สาส์นของนายปรีดี พนมยงค์
ถึงอดีตเสรีไทย และ ทายาท
ชานกรุงปารีส
วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๗
สวัสดีมายังเพื่อนอดีตเสรีไทยและทายาทที่รักและนับถือทั้งหลาย
ด้วยเพื่อนอดีตเสรีไทยและทายาทหลายท่านได้แจ้งมายังผมว่าจะบำเพ็ญการกุศลทำบุญอุทิศให้แก่เพื่อนอดีตเสรีไทยที่ล่วงลับไปแล้วในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ปีนี้ ในโอกาสนั้นผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์ก็จะบริจาคโลหิตของตนมอบให้สภากาชาดเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ผมจึงมีความยินดีและขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของท่านทั้งหลาย และหวังว่าท่านทั้งหลายที่สามารถไปยังวัดพระศรีมหาธาตุตามวันที่กล่าวนั้นคงจะได้ร่วมบำเพ็ญการกุศลครั้งนี้ด้วย
ในโอกาสนี้ ผมขอให้ท่านทั้งหลายระลึกถึงคำปราศรัยของผมต่อผู้แทนหน่วยขบวนเสรีไทยต่าง ๆ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งแสดงถึงเจตนาอันบริสุทธิ์และวัตถุประสงค์ของขบวนการเสรีไทย มีความสำคัญที่ผมขอคัดมากล่าวในที่นี้ว่า
..................................................
ส่วนขบวนการอื่นใดจะมีแผนการทางการเมืองและทางการทหารอย่างไรและติดต่อกับประเทศมหาอำนาจใดนั้นก็เป็นเรื่องที่ขบวนการนั้นต้องชี้แจง แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับการติดต่อระหว่างขบวนเสรีไทยกับรัฐบาลจีนและกองบัญชาการสัมพันธมิตรในย่านเอเชียอาคเนย์นั้น ผมขอชี้แจงว่าในระหว่างสงครามต่อต้านญี่ปุ่นนั้นประเทศสัมพันธมิตรอื่น ๆ รวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนเองยอมรับรองว่าจีนมีรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงรัฐบาลเดียวซึ่งตั้งอยู่ที่นครจุงกิงโดยมีเจียงไคเช็คเป็นประมุข พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ส่งโจวเอินไหลให้เข้าร่วมในรัฐบาลจีนนั้นในฐานะเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนหนึ่ง และฝ่ายคอมมิวนิสต์จีนได้เปลี่ยนฐานะกองทัพแดงให้เป็นกองทัพลู่ที่ ๘ และกองทัพที่ ๔ ใหม่ของรัฐบาลจีน ส่วนรัฐบาลจีนของหวังจิงไวที่นานกิงนั้นขบวนการเสรีไทยไม่ติดต่อด้วย ส่วนเขตกองบัญชาการสัมพันธมิตรนั้นในขั้นแรกสัมพันธมิตรได้ตกลงให้เจียงไคเช็คเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในเขตประเทศจีนและในแหลมอินโดจีน ซึ่งถ้าคงเป็นเช่นนั้นต่อไปแล้วเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรชนะเจียงไคเช็คก็มีอำนาจส่งกองทหารจีนเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยด้วย ต่อมาสัมพันธมิตรได้ตกลงกันตั้งเขตบัญชาการสูงสุดแห่งเอเชียอาคเนย์ภายใต้ลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบทแทน ส่วนเจียงไคเช็คคงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดเฉพาะในเขตประเทศจีนเท่านั้น
แม้กระนั้นเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้แล้ว เจียงไคเช็คก็ได้เสนอว่าให้ถือเส้นขนานที่ ๑๖ เป็นเขตใต้สุดแห่งสมรภูมิจีนในประเทศไทยด้วย คือหมายความว่าดินแดนไทยที่อยู่เหนือตั้งแต่อำเภออุ้มผาง, อำเภอบางมูลนาก, อำเภอบ้านไผ่, อำเภอเสลภูมิ, อำเภอเขมราฐ ขึ้นไปนั้นจะต้องอยู่ในเขตที่เจียงไคเช็คส่งกองทหารจีนเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น แต่เมื่อผมได้ทราบข่าวเจตนาของเจียงไคเช็คเช่นนั้นแล้วจึงได้ติดต่อกับรัฐบาลอเมริกัน ขอให้ใช้อิทธิพลจัดการให้เจียงไคเช็คส่งกองทหารจีนมาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเฉพาะที่อยู่เหนือเส้นขนานที่ ๑๖ ในประเทศอินโดจีนของฝรั่งเศสเท่านั้น ส่วนทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยขอให้ยอมวางอาวุธแด่ลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบทเทน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรแห่งเอเชียอาคเนย์ ซึ่งส่งทหารอังกฤษมาทำการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเท่าที่จำเป็นแล้วถอนทหารออกไปจากประเทศไทย ประธานาธิบดีทรูแมนจึงได้ออกคำสั่งหมายเลข ๑ ลงวันที่ ๒ กันยายน ค.ศ. ๑๙๔๕ สั่งให้กำลังทหารญี่ปุ่นทั้งหมดในประเทศไทยยอมจำนนแก่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดภาคเอเชียอาคเนย์ ดังนั้นคนจีนก๊กมินตั๋งจำนวนหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อเห็นกองทหารอังกฤษเข้าปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย จึงได้ก่อกรณีที่เรียกกันว่า "เลี๊ยะพ่ะ" ขึ้น แต่จีนคอมมิวนิสต์บางคนที่ลี้ภัยอยู่ในสยามสมัยนั้นได้อาสาร่วมมือกับฝ่ายไทยในการต่อสู้ปราบปรามผู้ก่อกรณี "เลี๊ยะพ่ะ"
.............................................................
ในที่สุดนี้ ผมขอเดชะคุณพระศรีรัตนตรัยและอานิสงส์แห่งความเสียสละรับใช้ชาติของเพื่อนอดีตเสรีไทยที่วายชนม์ไปแล้วจงดลบันดาลให้เพื่อนเหล่านั้นประสบสุขคติในสัมปรายภพ และขออวยพรให้ทายาทของเพื่อนเหล่านั้นอีกทั้งเพื่อนเสรีไทยที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งราษฎรไทยผู้รักชาติทั้งหลายจงประสบสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลมีความสุขความเจริญยิ่งทุกประการเทอญ