กระทู้: 'ชินเซงงุมิ' : ตำนานฮีโร่แดนอาทิตย์อุทัย (ลอกมาจากผู้จัดการ) เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 05 มิ.ย. 04, 17:25 src="rtimages/RW1741x0.jpg"> ภาพถ่าย อิซามิ คนโดะ หัวหน้าหน่วยชินเซงงุมิ (ซ้าย) และมือขวา โทะชิโซะ ฮิจิกาตะ /> เวลาผ่านมานานกว่าศตวรรษนับจากการแผ่อิทธิพลของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นต้องก้าวออกมาจากยุคแห่งการโดดเดี่ยวตัวเองเป็นครั้งแรก แต่ถึงบัดนี้ชาวอาทิตย์อุทัยทั้งประเทศก็ยังดื่มด่ำกับการย้อนเวลาหาอดีต สู่ตำนานในประวัติศาสตร์ที่เหล่าซามูไรผู้กล้าได้หลั่งเลือดปกป้องบัลลังก์ของรัฐบาลโชกุน /> ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์ชัดในงานนิทรรศการ 'ชินเซงงุมิ' ที่พิพิธภัณฑ์เอโดะ-โตเกียว ซึ่งเด็กสาวญี่ปุ่นต่างยกขโยงมาชมโบราณวัตถุในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นดาบ เครื่องแบบซามูไร จดหมาย และบันทึกเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหล่าชินเซงงุมิหรือขุนพลที่รัฐบาลโชกุนจ้างมาปราบกบฏ /> นิทรรศการดังกล่าวซึ่งจัดมานานร่วม 2 เดือนและเสร็จสิ้นลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา กลายเป็นนิทรรศการยอดฮิตที่ชาวปลาดิบให้ความสนใจเข้าชมกันอย่างล้นหลามราว 127,400 คน ทะลุเป้าซึ่งตั้งไว้แต่แรกราว 100,000 คน และตอนนี้ทางคณะผู้จัดก็เตรียมเดินสายเปิดแสดงในเมืองหลวงเก่าอย่างนครเกียวโตเป็นลำดับต่อไป โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย. ไปจนถึง ก.ค. "ปกติแล้วงานนิทรรศการแบบนี้จะมีแต่คนแก่ๆ เข้าชม แต่คราวนี้กลับมีสาวๆ วัยกระเตาะแห่กันมาดูอย่างไม่น่าเชื่อ" ชิเกรุ มะซุดะ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กล่าว "มันเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยอย่างพวกซามูไรหรือกลุ่มชนชั้นล่างกลายเป็นแกนกลางในการเคลื่อนไหวของประชาชน แบบเดียวกับการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส" เขากล่าว "หลายๆ คนรู้สึกอ่อนไหวไปกับเรื่องราวเหล่านี้" อาการคลั่งไคล้พวกชินเซงงุมิส่วนหนึ่งอาจมาจากซีรีส์ทางทีวีในช่วงไพรม์ไทม์ของวันอาทิตย์ ซึ่งนำเอาตำนานของเหล่าซามูไรผู้กล้ามาขึ้นจอ พร้อมกับการประชันบทบาทของเหล่าไอดอลขวัญใจวัยรุ่นญี่ปุ่น เช่นเดียวกับเรื่องราวของซามูไรที่มีให้เลือกอ่านมากมายบนแผงหนังสือ ชาวอาทิตย์อุทัยยุคใหม่กำลังตื่นเต้นกับการย้อนรอยประวัติศาสตร์ไปสู่ตำนานการต่อสู้ของนักรบผู้กล้าในสงครามกลางเมืองที่นำไปสู่การโค่นระบอบเผด็จการโชกุนที่เรืองอำนาจมากว่า 260 ปี และการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่องค์จักรพรรดิอีกครั้ง พวกเขากระหายใคร่รู้เรื่องราวของเหล่าขุนพลผู้มีศักดิ์ศรีควรค่ากับคำว่า 'The Last Samurai' ยิ่งกว่าในหนังฟอร์มยักษ์ปี 2003 ของทอม ครูซ มากมายนัก /> ตำนานเล่าขานถึงวีรกรรมกล้าหาญเปิดฉากขึ้นในปี 1853 เมื่อพลเรือจัตวาแมทธิว แพร์รี แห่งกองทัพสหรัฐฯ นำกองเรือรบ 'Black Ships' 4 ลำเข้าจอดยังปากอ่าวโตเกียว นำไปสู่การเจรจาทำสนธิสัญญามิตรภาพ 'Treaty of Amity' ซึ่งกดดันให้ญี่ปุ่นต้องเปิดประเทศสู่โลกยุคใหม่ /> เหตุการณ์ดังกล่าวจุดชนวนการลุกฮือขึ้นก่อกบฏของเหล่าซามูไรที่ไม่พอใจรัฐบาลโชกุนตระกูลโทะกุงะวะ ซึ่งถูกมองว่าไร้น้ำยาต้านทานอิทธิพลตะวันตก ซามูไรกลุ่มนี้เคลื่อนขบวนมายังกรุงเกียวโตซึ่งเป็นเมืองหลวงในขณะนั้น เพื่อวางแผนช่วยเหลือจักรพรรดิซึ่งกลายสภาพเป็นเพียงหุ่นเชิดของรัฐบาลโชกุน ให้กลับขึ้นครองอำนาจอีกครั้ง ส่วนทางรัฐบาลโชกุนก็ระดมขุนพลฝีมือกล้ากว่า 200 คน ซึ่งเรียกกันว่า 'โรนิน' หรือซามูไรไร้นาย ขึ้นเป็นกองกำลังพิเศษในปี 1863 เพื่อถอนรานถอนโคนกลุ่มกบฏในเมืองหลวง ขุนพลกลุ่มนี้รวมถึงปรมาจารย์เพลงดาบจากโตเกียวอย่างอิซามิ คนโดะและโทะชิโซะ ฮิจิกาตะ มือขวาของเขา ทว่าหลังจากนั้นซามูไรหลายคนในกลุ่มกลับแปรพักตร์ไปเข้ากับกองกำลังฝ่ายจักรพรรดิ และถูกเนรเทศออกไป กองกำลังพิเศษถูกเปลี่ยนชื่อเป็นชินเซงงุมิ ซึ่งแปลว่ากลุ่มที่ผ่านการคัดเลือกใหม่ โดยมีคนโดะเป็นผู้บัญชาการ เขาประกาศใช้กฎเหล็กซึ่งซามูไรคนใดที่กระทำผิดจะต้องชดใช้บาปด้วยการคว้านท้อง หรือ 'เซปปุกุ' กิตติศัพท์อันน่าพรั่นพรึงของชินเซงงุมิแพร่สะพัดไปทั่วญี่ปุ่น เมื่อพวกเขาออกปฏิบัติการทลายแหล่งกบดานและสังหารโหดกลุ่มกบฏ 7 คน เมื่อปี 1864 อันเป็นที่จดจำกันดีในชื่อเหตุการณ์ 'อิเกะดายะ' แต่สุดท้ายกองทัพของโชกุนและเหล่าชินเซงงุมิก็ถูกทหารของจักรพรรดิบุกตะลุยจนต้องล่าถอยออกไปยังโตเกียว พวกเขาถูกกวาดล้างในปี 1868 คนโดะถูกตัดหัวระหว่างการต่อสู้ ส่วนฮิจิกาตะถูกยิงตายบนเกาะฮ็อกไกโด 1 ปีให้หลัง ขุนพลชินเซงงุมิได้รับการกู้เกียรติคืนมาอีกครั้งเมื่อได้รับการอภัยโทษจากทางการในปี 1874 ถึงวันนี้ ตำนานความกล้าหาญของนักรบหนุ่มผู้พลีชีพเพื่ออุดมการณ์ยังคงดึงดูดชาวญี่ปุ่นทุกเพศทุกวัย เรื่องราวของพวกเขาถูกหยิบมาเล่าใหม่ในนวนิยาย บทละครและภาพยนตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ดีไซเนอร์ดังอย่างคันไซ ยามาโมโตะ ก็เตรียมจัดโชว์ยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งจะรวมไว้หมดทั้งแฟชั่น ดนตรี และการเต้น ที่ได้แรงบันดาลใจจากชินเซ็งงุมิ โดยเปิดฉากในเดือนก.ค. นี้ ที่บุโดกันฮอลล์ในกรุงโตเกียว /> สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคให้เหตุผลในการนำเรื่องราวของชินเซงงุมิมาขึ้นจอในรูปแบบซีรีส์ยาวประจำปีของทางสถานี ว่าต้องการสื่อถึงพลังอันเร่าร้อนของคนรุ่นใหม่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในช่วงที่โลกกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติเช่นปัจจุบัน /> "ผมจะเข้าร่วมด้วยแน่ๆ ถ้าชินเซงงุมิยังอยู่ตอนนี้" โคอิชิ อิไมซุมิ นักศึกษาวัย 19 ปีกล่าวอย่างกระตือรือร้น "แต่ถ้าเป็นกองทัพญี่ปุ่นในอิรักล่ะก็ไม่รู้นะ" |