ่านต้นจามจุรีซึ่งขึ้นเต็มไปหมด
นิสิตรุ่น พ.ศ.2480 กว่า ๆ ได้เล่าให้ลูกศิษย์และน้อง ๆ และลูกหลานฟัง โดยเฉพาะนิสิตหญิงคณะอักษรศาสตร์จะจดจำกันว่าเวลาถึงหน้าหนาวจะต้องคอยดูเสื้อกันหนาวของตนให้ดี นิสิตที่ยิ่งสวยมากเท่าไรก็มีโอกาสที่เสื้อกันหนาวจะลอยไปค้างที่กิ่งจามจุรีหลังตึกอักษรศาสตร์ ส่วนใหญ่กลัว 2 อย่างคือกลัวผี เพราะมีคนผูกคอตายหลายราย กับกลัวสัตว์ร้าย โดยเฉพาะงู เพราะต้นจามจุรีขึ้นหนาทึบ ตามพื้นดินมีกิ่งไม่ใบไม้ทับถมหนา จามจุรีจึงเป็นต้นไม้แห่งความหลังอันระทึกใจ และมีทั้งชื่นใจและตรอมใจอยู่หลายคู่
นิสิตรุ่น พ.ศ.2490 กว่า ๆ เริ่มพบกับจามจุรีที่เป็นซุ้มรับน้องใหม่ ปลายทศวรรษนี้เริ่มมีมาลัยจามจุรีมอบให้น้องใหม่หรือเป็นรางวัลสำหรับนักกีฬาของคณะต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2492 ต่อ 2493 สุนทราภรณ์ได้แต่เพลง “จามจุรีศรีจุฬาฯ” ให้แก่ชาวจุฬาฯ ทั้งนี้เพราะสมัยโน้นวงดนตรีสุนทราภารณ์และจุฬาฯ ใกล้ชิดกันมาก สุนทราภรณ์ได้นำความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ และจามจุรีมาแต่เนื้อร้องที่มีความหมายกินใจ และใส่ทำนองเพลงที่ไพเราะยิ่งเชื่อว่าสายสัมพันธ์อันเป็นที่มาของเพลงนี้คงจะมีมาก่อนทศวรรษ 2490 แน่นอน
ช่วงเวลา พ.ศ. 2490 จามจุรีเป็นชื่อทีมฟุตบอลที่แข่งขันถ้วยต่าง ๆ สโมสรนิสิต (สจม.) และสโมสรนิสิตเก่า (สนจ.) ใช้เป็นชื่อทีมฟุตบอลแข่งขันงานที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยจัดขึ้น คนรุ่นหลังโดยเฉพาะผู้ที่ชอบและติดตามการแข่งขันฟุตบอลเริ่มรู้ว่าชาวจุฬาฯ มีความผูกพันกับจามจุรีเพียงใด
นอกเหนือจากข้อมูลที่ประมวลมาเสนอข้างต้นแล้ว สิ่งที่นิสิตจุฬาฯ มีความรู้สึกนึกคิดตรงกันคือสีดอกจามจุรีเป็นสีชมพู จามจุรีให้ร่มเงาสำหรับการเดินไปมา การพักผ่อน การดูหนังสือ ใช้กิ่งก้านใบจามจุรีในกิจกรรมรับน้องใหม่กับการแข่งขันกีฬา วัฏจักรของจามจุรีสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวจุฬาฯ กล่าวคือ สีเขียวชอุ่มให้ความสดชื่นในภาคต้น และภาคที่สองทั้งใบและฝักเตือนให้รีบดูหนังสือเตรียมตัวสอบปลายปีมิฉะนั้นจะพบกัน repeat หรือ retire จามจุรีอยู่ที่จุฬาฯ มานานจนบอกไม่ได้ว่าเมื่อไร ด้วยเหตุนี้จามจุรีกับจุฬาฯ จึงผูกพันกันมากจนกลายเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยและเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของจุฬาฯ
ประมาณต้นทศวรรษของ พ.ศ. 2500 ผู้บริหารของจุฬาฯ เห็นว่าจามจุรีเป็นไม้ที่สลัดใบ และฝักทำให้ถนนและคูข้างถนนในจุฬาฯ สกปรก มีโรคพืชทำให้กิ่งก้านหักหล่น จึงไม่มีนโยบายปลูกทดแทนต้นที่ตายไป นอกจากนั้นในช่วง พ.ศ.2480-2500 มีคณะต่าง ๆ เกิดขึ้นมาก จึงต้องโค่นจามจุรีเพื่อสร้างตึกใหม่ จามจุรีจึงลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย ส่วนจะมีเหตุอะไรที่อยู่เบื้องหลังนโยบายไม่ปลูกต้นจามจุรีจะมีอะไรบ้างนั้นคงจะเล่าเรื่องบางเรื่องในข้อเขียนไม่ได้เพราะเสี่ยงต่อการตกเป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาท
จากการที่จามจุรีมีน้อยลงอย่างเห็นชันเจน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชกระแสถามถึงเหตุที่ทำไมจามจุรีจึงมีน้อย อาจารย์และนิสิตเก่าอาวุโสหลายท่านเล่าให้ฟังว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่าจามจุรีมีความผูกพันกับคนแถวนนี้มาก หากจุฬาฯ ไม่ปลูกจะเสด็จพระราชดำเนินมาปลูกต้นจามจุรีเอง โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2506 มีโทรศัพท์จากพระราชตำหนักจิตรดารโหฐานถึงผู้บริหารจุฬาฯ ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาปลูกต้นจามจุรี ความโกลาหลระคนกับความปลื้มปิติเกิดขึ้นและแผ่ขยายไปทั้งจุฬาฯ ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกต้นจามจุรี 5 ต้นหน้าหอประชุม ได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ กับจามจุรี ทรงเน้นว่าดอกสีชมพูเป็นเป็นสัญลักษณ์สูงสุดอย่างหนึ่งของจุฬาฯ ทรงเล่าว่าทรงปลูกต้นไม้ที่พระตำหนักไกลกังวล จามจุรีงอกขึ้นที่บริเวณต้นไม้ซึ่งทรงปลูกไว้ จึงทรงถือว่าทรงปลูกจามจุรีเหล่านั้นด้วย เมื่อจามจุรีโตขึ้นแล้วเห็นว่าควรเข้ามหาวิทยาลัยเสียที สถานที่เรียนนั้นไม่มีที่ใดเหมาะเท่าจุฬาฯ จึงทรงนำมาปลูกไว้ที่จุฬาฯ ก่อนจบกระแสพระราชดำรัสในวันที่ได้รับสั่งว่า “ฝากต้นไม้ไว้ห้าต้น ให้เป็นเครื่องเตือนใจตลอดกาล” จามจุรีพระราชทานทั้งห้าต้นจึงยืนต้นอย่างแข็งแรงเป็นศรีสง่าและสิริมงคลแก่ชาวจุฬาฯ มาจนถึงปัจจุบันและตลอดไป
ที่มา
http://www.memocent.chula.ac.th/article/%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99/